5 จุดสัมผัสใหม่ๆ เร้าใจกว่าที่คิด!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/585077

โดย FHM 9 มี.ค. 2559 16:01

 

เปิดมิติใหม่แห่งการสัมผัส จากสุดยอดตำราเกมรักระดับตำนาน โดยผู้เชี่ยวชาญกล่าวไว้ให้คนรุ่นหลังศึกษา นับว่าเป็นของฝากจากบรรพบุรุษสุดยอดชายชาตรี!!

ไหปลาร้า

ตามตำรากล่าวว่า ผู้หญิงที่มีไหปลาร้าสวยๆ ก็ทำให้ดูเซ็กซี่ได้ ดังนั้นผู้ชายจึงควรแสดงความชื่นชมด้วยการสัมผัสและจูบบริเวณนั้น แสดงความใส่ใจกับอวัยวะส่วนนี้ในขณะที่เธอยังสวมเสื้อผ้าเต็มยศ แล้วปลดกระดุมเสื้อของเธอแค่แง้มให้เห็นไหปลาร้าเท่านั้นพอ แล้วค่อยย้อนกลับมาทีหลังเมื่อเปลื้องผ้าจนหมดแล้ว!

ต้นคอด้านหลัง

เมื่อนวดคลึงลงมาถึงต้นคอด้านหลังปั๊บก็พรมจูบเบาๆ ตรงนี้ทันที ในญี่ปุ่นยุคโบราณ ถือว่าต้นคอด้านหลังของผู้หญิงถือเป็นเป็นจุดที่ดึงดูดใจผู้ชายมาก จึงเป็นหนึ่งในไม่กี่จุดในร่างกายที่ไร้เสื้อผ้าปิดบัง ในปัจจุบันไม่ค่อยมีใครสนใจว่าต้นคอด้านหลังเป็นจุดที่สร้างความสุขได้ ดังนั้นอย่าประเมินพลังของรสสัมผัสและจูบแผ่วเบาจากขมับถึงหัวไหล่ไว้ต่ำเกินไป ชายเหนือชายน้อยคนจะรู้!!

ข้อพับหลังเข่า 

ตรงนี้เป็นอีกจุดที่ผู้ชายไม่คิดว่าจะกระตุ้นอารมณ์ของผู้หญิงได้ ซึ่งความจริงแล้วตรงนี้ไวต่อความรู้สึกมาก การลูบเบาๆ ตรงข้อพับหลังเข่าที่แอบอยู่ใต้ชายกระโปรง จะทำให้เธอร้อนรุ่มพร้อมเปิดศึกอย่างเต็มที่

ต้นขาด้านใน

การสัมผัสต้นขาด้านในโดยไม่เรื่อยเปื่อยก่อนไปถึงปากอ่าว เป็นการกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นเพราะให้ความรู้สึกได้ลุ้นด้วยกันทั้งสองฝ่าย อุปกรณ์ที่เวิร์กคือมือและริมฝีปาก บรรจงจูบและสัมผัสบริเวณต้นขาด้านใน พอเข้าไปใกล้ปากอ่าว ก็จงรีบถอยออกมาอย่าเพิ่งเอาจริงเอาจังนัก วิธีนี้รับรองเร้าอารมณ์มากๆ

ฝ่ามือ

มนุษย์มักใช้มือทั้งสองเป็นอุปกรณ์สร้างความพอใจให้คู่ขา แต่ไม่ค่อยมองว่ามือก็สามารถถูกกระตุ้นให้อารมณ์ระอุขึ้นมาได้เช่นกัน ฝ่ามือของผู้หญิงเป็นจุดที่สามารถกิ๊กกั๊กด้วยได้โดยคนรอบข้างไม่รู้สึกอึดอัด การใช้มือของหนุ่มๆ โดยเอานิ้วเขี่ยเบาๆ บนฝ่ามือจะทำให้เธอรู้สึกเสียวซ่านและยังช่วยให้คุณดูเป็นคนสนใจในรายละเอียด และใส่ใจคนรักข้างกายอย่างไม่น่าเชื่อ!

ที่มา – FHM Thailand
www.fhm.in.th

คุณต้องรู้บ้างว่าเธอชอบอะไร (เมื่ออยู่บนเตียง)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/585074

โดย Playboy Thailand 8 มี.ค. 2559 16:02

 

Sex เป็นเรื่องของคนสองคน แต่บางครั้งผู้ชายอย่างเราๆ ท่านๆ มักจะชอบคิดแบบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ประมาณชอบให้คนเอาอกเอาใจเรื่องบนเตียง ทั้งที่บางครั้งคุณต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าอยากที่จะเป็นนักรักที่ดี

จูบสิ…จูบ

เชื่อเถอะว่าสาวๆ ส่วนใหญ่ชอบการจูบปากอย่างอ่อนโยน เพราะมันคือการแสดงความรักอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากๆ

จินตนาการสำคัญมาก

เป็นนักจินตนาการเข้าไว้ “การจินตนาการ” รวมความหมายได้ตั้งแต่การใช้นิ้วลากเป็นตัวอักษรบนแผ่นหลังอันเปลือยเปล่าของเจ้าหล่อน ราดน้ำผึ้งบนตัวหล่อนแล้วเลียออก หรืออะไรก็ตามที่หยิบฉวยได้ด้วยมือ เช่น ผลไม้ น้ำแข็ง ผ้าพันคอ การอาบน้ำหรือแช่ในอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยฟองสบู่หอม ยกเว้น “น้ำตาเทียนร้อนๆ” อาจเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป

อย่าปฏิเสธการทำออรัลเซ็กซ์กับเธอ : แม้ว่าบางครั้งสาวๆ อาจจะเหนียมอายกับเรื่องตรงนี้ แต่เชื่อเถอะว่าเธอชอบแน่ๆ และคุณอย่าปฏิเสธที่จะทำให้เธอ

ลงมือได้แต่อย่างรุนแรง

น่าจะเรียกว่าการหยอกนิดหน่อย เช่น ขบหรือกัด รวมถึงการหวดก้นเบาๆ แต่อย่ารุนแรงจนกลายเป็นการทำร้ายร่างกาย และกลายเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดี

สังเกตอย่าถามมาก

อย่าถามว่าเธอไปถึงแล้วใช่ไหม คำถามนี้มีความหมายเทียบเท่ากับที่เธอถามคุณว่า “อยู่ข้างในแล้วใช่ไหมคะ” ปกติแล้วผู้ชายจะรู้ถ้าผู้หญิงไปถึง ผู้หญิงส่วนใหญ่มักส่งเสียง แต่ถ้าไม่ทราบจริงๆ ก็อย่าถาม ณ ขณะนั้น ให้นำเรื่องนี้มาถามภายหลัง ทำให้เหมือนเรื่องปกติที่สามี-ภรรยาพูดคุยกัน

โกนหนวดให้เรียบร้อย

ผู้ชายมักลืมเสมอๆ เหนือริมฝีปากและบริเวณคางของตัวเอง เต็มไปด้วยสิ่งที่คล้าย ขนเม่น และผู้ชายมักใช้ร่างกายส่วนนี้ซุกไซ้อยู่กับใบหน้า และทรวงอกของอีกฝ่าย ในยามที่เธอเอียงศีรษะไปซ้ายทีขวาที นั่นไม่ใช่ด้วยรู้สึกเสน่หา แต่เพราะพยายามหลีกเลี่ยงขนเม่นเหล่านั้นมากกว่า หรือมากไปกว่านี้บางคนคิดว่า ขนของคุณอาจจะช่วยกระตุ้น ความรู้สึกให้ได้ แต่นั่นคงจริงสำหรับขนที่นุ่มมากกว่าขนที่สั้นแข็งราวกับหนาม

มิหนำซ้ำมันอาจจะสร้างรอยแดงไว้เป็นที่ระลึกตามซอกคอหรือหน้าอกไว้ให้เพื่อนๆ ของเธอแซวได้

ที่มา – Playboy Thailand
www.playboy.co.th
www.facebook.com/playboythailand

ดนตรีและสมอง : ร้องเพลงห่วย….เกิดได้ยังไง? (ตอนที่ 2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/586491

โดย หมอดื้อ 6 มี.ค. 2559 05:01

 

ผลของดนตรีต่อการพัฒนาศักยภาพทางสมองของเด็ก (Domain–specific and domain–general effects of musical experience in young children)

ปัจจุบันเป็นที่ประจักษ์กันดีถึงผลจากประสบการณ์ด้านดนตรี ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของบทเรียนวิชาดนตรีหรือการฟังดนตรีทั่วไปในชีวิตประจำวัน ว่าไม่ได้มีผลต่อการพัฒนาศักยภาพเฉพาะด้านดนตรีอย่างเดียว ยังรวมถึงการพัฒนาในการเรียนรู้ในด้านอื่นๆ

ซึ่งสามารถวัดได้จากคะแนนการทดสอบไอคิว (IQ test) ที่สูงขึ้นในกลุ่มเด็กโตและผู้ใหญ่

ผลของดนตรีต่อการพัฒนาศักยภาพทางสมองในกลุ่มเด็กเล็กและเด็กก่อนวัยเรียน ทั้งในกรณีที่ได้รับประสบการณ์ด้านดนตรีผ่านทางรูปแบบของบทเรียนวิชาดนตรีและการฟังดนตรีทั่วไปในชีวิตประจำวัน พบว่าเด็กเล็กเหล่านี้มีความสามารถในการแยกแยะโครงสร้างของระดับเสียงมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง

โดยเด็กเล็กในกลุ่มที่มีอายุอยู่ในขวบปีแรก สามารถแยกแยะเสียงพ้องและเสียงไม่พ้อง (consonance and dissonance) ได้ ในขณะที่เด็กเล็กในกลุ่มก่อนวัยเรียนสามารถ แยกเสียงตามโน้ตดนตรีได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังพบว่าเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี ยังไม่มีความสามารถในการรับรู้ความกลมกลืน ของเสียงประสาน (sensitivity to harmonic structure) ไม่ว่าจะเด็กจะเคยได้รับประสบการณ์ดนตรีในรูปแบบใดมาก่อนก็ตาม

กรณีหลังนี้เอง นำมาสู่คำถามในการวิจัยต่อมา กล่าวคือ การพิสูจน์ว่าความสามารถในการรับรู้ความกลมกลืนของเสียงประสาน สามารถจะพัฒนาขึ้นในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ โดยผ่านทางประสบการณ์ด้านดนตรีในรูปของบทเรียนดนตรีพิเศษได้หรือไม่

ในการศึกษาต่อยอดนี้ กลุ่มผู้วิจัยได้ทำการเปรียบเทียบความสามารถในการรับรู้ความกลมกลืนของเสียงประสานระหว่างกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเด็กอายุ 3-5 ขวบที่ได้รับประสบการณ์ด้านดนตรีผ่านทางบทเรียนดนตรีพิเศษ และกลุ่มที่ไม่ได้รับบทเรียนดนตรีดังกล่าว

ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับประสบการณ์ด้านดนตรีผ่านทางบทเรียนดนตรีพิเศษมีความสามารถในการรับรู้ความกลมกลืนของเสียงประสานเหนือกว่าเด็กในอีกกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้นทางกลุ่มจึงสรุปว่า ความสามารถในการรับรู้ความกลมกลืนของเสียงประสาน สามารถพัฒนาได้ในเด็กเล็กโดยผ่านบทเรียนดนตรีพิเศษ นอกจากนี้ยังได้มีการติดตามศักยภาพของเด็กเล็กเหล่านี้เมื่อได้รับประสบการณ์ดนตรีต่างๆเพิ่มขึ้นผล ของการติดตามดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ดนตรียังส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพของเด็กในการรับรู้ด้านอื่นๆ อีกด้วย

การเพิ่มศักยภาพของสมองระหว่างการเล่นดนตรีและการฟังดนตรี ในการฝึกซ้อมดนตรีนั้น จำเป็นต้องอาศัยการทำงานที่ประสานกันระหว่างสมองส่วนที่ทำหน้าที่เฉพาะขั้นสูงและสมองส่วนที่ทำหน้าที่พื้นฐานในการได้ยินและการเคลื่อนไหว

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ในระหว่างการฝึกซ้อมดนตรีและการฟังดนตรีซึ่งเกิดร่วมไปพร้อมๆกันนั้น ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์แบบใดในสมองส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง

ในการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่า การฝึกฟังดนตรีเพื่อแยกแยะเสียงต่างๆ (simple training in listening discrimination) ช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการได้ยิน ซึ่งแสดงให้เห็นได้จากการพบสัญญาณคลื่นไฟฟ้าสมองชนิดที่เรียกว่า “Mismatch Negativity Response (MMN)” จากการตรวจด้วย เครื่องมือ magnetoence phalography (MEG)

คำถามต่อมาคือ ผลของการ เรียนรู้ซึ่งอาศัยบริเวณที่แตกต่างกันของสมอง ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์อย่างไรในสมอง และปฏิสัมพันธ์นี้มีผลต่อการจัดระเบียบและพัฒนาศักยภาพการทำงานของสมอง ส่วนที่เกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร

ในการตรวจวัดเพื่อเปรียบ เทียบการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำซึ่งสัมพันธ์กับการได้ยิน (auditory memory) ในกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช่นักดนตรี ในขณะที่กำลังทำการฝึกซ้อมดนตรีเทียบกับการฝึกฟังดนตรีเพื่อแยกแยะเสียง

ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การฝึกซ้อมดนตรีนั้นสามารถกระตุ้นให้เกิดปฏิสัมพันธ์ภายในสมองซึ่งเอื้อให้เกิดการจัดระเบียบและพัฒนาศักยภาพการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้อง มากกว่ากลุ่มที่มีการฝึกฟังดนตรีเพื่อแยกแยะเสียงอย่างมีนัยสำคัญ.
หมอดื้อ

โรคเอสแอลอี (ตอนที่ 1) รู้จักโรคเอสแอลอี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/585445

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 4 มี.ค. 2559 05:30

 

โรคเอสแอลอี หรือโรคลูปัส จัดเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยทำลายสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคภายนอกร่างกาย กลับกลายเป็นมาสร้างภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อและเซลล์ต่างๆ ของตนเอง ทำให้มีภูมิคุ้มกันที่เป็นพิษต่ออวัยวะต่างๆ ของร่างกาย สำหรับอวัยวะที่พบบ่อย คือ ผิวหนัง ข้อ ไต หัวใจ ปอด สมอง และระบบโลหิต

ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคนี้

โรคเอสแอลอี พบได้ทุกเชื้อชาติ แต่จะพบในคนผิวดำและผิวเหลืองมากกว่าคนผิวขาว มักพบในประเทศแถบเอเชียตะวันออก เช่น ไทย มาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ ในช่วงวัยรุ่นถึงวัยกลางคน คือ อายุระหว่าง 20–45 ปี อายุเฉลี่ย 30 ปี ผู้หญิงมีอัตราการเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชาย 9–10 เท่า

สาเหตุ

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีผู้ให้ความเห็นว่าเกิดจากสาเหตุต่างๆ ประกอบกับตัวคนคนนั้นมีสภาพร่างกายที่เอื้อต่อการเกิดโรค สาเหตุที่เป็นปัจจัยร่วม ได้แก่
– พันธุกรรม
– เชื้อโรคหรือสารพิษ โดยเฉพาะเชื้อไวรัส
– ฮอร์โมนเพศหญิง เนื่องจากพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และพบได้บ่อยเมื่อเริ่มมีประจำเดือน ระหว่างตั้งครรภ์ และหลังคลอด
– สภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการเกิดโรค เช่น แสงแดด อาหาร ยา

ติดตามอาการของโรคเอสแอลอีได้ในศุกร์สุขภาพสัปดาห์หน้า ทุกท่านจะได้รับความรู้และสาระที่เป็นประโยชน์ สามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้

นายแพทย์กิตติ โตเต็มโชคชัยการ

คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

4 วิธีเปลี่ยนคนตื่นสายให้เป็นคนตื่นเช้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/582917

โดย GQ Thailand 3 มี.ค. 2559 16:01

 

เชื่อว่าหลายคนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่เป็นมนุษย์นอนดึก ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากหน้าที่การงานหรือเป็นนิสัยที่ชอบใช้เวลาในช่วงกลางคืน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ด้วยภาระการงานทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการ ‘ตื่นเช้า’ ไปได้ จึงมักจะได้ยินเสียงบ่นว่าต้องทำงานหนักและสะสางชีวิตส่วนตัว จนทำให้ต้องนอนดึกและตื่นเช้าด้วยอารมณ์เบื่อหน่าย เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ วันนี้เราจะมาบอกวิธีการฝึกตื่นเช้าให้เป็นเช้าที่สดใส (แม้อาจจะฟังดูไม่ง่ายนัก) แต่ถ้าคุณทำได้ รับรองว่ามันจะส่งผลดีต่อชีวิตคุณ แถมยังมีเวลาเพิ่มให้กับตัวเองอีกด้วย

How to Get Up Early and Be Fresh

1. ทำซ้ำๆ เพราะการตื่นเช้าถือเป็นนิสัยที่สามารถฝึกฝนกันได้ การฝึกทำไปเรื่อยๆ จะทำให้เกิดเป็นความเคยชินและจะกลายเป็นนิสัยในที่สุด คุณอาจเคยได้ยิน ‘ทฤษฎีสร้างนิสัยใน 21 วัน’ (21-Day Habit Theory) ที่กล่าวว่า หากอยากเปลี่ยนนิสัยให้เป็นแบบไหนให้ทำสิ่งนั้นทุกวันเป็นเวลา 21 วัน แต่นิสัยบางอย่างก็ต้องอาศัยเวลามากกว่านั้น

2. ทำจากสิ่งเล็กๆ ก่อน เช่น ถ้าปกติตื่น 10 โมง อาจจะบังคับตัวเองให้ตื่น 9 โมงครึ่ง แล้วค่อยๆ ขยับไปเรื่อยๆ เพราะหากทำอะไรแบบหักดิบ เช่น เคยตื่น 10 โมง แล้วต้องมาตื่น 6 โมง อาจจะเป็นเรื่องที่ยากไปจนหมดกำลังใจ หรือถ้าทำได้รับรองว่าไม่เกิน 1 เดือน ก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ดังนั้นให้เริ่มจากอะไรที่สามารถทำได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เคยทำอยู่แล้วจะสามารถทำได้ง่ายกว่า

3. ทำทีละอย่าง ข้อนี้สำคัญมาก มันเป็นรูปแบบเดียวกับ Wish Lists หรือ New Year’s Resolution ที่ตั้งปณิธานยาวเหยียดไว้สวยหรู แต่ทำให้เกิดขึ้นจริงแทบไม่ได้เลย เพราะต้องทำอะไรหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน จนเป็นภาระและไม่สามารถโฟกัสกับสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้ ดังนั้นการฝึกนิสัยตื่นเช้าไม่ควรจะทำพร้อมกับการสร้างนิสัยอื่นๆ แต่ให้ทำจนกว่าจะสามารถตื่นเช้าได้แล้วค่อยเริ่มอย่างอื่นต่อ

4. ทำให้น่าสนใจ คุณสามารถหาแรงจูงใจให้ตัวเองหลังตื่นนอนได้ เช่น อาจจะตั้งเป้าว่าตื่นขึ้นมาเพื่อทำอะไร เป็นเรื่องจริงที่หลายคนสามารถตื่นเช้าได้เพราะติดการกินอาหารเช้า แต่คุณอาจจะตั้งเป้าหมายอย่างอื่น เช่น ตื่นมาดื่มกาแฟ หรือตื่นมาเพื่อที่จะมีเวลาอาบน้ำได้นานขึ้น แต่ที่สำคัญอย่าทำให้ยุ่งยากจนเกินไป คงเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะฝืนตัวเองได้ทุกวัน เพราะแค่ต้องบังคับตัวเองให้ตื่นนอนแต่เช้าก็เป็นเรื่องยาก แล้วยังต้องมาพบกับความยุ่งยากหลังตื่นนอนอีก นอกจากนี้อาจจะทำให้คุณเสียเวลาและไปทำงานสายจนคุณอาจจะหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม

หากคุณเบื่อกับการฝึกตัวเองให้ตื่นเช้า ให้ลองคิดว่ามันคืองานอดิเรกที่ท้าทายและคุณจะต้องเอาชนะมันให้ได้ เพราะการบ่มเพาะนิสัยจะต้องใส่ใจ ติดตามผล และมีระเบียบวินัยกับตัวเอง มันอาจจะยาก แต่เมื่อทำได้คุณก็จะภาคภูมิใจกับมัน และหากคุณตื่นเช้าได้ การออกกำลังกายที่เคยผัดวันประกันพรุ่งจนไม่ได้ออกสักทีก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้เป็นนิสัย (รวมถึงนิสัยอื่นๆ ด้วย)

How to Make a Productive Morning

เมื่อจะต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าแล้วก็ควรจะได้อะไรมากกว่าการเริ่มต้นวันใหม่ที่เร็วกว่าเดิม เพราะยามเช้าเป็นช่วงที่ทุกอย่างยังเงียบสงบและปราศจากการรบกวน จึงเป็นเวลามีค่าที่จะได้อยู่กับตัวเองมากที่สุด การตื่นเช้าจึงถือเป็นข้อได้เปรียบ ที่เหมือนได้ใช้เวลาส่วนตัวก่อนเริ่มวันใหม่

เทคนิคเพิ่มเติม เป็นการสร้างประโยชน์จากนิสัยเดิมๆ โดยการใส่กิจกรรมใหม่ๆ เข้าไป เช่น หากคุณมีนิสัยตื่นเช้าแล้วต้องดื่มกาแฟ ในระหว่างที่คุณดื่มกาแฟอาจจะหาอะไรที่ชอบมาอ่าน หรืออาจจะเป็นช่วงเวลาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงาน เช่น อ่านข่าวธุรกิจหรือบทความวิทยาศาสตร์ หรือเป็นช่วงเวลาที่ใช้วางแผนสิ่งที่ต้องทำในวันนั้น สุดท้ายคุณจะสามารถทำกิจกรรมใหม่ๆ นี้ได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรปกติจนติดเป็นนิสัย และเป็นการใช้เวลาช่วงเช้าได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด

เราเรียกสิ่งที่ทำทั้งหมดว่ากิจวัตรยามเช้า สามารถอ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้ใน ‘กิจวัตรยามเช้าของ 10 ชายผู้ทรงอิทธิพลระดับโลก’http://www.gqthailand.com/life/view/?url=10-people-early-wake-up

ที่มา – GQ Thailand
www.gqthailand.com

ผู้ชายระวัง! เมื่อ “ขนาด” บ่งบอกโอกาสเป็นหมันได้สูงถึง 7 เท่า!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/582914

โดย FHM 2 มี.ค. 2559 16:01

 

เอาละสิ! เมื่อขนาดของท่านชาย บ่งบอกโอกาสเป็นหมันได้งั้นหรือ? แล้วเรื่องนี้มีที่ไปที่มายังไง ชักรู้สึกหนักใจซะแล้วสิ!

ผู้ชายอ่านแล้วอย่าเพิ่งตกใจ เมื่อนักวิจัยพบว่า “ขนาด” มีส่วนสัมพันธ์กับโอกาสในการมีลูก แต่ไม่ใช่ขนาดของเครื่องเพศอย่างที่เพศชายวิตกกัน! แต่เป็น ระยะห่างระหว่างช่องทวารกับถุงอัณฑะ หรือเรียกกันว่า เอจีดี (AGD : Anogenital Distance)

ผลวิจัยในสหรัฐฯ พบว่า ชายใดที่มี ADG สั้นกว่าค่าเฉลี่ย ประมาณ 2 นิ้ว ชายผู้นั้น ยิ่งมีโอกาสเป็นหมัน เพิ่มขึ้น 7 เท่า เพราะจะทำให้มีปริมาณของน้ำและตัวอสุจิน้อยลง

นอกจากนี้ ผู้หญิงที่ได้รับสารเคมี “ทาแลต” ในช่วงตั้งครรภ์ นับเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้เด็กที่เกิดมา จะมีช่วงเอจีดีสั้น

ซึ่ง “ทาแลต” พบได้ในน้ำหอม แชมพู สบู่ สี และพลาสติก เมื่อวัดปริมาณทาแลตในปัสสาวะของหญิงมีครรภ์ พบว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้น 10 เท่า จะมีโอกาสเสี่ยงที่ลูกชายจะมีช่วงเอจีดีสั้น!

ที่มา – FHM Thailand
www.fhm.in.th

กลัวที่ไหน! ทางรอด 5 วิธีบดขยี้ความง่วง อดนอนแค่ไหนก็ไหว!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/584618

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 2 มี.ค. 2559 06:05

 

ไม่ว่าคุณจะอดนอน นอนไม่หลับสะสมมาหลายวัน หรือหลับไม่สนิทเต็มที่ จนทำให้เพลีย-สะลึมสะลือในตอนเช้าก็ตามแต่ ไทยรัฐออนไลน์ ขอท้าให้ลองวิธีง่ายๆ เหล่านี้ที่จะสลัดความง่วงของคุณให้หายไป ซึ่งเราได้ลองครบมาหมดทุกวิธีแล้ว การันตีร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าช่วยคุณได้จริงแน่นอน…ไม่มากก็น้อยล่ะนะ!

1. บายรถส่วนตัว
ก็รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองนอนไม่พอ ซึ่งอาจจะทำให้หลับในเอาได้ง่ายๆ แล้วยังจะฝืนขับรถทำไมอยู่ บางทีการเปลี่ยนมาใช้รถสาธารณะต่างๆ บ้าง ก็ไม่ได้แย่เสมอไปหรอกนะ แถมยังช่วยให้คุณปลอดภัยมากขึ้นด้วย หลายคนชอบคิดว่า ถ้าได้กาแฟถ้วยใหญ่ที่มีรสเข้มกว่าปกติสักแก้วแล้ว เดี๋ยวอาการง่วงก็หายไปเอง-ขับรถต่อได้ ทว่า นั่นกลับเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะจริงๆ แล้ว คนที่ขาดการนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่างๆ (ใช้เวลา) เท่ากับคนเมาเลย ฉะนั้น ต่อให้คุณดื่มไปหลายแก้วเพื่อกำจัดความง่วง มันก็เพียงช่วงขณะหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายก็กลับมาง่วงอยู่ดีนั่นแหละ ทางที่ดียื่นกุญแจให้เพื่อนขับ หรือไม่ก็โดดขึ้นรถเมล์แทน จะเซฟตัวเองมากกว่านะเออ …

ง่วงขนาดนี้ นั่งรถโดยสารปลอดภัยกว่านะจ๊ะ !

2. คาเฟอีนช่วยได้…แต่ต้องไม่มากไป 

อย่างที่บอกมันจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท-ปลุกคุณให้ตาสว่างขึ้นได้แค่ขณะหนึ่งเท่านั้น ซึ่งถ้าคุณต้องการคาเฟอีนสักนิด เพื่อทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ อันนั้นก็ได้อยู่ (อาจจะเป็นเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนเล็กน้อยประมาณ 50-100 มิลลิกรัม) ทว่า หากจะดื่มเพื่อหวังผลในระยะยาว เราบอกเลยว่ามันไม่เวิร์ก และไม่ช่วยแก้ง่วงได้อย่างแท้จริง นอกจากคุณจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จแล้วนอนพักซะ อย่างไรก็ดี ระหว่างการดื่มคุณควรเช็กอาการต่างๆ ด้วย เช่นว่า มีอาการหัวใจเต้นแรง หรือ ปวดหัวแบบมึนๆ หรือไม่? เพราะนั่นเป็นสัญญาณเตือนว่า คุณดื่มมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการแล้ว!

คาเฟอีนช่วยได้…แต่ต้องไม่มากไป

3. ดื่มกาแฟแล้วงีบหลับ
อีกหนึ่งทางออกสำหรับคนเดินทางไกล หรือต้องขับรถนานหลายชั่วโมง แน่นอนว่า ถ้าวันไหนคุณได้พักผ่อนมาแค่ 5-6 ชั่วโมง (ซึ่งไม่เพียงพอเอาซะเลย) พอชั่วโมงบ่ายๆ คุ​ณก็เริ่มรู้สึกอยากจะนอนแล้ว เราแนะนำให้ลองดื่มกาแฟดริปขนาด 6–7 ออนซ์ (โดยการเติมน้ำแข็งลงไปสัก 2–3 ก้อน) รวดเดียวหมด แล้วแวะหาที่พักงีบสักแป๊บ ประมาณ 20-30 นาที กาแฟดริปจะช่วยให้คุณนอนหลับง่าย และหลับสนิทมากขึ้น พอตื่นมาคุณจะรู้สึกเต็มอิ่มกับการนอนหลับ หรือหลับสนิทเพียงพอจนไม่ต้องกังวลเรื่องการขับรถเลยล่ะ ที่สำคัญมันยังมีพลังกระตุ้นทำให้คุณอเลิร์ต และยืดอายุความสดชื่นให้คุณอีกอย่างน้อย 4 ชั่วโมง! แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณต้องแน่ใจนะว่า ใช้เทคนิคนี้ก่อนบ่าย 2 โมง ไม่งั้นตารางเวลาการนอนอาจจะป่วนตามไปด้วย

4. งดคุยเรื่องเครียดทุกสิ่งอย่าง
ประเด็นนี้สำคัญเลย นอนพักผ่อนก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว ไหงดันต้องมาคุยเรื่องเครียดๆ กันอีก คุณเคยสังเกตไหมว่า ยิ่งง่วงนอนก็ยิ่งหงุดหงิดง่าย นั่นเป็นเพราะเมื่อขาดการนอนหลับที่เพียงพอ จึงทำให้อารมณ์ฉุนเฉียวกว่าปกติ และยากที่จะควบคุมอารมณ์ ยิ่งถ้าวันไหนที่มีประชุมเรื่องเครียดๆ (ในวันที่คุณนอนไม่พอ) ก็จะมีแต่จะทำให้คุณหงุดหงิด เสียอารมณ์ มึนเบลอ รวมทั้งพลอยคิดอะไรไม่ค่อยออกไปด้วย ฉะนั้นเป็นไปได้เลี่ยงเรื่องเครียดๆ ออกไปก่อนดีกว่านะ

งดคุยเรื่องเครียดวันพักผ่อนน้อย…

5. เข้านอนให้เร็วขึ้น
เพื่อทดแทนเมื่อคืนที่คุณนอนไม่เพียงพอ เราแนะว่าคืนนี้ให้คุณปรับตารางการนอนซะใหม่ โดยอาจนอนให้เร็วขึ้นจากปกติสัก 2-3 ชั่วโมง เพื่อที่ตื่นมาเช้าวันใหม่พรุ่งนี้จะได้สดใส สดชื่น พร้อมลุยกับทุกสิ่งที่เข้ามา อย่างไรก็ตาม หากหลายคนคิดว่ามันยากเกินไปที่ต้องนอนเร็วขึ้นหลายชั่วโมง ลองเปลี่ยนมาเป็นครึ่งชั่วโมงดูก่อนก็ไม่ว่ากัน เช่น จากปกติที่คุณเข้านอน 4 ทุ่มครึ่งเป็นประจำ ก็ให้นอนตอน 4 ทุ่ม แล้วค่อยๆ ปรับเวลาให้เร็วขึ้นเป็น 3 ทุ่มครึ่ง-3 ทุ่ม เชื่อเถอะว่า วิธีนี้จะทำให้คุณตื่นมาเฟรชสุดๆ รู้สึกนอนเต็มอิ่มแบบเต็มที่จริงๆ

ออกกำลังกายด้วย Viking Method ได้มากกว่าแค่พุงยุบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/582259

โดย Women’s Health 29 ก.พ. 2559 16:01

 

ที่อังกฤษ นอกจากเทรนด์เครื่องแต่งกายถักนิตติ้ง เฟอร์นิเจอร์ และละครแนวสแกนดิเนเวียนจะมาแรงแล้ว เทรนด์เวิร์กเอาต์ของคนโซนทางเหนือทวีปยุโรปก็มาแรงไม่แพ้กัน ไม่เชื่อมาดูวิธีฝึกในยิม Viking Method กัน

โปรแกรมออกกำลังส่วนใหญ่มักอ้างว่าทำแล้วพุงจะยุบและก้นสวยเด้ง แต่ที่ไวกิ้ง เม็ธธอด ให้คุณมากกว่านั้น ซึ่งก็คือการโฟกัสความรู้สึกที่ได้จากการออกกำลังกาย “ชาวไอซ์แลนด์ภูมิใจมากในเรื่องความแข็งแรง คนยุโรปเหนือมักฝึกเพื่อพัฒนาพละกำลังและความแข็งแรง น้ำหนักที่ลดได้ 5 ปอนด์นั้นเป็นแค่ของแถม” สวาวา ซิกเบิร์ตส์ดอตเทอร์ เจ้าของยิมและผู้ก่อตั้งไวกิ้ง เม็ธธอด เกริ่น โปรแกรมของเธอเน้นท่าฝึกที่สัมพันธ์กับการใช้งานจริง คุณจึงทำกิจกรรมต่างๆ ได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง กระโดด ยกของ คลาน ดึง และผลัก

“ถ้าอยากให้ร่างกายออกแรงเต็มที่ในเวลาสั้นๆ คุณต้องทำคาร์ดิโอสลับกับการฝึกด้วยแรงต้าน ช่วยกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมน ลดฮอร์โมนความเครียดและระดับอินซูลิน ทั้งยังช่วยเผาผลาญไขมันด้วยค่ะ การฝึกแบบนี้ส่งผลให้อัตราการเผาผลาญสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ” เทรนเนอร์สาวอธิบาย ฝึกแต่ละท่าต่อไปนี้ นาน 30 วินาที และพัก 30 วินาทีระหว่างท่า จะใส่หมวกเขาสัตว์กับถือขวานเป็นพร็อพประกอบก็ไม่ว่ากัน

1. Reverse Squat Jumps

ดันไหล่ไปด้านหลัง เท้าแนบติดพื้น แล้วย่อตัวลงทำท่าสควอต กระโดดถอยหลัง แล้วลงสู่พื้นในท่าสควอตย่อต่ำๆ

ฝึกให้ได้: 6 เซ็ต เซ็ตละ 30 วินาที แค่นี้ก็ก้นแน่นปึ้ก

2. Spider-Man Crawl

(a) ตั้งท่าแพลงก์ จากนั้นดึงเท้าขวาและมือซ้ายคลานไปข้างหน้า เกร็งแกนกลางลำตัวและกดก้นต่ำๆ เข้าไว้
(b) ทำซ้ำ แต่เปลี่ยนมาคลานด้วยเท้าซ้ายกับมือขวา ทั้งหมดนี้นับเป็น 1 ครั้ง

ฝึกให้ได้: 6 เซ็ต เซ็ตละ 30 วินาที

3. Arm Walk

กลับไปตั้งท่าแพลงก์ตามเดิม เกร็งแกนกลางลำตัวไว้ ใช้มือเดินไปข้างหน้าและถอยกลับมาข้างหลังเพื่อถ่ายน้ำหนักไปมา
ฝึกให้ได้: 6 เซ็ต เซ็ตละ 6 ครั้ง

4. Jumping Kick

ยืนเอาเท้าซ้ายนำหน้า เท้าขวาเบี่ยงไปด้านหลังเล็กน้อย กระโดดแล้วลงสู่พื้นด้วยเท้าขวา พลางยกเข่าซ้ายขึ้นด้านหน้าและทำท่าเตะสูง

ฝึกให้ได้: 6 เซ็ต เซ็ตละ 30 วินาที

Women’s Health Thailand | December 2015
แปลและเรียบเรียง: สุชาดา เชาวรียวงษ์ | ภาพ:Corbis Images | ภาพประกอบ: Supermod

ที่มา – Women’s Health Thailand
www.womenshealththailand.com

5 วิธี เพิ่มความอึดแบบไม่ต้องลงทุน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/582237

โดย Playboy Thailand 28 ก.พ. 2559 16:01

 

เราเชื่อว่าผู้ชายส่วนใหญ่ยึดมั่นในเรื่องของการสร้างความอึดในขณะมีเซ็กซ์ เพราะมุ่งเป้าว่าจะต้องทำให้ ฝ่ายหญิงถึงฝั่งให้ได้ บวกกับความเชื่อที่ว่ายิ่งอึดฝ่ายหญิงยิ่งชอบ และแน่นอนว่าเรามีเทคนิคแบบง่ายๆ ที่คุณไม่ต้องลงทุนอะไรในการช่วยเพิ่มความอึดและยืดระยะเวลาในการมีเซ็กซ์แต่ละครั้ง

1. เล้าโลม

ยังเป็นปัจจัยหลักที่ผู้ชายส่วนใหญ่จะต้องให้ความสำคัญ เพราะถ้ามองว่าระยะทางการถึงจุดสุดยอดของฝ่ายหญิงคือเลข 10 ถ้าคุณเล้าโลมดี และจุดไฟเธอจนติด ระยะทางของการมีเซ็กซ์ อาจจะวิ่งมาถึงเลข 6 หรือ 7 เลยก็ได้ แต่นั่นหมายความว่าคุณต้องรู้จุดเสียวของเธอ เช่นเดียวกับการรู้ระยะเวลาที่เหมาะสม

2. ให้เธอคุมเกม

ท่า Women on Top ยังใช้ได้ดีเสมอ เพราะเธอจะรู้ถึงวิธีที่ทำให้เธอถึงจุดหมายได้ดีกว่า และอย่าไปซีเรียสถ้าคุณจะเป็นฝ่ายตั้งรับบ้าง

3. หายใจลึกๆ และผ่อนคลาย

การหายใจลึกๆ จะช่วยทำให้คุณผ่อนคลายและคลายความกังวลได้ แต่ก็ในระดับหนึ่งเท่านั้นนะ อย่าไปหวังพึ่งมาก

4. เปลี่ยนยุทธวิธี

การขยับเข้าออกของอวัยวะเพศชายอาจจะทำให้คุณมีสิทธิ์ไปถึงฝั่งก่อนเธอได้ ดังนั้น ถ้าคิดว่าไม่ไหว เมื่อใกล้จะถึงจุดแล้ว คุณควรรีบเปลี่ยนท่า เพื่อเป็นการพักการขยับตัวของน้องชายคุณด้วย และอีกข้อ คือ การลดการเคลื่อนตัวและหันมาใช้วิธีบดกับเบียดแทน และนั่นทำให้คลิตอริสของเธอ มีโอกาสถูกสัมผัสและกระตุ้นมากกว่า

5. เบี่ยงเบนความสนใจของคุณ

บางครั้งคุณอาจจะต้องเบนความคิดและความสนใจ ของตัวเองออกจากสิ่งที่เกิดขึ้น ณ วินาทีนั้น อาจจะลองท่องสูตรคูณ หรือนึกถึงเรื่องซีเรียสๆ อาจจะช่วยทำให้คุณยืดระยะเวลาก่อนถึงจุดสุดยอดออกไปได้อีกสักหน่อย

แต่ถ้าทั้งหมดเป็นเรื่องที่ดูแล้วยากเกินไป ผลิตภัณฑ์ยาผู้ชายที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดคือทางเลือก ที่ได้ผลดี และมีการลงทุนในด้านกำลังทรัพย์ไม่เยอะจนเกินไป

ที่มา – Playboy Thailand
www.playboy.co.th
www.facebook.com/playboythailand

ดนตรีและสมอง : ร้องเพลงห่วย….เกิดได้ยังไง? (ตอนที่ 1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/583264

โดย หมอดื้อ 28 ก.พ. 2559 05:01

 

บทนี้น่าจะเป็นข้ออ้างของพวกเราหลายๆคนนะครับว่า ที่ร้องเพี้ยน หลง โหยหวน เกิดจากสายใยสมองเรายังไม่สามัคคีกันนัก ไม่ใช่อ่อนซ้อมหรือดำน้ำ หมอและคุณหมอจิตสุภา ตรีทิพย์สถิต สรุปและเรียบเรียงจากเว็บของ New York Academy of Science

ภาวะความบกพร่องของการสำเหนียกระดับเสียง (tone deafness) หรือแนวโน้มที่จะร้องเพลงเสียงหลง (tendency to sing out-of-tune)

สาเหตุที่ทำให้คนทั่วไปร้อง เพลงเสียงหลง อาจสรุปได้ว่าไม่ได้มาจากความผิดปกติเพียงด้านใดด้านหนึ่ง (monolithic defect) เท่านั้น

แต่น่าจะเกิดจากความหลากหลายในรูปแบบของการร้องเพลงในมนุษย์ ซึ่งคนบางกลุ่มในลักษณะที่หลากหลายเหล่านี้อาจมีปัญหาความบกพร่องทางการรับรู้ (impaired perceptual abilities) ความบกพร่องในการแยกแยะและออกเสียงตามระดับเสียงต่างๆตั้งแต่กำเนิด (congenital amusia) พบได้ประมาณ 2-4% ของประชากร ในขณะที่บางส่วนที่เหลือไม่พบความผิดปกติเหล่านี้

การทดสอบร้องเพลงโดยไม่มีดนตรีประกอบ ถือเป็นวิธีการทดสอบความสามารถในการร้องเพลงในคนทั่วไปที่น่าเชื่อถือและปราศจากอคติส่วนบุคคล ซึ่งวิธีการดังกล่าวสามารถบอกความแม่นยำในด้านระดับเสียง (pitch accuracy) และการเว้นช่วงของจังหวะ (temporal accuracy) ได้เป็นอย่างดี

กลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนทั่วไปและกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักดนตรีร้องเพลงที่เป็นที่รู้จักกันดี เช่น เพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ พบว่าโดยรวมไม่มีความแตกต่าง แต่อาจมีบางคนร้องแย่ ซึ่งอาจมีหรือไม่มีความผิดปกติทางด้านการรับรู้ร่วมด้วยก็ได้

การร้องเพลงแย่ (out-of tune singing) นั้นเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้จากความบกพร่องทางการรับรู้ (perceptual deficits) หรือความบกพร่องทางการประสานการควบคุมการเคลื่อนไหวในการออก เสียงร้อง (motor deficits) อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว

โดยพบว่า ในกลุ่มคนทั่วไปที่ร้องเพลงแย่นั้นไม่สามารถเลียนเสียง (imitative vocalization) ได้ แม้ว่าจะไม่มีความผิดปกติทางด้านการรับรู้และแยกแยะระดับเสียง (pitch discrimination) ก็ตาม

จากข้อมูลดังกล่าว นำไปสู่สมมติฐานที่ว่า การที่คนทั่วไปร้องเพลงแย่นั้นมีสาเหตุมาจากความบกพร่องของการทำงานที่ประสานกันระหว่างกระบวนการรับรู้และกระบวนการที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหว (sensorimotor deficit) กล่าวคือ ในกลุ่มคนที่ร้องเพลงแย่นั้นอาจมีกระบวนการแปลงสัญญาณ (mistranslation) ที่ผิดพลาดระหว่างกระบวนการแยกแยะระดับเสียงและการส่งต่อสัญญาณดังกล่าวไปยังสมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการออกเสียง

การศึกษาด้วยเครื่องมือ fMRI ในการศึกษาการทำงานของสมองในกลุ่มที่ร้องเพลงไม่เพี้ยน (accurate singers) และในกลุ่มที่ร้องเพี้ยน (poor pitch (tone–deaf) singers) ในขณะที่กำลังทำการเลียนเสียงที่กำหนด (vocal imitation)

เมื่อทำการวิเคราะห์ผลการศึกษาที่ได้พบว่า กลุ่มเพี้ยน ยังคงมีการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการได้ยิน (auditory areas) ในระดับปกติ ในขณะที่สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว (motor areas) กลับมีลักษณะการทำงานที่ลดลงหรือผิดปกติไป ซึ่งในที่นี้รวมถึงสมองส่วนที่ควบคุมการทำงานของกล่องเสียง (larynx motor cortex, posterior cerebellum และ supplementary motor area)

ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ว่า การร้องเพลงแย่นั้นมีสาเหตุมาจากความผิดปกติบางประการในกระบวนการเชื่อมโยงประสานงานระหว่างสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินซึ่งเป็นปกติและสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวเพื่อการออกเสียงของกล้ามเนื้อกล่องเสียง

จากการวิจัยร้องเพี้ยนนำไปขยายผลต่อยอดเพื่อการศึกษากระบวนการรับรู้ (cognition) ที่เกิดภายในสมองของมนุษย์อย่างแพร่หลาย เนื่องจาก ดนตรีนั้นสัมพันธ์กับการทำงานของสมองในหลายๆ ส่วนที่มีหน้าที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ (perception และ cognition), การเคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรมต่างๆ (action), อารมณ์ (emotion), การเรียนรู้ (learning) และการเกิดความจำ (memory)

ในปัจจุบันพบว่า มีข้อมูลการศึกษาและค้นพบใหม่ๆในสาขาวิชาซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำดนตรีมาใช้เพื่อบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพของสมองที่น่าสนใจเป็นจำนวนมาก.

หมอดื้อ