โรคเอสแอลอี (ตอนที่ 3) การวินิจฉัยและการรักษา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/588906

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 18 มี.ค. 2559 05:30

 

หลายคนมีความกังวลเกี่ยวกับอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ไม่แน่ใจว่า เป็นอาการของโรคเอสแอลอีหรือไม่ และจะมีแนวทางในการรักษาอย่างไร มาศึกษาและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน

การพยากรณ์โรค

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการข้างต้นร่วมกับอาการเฉพาะโรค และการ ตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด เอกซเรย์ บางรายอาจต้องตัดเนื้อเยื่อไปตรวจเพื่อประกอบการวินิจฉัย

การรักษา

เนื่องจากโรคนี้มีความรุนแรงที่แตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย การ รักษาจึงแตกต่างกันตามอาการของโรค บางรายให้เพียงยาแก้ปวดก็ดีขึ้น

การรักษาจะเน้นการควบคุมการกำเริบของโรคให้สงบโดยเร็ว และรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อมิให้โรคกำเริบอีก

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงขึ้นแพทย์จะให้ยาสเตียรอยด์ เช่น เพ รดนิโซโลน ตั้งแต่ขนาดต่ำถึงขนาดสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจเป็น สัปดาห์หรือหลายเดือนขึ้นอยู่กับความรุนแรงและอวัยวะที่มีการอักเสบ บางรายอาจต้องให้ยาอื่นร่วมด้วย เช่น ยารักษามะเร็งบางชนิด ยากดภูมิคุ้มกัน บางรายอาจจำเป็นต้องใช้วิธีการเปลี่ยนถ่ายเลือดในการรักษา ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระบบอวัยวะที่มีการอักเสบ

ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ผู้ป่วยเอส แอล อี มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นเพราะมี ยาปฏิชีวะและยาลดความดันโลหิตที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยมีความรู้ความเข้าใจในการดูแลโรคนี้เพิ่มมากขึ้น

สิ่งที่สามารถปฏิบัติได้เบื้องต้น คือการเฝ้าสังเกตอาการต่างๆ ที่เกิด ขึ้นกับร่างกายของเราและคนรอบข้าง หากมีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ หรือไปทำการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อให้เกิดความมั่นใจและคลายกังวล ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานเพราะอาจจะสายเกินแก้ไข

นายแพทย์กิตติ โตเต็มโชคชัยการ
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

หยุด! ตามใจปากจนถึงเวลานอน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/588320

โดย Women’s Health 17 มี.ค. 2559 16:01

 

คุณคงไม่เขมือบมื้อเย็นสองครั้งในวันเดียวกันหรอก…ใช่มั้ย แต่ก็ไม่แน่เสมอไป ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเท็กซัสพบว่า คนส่วนใหญ่ใช้พลังงานน้อยกว่าปกติหลังมื้อเย็น 42 เปอร์เซ็นต์ ส่วนรายงานจากวารสาร The America Medical Association เขียนไว้ว่า คนเป็นโรคเสพติดอาหารตอนกลางคืน มักรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงถึง 56 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานที่ใช้ในแต่ละวันหลังสองทุ่มไปแล้ว ถามจริง คุณกินมื้อเช้าคำสองคำอย่างราชินี และกินมื้อเย็นมูมมามอย่างยาจกครั้งสุดท้ายเมื่อไรกัน

พฤติกรรมการกินเกินขนาดช่วงกลางคืนอาจไม่ใช่ความผิดของคุณ ถ้าจะโทษต้องโทษวิวัฒนาการของมนุษย์ต่างหาก เพราะมนุษย์ชอบจัดงานรื่นเริงเมื่อตะวันตกดินมาตั้งแต่ยุคหิน ยุคนั้นพวกเขาต้องใช้พลังงานจนดึกดื่น นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า ช่วงสองทุ่มวงจรความหิวของร่างกายจะเกิดสูงสุด นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมมื้อเย็นเราถึงรู้สึกอยากอาหารมาก แต่กลับพึงพอใจในรสชาติน้อยลง ส่งผลให้เราสวาปามมากขึ้นเรื่อยๆ ดร.โยนี ฟรีดอฟ (Yoni Freedhoff) เจ้าของหนังสือเรื่อง The Diet Fix: Why Diests Fail and How to Make Yours Work อธิบายว่า “ปัญหาเกิดจากนิสัยชอบเข้าสังคมที่สืบทอดกันมาส่งผลต่อพฤติกรรมกินอาหารช่วงกลางวัน ถ้าเมื่อคืนนี้คุณเพิ่งจัดเต็มพิซซ่าถาดใหญ่เพิ่มชีส จะส่งผลให้ความอยากอาหารตอนเช้ายืดเวลาออกไป แม้กระทั่งคนที่ไม่ควบคุมอาหารก็ไม่วายกินอาหารระหว่างวันน้อย แต่ดันจัดหนักช่วงกลางคืน พอเช้าเลยไม่อยากกินอะไร ความเครียดสะสมและอยากกินขนมให้พลังงานสูง

ไม่ใช่แค่คนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานเท่านั้นที่ต้องคำนึงว่าจะกินอะไรเข้าไป แต่ต้องดูเวลาด้วย ยิ่งคุณหยิบอาหารเข้าปากดึกมากเท่าไหร่ น้ำหนักจะขึ้นง่ายมากเท่านั้น แถมยังเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน หัวใจ และโรคซึมเศร้าอีกด้วย

อ่านสัญญาณอันตราย

วารสารโรคอ้วนและโภชนาการเน้นว่า การกินอาหารยามดึกทำให้น้ำหนักเพิ่มและโยงไปสู่โรคอ้วน เพราะช่วงเย็นคนเราไม่ค่อยทำกิจกรรมใดๆ การเผาผลาญแคลอรี่ส่วนเกินจึงน้อยลง

นอกจากนี้การกินตอนกลางคืนยังลดการผลิตสารเคมีสำคัญสองชนิด คือ เมลาโทนินและเลปติน สารชนิดแรกคือฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกง่วง ยิ่งมีฮอร์โมนชนิดนี้น้อย ร่างกายยิ่งรู้สึกตื่นตัว ขณะเดียวกัน เลปตินหรือฮอร์โมนความอิ่มเริ่มถดถอย นั่นหมายความว่า สมองไม่ได้รับสารที่ทำให้รู้สึกอิ่ม พูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งกินเยอะ ยิ่งนอนไม่หลับนั่นเอง เมื่อคุณนอนน้อยก็จะกินขนมจุบจิบมากขึ้น วงจรอุบาทว์นี้จะเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า นำไปสู่ปัญหาด้านการนอนหลับ เช่น นอนไม่พอ เป็นโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า หรือความสามารถในการจดจำน้อยลง

บางครั้งสัญญาณอันตรายของการกินตอนกลางคืนก็ส่งผลกระทบต่อระดับอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยเซลล์ดึงน้ำตาลในกระแสเลือดไปใช้ หนังสือชื่อ Current Biology รายงานว่า เมื่อตะวันตกดิน ระบบการทำงานต่างๆ ในร่างกายเริ่มช้าลง เตรียมพร้อมพักผ่อน ทำให้เซลล์ในร่างกายต่อต้านฮอร์โมนอินซูลิน ดังนั้นหากเพิ่งวางมือจากอาหารมื้อเย็นชุดใหญ่ จงรู้ไว้ว่าคุณอาจมีแนวโน้มน้ำตาลในเลือดสูง (ระยะยาวอาจเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน) ซ้ำร้ายร่างกายจะสะสมน้ำตาลส่วนเกินในรูปไขมัน ยิ่งมีเยอะ ยิ่งเพิ่มโอกาสเกิดภาวะดื้ออินซูลินเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน รวมทั้งโรคหัวใจด้วย

ปรับสมดุลการกินและนอน

ขั้นแรก อย่าเพิ่งหักดิบเลิกกินทุกอย่างหลัง 2 ทุ่ม ระหว่างวันควรกินอาหารโปรตีนสูง การปรับสมดุลอาหารช่วยรีโปรแกรมร่างกาย ความอยากอาหารตอนกลางคืนก็เลยลดลงตามไปด้วย

คริสเต็น เบ็ก (Kristen Beck) บอกว่า โปรตีนเป็นสารอาหารชนิดเดียวที่บอกสมองให้รู้สึกอิ่ม ดังนั้นควรเพิ่มโปรตีนในมื้ออาหารหรือขนม เพื่อลดค่าดัชนีน้ำตาล (Glycaemic Index) เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสมดุล คุณจะไม่ค่อยอยากกินของหวานหรืออาหารไขมันสูง

คริสเต็นแนะนำให้เริ่มต้นที่มื้อเช้า 300-400 แคลอรี่ ประกอบด้วยโปรตีน 15-20 กรัม (เช่น ไข่ต้ม 2 ฟองกินกับเห็ด ขนมปังโฮลเกรน 1 แผ่น และแอปเปิล 1 ผล) นักวิจัยเผยว่า ถ้ากินมื้อเช้าเยอะ จะลดการกินจุบจิบระหว่างวันได้ ซึ่งให้ผลตรงข้ามกับการกินมื้อดึก

มื้อกลางวันควรกินอาหารให้พลังงานประมาณ 300-400 แคลอรี่ ประกอบด้วย โปรตีน 25 กรัม (ทูน่า 100 กรัม ข้าวซ้อมมือและผัก) หากรู้สึกหิวระหว่างมื้อ เลือกของว่างที่ให้พลังงานน้อยประมาณ 100-200 แคลอรี่ อย่าลืมกินโปรตีน 5 กรัมด้วยล่ะ อย่างเช่น โยเกิร์ต 100 กรัม หรืออัลมอนด์ 30 กรัม)

มื้อเย็นกิน 402 แคลอรี่ โดยมีโปรตีน30 กรัม (สเต็กปลากับสลัดกินคู่กับมันหวาน)

นอกจากการวางแผนการกินแล้ว การเข้านอนแต่หัววันคือวิธีป้องกันที่เวิร์กสุดๆ งานวิจัยของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียพบว่า คนที่เข้านอนหลังเที่ยงคืนจะกินมากถึง 501 แคลอรี่ ข้อมูลนี้อ้างอิงจากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล อ้อ…

แล้วอย่าลืมปิดโทรทัศน์และไอแพดแต่หัวค่ำ เพราะการใช้สมาร์ทโฟนจะกระตุ้นให้หยิบของเข้าปากไม่ยั้ง คุณจะกินมากขึ้นอีก 10%

แม้พวกเราไม่สามารถห้ามตัวเองให้หยุดกินมื้อดึกได้ในทันที ไม่เป็นไรค่ะ ค่อยๆ ควบคุมการกินให้น้อยลงในมื้อเย็นหรือมื้อดึก อีกไม่นานคุณจะเขยิบเข้าใกล้การมีสุขภาพดีทีละนิด

แปลและเรียบเรียงโดย: maemay | ภาพ: Corbis

ที่มา – Women’s Health Thailand
www.womenshealththailand.com

7 เทคนิคลูบไล้ โลมเล้า ด้วยลีลา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/588296

โดย FHM 16 มี.ค. 2559 16:01

 

มูมมามอย่างเมามัน อาจเป็นสัญญาณลับ ดับอารมณ์ของฝ่ายหญิงได้แบบไม่รู้ตัว จงใช้เทคนิคเล้าโลมที่มีชั้นเชิงกว่านั้น ดังต่อไปนี้…

ริมฝีปาก

ผู้หญิงส่วนใหญ่จะจูบกับชายที่ตนรักเท่านั้น ดังนั้นคุณก็ควรจูบเธออย่างดูดดื่ม บรรจงประทับริมฝีปาก และมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอด้วย จะช่วยเพิ่มอารมณ์เร่าร้อนและปฏิกิริยาสนองกลับ!

ศีรษะ

ผู้หญิงมักจะชื่นชอบกับการละเล่นกับเส้นผมของเธออย่างมีความสุข ไม่ว่าจะตัด ดัด สระ ซอย หรือปั่นเส้นผมเล่น! ดังนั้น คุณจงละเล่นกับความอ่อนนุ่มนี้ ด้วยการลูบผม หอม และชมกลิ่นหอมของผมเธอซะ… แล้วคุณจะได้เห็นแววตาของคนรักที่มีความสุขเอามากๆ

ทรวงอก

ผู้ชายส่วนใหญ่ มักจะรีบร้อนจู่โจมที่เนินอกของเธอโดยทันทีที่มีโอกาส! เป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ ว่านั่นจะทำให้เธอมีความสุข ผู้หญิงต้องการเวลาสักระยะก่อน และคุณก็ควรจะค่อยๆ ละเลียดสัมผัสเนินอกของเธออย่างช้าๆ นุ่มนวล และอย่าเพิ่งกระตุ้นยอดถัน ถ้าเธอยังไม่พร้อม

แผ่นหลัง

ไม่จำเป็นต้องให้เธอนอนคว่ำขนาดนั้น เพียงลูบไล้นวดสัมผัสแผ่นหลังลงมาเรื่อยๆ จนถึงบริเวณกระดูกกระเบนเหน็บที่มีรูเล็กๆ ให้เจอ และนวดรูนั้นจนมีความร้อนให้กับผิวหนัง เเล้วใช้ปลายนิ้วลูบเบาๆ ตรงกระดูกสันหลังในขณะที่นวดไปด้วย จะส่งผลให้พลังเพศได้รับการกระตุ้น นอกจากนี้ชาวจีน เชื่อว่า “จุดไต” ที่พบได้บริเวณส่วนล่างด้านขวาเหนือเอวนั้นเป็นแหล่งรวมพลังทางเพศ

บั้นท้าย

ผู้หญิงที่มีก้นที่งอนงาม เธอก็อยากที่จะให้คุณสนใจ ยิ่งสัมผัสจากคนรักด้วยการลูบไล้ไปให้ทั่ว ลำพังแค่ได้เห็นก้นที่งอนงามของเธอ อารมณ์ของคุณก็กระเจิดกระเจิงแล้ว

ท้องน้อย

นับเป็นอีกจุดหนึ่งที่ช่วยเพิ่มระดับความซาบซ่าน ตามศาสตร์แพทย์จีนได้กล่าวว่า ผิวหนังเปลือยเปล่าระหว่างสะดือกับช่วงล่างของท้อง หรือเส้นสยิวนั้น (คล้ายเป็นจุดเดียวกับฝีเย็บบริเวญถุงอัณฑะของฝ่ายชายเลยก็ว่าได้!) จะกระตุ้นเซ็กซ์ได้เป็นอย่างดี ลองนึกดูว่าเวลาที่คุณซุกไซ้บริเวณท้องน้อยของเธอ ร่างของเธอจะเริ่มบิดไปมาด้วยความสุข ไปพร้อมๆ กับความเสียวซ่าน รับรองคืนนี้ยาวไป…

จี-สปอต

การค้นหาและกระตุ้น G-spot ของผู้หญิงนั้น จะอยู่บริเวณผนังด้านบนของช่องคลอด ในขณะที่เธอกำลังนอนหงาย จากนั้นใส่นิ้วชี้หรือนิ้วกลางของคุณเข้าไปในช่องรักให้ลึกเท่าที่จะสามารถเข้าไปถึงได้ แล้วกระดกนิ้วขึ้นในลักษณะของ “ตัว C” ในทำนอง “มานี่ซิจ๊ะ” จนกว่าคุณจะพบพื้นที่ที่หยาบกว่าผนังช่องคลอดส่วนที่เหลือ ถ้าได้รับการกระตุ้นที่ถูกต้องจะนำไปสู่ความรู้สึกสุดยอดได้ไม่ยาก

ที่มา – FHM Thailand
www.fhm.in.th

ไม่เวิร์กอย่างแรง! 4 วิธีไดเอตสุดแย่ เสี่ยงสุขภาพพังติดลบ!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/590725

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 16 มี.ค. 2559 06:05

 

คิดจะไดเอตเพื่อหุ่นสวยเป๊ะก็ดีอยู่หรอกนะ หากแต่เลือกใช้ผิดวิธีมันอาจให้ผลเสียมากกว่าผลดีได้ กองไลฟ์สไตล์ไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสลองพิสูจน์แทบจะทุกวิธีเจ๋งๆ ที่หลายคนการันตีว่าเห็นผลไว จนได้ข้อสรุปว่า 4 วิธีไดเอตต่อไปนี้ล่ะ ไม่เวิร์กสุดๆ และไม่แนะนำให้สาวๆ ทำอย่างแรง ไม่เพียงจะทำให้เกิดเอฟเฟกต์หุ่นเสียตามมา ทว่ายังทำร้ายสุขภาพแบบไม่โอเค บอกได้คำเดียว…มีแต่พังกับพัง !

1. ไดเอตด้วยการเลือกทานอาหาร (ไม่ครบประเภท)
ไม่ว่าจะเป็นไข่ต้ม สลัดผัก ซุปต่างๆ โฮลวีต หรือจำพวกผลไม้ จริงอยู่ที่มันช่วยสาวๆ ลดความอ้วนได้ แต่จะต้องทานอีกสักกี่ถ้วยกี่จานล่ะถึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แป๊บๆ พอหิวอีกก็ทำให้อยากทานโน่นทานนี่จุกจิกตามมา (แล้วเมื่อไรจะผอม?) ดีไม่ดีเมื่อสาวๆ ทานอะไรแบบนี้เป็นประจำทุกวัน ก็อาจทำให้เป็นโรคขาดสารอาหารได้เหมือนกัน ลองคิดดูสิ สาวๆ เน้นย้ำทานแต่อาหารลดความอ้วนอยู่แบบนั้น ทำให้ไม่ได้รับสารอาหารประเภทอื่นเข้าสู่ร่างกายเลย (คนเราต้องการสารอาหารหลากหลายประเภทที่จำเป็นกับร่างกายนะ) แล้วแบบนี้ร่างกายจะได้คุณค่าของสารอาหารครบถ้วนได้อย่างไร อาหารที่สาวๆ ทานมันอาจจะช่วยลดน้ำหนักได้ในระยะเวลาสั้นๆ ทว่า แลกกับการเป็นโรคขาดสารอาหาร สาวๆ ว่าคุ้มกันไหมล่ะ?!

‘อย่า’ เลือกทานแต่เฉพาะอาหารไดเอต

2. ไดเอตด้วยการดีท็อกซ์
เพิ่งทานไปหยกๆ คุณก็คิดจะเอาอาหารออกแล้วหรอ แบบนี้ไม่ดีมั้ง?! ‘ดีท็อกซ์’ คือการล้างเอาสารพิษสะสมออกจากร่างกาย หากแต่คุณหวังใช้วิธีนี้เพื่อรีดน้ำหนัก และกระชับหน้าท้องของคุณให้แบนราบทุกครั้งที่รู้สึกว่าอ้วน/ท้องป่อง มันคงจะเป็นอะไรที่ดูโง่ที่สุด เพราะไม่มีผลทางวิทยาศาสตร์ไหนที่วิเคราะห์ยืนยันออกมาว่าดีจริง และเห็นผลในระยะยาว ยิ่งเมื่อคุณทานแล้วถ่ายออกมาเลย นั่นไม่เพียงจะทำให้คุณกลับมาหิวอีกครั้ง (จนต้องยัดอาหารเข้าไปอีก) ทว่า ร่างกายคุณยังไม่ได้ดูดซึมสารอาหารเอาไปใช้อย่างเต็มที่ด้วย ทางที่ดีเราแนะนำว่า ปล่อยให้มันเป็นไปตามกระบวนการทำงานของร่างกายจะดีกว่านะ ถ้าคุณอยากให้หุ่นสวยเป๊ะจริงๆ ก็แค่ควบคุมอาหารให้น้อยลง และเน้นเบิร์นด้วยการออกกำลังกายแทน

เน้นเบิร์นด้วยการออกกำลังกายแทน

3. ไดเอตด้วยยามหัศจรรย์

สาวๆ สมัยนี้ชอบใช้สารพัดตัวช่วยเห็นผลไว แต่หารู้ไม่ว่า จริงๆ แล้วมันไม่มียาตัวไหนหรอกที่สามารถช่วยลดความอ้วน หรือลดหน้าท้องได้ในระยะยาว โดยที่ไม่มีผลข้างเคียงกลับมา บางคนอาจมีอาการโยโย่เอฟเฟกต์ หุ่นดูอวบขึ้นบ้าง ใจสั่น พ่วงด้วยอาการหน้ามืด วิงเวียนตามมาบ้าง แต่ก็นั่นแหละสาวๆ มักชอบทางลัดที่เห็นผลเร็วเสมอ ยิ่งบางคนทานยาลดความอ้วนเสริมไปกับการลดน้ำหนักด้วย (ทั้งทานน้อย ทั้งเลือกทาน) ก็อาจทำให้ไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เราก็ได้แต่เตือนว่า ระวังสุขภาพจะเสียเอาง่ายๆ และได้สารอาหารไม่ครบหมู่เอานะ ทางที่ดีหันมาทานอาหารที่มีประโยชน์ และมีกากใยช่วยเรื่องขับถ่ายมากๆ จะดีกว่า

ไม่มียาลดอ้วนตัวไหน ไม่มีเอฟเฟกต์ตามมา…

4. ไดเอตด้วยการอดอาหาร
ทำนองเดียวกันกับข้อหนึ่งแต่อาจจะเลวร้ายกว่า เพราะสาวๆ หลายคนคิดว่า การอดอาหารเป็นหนึ่งวิธีที่จะช่วยลดน้ำหนักได้ไว และกำจัดหน้าท้องไปได้อย่างรวดเร็ว แต่จริงๆ นอกจากมันจะไม่เกิดประโยชน์แล้ว มันยังทำให้คุณกลายเป็นโรคขาดสารอาหาร ตลอดจนระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานผิดปกติ ซึ่งเมื่อไหร่ที่คุณเลิกอดอาหาร และหันมาทานเป็นปกติ มันก็จะส่งผลให้ระบบเผาผลาญแปรปรวนจนเกิดโยโย่เอฟเฟกต์ กลับมาอวบอ้วนอีกครั้ง ฉะนั้นแทนที่คุณจะอดอาหาร เปลี่ยนเป็น ‘การคุมอาหาร’ ทานแต่น้อย และทานแต่อาหารที่มีประโยชน์แทน น่าจะเวิร์กกว่ากันเยอะนะ!

3 เรื่องเซ็กซ์ ที่ทำเราหงายเงิบ แบบนี้ก็มีด้วยเหวยยยย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/586155

โดย Cleo Thailand 15 มี.ค. 2559 16:01

 

ถึงจะโปรเรื่องสุดสยิวกิ่วกิ๊วขนาดไหน ก็ต้องมีบ้างแหละ ที่ความเชื่อมโยงของร่างกายกับจิตใจมันดูยังไม่คลิกกัน มันงงๆ คือเรื่องเซ็กซ์นี่ บางทีก็เหมือนคำถามโลกแตก ถามไปเหอะ หาคำตอบมาให้ชัวร์ๆ ไม่ได้หรอก เอาเป็นว่า อย่างน้อย ดร.เจส โอเรลลี่ ผู้เชี่ยวชาญและผู้เขียนหนังสือ The New Sex Bible ก็พอมีเหตุผลคลายความสงสัยให้เราได้บ้าง

FAKE-SEX-SOUND

ก็เหมือนการเฟคออกัสซั่มนั่นแหละ จำไว้ว่า ถ้าเราแกล้งทำเสียงให้ดูมีอารมณ์ระหว่างมีเซ็กซ์ มันจะไม่แฮปปี้ ไม่ฟินหรอกนะ คือถ้าพยายามทำเสียงให้คิดว่าตัวเองต้องเซ็กซี่ที่สุด หรือทำเสียงตามหนังเอ็กซ์ที่เพิ่งดูไป เราจะฟินยาก เพราะเสียงของเซ็กซ์ที่ทำให้ฟิน จริงๆ แล้วมันเป็นเสียงที่ฟังดูตลกมาก!

เจ็บซี้ด ก็ฟินได้

จะกัด, ดึงผมมวยเราแรงๆ, ตีก้นดังๆ สาวหวานอาจฟังแล้วดูโหดร้าย แต่ขณะที่เรากำลังจะมีความสุขซ่านแล้วเจอผู้ชายทำแบบนี้ มันจะเบี่ยงเบนความสนใจเราออกไป แล้วจะทำให้เราพุ่งไปถึงสเตจความฟินได้มากกว่าเดิม!! คือในสมองเรามีพื้นที่คาบเกี่ยวกันอยู่ระหว่างการโดนกระตุ้นด้วยออกัสซั่ม และการโดนกระตุ้นด้วยความเจ็บปวดทางร่างกาย ความเจ็บปวดมันก็จะค่อยๆ ลดลงเมื่อมีเซ็กซ์เอง ไม่ต้องห่วง

*แต่!! เรื่องนี้มันคนละเรื่องกับความเจ็บปวดเพราะเซ็กซ์นะ ถ้าเป็นแบบนั้น คงต้องปรึกษานักบำบัด เพราะอาจมาจากปัญหาทางสุขภาพของเรา หรือเซ็กซ์ของเรายังไม่ใช่ก็ได้ เอาเป็นว่า ลองใช้เจลหล่อลื่นช่วยก่อนเน้อ

ผู้ชายออกัสซั่มได้มากกว่าหนึ่งครั้ง

พวกผู้ชายชอบคิดว่า การหลั่งกับออกัสซั่มมันคือสิ่งเดียวกัน แต่จริงๆ แล้ว เวลาคนเรา หลั่ง ไม่ได้แปลว่าฟินสุดยอดทุกครั้งหรอก แล้วออกัสซั่มก็ไม่ได้แปลตรงตัวว่าได้หลั่งเรียบร้อยด้วย! น้อยคนจะออกัสซั่มได้มากกว่าครั้งนึงโดยที่น้องชายไม่ปวกเปียกก่อน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบหลั่งครั้งเดียวหรือไม่หลั่งเลย งงล่ะสิ! คือเขาบอกว่าผู้ชายต้องฝึกการหลั่งและการออกัสซั่มแยกออกจากกันให้ได้ เริ่มแรกเลยคือต้องคิดว่า เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้!! สเต็ปที่สองก็คือฝึกบ่อยๆ นั่นแหละ (คู่ฝึกก็คือเรา ดีเลย จะได้เห็นพัฒนาการเขาหมด!)

your EAR is sexy !

ทุกส่วนของร่างกายเราเซ็กซี่หมด แต่มีหนึ่งอวัยวะที่คนชอบลืม เว็บไซต์ eSensuality บอกว่า เป็นหนึ่งในอวัยวะที่เซ้นซิทีฟที่สุดดด นั่นคือ ใบหู ของเรา!! เมคเอาต์กับแฟนเมื่อไหร่ พูดจาหวานๆ ใส่หู คลอเคลียตรงนั้นนานๆ เคลิ้มได้ไม่กลับเลย

ที่มา – Cleo Thailand
www.cleothailand.com

สู่ขวัญ เผยเคล็ดลับ! ดูแลตัวเองอย่างไรถึงไม่แก่ ไม่อ้วน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/586147

โดย Vogue Thailand 14 มี.ค. 2559 16:01

 

สู่ขวัญ บูลกุล ผู้หญิงคิดบวก กับแนวคิดดีๆ ที่เราอยากให้คุณได้รู้

24 ชั่วโมงในชีวิตของสู่ขวัญ

พี่ขวัญชอบชีวิตที่ไม่หวือหวา เราตื่นพร้อมลูกไปโรงเรียน ก็ประมาณตี 5 กว่าๆ ถึง 6 โมงเช้า จากนั้นก็วิ่ง ส่วนใหญ่ก็จะวิ่งในฟาร์มเนี่ยแหละ จากนั้นก็กลับมาอาบน้ำสระผม ทานข้าวเช้าเหมือนคนปกติ พี่ขวัญเชื่อว่าการวิ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญของร่างกาย เพราะได้ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี จากนั้นก็จะฝึกนั่งสมาธิก่อนเริ่มต้นวัน เป็นการอยู่กับตัวเอง ได้ปลดปล่อยสิ่งที่เราอึดอัด ทำให้เรานึกคิดอะไรขึ้นมาได้หลายอย่าง เรารู้สึกขอบคุณอะไรสักอย่างที่ทำให้เราได้รู้สึกดีแบบนี้ ณ เวลานี้ “I’m thankful for making me feel this way at this particular moment” พอเสร็จเรียบร้อย ก็ออกไปทำกิจกรรมในแต่ละวันหรือสิ่งที่ต้องทำในวันนั้นตามปกติ

วินัยในการกิน

พี่ขวัญปล่อยให้ตัวเองได้ทานสิ่งที่อยากทาน แต่จะไม่ทานเยอะจนเกินไป เราถือว่าเราต้องปล่อยให้ตัวเองมีความสุขบ้าง แต่ทุกอย่างล้วนอยู่บนกฎแห่งความพอดี เช่นถ้าเมื่อวานเราจัดหนักไป วันนี้ก็ทานเบาหน่อย คือถ้าเราทานเยอะ เราก็ต้องออกกำลังกายเยอะเพื่อเผาผลาญแคลอรีเหล่านั้น มันเหมือนเป็นการเปิดศึกกับร่างกายตัวเองมากเกินไป นอกจากร่างกายต้องหักโหมย่อยอาหารที่กินเข้าไปอย่างหนักหน่วงแล้ว ยังต้องมาโหมออกกำลังกายอีก เพราะฉะนั้นเราจะทานพอรู้รส ต้องมีสติในการกิน

ผลิตภัณฑ์บิวตี้ 3 ชิ้นที่คุณขาดไม่ได้

โฟมล้างหน้า ยังไงก็ขอล้างหน้าให้สะอาดทุกวัน ขาดไม่ได้จริงๆ มอยส์เจอไรเซอร์ทาผิว เป็นคนติดการบำรุงผิวมาก และสุดท้ายขอเป็นที่เขียนคิ้ว ขาดไม่ได้เลย

กลัวแก่ไหม?

เราเป็นชาวพุทธ ถ้าพระพุทธเจ้ายังหลีกเลี่ยงการเกิด แก่ เจ็บตายไม่ได้ แล้วเราเป็นใคร ถึงจะเลี่ยงได้ สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง เราไม่ได้กลัวแก่ แต่พี่ขวัญกังวลว่าสุดท้ายปลายทางของชีวิตจะเป็นอย่างไร เราได้เห็นความร่วงโรยของสังขาร บางคนต้องโดนเจาะคอ มีสาย มีเครื่องช่วยหายใจเต็มไปหมด เราไม่อยากเป็นอย่างนั้น แต่ไม่มีใครรู้ว่าบั้นปลายของชีวิตเราจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นการกังวลถึงมันไปก็ไม่มีประโยชน์ พี่ขวัญจึงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เราดูแลตัวเอง ทานอย่างพอดี ออกกำลังกาย แล้วอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ได้รู้แล้วว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้ว เราไม่เสียดายอะไรทั้งนั้น

หลายคนบอกพี่ขวัญเป็นคนคิดบวก จริงหรือเปล่าคะ?

ไม่รู้เป็นคนคิดบวกรึเปล่า แต่พี่ขวัญจะคิดเฉพาะในสิ่งที่ควรคิด อะไรที่คิดแล้วแย่ คิดแล้วยอมแพ้ ถ้าคิดแล้วไม่มีคำตอบให้กับปัญหา มีแต่แย่ลง จะคิดทำไม เราเลือกวิธีคิดที่ทำให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดีกว่า แต่ถ้าคิดแล้วแก้ปัญหาได้ โอเค คิดไปเลย แต่ถ้าไม่ ก็อย่า

ไอดอลของสู่ขวัญ

พี่ขวัญไม่มีไอดอลนะ คือมันยากมากที่จะรู้ลึกถึงทุกซอกทุกมุมของคนๆ นึง เราชื่นชอบจุดใดจุดหนึ่งของคนหนึ่งคน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เราอาจจะชื่นชมการทำงานของคนๆ นึง แต่เราไม่รู้ว่าเขาดูแลครอบครัวของเขาดีหรือเปล่า เป็นพ่อและสามีที่ดีหรือไม่ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ยกให้คนหนึ่งคนเป็นไอดอล แต่พี่ขวัญจะชอบมองคนรอบๆ ตัว และเรียนรู้จากเขาเป็นเรื่องๆ ไป

แนวคิดในการเลี้ยงลูก

ตอนนี้มีทฤษฎีการเลี้ยงลูกเยอะมาก ซึ่งคุณแม่สมัยใหม่ก็มักจะอยากให้ลูกเป็นเด็กเก่ง เด็กฉลาด แต่พี่ว่าที่สำคัญที่สุดคือสัญชาตญาณความเป็นแม่ เราควรจะใช้หนังสือเป็นเพียงไกด์ไลน์ ว่าอันไหนเหมาะกับลูกเรา อันไหนไม่เหมาะกับลูกเรา ต้องใช้ความเป็นแม่ของเรามาพิจารณาว่าแบบไหนถึงดีที่สุด คนที่เกิดมาหาความสุขได้ง่าย คือถือว่าโชคดี ยิ่งเค้ามีความสุขยากเท่าไร เค้าก็ยิ่งอยู่ยากเท่านั้น พี่อยากเลี้ยงลูกของพี่ให้เขาเป็นเด็กดี โตมาแล้วมีความสุขกับชีวิต ดีกว่าฉลาดแต่ไม่มีเพื่อน ไม่อยากออกไปไหน เป็นทุกข์ แบบนั้นพี่ไม่เอา

คติประจำใจ

ถ้าคิด ทำ และพูดในสิ่งที่ดี ผลมันจะดีเอง เมื่อต้องตัดสินใจ ขอให้เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง ถึงแม้มันจะแย่หรือยากแค่ไหน ไม่ว่าผลมันจะเป็นอย่างไร เราอยู่กับมันได้ เพราะเรารู้ว่าเราเลือกที่จะทำสิ่งที่ดีและถูกต้องที่สุดแล้ว

ติดตามเรื่องราวดีๆ และเคล็ดลับการดูแลตัวเองของ สู่ขวัญ บูลกุล ได้ในนิตยสารโว้ก ฉบับเดือนมีนาคม 2559 และใน www.vogue.co.th ได้ตลอดทั้งเดือนนี้

ที่มา – Vogue Thailand
www.vogue.co.th
www.facebook.com/VogueThailandOfficial

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับ “ออกัสซั่ม” จริงๆ แล้วไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลยซะนิด!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/585134

โดย Cleo Thailand 13 มี.ค. 2559 16:01

 

เขาบอกว่า 3:1 คือสัดส่วนออกัสซั่มระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ก็คือผู้หญิงเราจะออกัสซั่มน้อยกว่าผู้ชายถึงสามเท่านั่นเอง แล้วเขาก็กลับหาว่ามันเป็นเพราะเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน ไม่ก็บอกว่าเราใช้เวลาติดเครื่องนานเกินไปบ้างล่ะ

แต่วันนี้ล่ะ ที่เราจะขอโต้กลับบ้าง เพราะเรื่องนี้ ทริช่า โบโรวิคซ์ นักชีววิทยาโมเลกุล และผู้กำกับหนังอินดี้เรื่อง Science, Sex And The Ladies ที่ตีแผ่ออกัสซั่มของผู้หญิงและได้รางวัลมากมาย เธอขอฟันธงเลยว่า การออกัสซั่มของผู้หญิงน่ะ ไม่ได้เกิดจากผู้ชายเล้ยย

ต้องเข้าใจการออกัสซั่มจริงๆ กันก่อน

โบโรวิคซ์อธิบายว่า กระบวนการออกัสซั่มมันคือแบบนี้ “ขั้นแรกเลยคุณต้องถูกปลุกเร้าหรือเรียกว่า เทิร์นออนกันก่อน ซึ่งแต่ละคนจะต่างกันไป บางคนเทิร์นออนด้วยกลิ่น สัมผัส เสียง หรือสิ่งที่ตาเห็น เมื่อคุณถูกปลุกเร้าแล้ว ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นของร่างกายจะเหมือนกันทุกคน คือเลือดจะถูกส่งไปหล่อเลี้ยงอวัยวะเพศมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นหดเกร็ง เมื่อคลิตอริสถูกกระตุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ออกัสซั่มจะเกิดเวลากล้ามเนื้อที่เกร็งตัวตรงกระดูกเชิงกรานคลายตัวอย่างกะทันหัน การเกร็งตัวจะเกิดขึ้นทุก 0.8 วินาที ประมาณ 3-12 ครั้งโดยประมาณ นี่ล่ะกระบวนการออกัสซั่ม”

นั่นแปลว่าช่องคลอดไม่เกี่ยวล่ะสิ

เรื่องของเรื่องคือช่องคลอดไม่ได้เป็นอวัยวะที่ให้ความสุขสมเรามากมายขนาดนั้น เท่าที่รู้และมีการทดลองมายังไม่เคยมีใครออกัสซั่มได้เพราะช่องคลอดนะ แล้วทำไมเราถึงเข้าใจว่าการที่เขาสอดใส่เจ้ามังกรของเขาเข้าถ้ำของเราคือการถึงออกัสซั่มที่เริดที่สุดล่ะ? เรื่องนี้ต้องโทษซิกมัน ฟรอยด์ นักจิตวิทยาตัวพ่อที่บอกไว้ว่าออกัสซั่มที่เกิดจากคลิตอริสนั้น “เกิดก่อนเวลาอันควร” หลังจากเป็นสาวแล้ว ผู้หญิงควรจะมีออกัสซั่มทางช่องคลอดต่างหาก แต่เอาเข้าจริงมีผู้หญิงจำนวนมากเลยนะที่ไม่สามารถถึงจุดสุดยอดได้จากการสอดใส่ทางช่องคลอด

เราไม่เถียงนะว่าตอนเขาเข้าถ้ำมันก็รู้สึกดีอยู่ โบโรวิคซ์บอกว่า “ผู้หญิงบางคนรู้สึกดีเวลาจีสปอตถูกกระตุ้น การกระตุ้นบริเวณผนังช่องคลอดส่วนล่างสามารถทำให้เกิดการปลุกเร้าทางอารมณ์ได้ค่ะ” ทฤษฎีล่าสุดบอกว่าส่วนด้านในของคลิตอริสถูก “บดขยี้” ในขณะที่เขาสอดใส่และดันเข้าออก ทำให้เกิดความรู้สึกเสียวซ่าน แต่ที่เรารู้ๆ กันก็คือการกระตุ้นคลิตอริสด้วยมือนี่แหละทำให้ออกัสซั่มเจิดสุด โบโรวิคซ์บอกเพิ่มเติมว่า “มันไม่เกี่ยวกับว่าคุณต้องเจอผู้ชายที่ใช่ หรืออวัยวะเพศของผู้ชายที่พอดีหรอกค่ะ เพราะช่องคลอดไม่ใช่อวัยวะที่ทำให้ผู้หญิงเกิดความรู้สึกสุขสมได้”

ที่มา – Cleo Thailand
www.cleothailand.com

ดนตรีและสมอง : ร้องเพลงห่วย….เกิดได้ยังไง? (ตอนที่ 3)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/589769

โดย หมอดื้อ 13 มี.ค. 2559 05:01

 

บทนี้จะถกในประเด็นของ ‘หูทิพย์หรือหูอัจฉริยะ’ หรือ Absolute pitch ที่สามารถบอกจำแนกแยกแยะวิเคราะห์เสียงแม่นยำว่าเป็น ฟ้าประทานหรือผลักดันได้ และประเด็นของการที่มีปูมหลังทางวัฒนธรรม ทางเสียงดนตรีที่หลากหลาย จะมีผลต่อทักษะในการแยกแยะเสียงดนตรีที่ไม่คุ้นเคยหรือไม่

Absolute pitch หรือ Perfect pitch เป็นความสามารถพิเศษที่พบได้เฉพาะในคนบางกลุ่มเท่านั้น หลายๆการศึกษาก่อนหน้านี้รวมถึงบรรดาผู้เชี่ยวชาญในปัจจุบัน เชื่อว่าความสามารถพิเศษดังกล่าวถ่ายทอดทางพันธุกรรมและเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด

อย่างไรก็ตาม มีคนตั้งสมมติฐานว่า การได้รับประสบการณ์เฉพาะบางชนิดอาจมีส่วนบ่งชี้หรือผลักดันให้เกิดการพัฒนาความสามารถที่เรียกว่า absolute pitch ได้ นอกจากนั้น Absolute pitch ยังน่าจะเชื่อมโยงกับความสามารถในการเรียนรู้ในด้านอื่นๆ เช่น ภาษา

ในการศึกษาแรกนั้น เป็นการศึกษาเพื่อตอบว่า Absolute pitch สามารถพัฒนาขึ้นได้จากการฝึกฝนด้านดนตรีหรือไม่ โดยทำการศึกษาคลื่นสมองชนิด Mismatch Negativity ที่เกิดจากการตอบสนองต่อการกระตุ้นด้วยเสียงเปียโน ไวโอลิน และ sine tone ทั้งในช่วงก่อนและหลังการฝึกซ้อมดนตรีในกลุ่มเด็กตัวอย่างที่ลงทะเบียนเรียนวิชาดนตรี

ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า มีการเพิ่มขึ้นของคลื่นสมองชนิด Mismatch Negativity อย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลังการฝึกซ้อมดนตรีเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการฝึกซ้อมดนตรี

นอกจากนี้ การเล่นดนตรีจะมีความแม่นยำของตัวโน้ตมากขึ้นหลังจากการฝึกซ้อม ซึ่งความแม่นยำที่เพิ่มขึ้นนี้ยังสัมพันธ์กับคลื่นสมองชนิด MMN ที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย และยังพบว่าเด็กในกลุ่มตัวอย่างบางคนซึ่งไม่มีความสามารถพิเศษด้าน Absolute pitch มาก่อนนั้นมีความสามารถในด้านดนตรีเทียบเท่ากับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ Absolute pitch หลังจากได้รับการเรียนและฝึกซ้อม เป็นเครื่องแสดงว่าหูอัจฉริยะควรจะฝึกฝนได้

สำหรับการศึกษาที่สองนั้น เป็นการศึกษาในแง่ประสาทกายวิภาคเพื่อเปรียบเทียบปริมาณสายใยประสาท (fiber tracts) ในสมองของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักดนตรีที่มีความสามารถพิเศษ absolute pitch นักดนตรีทั่วไป และคนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นนักดนตรี

จากผลการศึกษา พบว่า ในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักดนตรีที่มีความสามารถพิเศษ absolute pitch มีการเชื่อมโยงของ fiber tracts ในบริเวณของสมองส่วน temporoparietal ที่แน่นหนามากกว่าในกลุ่มตัวอย่างอื่นๆ นอกจากนี้ fiber tracts ที่หนาแน่นเช่นนี้สามารถพบได้เฉพาะในสมองซีกซ้าย (left hemisphere) เท่านั้น

ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวสอดคล้องไปในทางเดียวกันกับสมมติฐานที่ว่า absolute pitch นั้นเป็นกระบวนการพิเศษของสมองซีกซ้ายที่เกิดในบริเวณใกล้เคียงกับเปลือกสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการได้ยิน และอาจอนุมานเกี่ยวโยงไปถึงทักษะในการเรียน และใช้ภาษา

ยังมีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักดนตรีแม้ไม่ต้องมีหูทิพย์นั้น มีความสามารถในการเรียนรู้ด้านภาษาใหม่ๆได้ดีกว่ากลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนทั่วไป เมื่อทำการศึกษาการทำงานของสมองด้วยเครื่อง fMRI พบว่าในกลุ่มตัวอย่างที่มีความสามารถในการเรียนรู้ด้านภาษาดีกว่านั้น มีการทำงานของสมองในส่วนที่เกี่ยวกับการได้ยิน หรือ auditory cortex มากกว่า ในขณะที่ในกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ผ่านเกณฑ์การทดสอบในการเรียนรู้ภาษาใหม่นั้นกลับพบว่ามีการทำงานของสมองส่วน frontal area มากกว่า

ความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมมีผลต่อศักยภาพทางสมองและการเรียนรู้ของผู้คนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลที่แตกต่าง โดยคนที่มีพื้นเพหนึ่งมักจะมีแนวโน้มคุ้นชินกับภาษาหรือสำเนียงของดนตรีและภาษาของท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งข้อสันนิษฐานดังกล่าวสามารถพิสูจน์ได้จากแบบการวิจัยจำลองที่อาศัยดนตรีพื้นเมืองชนิดต่างๆในการทดสอบทักษะการแยกแยะเสียงดนตรีของผู้คนที่มีเชื้อชาติแตกต่างกัน นอกจากวัฒนธรรมทางดนตรีที่ต่างกันจะมีผลต่อการรับรู้ที่แตกต่างกันแล้ว

จากผลการศึกษาที่กล่าวมาข้างต้น เชื่อว่าสามารถนำมาปรับใช้เพื่อการพัฒนาโปรแกรมดนตรีบำบัดสำหรับการรักษาผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางระบบประสาทได้และในปัจจุบันก็เริ่มมีการนำดนตรีถึงแม้จะยังไม่ถึงกับเป็นโปรแกรมเจาะลึกถึงสมองเป็นส่วนๆ นำมาใช้มากขึ้น

อย่างน้อยความสุขของการได้รับฟัง การฝึกซ้อมเครื่องดนตรี ที่ไม่ใช่เอาเป็นเอาตาย เหมือนแผ่นเด๊ะๆ จะพัฒนาสมองซีกขวาในการเผชิญปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยแบบแผนที่ไม่แหกคอกนักตามสมองซีกซ้าย เวลาด้นสด ดังในบท กำเนิดสมองซีกซ้ายและขวา.

หมอดื้อ

โรคเอส แอล อี (ตอนที่ 2) อาการของโรค

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/588899

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 11 มี.ค. 2559 05:30

 

เอสแอลอีเป็นโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของระบบภูมิต้านทาน จึงมีอาการแสดงออกทางคลินิกได้หลากหลาย ขึ้นกับว่าภูมิต้านทานที่ผิดปกตินั้นไปต่อต้านหรือเป็นพิษต่อเนื้อเยื่อของอวัยวะส่วนใดของร่างกาย…

อาการของโรคอาจมีเพียงบางระบบหรือหลายระบบร่วมกัน แต่ละ ระบบอาจแสดงออกมาในเวลาเดียวกัน หรือเกิดขึ้นในช่วงต่อมาของการดำเนินโรค อาการมีระยะทุเลา ทรุดลง หรือกำเริบได้ตลอดเวลา บางคนมีอาการเพียงเล็กน้อย ขณะที่บางคนเป็นรุนแรงจนถึงแก่ชีวิต

อาการที่พบ

–  อาการทั่วไป : มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

–  ผิวหนัง : มีผื่นเฉพาะโรค เป็นรูปผีเสื้อตั้งแต่สันจมูกไปสู่โหนกแก้ม ผื่นวงแดงตามใบหน้า หนังศีรษะ และใบหู แผลที่เพดานปากเป็นๆ หายๆ ส่วนอาการอื่นๆ คือ ผมร่วง ผื่นตามตัวและเท้าจากการแพ้ แสงแดด ปลายมือและปลายเท้าซีด

–  ข้อ : จะมีอาการปวดข้อบริเวณข้อเข่า ข้อนิ้วมือ ข้อที่เหมือนกันทั้งสองข้าง คล้ายกับการอักเสบรูมาตอยด์ แต่จะต่างกันที่อาการของโรคเอส แอล อี ไม่มีการกัดกร่อนของข้อ

–  กล้ามเนื้อ : อาจมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง

–  ไต : มีไข่ขาวออกมาในปัสสาวะ พบเซลล์เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ ปัสสาวะเป็นสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ ถ้าอาการมากจะมีอาการเหมือนโรคไต คือ บวม ปัสสาวะน้อย ความดันโลหิตสูงจนถึง ขั้นไตวาย

–  ปอด : เนื้อเยื่อหุ้มปอดอักเสบ หรือมีการติดเชื้อร่วมด้วย

–  ระบบหายใจ : มีการอักเสบของเยื่อบุหัวใจ ทำให้เจ็บหน้าอก ใจสั่น เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบพบได้บ้างแต่น้อย

–  ระบบประสาท : มีอาการคล้ายมีพยาธิสภาพที่สมอง คือ ชัก เพ้อเจ้อ เอะอะ โวยวาย คลุ้มคลั่งคล้ายโรคจิต

–  โลหิต : มีอาการซีดจากการแตกของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวต่ำลง เกล็ดเลือดต่ำ ทำให้ผู้ป่วยอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย

–  ระบบทางเดินอาหาร : พบอาการปวดท้องได้บ่อย บางครั้งปวดท้อง จากตับอ่อนอักเสบ อาการที่พบได้บ้างแต่ไม่มาก คือ กลืนลำบาก ตับแข็ง

–  ระบบอื่นๆ : อาจพบต่อมน้ำลายโต ต่อมน้ำเหลืองโต

แม้ว่าเอสแอลอีจะมีอาการได้มากมาย แต่ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องมีอาการครบทุกระบบดังที่กล่าวมา ความรุนแรงที่พบในแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน

บางคนมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น มีผื่น มีไข้ บางคนอาจมีอาการปวดข้อ อย่างเดียว บางคนมีอาการหลายๆ อย่างรวมกัน

นายแพทย์กิตติ โตเต็มโชคชัยการ

คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

เธอใส่ผ้าอนามัยแบบสอด ‘ชิ้นเดียว’ นานถึง 9 วัน และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/585087

โดย Cleo Thailand 10 มี.ค. 2559 16:02

 

สิ่งที่คุณจะได้จากการอ่านเรื่องนี้คือ “เรื่องสุขภาพคือสิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง” เพราะความขี้เกียจแค่นิดเดียวของเรา อาจจะนำมาสู่อันตรายถึงชีวิตได้เลยนะ!

เรื่องของ เอมิลี่ แพนเคิร์สท์ สาวนักศึกษาอายุ 20 ปีคนนี้มีอยู่ว่า เธอทิ้งผ้าอนามัยไว้ในช่องคลอดนานเกินไปถึง 9 วัน จนร่างกายติดเชื้อ อาการเริ่มแรกที่เอมิลี่รู้สึกคือท้องบวมขึ้นมานิดๆ และรู้สึกเป็นไข้แบบเป็นๆ หายๆ แต่เธอก็คิดว่าเพราะตัวเองเครียดกับการสอบ เลยไม่สบาย แต่ความจริงแล้ว โรคที่กำลังจู่โจมร่างกายของเธอคือ Toxic Shock Syndrome (TSS) หรืออาการท็อกสิกช็อก ซึ่งเกิดจากสารพิษของแบคทีเรีย และภายในสองสามวันให้หลัง เอมิลี่ก็เป็นลม พูดไม่รู้เรื่อง และผิวก็เริ่มซีดลง

“ฉันรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่สบายตัว และบางทีก็มึนหัวด้วย แต่พอไปหาหมอ หมอก็ยังหาสาเหตุไม่เจอ” เอมิลี่บอกในสัมภาษณ์กับ Mirror

เธอกลับบ้านมาในวันนั้น และนึกขึ้นได้ว่าอะไรที่ทำให้ร่างกายของเธอผิดปกติ… “ฉันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้เปลี่ยนผ้าอนามัยมานานแล้ว และเมื่อดึงมันออกมา ทั้งชิ้นเปลี่ยนกลายเป็นสีดำ ถ้าไม่มีเชือก ฉันคงไม่รู้ว่ามันคือผ้าอนามัย!” เธอโยนมันทิ้ง รู้สึกคลื่นไส้ อยากอาเจียน และสิ่งที่เธอรู้ต่อมาคือถูกแอดมิทอยู่ในห้อง ICU แล้ว หมอบอกเธอว่าที่เธอไม่สบายเพราะติดเชื้อในกระแสเลือด ผลของอาการ TSS ซึ่งเกิดจากแบคทีเรียที่ฟอร์มตัวบนผ้าอนามัยในช่องคลอดของเอมิลี่

โชคดีมากๆ ที่เธอถูกส่งถึงมือหมอทันเวลา เพราะโรคนี้อันตรายถึงขั้นทำให้เธอเสียชีวิตได้ แต่หลังจากการรักษา ร่างกายของเอมิลี่ก็ยังอ่อนแออยู่ ทำให้เธอยังเดินนานๆ ไม่ได้ และต้องดรอปเรียนหนึ่งเทอม “ฉันหวังว่าเรื่องนี้จะทำให้ทุกคนใส่ใจสุขภาพตัวเองมากขึ้น อย่าคิดว่ามันคือเรื่องเล่น เพราะคุณไม่รู้เลยว่าความตายจะมาถึงตัวเองเมื่อไหร่” เอมิลี่บอก

เพราะฉะนั้น หมั่นเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ ล้างมือก่อนและหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง และพยายามอย่าเก็บผ้าอนามัยไว้ในห้องน้ำ ย้ายมาไว้ในห้องนอนจะดีกว่าจ้าาาา #ด้วยความห่วงใยจากคลีโอ

ที่มา – Cleo Thailand
www.cleothailand.com