วัวบราห์มันในประเทศไทย (ตอนที่ 5) การพัฒนาและส่งเสริมการเลี้ยงดูวัวบราห์มัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05099151159&srcday=2016-11-15&search=no

วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 635

คนปศุสัตว์เล่าเรื่อง

สุพจน์ ศรีนิเวศน์ และ ปิยศักดิ์ สุวรรณี โทร. (081) 921-2328

วัวบราห์มันในประเทศไทย (ตอนที่ 5) การพัฒนาและส่งเสริมการเลี้ยงดูวัวบราห์มัน

เราไม่มีทางเลือกอื่นในการกระจายพันธุ์วัวบราห์มัน ให้ออกไปรวดเร็วให้ถึงมือชาวบ้านนอกจากวิธี

1. ผสมโดยยกระดับพันธุ์ Up-grading กับวัวพื้นเมืองเพียงอย่างเดียว ประมาณ 5 ชั่ว (generation) ซึ่งใช้เวลา 16-18 ปี ก็จะได้วัวบราห์มันขึ้นมา

2. วิธีการขยายวัวพันธุ์บราห์มัน ควรรักษาและขยายพันธุ์วัวพื้นเมืองไปด้วยเพื่อเป็นฐานผลิตวัวบราห์มัน

3. วัวบราห์มัน น่าจะเป็นวัวพื้นฐาน (Foundation stock) ในการผลิตวัวเนื้อและวัวนมได้ทั้ง 2 ชนิด

กลุ่มวัวลูกผสมที่เราเรียกกันว่า พันธุ์สังเคราะห์ (synthetic breeds) แต่พันธุกรรมยังไม่นิ่ง

สถานภาพวัวบราห์มันจนถึงปัจจุบัน

1. ประเทศไทยเลี้ยงวัวบราห์มันมานานกว่า 60 ปี น่าจะอยู่ในสภาพผู้ส่งออกวัวพันธุ์นี้สู่ประเทศเพื่อนบ้านได้

2. ควรเน้นและทำความเข้าใจอย่าให้การเลี้ยงวัวที่มีคุณสมบัติทางด้านเศรษฐกิจต่ำมาแทรกในวัวพันธุ์ดีๆ ที่สะสมมาให้ต่ำลง

3. วัวคงไม่ใช่สัตว์เลี้ยงไว้เพื่อความสวยงาม (Aesthetic favor) อย่างเดียว ดูไม่นานก็คงจะเบื่อ

4. จงเลี้ยงกันเพื่อผลิตเนื้อ เพื่อเป็นรายได้ของเกษตรกรโดยรวม

โอกาสของการใช้ประโยชน์จากวัวบราห์มัน (อย่างคร่าวๆ)

ก่อนอื่นเราจำเป็นต้องรู้คุณสมบัติของมัน ว่ามันจะอยู่ในสภาพแวดล้อมท้องถิ่นเราได้หรือไม่ เช่น

1. ขนาด ขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป คือตัวผู้หนักราว 730-1,000 กิโลกรัม ตัวเมียหนักราว 450-650 กิโลกรัม ในขณะที่วัวเนื้อพันธุ์ยุโรป (ยกเว้นพันธุ์แองกัส) จะหนักกว่า น้ำหนักแรกเกิดต่ำ คือระหว่าง 26-33 กิโลกรัม และโตเร็วในระยะกินนม (วัดที่น้ำหนักหย่านม 205 วัน)

2. นิสัยขี้อาย (ยังมีอยู่บ้าง) ขี้สงสัย ทรหดอดทนในท้องถิ่นทุรกันดาร ชอบความละมุนละม่อมในการปฏิบัติต่อมัน ถ้าเลี้ยงดูดีก็เชื่องมาก ถ้าเปรียวก็เปรียวจัดและดุร้าย

3. สีของมัน จากเทาอ่อนหรือแดงอ่อน ไปจนถึงแดงหรือเกือบดำ แต่ส่วนใหญ่เป็นสีเทาปานกลาง ตัวผู้จะเข้มกว่าตัวเมีย

4. ทนร้อน ทนร้อนได้ถึง 40 ถึง 45 องศาเซลเซียส ทนหนาวได้ตั้งแต่ 0 ถึง -13 องศาเซลเซียส หน้าหนาวจะมีขนยาวขึ้น เรียก Winter Coat

5. คุณสมบัติที่ดี คือปรับตัวได้เก่ง ซึ่งตัวมันมี เช่น

5.1 ขนคลุมร่างกาย

– ขนสั้นเกรียน ทึบ

– ขนเป็นมัน เป็นประกายสะท้อนแสงแดดออกจากตัวได้ดี

5.2 Pigment ที่ผิวหนังมีสีดำ ป้องกันแสงแดดทะลุทะลวงเข้าในตัวได้ดี

5.3 ผิวหนังย่น พับไปพับมา กระจายความร้อนออกจากตัวได้ดีมาก

5.4 มีต่อมขับเหงื่อบริเวณใต้ผิวหนังออกจากร่างกายได้เก่งมาก

5.5 เทียบกับวัวพันธุ์ยุโรปอื่นๆ แล้ว ร่างกายมันมีอุณหภูมิความร้อนต่ำกว่าพวกวัว Taurus

5.6 ผิวหนังสั่นเฉพาะที่ไล่แมลงที่เจาะเลือดได้ คือมี Muscular membrane ใต้ผิวหนังช่วย

5.7 ตาไม่เป็นมะเร็ง

5.8 ทนต่อเห็บและโรคไข้เห็บ รวมถึงอนาพลาสโมสิสด้วย

5.9 ส่วนที่ดีที่สุดอีกอันหนึ่งนั้นคือ เมื่อเอามาผสมข้ามพันธุ์กับพวก Taurus จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันหนึ่ง ที่เราเรียกว่า heterosis หรือ hybrid vigor ที่เด่นชัดมาก

ฉะนั้น คุณสมบัติที่ดีต่างๆ เหล่านี้เราก็นำมาใช้ประโยชน์ให้แก่เราได้เต็มที่ เช่น

– ขยายเป็นพันธุ์แท้ของมันเองให้เพิ่มขึ้น

– ผสมโดยยกระดับพันธุ์กับตัวเมียวัวใดๆ ก็ได้ (Up grading) เพื่อให้เป็นพันธุ์บราห์มัน ประมาณ 4-5 ชั่ว ก็จะได้วัวบราห์มันซึ่งถือว่าเป็น 100% ได้

– ใช้น้ำเชื้อพันธุ์วัวเนื้อยุโรปผสมกับแม่บราห์มัน หรือแม่บราห์มันยกระดับพันธุ์ ผลิตเป็นวัวเนื้อลูกผสม

ยุโรป 50% กับแม่วัวพื้นฐานเลี้ยงถึง 24 เดือน แล้วขุน 4 เดือน แล้วฆ่าขาย

– ท่านจะสร้างวัวเนื้อเพื่อการค้า ท่านต้องมีแม่บราห์มันมากๆ

กล่าวโดยสรุป เกี่ยวกับการเลี้ยงวัวบราห์มันในประเทศไทย ดังนี้

1. ขอให้เน้นมากที่สุดว่า ใครก็ตามที่เลี้ยงวัวต้องมีอาหารเลี้ยงวัวได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี เช่น หญ้าสด หญ้าแห้ง หญ้าหมัก วัสดุเหลือใช้จากการเกษตร ฯลฯ (พึ่งอาหารผสมเท่าที่จำเป็นจริงๆ) พึงตระหนักอยู่เสมอว่า การให้อาหารวัวต้องให้ผ่านทางทุ่งหญ้า (พืชอาหารสัตว์) เป็นอันดับแรก

2. วางแผนป้องกัน ควบคุมโรคให้ถูกวิธีและทำเป็นระบบ

3. ในการพัฒนาส่งเสริมให้การเลี้ยงวัวเป็นไปได้รวดเร็วทั่วถึงน่าจะมีโครงการ พัฒนาที่เบ็ดเสร็จ และต่อเนื่องอย่างน้อย 16 ปี โดยมีเกษตรกรรายย่อยเป็นศูนย์กลางร่วมกันทำเป็นหนึ่งเดียวก็พอ

4. การส่งเสริมพวกเลี้ยงวัวพันธุ์แท้ (Purebred breeders) ก็ต้องทำควบคู่กันไปด้วย

5. ประเทศไทย (ขณะนี้) น่าจะอยู่ในฐานะผู้ขายวัวพันธุ์บราห์มันแก่เพื่อนบ้านได้แล้ว ปัจจุบันเราทำได้น้อยมาก

6. การจดทะเบียนรับรองสายพันธุ์วัวลูกผสมบราห์มันสายเลือดระดับต่างๆ ถือเป็นงานเร่งด่วนและมีความสำคัญอย่างยิ่งในการขยายฐานแม่วัวเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตแบบต่อยอดครบวงจรต่อไป ที่ทั้งภาครัฐและเอกชน (สมาคม) ต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีแม่วัวลูกผสมบราห์มันเลือดสูงเป็นจำนวนมาก

ข้อสังเกตสุดท้ายของผู้เขียน ใคร่ขอฝากไว้แก่นักเลี้ยงวัวทั่วๆ ไปว่า ประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรวัวน้อย บ่อพันธุกรรมก็จะเล็กตามไปด้วย ดังนั้น การที่ท่านใดท่านหนึ่งประสงค์จะสร้างวัวพันธุ์ใหม่ขึ้นมา ขอความกรุณาอย่าทำเพราะแหล่งพันธุกรรม (gene pool) ก็จะเล็กมากด้วย ไม่เหมือนประเทศที่เขามีวัวมาก เขาใช้วัวเป็นพันๆ หมื่นๆ ตัว แล้วผสมปิดฝูงแล้วคัดเลือกได้อย่างเต็มที่ ถึงได้มาตามที่เขาต้องการ ลูกผสมที่เรามีๆ อยู่ ปัจจุบันก็ยังเป็นลูกผสมอยู่เหมือนเดิมๆ นั่นแหละ อยากให้มาช่วยกันผลิตวัวเพื่อเป็นลูกผสมแล้วขุนขายเลย ที่เราเรียกว่า Commercial producers (เชิงพาณิชย์) ซึ่งมีปริมาณงานร่วมในกิจการนี้ถึง 96 ส่วน อีก 4 ส่วนเป็นเรื่องของการผลิตพันธุ์แท้ (Purebred breeders) 96 ส่วนนี้เรายังไม่เข้าใจกันเท่าไรเลยว่า ควรผสมแบบไหนและใช้พันธุ์อะไรดี จึงจะให้ผลผลิตได้คุณภาพสากลและประหยัดแก่ผู้ดำเนินการด้วย โดยเฉพาะผู้ผลิตที่อยู่ในภูมิภาคร้อนชื้นอย่างประเทศไทย

(อ่านต่อฉบับหน้า)

วัวพันธุ์ใหม่เกิดจากบราห์มัน/พื้นเมือง เป็นพื้นฐานที่ทำกันก็มี

– วัวพันธุ์กำแพงแสน โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

– พันธุ์ตาก พันธุ์กบินทร์บุรี โดยกรมปศุสัตว์

– วัวบราห์เมนสไตน์ หรือวัวฟรีบราห์ (Frie-Brah) โดยกรมปศุสัตว์ และ สวทช. (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ)

– วัวบราห์มัน (ซีบู-Indicus) เมื่อผสมกับวัวยุโรป (Taurus) จะมีปรากฏการณ์รวมตัวการจับคู่ของยีน ได้ผลเฮทเทอร์โรสิส หรือไฮบริด วิกเกอร์ (Heterosis or Hybrid Vigor) สูงสุด

– แต่วัวบราห์มัน (ซีบู) ผสมกับวัวไทย หรือซูบู ด้วยกันได้เฮทเทอร์โรสิส ไม่มาก ไม่ชัดเจนเท่ากับผสมกับวัวยุโรป

– ปี 2531 เจ้าหน้าที่ของกรมปศุสัตว์ ได้ร่วมกันจัดตั้งสมาคมผู้บำรุงพันธุ์โคบราห์มันแห่งประเทศไทยขึ้น ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Thai Brahman Breeders Association (TBBA) เพื่อหวังอย่างเต็มที่ว่าจะให้เป็นสมบัติของเอกชนและเกษตรกรในการส่งเสริมการเลี้ยงวัวให้เป็นอาชีพที่มั่นคง ถาวร

– โคฟรีบรา

ตาก (Tak)

มีเลือดชาร์โรเล่ส์ 62.5%

บราห์มัน 37.5%

สร้างและพัฒนาพันธุ์ โดยกรมปศุสัตว์

– กบินทร์บุรี (Kabinburee)

มีเลือดซิมเมนทอล 50%

บราห์มัน 50%

สร้างและพัฒนาพันธุ์ โดยกรมปศุสัตว์

– กำแพงแสน (Kamphangsaen)

มีเลือดชาร์โรเล่ส์ 50%

บราห์มัน 25%

พื้นเมือง 25%

สร้างและพัฒนาพันธุ์ โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

วัวบราห์มันในประเทศไทย (2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05096011059&srcday=2016-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 632

คนปศุสัตว์เล่าเรื่อง

สุพจน์ ศรีนิเวศน์ ปิยศักดิ์ สุวรรณี โทร. (081) 921-2328

วัวบราห์มันในประเทศไทย (2)

เมื่อตอนที่แล้วได้กล่าวถึงประวัติและความเป็นมาของวัวบราห์มันในประเทศไทย ในตอนนี้มาดูหลักการพิจารณาและตัดสินวัวบราห์มัน

หลักการพิจารณาและตัดสินวัวบราห์มัน

รายการ คะแนน

พ่อ แม่

1. ลักษณะทั่วไป

1.1 ขนาดและน้ำหนัก

เจริญเติบโตดีได้ ขนาดตามอายุ วัวตัวผู้โตเต็มที่ หนัก 700-1,000 กิโลกรัม ตัวเมียโตเต็มที่

หนัก 450-650 กิโลกรัม โครงร่างของลำตัวต้องลึก กว้าง และยาว สมตัว

10

10

1.2 ลักษณะรูปร่าง

ลำตัวต้องกว้างมาก ลึกปานกลาง ได้สัดส่วน ลำตัวเรียบ หลังตรง และโค้งมนตอนท้ายเล็กน้อย บั้นท้ายถ้าลาดถึงกระดูกหัวตะโพกมากเกินไปก็ไม่ดี ระดับใต้ท้องควรเป็นเส้นตรง ยกเว้นส่วนที่เป็นหนังลึงค์ตัวผู้และหนังใต้สะดือของตัวเมีย ซอกขาเต็ม

8

8

1.3 คุณลักษณะ

ผิวหนังหุ้มลำตัวยืดพับได้ หนาพอประมาณ กระดูกแข็งแรงเรียบ มีกล้ามเนื้อเรียบทั้งตัว

4

4

รวม 22 22

รายการ คะแนน

พ่อ แม่

2. คุณลักษณะ

2.1 ไหล่และอก

เรียบกลมมนปานกลาง คลุมสันหลังพอเป็นสันมนๆ นูนๆ กว้างจดตะโหนก ยอดอกไม่แหลมหรือแฟบ หน้าอกผายกว้างและลึก ไหล่เต็มกว้าง พื้นหน้าอกใต้ท้องกว้างเต็มถึงซอกรักแร้

8

8

2.2 ลำตัว

2.2.1 สันหลังและซี่โครง ซี่โครงขยายได้ดีและโค้งกว้าง ยาวได้สัดส่วนกับความลึกของลำตัว ซี่โครงทั้งสองข้างวางอยู่ในท่าที่ได้ระเบียบ โดยซี่แรกและซี่สุดท้ายกลมกลืนกับกระดูกสันหลังได้ดี

มีเนื้อที่เคลือบคลุมอย่างราบเรียบสม่ำเสมอ ซี่โครงสั้นหรือยาวจนเกินไปก็เป็นลักษณะไม่พึงประสงค์ สันหลังกว้างได้ระดับมีเนื้อหนาแน่นและเต็ม สันหลังแหลมคมจนถึงกระดูกหัวตะโพกเป็นลักษณะไม่พึงประสงค์

9

9

2.2.2 เอว กว้างหนาตรงและแน่นเรียบสม่ำเสมอกลมกลืนกับสันหลังและบั้นท้าย 8 8

2.3 ส่วนหลัง

2.3.1 บั้นท้าย ยาวและกว้างเกือบเป็นตรง (ค่อนข้างเรียบไปหาโคนหาง) เรียบไปเชื่อมกับเอวได้เรียบสนิท (บั้นท้ายลาดเอียงมาก ไม่พึงประสงค์อย่างยิ่ง) โคนหางแนบสนิทกับส่วนท้าย

2.3.2 กระดูกหัวตะโพก อยู่ต่ำกว่าระดับสันหลังเล็กน้อย

2.3.3 ตะโพก กว้าง หนา กลมเต็ม และลึกต่ำลงมาจนถึงข้อขา

8

8

8

1

8

2.4 เท้าและขา

ยาวพอประมาณ ตรง และตั้งอยู่ในทางคล้ายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กระดูกแข็งแรงและเรียบ ข้อต่อระหว่างกระดูกแน่นแข็งแรง ขาหลังเมื่อมองทางด้านท้ายเห็นตั้งตรงและใต้ข้อขาลงไปเอียงไปทางหน้าเล็กน้อย กระดูกขาแข็งแรงมั่นคง หลังเท้าแข็งแรงลาดเอียงเล็กน้อย บริเวณเท้าได้สัดส่วน ขนาดใหญ่พอเหมาะ เดินได้ตรง แข็งแรง ปราดเปรียว

7

7

2.5 ความสมบูรณ์ของกล้ามเนื้อ

ต้องมีการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้ออย่างสมบูรณ์ ขาหน้าอยู่ห่างกันพองาม ขาใหญ่แข็งแรง

มีกล้ามเนื้อคลุมเต็ม กล้ามเนื้อที่หลังและเอวกว้าง และโค้งลาดลงมาทางสีข้างของลำตัว (คล้าย Quonset roof) เมื่อมองจากด้านท้ายกล้ามเนื้อตะโพกกลมเต็มกว้าง เมื่อวัวยืนต้องยืนในลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า เดินเรียบร้อย ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ

7

7

รวม 55 56

?

รายการ

คะแนน

พ่อ แม่

3. ลักษณะประจำพันธุ์และลักษณะทางด้านการสืบพันธุ์

3.1 สี

สีเดียวตลอดตัวหรือสองสีหลืบผสมกัน สีเทาและสีแดงเป็นที่นิยมกันมาก ในขณะที่วัวที่เป็นทางลาย รอยด่างตกกระหรือเผือกเป็นลักษณะไม่พึงประสงค์

1

1

3.2 ศีรษะ

หน้าผากกว้าง แบน แต่มนตามขอบเล็กน้อย หน้าสั้นปานกลาง มีกล้ามเนื้อคลุมพอสวยงาม รูจมูกกว้าง ริมฝีปากดำ ดวงตาแจ่มใส และตั้งอยู่ห่างกันพองาม หูยาวและกว้าง โคนเขาอยู่ห่างกันพอสมควร แข็งแรง และยาวปานกลาง เขาวัวตัวเมียควรเล็กกว่าตัวผู้เล็กน้อย

2

2

3.3 คอและลำคอ

คอสั้น ในตัวผู้ต้องมีกล้ามเนื้อหนาเป็นมัดๆ ในตัวเมียคอบางค่อยๆ เรียบและโตขึ้นมารับกลมกลืนกับไหล่ ลำคอราบเรียบทั้งสองข้างและมีเหนียงหย่อนยาน

2

2

3.4 ตะโหนก

ตัวผู้ต้องมีตะโหนกโตพอประมาณ ตั้งอยู่บนสันไหล่ใหญ่และหนาปานกลาง รูปร่างคล้ายเมล็ดมะม่วงหิมพานต์และโค้งย้อยไปทางหลังเล็กน้อย ตัวเมียมีตะโหนกบ้างแต่ไม่สูงนัก รูปร่างคล้ายวงรีรูปไข่และตั้งอยู่บนสันไหล่ในท่าตรง

2

1

3.5 หนังหุ้มลึงค์และใต้สะดือ

หนังหุ้มลึงค์ควรมีความหย่อนยานขนาดปานกลางเท่านั้น และติดแนบกับลำตัว ไม่ควร

หย่อนยาน ลึงค์ที่หย่อนยานและเหนียงใต้สะดือที่หย่อนยานมากเกินไป จัดเป็นลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ (ห้อยทำมุมกับใต้ท้องไม่ควรเกิน 45 องศากับลำตัว)

3

2

3.6 หาง

แนบติดจากลำตัวจากส่วนท้ายของบั้นท้ายดูเรียบร้อย ค่อนข้างยาวและพู่หางสีดำ

1

3

3.7 ลักษณะทางด้านอวัยวะสืบพันธุ์ต่างๆ

ตัวผู้ต้องแสดงลักษณะเพศชาย กล่าวคือ มีกล้ามเนื้อแข็งแรง ตัวเมียก็ต้องมีลักษณะท่าทางเป็นเพศหญิงที่สมบูรณ์ คือมีลักษณะการให้ลูกและน้ำนมดี

3.7.1 เต้านม มีความจุน้ำนมได้มากพอประมาณ ขยายแนบกับใต้ท้องไปทางหน้าและส่วนท้ายของเต้านมตั้งได้สัดส่วน ไม่มีเนื้อที่เต้านมมากจนเกินไป หัวนมไม่เล็กและใหญ่จนเกินไป วางอยู่ในแนวรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส

5

?

3.7.2 ถุงอัณฑะ ในถุงอัณฑะ 2 ลูก ขนาดได้สัดส่วน 2 ข้างเท่าๆ กัน เจริญเติบโตดี ลักษณะใดที่ผิดปกติจากที่กล่าวนี้ถือว่าผิดลักษณะพึงประสงค์อย่างยิ่ง

4

3.8 ลักษณะที่แสดงถึงการปรับปรุงตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม

ผิวหนังหนาคลุมด้วยขนที่ละเอียดไม่ยาวเกินไป เมื่อจับดูดคล้ายมีน้ำมันและค่อนข้างหลวมเล็กน้อย เหนียงหย่อนยานพับไปมาได้ตั้งแต่คอหอยไปจนถึงหน้าอก หนังใต้ท้องหลวมยืดหยุ่นนุ่มพอควร

2

2

รวม 17 16

4. อุปนิสัยและอารมณ์

ท่าทางปราดเปรียวแจ่มใส ไม่ดุร้าย และฝึกหัดง่าย

6

6

รวมทั้งหมด 100 100

ลักษณะไม่พึงประสงค์ของวัวบราห์มัน

หน้าคด หน้าหรือดั้งจมูกคด ถือว่าไม่พึงประสงค์

ปากงุ้ม ไม่พึงประสงค์อย่างยิ่ง

1. ขากะเผลก ถ้าเห็นชัดว่าไม่มีทางหายและทำให้กระทบกระเทือนถึงความเป็นอยู่ของสัตว์ “ก็ไม่พึงประสงค์” (หากว่าลักษณะนี้ไม่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์และได้ขึ้นทะเบียนแก่สมาคมไว้ก่อนแสดงอาการนี้ จะมายกเลิกหรือถอนการขึ้นทะเบียนไม่ได้)

2. ขากระตุก หรือภาษาอีสานเรียกว่า ขาทก (Stringhalt) อยู่ในข่ายที่ไม่พึงประสงค์ แสดงอาการเห็นได้ชัดเจนมาก เมื่อปีนขึ้นผสมตัวเมียแต่ล้มลงเสียก่อน

3. ขาแข็ง บริเวณหัวเข่าพับงอไม่ค่อยจะได้ อยู่ในข่ายที่ไม่พึงประสงค์

4. ข้อพับ ทั้งสองข้างหันบิดเข้าหากัน ปกติมักจะทำให้ปลายเท้าบิดออกมาด้วย อยู่ในข่ายไม่พึงประสงค์

5. ขาหลังคด เมื่อมองทางด้านข้าง – อยู่ในข่ายไม่พึงประสงค์

6. ขาหน้าคด บีบเข้าหากันแล้วปลายเท้าบิดชี้ออกมา – อยู่ในข่ายที่ไม่พึงประสงค์

7. ข้อเท้าอ่อน ทำให้ดูคล้ายจะงอ – อยู่ในข่ายไม่พึงประสงค์

เท้า เท้าเล็กโก่งงอ หรือกีบคด – อยู่ในข่ายไม่พึงประสงค์

ไม่ได้ขนาด อยู่ในข่ายไม่พึงประสงค์ พวกแคระแกร็น คัดออกได้

อัณฑะ พ่อโคที่มีอัณฑะเม็ดเดียว (ทองแดง) – ไม่พึงประสงค์ เว้นแต่ว่าได้ทำการผ่าตัดจนเข้าที่หมดแล้ว

หนังหุ้มลึงค์หย่อนยาน อยู่ในข่ายไม่พึงประสงค์

8. ไม่มีสิ่งวิปริตทางพันธุกรรมถ่ายทอด (Freedom form Inherited Defects) วัวก็เหมือนคน คนเป็นโรคที่ได้รับทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ได้ เช่น หน้าคด อัณฑะเม็ดเดียว (Cryptochidism) ปากงุ้ม ปากยื่น ถ้าลักษณะใดก่อให้เกิดการกระทบกระเทือนความเป็นอยู่ของมันมากก็ควรคัดทิ้ง

9. คะแนนรูปร่างตามแนวพันธุ์ (Body and Type Score) อันนี้ก็เป็นการดูด้วยสายตาและให้คะแนนว่าวัวตัวนั้นๆ รูปร่างดีสมส่วนตรงตามสายพันธุ์ที่กำหนดหรือไม่

10. สี

10.1 เป็นทางลายเสือ ตกกระเป็นจุดๆ หรือด่าง (ขนสีขาวบนพื้นสีผิวหนังแดดอ่อน จัดเป็นพวกวัวเผือก) – ไม่พึงประสงค์คัดออกได้

10.2 จมูกขาว กีบสีจาง (ปนแดงหรือขาว) พู่หางขาว – อยู่ในข่ายไม่พึงประสงค์ (ถ้าทุกอย่างที่กล่าวมานี้มีในตัวเดียวกัน ให้คัดทิ้งได้)

11. วัวสาวอันเกิดจากฟรีมาร์ติน (Freemartin) หมายถึง ลูกวัวที่เป็นลูกแฝด เกิดจากไข่ 2 ใบ ใบหนึ่งเป็นตัวผู้ ส่วนอีกใบเป็นตัวเมีย ซึ่งตัวเมียมักเป็นหมัน-ถือว่าเป็นลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ให้คัดออกได้ ลักษณะเช่นนี้ถ้าเกิดกับตัวเมีย 100 ตัว โอกาสที่ตัวเมียจะเป็นหมันนั้นมีถึง 92 ตัว

12. มีนิสัยตื่นตกใจง่าย (และไม่หาย) เปรียวจัด ไม่พึงประสงค์อย่างยิ่ง วัวพวกนี้จะยุ่งยากต่อการจัดการฝูงเมื่อมีปนอยู่ นอกจากตัวมันเองจะมีเนื้อเหนียวแล้ว ยังถ่ายทอดลักษณะเนื้อเหนียวไม่นุ่มไปสู่ลูกหลานได้อีกด้วย จึงไม่ควรเก็บไว้ทำพันธุ์

วัวบราห์มันที่เรารู้จักครั้งแรกๆ เป็นตัวผู้ 24 ตัว ตัวเมีย 47 ตัว ตัวผู้ขนาดผสมพันธุ์ได้ ตัวเมียเป็นวัวสาวรุ่นพร้อมผสมพันธุ์ได้ เอาไปเลี้ยงแพร่พันธุ์ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง จังหวัดสระบุรี ต้องยอมรับว่าสมัยนั้นเรายังไม่มีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับ Animal Breeding เลย เราจึงไม่ได้คิดวางแผนปรับปรุงพันธุ์และคัดเลือกพันธุ์แต่อย่างใด แต่มีความคิดในเรื่องการเผยแพร่ส่งเสริมอยู่มากพอสมควร พ่อวัวราวครึ่งหนึ่ง (12 ตัว) นำไปให้เกษตรกรยืมไปผสมพันธุ์โดยไม่คิดมูลค่า แม่วัวของชาวบ้านก็เป็นวัวพื้นเมืองธรรมดาๆ (น้ำตาลปนแดง) ของภาคอีสานเรา ชาวบ้านเขาก็ปล่อยพ่อวัว บราห์มันเข้าฝูงตัวเขาไป เอาพ่อวัวไทยออก ไม่มีการจดบันทึกสถิติใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ใช้วิธีสังเกตเอา อีก 3 เดือนต่อมา ชาวบ้านเกือบทั้งหมด (10-11 ราย) กลับมาที่สถานีฯ ท่าพระ ขอให้ไปเอาพ่อวัวคืนมา ถามเหตุผลว่าเพราะอะไร เขาบอกว่าพ่อวัวไม่เอาไหนเลย ตัวเมียอยู่ทิศหนึ่ง พ่อวัวไปอยู่อีกทิศหนึ่ง ไม่เห็นผสมพันธุ์สักที เลยไปเอามาคืนมาตามที่ขอร้อง (เจ้าหน้าที่เราเองก็ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมมันไม่ยอมอยู่กับตัวเมีย) อีก 10 เดือนต่อมา ชาวบ้านทุกคนที่รับพ่อวัวไป กลับมาบอกด้วยความดีใจว่า ผมได้ลูกวัวสีขาวเต็มพรืดไปหมด กลับมาขอพ่อวัวคืน พร้อมกับพูดว่าไม่รู้มันผสมพันธุ์กันเมื่อไร แปลกจริงๆ ความจริงก็ไม่มีอะไรมาก เพราะเมื่อสมัยนั้น พวกวัวบราห์มัน (ซีบู) พวกนี้เขาจัดว่าเป็นวัว “ขี้อาย” (Shy Breeder) คือมันจะไม่ยอมผสมพันธุ์ในที่โล่งๆ ลักษณะของ Shy breeder ทำให้ความสมบูรณ์พันธุ์ต่ำ เขาจึงคัดลักษณะ ขี้อาย ออกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว

นับแต่ปี 2497 เป็นต้นมา ราว 16-20 ปี วัวไทยภาคอีสานจำนวนมาก ถูกยกระดับพันธุ์ (Up-grading) จนเป็นวัวเหมือนบราห์มันเกือบทั่วทั้งภาค ส่วนใหญ่มีเลือดวัวบราห์มันเกิน 75% น่าเสียดายที่ช่วงวัวมีเลือดถึง 87.5% บราห์มันไม่มีใครริเริ่มรับรองว่าเป็นพันธุ์แท้ ข้อคิดก็มีอยู่เพียงว่า ถ้าเราวางแผนผสมพันธุ์แต่เนิ่นๆ ดีๆ เราคงมีวัวบราห์มันดีๆ ที่ให้ผลผลิตลูกสูง และ มีเนื้อมาก ป้อนความต้องการการบริโภคของคนไทยได้ ขอเพียงว่าอย่าเอาวัวเชื้อสาย เนื้อน้อย คุณภาพทางเศรษฐกิจต่ำมาแทรกพันธุ์ดีๆ ของเราก็พอ จะได้ไม่เสียเวลาในการปรับปรุงพันธุ์ การนำวัวพันธุกรรมทางเศรษฐกิจต่ำมาใช้ เป็นการทำลายโครงสร้างการสร้างพันธุ์วัวดีๆ ของไทย ทำให้เสียเวลามาเริ่มกันใหม่ ทำลายเศรษฐกิจต้นทุนการผลิตอย่างมาก ฉะนั้น กรุณา “อย่าทำ” เพื่อส่วนตัว (ของคนไม่กี่คน) วัวบราห์มัน เลี้ยงง่าย อยู่สภาพแวดล้อมบ้านเราได้อย่างสบาย เกษตรกรคนไหนก็เลี้ยงได้ เพียงได้รับคำแนะนำการเลี้ยงดู และการจัดการบ้างก็เพียงพอ ใครใคร่จะเลี้ยงวัวพื้นเมืองต่อไป ก็จงเลี้ยงผลิตต่อไป เพราะเป็นของดี ถ้าคิดต้นทุนต่อหน่วยอาจต่ำกว่าวัวบราห์มัน (พูดกันมากแต่ยังไม่เห็นมีใครทำ)

ส่วนการเลี้ยงวัวบราห์มัน อยากให้มาคิดคร่าวๆ ดังนี้

เลี้ยงโดยกำหนด

– ระบบการผลิต

– คุณสมบัติของผู้ผลิต และใครบ้างที่จะผลิต

– วางแผนรองรับผลผลิตให้ไหลลื่นออกสู่ตลาดได้

– ที่สำคัญอย่างหนึ่งนั้น ผู้ผลิตควรมองภาพเพื่อนบ้านของเราบ้างว่าเขามีของดีๆ อย่างเราหรือเปล่าซึ่งน่าจะ

เตรียมพร้อมขายพันธุ์แก่เพื่อนบ้าน การขยายพันธุกรรม กำไรจะสูงกว่ามาก ซึ่งน่าจะทำควบคู่กันไป ปัญหาตลาดเป็นเรื่องใหญ่

ใครมีวัวบราห์มัน (เพศเมีย) มากๆ จะอยู่ในฐานะสบายใจ เพราะความต้องการ (demand) ในตลาดยังสูงมาก ในขณะที่ปริมาณการผลิต (Supply) ไม่พอ จึงอยากเห็นความร่วมมือร่วมใจการผลิตวัวบราห์มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (เหมือนในสหรัฐอเมริกา) เราก็จะดีได้

สมาคมผู้บำรุงพันธุ์โคไทยบราห์มัน (Thai Brahman Breeders Association – TBBA) ถือกำเนิดจดทะเบียนมาตั้งแต่ปี 2531 โดยความริเริ่มจากเจ้าหน้าที่รัฐ (กรมปศุสัตว์) ด้วยความมุ่งหมายในหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกว่า อยากให้สมาคมนี้เป็นศูนย์รวมการผลิต การผสมพันธุ์ การคัดเลือกพันธุ์ และการขยายพันธุ์วัวบราห์มัน ให้อยู่ในมือของภาคเอกชน (เกษตรกร) โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่เคยคิดจะดำเนินการด้วยตนเองเลย การดำเนินงานโดยภาคเอกชนจะมีความคล่องตัวสูงกว่ามาก หากองค์กรนี้สมาชิกเข้าใจวัตถุประสงค์ของการทำงานร่วมกันเป็นคณะใหญ่ ซึ่งหวังว่า เราคงทำได้

ทำไมต้องเป็นวัวบราห์มัน

ในหลักการของการเลี้ยงสัตว์ เขาถือกันว่า จงทำสัตว์ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม แต่อย่าทำสิ่งแวดล้อมให้เข้ากับสัตว์ เพราะประการหลังต้นทุนการผลิตจะสูงจนยากแก่การลงทุน

1. วัวบราห์มันเป็นวัวในเขตร้อนอยู่แล้ว เพราะต้นพันธุ์อยู่ในอินเดียและปากีสถาน เมื่อนำเอามาเลี้ยงในพื้นที่มีภูมิอากาศคล้ายคลึงกัน สภาพแวดล้อมเดียวกัน จึงไม่เสียเวลาที่จะต้องปรับสิ่งแวดล้อมให้สิ้นเปลือง

2. ขอยกตัวอย่างการเลี้ยงวัวที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง (สมัยนั้น) เมื่อปี 2510-2514 ตัวเลขที่ปรากฏชัดเจนเปรียบเทียบระหว่างวัวไทย 200 แม่ (ซื้อจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอ่างทอง) กับวัว (สาว) บราห์มันที่มีอยู่ในขณะนั้น 150 แม่ ได้ข้อมูลดังนี้

พันธุ์วัว น้ำหนักแรกเกิด

(เฉลี่ย 2 เพศ) น้ำหนักหย่านม (205 วัน)

(เฉลี่ย 2 เพศ)

พื้นเมือง 14-15 กิโลกรัม 120-121 กิโลกรัม

บราห์มัน 28-31 กิโลกรัม 178-190 กิโลกรัม

น้ำหนักหย่านมของวัวบราห์มันและพื้นเมืองเมื่ออายุ 205 วัน น้ำหนักวัวบราห์มัน สูงกว่าวัวพื้นเมืองโดยเฉลี่ยประมาณ 67 กิโลกรัม และเป็นการเลี้ยงในแปลงหญ้าอย่างเดียว มีอาหารผสมเพิ่มเติมในฤดูแล้งเพียง 1-1.5 กิโลกรัม ต่อวัน การจัดการเรื่องแปลงหญ้า (Pasture Management) ดำเนินการอย่างเข้มข้น ทุ่งหญ้ามีคุณภาพดีตลอดเวลา

จึงเห็นได้ว่า ถ้าเรามีวัวบราห์มันเป็นวัวพื้นฐาน (Foundation stock) เราก็จะก้าวกระโดดได้เร็วขึ้น

ที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่าวัวพื้นเมืองไม่ดี วัวพื้นบ้านมันปรับตัวเองได้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราไม่เคยปรับปรุงมันจริงๆ จังๆ มาแต่กาลก่อนเท่านั้นเอง ทำตอนนี้ช้าไปหน่อย ไม่ทันผู้บริโภค ข้อดีที่สุดของวัวพื้นเมืองก็คือ เลี้ยงดีๆ ให้ลูกปีละตัว ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะเคยเลี้ยงวัวพื้นเมือง 200 แม่ ระหว่างปี 2510-2514

มีความเห็นว่า ควรผลิตวัวพื้นเมืองต่อไปเพื่อให้สามารถสร้างวัวบราห์มันโดยวิธียกระดับพันธุ์จากพื้นเมืองให้มีเลือดของวัวบราห์มันสำหรับเป็น Foundation Stock ในการผลิต วัวเนื้อ วัวนม ต่อไป

3. หลายท่านวิตกกังวลว่า วัวบราห์มันมีความสมบูรณ์พันธุ์ค่อนข้างต่ำ และช่วงการตกลูก (Calving interval) ห่าง โดยธรรมชาติวัวบราห์มันอุ้มท้อง 290-295 วัน ในขณะที่วัวไทยระยะอุ้มท้อง 275-278 วัน เดี๋ยวนี้อายุที่ผสมพันธุ์ได้ ของทั้งสองพันธุ์ก็อยู่ในราว 17-20 เดือนพอๆ กัน

เห็นว่าถ้าเราเลี้ยงดูวัวบราห์มันด้วยแปลงหญ้าดีๆ มีอาหารสำรองในฤดูแล้งคุณภาพดีๆ ก็สามารถทำให้ช่วงการตกลูกของวัวบราห์มันอยู่ระหว่าง 385-390 วันได้ ท่านต้องทำงานหนักและจริงจังกับมัน

การผสมพันธุ์โดยวิธีธรรมชาติ (ตัวผู้ 1 : ตัวเมีย 25) โดยกำหนดฤดูผสมพันธุ์ (Breeding season) 90-100 วัน เป็นมาตรการหนึ่งที่สำคัญ เพื่อค้นหาวัวที่มีความสมบูรณ์พันธุ์สูงไว้ในครอบครอง

ผู้เขียนนิยมทำแบบพื้นฐานความจริงดั้งเดิม เราก็จะได้วัวเป็นรุ่นๆ ขนาดสม่ำเสมอกัน (Uniformity) เป็นที่สะดุดตา สะดุดใจแก่ผู้ซื้อ และที่สำคัญคือ ง่ายแก่การจัดการ

“การจัดการทั้งตัววัวและอาหาร เป็นหัวใจของการผลิตที่มีประสิทธิภาพ”

ประวัติศาสตร์การเลี้ยงวัวเนื้อและวัวนมของเราก่อนปี 2497 (ก่อนรู้จักวัวบราห์มัน)

1. เรามีวัวสีขาว (เทา) เรียกสมัยนั้นว่า วัวบังกาลา บางทีก็เรียกว่า บังกะลอร์ เป็นวัวซีบูชนิดหนึ่ง (เข้าใจว่าคงมาจากบังกลาเทศ) มีเป็นฝูงใหญ่เหมือนกันที่ลำพญากลาง และทับกวาง ต่อมาก็จางหายไป

2. ปี 2495 มีการนำเข้าวัวเรดซินดิ ไม่ทราบจำนวน มาทดลองรีดนมที่ทับกวาง ขาดความเข้มข้นการรักษาพันธุ์ ก็จางหายไปในที่สุด แต่ชาวอินเดียที่เลี้ยงวัวนมเอาทั้งวัวบังกาลา และเรดซินดิไปรีดนมก็มี (เขตรอบๆ ชานเมืองกรุงเทพฯ)

3. ปี 2495 กรมปศุสัตว์ได้รับความช่วยเหลือจาก USOM เรียกว่า Heifer Project นำเข้าวัว บราวน์สวิส (Brown Swiss) พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ ไม่ทราบจำนวนมาทดลองเลี้ยงวัวรีดนมที่ท่าพระขอนแก่น วัวบราวน์สวิสชุดนี้มาจากรัฐ Wisconsin สหรัฐอเมริกา

พ่อวัวบราวน์สวิสหลายตัวนำมารีดน้ำเชื้อโดยกองผสมเทียม (ขณะนั้น) ผสมกับวัวพื้นเมือง บังกาลา และเรดซินดิ

ฉะนั้น ในช่วงปี 2498-2503 จะเห็นวัวลูกผสมรีดนม

บราวน์สวิส x พื้นเมือง

บราวน์สวิส x บังกาลา (ซีบู)

บราวน์สวิส x เรดซินดิ

กระจายอยู่ทั่วๆ ไปตามแหล่งเลี้ยงวัวนม รวมทั้งที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง 33 แม่ด้วย

1. ปี 2511 มีการนำเข้าวัวเรดซินดิและซาฮิวาล จากปากีสถาน เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2511 เป็นตัวเมีย 100 ตัว ตัวผู้ 11 ตัว โดยกรมปศุสัตว์และฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค ซื้อร่วมกัน 111 ตัว

ประการสุดท้าย อยากฝากข้อสังเกตว่า “วัวบราห์มันตัวเมีย” เป็นวัวที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะใช้เป็นแม่วัวพื้นฐาน ไม่ว่าท่านจะเน้นไปที่การผลิต

ก. วัวเนื้อ ดังเช่น วัวเนื้อพันธุ์ต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ที่มีเลือดวัวยุโรป 5/8 และบราห์มัน 3/8 หรือ

ข. วัวนม การผสมพันธุ์และคัดเลือกพันธุ์อาจมีความละเอียดอ่อนกว่าวัวเนื้อ มีเป้าหมายหลักเกณฑ์ดีๆ ก็จะได้วัวรีดนมที่ดีในสภาพแวดล้อมบ้านเราได้

ทุกวันยังเชื่อกันว่าต้องมีเลือดวัวนม (ยุโรป) สูงๆ ให้นมวันละ 30-40 ลิตร ความจริงวัวให้นมขนาดนี้ในบ้านเราต้องเสียค่าใช้จ่ายในเรื่องอาหาร ฮอร์โมน ยาปฏิชีวน วิตามิน ฯลฯ มากมาย นม 30-40 ลิตร จะยืนได้สักกี่วัน มีวัวพวกนี้จำนวนมากรีดนมมา 2-3 ปี ยังไม่ให้ลูกเพิ่มเลย สู้เลี้ยงวัวเลือดต่ำลงมาหน่อย ให้นมปีละ 4,200-4,500 กิโลกรัม ต่อระยะให้นม (300-305 วัน) ค่าอาหารถูกกว่าไม่เจ็บไม่ป่วย ให้ลูกปีละตัว น่าจะดีที่สุด จึงขอให้มองในแง่ของ Optimal Production ดีกว่า

ข้อคิดอีกประการหนึ่งของการเลี้ยงวัวบราห์มัน ซึ่งอยากให้ทุกท่านคิดใคร่ครวญก่อนตัดสินใจคือ จงเลี้ยงวัวอย่างที่ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่แท้จริง แต่อย่าเลี้ยงเพื่อความสวยงาม (Aesthetic purpose) ดูไม่นานก็เบื่อ

พึงระลึกเสมอว่า สมาคมผู้บำรุงพันธุ์โคอเมริกันบราห์มัน (ABBA)ในสหรัฐ เขามีวัวอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ อเมริกันบราห์มันเทา (คนไทยว่า บราห์มันขาว) และอเมริกันบราห์มันแดง (American Red Brahman) สมาคมถือว่าทั้งเทาและแดงมีคุณภาพและศักดิ์ศรีเท่ากัน ถาม Mr. John Jefcoat อดีตเจ้าของฟาร์ม Double J Ranch เมือง Scott Louisiana ว่าทำไมการสร้างพันธุ์วัวเนื้อในอเมริกาจึงใช้บราห์มันเทาทุกพันธุ์เลย (ถามที่ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์สุรินทร์ เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2549) แกตอบว่าคนอเมริกันนั้นมุ่งที่ปริมาณเนื้อและคุณภาพเนื้อในตัววัวเป็นหลัก จึงนำเอาบราห์มันเทามาใช้ เพราะมี แหล่งพันธุกรรม (Gene pool) มากกว่าพันธุ์สีแดง

ตอนหน้าตอนจบ พบกับการพัฒนาและส่งเสริมการเลี้ยงดูวัวบราห์มัน

เสน่ห์แห่งมวกเหล็ก และทับกวาง (3)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05083010659&srcday=2016-06-01&search=no

วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 624

คนปศุสัตว์เล่าเรื่อง

สุพจน์ ศรีนิเวศน์ ปิยศักดิ์ สุวรรณี โทร. (081) 921-2328

เสน่ห์แห่งมวกเหล็ก และทับกวาง (3)

ผู้เขียนมีข้อคิดเก็บมาฝากให้ท่านผู้รู้ได้ช่วยกันคิดถึงในเรื่องดังต่อไปนี้

1. จากคนรุ่นโบราณๆ (Old fart) ผู้เขียนเห็นว่า วัวพวก Bos taurus (ตระกูลยุโรป) ไม่เหมาะจะเลี้ยงในเขตร้อน-ชื้น เห็บและแมลงชุกชุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เรียกว่า Tick fever หรือไข้เห็บ หรือ Piroplasmosis และ Anaplasmosis เพราะมันไม่มีความต้านทานต่อโรคนี้เลย ซึ่งตรงข้ามกับวัวตระกูล Bos indicus หรือ Zebu (วัวแขก), วัวไทย มีความต้านทานต่อโรคนี้ โดยธรรมชาติเลี้ยงวัวฝรั่งน่ะเลี้ยงได้ แต่ท่านต้องนึกถึง วัคซีน-ยารักษาโรค-การดูแลการจัดการในด้านโรงเรือน และอาหาร รวมทั้งเวลาที่ต้องอุทิศให้กับมัน มันคุ้มกันหรือไม่ จากที่ได้สัมผัสมาที่ทับกวาง เรามีโคลูกผสมยุโรป x ตระกูลซีบู 50 : 50 ไม่มีปัญหาเรื่องโรคไข้เห็บ และ Anaplasmosis เลย แถมให้นมใช้ได้ทีเดียว หนทางที่แก้ไขได้อย่างถาวรที่จะมีวัวนมที่เหมาะสมในเขตร้อน-ชื้นก็คือ การผสมข้ามพันธุ์ระหว่างวัวยุโรป และวัวอินเดีย (Red Sindhi) เลือดอย่างละ 50% ก็พอ สร้างเป็นพันธุ์ขึ้นมาโดยเฉพาะ ที่เราเรียกกันว่า Synthetic Breed ขอเน้นว่ามันอยู่ที่การ Selection ในเรื่องของ Hardiness และ Production ให้พอดีๆ ต่อกันและกัน การผสมข้ามพันธุ์วัวนมเหมือนกับเราเล่นคานกระดก (teeter totter) ถ้าเลือกความเข้มแข็งสูง (vigor) คือมีเลือดซีบูสูง ปริมาณนมก็จะลดลง ในทางตรงกันข้ามถ้าเลือกวัวให้ผลผลิตสูง (Production) แบบวัวฝรั่ง ความแข็งแรงก็จะลดน้อยลงไป อยู่ที่ Selection ให้พอเหมาะพอดี อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่าผู้ที่เลี้ยงวัวเลือดสูงๆ คงทราบถึงทุนรอนที่ท่านทุ่มเทลงไป ขอให้ผลิตแบบ Optimum Production จะดีกว่า ไม่เหนื่อยด้วย!

2. ในข้อนี้ผู้เขียนอาจผิดพลาดก็ได้ โดยที่ได้เคยเห็นวัวลูกผสมบราวน์สวิส โฮลสไตน์ฟรีเชี่ยน (ขาวดำ) และเจอร์ซี่มา เห็นได้ชัดว่า เต้านมของลูกผสมที่เกิดจากพ่อบราวน์สวิสกับเรดซินดิ มีทรวดทรงที่สวยงาม ไม่ออกเป็นรูปกรวยจัด เต้านมมีขนาดสม่ำเสมอ ไม่ใหญ่โตเทอะทะ หัวนมไม่ยาวเกินไป การยึดติดกับลำตัวที่ส่วนท้าย ส่วนใหญ่งดงามกว่า อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างข้อมูลที่มองเห็นก็เห็นในช่วงมีการผลิตลูกผสมวัวนมในช่วง 11-12 ปีนั้น การใช้พ่อพันธุ์เจอร์ซี่ให้ผลการให้นม และลักษณะเต้านมของลูกที่ได้ ก็แสดงออกมาในแนวเดียวกับบราวน์สวิส ต่างกันก็อยู่ความจริงที่ว่า ถ้าอยากได้ไขมันสูงจงมองไปที่เจอร์ซี่ การให้ปริมาณนมที่สูงกว่าก็ต้องมองไปที่บราวน์สวิส ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ (nature) ของวัวนม คือถ้านมมาก ไขมันต่ำลง แต่ทว่าถ้าไขมันสูง ปริมาณน้ำนมก็จะน้อย เป็นไปตามธรรมชาติของสัตว์ให้นม

จากการที่ได้พบได้เห็นวัวลูกผสม ระหว่างบราวน์สวิส และลูกผสมของขาว-ดำ ในบ้านของเรา และในสหรัฐอเมริกาที่ใช้พ่อพันธุ์ขาวดำผสมกับแม่บราห์มัน เพื่อเอาลูกมาทำเป็นแม่ตัวรับฝากตัวอ่อน (recipient) พบว่าเต้านมของวัวลูกผสมพวกนี้ เต้านมไม่สวยไม่สม่ำเสมอ เทอะทะ ผู้เขียนมองเห็นว่าลูกผสมนี้สู้ลูกผสมจากบราวน์สวิส หรือเจอร์ซี่ไม่ได้ ขอคาดคะเนเดาว่าน่าจะเป็นลักษณะจำเพาะ การรวมตัวของยีน (nicking) ของพันธุ์บราวน์สวิสทำได้ดี และเข้ากันดีในการสร้างเต้านม และระบบของการผลิตน้ำนมโดยเฉพาะก็เป็นได้ น่าเสียดายว่า บราวน์สวิสเราใช้งานมาราว 11-12 ปี เท่านั้น และไม่ได้ใช้ต่อมาอีกเลย ข้อมูลจึงยังไม่น่าเชื่อถือนัก และสังเกตต่อมาว่า วัวบราวน์สวิสทนร้อนได้ดีกว่าวัวนมพันธุ์ยุโรปพันธุ์อื่นๆ และโปรดระลึกเสมอว่า วัวพันธุ์สวิสควรจะใช้ American Brown Swiss เท่านั้น เพราะเกษตรกรสหรัฐอเมริกา ได้เปลี่ยนรูปร่างของวัวบราวน์สวิส เป็นลักษณะวัวนมสมบูรณ์แบบแล้ว ตรงข้าม European Brown Swiss ยังเป็นลักษณะกึ่งเนื้อกึ่งนมอยู่มาก (Dual purposes) มีลักษณะเป็นวัวเนื้อมากกว่า

คงจะเป็นเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้กระมัง ที่ทำให้ผู้เขียนมีความไม่เห็นด้วยตลอดมาในการนำวัวพันธุ์แท้พันธุ์ยุโรป (Bos taurus) มาเลี้ยงในบ้านเรา เนื่องจากเป็นการฝืนธรรมชาติของสัตว์และต้องใช้เงินดูแลรักษาสูงมาก และในที่สุดก็ฝืนธรรมชาติไม่ได้ เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อตอนกลางปี พ.ศ. 2503 ฯพณฯ ร.ม.ต. เกษตร พล.อ. สุรจิต จารุเศรณี ได้สั่งวัวบราวน์สวิสจากสวิตเซอร์แลนด์เข้ามา 21 ตัว เป็นตัวเมีย 17 ตัว ตัวผู้ 4 ตัว อายุระหว่าง 15-21 เดือน ซึ่งผู้เขียนรู้ตัวล่วงหน้าจากทางกรมปศุสัตว์ 1 วัน ก่อนวัวจะมาถึง จึงได้จัดเตรียมคอกโคนมที่สร้างเสร็จใหม่ๆ 2-3 วัน แบบ Stanchion barn หลังคา 2 ชั้น (tier roof) มุงด้วยสังกะสี ร้อนพอควร จึงได้ติดตั้ง sprinkler บนหลังคาไว้ด้วย ช่วยคลายความร้อนลงไปได้บ้าง แต่ความเป็นจริงแล้ว ไม่เข้าท่าหรอก เพราะน้ำที่ใช้เป็นน้ำบ่อน้ำซับธรรมชาติต่อท่อลงมา หมุนได้แต่ได้ไม่กี่วัน ขี้ผงเศษใบไม้ไหลเข้ามาอุดตันหัวสปริงเกลอร์หมด ต่อมาก็เลิกใช้เพราะขี้เกียจปีนหลังคาไปเอาขี้ผงออก สังกะสีร้อนๆ โดนน้ำเข้ายิ่งอบอ้าวไปใหญ่

บังเอิญแปลงหญ้าใกล้ๆ คอกวัวนมถูกปรับปรุงเป็นอย่างดีแล้ว พร้อมปลูกข้าวโพดเผื่อจะเอามาตัดให้วัวนมกินบ้าง มีคอกสัตว์ มีพืชอาหารสัตว์พร้อมมาก คนกลับมาจากเมืองนอก (เดนมาร์ก) ใหม่ๆ มันคึกอยากลองวิชางานวัวนมที่ฝึกกลับมาใหม่ๆ จึงขยันเกินตัว (He”s more Catholic than the Pope) อ้อ! ลืมเล่าให้ฟังไปว่า เมื่อใกล้จบจากบางเขนและยังเป็น Trainee ทำงานวิจัยสุกรช่วยคุณซอนเดอร์กอรด์ท่านอยู่ ท่านมักจะมาทำงานที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวางในทุกๆ วันเสาร์และอาทิตย์ เกณฑ์เอาผู้เขียนมาด้วยเป็นประจำ งานวิจัยพันธุ์ลูกผสมสุกรพันธุ์ต่างๆ มีมาก เช่น

– Duroc x Hainan

– Hamshire x Hainan

– Large white x Hainan

– Berkshire x Hainan

ทดลองและศึกษาลักษณะที่สำคัญๆ ทางเศรษฐกิจ เช่น

– Litter size

– Birth weight

– Weaning weight และ Number of weaners

– Weight at six months of age

– Age at 90 kgs. Weight เป็นต้น

จำได้ไม่หมด หมูมันมีหลายตัว แกชอบมาทำงานเอาแถวๆ 4 โมงเย็น ซึ่ง 5 โมงเย็น คนงานเขากลับกันหมด เหลือเรา 2 คน ช่วยกันคัด ช่วยกันแยก จับตัวนี้ไปอยู่กลุ่มโน้น มากมายจนตาลาย ผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศปล้ำหมูเองด้วย สนุกดีอยู่หรอก แต่มันเริ่มค่ำแล้วชักมองสีหมูไม่ออก คนหนุ่มเริ่มหิวแล้ว นึกไปว่า ท่านกลับบ้านท่านมีคนทำให้กินอยู่แล้ว ส่วนเรากลับบ้านไม่มีอะไรเลย รถราไม่มีใช้ พรรคพวกก็คอยเพื่อจะเดินนับไม้หมอนรถไฟ จากทับกวางไปแก่งคอย ราว 5 กิโลเมตร หาข้าวกิน และติดมื้อเช้ากับกลางวันมาด้วย “ความหิวทำให้โกรธ” เลยใช้วิชารักบี้ไล่แท็ก (tackle) จับหมูทดลองใส่เล้าอย่างเมามัน เออมันก็เสร็จเร็วดีแฮะ วันจันทร์ต่อมา คุณซอนเดอร์กอรด์ แกเดินมาหาที่โต๊ะทำงานผู้เขียน ท่านถามว่า “อยากไปเดนมาร์กไหม ไปฝึกงาน (Practical training) ในฟาร์มวัวนมที่นั่น” ผู้เขียน “งง” เอามากๆ เพราะเกิดมาไม่เคยไปเมืองนอกกับเขา ท่านพูดออกมาว่า “เป็นเพราะ you ขยัน และทำงานหนักได้” ผู้เขียนตอบไปว่า “yes” เอาวันรุ่งขึ้น พร้อมๆ กับนึกอยู่ตลอดเวลาว่า “เป็นเพราะโมโหหิวแท้ๆ ทำให้เขามองว่าเรา ทำงานดี และสู้งานดี คุณซอนเดอร์กอรด์ ท่านไม่ทราบหรอก” แต่สอนว่า อย่าไปคิดว่า you จบปริญญาแล้วจะเก่งทุกอย่าง จงลืมเรื่องนี้เสีย และสนใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เดนมาร์ก “ผู้เขียนรับคำ” ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคเลย กลับมีความแข็งแกร่งที่รู้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ และรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณชาวเดนมาร์กมาก (เดินทางไปเมื่อ 9 พฤษภาคม 2501 ใช้เวลา 1 ปี พอดี)

ใช้พื้นที่ไปกว่า 1 หน้ากระดาษ เล่าเรื่อง “โมโหหิว” ตอนนี้ขอกลับมาเรื่องเดิม จะได้จบๆ เร็วๆ จำได้เมื่อต้นปี พ.ศ. 2503 วัวบราวน์สวิสจากสวิตเซอร์แลนด์ ทั้ง 21 ตัว ก็มาถึงที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง พร้อมเด็กเลี้ยงวัวของเขา 1 คน ชื่อ Martin Brunsweiler (พรรคพวกที่เราเรียก ไอ้ตี๋ เพราะเรียกง่ายกว่า) มาพักที่บ้านเรือนเขียวหลังเก่ง ที่คุณซอนเดอร์กอรด์เคยพักนั่นแหละ ขออนุญาตเรียนเล่าเป็นข้อๆ เป็นตอนๆ ไปเกี่ยวกับเหตุการณ์ ดังนี้

– วัวทุกตัวเข้าซองยืนโรงแบบ stanchion barn หมด

– อาหารและน้ำพร้อมสมบูรณ์ คนเลี้ยงดู เอาใจใส่ทุกคน

– มีเหลือบจากชายๆ ป่า บินมากินเลือดวัวบ้าง มันก็ดิ้นไม่ถนัด เพราะติดโซ่คอ stanchion นายตี๋แกตื่นแต่เช้ามาดูวัวของแกทุกวัน และอยู่ที่คอกจนค่ำ

– อยู่ในคอกได้ 5 วัน ก็เริ่มปล่อยในแปลง paddock ใกล้ๆ คอกให้ออกกำลังกาย เพราะวัวของเขาไม่เคยถูกกักขัง อยู่แต่ในทุ่งหญ้า หุบเขาแอลป์อันกว้างใหญ่ อากาศเย็นสบาย

– หลังจากปล่อยแปลงหญ้าใกล้ๆ คอกราว 28 วัน ทางท่านอธิบดีกรมปศุสัตว์ (คุณสำเนียง ศรมณี) ได้แจ้งไปทางทับกวางให้เอาตัวนายผู้เขียน และนายตี๋ ไปกินข้าวกลางวันที่บ้านด้วย (ไม่เคยรู้ว่าเป็นวันเกิดของท่าน) นายตี๋ได้รับการต้อนรับพูดคุยเป็นอย่างดีจากคนในวงการทุกท่าน จนเขามีความสุขมาก นายตี๋พูดภาษาสวีเดน ส่วนผมพูดภาษาเดนมาร์ก คล้ายๆ กับ ลาวกับไทย เพราะนายตี๋แกพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น

– เย็นๆ ก่อนค่ำก็กลับมาทับกวาง นายตี๋แกรีบไปดูวัวของแกทันทีเลย นายตี๋ตกใจรีบวิ่งไปที่ตัววัว เพราะมีอาการคอตก ซึม จับที่ใบหู ใบหูร้อนจัด แสดงว่าตัวร้อนจัดด้วย ตอนนั้นมีสัตวแพทย์ประจำสถานีเพื่อนบางเขนรุ่นเดียวกัน ทางสถานีจึงแจ้งไปที่กองส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ (ในขณะนั้น) หัวหน้ากองคือ อาจารย์รัตนะ อุนยะวงษ์

– ได้ส่ง นายสัตวแพทย์ปิยะ อรัณยกานนท์ และคณะของนายสัตวแพทย์จากกองต่างๆ มารวมกันอีก 6 คน มาพักที่หออบรมของสถานี ผู้เขียนเรียกท่านว่า พี่ปิยะ มานานแล้ว และท่านก็เป็นพี่ เป็นปูชนียบุคคลที่ผมนับถือมาจนทุกวันนี้ไม่เสื่อมคลาย ส่วนบุคคลอื่นๆ ก็พี่ๆ น้องๆ มาทำงานในเวลาไล่เลี่ยกัน นึกชื่อได้ไม่หมด เช่น หมอเหรียญชัย หมอนุกุล หมออุดม หมอสมเจตน์ ไตติลานนท์…ทุกคนทำงานหนักมาก เลิกงาน 3-4 ทุ่ม ทุกคืน

– พี่ปิยะ ได้เจาะเลือดที่ jugular vein ตรงลำคอเอาเลือดมาตรวจส่งกล้องดู ก็พบเชื้อ Babesia เกิดจากเห็บไปกัดวัว แล้วปล่อยเชื้อนี้เข้าไปในสายเลือด เชื้อ Babesia เป็นเชื้อที่เรียกกันว่า Rickettsia อยู่ระหว่าง Protozoa กับ Bacteria

– ผู้เขียนขออภัย ถ้าผิดพลาดในคำบอกเล่านี้ การทำงานของมันนี่พอรู้ก็คือ เข้าไปในกระแสเลือดแล้ว มันทำลายเม็ดโลหิตแดงจนแตก เลือดถูกส่งผ่านเข้าไปในม้าม (Spleen) ม้ามพยายามกลั่นกรองเลือด อำนาจของ rickettsia สูง ทำให้ไตกลั่นกรองไม่ได้ เลือดจึงปนมากับปัสสาวะของวัว คือเป็นหนักมากจนถ่ายปัสสาวะออกมาเป็นเลือด วัวยุโรปไม่มีความคุ้มต่อโรคนี้เลย อุณหภูมิของร่างกายวัวจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากถูกเชื้อทำงาน คือจากปกติ 97-98 องศาฟาเรนไฮต์ เป็น 102 องศาฟาเรนไฮต์ 103 องศาฟาเรนไฮต์ 105 องศาฟาเรนไฮต์ และอาจถึง 107 องศาฟาเรนไฮต์ แล้วตายทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ตอนเริ่มเป็นจับใบหูวัวดู จะร้อนจัดมากขึ้นไปเรื่อยๆ ขอบตาซีด ผิวหนังส่วนที่พอเห็นได้ก็ซีดด้วย ตัวเมียบริเวณที่ช่องคลอดซีด ไม่มีสีเลือดเลย

– ไม่มีใครโทษใคร ทุกๆ คนรวมทั้งผู้เขียนไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เคยเห็น รวมทั้งพี่ปิยะของผมด้วย

– พี่ปิยะขอให้กรมส่งอาคาปริน ซึ่งทั้งประเทศมีในขณะนั้น ที่บริษัทไบเออร์อยู่ 2-3 ขวด วัวตัวที่ถูก Treat ด้วย Acaprin ไข้ลดลง ระยะหนึ่งแล้วก็มีไข้อีก จึงตัดสินใจว่า เพราะเลือดวัวมันน้อยถูกทำลาย ควรทำ blood transfusion (ให้เลือด) กันดีกว่า เผื่อจะช่วยได้บ้าง (ความจริงยิ่งถ่ายเลือด ยิ่งเพิ่มเชื้อ)

– ก็ไปเอาวัวที่พอจะคัดๆ ทิ้งมาเจาะเลือดเพื่อดูดเลือดที่คอ เอาไปถ่ายให้วัวป่วย วัวป่วยทุกตัวมีอาการกระเตื้องขึ้นได้สอง สามวัน hemoglobin ก็ลดลงอีก นับเป็นการทำ blood transfusion กับวัวเป็นครั้งแรกของเมืองไทย

– พี่ปิยะมักจะลงมือทำเอง ในการเจาะเลือด และมักจะเรียกเจ้าจำนำ คือผู้เขียนเป็นคนจับวัว ปล้ำวัว แกว่าผู้เขียนจับแล้วมั่นใจดี ตอนนั้นอายุก็ 28- 29 ปีแล้ว ยังฟิตอยู่มาก สรุปกันดีกว่า คือได้ทำงานแล้วสนุกและมีความสุขอยู่เสมอ

– ทุกท่านที่มาทำงานทุ่มเทกันสุดหัวใจ เพราะเป็นงานใหม่ที่ท้าทายอนาคตอยู่มาก

– ผู้เขียนเองไม่อยากให้ใครลำบากเกี่ยวกับวัวยุโรปพันธุ์แท้เลย มีการสั่งเข้ามาตามแหล่งต่างๆ ส่วนใหญ่เป็น Holstein Friesian ทั้งจาก USA, Australia, New Zealand และ Canada เท่าที่ทราบเอามาลงที่เชียงใหม่ (ห้วยแก้ว) บ้าง ที่ดอยสะเก็ดบ้าง ที่สระแก้วบ้าง ที่บึงสามพัน เพชรบูรณ์บ้าง ที่ราชบุรีบ้าง อยู่ได้ปีแรกๆ ไม่นาน ที่ อ.ส.ค. ก็เคยสั่งวัวสาวจาก New Zealand เข้ามา 60-70 ตัว ลืมๆ ไป 2-3 ปี แหล่งที่กล่าวมาทั้งหมดก็เลิกเลี้ยงกันไป ค่อยๆ Fade away and vanished into thin air กลายเป็นตำนานเล่ากันต่อมา

– ผู้เขียนอ้อมนอกเรื่องไปอีกแล้ว อย่าไปด่าใครที่มาช่วยกันดูแลวัวบราวน์สวิส ที่ทับกวาง มันเป็นของใหม่ประการหนึ่ง และเป็นงานที่ฝืนธรรมชาติ แห่งความเป็นจริงประการหนึ่ง แต่การฝืนธรรมชาตินี้เป็นเรื่องใหญ่ อาจทำได้แต่ต้องลงทุนสูงมาก ผู้เขียนเห็นว่าทุกคนทุ่มสุดหัวใจแล้ว ไม่สมที่ตั้งใจไว้ก็เป็นเรื่องที่สุดวิสัยจริงๆ ตามความจริงที่เล่ามาตั้งแต่ต้น

– การประคับประคองรักษาปราบปรามโรค Babesia กับ บราวน์สวิส 21 ตัวนั้น อดหลับอดนอน ถ่ายเลือดให้ยา เป็นเวลา 3 เดือนเต็มๆ วัวก็ตายวันละตัวสองตัว ปราบกันจนโรคสงบ เพราะว่า “วัวมันตายหมด”

หลังจากนี้ ในปี พ.ศ. 2525 กองผสมเทียมได้มาขอตั้งสถานีผสมเทียมบริเวณปากทางเข้าสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง ใช้เนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ ในปี พ.ศ. 2549 กองส่งเสริมปศุสัตว์ ได้มาขอร่วมใช้พื้นที่ของสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง อีกราว 3,000 ไร่ ทุกอย่างที่จะขอเรียนให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่า ทับกวางได้มีโอกาสรับงานที่เกี่ยวกับวัวอย่างหนักหน่วง นับแต่ปี พ.ศ. 2501 มาจนถึง พ.ศ. 2526 ในช่วงปี พ.ศ. 2506-2508 กรมปศุสัตว์ได้สั่งวัวเดว่อน (Devon) วัวเนื้อต้นกำเนิดในอังกฤษ มาจากออสเตรเลียจำนวน 58 ตัว มีตัวผู้ 8 ตัว ที่เหลือเป็นตัวเมีย รวม 50 ตัว และก็เช่นเดียวกัน ผู้เขียนไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อนเหมือนกัน มาถึงทับกวางราวๆ ปลายเมษายน 2506 วัวเดว่อนเป็นวัวเนื้อขนาดเล็กที่สุดในขบวนวัวเนื้อพวก Taurus ด้วยกัน ขนยังยาวปุกปุย สีแดง เลี้ยงดู โดยปล่อยแปลงหญ้าขน ที่กำลังทรุดโทรม และกำลังจะงามขึ้นเพราะเริ่มได้ฝน ดูเหมือนว่าจะมีเห็บเกาะกินเลือดน้อยกว่าพวกบราวน์สวิส อยู่มาตั้งนาน ขนไม่ร่วงหลุดบ้างเลย ผอมลงๆ แล้วก็ค่อยๆ ทยอยตายไปจนหมด ผสมพันธุ์ก็ไม่ติดท้องเลย วัวเดว่อนจึงกลายเป็นวัวเด๊ดว่อน (Dead Von) ไปเสียฉิบ ซึ่งต่างกับวัวบราห์มันมาก เพราะเคยนำเข้าวัวบราห์มัน (ราวๆ ปี 2518) มาถึงทับกวางกลางเดือนธันวาคม ขนมันยาวปุกปุย มันปรับตัวเก่งขนาดไหนลองคิดดู พอถึงหน้าหนาวที่บ้านมัน มันก็ใส่เสื้อกันหนาวที่เรียกว่า Winter coat พอมาอยู่ทับกวางมันก็เหมือนๆ หน้าร้อนนั่นแหละ ไม่ถึง 7 วัน ขนปุกปุยนั้นถูกสลัดทิ้งจนเกลี้ยง จึงขอให้นักเลี้ยงวัว จงดูวัวในด้าน adaptivity ของสัตว์ให้มากๆ ด้วย นี่เป็นข้อที่ควรคิดของทุกคน สรุปแล้ววัว Devon ก็สูญหายไปจากทับกวาง ผู้เขียนโดนสวดมากพอสมควร รู้สึกเสียใจที่ไม่มีโอกาสช่วยมันเท่าที่ควร ถัดมาก็เจ้าวัว Drought Master (เดร้าท์มาสเตอร์) ตัวผู้ 222 ตัว เมีย 223 ตัว จากออสเตรเลีย รวม 445 ตัว ทีแรกไปอยู่ที่ปากช่อง (บริเวณศูนย์อาหารสัตว์ขณะนี้) ขนมันสั้นเกรียนดี ผิวเรียบ จู่ๆ ก็โดนย้ายมาอยู่ที่ทับกวาง ผลที่สุดผู้เขียนขอให้ส่งกลับปากช่องเพราะมันเหนื่อยหอบง่าย คงทนความชื้นไม่ได้ หอบบ่อยๆ เลยต้องขอให้กลับไปไว้ที่ปากช่อง การเวลาล่วงเลยทั้งหมดก็ Fade away สูญไปจากกรมปศุสัตว์ เท่าที่ทราบในออสเตรเลียเขาเลี้ยงกันได้ดีในเขต semi desert (กึ่งๆ ทะเลทราย) และใกล้ๆ ขอบๆ ประเทศ ในรัฐ Queensland เข้าใจว่าวัวพันธุ์นี้น่าจะเลียนแบบพันธุ์ Beefmaster ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ใช้สัตว์เริ่มต้น จำนวนมหาศาลและใช้วิธีคัดเลือก อย่างชนิดที่เรียกว่า Practical production Concept คือเอาแต่ลักษณะที่สำคัญทางเศรษฐกิจเท่านั้น สีไม่สำคัญ พันธุ์นี้จึงถือว่าเป็นวัว synthetic breed ที่ดีที่สุดในโลก (เริ่มสร้างเป็นทางการจริงๆ เมื่อปี พ.ศ. 2473) ที่เมือง Falfurias, Texas ชื่อ Lasater Ranch เบื้องหลังจริงๆ มีเลือดบราห์มันอยู่ 50% มีเลือดเฮียร์ฟอร์ดอยู่ 25% และ Milking shorthorn อยู่ 25% วัวพันธุ์นี้เลี้ยงได้ทุกจุดของประเทศไทย ให้ผลตอบแทนดีด้วย วัวแซนต้าเกอร์ทรูดิส Santa Gertrudis สร้างที่เมือง Kingsville รัฐเท็กซัส ชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก มุ่งเน้นไปที่สีแดง ปลอดอย่างเดียว ไม่ได้ห่วงลักษณะ Production record เลย เน้นว่าต้องเป็นวัวสีแดงที่พ่อวัว ตัวแรกคือ Tipo และ Cotton ต่อมาก็เน้นสีไป Inbreeding กับเจ้า Monkey วัวแซนต้าเกอร์ทรูดิสนี้มีลักษณะที่ sheath หย่อนยานโดยทั่วไป แถมไม่คัดเลือกแก้ไข จนผู้คนนิยมลดน้อยลง จัดเป็นวัวขนาดใหญ่มีเลือด Beef shorthorn อยู่ 62.5% และเลือดบราห์มันอยู่ 37.5% ของกรมปศุสัตว์ ตัวผู้ 5 ตัว ตัวเมีย 34 ตัว รวม 39 ตัวส่วนฟาร์มโชคชัยสั่งตัวผู้ 5 ตัว ตัวเมีย 80 ตัว รวม 85 ตัว เอามาเลี้ยงที่ปากช่อง –> ทับกวาง –> ท่าพระ ไปสูญพันธุ์ที่ท่าพระ ที่ทับกวางหลังจากมีวัวนอกเข้ามาอยู่มากมาย จึงได้มีที่พ่นยาเห็บ (Cattle spray race) 15 วัน เห็บวัวทุกๆ 1 ชุด ไว้พ่นยาฆ่า ต่อมาทับกวางก็กลายเป็นที่กักกันวัวบราห์มันจากต่างประเทศ อีกหลายเที่ยวบินเลยกลายเป็นผู้สันทัดกรณีอย่างไม่รู้ตัว (It was a great experience before I know)

ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่านว่า ในการเลี้ยงวัวเนื้อ-วัวนม ซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ ผู้ที่ต้องทำหน้าที่รับผิดชอบสิ่งเหล่านี้ต้องตั้งสติและเข้าใจธรรมชาติของชาติพันธุ์ของสัตว์นั้นๆ เช่น เอาวัว Bos taurus (วัวยุโรป) มาใช้ในเขตร้อนชื้น ท่านต้องเข้าใจธรรมชาติของสัตว์นั้นๆ ว่าจะปรับตัวได้ขนาดไหน และการที่ต้องเอา Bos taurus มาผสมกับ Bos indicus ท่านจำเป็นต้องรู้เนื้อในของธรรมชาติของสัตว์นั้นๆ แล้วค่อยเอามาใช้ ถ้าผิดพลาดมันเสียเวลาเพราะใช้เวลานานมาก ผิดกับพวกเป็ด ไก่ หมู แพะ แกะ รู้ก็ควรจะรู้ให้จริง ทำได้ดังนี้ทุกท่านคงประสบผลสำเร็จแน่นอน อย่าลืมว่าวัวถ้าอากาศร้อน (อาจถึง 40 องศา) แล้วความชื้นต่ำมันพอทนไหว แต่ถ้าร้อนแล้วชื้น วัวไม่ชอบเลย (โดยเฉพาะวัวยุโรป) ท่านคงจะเห็นภาพว่า วัวต่างๆ ที่นำเข้าโดยเฉพาะเชื้อสาย taurus ล้มตายจากพวกเราหลายพันธุ์ด้วยกัน แม้เรดซินดี้ที่นำเข้าเมื่อปี พ.ศ. 2511 จำนวน 112 ตัว (ตายระหว่างเดินทาง 1 ตัว) เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2511 เราก็ขายออกไปในปี พ.ศ. 2540 โดยกองบำรุงพันธุ์สัตว์ ไม่คิดจะทำประโยชน์จากมันต่อ ผู้เขียนขอเตือนสติผู้เลี้ยงวัวทั่วไป คิดให้ละเอียดเสียก่อนว่า “What is best for man may not be best for animals as far as survival of the species is concerned”

เสน่ห์แห่งมวกเหล็ก และทับกวาง (2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05083010559&srcday=2016-05-01&search=no

วันที่ 01 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 622

คนปศุสัตว์เล่าเรื่อง

สุพจน์ ศรีนิเวศน์, ปิยศักดิ์ สุวรรณี โทร. (081) 921-2328

เสน่ห์แห่งมวกเหล็ก และทับกวาง (2)

ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค และศูนย์ฝึกอบรม

โครงการฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค และสถานที่ฝึกอบรม (Thai-Danish Dairy Farm and Training Center-TDDF)

ในส่วนนี้ ผู้เขียนจะไม่ลงรายละเอียดเพราะมีผู้รู้ผู้เข้าใจอยู่เป็นส่วนมากแล้ว แต่ก็จะขอเล่าส่วนที่เกี่ยวข้องหลัก และข้อคิดเห็นจากส่วนหนึ่งที่ได้จากประสบการณ์นี้บ้างตามสมควร

เรื่องก็มีอยู่ว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2498-2502 กรมปศุสัตว์ได้รับความช่วยเหลือจากองค์การอาหาร และเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO – Food Agriculture Organization) ส่งผู้เชี่ยวชาญการผลิตสุกรมาช่วยราชการไทย 1 นาย โดยกรมปศุสัตว์เป็นผู้รับบุคคลท่านนี้ ชื่อว่า Mr. Niels Gunna Sondergaard – นีลส์ กุนนา ซอนเดอร์กอรด์ ถ้าแปลเป็นไทยก็ว่า นีล กุนนา ลูกคนใต้ ถิ่นฐานเดิมอยู่ตอนใต้ๆ ของเกาะ Jutland ต่อมาคุณพ่อท่านไปตั้งรกรากอยู่ที่เมือง Holsterbro ตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ Jutland จบปริญญาตรี Landbrug Hojschool ที่ Copenhagen จบแล้วไปทำงานเกี่ยวกับสุกรที่อังกฤษ 1-2 ปี แล้วกลับประเทศ ขอทุน FAO ไปทำงาน แล้วได้รับมอบหมายให้มาประจำในเมืองไทย เป็นที่น่าสนใจว่า ผู้เรียนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทุกคนจะผ่านการฝึกงาน หรือทำงานในฟาร์มเอกชนมาก่อน อย่างน้อย 2-3 ปี จึงจะเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ จึงพอมองเห็นได้ว่า นักศึกษาพวกนี้มีภูมิความรู้พื้นฐานแน่นปึ้ก อาจารย์จะพูดอะไรออกมาก็มองเห็นภาพได้ง่าย คนของเขาจึงมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงมาก

เมื่อได้รับมอบหมายให้มาอยู่กรมปศุสัตว์ มีหัวหน้างานสัตว์เล็กท่านหนึ่งที่จัดว่าขยันขันแข็ง ชื่อว่า คุณประเสริฐ ยุทธวิสุทธิ ต่อจากนั้นก็มีผู้ช่วยเป็นเทรนนี (Trainee) คุณอวยชัย ศาลยาชีวิน คุณอิสระ กรีธาพล คุณพะยอม พิกุลทอง คุณศิริพงษ์ สุคนธสรรพ์ และ คุณสุพจน์ ศรีนิเวศน์ พร้อมเจ้าหน้าที่ของกองส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ (ขณะนั้น) อีก 2 นาย คณะของคนกลุ่มนี้ได้ช่วยกันทำงาน ศูนย์บำรุงพันธุ์สุกรในอุปการะของรัฐบาล (Government Sponsored Pig Breeding Center – GSPB) โดยความริเริ่มของคุณซอนเดอร์กอรด์ กับกรมปศุสัตว์ การผลิตสุกรของไทยที่เริ่มต้น ซึ่งมีค่าเท่าศูนย์ในปี พ.ศ. 2498 นั้น ได้พัฒนารุดหน้าจนถึงทุกวันนี้ก็ด้วยความตั้งอกตั้งใจของบุคคลทั้งภาคของเอกชน และรัฐได้กระทำมาทั้งสิ้น ข้อคิดก็มีอยู่ว่า เทคโนโลยีและวิธีการผลิตได้รุดหน้ากันอย่างรวดเร็ว ความกลัวจะไม่ทันโลก จึงมีสูงขึ้นในทุกวงการ การนำพันธุกรรมจากหลายๆ แห่งทั่วโลก เป็นการพัฒนาในเรื่องพันธุ์ และคุณภาพของสุกร แต่ถ้ามาลองคิดดูบ้างในเรื่องของโรคระบาด, โรคต่างๆ ใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับสุกรในขณะนี้มีมากมาย มันมาพร้อมๆ กับการนำพันธุ์จากต่างประเทศเข้ามาด้วยหรือไม่ มันทำให้ต้นทุนการผลิตของเราทั้งในด้านการสูญเสียสัตว์และค่ายารักษาสัตว์สูงขึ้นด้วยรึเปล่า ปรับปรุงพันธุ์จนลืมนึกถึงการให้น้ำหนักในด้าน ?ความอยู่รอด? และการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมบ้างหรือไม่ บางทีต้นทุนการผลิตอาจต่ำกว่า และคุ้มกว่าก็เป็นได้ คุณภาพของเนื้อนั้นทัดเทียมกันเกือบทั่วโลก

คุณซอนเดอร์กอรด์ ตั้งศูนย์บำรุงพันธุ์สุกรทั่วประเทศถึง 160 ศูนย์ (พันธุ์ต่างประเทศและลูกผสมพันธุ์พันธุ์ไทย, ไหหลำ, ราด, พลวง) มีศูนย์พันธุ์แท้พื้นเมือง 1 ศูนย์ ชื่อพันธุ์ไหหลำ (Hainan breed) อยู่ที่ปทุมธานี หลายๆ คนในวงการให้ความสนใจมาก ตัวท่านเดินทางไปทั่วประเทศไทย โดยที่มีจิตวิญญาณของนักเลี้ยงสัตว์ ท่านชอบแวะเข้าไปดูฟาร์มรีดนมของชาวอินเดีย ที่ท่าดินแดงฝั่งธนบุรี ที่สะพานควายบ้าง ที่อยุธยาบ้าง ท่านปรารภกับพวกเราในกรมปศุสัตว์ว่า ?เมืองไทยเลี้ยงวัวนมได้? นี่แหละเป็นที่มาของแนวความคิดการมีศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงวัวนมในประเทศไทย ได้ประสานงานติดต่อกับรัฐบาลเดนมาร์ก และองค์กรการค้าภาคเอกชน จนภาคเอกชนให้ความสนับสนุนเป็นอันดับแรก และต่อมาโครงการนี้ก็เกิดเป็นความจริงที่ทุกๆ ท่านทราบดีที่องค์พระประมุข และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ของทั้ง 2 ประเทศ เสด็จมาเปิดโครงการความร่วมมือ ณ โครงการฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค ที่ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2505 ชาววัวนม ถือว่า 16 มกราคม คือวันโคนม โดยไม่มีใครตั้งใจ เพราะวันครูก็ตรงกับวันที่ 16 มกราคม พอดี เหมือนกัน ?เอาวันโคมาซ้อนกับวันครูได้ยังไง? วันนี้ก็เป็นมงคลทั้งของคุณครู กับทั้งของคนเลี้ยงวัวได้เหมือนๆ กัน ปัจจุบันวันโคนม คือ 17 มกราคม ของทุกปี ทางฝ่ายเดนมาร์กได้ขอเจ้าหน้าที่จากกรมปศุสัตว์ 2 นาย ให้เข้ามาช่วยทำงานร่วม คือ นายสัตวแพทย์ยอด วัฒนสินธุ รองหัวหน้ากองส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ขณะนั้น คุณสุพจน์ ศรีนิเวศน์ งานโค (นม+เนื้อ) สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง แต่กรมปศุสัตว์ให้ได้เพียงคนเดียว เพราะบุคลากรเกี่ยวกับ ?วัว? มีจำกัดมาก กรมมอบหมายให้ อาจารย์ยอด ไปร่วมงานกับคณะของฝ่ายเดนมาร์กโดยที่กรมปศุสัตว์มีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องประสานงานและทำงานร่วมโครงการฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค ฝ่ายรัฐบาลไทยมีแหล่งเลือกให้ทางฝ่ายเดนมาร์กพิจารณาตัดสินใจ 4 แหล่งด้วยกัน คือ

ที่บริเวณจันทึก อำเภอปากช่อง อันเป็นเขตของทหาร ที่ดินไม่จำกัด

– ไร่ฝึกนิสิตเกษตรปากช่อง ที่ดินราว 1,200 ไร่

– สถานีพืชอาหารสัตว์มวกเหล็ก ที่ดินราว 2,500 ไร่

– สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง ที่ดิน 8,800 ไร่

ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ได้กรุณามอบเฮลิคอปเตอร์ 1 ลำ พาคณะทีมของเดนมาร์ก ไทยไปเลือกที่ 4 แห่ง ข้างต้น ผลมาจบลงเมื่อค่ำวันนั้น เวลา 02.00 น. สนุกสนานรื่นเริง และแอ่นกันไปตามๆ กัน ทุกคนเห็นด้วยที่จะเอา ?มวกเหล็ก? ณ บ้านรับรองริมลำธารมวกเหล็ก ส่วนที่ฝ่ายกรมปศุสัตว์จะให้ความสนับสนุนเป็นหลักๆ ก็คือ (ซึ่งส่วนใหญ่ให้ทับกวางรับไปทำ)

– ย้ายสถานีพืชอาหารสัตว์ไปตั้งที่ซับหวาย อำเภอปากช่อง ขณะนั้นทั้งตำรวจม้า และแคมป์สร้างทางของฝรั่งก็ย้าย และหมดภารกิจแล้ว สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวางต้องเปิดป่าของสถานีพืชอาหารสัตว์ ที่มีอยู่ราว 2,350 ไร่ เพื่อจัดทำแปลงหญ้า สร้างโรงเรือนและคอกสัตว์ ตลอดจนที่ทำการที่จำเป็น รวมทั้งถมที่ก่อสร้างอาคารเท่าที่จำเป็น

– สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง ร่วมกับอาจารย์ยอด ศึกษาในเรื่องพันธุ์ของวัวนมและอาหารวัวนม ทั้งอาหารหยาบ อาหารข้น พร้อมๆ กับศึกษาระดับปริมาณของแร่ธาตุปลีกย่อย (Trace minerals) แก่วัวรีดนม

– เก็บตัวอย่างดินส่งไปวิเคราะห์แร่ธาตุต่างๆ ที่ห้อง Lab ในกรุงโคเปนเฮเกน ซึ่งต่อมาพบว่าดินมวกเหล็กมี Copper, Cobalt อยู่ในระดับที่ต่ำมาก เพราะเป็นที่เนินถูกน้ำชะพาดินไปมาก ต้องเสริมในอาหารข้น

ขณะนั้นมวกเหล็กยังไม่มีวัว แต่ที่ทับกวางมีวัวนมลูกผสมราว 180 ตัว และมีวัวอื่นๆ เช่น บราห์มัน, เรดซินดิ และพื้นเมือง รวมทั้งหมดราว 600 ตัว ในข้อที่ 2 ที่กล่าวมา ทางทับกวางได้ใช้รถตีนตะขาบ D7 1 คัน รถโคมัตสุใหญ่เท่าๆ กับ Cat. D7 อีก 1 คัน ทำหน้าที่ครบถ้วน รวมทั้งถนนภายในอย่างสมบูรณ์ ส่วนข้อที่จะพูดถึงมากหน่อยคือ ข้อที่ 3 และก็จำเป็นต้องเล่าภูมิหลัง อันจะช่วยให้ท่านเข้าใจได้มากขึ้น

ประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือวัวนมพันธุ์แท้ ที่เรียกว่า American Brown Swiss เป็นพ่อพันธุ์คือ ตัวผู้ 8 ตัว ไม่มีรายงานว่ามีตัวเมียมาด้วยเมื่อปี พ.ศ. 2497 (มาจากรัฐ Wisconsin) จากข้อมูลเท่าที่ทราบวัวทั้ง 8 ตัว ส่งมาทางเรือ และนำไปกักกันไว้ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ท่าพระ ขอนแก่น 2 เดือนต่อมา ย้ายฝากไปไว้ที่สถานีผสมเทียมหนองโพ ราชบุรี 4 ตัว สำหรับรีดน้ำเชื้อเพื่อการผสมเทียม ส่วนที่ท่าพระ ขอนแก่น ปล่อยคุมฝูง 1:20 กับแม่พันธุ์บราห์มันกับแม่พันธุ์เรดซินดิ และกับแม่พันธุ์เมือง 3 ฝูง คงเหลือพ่อพันธุ์ stand by อยู่ 1 ตัว ทางหนองโพ ราชบุรี ดำเนินไปได้ด้วยดีมาก เกษตรกรสนใจและตอบสนองเป็นอย่างดี จนมีวัวนมลูกผสม Brown Swiss x พื้นเมือง เลือด 50% ไปจนถึง 75% รีดนมกันมาก ขณะนั้นไม่มีรายงานว่า วัวบราวน์สวิสได้รับผลกระทบจากโรคไข้เห็บเลย นับว่าเป็นโชคดี ในปลายปี พ.ศ. 2501 ทางกรมปศุสัตว์ได้ปรับนโยบายให้สถานีบำรุงพันธุ์ทับกวางเป็นศูนย์การพัฒนาโคนมเพื่อเตรียมรองรับการทำงานสนับสนุนในขั้นต้น กับโครงการของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค ไปด้วยในตัว จึงได้เอาวัวนมลูกผสมบราวน์สวิส จากสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ท่าพระ 180 ตัว ไปเลี้ยงและรีดนม ซึ่งเป็นวัวที่กำลังรีดนมอยู่ 14 แม่ ทราบจากเจ้าหน้าที่ผู้เลี้ยงวัวนมว่า ทั้งหมดเป็นลูกผสมบราวน์สวิส * พวกตระกูลซีบู มีเลือดบราวน์สวิสอยู่ 50% อีก 50% เป็นบราห์มันบ้าง, เรดซินดิบ้าง, พื้นเมืองบ้าง จนปลายปี พ.ศ. 2502 เมื่อผู้เขียนกลับมาจากการฝึกงานในฟาร์มวัวนม-สุกร และห้องปฏิบัติการ 1 ปี โดยทุน FAO แล้ว ก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลการเลี้ยงวัวนมอย่างเต็มตัว ขณะนั้นอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการรีดนม-เก็บนม ไม่มีเลย การค่อยทำค่อยไปจึงเริ่มขึ้น กล่าวโดยย่อๆ ดังนี้คือ ปรับปรุงระบบการรีดและการจัดการพร้อมๆ กันทั้งระบบ โดยวัวเข้าซองรีดนมประจำที่ของตัว ทุกๆ เวลารีดนม เรียงลำดับขนาดของวัว จากใหญ่ไปเล็ก อาบน้ำ-แปรงขน ทำความสะอาดทุกช่วงการรีดนมตอนบ่าย โดยมื้อเช้าเพียงแต่ล้างที่เต้านม เช็ดทำความสะอาดเต้านมก่อนรีด ให้อาหารผสมสูตรมีโปรตีน 13-15% มื้อละ 1 กิโลกรัม

ปรับปรุงแปลงหญ้าของสุกรที่ คุณซอนเดอร์กอรด์ ทำไว้และไม่ได้ใช้ต่อไปออกทำเป็นแปลงหญ้าวัวนม ชั่งปริมาณน้ำนมทุกมื้อ ทุกตัว

ทำบัตรประจำตัววัวทุกตัว ข้อมูลเน้นไปที่ production records การให้นมต่อระยะการให้นม ช่วงของการตกลูก เป็นต้น

ได้สั่งซื้อเครื่องตรวจไขมันของ Dr.N. Gerber Method ขนาด 24 หลอด ใช้มือหมุน (ขณะนั้นไม่มีไฟฟ้าใช้) ผลผลิตประจำเดือน มีแบบฟอร์มขนาดใหญ่ไว้ลงบันทึกทุกครั้งที่รีดนม แม้จะมีหมายเลขกำกับ (เบอร์ไฟ) ที่ตัววัวอยู่แล้ว แต่ก็ได้พยายามตั้งชื่อวัวแต่ละตัวด้วย (เพราะวัวยังมีไม่มาก) เท่าที่จำได้ก็มี มะลิวัลย์ กันยายน วณี มยุรี วงเดือน และการเกด เป็นต้น ชื่อที่กล่าวมานี้ผู้เขียนตั้งให้เอง ตามนามของนางสาวไทยสมัยโน้น ส่วนที่เหลือให้คนรีดนมเขาช่วยกันตั้ง แม่มะลิวัลย์ถูกขายมาให้สมาชิกวัวนม พวกเราที่มวกเหล็กในราวปี 2507 พวกเราคงรู้ชื่อนี้ดี มะลิวัลย์เป็นลูกผสมบราวน์สวิส * พื้นเมือง (50 : 50) ขนาดเล็กมาก เชื่อหรือไม่ว่าใน lactation ที่ 3 ให้นมสูง 3,550 กิโลกรัม ไขมันจำไม่ได้ แต่รู้ว่าไขมันสูง และมีระยะให้นมถึง 272 วัน ที่น่าทึ่งที่สุด คือแม่มะลิวัลย์ตัวนี้ ให้ลูกทุกๆ 1 ปี ไม่เคยขาดตกบกพร่อง แม่วัวชื่อกันยา (หมายเลข 74) เป็นลูกผสมระหว่าง บราวน์สวิส x เรดซินดิ (50 : 50) เต้านมได้ลักษณะดีมาก ให้นมมากพอสมควร เป็นวัวตัวเดียวที่คนเลี้ยงมักจะปล่อยให้ผู้เขียนรีด คือค่อนข้างเปรียว ต้องพูดจาปลอบใจก่อนรีดทุกครั้ง ให้นม lactation ที่ 3 ให้นมสูง 4,100 กิโลกรัม ไขมัน 3.7% ให้ลูกปีละตัวเช่นกัน จำแม่กันยาได้แม่น คือมีอยู่คืนหนึ่ง พรรคพวกชวนไปเต้นระบำที่แสงไทยวิลล่า สระบุรี ฉลองกันหนัก แอ่นซะไม่มีดี ใกล้สว่างแล้วกลับบ้านเถอะ มาถึงราวตี 4 เขากำลังล้างเต้านมกันอยู่ สักครู่จึงเข้าไปรีดนมแม่กันยานั่น ลืมทักทายมัน มันเตะเข้าให้ดังตุ้บใหญ่ๆ ชาไปทั้งแถบเลย แต่ก็ใจเย็น เข้าไปอีกทียังไม่ทันใกล้ตัวดี โดนถีบสกัดเข้าที่สะโพกซ้าย เด้งกลับมา หายเมา เปลี่ยนใจไม่รีดนมมัน นอกนั้น วณี เป็นลูกผสม หมายเลข 27 บราวน์สวิส x เรดซินดิ (50 : 50) ตัวนี้ของจริงไม่ได้โม้เลยให้นมถึง 4,800 กิโลกรัม ต่อระยะให้นมที่ 305 วัน ไขมัน 3.05% เป็นแม่วัวตัวเดียวในปี 2504 ที่ให้นมสูงสุดของทับกวาง และให้ลูกสม่ำเสมอทุกปี นอกนั้น ก็เป็นลูกผสม มยุรี หมายเลข 161 และวงเดือน หมายเลข 9 ก็เป็นลูกผสมบราวน์สวิส x บราห์มัน (50 : 50) ลูกผสมขาว-ดำ x บราห์มัน (50 : 50) ลูกผสมเจอร์ซี่ x บราห์มัน (50 : 50) ไม่ทราบว่าเจ้า ขาว-ดำ กับเจอร์ซี่ หลงเข้ามาเกือบ 20 ตัว ในฝูงได้อย่างไร

ปี พ.ศ. 2505 โชคดีที่ยังมีวัวนมลูกผสมบราวน์สวิส x เรดซินดิบ้าง, บราห์มัน x พื้นเมืองบ้าง ที่มีเลือดบราวน์สวิส 50% อยู่ในสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง ขณะนั้นราว 70-80 ตัว ซึ่งเป็นขณะเดียวกันที่สมาชิกวัวนมรุ่นแรกของโครงการโคนมไทย-เดนมาร์ค ที่ตั้งขึ้นมายังขาดวัวรีดนมบางส่วน คุณซอนเดอร์กอรด์ และอาจารย์ยอด ได้ไปพบผู้เขียน ขอแบ่งปันวัวไปรีดนม เอาไปให้สมาชิกน้องใหม่วัวนม ไปรีดนม ตั้งต้นชีวิตดูบ้างตามที่พอหาได้ ทราบว่าต้องการรายละ 2 แม่ ราว 14-15 ครอบครัว ผู้เขียนลงมือคัดเลือกด้วยตนเอง ในฝูงทับกวาง จัดแบ่งเป็นรายๆ ไป แต่ละราย จะมีดี 1 ตัว และด้อย 1 ตัว 13 ราย ส่งให้โครงการรุ่นแรก วัวทุกตัวเคยถูกรีดนมมาก่อนทั้งนั้น ต่อมาก็จัดหาให้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 15 ราย นับว่าได้มีส่วนช่วยโครงการวัวนมอยู่บ้าง วัวลูกผสมขาว-ดำ มีหลายตัว แต่ไม่ได้คัดให้เพราะเต้านมไม่ค่อยสวย ปัจจุบันบ้านเรามีวัวที่เรียกว่า TMZ (Thai Milking Zebu) ใช้รีดนมกันอยู่มาก และมีเป็นจำนวนมากที่มีเลือดขาว-ดำสูงเกือบ 100%

ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค และศูนย์ฝึกอบรม ได้พัฒนาสร้างองค์กร สร้างเครือข่าย สร้างสหกรณ์ สร้างสมาชิกผู้เลี้ยงวัวนมก้าวไกลไปเกือบทั่วประเทศ จนมีวัวนมทั้งประเทศปัจจุบันถึงราว 5 แสนตัว ผลิตนมเองได้ส่วนหนึ่ง ต่อมาถึงวาระหมดเทอมของชาวเดนมาร์ก ทางรัฐบาลไทยได้รับช่วงโครงการนี้มา แปลงร่างเป็นรัฐวิสาหกิจ ชื่อภาษาไทยว่า องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย-อ.ส.ค. (Dairy Farming Promotion Organization of Thailand- DPO) ในปี พ.ศ. 2515 กิจการวัวนมก็ยังดำเนินการต่อเนื่องกันมา แต่จะเข้มข้นเหมือนเดิมหรือไม่นั้น พิจารณากันเอง วัวนมได้สอนให้คนขยันและซื่อสัตย์ พึ่งพาตนเองได้ ข้อที่ได้มาอย่างไม่รู้ตัวของคนเลี้ยงวัวนมคือ ความตรงต่อเวลา

พอจะเห็นได้ว่า ?มวกเหล็ก? ของเรามีอะไรดีเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย เริ่มที่

– ด่านกักสัตว์

– สถานีวนกรรมมวกเหล็ก

– สถานีพืชอาหารสัตว์

– หน่วยบัญชาการสร้างถนนมิตรภาพของฝรั่ง

– ตำรวจม้า

– ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค

– องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย

– โรงเรียนนานาชาติ

– รีสอร์ต

– โรงแรมชั้นหนึ่ง และสนามกอล์ฟหลากหลาย ภัตตาคารอาหารมากมายไปหมด

สถานีวนกรรมมวกเหล็กก็ตั้งมาก่อนปี พ.ศ. 2494 เมื่อเป็นนิสิตอยู่ เมื่อปี พ.ศ. 2497 อาจารย์เคยพามาพักที่สถานีวนกรรม เพื่อจับแมลงในวิชากีฎวิทยา เมื่อก่อนมีผีเสื้อสวยมากๆ บินมืดฟ้ามัวดิน น้ำตกก็สวย อากาศก็เย็นสบายถึงหนาวมากในตอนนั้น

มีอีกหลายอย่างไม่อาจนำมาเล่าได้หมด ท่านผู้อ่านคงจะเห็นได้ว่า มวกเหล็กของเรามีเสน่ห์ขนาดไหนผู้คนจึงให้ความสนใจมาพักอาศัย มาใช้เป็นสถานที่ทำงาน ก่อให้เกิดการพัฒนาในรูปต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะการท่องเที่ยว และนี่ก็คือดินแดนในฝัน-มวกเหล็กของเรา จากประสบการณ์ที่ได้ทำงานโดยตรงเกี่ยวกับวัวนม