‘DIY เกลือหอม’ จากเกลือปรุงอาหาร!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/576541

โดย Health & Cuisine 19 ก.พ. 2559 16:01

 

การแช่ตัวหรือแช่เท้าด้วยเกลือเป็นสิ่งที่ดีนะคะ เพราะเกลือจะช่วยดึงสารพิษออกจากร่างกาย และขณะเดียวกันร่างกายจะดูดซึมแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์จากเกลือ แถมยังช่วยรักษาโรคผิวหนังบางชนิดด้วย

จะมีสักกี่คนที่ทราบว่า เกลือสำหรับแช่ตัว แช่เท้า สีสวยๆ และกลิ่นหอมๆ นั้น อาจทำจากสีและน้ำหอมสังเคราะห์ เมื่อเรานำมาใช้ร่างกายก็ดูดซับสารพิษเข้าไปด้วย

เราสามารถทำเกลือแช่ตัวใช้เองได้จากเกลือปรุงอาหาร โดยใช้สีสวยๆ จากผักผลไม้ และเติมกลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์กลิ่นโปรด ซึ่งวิธีทำก็ง่ายแสนง่าย

อุปกรณ์และส่วนประกอบ

เกลือป่น 200 กรัม (ต่อ 1 สี) / น้ำมันดอกทานตะวัน ½ ช้อนชา (ต่อ 1สี) / สีธรรมชาติจากผักผลไม้สมุนไพรตามชอบ / กระปุกหรือขวดแก้วสำหรับใส่เกลือหอม / ภาชนะสำหรับผสมและช้อนคน

วิธีทำ

1. เทเกลือป่นใส่ภาชนะ เติมน้ำมันดอกทานตะวันเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น คลุกเคล้าให้เข้ากัน

2. ใส่สีที่เตรียมไว้ประมาณ 2 ช้อนชา ถ้าอยากได้สีเข้มขึ้นก็เพิ่มได้ แต่อย่าใส่มากเกินไป เพราะเกลือจะละลาย เมื่อได้สีที่ชอบแล้วจึงหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบ 3-4 หยด แล้วคนคลุกเคล้าให้เข้ากัน ทำขั้นตอนเดียวกันนี้กับทุกสีที่เตรียมไว้ ถ้าอยากได้สีขาว เพียงแค่ไม่ต้องเติมสีค่ะ

3. บรรจุเกลือที่เสร็จแล้วลงในขวดหรือกระปุกแก้ว สามารถทำเป็นชั้นสีต่างๆ เพื่อความสวยงาม

Tip

*เกลือที่บรรจุแล้วเก็บในตู้เย็นได้นาน 1 เดือน
*เกลือหอม 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำสำหรับแช่เท้า และ 5 ช้อนโต๊ะ สำหรับแช่ตัว

สีสวยๆ จากธรรมชาติ

สีน้ำเงิน จากดอกอัญชัน โดยใช้ดอกอัญชันแห้งหรือสดมาแช่น้ำร้อน ให้สีน้ำเงินออกมาแล้วกรองเอาแต่น้ำ
สีเหลือง จากขมิ้น โดยใช้ผงขมิ้นป่น 1 ช้อนชา กับน้ำอุ่นประมาณ 120 มิลลิลิตร กรองเอาแต่น้ำ
สีเขียว จากน้ำวีทกราส
สีม่วง จากน้ำดอกอัญชันบีบน้ำมะนาว
สีชมพูเข้ม จากน้ำบีทรูทแยกกาก (น้ำบีทรูทเมื่อผสมกับเกลือแล้ว จะให้สีสันสวยงาม แต่เก็บได้ไม่นานสีจะเปลี่ยนไป ถ้าต้องการทำเป็นของขวัญควรเลือกใช้สีอื่น)

ที่มา – Health & Cuisine
www.healthandcuisine.com

พูดแล้วจะหาว่าโม้! นี่สิ เทคนิคสุดเบสิก เบิร์นน้ำหนักกระชับหุ่น!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/558432

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 19 ก.พ. 2559 06:05

 

ถ้าคุณลองลดน้ำหนักมาหลายวิธีแล้วไม่ได้ผล ทั้งควบคุมอาหารก็แล้ว งดทานน้ำตาลหรือของหวานก็แล้ว แต่ไม่ยักจะช่วยให้หุ่นของคุณเล็กลง อย่ารอช้า มาลองเทคนิคง่ายๆ เหล่านี้ ที่คอนเฟิร์มว่า ‘เห็นผลจริง’ จนคุณอดไม่ได้ที่จะต้องบอกต่อ! ไทยรัฐออนไลน์รวมมาให้เฟิร์มกัน.

1 2 3 ฮึบ ออกกำลังกายไก่โห่

ควบคุมอาหาร หรือทานอาหารน้อยลง มันก็ดีอยู่หรอกนะ แต่คุณลืมอะไรไปรึเปล่าว่า การออกกำลังกายก็ช่วยเบิร์นไขมันส่วนต่างๆ แถมยังเรียกเหงื่อกระชับสัดส่วนให้เล็กลง เรื่องผิวหนังหย่อนคล้อยคุณลืมไปได้เลย! จริงๆ คุณไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหนัก เพียงแค่บังคับตัวเองให้ตื่นมาตอนเช้าทุกวัน ออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งรับอากาศบริสุทธิ์ก็ดี หรือเอ็กเซอร์ไซส์เบาๆ ก็ดี อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ก็ช่วยให้หุ่นคุณกระชับขึ้น ยิ่งคุณควบคุมอาหารไปด้วย ทำให้เป็นนิสัยในทุกๆ วัน บอกเลยว่าวิธีนี้เวิร์คสุดๆ!

เรียกเหงื่อยามเช้า…

หม่ำ หม่ำ หม่ำ You are what you eat

ง่ายๆ เลย คุณทานอะไรก็เป็นแบบนั้นล่ะ ถ้าทานอาหารดูแลผิว ผิวพรรณคุณก็จะสวยเปล่งปลั่ง ถ้าทานอาหารเพื่อสุขภาพ มันก็จะช่วยให้คุณเฮลตี้ หรือแม้แต่คุณเลือกทานอะไร มันก็จะส่งผลต่อตัวคุณแบบนั้น ฉะนั้นหากคุณอยากมีหุ่นที่เป๊ะเฟิร์ม และปราศจากห่วงยางหน้าท้อง คุณก็ควรงดทานอาหารที่มีไขมัน ของทอด และจำพวกของหวานทั้งหลายแหล่ ที่จะทำให้หุ่นแลดูอ้วน-ลงพุง แต่ให้เน้นทานผักใบเขียว และผลไม้แทนเป็นประจำ ที่จะช่วยรักษาเสถียรภาพของการทาน และระบบขับถ่ายให้ทำงานเป็นปกติ… ที่สำคัญคือ คุณควรทานแต่พอดีนะ ไม่มากจนเกินไปในแต่ละมื้อ และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ยังไง๊ยังไงก็ไม่มีทางอ้วนฉุแน่นอน

งดของหวานเป็นดีที่สุด!

ทานแต่พอดี…

เลอค่า สวยคูณสอง

นอกจากการออกกำลังกายตอนเช้าแล้ว เราแนะนำให้คุณหากิจกรรมเสริมออกกำลังเบาๆ เพื่อเบิร์นไขมัน อะไรก็ได้ที่คุณชอบ ไม่ว่าจะเป็นขี่จักรยาน โยคะ แอโรบิค ว่ายน้ำ ต่อยมวย นานาจิตตังได้หมด ขอแค่มันทำให้คุณได้ออกกำลังในส่วนต่างๆ หากคุณอยากเบิร์นส่วนไหน ก็อาจเน้นออกกำลังในส่วนนั้นหน่อย เช่น คุณอยากกระชับช่วงแขนไม่ให้หย่อนคล้อย ก็อาจจะหันไปว่ายน้ำ หรือต่อยมวย อย่างน้อยวันละ 30-40 นาที เราอยากให้คุณหลีกเลี่ยงการออกกำลังแบบโหด หรืออะไรที่มันหนักจนเกินไป เพราะมันจะทำให้ร่างกายของคุณเหนื่อย รู้สึกเพลีย และโหยหิวหนักกว่าเดิม เนื่องจากเสียพลังงานไปเยอะ…

ว่ายน้ำก็เป็นกิจกรรมที่ไม่เลวนะ

อ่านนิด ชีวิตจะดี ศึกษาประโยชน์ของอาหารต่างๆ

การศึกษาอาหารต่างๆ ก่อนทานก็เป็นอีกหนึ่งวิธีช่วยได้ เพราะมันจะทำให้คุณรู้วัตถุดิบ ส่วนผสม และแคลอรี่รวมทั้งหมด คุณจะรู้ได้ว่าควรทาน หรือควรหลีกเลี่ยงทานอะไร อย่างแทนที่จะซื้อน้ำสลัดสำเร็จรูป คุณก็อาจจะลองทำเองเพื่อลดปริมาณไขมัน หรือเปลี่ยนการทานน้ำผลไม้ปั่น (ผสมน้ำเชื่อม) มาเป็นลองเลือกซื้อผัก-ผลไม้สดๆ แล้วเอาปั่นทานเองแบบไม่ใส่น้ำเชื่อม คุณก็จะได้ควบคุมทั้งปริมาณ และแคลอรี่ให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะได้ง่ายมากขึ้น

ต้องควบคุมแคลอรี่กันหน่อย…

โบกมือ ‘บาย’ รถสาธารณะนะจ๊ะ

สุดท้ายเราก็ได้แต่บอกคุณว่า อย่าขี้เกียจ! โดยเฉพาะอย่าเป็นคนขี้เกียจเดิน และพึ่งพาแต่รถสาธารณะ เพราะนั่นจะทำให้คุณไม่ได้ออกกำลังกายเลย ทางที่ดีลองเปลี่ยนจากการนั่งรถไฟฟ้า หรือรถเมล์ที่คุณเคยนั่งเป็นประจำ (ทั้งๆ ที่ระยะทางมันห่างกันเพียงหนึ่งสถานี) มาเป็นการเดินเรียกเหงื่อเบาๆ แทน ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้าระหว่างไปทำงาน (ซึ่งคุณอาจตื่นให้เช้าหน่อยจะได้ดูเร่งรีบมาก) หรือตอนเย็นเดินรับลมชิลๆ ก็ดีไม่น้อย ทำให้สม่ำเสมอแบบนี้ มันจะช่วยเซฟหุ่นของคุณได้อย่างน้อยก็ 200 แคลอรี่เลยทีเดียว แถมยังช่วยกระชับเรียวขาสวย และน่องขาให้ดูเล็กลงอีกด้วย บางทีเดินออกกำลังกายบ้างก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง จริงไหม?!

เดินบ้าง กระชับหุ่นเป๊ะ!

โรคกระดูกคอเสื่อม ตอนที่ 2

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/575482

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 19 ก.พ. 2559 05:01

 

ศุกร์สุขภาพประจำสัปดาห์นี้จะขอนำเสนอเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้น สำหรับคนที่เป็นโรคกระดูกคอเสื่อม

ทุกคนคงเคยมีอาการปวดคอซึ่งส่วนมากเกิดจากกล้ามเนื้อ หรือเอ็นรอบคอเกิดอาการเคล็ด ขัด ยอก ซึ่งไม่รุนแรงและหายไปได้เอง แต่ไม่แน่ว่าอาการเหล่านี้อาจเกิดจากกระดูกคอเสื่อมก็ได้ โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น ทุกคนก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้

ลักษณะอาการของโรค

เมื่อกระดูกคอเสื่อม หินปูนที่เกาะกระดูกและเอ็นจะไปกดเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดร้าวขึ้นไปถึงท้ายทอยหรือลงมาบริเวณสะบัก และจะปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือออกแรง ถ้าไม่มีการปวดร้าวมาที่แขน แสดงว่ายังไม่มีการกดเส้นประสาท แต่ปวดกระดูกและข้อต่างๆ ในกระดูกสันหลังที่มีการเสื่อมสภาพไป

ถ้ามีการกดทับเส้นประสาทใด จะมีอาการปวดร้าวไปตามบริเวณที่เส้นประสาทนั้นวิ่งไปเลี้ยง อาการนี้มักจะเป็นๆ หายๆ แบบเรื้อรัง โดยระดับกระดูกคอที่มีการเสื่อมบ่อยมากคือ กระดูกข้อที่ 5–ข้อที่ 7

โดยกระดูกข้อที่ 5–6 จะไปกดเส้นประสาทคอ เส้นที่ 6 และ เส้นที่ 7 ตามลำดับ

การที่เส้นประสาทคอเส้นที่ 6 ถูกกด จะมีอาการคือ ปวดหลังคอ ร้าวไปตรงกล้ามเนื้อแขน และอาจปวดร้าวไปถึงแขนท่อนล่างจนถึงนิ้วโป้งและนิ้วชี้ ส่วนอาการเส้นประสาทคอเส้นที่ 7 ถูกกด คือปวดหลังคอร้าวไปด้านหลังของไหล่ ไปหลังแขนตรงกล้ามเนื้อเหยียดแขนและอาจปวดร้าว ไปถึงด้านหลังของแขนท่อนล่างจนถึงนิ้วกลาง

ถ้ามีการกดประสาทไขสันหลัง จะมีอาการแบบค่อยๆ อ่อนแรงลงเรื่อยๆ ใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีจนกระทั่งเดินไม่ได้ แต่ในระยะเริ่มต้นมักมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น เดินไม่คล่อง ทำของหล่นจากมือบ่อยๆ เมื่อเป็นมากขึ้นจะเดินขากาง โน้มตัวไปข้างหน้า ในที่สุดจะเดินไม่ได้ต้องนั่งรถเข็น กลัดกระดุมเสื้อไม่ได้ เขียนหนังสือลายมือไม่เหมือนเดิม ต้องเปลี่ยนลายเซ็นกับธนาคาร ซึ่งเมื่อทำการตรวจร่างกายก็จะพบกล้ามเนื้อลีบและอ่อนแรงลง กล้ามเนื้อต้นขาอ่อนแรง มีอาการปวดแบบไฟฟ้าช็อต หรือชาไปกลางหลังเวลาก้มคอ

การวินิจฉัย

สำหรับการวินิจฉัยเพื่อรักษานั้น ในคนที่อายุมากส่วนใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงของกระดูกคอที่เห็นได้จากภาพรังสี แต่ส่วนน้อยเท่านั้นที่มีอาการ ดังนั้นการวินิจฉัยโรคนี้ต้องซักประวัติและตรวจร่างกายให้ดี อาการทุกอย่างต้องดูจากภาพทางรังสี และภาพทางคอมพิวเตอร์แม่เหล็ก MRI

นายแพทย์ทวีศักดิ์ จันทร์วิทยานุชิต
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

อาการน้องจิ๊มิแบบนี้ สาวๆ เป็นไรอะ!?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/575639

โดย Cleo Thailand 18 ก.พ. 2559 16:01

 

นอกจากสาวๆ ยุคนี้จะเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบกันบ่อยมากแล้ว เราขออัพเดตให้ฟังว่า อาการผิดปกติของจิ๊มิดังต่อไปนี้ ที่คุณอาจกำลังเป็นอยู่ (แต่ก็ไม่กล้าไปหาหมอ เพราะคิดว่ามันไม่หนักหนาสาหัส) เราไปถามคุณหมอหลายๆ คน แล้วสรุปว่า 5 โรคนี้ล่ะ ที่สาวๆ ทำงานทุกคนมีสิทธิ์เป็น!! อาการแบบไหนถ้าปล่อยทิ้งเอาไว้ จิ๊มิจะโดนทำร้ายในอีกไม่นานชัวร์

1. ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

คืออะไร: มันคือการที่ช่องคลอดอักเสบและติดเชื้อแบคทีเรีย

อาการ: โรคนี้ทำให้มีตกขาวมากและมีกลิ่นเหม็น แต่ผู้หญิงบางคนก็อาจไม่มีอาการของโรคเลย

สาเหตุเกิดจาก: ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า “สาเหตุเกิดจากการเสียสมดุลของเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด ถึงโรคนี้จะไม่ถือว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่สาเหตุของโรคหลายอย่างก็เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเพศ และเกิดบ่อยในผู้หญิงที่มีเซ็กซ์กับผู้หญิงด้วยกัน”

รักษายังไง: ถ้าคุณเป็นโรคนี้ก็ไม่ต้องกังวลเพราะมันรักษาได้ด้วยการทานยาฆ่าเชื้อ หรือใช้ยาเหน็บช่องคลอด แต่อาการของโรคอาจกลับมาอีกภายใน 6-12 เดือน ซึ่งก็สามารถรักษาได้ด้วยการรักษาที่ยาวนานขึ้นกว่าเดิม

2. ช่องคลอดอักเสบ

คืออะไร: การอักเสบของช่องคลอด ที่มักเกิดร่วมกับการติดเชื้อ

อาการ: อาการแต่ละอย่างสุดอี๋ เพราะมันรวมถึงอาการคัน ช่องคลอดบวม แดง มีตกขาว กลิ่นเหม็น และเจ็บปวดเวลาปัสสาวะ

สาเหตุเกิดจาก: แพทย์บอกว่า “มีหลายสาเหตุที่อาจทำให้ช่องคลอดอักเสบได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเกี่ยวกับการเสียสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด ทำให้เกิดการเจริญเติบโตของยีสต์และแบคทีเรียมากเกินไป สาเหตุอื่นๆ รวมถึงเชื้อราในช่องคลอด การติดเชื้อแบคทีเรีย หรือโรคพยาธิในช่องคลอดซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างหนึ่ง แต่ก็พบได้ไม่บ่อยนัก”

รักษายังไง: มันพูดยากอยู่ แพทย์บอกว่าการรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรคว่าเกิดจากอะไร

3. เนื้องอกมดลูก

คืออะไร: ก้อนเนื้อที่โตบนผนังมดลูก และบางครั้งโตจนยื่นเข้าไปตรงส่วนด้านในหรือด้านนอกของมดลูกด้วย

อาการ: เนื้องอกมักมาร่วมกับการมีประจำเดือนมากและนาน ในบางเคสอาจทำให้มีลูกยาก แท้งลูก เจ็บเชิงกราน และคลอดลูกก่อนกำหนดด้วย

สาเหตุเกิดจาก: ไม่มีใครรู้เลย แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า “ฮอร์โมนของผู้หญิงก็มีส่วนสำคัญ เพราะเนื้องอกมักจะไม่เกิดในผู้หญิงก่อนแตกวัยสาวและผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื้องอกที่มีอยู่แล้วจะหยุดโตและหดเล็กลงหลังหมดประจำเดือน”

รักษายังไง: “ถ้าไม่มีสาเหตุที่บ่งชัด เราก็ปล่อยเนื้องอกไว้ได้ แต่ถ้ามันทำให้เกิดอาการอื่นหรือโตผิดปกติก็ต้องผ่าตัดเอาออก”

4. ปีกมดลูกอักเสบ

คืออะไร: ปีกมดลูกอักเสบเป็นการติดเชื้อที่ช่องคลอดที่ลามมาถึงมดลูก ท่อนำไข่ และเนื้อเยื่อรอบๆ

อาการ: การอักเสบอาจทำให้มีตกขาวมากผิดปกติ มีเลือดออก ปวดท้อง และเป็นไข้

สาเหตุเกิดจาก: “เคสส่วนใหญ่จะเกิดในผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 20-29 ปี และร้อยละ 60-80 ของเคสในช่วงอายุนี้จะเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อจากเซ็กซ์ โดยเฉพาะหนองใน นอกจากนี้ยังอาจเกิดหลังจากขั้นตอนต่าง ๆ ทางนรีเวช เช่น การขูดมดลูก การทำแท้ง หรือการใส่ห่วงอนามัยคุมกำเนิด

รักษายังไง: รักษาหายขาดได้ถ้าพบแพทย์โดยเร็ว “การรักษาแต่เนิ่นๆ โดยใช้ยาปฏิชีวนะนั้นสำคัญมากค่ะ มันมักจะรวมถึงการให้ยาทานร่วมกับยาฉีด ซึ่งจะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อนในระยะยาว เช่นท่อนำไข่ตัน ภาวะมีบุตรยาก การท้องนอกมดลูก และการปวดเชิงกรานเรื้อรัง อาการต่างๆ เหล่านี้มักเกิดกับคนที่เป็นโรคนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก คุณจึงควรให้แฟนทานยาปฏิชีวนะด้วย หมั่นตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่เสมอ และใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเซ็กซ์กับแฟนคนใหม่”

5. สิวหรือฝีที่อวัยวะเพศ

คืออะไร: อาการทางผิวหนังเรื้อรังที่ทำให้เกิดตุ่มคันเหมือนสิวหรือฝีตรงบริเวณรักแร้ เต้านม และน้องจิ๊มิ

อาการ: ตุ่มที่เกิดขึ้นจะแดง เจ็บและมีหนอง อาจทำให้อักเสบและเป็นแผลเป็นที่ผิวหนังได้

สาเหตุเกิดจาก: การอักเสบเกิดจากการอุดตันของต่อมขน แต่ก็ยังไม่ชัดเจนนัก ผู้เชี่ยวชาญบอกเราว่า “สาเหตุนี้ยังไม่ชัดเจนค่ะ ส่วนฮอร์โมน พันธุกรรม การสูบบุหรี่และน้ำหนักที่มากเกินไปก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งด้วย”

รักษายังไง: แม้ว่าโรคนี้จะยังไม่มีทางรักษาให้หายขาด แต่ก็รักษาตามอาการได้ โดยการใส่เสื้อผ้าหลวมๆ และรักษาความสะอาดของบริเวณที่เป็น การทานยาปฏิชีวนะหรือยาที่มีสเตียรอยด์ก็อาจช่วยได้ ในกรณีที่รุนแรงมาก อาจต้องรักษาโดยการผ่าตัดดูดเอาหนองออก

ที่มา – Cleo Thailand
www.cleothailand.com

นักร้องดังไม่เรียก FACE OFF /FACE LIFT… 10 ข้อการทำศัลยกรรมที่คุณต้องรู้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/579138

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 18 ก.พ. 2559 13:05

 

กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ พร้อมกับหักมุมในท้ายสุด กับการออกมาประกาศผ่านสื่อของนักร้องดังว่า จะทำการ FACE OFF กระชากวัยให้หน้าเด็กลง จนล่าสุดผู้เกี่ยวข้องออกมาแจ้งความกรณีนี้ จนเป็นเรื่องเป็นราวกันยกใหญ่ ถ้าตัดเรื่องคดีความ คำถามก็คือ คำๆ นี้มันมีจริงหรือ แล้วศัลยกรรมมีแต่ความสวยงามหรือไม่ มีข้อพึงระวังอย่างไร ไทยรัฐออนไลน์ รวมมาให้ความรู้กัน

1. FACE OFF ศัพท์ใหม่แห่งวงการแพทย์ที่กำลังสร้างความสับสนในหมู่คนไทยจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่หมอด้วยกันเอง เนื่องจากคำว่า FACE OFF ไม่ใช่ศัพท์ทางการแพทย์ แต่เป็นคำที่หยิบยืมมาจากภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง FACE OFF ซึ่งนำแสดงโดย จอห์น ทราโวตา และ นิโคลัจ เคจ โดยภาพยนตร์นี้เป็นเรื่องราวของพระเอกที่ลงทุนผ่าตัดสลับหน้ากับคนร้ายที่เป็นเจ้าชายนิทราเพื่อสืบคดี

2. ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา บอกว่า “FACE OFF” แปลตรงๆ จากอังกฤษเป็นไทยว่า “เผชิญหน้า” แต่ FACE OFF ที่ปรากฏในข่าวช่วงนี้ หมอว่าคนเอามาจากภาพยนตร์เรื่อง FACE OFF ที่มีตัวเอกเข้ารับการผ่าตัดใบหน้าเพื่อปลอมตัวเป็นคนอื่น การทำ FACE OFF ในภาพยนตร์ แพทย์ในเรื่องได้ผ่าตัดเอาใบหน้าของคนที่ใกล้เสียชีวิตมาสลับกับใบหน้าของพระเอก การผ่าตัดในลักษณะนี้มีอยู่จริงในวงการการแพทย์ แต่ไม่ใช่วิธีที่แพทย์จะรับทำง่ายๆ เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการสมรู้ร่วมคิดในคดีอาชญากรรม โดยการผ่าตัดแบบภาพยนตร์ FACE OFF ศัพท์ทางการแพทย์เราเรียกว่า FACE TRANSPLANTATION หมายถึง เปลี่ยนทั้งหน้าตาและเนื้อเยื่อ การทำ FACE TRANSPLANTATION เป็นเรื่องที่ทำได้ยากและซับซ้อนมาก เพราะต้องต่อเส้นประสาทและเส้นเลือด

3. แต่การเปลี่ยนรูปหน้าในปัจจุบัน (เช่น ในรายการ Let Me In ของเกาหลี ที่เปลี่ยนคนให้ดูดีขึ้นจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม) ทางการแพทย์เรียกว่า FACE RECONSTRUCTION (ปรับโครงสร้างหน้า) แม้ว่าวิธีนี้จะทำให้ใบหน้าคนไข้เปลี่ยนไปเป็นคนใหม่ แต่เนื้อเยื่อของคนไข้ยังเป็นของตัวเองเหมือนเดิมทุกประการ

ส่วนกรณี นักร้องดังที่เป็นข่าวนั้น นายกแพทยสภาบอกว่า เป็นการดึงหน้าให้ตึงขึ้นเราเรียกว่า FACE LIFT (ยกหน้า) แน่นอน

4. VECTOR LIFT คืออะไร VECTOR LIFT เป็นอีกหนึ่งวิธีเปลี่ยนแปลงใบหน้าใหม่ให้กับคนอยากหล่ออยากสวยในเวลาอันรวดเร็ว และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน ด้วยการฉีดสารเติมเต็ม เช่น โบทอกซ์ และฟิลเลอร์ เพื่อปรับทิศทางและองศาของโครงสร้างผิวและกล้ามเนื้อมัดต่างๆ รวมถึงแนวกระดูกบนใบหน้า จนได้เป็นมุมและองศาที่ลงตัวสวยงามเฉพาะแต่ละบุคคล ซึ่งจะมีข้อดีตรงที่ไม่ต้องพักฟื้นนาน ซึ่งวิธีนี้ไม่ได้เหมาะกับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังเหมาะกับคนทุกประเภทที่ต้องการเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ให้เด็กลง ให้คนที่อยากมีใบหน้าวีเชป หรือแม้แต่คนที่มีความบกพร่องบนใบหน้าก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน

5. และเพื่อให้ไม่อันตรายและไม่โดนหลอกลวง นายกแพทยสภาบอกว่า การทำศัลยกรรมทุกประเภทจำเป็นต้องอยู่ในมือแพทย์ที่จบเฉพาะทาง มีประสบการณ์และใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน เพราะปัจจุบันมีคนไข้จำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อของคลินิกต่างๆ ที่อวดอ้างสรรพคุณจนเกินควร และนำอุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐานมาใช้

6. สำหรับข้อพึงระวังที่ผู้เชียวชาญแนะนำ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่ผ่านการรับรองจาก อย. หาซื้อง่าย และมีขายในตลาดความงามจำนวนมาก โดยเฉพาะกลูต้าเถื่อน โบทอกซ์เถื่อนและฟิลเลอร์เถื่อน ชนิดที่คนไข้ดูเองก็ดูไม่ออก ส่งผลให้คลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน มักจะนำของเถื่อนเหล่านี้มาใช้เพื่อลดราคาการให้บริการ และเรียกลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการเยอะๆ ซึ่งสารเหล่านี้อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต หรือบางประเภทฉีดไปแล้วอาจไม่ได้ผลเลย

7. ปัญหาเรื่องหมอ ปัจจุบันมีแพทย์ที่ไม่ได้จบศัลยกรรมตกแต่งมาเปิดคลินิกเสริมความงามจำนวนมาก ส่งผลให้คนไข้ที่โชคร้ายต้องเจอกับเหตุไม่พึงประสงค์ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อและเสียโฉม เพราะหมอกลุ่มนี้ขาดประสบการณ์ในการผ่าตัด และไม่ได้รับการอบรมเหมือนหมอเฉพาะทางที่ร่ำเรียนมาอย่างน้อย 5 ปี เช่นเดียวกับการฉีดสารเติมเต็มต่างๆ ก็ต้องทำโดยแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น คนที่ไม่ใช่หมอแล้วมาทำการฉีดถือว่าผิดกฎหมาย เพราะการฉีดสารต่างๆ เข้าร่างกายคนไข้ต้องใช้ความรู้ และความชำนาญทางการแพทย์ หากฉีดผิดจุด อาจทำให้คนไข้เป็นอัมพาตหรือเสียชีวิตได้

8. โดยใครที่กำลังมองหาศัลยแพทย์ตกแต่งที่จบเฉพาะทาง และผ่านการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง สามารถตรวจสอบรายชื่อหมอได้ที่สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย http://www.plasticsurgery.or.th/lst_name.php

9.เช่นเดียวกับการตรวจสอบชื่อแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ตรวจเช็กได้ที่ http://www.dst.or.th/html/index.php?op=article-search_md

10. อย่างไรก็ดี ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คนอยากสวยหลายคน ต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายคือ ความไม่พร้อมของคนอยากศัลย์ ไม่พร้อมในที่นี้คือ หาข้อมูลน้อยเกินไป, ขาดความสามารถในการดูแลตัวเอง หรือแม้แต่งบจำกัด ซึ่งทั้งหมดคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากยอมพลีชีพกับคลินิกเสริมความงามที่ลดราคาล่อตาล่อใจ ทั้งๆ ที่มีคลินิกและโรงพยาบาลที่ปลอดภัยเยอะมากในประเทศไทย คนที่ทำแล้วสวยปลอดภัยในระยะยาวคือโชคดีไป แต่คนจำนวนไม่น้อยที่โชคร้ายเสียทั้งเงิน เสียทั้งโฉม แล้วไม่มีคนรับผิดชอบอีกต่างหาก

ฉะนั้น การทำศัลยกรรมต้องดูความพร้อมของตัวเองเป็นหลัก ต้องมีเวลาในการพักฟื้น และต้องยอมลงทุนให้กับความสวยงาม ที่สำคัญต้องหาข้อมูลให้แน่นที่สุด คุยกับแพทย์ให้แน่ใจ แล้วลุย เพราะ ความสวยไม่จำเป็นต้องรีบ ถ้ารีบอาจจะได้ในสิ่งที่เป็นตราบาปติดหน้าคุณไปตลอดชีวิตก็เป็นได้.

ข้อมูล: ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา และ แพทย์หญิง นันทภัทร์ สุภาพรรณชาติ อาจารย์แพทย์ด้านผิวหนัง จากโรงพยาบาลรามาธิบดี 

6 วิธีเล้าโลมที่สาวๆ ไม่ปลื้ม!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/575609

โดย FHM 17 ก.พ. 2559 16:01

 

Foreplay หรือ การเล้าโลม ถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อเซ็กซ์ สำหรับ 6 วิธีเล้าโลมที่ควรหลีกเลี่ยง เสี่ยงจะทำให้คนข้างกายไม่ประทับใจ!

1. รุนแรงเกินไป

เพราะชีวิตจริงไม่เหมือนหนังโป๊ จะมาตะกละตะกลามใช้ความรุนแรงก็เป็นเรื่องไม่ควรอย่างยิ่ง คุณควรแตะต้องตัวเธออย่างนุ่มนวล ทำตัวตามสบาย อย่าเกร็ง พูดคุยกับเธอ ลองถามเธอดูก็ได้ว่าชอบให้แรงขึ้นหรือเบาลง แต่ทางที่ดีควรเริ่มจากการนวดคลึง แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มน้ำหนัก แล้วมันจะส่งผลเต็มที่ ไม่ว่าคุณจะใช้อวัยวะไหนในการเริ่มต้นกระตุ้น

2. วนอยู่ที่เดิมๆ

ไม่ต้องไปถามคนอื่นหรอก ชอบไหมล่ะ? ถ้าจะมีใครมาคลึงวนๆ เวียนๆ อยู่ตรงที่เดิม ขืนคุณเจอแต่แบบนี้ มีหวังเบื่อตายชัก ทางที่ดีควรหาที่หาทางใหม่ๆ ในการสัมผัสบ้าง อย่างเช่น อาจเริ่มจากคลอเคลียหัวไหล่ แล้วย้ายไปคลอเคลียยังซอกคอ หรือต่อเนื่องด้วยหน้าท้องหรือแผ่นหลัง ไปยังจุดอื่นที่น่าตื่นเต้น โดยไม่จำเป็นต้องเป็นจุดเดิมๆ!

3. ทำตามขั้นตอนเกิ๊น!

สิ่งที่น่าเบื่อที่สุดก็คือการทำอะไรซ้ำๆ เหมือนๆ กัน เหมือนเรียบจบ ทำงาน มีบ้าน มีรถ ถ้ายังนึกไม่ออก แทนที่จะนับ 1-2-3-4 คือ กอด จูบ ลูบคลำ แล้วจบที่ถ้ำสวรรค์ ลองเปลี่ยนมาเป็น 3-2-1-4 บ้างก็ได้ โค้ชฟุตบอลยังมีแผนการเล่น คุณก็ควรครีเอตเรื่องบนเตียงให้น่าตื่นเต้นบ้าง เผื่อจะค้นพบหนทางที่สว่างไสวกว่า

4. ดุดันเกินเหตุ

ผู้หญิงบางคนอาจไม่ชอบให้ผู้ชายใช้ปากกับของสงวน แถมบางคนยังจู่โจมส่วนนั้นด้วยความรุนแรงอีกต่างหาก แต่ถ้าคุณคิดจะใช้ปากและลิ้นจริงๆ ก็ลองเริ่มด้วยการดื่มอะไรหวานๆ ก่อนปฏิบัติการรัก เพื่อกักน้ำลายไว้ให้ปากชื้น มันจะเป็นตัวหล่อลื่นชั้นดี อย่าฝืนทำในขณะที่บริเวณนั้นยังแห้งผากเด็ดขาด

5. อย่าบิดหาเหมือนคลื่นวิทยุ

อันนี้ขอเลย หยุดใช้วิธีนี้กับผู้หญิงเสียที การบิดหัวถันนอกจากจะไม่ทำให้เกิดอารมณ์แล้ว (อันนี้หมายถึงคนปกติทั่วไป ไม่ใช่คนที่นิยมความซาดิสต์!) ยังทำให้เจ็บสุดๆ ด้วย ลองเปรียบเทียบดูก็ได้ มันเจ็บเหมือนมีใครเอานิ้วมาบิดหัวจรวดคุณเล่นนั่นแหละ…

6. เปิดเกมรุกทันที ไม่มีเล้าโลม

ข้อนี้ถือเป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัย หรือเล้าโลมไม่ทันไรก็จะสอดใส่ซะแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าผู้หญิงเสร็จช้ากว่า แต่ก็ยังไม่ถ่วงเวลาให้ไปถึงพร้อมๆ กัน เอาแต่จุดสุดยอดของตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วปล่อยอีกฝ่ายไว้กลางทาง ค้างๆ คาๆ เหมือนจะสุขสมแต่ก็ไปไม่สุดทาง ทีหลังใครเขาจะมาเล่นกับคุณด้วยเล่า!

ที่มา – FHM Thailand
www.fhm.in.th

สะโพกกระชับ ขาสวยด้วยท่าสควอช

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/576532

โดย Health & Cuisine 16 ก.พ. 2559 16:01

 

ใครมีปัญหาเรื่องขาใหญ่ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปค่ะ เพราะเรามีท่าเอ็กเซอร์ไซส์ที่ง่ายแสนง่าย และได้ผลดีมาก นั่นคือท่า สควอช ท่าบริหารต้นขาด้านหน้าที่จะช่วยให้ทั้งขาและสะโพกกระชับยิ่งขึ้น ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ แค่ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เท่านั้น

1. ยืนแยกขาความกว้างประมาณไหล่ โดยหันปลายเท้าออกด้านข้างเล็กน้อย ยืดแขนไปด้านหน้า แล้วหายใจเข้า

2. ค่อยๆ ย่อตัวลงพร้อมหายใจออก โดยให้ลำตัวตั้งตรง ดันสะโพกไปด้านหลัง เกร็งหน้าท้อง และต้นขาขนานกับพื้น ระวังไม่ให้หัวเข่ายื่นเกินปลายเท้า

3. หายใจเข้าแล้วค่อยๆ ยืดตัวกลับสู่ท่าเดิม
ทำท่านี้เซ็ตละ 25 ครั้ง ทั้งหมด 4 เซ็ต เป็นประจำทุกวัน เพียงเท่านี้คุณก็มีขาเรียวสวย และสะโพกกระชับแล้ว

ที่มา – Health & Cuisine
www.healthandcuisine.com

แพทย์ชี้พฤติกรรมทำร้ายข้อเข่า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/577660

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 16 ก.พ. 2559 05:45

 

ศ.คลินิก นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน (กลาง) ผอ.รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์, รศ.นพ.กีรติ เจริญชลวานิช (ซ้ายสุด) และทีมแพทย์ร่วมกิจกรรม Family Day.

คนทั่วไปมักจะคิดว่าข้อเข่าเสื่อมจะเป็นไปตามวัย คือเกิดกับผู้สูงวัย แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคข้อเสื่อม มักเกิดจากการใช้งานข้อที่ไม่ถูกต้อง ใช้งานหนัก หากใช้งานไม่ถูกต้อง ก็จะเร่งให้โรคข้อเสื่อมเป็นเร็วขึ้น เพื่อให้ความรู้การดูแลข้อเข่าและข้อสะโพก โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ได้จัดกิจกรรม “ครอบครัวข้อดี Family Day” เกี่ยวกับสถานการณ์โรคข้อเสื่อมในประเทศไทย และการดูแลข้อเข่าและข้อสะโพกหลังการผ่าตัด ณ สวนเฉลิมพระเกียรติ รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์

รศ.นพ.กีรติ เจริญชลวานิช ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ กล่าวว่า โดยทั่วไป โรคข้อเข่าเสื่อมมักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ในช่วงวัยตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งนอกจากจะมีสาเหตุมาจากการเสื่อมที่เกิดจากการใช้งานแล้ว ยังพบว่า มีโรคบางอย่างเป็นสาเหตุให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้เร็วกว่าวัยอันควร ดังนั้นเราจึงควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมในชีวิตประจำวันว่า ทำร้ายข้อเข่าอยู่หรือไม่ และที่สำคัญควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของข้อเข่า พฤติกรรมทำร้ายข้อเข่า มีดังนี้ 1.นั่งงอเข่า ขัดสมาธิ พับเพียบ หรือนั่งยองๆ เป็นประจำ จะเพิ่มแรงอัดภายในข้อเข่า ซึ่งจะรบกวนการนำอาหารไปสู่เซลล์กระดูกอ่อนผิวข้อ 2.น้ำหนักตัวมากเกิน เพราะข้อเข่าต้องรับน้ำหนักตัวตลอดเวลาที่ใช้งานข้อ ไม่ว่าจะเป็นการยืน เดิน หรือขึ้นลงบันไดก็ตาม 3.ใส่รองเท้าส้นสูง จะทำให้ข้อเข่ามีแรงกดทับ มากกว่าปกติ ทั้งยังทำร้ายข้อบริเวณโคนนิ้วหัวแม่เท้า เพราะเป็นอวัยวะที่ต้องรับน้ำหนักก่อนจุดอื่นๆ ซึ่งเป็นจุดที่รับน้ำหนักได้ง่าย และหากคนที่ข้อเข่าไม่แข็งแรง หรือมีโครงสร้างร่างกายผิดปกติ จะมีผลกระทบมากกว่าคนปกติ

วิธีสังเกตอาการข้อเสื่อมนั้น จะมีเสียงดังขณะขยับข้อไปมา บ้างก็มีอาการข้อฝืด โดยเฉพาะ เวลานั่งนานๆ หรือขณะเปลี่ยนอิริยาบถ จะเหมือนข้อถูกล็อกไว้ ต้องขยับไปมาสัก 2-3 ครั้ง จึงเหยียดเข่าออกได้ บางรายมีข้อบวมโต หรือมีบวมแดง การรักษาทำได้หลายวิธี ตั้งแต่การใช้ยา ควบคู่กับการทำกายภาพบำบัด หรือในกรณีของผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรักษาด้วยการเปลี่ยนข้อเข่าเทียม การผ่าตัดก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไป ปัจจุบันมีการนำคอมพิวเตอร์ และหุ่นยนต์ผ่าตัด มาช่วยในการผ่าตัด ทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กลงกว่าแต่เดิมมาก ขณะเดียวกันแพทย์สามารถป้อนข้อมูล ผู้ป่วยต่างๆ เข้าไปในคอมพิวเตอร์ ซึ่งช่วยเพิ่มความถูกต้องแม่นยำในการคำนวณ มีความละเอียดเป็นหน่วยมิลลิเมตร ช่วยให้แพทย์แต่งกระดูกให้ได้มุมสอดรับกับผิวข้อเทียม และช่วยในการวางตำแหน่งของข้อเข่าเทียมได้แม่นยำ ลดการบอบช้ำ เสียเลือดน้อย ฟื้นตัวเร็ว สามารถเดินได้เร็วภายใน 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัด.

ชัวร์หรือมั่ว! ความเชื่อเรื่องดูแลน้องจิ๊มิ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/575586

โดย Cleo Thailand 15 ก.พ. 2559 16:01

 

1. ใช้น้ำยาล้างทำความสะอาดน้องจิ๊มิ เธอจะได้ไม่ติดเชื้อ

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า: มั่ว

“ช่องคลอดมีกลไกทำความสะอาดตามธรรมชาติอยู่แล้ว การล้างด้วยน้ำเปล่าและสบู่ธรรมดาก็เพียงพอแล้ว น้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงอาจทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนัง และทำลายสมดุลของแบคทีเรียที่ช่องคลอดจึงควรหลีกเลี่ยง รวมถึงพวกน้ำยาดับกลิ่นหรือสเปรย์ต่างๆ ที่ใช้ฉีดตรงส่วนนั้นด้วย”

2. จีสตริงทำให้เชื้อแบคทีเรียเพิ่มมากขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า: มั่ว

“กางเกงในผ้าฝ้ายดีที่สุดค่ะ และตอนนอนไม่ควรใส่กางเกงในเพราะจะทำให้ช่องคลอดไม่อับชื้นและความเป็นกรดด่างสมดุล ป้องกันไม่ให้เกิดเชื้อราและการอักเสบของช่องคลอด ส่วนจีสตริงนั้น ถ้าคุณใส่แล้วรู้สึกสบายก็ใส่เถอะค่ะ ไม่มีหลักฐานอะไรที่บ่งชี้ว่าจีสตริงทำให้เกิดการแพร่เชื้อแบคทีเรีย”

3. ควรเข้าห้องน้ำหลังมีเซ็กซ์

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า: จริง

“การปัสสาวะหลังมีเซ็กซ์ช่วยป้องกันโรคกระเพราะปัสสาวะอักเสบได้ค่ะ เวลาเช็ดทำความสะอาดก็ควรเช็ดจากหน้าไปหลัง นอกจากนี้คุณควรดื่มน้ำมากๆ และอย่ากลั้นปัสสาวะ ระหว่างมีประจำเดือนให้เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ และไม่ควรใช้ผ้าอนามัยที่มีน้ำหอม”

4. ทานวิตามินเพื่อสุขภาพที่ดีของจิ๊มิ

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า: มั่ว

“การทานอาหารที่มีประโยชน์และครบห้าหมู่ต่างหากที่สำคัญ ไม่มีหลักฐานอะไรที่บอกว่าวิตามินและอาหารพวกโปรไบโอติกส์จะช่วยเสริมสร้างให้สุขภาพของช่องคลอดดีขึ้นค่ะ”

ที่มา – Cleo Thailand
www.cleothailand.com

14 ประโยคของผู้หญิงที่จะทำให้ผู้ชายของขึ้น!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/575169

โดย Cosmopolitan 14 ก.พ. 2559 16:01

 

ไม่ว่าจะก่อนหรือระหว่างบรรเลงเพลงรัก ธรรมชาติของผู้ชายส่วนใหญ่ชอบพูดจาทะลึ่งใส่ผู้หญิง แต่คุณรู้หรือไม่ผู้ชายก็ชอบให้ผู้หญิงพูดทะลึ่งใส่เหมือนกัน มาดูคำบอกเล่าของคุณผู้ชาย 14 คนที่คอสโมสำรวจมาแล้วว่าเคยขาอ่อนปวกเปียกนั่งไม่อยู่ยืนไม่ไหวต้องลากเตียงมาพยุง ด้วยคำพูดสุดแสบของคุณผู้หญิง!

1. “ชั้นสงสัยจังเลยว่าคนเขากินพายกันในรถไปได้ยังไง”
“ตอนนั้นเพิ่งคบกันแรกๆ มันเป็นแค่ประโยคคำถามลอยๆ ที่แฟนผมพูด ตอนนั้นเดินห้างอยู่เลยจูงมือพาแฟนไปที่รถแล้วบอกว่า เดี๋ยวจะบอกให้ว่าเขาทำกันยังไง” – บอส พนักงานบริษัท อายุ 26 ปี

2. “โอย ทำไมปืนที่รักมันใหญ่จัง”
“ปืนผมก็ไม่ได้ใหญ่อะไรแต่พอแฟนชม มันใหญ่ขึ้นทุกที” – เก่ง นักศึกษาฝึกงาน อายุ 23 ปี

3. “Love me hard and I’ll scream your name!”
“ตอนนั้นผมกำลังตีกลองอยู่ที่จังหวะ ตึก ตึก โป๊ะ ตึก ตึก พอได้ยินประโยคนั้น ผมรัวกลองไม่ยั้ง จากเพลงช้า Easy listening กลายเป็น Heavy metal ทันที” – ลูค นักเรียนแลกเปลี่ยน อายุ 23 ปี

4. “ที่รัก…วันนี้เค้าไม่ได้ใส่กางเกงใน”
“เอาจริงนะ ผมทั้งโกรธทั้งเขิน ตอนนั้นกำลังขับรถไปกินข้าวข้างนอก ก็เลยวนกลับบ้านพาแฟนกลับไปใส่ กกน.ที่บ้านครึ่งชั่วโมง ฮ่าๆ” – ต้น ช่างภาพ อายุ 26 ปี

5. “เค้าเป็นของเธอคนเดียวนะ”
“เธอพูดคำนี้ระหว่างที่เรากำลังทำกิจกามกันอยู่ มันทำให้ผมกลายเป็นจัสติน ไวเวอร์หลังจากได้ยินคำนั้นเพียง 10 วิฯ ให้หลัง” – นิว ฟรีแลนซ์ อายุ 24 ปี

6. “ฉันก็แค่อยากเป็นตุ๊กตายางตัวน้อยๆ ของคุณ”
“แฟนใช้น้ำเสียงเบาๆ แบบอ้อนนิดๆ มันทำให้ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว” – ทิม ดีเจ อายุ 23 ปี

7. “Eat me!”
“สั้นๆ ง่ายๆ ได้อารมณ์” – จอห์นนี่ ธุรกิจส่วนตัว อายุ 24 ปี

8. “ลงโทษเค้าหน่อย วันนี้เค้าทำตัวไม่ดีเลย”
จะให้ผมตีหรือเตะก้นแฟนมันก็ไม่ใช่อยู่แล้ว จะลงโทษให้หลาบจำให้เข็ดไป 7 วัน” คนเถื่อนไม่ประสงค์ออกนาม อายุ 35 ปี

9. “I woke up wet this morning”
“เธอทำให้ผมเป็นบ้าทุกครั้งที่ตื่นมาเห็นข้อความพวกนี้ ด้วยความที่เธอเป็นแบบนี้ ผมเลยแทบไม่เคยโกรธเธอลงเลยสักเรื่อง” – ต่อ เชฟ อายุ 27 ปี

10. “รู้ไหมว่าเวลาคุณโกรธ มันเซ็กซี่ขนาดไหน”
“ผมจับได้ว่าแฟนโกหก แต่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อย ซึ่งตอนนั้นผมกำลังโกรธมากและกำลังบ่นแฟนอยู่ แฟนนั่งเงียบไม่พูดอะไรแต่มองผมด้วยสายตานิ่งแล้วพูดประโยคนั้นออกมาพร้อมกับยกขาขึ้นมาวางที่หน้าตักผม เลิกบ่นทันทีเลยครับ” – โจ้ ธุรกิจส่วนตัว อายุ 23 ปี

11. “มากินข้าวเย็นที่บ้านไหม คืนนี้พ่อแม่ไม่อยู่”
“ถึงมันจะฟังแล้วดูไม่มีอะไรเลย แต่แค่รู้ว่าเธออยู่คนเดียวที่บ้านผมก็รู้เลยว่าคืนนี้มันจะจบยังไง” – เกมส์ พนักงานเดลิเวอรี่ อายุ 25 ปี

12. “I need to feel you inside me”
“ตอนนั้นผมทำงานอยู่เหนื่อยๆ แล้วแฟนโทรหา พอเขาพูดคำนี้มีกำลังใจทำงานต่อเพื่อที่จะได้รีบกลับบ้านไปหาเธอ” – สตีฟ นักเรียนแลกเปลี่ยน อายุ 23 ปี

13. “ถ้าวันนี้กลับบ้านก่อน 4 ทุ่ม ฉันจะกินไอติมให้หมดแท่ง”
“วันนั้นหลังเลิกงานผมรีบกลับบ้านทันที” – ปีเตอร์ พนักงานแบงก์ อายุ 24 ปี

14. “ไม่ว่าจะยังไงก็ห้ามหยุดนะ”
“ได้ยินคำนี้ทีไรทำให้ผมอยากวิ่งชนเส้นชัยด้วยการซอยฝีเท้าที่เร็วขึ้นเสมอ” – โดนัท ว่างงาน อายุ 23 ปี
#COSMOPOLL
รู้นะว่าสาวหลายๆ คนน่ะแอบแซ่บ แต่ไม่กล้าพูด อ่านนี่แล้วคิดใหม่ด่วนๆ!
– ผู้ชายจาก 10 ใน 10 ไม่ชอบเกมรักที่เงียบเป็นเป่าสาก
– talk dirty ก่อนหรือขณะมีเซ็กซ์ทำให้เซ็กซ์เร้าใจกว่าเดิม
– ผู้หญิงถึงจุดสุดยอดได้ยากกว่าผู้ชาย การ talk dirty เป็นการเรียกน้ำย่อยทำให้คุณถึงฝั่งฝันเร็วขึ้น

#COSMO TIPS FOR NEWBIE
ถ้าคุณเป็นมือใหม่หัดทะลึ่ง

1. เริ่มจากคำพูดที่เซ็กซี่เบาๆ ก่อน
อย่าใช้คำพูดที่ฟังดูรุนแรงเกินไป คุณผู้ชายอาจจะตกใจและอารมณ์หดก็ได้ เพราะหนุ่มๆ แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน ลองดูก่อนว่าผู้ชายของคุณชอบแบบไหน ค่อยๆ บิวด์จนอารมณ์เริ่มมาทั้งคู่แล้วค่อยๆ ปรับให้เซ็กซี่สุดๆ ได้ตามใจชอบ

2. เริ่มง่ายๆ ด้วยการออกคำสั่งหรือเริ่มจากคำชม
เช่น หุ่นเขาบึกบึนแค่ไหน ชอบส่วนไหนของร่างกายเป็นพิเศษ ก็จะทำให้คุณผู้ชายรู้สึกดีได้

3. เริ่มพูดตอนอยู่สองต่อสองก่อน
หลังจากนั้นพอคุณเริ่มชินแล้วค่อยเริ่มพูดตอนอยู่ที่สาธารณะด้วยกัน เช่น ในร้านอาหาร รับประกันความสยิวกิ้วสองเท่า

3. ไม่จำเป็นต้องเป็นคำพูดส่อไปทางเพศ
อาจจะเป็นเพียงคำพูดที่เซ็กซี่เบาๆ ที่ทำเขาคิดถึงคุณได้ทั้งวัน หรือเป็นประโยคบอกเล่าธรรมดาๆ ให้เขาไปจินตนาการต่อเอง

4. ใช้สายตาสะกด
เวลาพูดให้มองเข้าไปในตาของคุณผู้ชายด้วย ให้เขารู้สึกถึงความจริงจังของเราว่าเราอยากจะจิงโจ้เขาแค่ไหน

5. สร้างสถานการณ์ตื่นเต้นเบาๆ
บางทีการใช้คำพูดที่ฟังดูท้าทายก็ปลุกเร้าอารมณ์ชายได้ เช่น คุณตำน้ำพริกแรงได้แค่นี้เหรอ

ที่มา – www.cosmopolitanthai.com
อัพเดตทุกวัน ทุกเรื่องที่ผู้หญิงอยากรู้
www.facebook.com/cosmothailand
instagram.com/cosmothailand
twitter.com/cosmothailand