จูบกับใคร จูบทำไม จูบท่าไหน แล้วยังไง (2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/596556

โดย หมอดื้อ 27 มี.ค. 2559 05:01

 

จูบตอนที่แล้ว ว่าถึงว่ากระบวนการจูบ ใช้เส้นประสาท 5-6 เส้นเอง แต่แท้จริงแล้วในความเห็นของหมอเองทุกเส้นน่าจะทำงานหมด

เบอร์ 2 (Optic nerve) ก็ทำหน้าที่ในการจ้องมองใบหน้าและริมฝีปากของฝ่ายตรงข้ามที่จะเคลื่อนเข้าหา เบอร์ 3-4 และ 6 (ควบคุมการกลอกลูกตา) ก็อาจต้องทำงานในการระแวดระวังมองไปทั่วๆก่อนว่ามีใครอื่นๆ อยู่แถวนั้นบ้าง เบอร์ 8 (เส้นประสาทหูในการรับฟังและทรงตัว)

ใครบ้างครับปฏิเสธว่าเสียงที่ได้ยินขณะจูบกันมีความหมายมาก และเมื่อจูบแล้วถ้ามีปฏิกิริยาไฟช็อตเกิดขึ้นจนแทบจะยืนไม่ไหวเข่าระทวย การทรงตัวเป็นเรื่องสำคัญ เบอร์ 11 (ควบคุมการเคลื่อนไหว คอ บ่า ไหล่) คงลำบากแย่นะครับ

ถ้าเอาหน้าชนกันตรงๆเวลาจูบต้องเอียงหน้าตะแคงนิดๆจึงจะเหมาะกว่า เมื่อเล็งลึกไปถึงสมอง ในสมองคนเราจะมีตำแหน่งต่างๆที่รองรับพื้นที่ของร่างกายกับตัว (Sensory Homunculus) ใน Somatosensory cortex พื้นที่ของริมฝีปากในสมองนั้นใหญ่โตมากครับ มากกว่าพื้นที่รองรับอวัยวะเช่นมือ หรือในระบบสืบพันธุ์ด้วยซ้ำ

กระบวนการจูบเดียวตกม้าตายหรือไม่ ยังขึ้นกับสารเคมีหลายชนิด Wendy L. Hill และ Carey A.Wilson จาก Lafayette College วัดระดับฮอร์โมน 2 ชนิด ได้แก่ Oxytocin ซึ่งมีส่วนในการทำให้เกิดการไว้เนื้อเชื่อใจและ Cortisol ซึ่งหลั่งในขณะที่มีภาวะเครียด จาก 15 คู่ของนักเรียนชาย-หญิง ทั้งก่อนและหลังจูบกัน

รวมทั้งก่อนและหลังที่พูดคุยกัน ซึ่งในระหว่างนั้นกุมมือซึ่งกันและกันไว้

ผลการศึกษาเป็นที่ประหลาดใจ โดยพบว่าฮอร์โมน Oxytocin หลั่งมากเฉพาะในชายเท่านั้น หลังจากจูบกันหรือพูดกันและจับมือไปด้วย

ผู้วิจัยสรุปว่า ฝ่ายหญิงต้องการอะไรที่มากกว่าการจูบที่จะทำให้มีความรู้สึกผูกพันในอนาคตหรือ แม้กระทั่งสมยอมที่จะมีเพศสัมพันธ์ต่อ ทั้งนี้ อาจจะต้องการบรรยากาศที่โรแมนติก ฯลฯ ร่วมด้วย

หมอเพิ่มเติมว่า ฝ่ายชายน่าจะถูกหลอกง่ายกว่าฝ่ายหญิงเมื่อถูกจูบ (ฮา) อย่างไรก็ตาม การจูบทำให้ฮอร์โมน Cortisol มีระดับลดลงทั้ง 2 ฝ่าย

โดยผู้วิจัยสรุปว่า การจูบทำให้ความ เครียดลดลง (แต่หมอว่าอาจเพราะว่าได้เงินตอบแทนค่าร่วมวิจัย หรือไม่ก็ไม่ต้องเข้าคลาสตามปกติ และในฝ่ายชายนั้นอยากเข้าร่วมการวิจัยแน่นอนอยู่แล้ว)

ทั้งนี้ การจูบนั้นจะก่อให้เกิดความผูกพันกันถึง “ความรัก” หรือไม่ ก็ต้องมีการทำงานของสมองในส่วนความสุขใจ ปีติ และผลักดัน ให้สานสัมพันธ์ต่อ (Pleasure, Euphoria, Motivation) สมองส่วนนี้คือ ventral tegmental area ด้านขวา

ซึ่งเป็นบริเวณด้านท้องของก้านสมองส่วนต้น และ caudate nucleus ด้านขวา โดยผ่านสารควบคุม Dopamine สมองทั้ง 2 ส่วนมีหน้าที่เป็นศูนย์ให้รางวัล (Reward Center) และเป็นที่เดียวกันกับที่ยาเสพติด โคเคน (Cocaine) ออกฤทธิ์

ดังนั้น ความรักน่าจะเป็นยาที่ดีสำหรับมนุษย์นะครับ และจูบครั้งแรกครั้งเดียวบางครั้งก็ตัดสินได้เลยว่าไม่ใช่ Gallup และคณะพบว่า 59% (จากผู้ชาย 58 ราย) และ 66% (จากผู้หญิง 122 ราย) ของผู้ร่วมวิจัยตอบว่าจูบแรกนั้นบอกได้เลยว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ แม้จะคบหากันมาก่อนหน้าแล้วก็ตาม และเลิกกันหลังจูบแรก ความรุนแรงบดขยี้ในการจูบก็มีความหมายจากนักศึกษา 1,041 ราย ฝ่ายชายจะจูบอย่างรุนแรงล้ำลึก เพื่อเป็นการกรุยทางสู่ขั้นต่อไปของกามารมณ์ ในขณะที่ฝ่ายหญิงจะใช้การจูบเพื่อชั่งใจ หยั่งใจตนเองว่าสมควรจะคบหากับอีกฝ่ายต่อไปหรือไม่ หรือพร้อมจะมีการพัฒนาในเชิงครอบครัวในอนาคตมากกว่าที่จะเป็นเจตนาทางด้านกามารมณ์อย่างเดียว

ปฏิกิริยาต่อไปของจูบ คือ ผลต่อร่างกาย อวัยวะภายในหัวใจเต้นเร็ว แรงขึ้น ความดันสูงขึ้น รูม่านตาขยาย หอบหายใจลึก ฯลฯ

ดังที่เราทราบกันพฤติกรรมในระหว่างจูบก็มีความหมาย เคยสังเกต ไหมครับว่าขณะจูบเราเอียงศีรษะ คอ ไปทางไหน ขวาหรือซ้าย ใครที่เอียงซ้ายรีบเปลี่ยนนะครับมาทางขวา Onur Gunturkun จาก Ruhr University of Bochum ในเยอรมนี สำรวจ 124 คู่ที่จูบกันในที่สาธารณะทั้งในสหรัฐฯ เยอรมนี และตุรกี เขาพบว่าจะเอียงไปทางขวามากกว่าซ้าย 2 เท่า ก่อนที่ริมฝีปากจะประกบกัน

ทั้งนี้ อาจจะเกิดจากท่าขณะอยู่ในครรภ์ระยะท้าย และในขณะที่เป็นทารก และการที่มี Behavioral asymmetry นี้อาจจะเกี่ยวเนื่องจากการควบคุมการพูดและการรับรู้พิเศษบางอย่างอยู่ที่สมองซ้าย (ซึ่งควบคุมด้านขวา) ปัจจัยการเลี้ยงดูก็อาจเกี่ยวกับการเอียงขวา

โดยที่ 80% ของคุณแม่ไม่ว่าถนัดขวาหรือซ้ายก็ตาม จะอุ้มลูกแนบกับอกโดยหัวลูกไปทางซ้ายและลูกจะพลิกเข้าหาอกแม่โดยหมุนมาทางขวา นักวิทยาศาสตร์บางคนยังกระหน่ำซ้ำเติมคนที่เอียงซ้ายเวลาจูบว่าเป็นคนที่ไม่อบอุ่น ไม่รักใครจริงจัง

ทั้งนี้ การเอียงไปทางซ้ายถูกควบคุมจากสมองซีกขวา ซึ่งเป็นสมองอารมณ์ (หมอว่าน่าจะแสดงว่าเป็นอารมณ์แปรปรวน) มากกว่า จะเนื่องด้วยเหตุใดก็ตามเรื่องของซ้าย-ขวา

ล่าสุดในปี 2006 Julian G. Greenwood และคณะจาก Stranmillis University College in Belfast, Northern Ireland พบว่า 77% ของนักเรียน 240 ราย เอียงมาทางขวา เวลาจะจูบแก้มตุ๊กตา และ 80% ของคู่หญิง-ชาย ใน Belfast ก็เอียงขวาเช่นกัน ทั้งนี้ อาจจะเป็นการเอียงขวาตามความถนัดมากกว่า

จะสรุปอย่างไรก็ตามนะครับ ถึงแม้ว่าจูบคือการประกบแค่ริมฝีปาก แต่ขั้นตอนการจูบ เริ่มตั้งแต่ความคิด ความรู้สึกก่อนจูบ การกระทำระหว่างและที่จะเกิดขึ้นภายหลัง รวมทั้งสัมพันธภาพที่จะเกิดขึ้นในทางดีหรือไม่ดีก็ตามในอนาคต และนี่คือเรื่องหนึ่งของมนุษย์ที่ไม่น่าจะธรรมดานะครับ ตอนเรื่องสมองในเสี้ยวเวลาของความสุขสม (orgasm) ได้กล่าวไปแล้วนะครับ หาอ่านในสุขภาพหรรษา.

หมอดื้อ

ความจริง 10 ข้อของจูบที่คุณอาจไม่รู้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/592731

โดย Playboy Thailand 26 มี.ค. 2559 16:01

 

จูบเป็นการแสดงความรักอย่างหนึ่ง และที่แน่ๆ บางครั้งมันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณเดินทางไปสู่จุดหมายที่วางเอาไว้ นั่นคือการมีเซ็กซ์ และนี่คือ 10 เรื่องที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของการจูบ

1. ในทุกอณูลิ้นจะอุดมไปด้วยเส้นประสาท จุดไฟแห่งความคันและความเสียว ผู้เชี่ยวชาญอ้างว่า ลิ้นของคุณเวลาเกิดการแลกลัวพัวพันกันระหว่างลิ้นนั้นทำให้คุณมีความรู้สึกอยากมากขึ้น เหมือนกับว่า การจูบกระตุ้นให้เกิดการมีเซ็กซ์ได้ 100 เท่ามากกว่าการลูบไล้ด้วยมือซะอีก จึงไม่แปลกที่เวลาก่อน ระหว่าง หรือหลังการมีเซ็กซ์ จูบจึงมีความสำคัญได้ตลอด เพราะจูบทั้งช่วยกระตุ้นทางเพศและทำให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจ

2. ผู้ชายกว่า 40% เผยว่า จูบที่ยาวๆ ดูดปากด้วยความแรงและนานจะผลักดันให้ผู้ชายเกิดความต้องการการมีเซ็กซ์ขึ้นมาทันที ส่วนอีก 30% บอกว่าเวลาที่จูบ ถ้าผู้หญิงล้วงไปจับลูบคลำที่ลูกบอลและท่อนเอ็นของเขา การมีเซ็กซ์จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

3. จูบสั้นๆ ห่างๆ พร้อมกับคำพูดบอกลาว่า “เจอกันใหม่” ที่ผู้ชายส่งไปให้คุณเป็นสัญญาณเตือนว่า ความสัมพันธ์ของคุณและเขากำลังมีปัญหา เป็นไปได้ว่าเขารู้สึกไม่มั่นใจกับความรักที่เขากับคุณมีด้วยกัน หรือเป็นสัญญาณเตือนอีกด้วยว่า เขากำลังมีคนใหม่

4. เวลาจูบกัน ถ้าคุณต้องการให้ระดับของความใกล้ชิดมันแนบแน่นและเร่าร้อนมากขึ้น ควรดึงเอวของผู้ชายเข้ามาหาตัวคุณมากที่สุด เพราะเมื่อไหร่ที่ปากประกบกัน เอวและอวัยวะเบื้องล่างแปะติดกันแล้ว อณูแห่งความอยากและตัณหาก็จะมีมากขึ้น

5. วิธีที่ดีที่สุดในการจูบหูของผู้ชายคือการสวาปามไปที่ติ่งหูของเขาเป็นเวลาสักครู่ จากนั้นก็ใช้ปลายลิ้นไต่เล่นไปตามสันหู และถ้าจะให้ดีควรกระซิบคำพูดเสียวๆ ซี้ดๆ เข้าไปในหูของเขาสิ

6. เวลาผู้ชายเกิดอารมณ์ขึ้นมาแบบสูงสุด เขาใช้ปากจูบและกัดตามส่วนสำคัญๆ ของร่างกายคุณ นั่นแสดงให้เห็นว่าเขามีอารมณ์แบบที่ไม่มีลิมิตเกิดขึ้น

7. ผู้ชายชอบมีเซ็กซ์กับผู้หญิงที่จูบไม่ค่อยเก่ง แต่ในทางกลับกันผู้หญิงมีความต้องการมีเซ็กซ์กับผู้ชายที่ใช้ปากจูบเก่งกว่าเธอ

8. การจูบด้วยความรักความเสน่หาระหว่างการมีเซ็กซ์นั้น ทำให้เกิดความดันเลือดพุ่งและจังหวะการเต้นของหัวใจแรงและเร็วขึ้น ที่สำคัญมันยังทำให้คุณถึงจุดสุดยอดได้ง่ายกว่าที่คิดอีกนะ

9. 54% ของผู้หญิงระหว่าง 18-24 ปี บอกว่าเขาจูบกับเพื่อนผู้หญิงด้วยกันเป็นประจำ ส่วนผู้หญิงอายุ 25-34 ปี มีแค่ 43%

10. การจูบในสถานการณ์และอารมณ์ที่ไม่แน่ไม่นอน ตกใจกลัว ช่วยเปลี่ยนความคิดและการตัดสินใจของคนให้เขามารักคุณและเห็นใจคุณได้

ที่มา – Playboy Thailand
www.playboy.co.th
www.facebook.com/playboythailand

DIY แชมพูมะกรูดสูตรโบราณ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/592676

โดย Health & Cuisine 25 มี.ค. 2559 16:01

 

ช่วงนี้แชมพูมะกรูดสดกำลังฮิต เลยอยากนำสูตรโบราณภูมิปัญญาไทยที่เคยทำใช้มาแบ่งปัน สูตรนี้ไม่ใส่เนื้อส่วนที่เป็นสีขาวของมะกรูดลงไปนะคะ เพราะส่วนนั้นเป็นสาเหตุว่าทำไมใช้แชมพูมะกรูดแล้วคันศีรษะค่ะ เราจะใช้แต่น้ำมะกรูดอย่างเดียว

วิธีทำตามแบบโบราณจริงๆ จะต้องเผาผลมะกรูดบนเตาถ่านระอุประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่ยุคนี้คงต้องพึ่งเตาอบแทน โดยให้ตั้งอุณหภูมิที่ 180 องศาเซลเซียส อุ่นให้ร้อนก่อนประมาณ 5 นาที แล้วจึงนำมะกรูดสดที่ล้างผิวสะอาดด้วยเกลือแล้ว ห่อด้วยใบตองหรือฟอยล์ให้มิดชิดก่อนนำเข้าอบ อบนานประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ หรือสังเกตดูหากผลมะกรูดสุกน่วมสีคล้ำทั้งลูกก็เป็นอันใช้ได้

นำมะกรูดออกจากเตาอบ ใช้ผ้าจับผลมะกรูดที่ร้อน ผ่าตามแนวขวาง แล้วคั้นเอาแต่น้ำ เมื่อได้น้ำมะกรูดแล้ว กรองเอาแต่น้ำ พักไว้ให้เย็น เก็บใส่ภาชนะแช่เย็นไว้ได้นานถึง 3 เดือนค่ะ

เวลานำมาใช้สระผม ก็แค่ล้างผมด้วยน้ำสะอาด ชโลมแชมพูมะกรูดลงให้ทั่วศีรษะ นวดหนังศีรษะเล็กน้อยเพื่อให้เลือดไหลเวียนดี แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ผมก็จะนุ่ม เงา ดำ โดยไม่ต้องใช้ครีมนวดผมเลยค่ะ ถ้าไม่เชื่อ ต้องลองเอง

Tip คั้นน้ำมะกรูดตอนผลมะกรูดยังร้อนอยู่ จะได้น้ำเยอะกว่า หากปล่อยให้มะกรูดเย็นลงแล้วมาคั้น

ที่มา – Health & Cuisine
www.healthandcuisine.com

โรคเอส แอล อี (ตอนที่ 4) การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/588913

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 25 มี.ค. 2559 05:30

 

คอลัมน์ศุกร์สุขภาพ ประจำศุกร์นี้ จะนำเสนอความรู้เกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยโรคเอส แอล อี เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการปฏิบัติตนได้อย่างถูกวิธี ดังนี้

1. ช่วงที่มีการรักษาด้วยยา ต้องรับประทานยาตามขนาดและระยะเวลาที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด ไม่เพิ่มหรือลดขนาดยาเอง

2. หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรง ถ้าจำเป็นควรสวมหมวกปีกกว้าง กางร่ม ใส่เสื้อแขนยาว และใช้ครีมกันแดดที่ป้องกันแสงอัลตราไวโอเลตได้ดี

3. ทำจิตใจให้สบาย ไม่ควรเครียด หมกมุ่น ท้อถอย เศร้าใจ หรือกังวลใจ เพราะจะทำให้อาการของโรคกำเริบได้ ควรมีความอดทนต่อการรักษา แม้บางครั้งจะต้องพบกับอาการข้างเคียงของยาบ้าง ก็ควรทำใจยอมรับกับโรคและปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น คิดในเชิงสร้างสรรค์และค่อยๆ แก้ปัญหาไปตามลำดับ และไม่ควรนำอาการของตนไปเปรียบเทียบกับผู้ป่วยรายอื่น เนื่องจากการพยากรณ์โรคต่างกัน อาจทำให้สับสนได้

4. เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง โดยรับประทานอาหารที่สุกสะอาด เพราะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เช่น ไข้ไทฟอยด์ อาจทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนง่าย จึงควรกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง

5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอ

6. ไม่ควรตั้งครรภ์ในระยะที่โรคกำเริบ เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อแม่และเด็กในครรภ์ แต่ในระยะที่โรคสงบอาจตั้งครรภ์ได้ ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดหรือใส่ห่วง เพราะมีโอกาสติดเชื้อสูง

7. ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองโดยไม่จำเป็น เพราะยาบางตัวทำให้โรคกำเริบ และอาจเกิดการแพ้ยาได้ง่ายกว่าคนปกติ

8. หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด อากาศไม่บริสุทธิ์ ไม่เข้าใกล้ผู้กำลังติดเชื้อ เช่น ไข้หวัด

9. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ไปตรวจตามที่แพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์ในการประเมินความรุนแรงของโรคและผลการรักษา แพทย์จะได้พิจารณารักษาได้อย่างถูกต้อง ไม่ควรเปลี่ยนแพทย์ผู้รักษาบ่อย เพราะแพทย์คนใหม่อาจจะไม่ทราบรายละเอียดอาการเจ็บป่วย ทำให้เกิดการล่าช้าในการวินิจฉัยโรคและการรักษา จนอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้

10. ถ้ามีอาการผิดปกติที่บ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อ เช่น มีไข้ หนาวสั่น ไข้หวัด มีตุ่มหนอง ควรรีบกลับไปหาแพทย์ทันที หรือหากไปพบแพทย์ท่านอื่น ควรนำยาที่กำลังรับประทานอยู่ไปให้แพทย์ดูด้วยทุกครั้ง เพื่อแพทย์จะได้จัดยาให้สอดคล้องกับยาเดิม

11. ถ้ามีอาการผิดปกติที่เป็นอาการกำเริบของโรค เช่น มีไข้เป็นๆ หายๆ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ผมร่วง บวม ผื่นขึ้นใหม่ๆ ปวดข้อ ควรจะไปพบแพทย์ทันที

12. ถ้าหากรับประทานยาที่กดภูมิคุ้มกันอยู่ เช่น อิมมูแรน เอ็นดอกแซน ให้หยุดยาชั่วคราวระหว่างที่มีการติดเชื้อ

13. เลือกการทำงานให้เหมาะสมกับสภาวะของโรคที่เป็นอยู่

โรคเอสแอลอี หรือโรคแพ้ภูมิตนเอง เป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่มีหลายปัจจัยที่กระตุ้นให้กำเริบได้ แม้โรคจะยังรักษาไม่หาย แต่การปฏิบัติตัวที่ดีของผู้ป่วยจะสามารถควบคุมการกำเริบของโรคได้ การให้ความร่วมมือในการรักษา ความตั้งใจ และความอดทน ทำให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

หากท่านสงสัยว่าเป็นโรคนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรกๆ

นายแพทย์กิตติ โตเต็มโชคชัยการ
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

5 เหตุผลที่คุณไม่ควรมีอะไรกับคนในออฟฟิศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/592405

โดย Playboy Thailand 24 มี.ค. 2559 16:01

 

‘สมภารไม่กินไก่วัด’ ยังเป็นประโยคที่คลาสสิกและไว้ใจได้ตลอดเวลา แม้ว่าเส้นทางตรงนั้นจะเย้ายวน และเปิดโอกาสให้คุณมากขนาดไหน เราลองมาดูเหตุผลที่คุณไม่ควรทำเช่นนั้นกัน

ตกเป็นหัวข้อในการเม้าท์

ถ้าคุณเป็นพวกที่เซนสิทีฟกับเรื่องของการตกเป็นประเด็นในการถูกวิจารณ์ ตรงนี้แหละอันตราย และตลอดเวลาคุณจะเจอแต่คนซุบซิบเวลาที่เดินผ่านพวกเขา

เสียการบังคับบัญชา

ในกรณีที่คุณเป็นหัวหน้ากับลูกน้อง อาจจะทำให้มีความเสี่ยงสูงที่คุณอาจจะต้องสูญเสียความน่าเชื่อถือจากบุคคลภายในทีม และทำให้คำสั่งของคุณถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีความลำเอียง หรือเป็นธรรมหรือไม่

เสียอนาคต

เรื่องเหล่านี้บางครั้งมักกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว และมีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงต่ออนาคตทางหน้าที่การงานของคุณ จนเรียกว่ากลายเป็นจุดด่างพร้อยเลยก็ว่าได้ และในทางกลับกัน คู่ควงของคุณอาจจะได้เป็นใหญ่เป็นโตในอนาคต และอาจจะทำให้อนาคตทางการงานของคุณดับวูบได้ หากความสัมพันธ์นั้นยุติกันในแบบไม่ค่อยน่าประทับใจมากนัก

ความลำบากใจเมื่ออยู่ที่ทำงาน

บางครั้งการเลิกรากันไปแล้ว คุณอาจจะเจอ หรืออาจจะไม่เจอเธออีกต่อไปก็ได้ แต่ถ้าเป็นเพื่อนในที่ทำงาน คุณจะต้องเจอกับเธอแทบทุกวัน หรืออาจจะทุกวันถ้าอยู่ในแผนกเดียวกัน

โดนเจ้านายเพ่งเล็ง

โดยปกติแล้วบริษัทส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการมีคู่ที่ทำงานอยู่ในบริษัทเดียวกัน เพราะบางครั้งอาจจะทำให้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน จนทำให้การทำงานกลายเป็นจ้าง 2 คนแต่ได้งานกลับมาแค่ 1 คนเท่านั้น

ที่มา – Playboy Thailand
www.playboy.co.th
www.facebook.com/playboythailand

10 เทคนิค เพิ่มความร้อนแรงให้เซ็กซ์ฤดูร้อน!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/592403

โดย FHM 23 มี.ค. 2559 16:01

 

10 เคล็ดลับง่ายๆ ก็อาจกลายมาเป็นคำตอบสุดท้าย สำหรับการบรรเลงเพลงรัก…ท่ามกลางฤดูร้อนนี้ ลองดื่มน้ำอุ่นๆ…

1. ลองดื่มน้ำอุ่นๆ

เนื่องจากความเย็นจะทำให้เขาสะดุ้ง แต่ไออุ่นจากปากคุณนั่นแหละ คือคำตอบสุดท้ายที่น่าจดจำ เพราะจะทำให้หลอดเลือดของอีกฝ่ายขยาย เปิดรับสัมผัสได้ง่ายขึ้น อบอุ่นร้อนแรงกว่าอุณหภูมิทั่วไปของริมฝีปาก!

2. เหงื่อไหล ก็อย่าได้แคร์

เหงื่อที่ทาบตัวอาจทำให้คุณและคนรักดูบ้างไปอีกแบบ และฟีโรโมน ถือเป็นสารธรรมชาติที่มีบทบาทที่สำคัญต่อการจดจำ มีผลต่อการรับสัมผัส จึงจัดว่าเป็นกลิ่นชนิดพิเศษ จึงควรปลดปล่อยมันออกมาบ้าง พร้อมกับเหงื่อที่ไหล และก็อย่าได้แคร์!

3. พ่นลมหายใจใส่หู

เทคนิคนี้อย่าทำแบบตั้งใจ จนดูเป็นผู้หื่นกระหาย เพียงหายใจแรงผ่านหูของอีกฝ่ายบ้างเท่านั้น จะทำให้บรรยากาศชวนเซ็กซี่มากยิ่งขึ้น

4. ใช้นิ้วลากเบาๆ ที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย

เชื่อเถอะว่า ไม่บ่อยนักที่คุณและเธอจะได้ทำอะไรแบบนี้ บทรักนี้แค่คิดก็เซ็กซี่แล้ว แถมยังใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกายที่ไวต่อความรู้สึก

5. อวัยวะที่ถูกละเลย

ส่วนที่มักถูกละเลยอยู่บ่อยๆ ก็คือ “ต้นขาด้านใน” เพียงลูบไล้เบาๆ ขึ้นลงระหว่างการจูบกัน สิ่งนี้จะทำให้การสัมผัสยิ่งสะท้านทรวง

6. ใช้ตัวนวดตัว

ไม่จำเป็นต้องใช้มือบีบนวดอีกต่อไป แต่ก้าวไปอีกขั้นด้วยการใช้เนื้อนวดเนื้อ ขยับตัวขึ้น-ลงให้ร่างกายเบียดหรือเสียดสีกัน เพื่อเพิ่มพื้นที่และอุณหภูมิแห่งความใกล้ชิดชนิดพิเศษ

7. สัมผัสจุดลับ เพื่อหยั่งเชิง

เพื่อลดความไวต่อความรู้สึกจนหลั่งเร็วจากการสอดใส่ แต่ทำด้วยวิธีการนุ่มนวล และอย่าใช้เวลานาน เพียงกระตุ้นผ่านๆ เท่านั้น แต่ยังไม่มุ่งโจมตี

8. เปลี่ยนสิงโตให้เป็นมังกรไฟ

ทั้งที่เป็นอาวุธคู่กายหลัก แต่ชายหนุ่มหลายคนกลับละเลย ปล่อยให้มีกลิ่น และไม่ใช่ไอศกรีมที่ผู้หญิงใฝ่ฝัน แถมหนุ่มบางคนปล่อยขนให้รกรุงรังอย่างกับป่าดิบชื้น

9. ใช้ลิ้นเหมือนดาบที่สอง

ความตื่นเต้นขณะออรัลเซ็กซ์ ก็คือการใช้ลิ้นต่อจากปากเป็นจังหวะที่ 2 เสมือนเพิ่มลูกเล่นในจังหวะของการเคลื่อนไหว จนอีกฝ่ายสุดจะคาดเดา นี่จะจูบหรือว่าจะโลมเลียกัน? ทั้งๆ ที่ทำทั้ง 2 อย่างนั่นแหละ แถมยังจะมาเป็นระลอกคลื่นแบบ 2 จังหวะ

10. เมื่ออีกฝ่ายอยากลิ้มลองแล้ว

ก็จงตามใจเขา! แต่ให้เข้าไปแค่ส่วนปลายแล้วเอาออก ทำอย่างนี้ประมาณสองสามครั้งก่อนการสอดใส่ การทำให้อีกฝ่ายได้ลุ้นได้พะวงเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยเพิ่มความสุขสม เหมือนที่สิ่งกำลังรอคอยอยู่ได้รับการเติมเต็มเสียที…

ที่มา – FHM Thailand
www.fhm.in.th

ท้องอืดบ่อยแก้ไม่ยาก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/592321

โดย Women’s Health 21 มี.ค. 2559 16:01

 

สาวๆ หลายคนชอบกินสลัดเป็นมื้อหลักของวัน ยิ่งผักเยอะเต็มจานจะรู้สึกฟินมาก ผักบางชนิดดีต่อเราก็จริง แต่ถ้ากินมากเกินไปจะสะสมเป็นก๊าซในลำไส้ใหญ่ ทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอบ่อยจนความสวยหายหมด หากไม่อยากมีอาการแบบนี้ ต้องปรับการกินผักให้พอดี แต่ถ้าเป็นบ่อยจนรำคาญ แก้ด้วยสูตรน้ำสมุนไพรง่ายๆ จะสบายตัวขึ้นเยอะ

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าผักหรือธัญพืชที่มีใยอาหารและแป้งมาก เช่น กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ บร็อกโคลี หอมหัวใหญ่ ถั่ว หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโอ๊ต เป็นต้น เมื่อเรากินเกินลิมิต ลำไส้เล็กมักดูดซึมไม่หมด ส่วนที่เหลือจะถูกส่งไปยังลำไส้ใหญ่ และหมักจนเกิดก๊าซ คนที่ชอบดื่มน้ำอัดลม เบียร์ โซดา ก็อยู่ในกลุ่มนี้ คุณควรบริโภคให้น้อยลงและเคี้ยวอาหารให้ละเอียดจะบรรเทาอาการได้

ลูกพีชหรือลูกท้อ : เต็มไปด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก เบต้าแคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส สารอาหารเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดลำไส้เล็กและใหญ่

ขิง : ออกฤทธิ์อุ่น ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความหนาว ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ เจริญอาหาร แก้ไข้ แก้หวัด

น้ำแร่ : เป็นน้ำสะอาดจากธรรมชาติ มีแร่ธาตุสำคัญเสริมภูมิคุ้มกัน สร้างสมดุลในร่างกาย

น้ำสมุนไพรช่วยขับลม: สูตรลูกพีชและขิง

ส่วนผสม: ลูกพีชหรือลูกท้อ ขิง น้ำแร่

วิธีทำ
1/ หั่นลูกพีชหยาบๆ ทุบรากขิงพอแตกแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
2/ นำส่วนผสมทั้งสองชนิดไปสกัดเอาแต่น้ำด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ แล้วผสมน้ำแร่ในปริมาณพอดีๆ จากนั้นยกซดได้เลย ถ้าอยากจะเพิ่มความสดชื่น เติมน้ำแข็งป่นลงไปด้วยก็ไม่ผิดกติกา

ที่มา – Women’s Health Thailand
www.womenshealththailand.com

คุณยายเผยเลี้ยงหลานชนะประกวด ต้องตามสมัยหาข้อมูลความรู้ทางเน็ต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/593578

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 21 มี.ค. 2559 05:15

 

ม.ร.ว.ปรียางค์ศรี วัฒนคุณ มาเป็นประธานประกาศผู้ชนะการประกวดสุขภาพเด็ก.

กระตุ้นพ่อแม่ให้ใส่ใจเลี้ยงดูบุตรหลานอย่างถูกต้อง เพื่อให้มีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ ฝ่ายกุมารเวรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้จัดประกวดสุขภาพเด็ก ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งในงานกาชาด โดยปีนี้นับเป็นครั้งที่ 63 และได้ประกาศผลผู้ชนะประกวดเมื่อเร็วๆ นี้ โดยมี ม.ร.ว.ปรียางค์ศรี วัฒนคุณ ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย ฝ่ายการจัดหารายได้ มาเป็นประธาน ที่ตึก ภปร. ชั้น 18 รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

การประกวดปีนี้แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ อายุตั้งแต่ 1 ขวบ-2 ขวบ 6 เดือน และอายุมากกว่า 2 ขวบ 6 เดือน-6 ขวบ ซึ่งมีเด็กเข้าร่วมการประกวดทั้งสิ้น 232 คน ในการคัดเลือกเด็กๆ ทุกคนจะได้รับการตรวจสุขภาพร่างกายจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อดูความสมบูรณ์ของเด็กทั้งร่างกายและจิตใจ รวมทั้ง พัฒนาการเจริญเติบโต โดยพิจารณาจากสมุดตรวจสุขภาพประจำตัว ควบคู่กับการพิจารณาองค์ประกอบภายนอก อาทิ การดูแลเอาใจใส่ของพ่อแม่ เป็นต้น ซึ่งผู้ชนะการประกวดจะได้เข้ารับประทานรางวัลจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ในงานกาชาด ประจำปี 2559 ในวันที่ 31 มี.ค. ศกนี้ ที่สนามเสือป่า

คุณยายกษิรา วงศชัยสิน พาน้องนณัท มารับรางวัล ที่ 1 ประเภทอายุ 1 ขวบ–2 ขวบ 6 เดือน.

สำหรับผู้ได้รับรางวัลที่ 1 ประเภทอายุ 1 ขวบ-2 ขวบ 6 เดือน ได้แก่ น้องนณัท วงศชัยสิน โดย คุณยายกษิรา วงศชัยสิน ผู้ให้การเลี้ยงดูหลานกล่าวว่า เนื่องจากคุณแม่เขาทำงาน ตนเลยเป็นผู้เลี้ยงหลานเอง ก็จะพยายามพัฒนาสมองของหลานทุกอย่าง โดยต้องตามสมัยในการหาข้อมูลความรู้ทางอินเตอร์เน็ต และจะพยายามดูแลสุขภาพ อาหารการกินให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละช่วงวัยด้วย ส่วนผู้ที่คว้ารางวัลที่ 1 ประเภทอายุ 2 ขวบ 6 เดือน- 6 ขวบ คือ น้องณัฐกาญ กาญจนวราพงศ์ ได้รับการเปิดเผยจาก คุณแม่วิภาพร อัศวธนัน บอกว่าตนมีลูก 3 คน น้องณัฐกาญ เป็นลูกสาวคนสุดท้อง การเลี้ยงดูของตนจะเน้นในเรื่องการให้เวลากับลูกมากที่สุด และพยายามพัฒนาเขาให้เต็มที่ทั้งร่างกายและสมอง รวมทั้งไม่ปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพัง ซึ่งถ้าตนไม่ว่าง คุณพ่อเขาก็ต้องมาช่วยดู การเลี้ยงลูกยุคนี้มีสื่อมากมาย มีทั้งที่เป็นประโยชน์และเป็นอันตราย เราก็ต้องเลือกเอามาใช้ให้ถูกต้อง.

กวี กาญจนวราพงศ์–วิภาพร อัศวธนัน และน้องณัฐกาญ ลูกสาวที่ชนะรางวัลที่ 1 ประเภทอายุ 2 ขวบ 6 เดือน–6 ขวบ.

พัฒนาลูกให้ฉลาดทางสังคม เพื่อโตเป็นคนมีน้ำใจไม่ก้าวร้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/593584

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 21 มี.ค. 2559 05:01

 

ครอบครัว “วันทิตา ลิ่วเฉลิมวงศ์” และ “วิมลภัทร์ เปี่ยมพงศ์สานต์”.

ในยุคที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความฉลาดที่เกิดจากพัฒนาด้านสมอง (IQ) และอารมณ์ (EQ) คงไม่เพียงพอ หากลูกน้อยไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ดี ดังนั้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคุณแม่ยุคใหม่ ในการปกป้องลูกน้อยให้พร้อมสู่โลกกว้างได้อย่างมั่นใจ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด โดย นมผงตราหมี แอดวานซ์ โพรเท็กซ์ชัน สูตร 3 จึงจัด “แคมป์ผู้นำตัวน้อย หัวใจยิ่งใหญ่” ขึ้น ด้วยการสร้างสรรค์ดินแดน 4 มิติสุดท้าทาย เพื่อเสริมสร้างศักยภาพความฉลาดทางสังคม (Social Quotient: SQ) โดยเติบโตเป็นเด็กยุคใหม่ที่ประสบความสำเร็จและมีความสุข ซึ่งมีคุณแม่คนดัง อาทิ วิมลภัทร์ เปี่ยมพงศ์สานต์, วันทิตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ พาลูกน้อยเข้าร่วมกิจกรรม พร้อมเรียนรู้เทคนิคการพัฒนาทักษะทางสังคมให้ลูกรักจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

นพ.พงษ์ศักดิ์

นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล กล่าวว่า ปัจจุบันแนวคิดในการให้ความสำคัญกับความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) อารมณ์ (EQ) ถูกลดทอนลงจากความคาดหวังของพ่อแม่ยุคใหม่ เมื่อมีผลวิจัยล่าสุดที่ระบุว่า กว่า 96% ของพ่อแม่ในยุคนี้หันมาให้ความสำคัญกับการอยู่รอดในสังคมอย่างมีความสุขของลูก มากกว่าการสร้างอัจฉริยภาพทางสติ ปัญญาและอารมณ์ให้กับลูก นั่นหมาย ความว่า พ่อแม่อยากให้ลูกมีสุขภาพจิตดี มีน้ำใจ ไม่ก้าวร้าว สามารถปรับตัวอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ซึ่งทั้งหมดนี้ คือ ความฉลาดทางสังคม ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สนับสนุนให้ลูกน้อยประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่มีความสุข โดยพ่อแม่สามารถพัฒนาทักษะนี้ได้ตั้งแต่ลูกเกิด ด้วยการเปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได้คิดและทำกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

นอกจากการเสริมสร้างพื้นฐานร่างกายให้แข็งแรงแล้ว การดื่มนมที่มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์อย่าง แอล แรม โนซัส (L–RHAMNOSUS) ที่มีผลวิจัยมากที่สุดสายพันธุ์หนึ่ง และได้รับการยอมรับทางการแพทย์ว่า โดดเด่นด้วย 3 พลังการปกป้อง ช่วยลดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อย จะทำให้คุณพ่อคุณแม่มั่นใจที่จะให้เขาออกไปสัมผัสประสบการณ์ในโลกกว้าง เพื่อเรียนรู้การปรับตัวเข้ากับคนรอบข้าง พัฒนาความฉลาดทางสังคม พร้อมสู่การเป็นผู้นำตัวน้อยหัวใจยิ่งใหญ่ได้ในที่สุด.

จูบกับใคร จูบทำไม จูบท่าไหน แล้วยังไง (1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/593168

โดย หมอดื้อ 20 มี.ค. 2559 05:01

 

ว่าแล้ว หมอกะว่าผู้อ่านหลังจากพลิกๆหน้าหนังสือพิมพ์ไปเรื่อยๆ ต้องหยุดมาที่เรื่องนี้แน่ สมัยหมอเด็กๆเคยได้ยินเพลงชื่อนี้…จูบเบาๆเท่านั้นมันทำฉันสั่นไปถึงหัวใจ เนื้อเพลงผิดถูกไปบ้างขออภัยครับ

แต่หลังจากผ่านร้อน-ฝน-หนาว มามากฤดู เริ่มตระหนักความสำคัญของ “จูบ” ขึ้นเรื่อยๆ และมาชอบใจเมื่อได้อ่านบทความของ Chip Walter ใน Scientific American Mind ฉบับพิเศษปลายปี 2009 ทั้งเล่มชื่อ “Sexual Brain” ซึ่งเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ความรู้สึกตอบสนองทางเพศ กามารมณ์ ความผูกพันระหว่าง ชาย-หญิง หรือเพศเดียวกัน ในแง่ของสมอง

“จูบ” นั้นมีหลายแบบ เกิดขึ้นได้ในหลายกาลเวลา กลางวันแสกๆหรือในห้องมืดมิด มีจุดมุ่งหมาย หรือนำไปสู่ผลตามต่างๆกัน (ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม) การจูบไม่ว่าจะหนัก เบา นุ่มนวล หิวกระหาย ตะกรุมตะกราม จูบแบบอายๆ รักใคร่อ่อนโยน มีเพื่อสนองความต้องการ ความอยาก (Hungers)

ก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางสื่อประสาทและเคมี ซึ่งปลุกเร้าระบบสัมผัส ความตื่นเต้นทางเพศ ความรู้สึกผูกพัน เกิดแรงผลักดัน หรือเกิดความปีติอิ่มเอมใจ

และแน่นอนการตอบสนองทางกาย ทั้งในระดับที่ควบคุมได้และไม่ได้ทางระบบประสาทอัตโนมัติ

อย่างไรก็ตาม จูบครั้งแรกอาจเป็นตัวตัดสินได้เลยว่า คนนี้ใช่เลย หรือไม่ก็เท่านี้จบกัน ทั้งนี้เนื่องจากความเชื่อจากผลการวิจัยระยะหลัง เช่น จากนักจิตวิทยาวิวัฒน์ (Evolutionary Psychologist) Gordon G. Gallup, Jr. จาก University at Albany, State University of New York ในการให้สัมภาษณ์กับ BBC เมื่อเดือนกันยายน 2007 ว่า “เมื่อริมฝีปากแนบสนิทนั้นเป็นการเริ่มต้นของการสื่อสารที่สลับซับซ้อน ทั้งรสสัมผัส กลิ่น และการปรับลักษณะท่าทาง (น่าจะอุปมาเหมือนเวลาเต้นรำกันนะครับ) ดิ่งลึกลงไปจนถึงกลไกใต้จิตสำนึก จนทำให้เกิดความตั้งใจหรือตัดสินใจที่จะสานสัมพันธ์ต่อหรือไม่

นักวิทยาศาสตร์บางคนยังเชื่อว่าพฤติกรรมของการจูบอาจจะยังบ่งบอกต่อไปลึกล้ำว่าเต็มใจที่จะมีลูกด้วยกัน หรือแม้กระทั่งรับที่จะแบกภาระในการเลี้ยงดูลูกในอนาคต

กระบวนการวิวัฒน์ของจูบนั้น นักสัตววิทยาของอังกฤษ Desmond Morris และ Chip Walter ได้เสนอว่า กลไกของจูบนั้นน่าจะเริ่มกระบวนท่ามาตั้งแต่ตอนที่สัตว์ประเภทลิง

เช่น ชิมแปนซีป้อนอาหารให้ลูกตัวน้อย จากการที่เคี้ยวบดอาหารในปากก่อนที่จะประกบปากกับลูกส่งผ่านอาหาร และแม้แต่มนุษย์ในยามหิวโหยตั้งแต่โบราณกาลมีการปลอบประโลมลูกน้อยที่อดอยาก โดยการจูบและเป็นการแสดงความรักความห่วงใย จนมีการพัฒนาที่ดุเดือดยิ่งขึ้นในเวลาต่อมา

สารฟีโรโมน (Pheromones) ที่เรารู้จักกันดีในสัตว์และพืชหรือแม้แต่ในแมลง ซึ่งทำหน้าที่เป็นสื่อในการสานสัมพันธ์ (Sexual Attraction) หรือในการบ่งบอกแหล่งอาหาร อาจเป็นอีกกลไกหนึ่งในการสานสัมพันธ์ของการจูบ

อย่างไรก็ตาม ยังเป็นที่ถกเถียงว่า คนจะมีตัวรับจับสัญญาณจากฟีโรโมน เหมือนกับหนูและหมูหรือไม่ ตัวจับฟีโรโมน (Vomeronasal Organ) ในสัตว์นั้นอยู่ในตำแหน่งระหว่างจมูกกับปาก นักชีววิทยา Sarah Woodley จาก Duquesne University ตั้งข้อสังเกตว่าในคนน่าจะมีอวัยวะในการรับฟีโรโมนในจมูกเช่นกัน การสานสัมพันธ์โดยผ่านทางชีวเคมี เกิดขึ้นได้จริง

ดังเช่น สาวๆขณะที่อยู่ในรอบประจำเดือนระยะหนึ่งมักจะถูกดึงดูดเข้ากับกลิ่นเหงื่อของหนุ่ม ที่มียีนของระบบภูมิคุ้มกันที่เข้ากันได้

ดังนั้น ฟีโรโมนในคนซึ่งอาจมี Androstenol ถูกขับออกมากับเหงื่อในผู้ชาย และทำให้เกิดความตื่นตัวทางเพศในผู้หญิง และฮอร์โมนในช่องคลอดของผู้หญิงชื่อ Copulins ก็สามารถเพิ่มระดับฮอร์โมน Testosterone ในผู้ชายและกระตุ้นความอยากกระหายทางเพศ

ถ้าฟีโรโมนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจูบจริง การจูบก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพของฟีโรโมนให้ยิ่งออกฤทธิ์หนักขึ้นไป และเข้ากระบวนการ เช่น ในแมลง และสัตว์อื่นๆที่นำไปสู่การร่วมรัก แพร่พันธุ์ในที่สุด

สำหรับเคมีต้องกันทางประสาทวิทยาศาสตร์ การจูบนั้นจุดกลไกของประสาทตั้งแต่เมื่อริมฝีปากใกล้จะประกบกัน โดยได้รับกลิ่นและเมื่อประกบกันแล้ว ผ่านทางประสาทสัมผัส ก่อนที่จะจุดชนวนทางอารมณ์ และกายภาพผ่านทางเส้นประสาท

สมองของคนมีเส้นประสาท 12 เส้น มีอย่างน้อย 5–6 เส้นที่ถูกกระตุ้นในการจูบ

ตั้งแต่เริ่มต้นคือเส้นประสาทเบอร์ 1 (Olfactory nerve) ใช้ในการรับดมกลิ่น เบอร์ 5 (Trigeminal nerve) ในการรับสัมผัสเนื้ออุ่นเนื้อเย็นจากริมฝีปาก ลิ้น กระพุ้งแก้ม และกล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหวคางและขากรรไกร เบอร์ 7 (Facial nerve) ควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าและแน่นอนริมฝีปาก เบอร์ 9 และ 10 (Glossopharyneal และ Vagus nerve) ควบคุมการส่งเสียง (อือ อา เป็นต้น) เบอร์ 12 (Hypoglossal nerve) ควบคุมลิ้น…

ต้องอ่านตอนต่อไปแล้วครับ จริงหรือ จูบครั้งหนึ่งใช้เส้นประสาทสมองแค่ 5–6 เส้นเอง และยังต้องเลือกท่าอีก.

หมอดื้อ