คราดหอยตลับ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05115151059&srcday=2016-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 633

ของใช้ชาวบ้าน

สัจภูมิ ละออ

คราดหอยตลับ

หอยตลับ มีชุกชุมในอ่าว ก. ไก่ ชาวอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม และอำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ไม่น้อยยึดอาชีพหาหอยตลับขาย

หอยตลับ เรียกชื่อต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น เช่น หอยหวาน หอยตลับลาย หอยตลับขาว ลักษณะของหอยตลับ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า รูปเหมือนตลับ เปลือกสีลาย พื้นสีขาว หน้าตาสวยงามไม่น้อย นำไปประกอบอาหารก็อร่อยไม่เบา

แต่ก่อนจะได้กินหอยตลับต้องเลี้ยง หรือไม่ก็ออกหาตามโคลนเลนริมทะเลก่อน

ริมทะเลที่มีหอยตลับ เช่น ริมทะเลในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตราด ชลบุรี ชุมพร เพชรบุรี ระยอง สมุทรสงคราม และจันทบุรี เป็นต้น

อาชีพหาหอยตลับต้องมีเครื่องมือ เรียกว่า คราดหอยตลับ รูปทรงคล้ายคราดของชาวบ้าน แต่รายละเอียดต่างกัน ด้ามมีทั้งสั้นและยาว ตัวคราดไม่ได้เป็นเงี่ยงเหมือนคราดทั่วไป แต่มีแผ่นโลหะคล้ายๆ ใบมีด สำหรับใช้ครูดแทน

เครื่องมือของใช้ใดๆ ก็ตาม ย่อมตอบสนองต่องาน การคิดค้นเครื่องมือมาใช้ ล้วนมีความประสงค์เพื่อช่วยให้การทำงานสะดวกและรวดเร็วขึ้น อย่างมนุษย์เราเมื่อหลายพันปีมาแล้ว คิดทำล้อเลื่อนได้

แรกๆ คนที่คิดทำล้อเลื่อนได้นั้น ท่านคงไม่ได้นึกหรอกว่า จะต้องมาเป็นรถหรู ราคาแพง และคงยังคิดไม่ออกว่า ล้อเลื่อนที่ทำด้วยไม้ เพื่อใช้บรรทุกพืชผลการเกษตรหรือบรรทุกของเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น จะกลายมาเป็นนวัตกรรมยิ่งใหญ่ สามารถเชื่อมโลกให้เข้าหากันได้อย่างทุกวันนี้

เครื่องมือคราดหอยตลับ ทำมาจากเหล็กหรือไม่ก็อะลูมิเนียม ด้านหน้ามีเหล็กยื่นออกมา ลักษณะคล้ายไม้บรรทัด ไว้สำหรับครูดโคลนเลน ตัวครูดจะยื่นออกมาจากตัวคราด ประมาณ 4 นิ้ว ส่วนด้านหลังที่ตัวคราดยื่นออกมา มีความกว้างเท่ากัน และมีด้ามเชื่อมต่อสำหรับจับถือ ด้ามนี้มีสองขนาดคือ ขนาดยาวสำหรับเดินครูดหา และขนาดสั้นสำหรับนั่งยองๆ ครูดหา

การใช้งาน เราชาวบ้านเดินลงไปบริเวณโคลนเลนที่มีหอยตลับอยู่ เมื่อถึงถิ่นฐานแล้ว เราก็ใช้คราดครูดไปตามโคลนเลน ลักษณะการครูด เราดึงคราดเข้ามาหาตัว ทำไปเรื่อยๆ ไม่นานหอยตลับที่แฝงตัวอยู่ในโคลนเลนก็จะโผล่ออกมา คราวนี้เราก็จับตามอัธยาศัย

ชาวบ้านจับหอยตลับกันตอนไหน คำตอบคือ เมื่อน้ำทะเลลง ไม่ใช่ “น้ำลง น้ำลงเมื่อเดือนยี่ น้ำแห้งปีนี้…” อย่างเนื้อเพลงลูกทุ่ง แต่เป็นน้ำทะเลลงตามธรรมชาติในแต่ละวัน เมื่อน้ำทะเลขึ้นมา ประดากุ้ง หอย ปู ปลา ก็จะออกมาหากินตามริมฝั่ง เมื่อน้ำลดระดับลง บรรดาปลาเล็กปลาน้อยก็ว่ายลงทะเลตามน้ำไป แต่หอยไม่ได้ตามปลาลงไปด้วย คุณหอยเธอคุดอยู่ในโคลนเลน เพื่อรอให้น้ำทะเลขึ้นมาใหม่ จะได้ออกหากิน

แต่อนิจจา กว่าน้ำทะเลจะขึ้นมา เราชาวบ้านก็พากันคว้า คราดหอยตลับ ออกไปเดินตามโคลนเลน แล้วครูดหาเอามาประกอบอาหารกันอร่อยปาก ส่วนมืออาชีพก็หาเอาไปขาย

หอยตลับจะอยู่ในโคลนเลน มันอยู่นิ่งๆ ไม่ได้รอให้เราจับ แต่มันอยู่และหากินตามประสาของมัน

ชาวอำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี และบางอำเภอในจังหวัดสมุทรสงคราม นอกจากหาหอยตลับขายแล้ว บางครอบครัวยังยึดอาชีพเลี้ยงหอยตลับด้วย การเลี้ยงหอยตลับของชาวบ้าน ดูเหมือนไม่ต้องลงทุนมาก แต่เอาเข้าจริงก็ไม่น้อยเหมือนกัน

การลงหอยแต่ละครั้ง ไหนจะค่าพันธุ์ ค่าอาหาร ค่าเสียเวลาไปดูแล และอื่นๆ ตามมาอีกไม่น้อย บางคราวโชคไม่ดีหอยเป็นโรคขึ้นมา ทุนที่ลงไปก็อันตรธาน

การเลี้ยงหอยตลับ ต้องหาพันธุ์ตัวเล็กๆ มาก่อน จากนั้นหาที่เลี้ยง ก็ไม่ต้องอื่นไกล ทะเลไทยของเรานั่นเอง หย่อมย่านที่เพาะเลี้ยงได้สังเกตง่ายๆ ก็คือ แหล่งที่มีหอยตลับอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ เพราะสภาพน้ำ ดิน ฟ้า อากาศเหมาะสม

ดังนั้น จึงไม่แปลกที่จังหวัดที่เลี้ยงหอยตลับเป็นจังหวัดในชายทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอ่าวไทย หรือบริเวณที่นักวิชาการไทยเรียกว่า อ่าว ก. ไก่ นั่นเอง

กว่าจะได้กินหอยหวาน ถ้าเราไม่เลี้ยงหอยเอง ก็ต้องใช้คราดหอยหามาปรุงอาหาร ชีวิตคนเราถ้าไม่เกิดมาบนกองเงินกองทอง ไม่ทำหรือจะมีกิน

พญาลืมงาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05120010359&srcday=2016-03-01&search=no

วันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 618

ของใช้ชาวบ้าน

สัจภูมิ ละออ

พญาลืมงาย

ไผ่ นักวิทยาศาสตร์จัดเป็นหญ้าที่ใหญ่ที่สุด

ไทยเรามีไผ่ขึ้นอยู่ทั่วไป เรามีทั้งไผ่ป่าและไผ่ปลูก ไผ่ป่าจะมีหนามแหลมๆ หน่อออกมารสขม เวลาต้มกินต้องใช้ใบย่านางตำใส่ไปด้วย สมัยผู้เขียนเด็กๆ เคยหาไผ่ป่ามาต้มขาย กว่าจะได้แต่ละหม้อต้องหาบหน่อไม้จากป่ามาปอก สับ และต้องหาใบย่านางมาต้มอีกด้วย

ในป่านอกจากมีไผ่ป่าที่มีหนามแหลมแล้ว ยังมีไผ่ลำนวล ผาก และอีกหลายต่อหลายชื่อ ส่วนไผ่ปลูกเรามี ไผ่ตง ไผ่สีสุก ไผ่หวาน และไผ่ประดับ อย่าง ไผ่สีทอง ไผ่น้ำเต้า เป็นต้น

คำว่า “ไผ่” ภาษาเขมร เรียกว่า รึเซิย ในประเทศกัมพูชาก็มีไผ่มากไม่แพ้ประเทศไทย ผู้เขียนเคยไปเมืองละแวกของกัมพูชา เมืองเก่าละแวกมีแนวดงไผ่เป็นแถวๆ เดินเข้าไปก็อดจินตนาการตามประวัติศาสตร์ไม่ได้ เพราะในพงศาวดารเขียนว่า สาเหตุที่เขมรแพ้กองทัพสมเด็จพระนเรศวรนั้น มาจากทหารสยามใช้คันธนูใส่กระสุนยิงเงินเข้าไปในกอไผ่ แล้วทำทีเป็นถอยทัพออกมา เมื่อชาวเขมรที่อยากได้เงินเห็นเข้าก็ไม่รอช้า ก็พากันไปตัดกอไผ่หาเงินกันอย่างสนุกสนาน

ไม่นานกอไผ่ที่เป็นกำแพงป้องกันเมืองก็พังพาบ นิยายเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนโลภทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน

เพราะเมื่อกองทัพสยามเห็นเข้าก็ยกทัพกลับเข้าตี ในที่สุดเมืองละแวกก็แตก ข้อความในพงศาวดารจริงเท็จแค่ไหนอย่างไรก็ตาม แนวกอไผ่เมืองละแวกยังมีอยู่ คล้ายท้าทายให้คนสยามไปดู

ไผ่ ชาวบ้านนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง อย่างชาวไทยภาคเหนือนำมาทำที่ตั้งหรือวางสิ่งของ เรียกว่า พญาลืมงาย แปลว่า พญาลืมเช้า

ทำไมถึงเรียกว่า พญาลืมงาย หรือ พญาลืมเช้า ผู้เขียนได้รับคำตอบจากเจ้าของว่า เนื่องจากการทำพญาลืมงายยากมาก ต้องเอาไม้ไผ่ที่เหลาไว้มาประกอบกันทำให้สิ้นเปลืองเวลา และที่สำคัญถ้าไม่เก่งจริงก็ไม่สามารถประกอบได้ ทำเอาพญาทำเพลินไปจนลืมไปว่าเช้าแล้ว

พญาลืมงาย จึงเป็นภูมิปัญญาที่ท้าทายความสามารถอย่างแท้จริง

หน้าตาของ พญาลืมงาย ถ้าจะเปรียบเทียบกับสิ่งของที่คนทั่วๆ ไปเห็นกันก็คล้ายพวงที่ใส่เครื่องปรุงก๋วยเตี๋ยว พวงที่มีช่องใส่แก้วน้ำตาล น้ำส้ม พริกป่น และน้ำปลา นั่นเอง จะผิดกันบ้างก็ตรงพญาลืมงายทำด้วยไม้ไผ่ และใหญ่กว่ามาก

การทำ เราชาวบ้านตัดไผ่ลำแก่ๆ มาตัดเป็นท่อนๆ ผ่าซีก ตัดออกเป็นคู่ๆ เหลาเอาเสี้ยนออก จากนั้นประกอบเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโครงที่เป็นกระโดงขึ้นไป หรือตัวพญาลืมงาย ล้วนเป็นคู่ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้ว รูปร่างก็จะออกมาเหมือนพวงใส่เครื่องปรุงก๋วยเตี๋ยวอย่างที่บอกไว้ตั้งแต่แรก

ชาวบ้านใช้ประโยชน์อะไรจาก พญาลืมงาย คำตอบก็คือ ใส่ปิ่นโตก็ได้ เอาใส่ของถือไปก็ดี ดูจากรูปทรงแล้วจะเห็นว่า ใส่ปิ่นโตไปทำบุญเหมาะงามที่สุด ใส่ได้ถึง 4 เถา เลยทีเดียว

สมัยผู้เขียนเป็นเด็กวัด เสียดายที่ “สุพรรณบ้านเรา” ไม่มี พญาลืมงาย การถือปิ่นโตตามพระเมื่อออกบิณฑบาต ทำได้แต่เอาไม้มาผูกขาปิ่นโตเข้าด้วยกัน ข้างละ 2 เถา เวลาพระออกบิณฑบาตตอนเช้า เด็กๆ ที่แข็งแรงก็ถือปิ่นโตได้ 4 เถา

ถ้าทำพญาลืมงายเป็น เด็กโตๆ ก็หิ้วไปคนละ 8 เถา ได้อย่างสบายๆ

แต่ละท้องถิ่น ย่อมมีภูมิปัญญาแตกต่างกันไป อย่างการทำพญาลืมงาย ผู้เขียนพบที่ภาคเหนือ คือ จังหวัดเชียงราย ส่วนจังหวัดในภาคเหนืออื่นๆ ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีเหมือนกันหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ตาม เครื่องมือของใช้ชนิดนี้ แสดงถึงความสามารถและภูมิปัญญาของบรรพชนอย่างล้ำลึก

กว่าจะคิดและทำได้ เชื่อว่าต้องผ่านขั้นตอนลองผิดลองถูกมานาน เมื่อทำเสร็จแล้วก็งดงามทั้งรูปทรง และพลังแห่งภูมิปัญญาที่แฝงฝากอยู่ในรูปลักษณ์

เจ้าของพญาลืมงายบอกว่า ปัจจุบันหาคนทำได้ยากแล้ว เพราะชิ้นส่วนแต่ละอย่างมีความซับซ้อนมาก ที่ได้มาก็เก็บมาจากบรรพบุรุษที่ทำไว้ สำหรับคนรุ่นใหม่ อย่าว่าแต่ทำเป็นเลย แม้แต่ชื่อบางคนก็ไม่รู้จัก แม้จะเป็นความจริงอันเจ็บปวด แต่ก็ต้องยอมรับ

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลง อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป

ช้อนหางกระรอก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05120010259&srcday=2016-02-01&search=no

วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 616

ของใช้ชาวบ้าน

สัจภูมิ ละออ

ช้อนหางกระรอก

ภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นสมบัติของแผ่นดิน

เครื่องมือของใช้ชาวบ้าน ถ้าจะถามว่า ใครคิดค้นได้ก่อนคงตอบยาก เพราะบางคนคิดได้ บางคนนำมาพัฒนาต่อยอด บางคนนำมาเผยแพร่ กระบวนการเหล่านี้ ทำให้ยากสรุปว่า ผู้ใดเป็นคนคิดค้นได้ก่อน ยิ่งสมัยเก่าก่อนไม่ได้มีกฎหมายลิขสิทธิ์ ใครคิดได้ก่อนก็มักสอนกับลูกๆ หลานๆ ต่อๆ กันมา ทำให้ภูมิปัญญาบางอย่าง ยากที่จะจดลิขสิทธิ์เป็นของตัวเอง

ในปัจจุบัน มีการจดลิขสิทธิ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นกันมาก ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า คนที่จดลิขสิทธิ์ภูมิปัญญาชาวบ้านเหล่านั้น มีชาวบ้านที่เป็นคนต้นคิดจริงๆ สักกี่เปอร์เซ็นต์ และมีคำถามตามมาด้วยว่า คนที่จดลิขสิทธิ์ส่วนใหญ่ บางคนเพียงไปพบภูมิปัญญาของชาวบ้าน แล้วนำไปจดลิขสิทธิ์เป็นของตัวเองด้วยหรือไม่

ผู้จดลิขสิทธิ์ทางปัญญา คงมีหลายประเภท หลายกรณี

การทำเครื่องมือของใช้ชาวบ้าน หากเป็นของแท้ดั่งเดิม วัสดุที่ใช้มักนำมาจากท้องถิ่นของผู้คิดค้นเอง อย่างชาวบ้านอยู่ใกล้ป่าดง เครื่องมือของใช้ก็มักนำมาจากป่าดง อยู่ใกล้ทะเล ข้าวของเครื่องใช้ส่วนหนึ่งก็มักนำวัสดุมาจากทะเล ถ้าอยู่ในทุ่งนาก็มักนำเอาวัสดุมาจากทุ่งนา

เครื่องมือแต่ละอย่าง เราชาวบ้านทำเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ช้อนหางกระรอก ที่ทำมาจากลำไผ่ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ป่าไผ่ หรือหาไผ่ได้ง่าย ย่อมเป็นผู้คิดทำขึ้นมาใช้สอย

อย่างไรก็ตาม ป่าไผ่มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทย เอื้อให้ชาวบ้านนำมาทำเครื่องมือของใช้ได้หลากหลายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือของใช้ในบ้าน นอกบ้าน และยังนำมาทำอาคารบ้านเรือนได้อีกด้วย อย่างบ้านเมืองยุคเก่าก่อน บางเมืองแทบไม่เหลือซากให้เห็น เพราะบ้านเรือนทำด้วยไผ่และไม้ ถึงเวลาก็ผุพังไปตามกาล

ช้อนหางกระรอก เราชาวบ้านนำเอาไผ่ลำเล็กๆ ตัดให้แขนงติดมาด้วย ไผ่ที่ตัดมาจะเป็นไผ่แก่หรืออ่อนก็ได้ เพราะช้อนหางกระรอกไม่ได้ใช้งานหนักอะไร จุดประสงค์มีอย่างเดียวคือ ต้องการใช้ตักอาหารที่เป็นน้ำ

วิธีทำ ตัดลำไผ่ขนาดข้อมือเด็ก นำมาตัดแต่งบริเวณเหนือข้อขึ้นไปให้เป็นรูปปากเป็ด ใต้ข้อตัดออกและให้เหลือแขนงไว้ แขนงนั้นเราใช้ทำด้าม ต้องการด้ามยาว-สั้นอย่างไร ก็ตัดแขนงให้เหลือเพียงนั้น แล้วขัดเกลาเสี้ยนให้เรียบร้อย ปาดขอบด้านในที่เป็นรูปปากเป็ด ลบเหลี่ยมให้หมด เราก็จะได้ ช้อนหางกระรอก 1 อัน

ช้อนหางกระรอก เหมาะสำหรับตักน้ำแกง น้ำต้ม และอาหารที่เป็นน้ำๆ ทั้งหลาย แต่ไม่เหมาะกับการตักข้าวกิน เพราะรูปทรงไม่เอื้อ

เข้าใจว่า ช้อนหางกระรอก ชาวบ้านคงใช้กันมานาน คนไทยสมัยก่อนกินข้าวใช้มือเปิบ คงใช้ช้อนหางกระรอกตักน้ำต้ม น้ำแกง และอาหารที่เป็นน้ำใส่จานหรือภาชนะใส่ข้าวกิน

สมัยผู้เขียนยังเด็กๆ ผืนป่ารอยต่อระหว่างอำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี กับ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ยังเหลืออีกมาก ประมาณ พ.ศ. 2510 นั้น เราชาวบ้านมีช้อนสังกะสีตักข้าว แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังใช้มือเปิบข้าวอยู่ เราชาวบ้านมักใช้ช้อนตักแต่น้ำแกงเท่านั้น

คราวหนึ่ง ผู้เขียนตามพ่อและแม่เข้าไปหาหน่อไม้ในป่า เมื่อถึงเวลากินข้าวปรากฏว่าเราลืมช้อน ถ้าไม่มีแกงไก่เผ็ดๆ มา เราก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อมีแกงเราก็ดูเหมือนจะเกิดปัญหา แต่ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะผู้ชำนาญในการเข้าป่ามาตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้ว

พ่อตัดลำไผ่เล็กๆ มา ใช้มีดเหน็บปาดปล้องบนเป็นรูปปากเป็ด ใต้ข้อใช้มีดเหน็บ ค่อยๆ ปาดออกไป ให้เหลือแต่ข้อ แน่นอนมีแขนงเล็กๆ ติดมาด้วย พ่อตัดให้เหลือ ประมาณ 1 คืบ หลังจากนั้น เราก็กินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อยกลางป่าไผ่

เสียดายที่ภาพป่าเหล่านั้น ประมาณ พ.ศ. 2514 เป็นต้นมา มีอันต้องหายไปอย่างว่องไว เพราะมีนายทุนเข้ามาพร้อมกับรถแทร็กเตอร์ จัดการปรับผืนป่าเพื่อปลูกอ้อยส่งเข้าโรงงานผลิตน้ำตาล

ปัจจุบัน ช้อนหางกระรอก แทบไม่มีคนใช้แล้ว เนื่องจากในตลาดมีช้อนหลากรูปทรงวางขาย ผู้ใช้สามารถเลือกซื้อหาได้ตามความพอใจ ทำให้ช้อนหางกระรอกแทบจะเหลือไว้เพียงแต่คำเล่าขาน และในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านบางแห่งเท่านั้น

ความเปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็ทำให้คนห่วงหาอาวรณ์ อย่างภูมิปัญญาของแผ่นดินบางอย่างที่สูญหายไป เป็นต้น