บุก?โรงงานบุก ที่สังขละบุรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05118010259&srcday=2016-02-01&search=no

วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 616

ครัวชาวบ้าน

บุก?โรงงานบุก ที่สังขละบุรี

เมื่อเขาเล่าลือกันว่า “บุก” เป็นพืชอาหารมหัศจรรย์ที่ดีต่อสุขภาพ ทางคณะทีมงาน จากสำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งนำทีมโดย ท่าน ผอ. บุญเลี้ยง ข่ายม่าน จึงได้เดินทางไปบุก?โรงงานบุก ที่สังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ที่ซึ่งเชื่อว่าบุกที่ปลูกในพื้นที่นี้เป็นผลผลิตที่มีคุณภาพดี เป็นที่ยอมรับของโรงงานแปรรูป และขายได้ในราคาที่ดี และที่นี่นี้เองที่ทำให้ทีมงาน สสข. 8 สฎ. ได้มีโอกาสเรียนรู้ เรื่อง “บุก” พร้อมเยี่ยมชมขั้นตอนการผลิตหัวบุก ทำให้รู้ว่า “บุก” สมุนไพรพื้นบ้านไทยๆ ที่พบเห็นตามชายป่านั้นมีคุณค่า แถมมีราคาอีกด้วย จนทำให้นึกอยากจะปลูกบุกแล้วล่ะซิ

เรื่องของ “บุก” ในเมืองไทย เมื่อก่อนไม่ได้แพร่หลายหรือได้รับความนิยมเหมือนทุกวันนี้ เพราะยังไงก็เห็นว่าเป็นพืชพื้นบ้านอยู่ดี คนในพื้นถิ่นโบราณมีการนำบุกมาประกอบอาหารเหมือนหัวเผือก หัวมัน ทั่วๆ ไป แต่พอเริ่มมีงานวิจัยหลายๆ เรื่องเข้ามารับรองสรรพคุณต่างๆ เท่านั้นแหละ! “บุก” เลยกลายเป็นพืชสมุนไพรไทยยอดนิยมขึ้นมาซะงั้น! ปัจจุบัน มีการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบต่างๆ ตั้งแต่สารสกัด บุกผง วุ้นบุก และอื่นๆ อีกมากมาย

การบุกโรงงานบุก ที่สังขละบุรี ครั้งนี้ แม้เส้นทางค่อนข้างที่จะคดเคี้ยวและสูงชัน แต่ก็ไม่ทำให้ทางคณะทีมงาน สสข. 8 สฎ. ผิดหวังแม้แต่น้อย ด้วยการต้อนรับจาก พี่พร คณิตสานนท์ ผู้มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญการปลูกบุกจนประสบความสำเร็จ และยังมีตำแหน่งเป็นเลขากลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกบุกอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบัน พี่พรมีแปลงบุกและผลิตบุกป้อนโรงงานอยู่ประมาณ 200 ไร่

เมื่อบุกจากป่าธรรมชาติเริ่มลดน้อยลง และผลผลิตบุกก็มีคุณภาพต่ำ โดยดูได้จากขนาดของหัวบุกจะเล็กลงเรื่อยๆ พี่พรจึงได้ชักชวนเกษตรกรในชุมชนให้หันมาปลูกบุกกันมากขึ้น เพราะบุกที่ได้จากธรรมชาตินั้น ไม่เพียงพอกับความต้องการของโรงงาน

อำเภอสังขละบุรี และทองผาภูมิ เป็นแหล่งที่ขึ้นชื่อว่า ผลผลิตบุกมีคุณภาพดีที่สุด และเป็นที่ยอมรับของโรงงานแปรรูป หัวบุกที่ส่งโรงงานนั้น มีทั้งเก็บหามาจากป่าธรรมชาติและจากแปลงปลูกของเกษตรกร ทำให้เกิดเป็นช่องทางในการประกอบอาชีพการ “ปลูกบุก” และได้มีการรวมตัวกันจัดตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกบุกขึ้นมา เพื่อผลิตและขายบุกส่งโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างรายได้ในครัวเรือนแล้ว ยังช่วยอนุรักษ์ สงวน ฟื้นฟู พัฒนา และรักษาสายพันธุ์บุกในพื้นถิ่นให้คงอยู่ นอกจากนั้นยังมีการต่อยอดพัฒนาสายพันธุ์บุกใหม่ๆ ทดแทนบุกพื้นเมืองที่นับวันจะสูญพันธุ์ ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นให้ดำรงคงอยู่ต่อไปในอนาคต

จากข้อมูลที่ได้ ทราบว่าโรงงานผลิตหัวบุกแห่งนี้ รับซื้อหัวบุกจากเกษตรกรในพื้นที่ เฉลี่ยขนาดหัวเล็ก/ใหญ่ ในราคาเดียวกัน คือ กิโลกรัมละ 7 บาท แล้วแปรรูปจากหัวบุกสด ได้เป็นผลิตภัณฑ์ “แผ่นบุกแห้ง” สำหรับขั้นตอนการแปรรูปหัวบุก จนกลายเป็นแผ่นบุกแห้งนั้นค่อนข้างไม่ยุ่งยากซับซ้อนเท่าไหร่นัก แต่สำคัญที่สุดคือต้องมีแรงงาน ซึ่งที่นี่เขาจะใช้แรงงานเป็นชาวต่างประเทศทั้งหมดค่ะ ต้องขอบอกว่า พูดคุยสื่อสารกันไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย เพราะตัวเองก็รู้จักแต่คำว่า มิงกาละบา เท่านั้นแหล่ะ!

ขั้นตอน การผลิตบุกแห้ง

แรงงานจะช่วยปอกเอาเปลือกนอกบุกออกก่อน แล้วนำหัวบุกที่ปอกเปลือกนอกออกแล้วไปล้างน้ำ (คงจะเป็นขั้นตอนหนึ่งในการลดพิษหัวบุกลงค่ะ) ต่อจากนั้นนำหัวบุกที่ล้างสะอาดแล้วไปเข้าเครื่องหั่น เพื่อสไลด์ให้เป็นแผ่นบางๆ

นำบุกที่สไลด์แล้วไปเข้าเตาอบ (ดูๆ ก็เหมือนการย่างบุกบนเตาถ่านนั่นเอง)

ใช้เวลาอบประมาณ 2 วัน เมื่อแห้งได้ที่แล้วก็นำไปคัดแยกเพื่อบรรจุกระสอบ กระสอบละ 20 กิโลกรัม โดยจะส่งบุกอบแห้งให้โรงงานแปรรูป จังหวัดปทุมธานี ในราคากิโลกรัมละ 100-120 บาท

มารู้จัก “บุก” กัน

ทั่วโลกมีพืชสกุลบุก อยู่ประมาณ 170 ชนิด แต่มีเพียงไม่กี่ชนิดที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ ประเทศไทยมีบุกทั้งชนิดหัวกลมและหัวยาว อยู่ประมาณ 45 ชนิด ขึ้นอยู่ในสภาพพื้นที่ที่แตกต่างกัน

บุก หรือ กระบุก เป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่ง มีลำต้นใต้ดิน หรือที่เราเรียกแบบง่ายๆ ก็คือ หัวบุก แบบเดียวกับเรียก หัวเผือก หัวมัน นั่นเอง พอถึงฤดูแล้งส่วนต้นจะตายเหลือหัวใต้ดิน หัวบุก คือที่สะสมอาหารของบุก ดังนั้น เราจึงนำส่วนของหัวบุกมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์บุกในรูปแบบต่างๆ

ชนิดของบุกที่ใช้ประโยชน์ได้แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ คือ

1. บุกเพื่ออุตสาหกรรม ใช้ในการผลิตผงวุ้นบุก ได้แก่ บุกเนื้อทราย (บุกไข่)

2. บุกอุตสาหกรรมแป้ง ได้แก่ เท้ายายม่อม

3. บุกที่หัวสดมาทำเป็นอาหารแป้ง ได้แก่ บุกโคราช บุกด่าง

4. บุกที่ใช้ต้นอ่อนเป็นอาหาร ได้แก่ บุกอยุธยา บุกคางคกเขียวขาว

5. บุกที่ใช้ต้นอ่อนและช่อดอกเป็นอาหาร ได้แก่ บุกเตียง (อีลอก) บุกคางคก บุกสายน้ำผึ้ง

บุกที่นิยมนำมาแปรรูปและนิยมปลูกเชิงการค้า คือ บุกเนื้อทราย หรือบุกไข่ (มีไข่อยู่ตามลำต้น ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษที่สายพันธุ์อื่นของบุกไม่มี) ต้นบุกไข่ มีหัวกลม แป้น เนื้อในหัวแน่นละเอียด คล้ายเม็ดทราย เนื้อมีหลายสี เช่น ขาวอมชมพู ขาวเหลือง เหลือง มักพบได้ในป่าเขาหลายจังหวัดตามแนวชายแดนตะวันตก ตั้งแต่ตอนใต้จังหวัดแม่ฮ่องสอนจนถึงภาคใต้ และพบมากที่กาญจนบุรี นี่เองค่ะ

บุก กับการนำมาประกอบอาหาร

ต้นบุก พบได้โดยทั่วไป คนที่ไม่รู้จักคิดว่าเป็นวัชพืชก็ทำลายทิ้งไป คนไทยรุ่นเก่าๆ แถบอีสาน เหนือ และใต้ จะรู้จักบุกเป็นพืชอาหารพื้นบ้านซึ่งคนไทยนำเอาก้านใบมาแกงส้ม หรือลวก เผา เพื่อจิ้มน้ำพริก ส่วนหัวบุกก็นำไปดัดแปลงเป็นอาหารเมนูต่างๆ ตามภูมิปัญญาของแต่ละภูมิภาค

บุกมีหลายชนิด หลายพันธุ์ ขอบอกว่ามีพิษทุกชนิดค่ะ พืชบุกมีพิษ ไม่ว่าจะเป็นที่ก้านใบ และหัว ด้วย เพราะในบุกมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) ซึ่งถ้าไม่รู้กรรมวิธีและขั้นตอนการทำก่อนนำมาปรุงอาหารแล้วล่ะก็ รับรองว่าคันไม่มีที่จะอยู่จริงๆ ขอบอก!

สรรพคุณของหัวบุก

หัวบุก มีสารสำคัญที่เรียกว่า “กลูโคแมนแนน” ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นน้ำตาล “กลูโคส” และ “แมนโนส” เมื่อสกัดแยกออกมาจะได้เป็น “ผงแห้ง” หากนำผงแห้งที่ว่านี้ไปละลายน้ำ จะได้ “วุ้นใยอาหารธรรมชาติ” หรือที่รู้จักกันในนาม “วุ้นบุก” ซึ่งสามารถพองตัวและดูดน้ำได้มากถึง 200 เท่า และเพราะวุ้นบุกให้พลังงานต่ำ หรือไม่ให้พลังงาน จึงนิยมใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยบางประเภท เช่น ผู้ป่วยโรคอ้วน โรคเบาหวาน

จากการวิจัยพบว่า สารกลูโคแมนแนนในหัวบุกช่วยลดน้ำตาลได้ดีมาก เช่น ลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ ด้วยความเหนียวที่ยับยั้งการดูดซึมกลูโคสจากทางเดินอาหาร ซึ่งยิ่งหนืดมากก็ยิ่งมีผล ลดการดูดซึมกลูโคส ดังนั้น กลูโคแมนแนน ปัจจุบัน จึงใช้แป้งวุ้นเป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และไขมันในเลือด

เส้นใยอาหารของบุกจะทำปฏิกิริยากับคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล และไขมันบางส่วนที่มากเกินไป จนมีโมเลกุลใหญ่ขึ้นไม่สามารถย่อยได้ง่าย ทำให้ไม่ดูดซึมเข้าไปเก็บสะสม จึงช่วยในการดูดซึมไขมันและคอเลสเตอรอลให้น้อยลง ทำให้ผลิตภัณฑ์แปรรูปจาก “บุก” กลายเป็นสินค้าที่ขายดี ติดอันดับ อยู่ในกระแสนิยมสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ และดูแลรักษารูปร่างในปัจจุบัน

แป้งบุกเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งดูดน้ำได้มาก แต่ร่างกายย่อยสลายได้ยาก ดูดซึมได้ช้า จึงให้พลังงานและสารอาหารน้อย เหลือกากมาก ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดี ผู้ที่ต้องการลดความอ้วน จึงหันมานิยมกินอาหารจากแป้งบุก เช่น วุ้นเส้นบุก เส้นหมี่แป้งหัวบุก เป็นต้น เพราะทำให้อิ่มเร็ว และอิ่มนาน แถมช่วยระบายท้อง และสำคัญคือ สามารถควบคุมน้ำหนักได้ดี เขาบอกว่ากินบุกแล้วไม่อ้วนว่างั้น

นี่แหละคือประโยชน์จากบุก เมื่อรู้อย่างนี้ ก็ลองไปหามารับประทานกันนะคะ สมัยนี้หาไม่ยากแล้ว แค่เดินไปห้างสรรพสินค้าทั่วไป ก็ได้ผลิตภัณฑ์จากบุกแล้ว ไม่ว่าจะเป็น บุกเส้น บุกแผ่น บุกรสปลาหมึก กุ้ง และเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา ก็ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพจากบุก เป็นผลิตภัณฑ์ธัญพืชพร้อมรับประทาน ที่ขอรับรองว่าของเขาอร่อยแท้แน่นอนค่ะ

หากสนใจ ต้องการเรียนรู้การปลูกบุกเพื่อการค้า พร้อมเยี่ยมชมโรงงานผลิตบุกแห้ง หรือสนใจอยากซื้อผลิตภัณฑ์บุกของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบุก ติดต่อ คุณพร คณิตสานนท์ ได้โดยตรง ที่เบอร์ (080) 819-2494 ซึ่งพี่พร บอกว่า ยินดีพูดคุยกับทุกท่านด้วยความเต็มใจ

พืชตระกูลแตง ผัก และผลไม้พื้นถิ่น เป็นได้ทั้งอาหารและยา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05118151258&srcday=2015-12-15&search=no

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613

ครัวชาวบ้าน

พิชญาดา เจริญจิต phitchayada7@hotmail.com

พืชตระกูลแตง ผัก และผลไม้พื้นถิ่น เป็นได้ทั้งอาหารและยา

มีผลไม้ที่มีลักษณะกึ่งผลไม้และผักอยู่จำพวกหนึ่ง ที่มีชื่อกลางว่า “แตง” จัดอยู่ในตระกูล คิวเคอปิตาซี่ ซึ่งเป็นตระกูลที่ใหญ่มาก ทั้งนี้ ยังรวมถึง ฟักทอง บวบ มะระ ฟักเขียว รวมอยู่ด้วย

พืชในวงศ์ “แตง” นั้น ประกอบด้วย “แตง” หลายชนิด โดยจะขอเริ่มที่แตงชนิดแรก คือ แตงโม ก่อนค่ะ

แตงโม ผลไม้ตระกูลแตงที่คนไทยรู้จักและบริโภคกันมานานแล้ว จัดเป็นพืชล้มลุก ลำต้นเป็นเถาทอดไปกับพื้นดิน มีใบเป็นจักๆ ดอกมีสีเหลือง

แตงโม นอกจากกินผลสุกเป็นผลไม้ และนำมาทำน้ำแตงโมปั่นแล้ว แตงโมผลอ่อนๆ ยังนำมาทำเป็นอาหารได้หลากหลายเมนู และมีแตงโมบางพันธุ์ที่สามารถนำมาทำ?เมล็ดแตงโมเค็ม เป็นขนมขบเคี้ยวได้

เมนูอาหาร ปรุงจากผลแตงโมอ่อนที่นิยมทำกันคือ แกงส้มแตงโมอ่อน แตงโมอ่อนต้มจิ้มน้ำพริก แตงโมเป็นได้ทั้งอาหารหวาน คาว เมื่อสุกจัดมีเนื้อสีแดง รสหวาน ใช้ทำอาหารได้หลายเมนู เช่น ทำปลาแห้งแตงโม เปลือกแตงโมแกงคั่วส้ม หรือแกงส้ม และเปลือกแตงโมยังสามารถเชื่อมกินได้อร่อยไม่แพ้ฟักเชื่อม ส่วนเมล็ดแตงโม เอามาคั่วกับเกลือกินเม็ดใน เป็นเม็ด ก๋วยจี๊ รสชาติเค็มๆ มันๆ

แตงโม ประวัติมาเนิ่นนาน

แตงโมไม่ใช่พืชที่มีถิ่นฐานอยู่ในเมืองไทย แต่มีถิ่นฐานอยู่ในแถบทะเลทรายทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา พันธุ์แตงโมถูกนำย้ายถิ่นฐานเข้ามาที่ภาคกลางและภาคใต้ของทวีปเอเชีย ในศตวรรษที่ 11 พอศตวรรษที่ 16 ก็ขยายไปอยู่ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และถึงศตวรรษที่ 17 ก็แพร่หลายเข้าไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา

จากอดีตจนถึงปัจจุบัน แตงโมนั้นมีอยู่เกือบทั่วโลก และมีการพัฒนาพันธุ์ขึ้นมากมาย เช่น พันธุ์บางเบิด (ในปี 2463 หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ?บิดาแห่งการเกษตรผสมผสาน เสด็จไปทำไร่นาสวนผสมที่ฟาร์มบางเบิด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จนเป็นที่มาของแตงโมลูกผสมพันธุ์บางเบิดขึ้นมา…) พันธุ์ชาลสตันเกรย์ ที่มีผิวสีเขียว พันธุ์น้ำผึ้ง ซึ่งมีเนื้อสีเหลือง ในประเทศไทยมีพันธุ์บุรีรัมย์ ที่มีลูกยาวคล้ายลูกฟัก เนื้อสีแดงเข้ม พันธุ์จินตหรา ลูกกลม สีเขียวเข้ม แตงโมตอร์ปิโด ลูกรีกว่าพันธุ์จินตหรา แตงโมกินรี ผลกลม เนื้อแดง และในปัจจุบัน ประเทศญี่ปุ่นได้พัฒนาพันธุ์ได้แตงโมผลเป็นรูปสี่เหลี่ยม เพื่อความสะดวกในการขนส่ง

เนื่องจากแตงโมเป็นผลไม้ที่มีน้ำประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก มีคุณสมบัติในทางให้พลังความเย็น จึงสามารถรักษาอาการร้อนใน แผลในปาก ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยหล่อลื่นลำไส้ ช่วยเจริญอาหาร และช่วยย่อยอาหาร

ส่วนสรรพคุณในทางยานั้น แตงโม บรรเทาอาการหน้ามืด ตาลาย เนื่องจากการเป็นลมแดด แก้ลมหายใจมีกลิ่น ปวดแสบในท่อปัสสาวะ อาการเมาค้าง รักษาโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคไตอักเสบ

มีวิธีใช้ แตงโม ในการรักษาโรคต่างๆ

– บรรเทาอาการหน้ามืด ตาลาย เนื่องจากเป็นลมแดด ดื่มน้ำแตงโมสด 1 แก้ว

– แก้ลมหายใจมีกลิ่น ปวดแสบในท่อปัสสาวะ อาการเมาค้าง รับประทานแตงโมสดๆ 500-1,000 กรัม วันละ 2 ครั้ง

– รักษาโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไตอักเสบ ใช้เปลือกแตงโมแห้ง 50 กรัม มาต้มกับน้ำ 2 ถ้วย ใช้ดื่มแบบน้ำชา (วิธีทำเปลือกแตงโมแห้ง ทำง่ายๆ ด้วยการปอกเปลือกแตงโม หนาประมาณ 1.5 เซนติเมตร นำไปตากแดดจนแห้ง สามารถเก็บไว้ใช้ได้นาน)

แตงตระกูล คิวเคอปิตาซี่

อีกชนิดหนึ่งคือ…แตงกวา

แตงกวา มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย แถบเทือกเขาหิมาลัย เมื่อ 3,000 กว่าปีมาแล้ว เชื่อกันว่าชาวทิเบตเป็นผู้นำแตงกวาเผยแพร่ไปสู่ทุกภูมิภาคทั่วโลก และได้รับความนิยมมากที่สุดในตระกูลแตงด้วยกัน

แตงกวาที่ปลูกอยู่ทั่วประเทศไทยเป็นแตงกวาผลเล็ก ความยาว ประมาณ 4-10 เซนติเมตร ไส้ใหญ่ เนื้อบาง ผลสีขาวและเขียวอ่อน ลำต้นเป็นเถาทอดยาว ดอกสีเหลือง

แตงที่มีลักษณะผลเช่นเดียวกันอีกชนิดหนึ่งมีชื่อว่า “แตงร้าน” มีความยาวผล ประมาณ 12-25 เซนติเมตร ไส้เล็ก เนื้อหนา ผลเป็นสีเขียวเข้ม ชาวไร่ที่ปลูกแตงจะทำร้านรับให้ผลแตงห้อยลง ไม่ได้ปล่อยให้เถาเลื้อยไปตามพื้นดิน แตงร้านจะปลูกกันมากแถวๆ ภาคอีสานของไทย

แตงอีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแตงร้าน แต่ผลเล็กกว่า เรียกกันว่า “แตงญี่ปุ่น” นิยมปลูกกันมากในประเทศญี่ปุ่น

แตงกวา มีประโยชน์ในการทำอาหารรับประทานหลายอย่าง เช่น ผัดกับหมู ไข่ และอื่นๆ ได้หลายอย่าง ทำเป็นผักสดแกล้มน้ำพริกต่างๆ แกล้มลาบ แตงกวายำ ส้มตำแตง และที่ขาดจากกันไม่ได้จริงๆ คือ กินเป็นผักแกล้มกับข้าวผัด

แตงกวา นอกจากใช้เป็นอาหาร ยังนำไปทำเป็นเครื่องสำอางได้อีกอย่างหนึ่ง เนื่องจากมีเอนไซม์ที่มีชื่อว่า อีเรพซิน ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนได้ เอนไซม์ชนิดนี้จะช่วยย่อยผิวหนังที่หยาบกร้านให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวหนังที่อ่อนนุ่มเกิดขึ้นมาแทนที่ นอกจากนี้ แตงกวายังมีกรดอะมิโนในปริมาณสูง ซึ่งช่วยให้ผิวไม่หยาบกร้านและช่วยสมานผิว จึงนิยมใช้น้ำแตงกวาผสมในเครื่องสำอางประเภทครีมล้างหน้า ครีมบำรุงผิวต่างๆ หรือใช้ผลแตงกวาสดฝานเป็นแว่นๆ วางบนหน้า ที่ล้างสะอาดแล้วแทนก็ได้ นอกจากนี้ แตงกวายังมีสารที่มีกลิ่นหอมละลายได้ในแอลกอฮอล์ ซึ่งใช้ผสมในน้ำหอม รวมทั้งใช้ในการแต่งกลิ่นเครื่องสำอางต่างๆ ด้วย

สรรพคุณในทางยา ของ แตงกวา

– ใช้แตงกวาคว้านไส้ออก ใส่ผงสารส้มให้เต็ม เผาไฟพอสุก บีบคั้นน้ำ ดื่มแก้ขัดเบา

– จีนใช้แตงกวาในการรักษาโรคเช่นกัน อาทิ น้ำจากผลใช้รักษาโรคผิวหนัง รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

– น้ำคั้นจากใบสด ดื่มทำให้อาเจียน ในเด็กที่อาหารไม่ย่อย

– ราก ตำใช้พอกลดอาการอักเสบที่เกิดจากขนเม่นตำ เนื้อในเมล็ดแก่ กินเป็นยาขับพยาธิ

แตงตระกูลที่ 3 ในเมืองไทย รู้จักกันในชื่อ

“แตงไทย” ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกันกับแตงต่างประเทศ ที่ชื่อ “แคนตาลูป” ซึ่งเมื่อก่อนเราคนไทย เรียก แตงเทศบ้าง แตงฝรั่งบ้าง ด้วยรูปร่างลักษณะคล้ายกับแตงไทย จึงมีบางคนก็เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า แตงไทยฝรั่ง

ต้นกำเนิด แตงไทย อยู่ในประเทศอินเดีย ต่อมาแพร่พันธุ์ไปสู่ยุโรป นำมาปลูกครั้งแรกที่เมืองแคนตาลูโป ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงโรม ประเทศอิตาลี จึงมีชื่อสายพันธุ์ตามชื่อเมืองไปเป็น…แคนตาลูป นั่นเอง?

แตงสายพันธุ์เดียวกับ แคนตาลูป มีหลายชนิด อาทิ

แคนตาลูป ปลูกกันมากในทวีปยุโรป ผลค่อนข้างใหญ่ ผลหนึ่งหนักมากกว่า 1 กิโลกรัม ขึ้นไป เปลือกหนา แข็ง ผิวขรุขระ และมีร่องรอยเป็นทางยาวโดยรอบจากขั้วไปส่วนก้นคล้ายกับผลฟักทอง เนื้อของแคนตาลูปจะมีสีส้ม

มัสค์เมล่อน ปลูกกันมากในสหรัฐอเมริกา ผลเล็กกว่าแคนตาลูป เปลือกของผลส่วนใหญ่เป็นตาข่ายสานกันค่อนข้างถี่ ต่างกับแคนตาลูปตรงที่ไม่มีร่องรอยยาวตามผล เนื้อสีส้ม

ฮันนี่ดิว ขนาดผลใกล้เคียงกับ มัสค์เมล่อน แต่เปลือกเรียบ ไม่มีตาข่ายสานเป็นลายเหมือนอย่าง 2 ชนิดแรก ก็คือ เนื้อแตงเป็นสีขาวงาช้าง หรือสีเขียว และมีกลิ่นแรงกว่า

แตงไทย นิยมปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งในประเทศไทยด้วย ผลมีลักษณะยาว ใหญ่ ผิวเรียบ เนื้อแตงเป็นสีเขียว เนื้อเละกว่าแตงชนิดแรก

ในสหรัฐอเมริกา เรียก แคนตาลูป และ มัสค์เมล่อน เป็นแคนตาลูปอย่างเดียว ในออสเตรเลีย เรียก แคนตาลูป และ มัสค์เมล่อน รวมกันว่า ร็อคเมล่อน ส่วนคนยุโรป เรียกว่า เมล่อน เฉยๆ สำหรับในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็น แคนตาลูป มัสค์เมล่อน ฮันนี่ดิว ก็เรียกรวมกันหมดว่า…แคนตาลูป

แคนตาลูป มีการนำเข้ามาปลูกในเมืองไทยตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2478 โดยเริ่มทดลองปลูกที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่ไม่ได้ผล เพราะเป็นโรค ตายเสียส่วนใหญ่ และต่อมาก็มีการทดลองกันมาเรื่อยๆ จนสามารถปลูกได้เป็นผลสำเร็จ

สำหรับ แตงไทย ของเรานั้น ใช้ประโยชน์ในการทำอาหารคาว ก็ด้วยการนำผลดิบๆ (ที่ยังลูกเล็กๆ) นำไปจิ้มน้ำพริก หรือน้ำปลาร้า ทำส้มตำ (คนอีสาน) ส่วนผลสุกนำไปทำน้ำกะทิแตงไทย หรือรวมกับลอดช่องไทยๆ (ใส่น้ำแข็งใสให้เย็นๆ ก็อร่อยได้)

แตงไทย มีสรรพคุณในการรักษาโรคหลายชนิด อาทิ

– รักษาอาการปัสสาวะอักเสบและท้องผูก รับประทานผลแตงไทย 250-500 กรัม ต่อครั้ง วันละ 2 เวลา เช้า-เย็น

– รักษาอาการไอ เนื่องจากวัณโรค รับประทานแตงไทย ประมาณ 250 กรัม กับน้ำตาลกรวดเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น

– ขั้วแตงไทยแห้ง เป็นสมุนไพรจีนที่สำคัญ ปัจจุบัน มีการทำหัวเชื้อน้ำคั้นจากผลแตงไทยเป็นเม็ด สำหรับรักษาตับอักเสบ

เรื่องของ “แตง (ร่มใบ)” ทั้ง 3 ชนิด ก็ขอยุติกันตรงนี้นะค่ะ ขอให้ทุกท่านรับประทานแตงโม แตงกวา และแตงไทย เพื่อสุขภาพกันต่อไปนะคะ…แต่ก็ขอให้ระมัดระวังเรื่องสารเคมีตกค้างที่ปนเปื้อนมาด้วยก็แล้วกัน…เพราะไม่เช่นนั้น?แทนที่จะได้สุขภาพที่ดี ท่านอาจจะได้โรคร้ายกลับมาแทนก็ได้ค่ะ…

“น้ำปลา” : น้ำจากปลา สิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตไทยๆ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05118151058&srcday=2015-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 609

ครัวชาวบ้าน

พิชญาดา เจริญจิต phitchayada7@hotmail.com

“น้ำปลา” : น้ำจากปลา สิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตไทยๆ

น้ำจากปลา ที่จะพูดถึงก็คือ “น้ำปลา” ซอสปรุงรสแบบไทยๆ ที่ใครๆ ก็ยากจะปฏิเสธนั่นเองค่ะ…น้ำปลา คนไทยทุกชีวิตคงจะรู้จักดี และเคยรับประทานมาด้วยกันทั้งนั้น เพราะเป็นเครื่องปรุงรสคู่กับชีวิตประจำวันของคนไทย และอยู่คู่กับครัวไทยมานับตั้งแต่อดีต ถึงปัจจุบัน น้ำปลานำมาใช้ปรุงแต่งในรสอาหารทำให้มีรสชาติกลมกล่อมชวนรับประทาน “น้ำปลา” นอกจากจะใช้เป็นเครื่องปรุงรสอาหารแล้ว ยังนำไปขึ้นโต๊ะอาหารในประเภทของ “เครื่องจิ้ม” ที่มีชื่อเรียกบางครั้งว่า “พริกน้ำปลา” (น้ำจิ้มที่มีส่วนผสมของน้ำปลา พริก และมะนาว) วางเคียงคู่กับอาหารประเภทต่างๆ เพื่อใช้เพิ่มรสชาติอาหารให้มีรสชาติถูกปากยิ่งขึ้น?สำหรับครัวไทยๆ อาจกล่าวได้ว่า อาหารมื้อใดที่ขาดน้ำปลาเป็นเครื่องปรุงรสแล้ว อาหารมื้อนั้นก็แทบจะหมดรสชาติไปเลยทีเดียว

กว่าจะได้…น้ำจากปลา

ที่เรียก “น้ำปลา”

การทำน้ำปลา นับว่าเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่แตกต่างกันไปตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย

ในภาคอีสาน มีวิธีการทำน้ำปลา เพียงแค่เอาเกลือเม็ด กับปลา ที่เรียกว่า ปลาเบญจพรรณ มาเคล้าแล้วหมักรวมกันไว้ในไห หมักไว้ประมาณ 1-2 เดือน จึงเอาขึ้นมาเกรอะเป็นน้ำปลา หรือทำเป็นปลาร้าไปเลย (โดยเพิ่มรำอ่อนและข้าวคั่วเข้าไป)

ทางภาคกลาง ส่วนใหญ่จะใช้ประเภทปลาสร้อย ซึ่งเป็นปลาตัวเล็กๆ ชนิดหนึ่ง มีมากตอนหัวน้ำขึ้น ราวๆ ต้นเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ชาวบ้านภาคกลางแถบริมแม่น้ำเจ้าพระยารู้จักวิธีการทำน้ำปลาจากปลาสร้อยเก็บเอาไว้กิน ซึ่งวิธีการทำก็เช่นเดียวกับชาวบ้านแถบภาคอีสาน เพียงแต่รู้จักวิธีการที่จะทำให้รสชาติของน้ำปลามีรสกลมกล่อมด้วยวิธีเติมอ้อยที่ตัดเป็นท่อนๆ แล้วทุบให้แหลกหมักรวมไปด้วย อ้อยจะไปเติมให้น้ำปลามีรสหวานปะแล่มๆ กลมกล่อมไม่เค็มจัด

ภาคใต้ มีวิธีการทำน้ำปลาจากปลาทะเลชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ปลากะตัก และปลาไส้ตัน ซึ่งเป็นปลาตัวเล็กๆ ในสมัยก่อนปลาเหล่านี้จะติดมากับอวน ขณะที่ชาวประมงลากอวนจับปลา แต่เดิมในอดีตก่อนๆ นั้น ปลาเหล่านี้จะถูกคัดทิ้งตามชายหาดอย่างไร้ค่า (เพราะติดอวนมาครั้งละมากๆ) เนื่องจากขายไม่ได้ราคา

ชาวประมงแถบๆ ชายทะเลเกิดความคิดว่า น่าจะนำปลากะตักและปลาไส้ตันที่ถูกทิ้งไว้นั้นมาแปรรูปให้เกิดประโยชน์ โดยใช้วัสดุที่ประกอบไปด้วย โอ่งขนาดใหญ่ น้ำตาลปึก เกลือ ปลาไส้ตัน หรือปลากะตัก ส้มแขก (ผลคล้ายมังคุด นำมาหั่นเป็นแผ่นบางๆ แล้วตากแห้ง) ผ้าขาวบาง (สำหรับใช้ในการกรองน้ำปลา)

น้ำปลาของภาคใต้มีสูตรใช้ ในอัตราส่วน 3 ต่อ 2 คือใช้ปลา 300 กิโลกรัม ต้องใช้เกลือหมัก 200 กิโลกรัม และมีขั้นตอนวิธีทำ ดังนี้

นำปลาที่ได้มากองไว้บนลานซีเมนต์ หรือลานไม้ เพื่อให้น้ำคาวปลา เลือด และโคลนตม ที่อาจติดมาไหลหลุดไปเสียก่อน

นำปลาไปคลุกเคล้ากับเกลือ ในอัตราส่วน 3 ต่อ 2 จากนั้นนำไปบรรจุในโอ่งที่มีเกลือจำนวนหนึ่งรองก้นอยู่ก่อนแล้ว และต้องโรยเกลือทับชั้นบนอีกชั้นหนึ่ง แล้วปิดด้วยเสื่อลำแพน หรือขัดด้วยไม้ไผ่ แล้วจึงโรยเกลือปะหน้า ประมาณ 2 เซนติเมตร เพื่อกันปลาลอยขึ้นมาเวลาเกิดเป็นน้ำปลา

หมักไว้ประมาณ 1 ปี น้ำปลาที่ได้จะเป็นหัวน้ำปลา หรือน้ำปลาแท้ที่มีคุณภาพดี แต่มีกลิ่นคาวปลาจัด ต้องนำไปตากแดดไว้ประมาณ 3 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน กลิ่นและรสถึงจะหอมหวานชวนรับประทาน และน้ำปลาจะกลายเป็นสีน้ำตาลแดงใส (โดยผ่านการกรองด้วยผ้าสำลี ทับไว้ 3-4 ชั้น เพื่อที่จะได้น้ำปลาที่มีลักษณะสีแดงใส 100 เปอร์เซ็นต์)

ชาวภาคใต้ ได้ประโยชน์จากเนื้อปลาที่เหลือจากการทำน้ำปลาไปต้มโดยเติมเกลือและน้ำตาลลงไปจะได้น้ำบูดู (อาหารปักษ์ใต้ ปรุงเป็นเครื่องจิ้ม รับประทานพร้อมเครื่องเคียง มีสะตอ ลูกเนียง มะเขือเปราะ ไข่ต้ม แล้วหรอยจังฮู้!) จากการหมักปลา 1 โอ่ง จะได้น้ำบูดูประมาณ 100 ขวด (ขนาด 7,500 ซีซี) ซึ่งสามารถนำไปขายได้ ส่วนก้างปลาก็นำไปเป็นปุ๋ยสำหรับใส่ต้นไม้ได้อีก

เทคนิคสำคัญในการหมักน้ำปลาของคนใต้ เพื่อให้ได้น้ำปลาหวาน หอม และอร่อย ที่พอจะรู้มาบ้างก็คือ การนำส้มแขก ประมาณ 2 กิโลกรัม รองไว้ก้นโอ่ง พร้อมทั้งน้ำตาลปึกอีกประมาณ 2 กิโลกรัม โดยส้มแขกสามารถลดความเค็มจากเกลือที่ใช้หมักให้ได้รสชาติกลมกล่อม ส่วนน้ำตาลปึกนั้นจะช่วยลดกลิ่นคาวปลาที่นำมาหมัก เกิดรสชาติกลมกล่อมเช่นเดียวกัน

กระบวนการหมักน้ำปลาโดยทั่วไปในปัจจุบัน (โรงงาน)

ปลาที่เหมาะในการทำน้ำปลาคือ ปลากะตัก หรือบางท้องถิ่นเรียกว่า ปลาไส้ตัน ซึ่งเป็นปลาทะเล ส่วนปลาน้ำจืด เช่น ปลาสร้อย ก็ยังใช้กันในบางท้องถิ่น

กระบวนการผลิต เริ่มจากการนำปลาไปหมักกับเกลือ ในอัตราส่วน ประมาณ 2 : 1 (ปลา : เกลือ) ในถังไม้หรือบ่อซีเมนต์ขนาดใหญ่ เป็นเวลา 6 เดือน ถึง 2 ปี ปริมาณเกลือที่เติมลงไปนั้น มีความสำคัญมาก เพราะถ้าน้อยเกินไปปลาจะเน่า และถ้ามากเกินไปกระบวนการผลิตก็จะช้าลง

กระบวนการผลิตน้ำปลาแท้

น้ำปลาที่หมักได้ในครั้งแรกหรือน้ำแรก จัดเป็นเกรดดีที่สุด ซึ่งเรียกว่า หัวน้ำปลา หรือ น้ำปลาระดับ 1 เมื่อได้แยกน้ำปลาน้ำแรกออกไปแล้วก็มีการเติมน้ำเกลือเข้มข้นลงไปอีกเพื่อหมักต่อไป ซึ่งจะได้น้ำปลาเกรดที่รองลงมา หรือระดับ 2 และถ้าทำวิธีการเดิมอีก ก็จะได้เป็นน้ำปลาระดับรองๆ ลงมาคือ 3 และ 4

ปัจจุบันจะหาหัวน้ำปลาที่จำหน่ายแยกไปคงจะยาก เนื่องจากทางโรงงานมักนำน้ำปลาระดับ 1 ผสมกับระดับรองๆ ลงมา แล้วจำหน่ายเป็นเกรดเดียว ราคาเดียว เรียกว่า น้ำปลาแท้

ส่วนน้ำปลาแท้ หรือกากที่เหลือจากการผลิต สามารถนำมาผสมกับน้ำเกลือและแต่งสี กลิ่น รส เพื่อลดต้นทุนการผลิต ผลิตภัณฑ์นี้เรียกว่า น้ำปลาผสม

น้ำปลา มักผลิตตามจังหวัดชายทะเล เช่น สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง สมุทรสาคร สมุทรสงคราม โดยใช้ปลาทะเล แต่ในบางจังหวัดก็ยังนิยมใช้น้ำปลาจืดด้วย แต่โบราณมาการผลิตน้ำปลามักกระทำในโรงงานขนาดเล็ก โดยหมักปลาไว้กับเกลือในถังไม้ขนาดใหญ่ และจำหน่ายโดยบรรจุในไหดินเผา ซึ่งเมื่อลูกค้าซื้อไปมักต้องนำไปตากแดดก่อนบริโภค

ในปัจจุบันน้ำปลามักจำหน่ายโดยบรรจุขวดแก้วหรือภาชนะพลาสติก ซึ่งผู้บริโภคสามารถนำไปใช้ได้ในทันที ไม่ต้องผ่านกระบวนการใดอีก

ผลิตภัณฑ์น้ำปลาที่จำหน่ายอยู่ขณะนี้มีมากมายหลายชนิด มีชื่อ ยี่ห้อ และราคาที่แตกต่างกันไป ทำให้ต้องนึกถึงความปลอดภัยและความคุ้มค่าของราคาอยู่เสมอ ดังนั้น เราควรทำความเข้าใจกับฉลากน้ำปลาและผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดให้ดีนะคะ…

ตามพระราชบัญญัติอาหารปี พ.ศ. 2522 ได้กำหนดให้ น้ำปลา เป็นอาหารควบคุมเฉพาะ โดยให้มีอักษรย่อสำหรับผลิตภัณฑ์ว่า “นป” ซึ่งถ้าผลิตจากโรงงานขนาดเล็กก็ใช้อักษรย่อว่า “ฉผนป” และสำหรับโรงงานขนาดใหญ่ใช้เป็น “ผนป” ทั้งนี้ได้แบ่งน้ำปลาออกเป็น 3 ชนิด

1. น้ำปลาแท้ หมายถึง น้ำปลาที่ได้จากการหมักหรือย่อยปลา หรือส่วนของปลา หรือกากของปลาที่เหลือจากการหมักตามกรรมวิธีการผลิตน้ำปลา

2. น้ำปลาที่ทำจากสัตว์อื่น หมายถึง น้ำปลาที่ได้จากการหมักหรือย่อยสัตว์อื่น ซึ่งมิใช่ปลาตามกรรมวิธีการผลิตน้ำปลาที่ทำจากสัตว์อื่นผสมกับน้ำปลาแท้ ให้เรียกเป็นน้ำปลาที่ทำจากสัตว์อื่น (ตัวอย่างของสัตว์อื่น เช่น กุ้ง กั้ง ปลาหมึก)

3. น้ำปลาผสม หมายถึง น้ำปลาแท้หรือน้ำปลาที่ทำจากสัตว์อื่นซึ่งนำมาผสมกับส่วนผสมอื่น หรือแต่งกลิ่น รส ด้วยสิ่งอื่นที่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

อาหารไทยรสชาติถูกปาก นอกจากวัตถุดิบที่สด สะอาด และปรุงรสด้วยแม่ครัวฝีมือดีแล้ว ยังต้องมีเครื่องปรุงรสต่างๆ ที่ช่วยให้อาหารกลมกล่อมยิ่งขึ้น น้ำปลาก็เป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ใช้ปรุงรสเพิ่มความหอมหวนชวนรับประทานและเพิ่มรสชาติให้อร่อยลิ้นยิ่งขึ้น และถือได้ว่าน้ำปลาเป็นเอกลักษณ์คู่อาหารไทยไปแล้ว เพราะไม่ว่าบ้านไหนก็ต้องมีขวดน้ำปลาติดไว้คู่ครัวเสมอ แต่กว่าจะเป็นน้ำปลา 1 หยด ต้องผ่านกระบวนการหมักปลาทะเลกว่า 1 ปี จนได้น้ำปลาปรุงรสสีเข้มใสแจ๋วที่เพิ่มกลิ่นรสหอมจรุงในจานโปรดของทุกครัวเรือน

ถ้าจะกล่าวว่า น้ำปลา เป็นเครื่องปรุงรสที่ขาดไม่ได้ในครัวไทยก็คงไม่ผิดนัก เพราะคนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้เครื่องปรุงรสชนิดนี้มานานแล้ว และหลายประเทศในภูมิภาคนี้ เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชา บางส่วนของจีนและญี่ปุ่นก็นิยมใช้เครื่องปรุงรสชนิดนี้เช่นกัน

มาถึงตอนนี้ท่านคงพอจะทราบขั้นตอนและกรรมวิธีการทำ “น้ำปลา” กันพอเข้าใจบ้างแล้วนะคะ…แต่คงไม่แนะนำหรือสนับสนุนให้ท่านทำน้ำปลารับประทานเองหรอกค่ะ…แค่หาน้ำปลาดีๆ อร่อยๆ ติดครัวไว้บ้าง เผื่อวันไหนเกิดเบื่ออาหารขึ้นมา มีข้าวสวยร้อนๆ พริกน้ำปลามะนาวสักถ้วย…แค่นี้ก็ฟินแล้วค่ะ

“แมงดา”…พระเอกในอาหารจานแมลง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05118011058&srcday=2015-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 608

ครัวชาวบ้าน

พิชญาดา เจริญจิต phitchayada7@hotmail.com

“แมงดา”…พระเอกในอาหารจานแมลง

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจและหลังเวลาเลิกงาน ตามตลาดนัด ตลาดสด คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ต่างเตรียมหาอาหาร มีซื้ออาหารสดไปทำกินที่บ้านบ้าง หรือซื้ออาหารปรุงสำเร็จเพื่อแลกกับความสะดวก ซึ่งที่เห็นมีผู้คนหนาแน่นถามหากันมาก เชื่อว่าร้านสารพัดน้ำพริกน่าจะเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอนค่ะ?และที่ขายดีไม่แพ้น้ำพริกทุกชนิด คือ น้ำพริกแมงดา ด้วยกลิ่นหอมอบอวลแบบเข้มข้น และด้วยรสเผ็ดร้อนพอให้เม็ดเหงื่อผุดออกมาได้

น้ำพริก หากเป็นที่เขาตำเองสดๆ รับรองอร่อยจัดจ้านสะท้านลิ้นแน่นอนค่ะ?เพียงแค่พริกขี้หนู กะปิ กระเทียม มะนาว หรือมะอึก น้ำปลา ที่หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเท่านั้น ทำให้คนติดอกติดใจกับรสชาติของน้ำพริกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำพริกกะปิ น้ำพริกปลาทู น้ำพริกปลาร้า เป็นต้น

เมื่อพูดถึง?น้ำพริกแมงดา ที่เราคุ้นหู คุ้นปาก และอาจคุ้นลิ้น มีจุดเด่นด้วยกลิ่นหอมยั่วยวนของน้ำพริกที่พอได้กลิ่นโชยมาก็เรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี…

เมื่อแมงดาคงความเป็นหนึ่งในบรรดาแมลงยอดนิยมมานาน ก็เพราะน้ำพริก ถือเป็นแกนหลักของอาหารไทยเป็นตัวนำพา ซึ่งในตัวน้ำพริกแมงดามิได้มีเพียงความร้อนแรงของรสชาติเท่านั้น หากยังบรรจุเรื่องราวการกินอยู่ของคนไทยในอดีตอันมีชีวิตชีวาอยู่ข้างใน

สมัยก่อนแมงดานาตามธรรมชาติหากินได้ไม่ยาก พอหน้าฝน แค่มีแสงไฟส่อง แมงดานาเป็นฝูงจะบินว่อนกระทบหลังคาบ้าน กึกกัก กึกกัก ราวกับฝนตกลงมาสักสิบห่า…ทำให้หวนนึกถึงอดีตขึ้นมาค่ะ?ว่าต้องรีบตะลีตะลานคว้าถังออกมาเก็บแมงดาใส่ ซึ่งภาพเรื่องราวเก่าๆ ทำนองนี้ คนชนบททางภาคอีสานที่กินแมลงนานาชนิดกันมาแต่รุ่นบรรพบุรุษเมื่อ 40 กว่าปีก่อน หลายๆ คนคงจำได้ดีค่ะ?

ความอุดมสมบูรณ์ของแมงดานาในอดีต เห็นได้จากที่ทุกครัวเรือนจะมีแมงดาในจานอาหาร ไม่จานใดก็จานหนึ่งอยู่เสมอๆ และบ่อยครั้งที่สุดจะอยู่ในถ้วยน้ำพริกที่เป็นกับข้าวคู่ครัวของคนไทย พูดได้ว่า ไม่แมงดาชูรสน้ำพริก น้ำพริกก็โอบอุ้มแมงดา สองสิ่งเข้ากันผูกพันจนไม่อยากแยกจาก

ในตำราอาหารเมื่อ 40 ปีก่อน ก็มีแมงดาอยู่เคียงคู่กับน้ำพริกเช่นกัน จึงพอสรุปได้ว่าผู้คนชื่นชอบแมงดามานาน หนำซ้ำเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนกลายเป็นอาหารยอดนิยม ถึงขนาดที่มีกลิ่นแมงดาเทียมขาย ซึ่งโดยมากไม่ได้มาจากแมงดา แต่เป็นกลิ่นจากสารสังเคราะห์ชนิดหนึ่ง ซึ่งทาง สคบ. ตรวจพบว่ามีส่วนผสมของสารเคมี ที่กินแล้วมีอาการปวดท้อง และเมื่อสัมผัสโดนผิวหนังจะเกิดอาการผื่นคัน มีการทดสอบสารแต่งกลิ่นชนิดนี้ โดยเมื่อหยดลงบนกล่องโฟมแล้ว สารเคมีจะทำปฏิกิริยาสามารถละลายโฟมได้ ซึ่งหากเรากินบ่อยๆ คงไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพแน่นอนค่ะ?

ปัจจุบัน มีอุตสาหกรรมน้ำพริกแมงดาสำเร็จรูปบรรจุขวดขาย จนเป็นอาหารส่งออกไปขายต่างประเทศ และความนิยมแมงดาสำเร็จรูปสังเคราะห์เริ่มมีมากขึ้น อาจทำให้คนเก่าๆ ลืมนึกถึงแมงดาตามคันนาในอดีต หรือคนรุ่นหลังๆ ก็อาจนึกไม่ออกว่า แมงดามีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆ มันคงไม่ได้มีหน้าตาป่นปี้แบบที่อยู่ในขวดน้ำพริกแน่ๆ

แล้วจะเรียก…แมงดา หรือ แมลงดา กันแน่?

ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ถ้ามี 6 ขา ต้องเรียกว่า “แมลง” ไม่ใช่ แมง?

สำหรับ “แมลงดา” ชื่อแมลงพวกมวน ตัวผู้ มีต่อมกลิ่น นิยมนำไปผสมอาหาร เช่น น้ำพริก “แมงดา” หรือ ชื่อสัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายจานคว่ำ ใช้ปรุงเป็นอาหาร เช่น ยำไข่แมงดา

ส่วนที่ถูกต้องก็คือ…แมลงดานา เพราะเป็นแมลงชนิดหนึ่ง มี 6 ขา ดังนั้น หากเราจะเรียก “แมงดา” ให้ถูกหลักภาษาไทย ต้องเรียกว่า?”แมลงดานา” เพราะพวกนี้หากินเหมือนแมลงทั่วไป

น้ำพริกแมลงดานา…มีน้อยคนที่จะเรียก หรือแทบจะไม่มีเลยค่ะ?ก็เอาเป็นว่ายอมรับคำว่า “แมงดา” ก็แล้วกันนะ…

แมงดานั้นมี 2 ชนิด คือ แมงดานา กับ แมงดาสวน แมงดาสวนจะตัวเล็กกว่าแมงดานามาก หรือบางคนเรียกว่า แมลงก้าน มวนตะพาบน้ำ หรือมวนหลังไข่ แมงดาสวนอาศัยอยู่ในน้ำ ตัวเมียวางไข่เป็นกลุ่มติดอยู่บนหลังของตัวผู้ และตัวผู้มีหน้าที่ดูแลไข่จนฟักออกเป็นตัว ทั้งตัวผู้และตัวเมียกินได้ทั้งคู่เหมือนแมงดานา

แมงดา ลักษณะตัวสีน้ำตาลเข้มจนดูผาดๆ เป็นสีดำ อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติ หนอง บึง และท้องนา มักวางไข่ในฤดูฝน ยิ่งหลังฝนตกจะชอบวางไข่ เห็นได้ตามกอหญ้า กอกก กอข้าว หรือตามต้นไม้ขนาดเล็กๆ พอถึงฤดูแล้งมันจะหมกตัวอยู่ในโคลนตม หรือที่มีน้ำขัง

ตัวผู้ ตัวเล็กกว่าตัวเมีย มีกลิ่นฉุน นำมาตำน้ำพริก ส่วนตัวเมียไม่มีกลิ่นจึงนำมาปิ้ง หรือทอดกินได้ รสชาติหอม มัน หากนึ่งใส่น้ำปลาด้วยจะออกรสเค็มๆ มันๆ คลุกข้าวกินยิ่งอร่อยเด็ดไปเลย

แมงดาตัวผู้พอเอามาตำน้ำพริกก็จะออกกลิ่นหอมเข้ากัน ติดอกติดใจหลายต่อหลายคน จนน้ำพริกแมงดากลายเป็นอาหารขึ้นชื่อ และยิ่งรวมกับรสหอม มัน ของแมงดาตัวเมียที่ปิ้ง ทอดจนสุกแล้วล่ะก็…แม้ได้ลิ้มรสเพียงครั้งเดียวรับรองว่าติดอกติดใจแน่นอน จึงไม่น่าแปลกที่ผู้คนยังคงหลงใหลในกลิ่น รสของแมงดาโดยไม่รู้เบื่อค่ะ?

น้ำพริกแมงดา (สูตรคนใต้)

1. แมงดา

2. พริกสด ถ้าได้พริกขี้หนูสวนดอกเล็กๆ ยิ่งดีค่ะ เพราะตำน้ำพริกจะหอม

3. กระเทียม

4. กุ้งแห้ง หรือปลาทูนึ่งก็ได้ค่ะ

5. กะปิน้ำพริกอย่างดี (สำคัญมาก รองลงมาจากแมงดาเลยค่ะ)

นำแมงดาย่างไฟจนหอม เด็ดปีกกับหัวออก ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปโขลกกับกุ้งแห้งจนละเอียด ใส่กระเทียม กะปิ พริกขี้หนู โขลกพอแหลก แล้วชิม…เผ็ด เค็ม นำ (คนที่ติดรสหวานจะปรุงรสด้วยน้ำตาลได้นิดหน่อย…แต่ส่วนมากแล้วจะไม่นิยมใส่น้ำตาลและมะนาว)

เมื่อได้สูตรมาแล้ว ลองทำดูนะคะ ยังไงก็อย่าใช้แมงดาสังเคราะห์มาตำน้ำพริก เพราะคงไม่ปลอดภัยกับสุขภาพท่านแน่ค่ะ?

คุณค่าทางโภชนาการของแมงดานั้น พบว่า แมงดา 1 ตัว มีธาตุอาหารหลายชนิด ตั้งแต่ โปรตีน 19.8 กรัม ไขมัน 1.4 กรัม คาร์โบไฮเดรต 2.9 กรัม และที่เหลือเป็นแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 บี 2 และไนอะซิน ซึ่งถือว่ามีคุณค่าของโปรตีนสูงกว่าไข่ไก่ เนื้อหมู และเนื้อวัว อีกทั้งยังมีคุณค่าทางอาหารสูงอยู่ในอันดับต้นๆ ของแมลงกินได้ด้วยกัน

แมงดานา ทุกวันนี้หายาก แต่ก่อนตามชนบทแมงดานายังพอหาได้บ้างตามนาข้าว ช่วงหน้าน้ำหลาก น้ำท่วมต้นข้าวโผล่แค่ยอดข้าว ถ้าพบว่าบนยอดข้าวมีแผงไข่แมงดาเกาะอยู่ ก็แสดงว่าบริเวณนั้นมีแมงดาแน่นอน บางตัวก็จะเกาะอยู่ตามยอดข้าวหนีน้ำ ด้วยความนิยมอาหารจานแมลงที่ไม่เสื่อมถอย ทั้งในครัวเรือนหรือตามร้านอาหารต่างๆ ทำให้เกิดการเพาะเลี้ยงแมงดาเพื่อตอบสนองความต้องการของคนกินจนมีการทำฟาร์มแมงดา แต่ก็ยังไม่พอกับความต้องการของผู้คนที่ชื่นชอบกลิ่น รสของแมงดา จนปัจจุบันต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นจำนวนมาก

เมื่อผู้คนยังคงหลงใหลในกลิ่น และรสชาติของแมงดา จนทำให้มีพ่อค้าหัวใสฉีดกลิ่นสังเคราะห์เข้าไปในตัวแมงดา หากเราไม่ระมัดระวังอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพท่านได้ ยังไงก่อนเลือกซื้อแมงดามาตำน้ำพริกต้องดูให้ดีๆ หากเป็นไปได้ ลองเลือกหาซื้อแมงดาจากฟาร์ม หรือจากแหล่งที่เชื่อถือได้ น่าจะทำให้อาหารจานแมลงมื้อนั้นของท่านมีน้ำพริกแมงดาอร่อยๆ เป็นพระเอกบนโต๊ะอาหารอีกเมนูนะคะ?

ยำยำ…อาหารไทยไทย ที่ไม่เคยล้าสมัย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05118150958&srcday=2015-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 607

ครัวชาวบ้าน

พิชญาดา เจริญจิต phitchayada7@hotmail.com

ยำยำ…อาหารไทยไทย ที่ไม่เคยล้าสมัย

ยำ เป็นอาหารทันสมัยของคนไทย หรือคุณว่า อาหารอะไร…ถึงจะเป็นอาหารทันสมัย ทันกับยุคโลกาภิวัตน์นี้ได้ ไก่ทอดฟาสต์ฟู้ด พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ ฮ็อตดอก เฟรนช์ฟราย หรืออะไรต่อมิอะไรมากมายที่คนในยุคสมัยใหม่เขานิยมชมชอบกัน แต่ถ้าเป็นคนรุ่นเก่าๆ หน่อยก็จะบอกว่า อาหารประเภทนั้นมันล้าสมัยสิ้นดี

แล้วอะไรล่ะ…ที่ว่าทันสมัย…ก็อาหารไทยๆ เรานี่ไงล่ะคะ…ไม่ว่าจะเป็น น้ำพริก ผักจิ้ม ผักเหนาะต่างๆ อาหารยำยำ ตำตำ ประเภทส้มตำต่างๆ (แต่ควรทำเองนะคะ) และส้มตำนี่ล่ะ เป็นอาหารที่ทันสมัยของไทยเรามานานแสนนาน ร้านอาหารใหญ่ๆ บางร้านยังต้องมีเมนูส้มตำเลย แม้แต่ฝรั่งที่กินเนื้อ นม ไข่ มาเมืองไทยเมื่อไหร่ ยังต้องเรียกหา ปาปาย่า ป๊อกป๊อก เลยนะคะ…

จะเชื่อหรือไม่ก็ตามนะคะ…ว่าการกินอาหารประเภทยำยำ ทุกวันจะช่วยให้ท่านปลอดภัยจากการไม่เป็นโรคได้ ถึงไม่ทุกโรคก็เหอะ! อย่างน้อยๆ อาจช่วยให้เราห่างไกลจาก ไขมันในเส้นเลือด เบาหวาน มะเร็งในลำไส้ ท้องผูก โรคหวัด ภูมิแพ้ ผิวหนังไม่เหี่ยวย่น แถมอาจจะช่วยให้แก่ช้าลงได้อีก?ว่างั้น

ทางเลือกเพื่อสุขภาพ

ส้มตำและอาหารยำยำทั้งหลาย น่าจะถูกยกระดับขึ้นฟาสต์ฟู้ดกับเขาบ้าง โดยเฉพาะเรื่องความสะอาด ซึ่งส้มตำนี่จะว่าไปแล้วก็คือยำชนิดหนึ่ง ส่วนมากจะเห็นตามตรอก ซอก ซอยต่างๆ ในเมืองกรุง ที่น่าเป็นห่วงก็เรื่องอนามัย เพราะอาหารประเภทนี้ถ้าไม่สะอาด ยังไงก็เสี่ยงกับท้องเสียอย่างแน่แท้…

ยำต่างๆ ก็เข้าทำนองเดียวกัน ถึงแม้จะมีการลวกผัก ลวกเนื้อสัตว์อยู่บ้าง แต่มักลวกประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ไม่ทันได้ฆ่าเชื้อโรค เช่น เล็บมือนาง (ตีนไก่) เนื้อหมู ลูกชิ้น และเครื่องยำ แม่ค้ามักจะใส่ขวดโหลปิดมั่ง ไม่ปิดมั่ง แมลงวันก็ตอม แต่ยังนับว่าเสี่ยงน้อยกว่าส้มตำ เพราะยังผ่านความร้อนอยู่บ้าง ซึ่งถ้าตัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไป อาหารยำยำ ตำตำ มีคุณสมบัติครบถ้วนอย่างแน่นอนเลยทีเดียวค่ะ…

ที่แน่ๆ ถ้าเรากินส้มตำให้ได้ประโยชน์จริงๆ ก็ต้องกินคู่กับข้าวเหนียว ไก่ย่าง รับรองว่าท่านจะได้อาหารครบทุกหมู่แน่นอนค่ะ…

หากเป็นยำที่มีเนื้อสัตว์ รวมไปถึงลาบ พล่า ก็ล้วนแต่เป็นยำทั้งนั้นเลย ซึ่งส่วนมากจะมีโปรตีนค่อนข้างสูง แถมมีไขมันแทรกในเนื้อสัตว์อีกด้วย ถ้ากินบ่อยๆ ก็คงไม่ดีแน่

หากคิดถึงความประหยัดและความสะอาดสักหน่อย ทำเองน่าจะดีกว่าเยอะเลย…อย่างน้อยๆ ของในตู้เย็นเรายังสามารถนำมาดัดแปลงมาทำยำง่ายๆ ได้หลายๆ เมนูค่ะ

หลักการทำยำให้อร่อย คือ ท่านต้องนึกถึง

– ต้องสะอาด

– ดีต่อสุขภาพ คือ มีสัดส่วนของไฟเบอร์จากผักมากๆ ไขมัน เนื้อสัตว์ แป้ง มีแต่พอประมาณ

– ดีต่อกระเป๋าตังค์เราด้วย คือ ประหยัด

– รสชาติถูกปากทั้งคนกิน และคนเผื่อกินด้วย

ยำยำ ลดความอ้วน

ปัจจุบันอาหารยำยำ เป็นอาหารทันสมัยสำหรับหญิงสาวและไม่สาว แถมคุณผู้ชายร่วมหุ้นด้วยก็ได้ ในการลดความอ้วน ทุกๆ คนรู้กันดีว่า…วิธีลดความอ้วนนั้นไม่ยากเลย คือกินไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ให้น้อยลง งดของหวาน เพิ่มอาหารจากผัก ผลไม้ และออกกำลังกาย กินเสร็จอย่าอยู่กับที่ กินอาหารมื้อเย็นแต่น้อย

ทั้งหมดนี้เป็นหลักง่ายๆ แต่ไม่ค่อยมีใครทำได้สำเร็จ เพราะอาหารยั่วยวนมันเยอะ ผู้ที่ต้องการลดความอ้วนจึงควรเดินสายกลาง ค่อยๆ ลดจากที่เคยกิน ยังคงอาหารให้ครบถ้วนทุกหมู่ และอาศัยการออกกำลังกายเป็นประจำ ขจัดไขมันส่วนเกินออกไป กล้ามเนื้อก็จะกระชับ อวัยวะภายในแข็งแรงด้วย

อาหารยำยำ อย่างที่บอก มีไขมันต่ำ ไฟเบอร์สูง จึงเหมาะเป็นอาหารลดความอ้วน เปลี่ยนยำแต่ละแบบ กินได้ทุกวัน กันเบื่อ ดีกว่าสลัดของฝรั่ง เพราะถ้าเป็นสลัดครีมจะให้ไขมันสูงมาก หากจะกินควรเลือกสลัดน้ำใส แต่เดี๋ยวก็เบื่อ จำเจ ไม่หลากหลายเหมือนยำของไทยๆ แถมไฟเบอร์ในผักจะช่วยดึงดูดไขมันส่วนเกินจากอาหารขับถ่ายออกไปด้วย ร่างกายไม่ทันดูดซึมเอาไปเก็บเป็นไขมัน ตามพุง แขน ขา อีกต่อไป

ยำยำ บำบัดโรค

รายละเอียดของความเกี่ยวพันแต่ละโรคกับอาหารประเภทยำยำ ตำตำ นั้นมีมากมาย ซึ่งพระเอกที่สำคัญมี 3 ตัว คือ ไฟเบอร์ วิตามินซี และวิตามินเอ และยังมีตัวประกอบช่วยกำจัดโรคอีกหลายตัว เช่น สารอัลลิซินในกระเทียม สารซีลีเนียม เลซิทินในถั่ว วิตามินบี เป็นต้น ซึ่งก็แล้วแต่เป็นส่วนประกอบของยำนั้นๆ

แต่ที่แน่ๆ จะมีอยู่ 3 ตัวหลัก อย่างไฟเบอร์ วิตามินซี และวิตามินเอ เพราะเป็นสารอาหารหลักในผัก ผลไม้ทุกตัว สำหรับวิตามินเอ อาจจะมีมากบ้างน้อยบ้าง เพราะจะมีในผักใบเขียวเข้ม และที่สีออกแดงๆ แสดๆ อย่าง มะเขือเทศ แครอต เป็นต้น

ไฟเบอร์

ช่วยกำจัดโรคได้จากการที่มันเป็นตัวช่วยอุ้มไขมัน น้ำตาล และสารเคมีต่างๆ ออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี เช่น โรคเบาหวาน มีน้ำตาลในเลือดมาก ถ้ากินไฟเบอร์เป็นประจำแม้จะกินอาหารที่มีน้ำตาลอยู่ด้วย น้ำตาลในเส้นเลือดก็จะลดลงกว่าเดิมได้ ทั้งการป้องกันเบาหวานและรักษาคนที่เป็นอยู่แล้ว

มะเร็งในลำไส้ มักจะเกิดเพราะการหมักหมมในลำไส้ ผนังลำไส้โดนสารเคมีจากอาหาร หรือมีไขมันมากเกินไป จนแบคทีเรียมากิน ปล่อยสารก่อมะเร็งขึ้นมา

โรคนิ่วในถุงน้ำดี ก็มักจะเกิดจากไขมัน คอเลสเตอรอลส่วนเกินมารวมเป็นก้อนในถุงน้ำดี

ท้องผูก เพราะกินไขมันและโปรตีนมาก

ไส้ติ่ง อาจจะเกิดเพราะกากอาหารที่ไม่มีเส้นใยตกลงไปอุดตันจนอักเสบ

ริดสีดวง ก็เพราะต้องออกแรงเบ่งมากไป เนื่องจากท้องผูก จนเส้นเลือดที่ทวารโป่ง พอง

โรคไต ก็มักจะเป็นเพราะไตทำงานหนักในการขับถ่ายของเสียมากเกินไป

ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้ ไฟเบอร์ในผัก ผลไม้ ช่วยได้แน่นอนค่ะ…เพราะสาเหตุของแต่ละโรคนี้มาจากการมีของเสียคั่งค้างอยู่ในร่างกายมากเกินไปนั่นเอง ไฟเบอร์ช่วยดึงของเสียต่างๆ ออกมาได้เร็วขึ้น กระบวนการของร่างกายไม่มีโอกาสดึงดูดสิ่งที่ไม่ต้องการไปทำให้เกิดโรคได้

วิตามินซี

มีส่วนช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกัน ต้านทานเชื้อไวรัสต่างๆ เชื้อหวัด ถ้าเรากินผัก ผลไม้ จากยำยำ หรืออาหารอื่น ไม่มีทางที่จะได้วิตามินซีเกินขนาด ขณะเดียวกันยังได้ประโยชน์จากสารอาหารอีกด้วย เคยมีการวิจัยพบว่า คนที่กินผัก ผลไม้ที่มีวิตามินซีเป็นประจำ เป็นมะเร็งที่หลอดอาหารและกระเพาะอาหารน้อยกว่าคนที่ไม่ค่อยได้กิน และยังพบว่าวิตามินซีมีส่วนป้องกันการเกิดมะเร็งจากสารไนโตรซามีน ซึ่งเกิดจากอาหารพวกไส้กรอกรมควันได้อีกด้วย

วิตามินเอ

อย่างที่รู้ๆ กันว่าเป็นองค์ประกอบในการมองเห็น ป้องกันไม่ให้เด็กเกิดใหม่ตาบอด รักษาเนื้อเยื่อ สุขภาพผิวหนัง กำจัดฤทธิ์ของสารก่อเซลล์มะเร็ง มีการศึกษาจากสถิติพบว่า คนที่กินอาหารที่มีวิตามินเอสูงเป็นประจำจะมีโอกาสเป็นมะเร็งที่ปอด ไต และกล่องเสียง น้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ค่อยได้กิน ดังนั้น ควรหันมากินผักใบสีเขียวที่หาได้ง่ายๆ บ้าง เช่น ตำลึง เพราะมีวิตามินเอสูง กินตับบ้าง

มีเรื่องน่าระวัง สำหรับพ่อแม่ที่ชอบให้ลูกกินน้ำมันตับปลา หรือตัวเองกินวิตามินเอ เม็ด ซึ่งวิตามินเอในนี้จะมีสูงกว่าที่ร่างกายต้องการถึง 5 เท่า และจะไปสะสมในตับ ทำให้เป็นโรคตับ ความดันโลหิตสูง ปวดหัว ปวดข้อ ปวดกระดูก สู้เรากินพืชผัก หรือเนื้อสัตว์ดีกว่า ไม่มีอันตราย ปกติเราต้องการวิตามินเอ ประมาณ 2,500 หน่วย ผักทั่วไป 100 กรัม จะมีวิตามินเอ ประมาณ 2,000-4,000 หน่วย หรือถ้าคุณกินยำ ตับ คำหนึ่งจะได้วิตามินเอประมาณ 1,000 มิลลิกรัม แต่ไม่ต้องกลัวว่ากินหลายคำแล้วจะได้มากเกินไปเพราะยังมีผักด้วย ไฟเบอร์เองจะพาอาหารส่วนเกินออกมา และอย่างน้อยเราก็ไม่ได้กินตับทุกวัน…ซะเมื่อไหร่!

อาหารไทยๆ ของเรา ใช่ว่าจะมีแต่ยำยำ ตำตำ เท่านั้น น้ำพริก กับปลาทู ปลาย่าง ก็ดีและมีประโยชน์พอๆ กัน อย่ามัวเป็นคนล้าสมัยกับอาหารฟาสต์ฟู้ดไขมันเยอะๆ ไฟเบอร์น้อยๆ เลย หันมากินอาหารยำยำ ตำตำ กันดีกว่านะคะ…

ชะมวง?ใบไม้ ใช้?แกงอร่อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05118010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606

ครัวชาวบ้าน

พิชญาดา เจริญจิต phitchayada7@hotmail.com

ชะมวง?ใบไม้ ใช้?แกงอร่อย

เมื่อไม่นานมานี้เอง ผู้เขียนได้เดินทางไปศึกษาดูงานการผลิตไม้ผลคุณภาพเพื่อการส่งออก ณ จังหวัดจันทบุรี ระยอง มีโอกาสดูงานการผลิตผลไม้คุณภาพ และท่องเที่ยวเชิงเกษตรสวนผลไม้ที่ฮอตฮิตติดกระแสของภาคตะวันออกในขณะนี้ ซึ่งทางสวนจัดบุฟเฟ่ต์ผลไม้ แบบว่า?จัดให้รับประทานกันแบบเต็มที่ไม่มีอั้น พร้อมอาหารกลางวันสูตรพื้นบ้านรสชาติอร่อยอีกด้วย

จึงทำให้ในครั้งนี้ได้มีโอกาสลองลิ้มชิมรสอาหารพื้นเมืองของภาคตะวันออกที่ได้ยินแต่ชื่อมานาน หนึ่งในเมนูนั้น มีชื่อว่า แกงหมูชะมวง นั่นเอง ดูๆ น่าจะเรียก หมูต้มใบไม้ ซะมากกว่า ดูอีกทีก็คล้ายๆ ต้มหมูใบมวง ของคนใต้ พอได้ชิมดูจึงรู้ว่ามันแตกต่างกันมาก ด้วยกลิ่นหอมของพริกไทย และรสชาติจะออกหวานเล็กน้อย แต่ขอรับรองว่า อร่อยๆ ค่ะ

แกงหมูชะมวง เป็นแกงที่ใช้ใบชะมวงมาเป็นส่วนประกอบในการปรุง และส่วนผสมอีกอย่างคือ หมูสามชั้น หรือกระดูกหมูอ่อน รสแกงมีรสเปรี้ยวปนหวาน ปนเค็ม เรียกว่า แกงสามรส ก็ได้ ส่วนรสเผ็ดนั้นเป็นรสแทรกเล็กน้อย เพื่อให้รู้ว่าเป็นแกงเท่านั้น (ใบชะมวง มีรสเปรี้ยวแปลก อร่อยไม่เหมือนใคร จะมีรสเปรี้ยวพอดีและใบต้มแล้วไม่เละ)

ใบไม้รสเปรี้ยว

ที่ชื่อ…ใบชะมวง

ชะมวง ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน บอกไว้ว่า เป็นคำนาม เป็นชื่อไม้ยืนต้น ใบใช้เป็นผัก รสเปรี้ยวนิดๆ มีชุกชุมทางภาคใต้ แต่ข้อเท็จจริงแล้วนั้น ชะมวงหาได้ง่ายในภาคตะวันออก หรือที่ใดที่มีอากาศชุ่มชื้น เป็นไม้ยืนต้น สูงเหมือนต้นสะเดา กิ่งแตกแขนงออกจากลำต้นตั้งแต่โคนต้นเลยทีเดียว ใบยาวรี ลักษณะคล้ายใบมะดัน (ซึ่งมีรสเปรี้ยวคล้ายกัน) ใบอ่อนมีรสเปรี้ยว ที่เมืองจันทบุรีนั้นพบทั้งที่ขึ้นเองในป่าชื้น และตามบ้านคน ใบชะมวงนิยมนำมาแกงเลี้ยงกันในงานมงคลทั่วๆ ไปในเมืองจันทบุรี (เว้นที่จะไม่แกงชะมวงในงานอวมงคล)

แกงหมูชะมวง

เครื่องเสวยในพระราชวัง

มีเรื่องเล่าว่า ณ พระตำหนักสวนบ้านแก้ว จังหวัดจันทบุรี เป็นตำหนักที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 ทรงซื้อที่ดินด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และโปรดให้สร้างพระตำหนักไม้หลังเล็กขึ้น เพื่อใช้เป็นพระตำหนักชั่วคราว ในระหว่างนั้น สมเด็จฯ พร้อมด้วยข้าราชบริพารเพียงไม่กี่คนต่างก็ช่วยกันคนละไม้ละมือในการตัดไม้ถากถางป่าปรับสภาพที่ดิน และปลูกต้นไม้นานาชนิด เพื่อให้สภาพเหมาะสมกับการเป็นที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ไม่เว้นแม้แต่พระองค์เอง ซึ่งทรงขับรถไถเพื่อปรับสภาพดินอย่างไม่ถือพระองค์ (ต่อมาทรงสร้างพระตำหนักถาวร เรียกว่า พระตำหนักสวนแก้ว ซึ่งเป็นเรือนทรงไทยแบบตะวันออกที่สวยงามมาก และทรงประทับอยู่ที่นั่นจนสิ้นพระชนม์)

กล่าวกันว่า ทรงมีแม่ครัวชาวพื้นถิ่นคนหนึ่ง มีชื่อว่า “ติ๊ด” เป็นผู้ชำนาญในการปรุง แกงหมูชะมวง โดยใช้ใบชะมวงที่ขึ้นในสวนแก้วนั่นเอง และเป็นเครื่องเสวยที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงโปรดชนิดหนึ่ง

ต้นชะมวงนั้น สามารถเก็บใบรับประทานได้ตลอดปี อยู่ที่ว่าต้นไหนจะแตกใบเวลาใด เพราะจะแตกใบไม่พร้อมกัน มีผู้ชำนาญการบอกว่า อย่าไปเด็ดใบอ่อนมาแกง เพราะจะไม่มีรสชาติ และจะไม่ใช้ใบแก่ เพราะจะขยากปาก (ภาษาถิ่น หมายถึง ระคายปากเวลากิน) ให้เลือกเอาแต่ใบเพสลาด (กลางอ่อนกลางแก่ : ภาษาท้องถิ่น แปลว่า พอดี) คือใบรองจากยอดมา 2-3 คู่ (คงต้องสังเกต เพราะบางทีคู่ที่ 3 ก็แก่เกินไปเหมือนกัน)

วิธีการทำ…แกงชะมวง

สูตรเมืองจันทบุรี

นำเอาใบชะมวงมาล้างน้ำให้สะอาด ฉีกก้านกลางทิ้งไปแบบฉีกใบมะกรูด จากนั้นฉีกใบให้เป็นชิ้นๆ ขนาดพอดี (มีเคล็ดลับว่า แกงหมูชะมวงสูตรจันทบุรีนั้นต้องเคี่ยวไฟนานนิดหนึ่ง เพื่อให้ใบชะมวงเปื่อย แต่ไม่ถึงกับเละ)

เครื่องอีกอย่างคือ หมูสามชั้น ให้เลือกชนิดที่มีหมูแดงมากนิดหนึ่ง ถ้ามีขนติดมาให้ใช้ใบมีดโกน โกนขนให้หมด หากมีเตาถ่านให้นำไปเผาไฟให้ลุกโชนไหม้หมดก็ใช้ได้ จากนั้นนำมาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม หนาประมาณ 2 นิ้ว แล้วนำไปหมักกับซีอิ๊วดำนิดหน่อย ผสมเกลือป่น พักเอาไว้

เอาข่ามาพอประมาณ หอมแดง และกระเทียมมากนิด นำเครื่องปรุงทั้ง 3 อย่าง ไปเผาไฟให้สุกก่อน ส่วนตะไคร้หั่นให้ฝอยๆ พริกแห้งเม็ดใหญ่ 3-4 เม็ด พริกไทยขาวดำ กะปินิดหน่อย โขลกส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียด (ใช้พริกแห้งเม็ดใหญ่ เพื่อให้เกิดสีแดงเท่านั้น)

นำเครื่องแกงมาผัดกับน้ำมันให้หอม ใส่น้ำตาลอ้อย (ถ้าไม่มี ก็ให้ใช้น้ำตาลปี๊บแทนได้) เมื่อละลายดีแล้ว จึงใส่หมูสามชั้นที่หมักไว้ลงไป ผัดจนส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน หากติดกระทะอาจเติมน้ำได้นิดหน่อย ตามด้วยใบชะมวงที่เตรียมไว้

เคล็ดลับเกี่ยวกับใบชะมวงนั้น ถ้ากลัวเปรี้ยวเกินไป เวลาจะแกงให้ต้มใบชะมวงแล้วแยกน้ำและใบพักไว้ก่อน ค่อยนำใบไปผัดกับหมูสามชั้น ส่วนน้ำใบชะมวงให้ใช้เติมเวลาต้มกับส่วนผสมทั้งหมด ผัดรวมกันจนใบชะมวงสลด (ภาษาพื้นถิ่น หมายถึง สุกนั่นเอง) และให้เข้ากันดี ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว หรือน้ำปลา ตามชอบ ชิมรสให้ออกหวานนำมาก ตามด้วยเค็ม แล้วตักใส่หม้อที่เตรียมไว้ เติมน้ำร้อนหรือน้ำใบชะมวงให้ท่วมส่วนผสมทั้งหมด ประมาณ 2 ข้อนิ้วชี้ ยังไม่ต้องชิมรส รอให้น้ำแกงงวดจึงค่อยชิม แล้วปรุงใหม่อีกครั้ง ตั้งไฟอ่อนๆ เคี่ยวไปเรื่อยๆ หมั่นคนกันติดก้นหม้อ แต่ไม่ต้องบ่อย สังเกตดูใบชะมวงและหมูสามชั้นเริ่มเปื่อย น้ำแกงข้นขึ้นเป็นอันใช้ได้ ถ้าใบชะมวงยังไม่เปื่อยดีนัก ให้เติมน้ำร้อนไปอีก และเคี่ยวไฟอ่อนอีกจนเปื่อยพอดี ไม่ถึงกับเละเขลอะ (ภาษาพื้นถิ่นจันทบุรี หมายถึง เป็นก้อน) แต่ต้องให้น้ำแกงสีออกแดงดำ ถ้าสียังไม่สวยให้เติมซีอิ๊วดำนิดๆ ได้ ชิมรสชาติให้ออกหวานนำตามด้วยเค็ม และเปรี้ยวด้วยรสของใบชะมวง เป็นเรียบร้อยตามสูตรดั้งเดิมของชาวจันทบุรีค่ะ?

ส่วนผสมแกงหมูชะมวง

หมูสามชั้น 3 กิโลกรัม

ใบชะมวง 5 ขีด

ข่า หั่นเป็นแว่นๆ 10 แว่น

ตะไคร้ ต้นกลางๆ 3 ต้น

หอมแดง ขนาดกลางๆ 1 ขีด

กระเทียม 1 ขีด

พริกแห้งเม็ดใหญ่ 4 เม็ด

พริกไทยเม็ด 1 ช้อนชา

กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาล ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ และเกลือป่นตามใจชอบ

(แกงหม้อนี้ ตามสูตรรับประทานได้ทั้งครอบครัว…แถมแจกเพื่อนบ้านได้อีก (ถ้ามั่นใจว่า อร่อยนะ…ไม่งั้นโดนเพื่อนเทลงถังข้าวหมูแน่ๆ อิอิ?)

ใบชะมวง เป็นชื่อที่ทางชาวจันทบุรีเขาเรียกกัน ถ้าเป็นคนทางภาคอีสาน จะเรียกว่า ส้มโมง ส่วนคนภาคใต้ ซึ่งจะพบชะมวงค่อนข้างแพร่หลาย และเรียกใบชะมวงต่างจากภาคอื่นๆ ว่า ใบส้มมวง หรือ ใบมวง คนใต้จะนิยมนำใบมวงมาต้มกับ กระดูกหมู ขาหมู เนื้อวัว หรือแกงส้ม แต่ถ้าจะให้เข้ากันจริงๆ คนพื้นบ้านพื้นถิ่นทางใต้บอกว่า ต้องต้มขาหมูใบมวงเท่านั้น ถึงจะคู่กันจริง เพราะใบมวงนั้น เขาว่า…มันช่วยลดความมันของขาหมูได้ดี ว่างั้น?

สำหรับ หมูต้มชะมวง นั่นคือ อาหารสูตรเด็ด ดั้งเดิมแต่โบราณกาลของชาวภาคตะวันออก ระยอง จันทบุรี และตราด ซึ่งสูตรดั้งเดิมจริงๆ เป็นสูตรต้มหมูให้รสออกหวานนำ ตามด้วยรสเปรี้ยวของใบชะมวง ต่อมามีการดัดแปลงโดยใส่น้ำพริกแกงลงไป จึงออกรสเผ็ด แล้วเรียกกันว่า แกงหมูชะมวง นั่นเองค่ะ?

ลอดช่องน้ำกะทิ…ขนมไทยยุคโบราณ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05118150858&srcday=2015-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 605

ครัวชาวบ้าน

พิชญาดา เจริญจิต phitchayada7@hotmail.com

ลอดช่องน้ำกะทิ…ขนมไทยยุคโบราณ

ที่ว่า “ลอดช่องน้ำกะทิ” เป็นขนมยุคโบราณ เพราะเมื่อสมัยก่อนถ้ามีโรงทาน คือเลี้ยงอาหารสำหรับคนยากจน ก็ต้องมีขนม 3-4 อย่าง เลี้ยงด้วยคือ

นกปล่อย ก็คือ ลอดช่องน้ำกะทิ ซึ่งก็มาจากขั้นตอนในการทำขนม คือ ขั้นตอนการกดแป้งให้ออกจากพิมพ์ โดยตัวลอดช่องจะมีลักษณะเป็นเส้นๆ ยาวพอประมาณ หรืออ้วนๆ สั้นๆ ขึ้นอยู่กับตัวพิมพ์ที่ใช้ในการกดแป้ง

ไข่กบ ก็คือ เม็ดแมงลักน้ำกะทิ

บัวลอย ก็คือ ข้าวเม่าน้ำกะทิ

และสุดท้าย ไอ้ตื้อ ก็คือ ข้าวเหนียวดำนึ่งน้ำกะทิ

ผู้เฒ่าผู้แก่ท่านเล่าให้ฟังว่า…ในสมัยรัชกาลที่ 6 เคยมีโรงทานเลี้ยงที่ท้องสนามหลวง ในงานของหลวงสมัยนั้นงานหนึ่ง เขาจะเอาโอ่งมังกรชนิดที่ใช้ปลูกบัวมาตั้ง แล้วก็เทเม็ดแมงลักลงไป ต่อจากนั้นพนักงาน (ว่ากันว่าเสื้อก็ไม่ใส่ แถมขนรักแร้ก็มีอีกว่างั้น!) เอื้อมมือลงไปคนๆ ให้เม็ดแมงลักมันอิ่มน้ำจะได้เม็ดโต ครั้นพอเม็ดแมงลักเม็ดโตดีแล้ว พนักงานอีกคนก็จะหาบน้ำกะทิมาเทใส่โอ่ง โครมเข้าไป แล้วอีกคนก็ควักน้ำตาลปี๊บตักใส่ลงในโอ่ง คนที่มีหน้าที่คน ก็จะก้มลงคนๆ คนจนกว่าน้ำตาลปี๊บจะละลายหมด พอกะว่าละลายดีแล้ว ก็จะเอากระบวยมาตักใส่ชามสังกะสีแจกชาวบ้านที่มะรุมมะตุ้มมารับแจกกินกัน เป็นที่เอร็ดอร่อย (คงจะอร่อยแน่นอน เพราะน้ำกะทิไม่ต้องเหยาะเกลือ ใช้มือคนขนาดนั้น ไม่เค็มก็ให้มันรู้ไปซินะ?)

ลอดช่องน้ำกะทิ (ลอดช่องไทย) ขนมไทยโบราณที่มีความหวาน มัน เย็นชื่นใจ มาถึงปัจจุบันก็หากินได้ง่ายขึ้นตามท้องตลาด แถมทำรับประทานเองก็ไม่ยากเลยค่ะ ขนมลอดช่องที่อร่อย ตัวลอดช่องจะต้องมีลักษณะเหนียว หนึบ หอมใบเตย และมีกลิ่นน้ำปูนใส ส่วนน้ำกะทิต้องคั้นจากมะพร้าวสดๆ และใช้น้ำน้อยในการคั้น ก็จะได้หัวกะทิที่สด มัน และหอม ส่วนน้ำตาลนั้นเราสามารถใช้น้ำตาลมะพร้าว หรือน้ำตาลปี๊บก็ได้ค่ะ

สูตร ลอดช่องน้ำกะทิ

เอาข้าวสารเก่ามา 1 3/4 ถ้วย นำมาล้างให้สะอาดแล้วแช่น้ำไว้ 1 คืน จากนั้นก็เอาข้าวมาผสมกับน้ำปูนใส 4-5 ถ้วย และเพื่อให้หอมก็หั่นใบเตยให้ฝอยๆ ใส่ลงไปด้วย ต่อไปก็เอาข้าวสารที่ว่านี้ไปโม่ให้ละเอียด ใช้ผ้าขาวบางกรองแป้ง กรองเอากากใบเตยออกไป แล้วโม่ต่อไปอีกที จนแป้งละเอียดดี

หากเราไม่ชอบกลิ่นปูน หรือไม่มีใบเตย ก็ใช้น้ำแครอต บีทรูท ฟักทอง กะหล่ำม่วง…แทนน้ำใบเตยได้ กลิ่นปูนก็จะถูกกลบไป หรือถ้าชอบตัวสีขาวๆ ก็รินน้ำปูนวางพักไว้สัก 2 ชั่วโมง ให้กลิ่นปูนจางลงจึงนำไปกวนก็ได้…หรือจะรินน้ำปูนพักไว้ให้กลิ่นจางลง แล้วนำดอกมะลิลง ลอย ปิดฝาทิ้งค้างคืน 1 คืน จึงนำมาผสมแป้งกวน ก็จะได้ลอดช่องดอกมะลิหอมๆ

ทีนี้ก็เอาหม้อ หรือกระทะทองเหลืองมาตั้งไฟ เอาแป้งที่โม่แล้วเทใส่ลงไป กวนด้วยไฟกลางๆ จนแป้งงวด สังเกตว่าเวลายกพายขึ้นแป้งจะหยด หรือจะใช้วิธีหยดแป้งลงในน้ำเย็น พอแป้งแข็งตัวไม่ละลายเป็นใช้ได้ หรือสังเกตเวลาแป้งที่กวนเดือดปุดๆ ช้าๆ เป็นใช้ได้อีกเหมือนกัน

ตักแป้งที่กวนได้ที่แล้วนั้น ใส่ลงในหม้ออะลูมิเนียมที่เจาะรูก้นหม้อจนเป็นรูพรุน (จะให้ลอดช่องตัวเล็ก ตัวใหญ่แค่ไหน ขึ้นอยู่กับขนาดของรูที่เจาะ) แล้วก็เอาที่กด กดให้แป้งทะลักไปตามรูไหลพรูลงเบื้องล่าง เราก็เอากระป๋องใส่น้ำเย็นไปวางรองเอาไว้ ตัวลอดช่องก็จะไหลลงไปแช่น้ำเย็นในกระป๋อง

เป็นอันว่า ได้ลอดช่องไทยๆ กลิ่นหอมใบเตย สำเร็จสมประสงค์ ถ้ามีอุปกรณ์ทุกอย่างพร้อมมูล วิธีการทำก็ไม่ยากเท่าไหร่นัก และต้องมีเวลาทำพอสมควรด้วย แต่หากยังไม่พร้อม ก็อย่าเพิ่งทำเลยนะคะ…ซื้อเขากินจะสะดวกกว่าเยอะเลย

วิธีการทำลอดช่องแบบนี้ ในสมัยก่อนตามบ้านนอก มักจะทำเลี้ยงแขกในงานมงคลต่างๆ เช่น บวชนาค งานแต่งงานกันมาก โดยเฉพาะงานแต่งงาน เชื่อว่า…ลอดช่อง มีความหมายคือ ให้คู่บ่าวสาวมีความรักยืนยาว เมื่อมีอุปสรรคใดๆ ก็ให้สามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ไปได้ด้วยดี

ในสมัยก่อนส่วนมากคนทำลอดช่องเก่งๆ จะมีคนเชิญไปเป็นแม่งานกดลอดช่อง เพราะการกดลอดช่องต้องมีความชำนาญ และเข้าใจวิธีกดถึงจะได้ตัวสม่ำเสมอ สวยงาม ไม่ไหลเป็นแท่งยาว หรือเป็นปุ่มสั้นๆ จนเกินไป

เคล็ดลับในการทำขนมลอดช่องนั้น มีอยู่ 2 อย่าง คือ ตัวแป้งต้องกวนให้สุก และเวลากดเป็นเส้น ตัวแป้งต้องร้อน อย่าทิ้งให้แป้งเย็น ส่วนน้ำกะทิให้ใช้มือละลายน้ำตาลให้เข้ากัน และไม่ต้องตั้งไฟ จะคงความหอมของน้ำตาล และถ้าใช้น้ำตาลมะพร้าวจะหอมอร่อยยิ่งขึ้น

ผู้เขียนมีโอกาสได้ไปดูการทำลอดช่องน้ำกะทิ ของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรทุ่งหยีเพ็งร่วมใจ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ที่ผ่านการคัดเลือกจากสำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้เป็นกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรดีเด่น ระดับเขต ประจำปี 2557

ทางกลุ่มได้ร่วมแรงร่วมใจทำลอดช่องน้ำกะทิให้กินกันสดๆ ต้องขอบอกว่า ทำยากเหมือนกันค่ะ…เพราะกว่าจะกวนแป้งได้ก็ต้องใช้เวลานาน (คนทำบอกว่า…กวนทีก็แทบสลบ) แถมเวลากวนต้องกวนคนเดียวด้วย จะเปลี่ยนมือกวนก็ไม่ได้ วิธีกวนก็ต้องวนไปทางเดียวกันตลอด (ตอนกวนนี้หอมมากๆ) ซึ่งกว่าจะได้ลอดช่องเส้นเขียวๆ มาให้เรากินก็เสียเหงื่อไปหลายหยดเหมือนกันค่ะ…

วิธีการทำน้ำกะทิ กินกับลอดช่อง

เอามะพร้าวขูด 1 กิโลกรัม มาคั้นด้วยน้ำลอยดอกมะลิ ให้ได้น้ำกะทิ 3-3.5 ถ้วย ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป ครึ่งกิโลกรัม และน้ำตาลทราย 1 ? ถ้วย คนให้น้ำตาลละลาย แล้วนำไปตั้งไฟ คนต่อไปอีก พอน้ำกะทิเดือดปุดๆ ก็เป็นอันใช้ได้ ถ้าจะให้หวานแหลมก็ควรใส่เกลือลงไปด้วยสัก 1/8 ช้อนชา

ตักลอดช่องใส่ถ้วย ตักน้ำกะทิใส่พอประมาณ พร้อมน้ำแข็งทุบใส่ลงไปหน่อย (ถ้ามีแตงไทยด้วย อร่อยเหาะเลยค่ะ…) คราวนี้คงไม่ต้องสอนแล้วล่ะค่ะ…ทีนี้ก็ตัวใครตัวมัน ซดกันให้คล่องคอไปเลย…แต่คนโบราณท่านห้ามคนที่กินลอดช่องน้ำกะทิไว้ว่า….ห้าม! จาม ในขณะที่ลอดช่องอยู่ในปากเด็ดขาดค่ะ…(เพราะเผลอๆ มันอาจจะลอดช่องออกมาผิดรูก็ได้…ใครจะไปรู้นะ!?)