คุยกัน7วันหน : ปรากฎการณ์ ‘ฟ้ารั่ว’ (cloudburst) ทำฝนถล่มหนักในปากีสถาน-อินเดีย

คุยกัน7วันหน :  ปรากฎการณ์ ‘ฟ้ารั่ว’ (cloudburst) ทำฝนถล่มหนักในปากีสถาน-อินเดีย

คุยกัน7วันหน : ปรากฎการณ์ ‘ฟ้ารั่ว’ (cloudburst) ทำฝนถล่มหนักในปากีสถาน-อินเดีย

วันอาทิตย์ ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดฝนตกหนักชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนเกิดน้ำท่วมฉับพลันครั้งใหญ่และดินโคลนถล่มในแถบเอเชียใต้ ทั้งในปากีสถานและอินเดีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวมกันแล้วมากกว่า 450 ราย และสร้างความเสียหายต่อพื้นที่ประสบภัยมหาศาล ภาษาอังกฤษเรียกปรากฎการณ์ฝนตกหนักเช่นนี้ว่า ‘คลาวด์เบิร์สต์’ (cloudburst)

มันคืออะไร ส่งผลกระทบมากแค่ไหน แล้วเราควรรับมือกับมันอย่างไร?

เหตุการณ์ฝนตกหนักเฉียบพลัน หรือ ‘คลาวด์เบิร์สต์’ (cloudburst)  สื่อบางสำนักอาจใช้คำว่า ‘เมฆระเบิด’ แปลตรงตัวมาจากภาษาอังกฤษ แต่เราขอใช้ความว่า ‘ฟ้ารั่ว’ ซึ่งน่าจะตรงกับคำแบบไทยๆ มากกว่า กำลังสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในพื้นที่ภูเขาของอินเดียและปากีสถาน โดยมีน้ำฝนปริมาณมากตกลงมาในระยะเวลาอันสั้นและในพื้นที่จำกัด ซึ่งปรากฏการณ์น้ำท่วมรุนแรงเฉียบพลันนั้นได้คร่าชีวิตผู้คนในทั้งสองประเทศไปจำนวนมาก เฉพาะในปากีสถาน มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 440 คน ฝนที่ตกหนักและแรงทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่ม และโคลนถล่ม ก้อนหินขนาดใหญ่ที่ตกลงมาจากพื้นที่ลาดชันพังทลายลงมาตามน้ำ ทำลายบ้านเรือนและหมู่บ้านจนพังทลายเหลือแต่ซากปรักหักพัง

ส่วนรัฐอุตตราขัณฑ์ ภาคเหนือของอินเดีย ก็เผชิญฝนตกหนักในลักษณะนี้ไปเมื่อต้นช่วงเดือนที่ผ่านมา โทรทัศน์ท้องถิ่นรายงานภาพน้ำไหลทะลักลงมาจากภูเขาและซัดเข้าสู่ธาราลี หมู่บ้านในเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งในปี 2556 มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 6,000 คน และหมู่บ้าน 4,500 แห่งได้รับผลกระทบเมื่อเกิดฝนตกหนักเฉียบพลันในลักษณะเดียวกันในรัฐนี้

ศาสตราจารย์กิตติคุณ จอห์นนี เฉิน คณะพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยซิตียูนิเวอร์ซิตีออฟฮ่องกง อธิบายให้เข้าใจอย่างง่าย ๆ ว่า สาเหตุที่เรียกว่า ‘เมฆระเบิด’ เพราะมีฝนจำนวนมากตกลงมาจากเมฆในเวลาสั้น ๆ อาจจะราว 10-20 นาที แท้จริงแล้ว cloudburst คือ พายุฝนฟ้าคะนองที่สะสมละอองน้ำไว้เป็นจำนวนมากแล้วกลายเป็นฝน ตกกระหน่ำในช่วงเวลาสั้น ๆ คล้ายกับการระเบิด ยิ่งเป็นพื้นที่เทือกเขา คลาวด์เบิร์สต์ยิ่งมีความรุนแรง เนื่องจากอากาศร้อนจะยิ่งลอยตัวสูงขึ้นจากการปะทะกับเทือกเขา ส่งผลให้พายุฝนฟ้าคะนองเกิดได้เร็วขึ้นและรุนแรงขึ้น เมื่อกลายเป็นฝน จึงตกกระหน่ำรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีก

อย่างเหตุการณ์ฝนตกหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา ที่เกิดขึ้นในเขตบูเนอร์ พื้นที่แถบเทือกเขาห่างไกลในจังหวัดไคเบอร์ปักตุนควา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถาน ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 400 ราย และยังสูญหายอีกกว่า 200 คน เกิดจากฝนที่ตกหนักเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ปริมาณน้ำฝนกว่า 150 มิลลิเมตรภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมงเศษ ตรงกับเกณฑ์ฝนตกหนักเฉียบพลันแบบฟ้ารั่ว เกิดขึ้นเมื่อมีปริมาณฝนจำนวนมากตกลงมาในช่วงเวลาสั้น ๆ โดยปกติจะมากกว่า 100 มิลลิเมตรภายในหนึ่งชั่วโมง และเกิดขึ้นในพื้นที่จำกัดประมาณ 30 ตารางกิโลเมตร มีผลกระทบที่ทำลายล้างและก่อให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวาง เพราะปริมาณฝนตกลงมามหาศาลในระยะเวลาสั้นๆ นั้น อาจเทียบเท่ากับปริมาณน้ำฝนที่โดยปกติแล้ว ตกในระยะเวลานานนับเดือน หรือหลายเดือน หรือทั้งฤดูฝนตกปกติ เหตุการณ์นี้เปรียบเสมือนเมฆระเบิดที่ปล่อยปริมาณน้ำฝนทั้งหมดออกมาพร้อมกัน คล้ายกับระเบิดฝน

ศ.กิตติคุณเฉินอธิบายว่า เหตุที่ปรากฎการณ์ ‘เมฆระเบิด’ ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม ปัจจัยแรกเกิดจากฝนตกลงมาเร็วมากจนแม่น้ำลำคลองรองรับไม่ทันจึงเกิดน้ำท่วมฉับพลัน  ปัจจัยที่สอง เกิดจากหลายพื้นที่มีการตัดไม้ทำลายป่า ดินที่ไม่มีต้นไม้ปกคลุมจึงถูกน้ำฝนชะจนถล่มลงมา

มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดฝนตกหนักเฉียบพลัน เช่น อากาศอุ่นและชื้นที่ลอยตัวขึ้นสู่ที่สูง ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศที่สูง, ความกดอากาศต่ำ ความไม่เสถียรของชั้นบรรยากาศ และการก่อตัวของเมฆแบบการพาความร้อน (convective cloud) โดยอากาศชื้นถูกบังคับให้ลอยตัวขึ้นเมื่อปะทะกับเนินเขาหรือภูเขา อากาศที่ลอยตัวขึ้นนี้จะเย็นตัวลงและกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำ เกิดเป็นเมฆที่มีขนาดใหญ่ หนาแน่น และสามารถทำให้เกิดฝนตกหนักได้

เนินเขาหรือภูเขาทำหน้าที่เสมือนกำแพงกั้น และมักจะดักเมฆเหล่านี้ไว้ ทำให้เมฆไม่สามารถกระจายตัวหรือเคลื่อนที่ไปได้ง่าย ๆ กระแสอากาศที่พัดขึ้นอย่างรุนแรงยังช่วยพยุงความชื้นเอาไว้ภายในเมฆ ซึ่งจะชะลอไม่ให้ฝนตกลงมาในทันที แต่เมื่อเมฆไม่สามารถกักเก็บความชื้นที่สะสมไว้ได้อีกต่อไป เมฆก็จะแตก และปล่อยน้ำฝนทั้งหมดออกมาพร้อมกัน

ทั้งอินเดียและปากีสถานมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม โดยฝนตกหนักเฉียบพลัน พร้อมเกิดขึ้นในสภาพที่มีความชื้น มรสุม และภูเขา ซึ่งหลายภูมิภาคของอินเดียและปากีสถานมีครบทั้งสามปัจจัยนี้ ทำให้พื้นที่เหล่านี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงเช่นนี้ โดยเทือกเขาหิมาลัย การาโกรัม และฮินดูกูช ล้วนเป็นที่ตั้งของยอดเขาที่สูงและมีชื่อเสียงที่สุดในโลก ทอดตัวยาวผ่านหลายประเทศ รวมถึงอินเดียและปากีสถาน ขณะที่ความถี่ของฝนตกหนักเฉียบพลันในสองประเทศแถบเอเชียใต้นี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบรรยากาศที่อุ่นขึ้นสามารถกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น ซึ่งสร้างเงื่อนไขให้เกิดฝนที่ตกอย่างรุนแรงและฉับพลัน

ภูมิภาคเอเชียใต้ โดยทั่วไปมีฤดูมรสุมสองช่วง ช่วงแรกมักเกิดขึ้นระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน โดยฝนจะเคลื่อนตัวจากตะวันตกเฉียงใต้ไปยังตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนอีกช่วงหนึ่งเกิดประมาณเดือนตุลาคมถึงธันวาคม และเคลื่อนตัวในทิศทางตรงกันข้าม แต่ด้วยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นในบรรยากาศ ทำให้รูปแบบฝนเหล่านี้เริ่มคลาดเคลื่อนจากเดิม สาเหตุคือ อากาศที่อุ่นขึ้นสามารถกักเก็บความชื้นจากทะเลอาหรับและมหาสมุทรอินเดียได้มากขึ้น และฝนที่สะสมไว้จึงมักเทลงมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงในคราวเดียว ซึ่งหมายความว่า ฤดูมรสุมในปัจจุบันไม่ใช่ฝนตกต่อเนื่องเหมือนในอดีต แต่กลายเป็นช่วงเวลาของน้ำท่วมหนักสลับกับช่วงแล้ง

ฝนตกหนักเฉียบพลัน เป็นปรากฏการณ์ที่คาดการณ์ได้ยาก เนื่องจากมีขนาดเล็ก ระยะเวลาสั้น เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และเกี่ยวข้องกับกลไกในบรรยากาศที่ซับซ้อน แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ฝนตกหนักเฉียบพลันมีแนวโน้มเกิดเพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะเดียวกัน ความเสียหายจากพายุที่เกี่ยวข้องก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากการพัฒนาเมืองในพื้นที่ภูเขาโดยขาดการวางแผน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้กระตุ้นปัจจัยที่ก่อให้เกิดฝนตกหนักเฉียบพลันโดยตรง โดยเฉพาะในปากีสถาน โดยทุก ๆ การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ 1 องศาเซลเซียส จะทำให้อากาศสามารถกักเก็บความชื้นได้มากขึ้นราวร้อยละ 7 ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดฝนตกหนักในระยะเวลาสั้นๆ

ศ.กิตติคุณเฉินเตือนว่า ฝนตกหนักเป็นสิ่งที่พยากรณ์ได้ยากมาก สาเหตุหนึ่งเพราะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแบบสุ่มพื้นที่ ประกอบกับมนุษย์ยังไม่มีความรู้มากเพียงพอเกี่ยวกับกระบวนการทั้งหมดที่ทำให้ฝนตกหนัก สิ่งที่นักอุตุนิยมวิทยาสามารถทำได้ คือ การพยากรณ์ฝนตกหนักในระยะสั้น แต่ในระยะยาวที่เราทราบอยู่แล้วว่า มีโอกาสที่จะเกิดฝนตกหนักมากยิ่งขึ้น จึงควรต้องดำเนินยุทธศาสตร์ในการลดโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมและผลกระทบที่เกี่ยวข้อง

คุยกันเจ็ดวัดหน : หนุนติด ‘เครื่องบันทึกวิดีโอ’ ในห้องนักบิน หลัง ‘แอร์อินเดีย’ โหม่งโลก

คุยกันเจ็ดวัดหน : หนุนติด ‘เครื่องบันทึกวิดีโอ’ ในห้องนักบิน หลัง ‘แอร์อินเดีย’ โหม่งโลก

คุยกัน7วันหน : หนุนติด ‘เครื่องบันทึกวิดีโอ’ ในห้องนักบิน หลัง ‘แอร์อินเดีย’ โหม่งโลก

วันอาทิตย์ ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

โศกนาฏกรรมเครื่องบินโดยสารสายการบินแอร์อินเดีย ตกหลังจากบินขึ้นจากสนามบินเมืองอาห์เมดาบัด ทางตะวันตกของประเทศอินเดีย เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งคร่าชีวิตบนคนเครื่อง 260 คน รอดชีวิตเพียงคนเดียว แถมยังมีคนบนพื้นดินสังเวยชีวิตด้วยอีกกว่า 20 คน ได้จุดประเด็นถกเถียงที่ดำเนินมานานหลายทศวรรษในอุตสาหกรรมการบินอีกครั้ง เกี่ยวกับการติดตั้งกล้องวิดีโอเพื่อติดตามตรวจสอบการกระทำของนักบินในห้องนักบิน เพื่อเสริมข้อมูลจากเครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบินและเครื่องบันทึกข้อมูลการบิน ที่บรรจุแน่นหนาในกล่องเหล็กสีส้มแข็งแรง หรือที่เราเรียกกันว่า ‘กล่องดำ’ ที่เจ้าหน้าที่สอบสวนอุบัติเหตุใช้อยู่ในปัจจุบัน

วิลลี่ วอลช์ ผู้บริหารสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ หรือ ไออาตา (IATA) ซึ่งเคยเป็นอดีตนักบินสายการบิน  บอกกับสื่อประเทศสิงคโปร์ในสัปดาห์นี้ว่า มีเหตุผลที่หนักแน่นในการติดตั้งกล้องวิดีโอในห้องนักบินของเครื่องบินโดยสาร เพื่อตรวจสอบการกระทำของนักบิน และเสริมข้อมูลจากเครื่องบันทึกเสียงและข้อมูลการบินที่นักสอบสวนอุบัติเหตุใช้อยู่แล้ว ซึ่งจะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อพนักงานสอบสวนในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินกล่าวว่า รายงานเบื้องต้นจากสำนักงานสอบสวนอุบัติเหตุเครื่องบินโดยสารของอินเดีย ทำให้เกิดคำถามว่า นักบินคนหนึ่งของเที่ยวบิน 171 ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็น สุมิตร สภาวัล (Sumeet Sabharwal) กัปตันของเครื่องบินลำนี้ ได้ตัดเชื้อเพลิงเครื่องยนต์ของเครื่องบินโบอิ้ง 787 เพียงไม่กี่วินาทีหลังเครื่องขึ้นหรือไม่ ซึ่งการปิดสวิตช์เชื้อเพลิงที่ว่านี้นำไปสู่สถานการณ์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้

วอลซ์ กล่าวว่า จากข้อมูลที่ได้ทราบเพียงเล็กน้อยในขณะนี้ เป็นไปได้สูงว่าการบันทึกวิดีโอเพิ่มเติมจากการบันทึกเสียง จะช่วยเหลือนักสอบสวนได้อย่างมากในการดำเนินการสอบสวนเกี่ยวกับประเด็นสุขภาพจิต

ผู้สนับสนุนการติดตั้งกล้องวิดีโอในห้องนักบินกล่าวว่า ภาพวิดีโอสามารถเติมเต็มช่องว่างที่เครื่องบันทึกเสียงและข้อมูลไม่สามารถให้ได้ ขณะที่ฝ่ายคัดค้านกล่าวว่าข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและการนำไปใช้ในทางที่ผิดนั้นมีน้ำหนักมากกว่าสิ่งที่พวกเขาโต้แย้งว่าเป็นประโยชน์เพียงเล็กน้อยต่อการสอบสวน

เพียง 18 วันก่อนเกิดอุบัติเหตุแอร์อินเดียโหม่งโลก สำนักงานความปลอดภัยขนส่งออสเตรเลีย (ATSB) ได้เผยแพร่ผลการสอบสวนฉบับสมบูรณ์ต่อเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ โรบินสัน อาร์ซิกตี้ซิกซ์ (Robinson R66) แตกเป็นเสี่ยงกลางอากาศเมื่อปี 2023 ซึ่งเป็นเหตุให้นักบินที่อยู่คนเดียวบนเครื่องเสียชีวิต โดยผลสอบสวนชี้ว่า คลิปวิดีโอเป็นหลักฐาน ‘อันประเมินค่าไม่ได้’ ที่ช่วยให้พนักงานสอบสวนอุบัติเหตุของออสเตรเลีย สามารถระบุชี้ชัดถึงต้นตอของอุบัติเหตุ ภาพจากคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นว่า นักบินวุ่นอยู่กับงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบินเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้โทรศัพท์มือถือและการบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม สำนักงานความปลอดภัยการขนส่งของออสเตรเลียชื่นชมบริษัท โรบินสัน เฮลิคอปเตอร์ส (Robinson Helicopters) ที่ติดตั้งกล้องมาจากโรงงาน และกล่าวว่า ทางสำนักงานสนับสนุนผู้ผลิตและเจ้าของรายอื่นๆ ให้พิจารณาถึงประโยชน์ด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องของอุปกรณ์ที่มีลักษณะเแบบเดียวกันนี้

เมื่อปี 2000 จิม ฮอลล์ ประธานคณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ เอ็นทีเอสบี (NTSB) เรียกร้องให้สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ หรือ เอฟเอเอ (FAA) กำหนดให้เครื่องบินโดยสารเชิงพาณิชย์ต้องติดตั้งเครื่องบันทึกภาพในห้องนักบินด้วย ข้อเสนอแนะของฮอลล์มีขึ้นหลังจากเหตุเครื่องบินโดนสารสายการบินอิยิปต์แอร์ (Egyptair) สายการบินแห่งชาติของอียิปต์ เที่ยวบินที่ 990 ตกกลางมหาสมุทรแอตแลนติกในปี 1999 คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือยกลำ 217 คน ซึ่งตามรายงานของ เอ็นทีเอสบี ระบุว่า นักบินผู้ช่วยได้จงใจทำให้เครื่องบินโบอิ้ง 767 ตก

แอนโธนี บริคเฮาส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยการบินอีกคนหนึ่ง กล่าวว่าในฐานะนักสอบสวนอุบัติเหตุ เขาเห็นด้วยกับการบันทึกวิดีโอในห้องนักบิน แต่ก็ยอมรับว่านักบินพาณิชย์มีข้อกังวลที่แท้จริง ความเห็นของสหภาพนักบินของสหรัฐฯ เช่น สมาคมนักบินสายการบินและสมาคมนักบินพันธมิตร กล่าวว่า เครื่องบันทึกเสียงและข้อมูลมีข้อมูลเพียงพอที่จะระบุสาเหตุของอุบัติเหตุอยู่แล้ว และกล้องจะเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวและอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้

เดนนิส ทาเจอร์ โฆษกของสมาคมนักบินพันธมิตร ซึ่งเป็นนักบินของสายการบิน อเมริกัน แอร์ไลน์ส (American Airlines) กล่าวว่า การเรียกร้องให้ติดตั้งกล้องในห้องนักบินเป็นปฏิกิริยาที่เข้าใจได้จากความเครียดและกดดันของเจ้าหน้าที่สืบสวน ที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ เขาระบุว่า เขาเข้าใจปฏิกิริยาเบื้องต้นที่ว่า ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไหร่ยิ่งดี แต่นักสอบสวนมีข้อมูลเพียงพอที่จะระบุสาเหตุของอุบัติเหตุได้อย่างเหมาะสมอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีกล้องใด ๆ อีก พร้อมกับเสนอแนะว่า เพื่อให้การบินปลอดภัยยิ่งขึ้น ควรปรับปรุงระบบความปลอดภัยปัจจุบันเพื่อบันทึกข้อมูลที่มีคุณภาพสูงขึ้น แทนที่จะเพิ่มกล้องวิดีโอ

โดยทั่วไปแล้ว การบันทึกเสียงในห้องนักบินจะถูกเก็บเป็นความลับโดยนักสอบสวน โดยจะมีการเผยแพร่ข้อความถอดเสียงบางส่วนหรือทั้งหมดในรายงานฉบับสุดท้าย อย่างไรก็ตาม สหพันธ์สมาคมนักบินสายการบินนานาชาติ (International Federation of Air Line Pilots Associations) กล่าวว่า พวกเขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถรับประกันการรักษาความลับของวิดีโอในห้องนักบินได้ ขณะที่ จอห์น ค็อกซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยการบิน อดีตนักบินสายการบินเกษียณอายุ และอดีตประธานฝ่ายความปลอดภัยทางอากาศของสมาคมนักบินสายการบิน ยอมรับว่า ยังมีความกังวลว่าภาพวิดีโออาจถูกนำไปใช้โดยสายการบินเพื่อดำเนินการทางวินัย หรือวิดีโออาจรั่วไหลสู่สาธารณะหลังเกิดอุบัติเหตุ

ค็อกซ์ย้ำว่า การนำเสนอข่าวเครื่องบินตกเป็นข่าวใหญ่พาดหัวตอนค่ำ สร้างความโศกเศร้าสะเทือนใจให้กับครอบครัวนักบินและลูกเรือบนเครื่องบินมากพออยู่แล้ว หากมีนำคลิปวีดีโอในห้องนักบิน ที่บันทึกเหตุการณ์ช่วงเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกมาออกเผยแพร่ คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ครอบครัวของผู้สูญเสียต้องการเห็น

แปลและเรียบเรียงจาก https://edition.cnn.com/2025/07/16/asia/air-india-crash-cockpit-video-camera-debate-intl-hnk

ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : ‘ทรัมป์-มัสก์’ สัมพันธ์ร้าว เสี่ยงกระทบอาณาจักรธุรกิจมหาศาล

คุยกัน7วันหน :  ‘ทรัมป์-มัสก์’ สัมพันธ์ร้าว เสี่ยงกระทบอาณาจักรธุรกิจมหาศาล

คุยกัน7วันหน : ‘ทรัมป์-มัสก์’ สัมพันธ์ร้าว เสี่ยงกระทบอาณาจักรธุรกิจมหาศาล

วันอาทิตย์ ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 02.00 น.

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีในฐานะซีอีโอของเทสลา (Tesla) และ สเปซเอ็กซ์ (SpaceX) เคยมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกันมาก ถึงขั้นที่มัสก์บริจาคเงินสนับสนุนหลายร้อยล้านดอลลาร์ รวมถึงช่วยหาเสียงจนมีส่วนทำให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีที่แล้ว และเข้าไปช่วยงานการเมืองให้ประธานาธิบดีทรัมป์ในรัฐบาลชุดนี้ โดยเป็นผู้นำของกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE) ซึ่งมีเป้าหมายในการลดการใช้จ่ายของรัฐบาล ก่อนที่เขาจะถอนตัวในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม แต่ทั้งคู่ก็แตกคอกันในเวลาต่อมา จนนำไปสู่การเปิดศึกวิวาทะกันแบบไม่มีใครยอมใครเมื่อต้นเดือนมิถุนายน ก่อนจะลดอุณหภูมิความขัดแย้งลงชั่วคราว

แต่ล่าสุด ทั้งคู่เปิดฉากตอบโต้กันรอบใหม่ ชนวนเหตุจากการที่มัสก์ออกมาวิจารณ์ร่างกฎหมายลดภาษีและการใช้จ่ายที่ผู้นำสหรัฐฯ เรียกว่าร่างกฎหมายที่ยิ่งใหญ่และงดงาม (One Big Beautiful Act) ซึ่งผ่านการอนุมัติจากวุฒิสภาแล้ว และกำลังรอการรับรองจากสมาชิกสภาผู้แทนราฎรในวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น มัสก์ให้เหตุผลว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้มีแนวโน้มจะเพิ่มหนี้สาธารณะอีก 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่สหรัฐฯ แบกหนี้สินรวมมากถึง 36.2 ล้านล้านดอลลาร์อยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ร่างกฎหมายนี้จะยกเลิกมาตรการจูงใจด้านพลังงานสะอาดของอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน หมายความว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ของมัสก์ จากการยกเลิกเงินอุดหนุน 7,500 ดอลลาร์ที่ให้กับผู้ซื้อรถ EV ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่จะตัดเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลางทั้งหมดที่มอบให้กับบริษัทของมัสก์ ทั้งเทสลาและสเปซเอ็กซ์ ด้านมัสก์ก็ไม่ยอมง่ายๆ ขู่จะตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาท้าชนกับรีพับลิกัน

ความสัมพันธ์ที่พลิกผันทำให้ตลาดมีความกังวล ซึ่งสะท้อนผ่านราคาหุ้นของเทสลา ที่เคยพุ่งสูงทำสถิติ 479.86 ดอลลาร์ต่อหุ้น หลังประธานาธิบดีทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง กลับดิ่งลงมาเคลื่อนไหวแถวกว่า 300 ดอลลาร์ในขณะนี้ โดยนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ราคาหุ้นของเทสลา ลดลงแล้วร้อยละ 22 ถือเป็นผลงานที่ย่ำแย่สุดเมื่อเทียบกับบรรดาบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ แต่มูลค่าตลาด (market cap) ยังคงอยู่แถว 1 ล้านล้านดอลลาร์

ราคาหุ้นที่ลดลงดังกล่าวส่งผลให้ความมั่งคั่งของมัสก์ลดลงด้วย ข้อมูลจาก Bloomberg Billionaires Index ระบุว่า ความมั่งคั่งสุทธิของมัสก์ ลดลงมากถึง 33,900 ล้านดอลลาร์ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงที่ขัดแย้งกันในรอบแรก การลดลงเกิดจากหลายปัจจัย อาทิ ราคาหุ้นของเทสลา ที่ขณะนั้นลดลงร้อยละ 14 และความตึงเครียดระหว่างมัสก์กับประธานาธิบดีทรัมป์ อย่างไรก็ตาม แม้จะรวยลดลง แต่มัสก์ยังคงเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลก แม้ความมั่งคั่งของมัสก์จะหายไปแล้วราว 71,000 ล้านดอลลาร์ จากที่มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของเขาเคยพุ่งทำสถิติที่ 486,000 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นมหาเศรษฐีคนแรกที่รวยทะลุหลัก 400,000 ล้านดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากราคาหุ้นที่พุ่งสูงขึ้นของเทสลา และการประเมินมูลค่าที่สูงของสเปซเอ็กซ์

ขณะเดียวกัน บริษัทเทสลากำลังเผชิญความท้าทายหลายเรื่องที่ประเดประดังเข้ามา นอกเหนือจากกระแสต้านที่เกิดจากการเข้าไปทำงานการเมืองของมัสก์ ที่กระทบยอดขายและชื่อเสียงแล้ว เทสลาก็เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด EV ทั่วโลก ข้อมูลล่าสุด ระบุว่า ยอดส่งมอบรถ EV ของเทสลาลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 384,122 คัน ลดลงร้อยละ 13.5 เมื่อเทียบกับ 443,956 คัน ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นการลดลงต่อเนื่องจากยอดส่งมอบในไตรมาสแรกปีนี้ที่อยู่ที่ 336,681 คัน ลดลงร้อยละ 13 เมื่อเทียบรายปี

เทสลาเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงโดยเฉพาะจากผู้ผลิตรถ EV ของจีน ซึ่งทยอยออกรถรุ่นใหม่และราคาจับต้องได้มากกว่า ขณะที่รถของเทสลาไม่ค่อยมีรุ่นใหม่ ๆ ลูกค้าบางส่วนเลื่อนการสั่งซื้อเพื่อรอรุ่น Model Y SUV เวอร์ชันปรับปรุงใหม่ที่เริ่มจัดส่งในเดือนมีนาคม การที่เทสลาจะบรรลุเป้าหมายในการกลับมาเติบโตอีกครั้งในปีนี้ บริษัทจะต้องส่งมอบรถยนต์มากกว่า 1 ล้านคันในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่และเป็นความท้าทายอย่างมาก ถึงแม้ว่าตามปกติแล้วยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังจะแข็งแกร่งขึ้นก็ตาม

วอชิงตัน โพสต์ ระบุว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มัสก์และธุรกิจของเขาได้รับเงินจากการทำสัญญากับรัฐบาล รวมถึงเงินกู้ เงินอุดหนุน และเครดิตภาษี รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 38,000 ล้านดอลลาร์ แต่จำนวนเงินทั้งหมดอาจมากกว่านี้ เพราะตัวเลขนี้รวมเฉพาะสัญญาที่เปิดเผยต่อสาธารณะเท่านั้น ขณะที่งานด้านการป้องกันประเทศและข่าวกรองเป็นความลับของรัฐบาลกลาง สัญญาของรัฐบาลที่ทำกับสเปซเอ็กซ์ ผ่านองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือนาซา และกระทรวงกลาโหมถือเป็นเงินส่วนใหญ่ ส่วนเทสลา ได้รับเงินอุดหนุนด้านกฎระเบียบมูลค่า 11,400 ล้านดอลลาร์จากโครงการของรัฐบาลกลางและมลรัฐที่มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงยอดขายของบริษัทได้รับแรงหนุนจากมาตรการลดหย่อนภาษีรถ EV ของรัฐบาลกลาง ที่อุดหนุนเงิน 7,500 ดอลลาร์สำหรับผู้ซื้อรถ

แน่นอนว่า หากรัฐบาลทรัมป์ยกเลิกมาตรการนี้ก็จะส่งผลกระทบอย่างมาก เจพี มอร์แกน ประเมินว่า การยกเลิกเงินอุดหนุนรถ EV อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของเทสลามากถึง 1,200 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณร้อยละ 17 ของรายได้จากการดำเนินงานในปี 2567 และจะกระทบต่อการขายเครดิตคาร์บอนอีกราว 2,000 ล้านดอลลาร์

ความบาดหมางระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ และมัสก์ ยังอาจทำให้เกิดความท้าทายใหม่ต่ออาณาจักรธุรกิจของมัสก์ ซึ่งมากกว่าการไม่จ่ายเงินอุดหนุนรถ EV โดยเฉพาะเมื่อเทสลาที่เป็นแหล่งรายได้หลัก กำลังหันไปเดิมพันกับความสำเร็จของระบบแท็กซี่ไร้คนขับ (robotaxi) ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการทดสอบในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส เพื่อทดแทนยอดขาย EV ที่ชะลอตัว ดังนั้น การขยายธุรกิจแท็กซี่ไร้คนขับจะเกิดขึ้นได้รวดเร็วแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับกฎระเบียบเกี่ยวกับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติทั้งในระดับมลรัฐและรัฐบาลกลาง

แม้เทสลา จะเกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ แต่สเปซเอ็กซ์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอากาศยานที่มีมูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์ กลับต้องพึ่งพาสัญญาจากรัฐเพื่อสนับสนุนธุรกิจมากกว่า ซึ่งหลายปีมานี้ สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับภารกิจสำรวจดวงจันทร์ และใช้บริการจรวดของสเปซเอ็กซ์ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับผลกระทบอย่างมาก ประเมินว่า นับตั้งแต่ปี 2543 สเปซเอ็กซ์ได้ทำสัญญามูลค่ารวม 22,000 ล้านดอลลาร์ จากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และนาซา

นอกจากนี้ ยังไม่รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ที่อาจเผชิญความเสี่ยง ทั้งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X, บริษัทปัญญาประดิษฐ์ xAI และบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีเชื่อมสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ นิวรัลลิงก์ (Neuralink) ต่างก็เผชิญการกำกับดูแลจากรัฐบาลกลาง

เพิ่มความเสี่ยงว่า มัสก์จะแตกหักกับทรัมป์ต่อหรือไม่ หรือหลังจากนี้ จะยอมลดวิวาทะเดือดกลับมาฟื้นสัมพันธ์ เพื่อประคองอาณาจักรธุรกิจของเขาให้อยู่รอดต่อไปได้

ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : ทรัมป์ยิ้มรับเครื่องบินจากกาตาร์ ระบุ ‘คนโง่เท่านั้น’ ที่ปฏิเสธของขวัญชิ้นนี้

คุยกัน7วันหน : ทรัมป์ยิ้มรับเครื่องบินจากกาตาร์ ระบุ 'คนโง่เท่านั้น' ที่ปฏิเสธของขวัญชิ้นนี้

คุยกัน7วันหน : ทรัมป์ยิ้มรับเครื่องบินจากกาตาร์ ระบุ ‘คนโง่เท่านั้น’ ที่ปฏิเสธของขวัญชิ้นนี้

วันอาทิตย์ ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 07.15 น.

กลายเป็นข่าวที่สร้างความฮือฮาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากสถานีโทรทัศน์เอบีซีนิวส์ (ABC News) เป็นสื่อแรกในสหรัฐฯ ที่รายงานเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ คิดจะรับเครื่องบินที่ราชวงศ์กาตาร์จะมอบให้เป็นของขวัญ เพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดี หรือ ‘แอร์ฟอร์ซวัน’ (Air Force One) ต่อไป เครื่องบินที่ว่าไม่ใช่เครื่องบินธรรมดา แต่เป็นเครื่องบินโบอิง 747-8 ใหม่เอี่ยมถอดด้าม มูลค่า 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  (ราว 13,200 ล้านบาท) ซึ่งจะถือเป็นของขวัญล้ำค่าที่สุดชิ้นหนึ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ เคยได้รับ

หลังกลายเป็นประเด็นขึ้นมา ทรัมป์โพสต์บนแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ Truth Social ของตนเอง บอกว่า เครื่องบินเป็นของขวัญจากประเทศการ์ตา ที่สหรัฐฯ ให้การปกป้องด้วยความสำเร็จเป็นอย่างดีมาเป็นเวลาหลายปี เหตุใดที่กองทัพสหรัฐฯ ต้องถูกบังคับให้จ่ายเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเงินจากภาษีของประชาชน ในเมื่อสามารถรับเครื่องบินได้ฟรีจากประเทศที่ต้องการตอบแทนสหรัฐฯ สำหรับงานที่ทำได้เป็นอย่างดี พร้อมกับย้ำว่า มีแต่ ‘คนโง่’ เท่านั้น ที่จะไม่รับของขวัญนี้ในนามของประเทศสหรัฐฯ เขาคงเป็นคนที่ไม่ฉลาดนัก หากจะกล่าวว่า ไม่อยากได้เครื่องบินแพง ๆ แบบฟรี ๆ

ทรัมป์กล่าวต่อไปว่า เครื่องบินโบอิ้ง 747 ลำนี้ จะส่งมอบให้กับกองทัพอากาศสหรัฐฯ ภายใต้กระทรวงกลาโหม ไม่ได้ส่งมอบให้เขาเป็นเจ้าของแต่อย่างใด โดยจะถูกใช้งานโดยรัฐบาลให้เป็นเครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดี ‘แอร์ฟอร์ซวัน’ เป็นการชั่วคราว แทนแอร์ฟอร์ซวันลำเดิม ซึ่งเป็นโบอิง 747-200B และใช้งานมาตั้งแต่ปี 2533 จนกว่าเครื่องบินประจำตำแหน่งลำใหม่ ที่บริษัทโบอิ้งส่งมอบล่าช้า ซึ่งคาดว่าจะล่าช้าถึงปี 2570  จะมาถึง จากนั้น เครื่องบินลำนี้จะถูกบริจาคให้แก่ห้องสมุดประธานาธิบดีทรัมป์ (Donald J. Trump Presidential Library Fund Inc.) เมื่อเขาพ้นจากตำแหน่ง และเขาจะไม่ใช้มันภายหลังจากพ้นตำแหน่งแน่นอน

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทรัมป์เคยพูดว่าเขาไม่พอใจโบอิ้ง เกี่ยวกับความล่าช้าในการส่งมอบเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันลำใหม่ 2 ลำ เขายังบอกด้วยว่าทำเนียบขาวควรจะ “ซื้อเครื่องบิน หรือได้เครื่องบิน หรือทำอะไรบางอย่าง” ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกัน เครื่องบินของกาตาร์ถูกจับภาพได้ที่เมืองปาล์มบีช ในรัฐฟลอริดา ระหว่างที่ทรัมป์ตรวจสอบเครื่องบินลำนั้นอยู่

จากเอกสารสรุปข้อมูลจำเพาะของเครื่องบินเมื่อปี 2015 เครื่องบินลำนี้ได้รับการออกแบบอย่างหรูหราโดยบริษัทฝรั่งเศส Alberto Pinto ประกอบไปด้วยห้องนอน 3 ห้อง ห้องรับรองส่วนตัว เลานจ์ 5 ห้อง สำนักงานส่วนตัว และครัว 5 ห้อง

การตัดสินใจของทรัมป์จุดกระแสวิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะจากหน่วยข่าวกรองและหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐฯ ที่มองว่าการรับเครื่องบินจากต่างชาติเป็น ‘ฝันร้ายด้านความปลอดภัย’ แหล่งข่าวจากหน่วยสืบราชการลับระบุว่า เครื่องบินต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อหาอุปกรณ์ดักฟังและประเมินความสมบูรณ์ของโครงสร้าง ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือนถึง 2 ปี และต้องติดตั้งระบบสื่อสารที่ปลอดภัย ระบบป้องกัน และความสามารถในการป้องกันการโจมตีด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมถึงการปรับปรุงให้สามารถเติมน้ำมันกลางอากาศได้ เพื่อให้ประธานาธิบดีสามารถควบคุมกองทัพในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การโจมตีด้วยนิวเคลียร์ แน่นอนว่าต้องใช้ความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน เช่น หน่วยสืบราชการลับ ซีไอเอ เอ็นเอสเอ และหน่วยสื่อสารของทำเนียบขาว

สมาชิกวุฒิสภาจากพรรครีพับลิกัน เช่น ริก สกอตต์ คัดค้านโดยระบุว่า “ผมไม่ขึ้นเครื่องบินกาตาร์ เพราะพวกเขาสนับสนุนฮามาส” และตั้งคำถามถึงความปลอดภัย จอช ฮอว์ลีย์ เห็นว่าควรใช้เครื่องบินที่ผลิตในสหรัฐฯ เพื่อความภาคภูมิใจและความมั่นคง ขณะที่ ซูซาน คอลลินส์ ชี้ว่า การรับของขวัญนี้อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ในหมวดที่ห้ามเจ้าหน้าที่รับของขวัญจากต่างชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสภาคองเกรส เท็ด ครูซ ยังเตือนว่าเครื่องบินนี้อาจเป็น “ม้าโทรจันยุคใหม่” ที่เสี่ยงต่อการจารกรรมและการสอดแนม

ฝ่ายเดโมแครต เช่น ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา ออกมาคัดค้านและขัดขวางการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม จนกว่าจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องบินลำนี้ แจ็ค รีด จากคณะกรรมาธิการกองทัพ ระบุว่าการรับเครื่องบินนี้อาจเปิดช่องให้ต่างชาติเข้าถึงระบบสื่อสารที่อ่อนไหว ซึ่งเป็นความเสี่ยงด้านการต่อต้านข่าวกรองอย่างมหาศาล

ด้าน คาโรไลน์ ลีวิตต์  โฆษกทำเนียบขาว ระบุว่า รายละเอียดทางกฎหมายเกี่ยวกับการรับเครื่องบินยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา และยืนยันว่าทุกการบริจาคให้รัฐบาลจะเป็นไปตามกฎหมาย ลีวิทต์ปฏิเสธข้อกังวลว่ากาตาร์อาจเรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทน โดยย้ำว่าทรัมป์ทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอเมริกันเท่านั้น

ไม่เพียงแต่ประเด็นความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความมั่นคงเท่านั้น หลายฝ่ายยังติงท่าทีของทรัมป์ ว่าอาจเป็นการผิดจริยธรรมและผิดกฎหมายว่าด้วยนักการเมืองด้วย อดัม ชิฟฟ์ วุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครต อ้างถึงส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ที่ระบุว่า ไม่ควรมีเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้รับเลือกตั้งคนใดรับ “ของขวัญใด ๆ… หรือประโยชน์อื่นใด” จากผู้นำของรัฐอื่น โดยที่ไม่ผ่านการเห็นชอบจากสภาคองเกรส ตามกฎหมายว่าด้วยของขวัญและของตกแต่งต่างประเทศ ซึ่งบัญญัติว่าการจะรับของขวัญจากต่างประเทศที่มีมูลค่าเกินที่กำหนดไว้จะต้องได้รับการเห็นชอบจากสภาคองเกรสก่อน ซึ่งปัจจุบัน เจ้าหน้าที่รัฐของสหรัฐฯ สามารถรับของขวัญที่มีมูลค่าไม่เกิน 480 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 16,031 บาท)

ในประเด็นว่าเครื่องบินเป็นของขวัญของทรัมป์หรือไม่นั้น  ชีค โมฮัมเหม็ด บิน อับดุลเราะห์มาน บิน จัสซิม อัล-ธานี นายกรัฐมนตรีกาตาร์และรัฐมนตรีต่างประเทศของกาตาร์ ปฏิเสธข้อครหาเกี่ยวกับการมอบเครื่องบิน โดยย้ำในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น (CNN) เมื่อวันพุธ (14 พ.ค.) ว่านี่เป็นการทำธุรกรรมระหว่างกระทรวงกลาโหมกาตาร์และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือเพนตากอน ไม่ใช่ของขวัญส่วนตัวให้ทรัมป์ และจะถูกปรับปรุงให้สอดคล้องกับมาตรฐานด้านความปลอดภัยและมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของแอร์ฟอร์ซวัน แต่ยืนยันว่า การโอนเครื่องบินยังอยู่ระหว่างการพิจารณาระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้ง 2 ฝ่าย และยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย พร้อมย้ำว่านี่เป็นธุรกรรมที่โปร่งใส และกาตาร์มองว่าการมอบเครื่องบินเป็นการแสดงไมตรีจิตต่อพันธมิตรสำคัญ อัล-ธานีเสริมว่า หากสหรัฐฯ มีความต้องการที่ถูกต้องตามกฎหมาย กาตาร์พร้อมให้ความช่วยเหลือ โดยไม่มีเงื่อนไขแอบแฝง

การรับเครื่องบินจากกาตาร์อาจเป็นโอกาสสำหรับสหรัฐฯ ในการลดภาระงบประมาณในช่วงที่โครงการแอร์ฟอร์ซวันรุ่นใหม่ของโบอิ้ง เผชิญปัญหาค่าใช้จ่ายพุ่งสูงถึง 3,900 ล้านดอลลาร์ และขาดทุนไปแล้ว 2,500 ล้านดอลลาร์ การใช้เครื่องบินชั่วคราวอาจช่วยให้ทรัมป์รักษาภาพลักษณ์ผู้นำที่ประหยัดงบประมาณและเจรจาเพื่อผลประโยชน์ของชาติได้ โดยเฉพาะเมื่อเขาเปรียบเทียบแอร์ฟอร์ซวันรุ่นเก่า กับเครื่องบินทันสมัยของชาติพันธมิตร

การรับเครื่องบินนี้ยังอาจเป็นเครื่องมือสร้างภาพลักษณ์ของทรัมป์ ว่าเขาสามารถเจรจาดีลที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่ก็เสี่ยงถูกโจมตีว่าให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์มากกว่าความมั่นคงและจริยธรรม การตัดสินใจครั้งนี้จึงเป็นดาบสองคมที่อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของเขาในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อทั้งรีพับลิกันและเดโมแครตแสดงความกังวล

ขณะเดียวกัน การรับของขวัญมูลค่าสูงจากกาตาร์ ซึ่งบางฝ่ายในสหรัฐฯ วิจารณ์ว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มฮามาส อาจถูกมองว่าเป็นการเปิดช่องให้ต่างชาติมีอิทธิพลต่อนโยบายสหรัฐฯ อีกทั้งการปรับปรุงเครื่องบินให้ได้มาตรฐานแอร์ฟอร์ซวัน อาจใช้เวลาและเงินมากกว่าที่คาด ซึ่งอาจทำให้เป้าหมายประหยัดงบประมาณของทรัมป์ไม่เป็นผล

ดาโน โทนาลี 

คุยกัน7วันหน : โป๊ปเลโอที่ 14 จะนำพาคริสตจักรคาทอลิกไปทิศทางใด

คุยกัน7วันหน : โป๊ปเลโอที่ 14  จะนำพาคริสตจักรคาทอลิกไปทิศทางใด

คุยกัน7วันหน : โป๊ปเลโอที่ 14 จะนำพาคริสตจักรคาทอลิกไปทิศทางใด

วันอาทิตย์ ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 07.00 น.

8 พ.ค.2568 ควันขาวลอยขึ้นจากโบสถ์น้อยซิสทีน ประกาศการเลือกพระคาร์ดินัล โรเบิร์ต เพรโวสต์ (Robert Prevost) จากสหรัฐฯ วัย 69 ปี ได้รับเลือกเป็นผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิกองค์ที่ 267 ในชื่อ โป๊ปเลโอที่ 14 กลายเป็นโป๊ปชาวอเมริกันคนแรกในประวัติศาสตร์ แต่ก็มีสัญชาติเปรูด้วย เพราะเคยไปรับตำแหน่งตั้งแต่เป็นมิชชันารี เป็นบิชอป และอาร์คบิชอปอยู่ที่เปรูนานมากกว่า 10 ปี  

พระคาร์ดินัล โรเบิร์ค เพรโวสต์ เกิดเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2498 ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐฯ ในครอบครัวชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลี เขาเข้าร่วมคณะเยซูอิต (Jesuit) ในปี 2521 และได้รับการบวชเป็นบาทหลวงในปี 2528 Prevost มีประสบการณ์ทำงานในหลากหลายบทบาททั้งในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ โดยเฉพาะในเปรู ซึ่งเขาเคยดำรงตำแหน่งอธิการคณะเยซูอิตในภูมิภาคนั้นระหว่างปี 2542-2547

ในปี 2557 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นบิชอปแห่งเขตศาสนปกครองชิคยากาเมกาในเปรู และในปี 2564 พระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าสมณกระทรวงเพื่อบิชอป (Dicastery for Bishops) ซึ่งมีหน้าที่ดูแลการคัดเลือกบิชอปทั่วโลก ตำแหน่งนี้ทำให้เขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลสูงในวาติกันก่อนการเลือกตั้งเป็นพระสันตะปาปา

พระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ถูกมองว่าเป็นนักบวชสายกลางที่มีแนวคิดใกล้เคียงกับพระสันตะปาปาฟรานซิส พระองค์ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือผู้ถูกกีดกันในสังคม เช่น ผู้อพยพและผู้ยากไร้ ซึ่งสอดคล้องกับฉายา Pope of the Poor ที่โป๊ปฟรานซิสได้รับ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก New York Times ระบุว่า พระองค์ยังคงยึดมั่นในหลักคำสอนดั้งเดิมของคริสตจักร เช่น การคัดค้านการบวชสตรีเป็นมัคนายก และการไม่รับรองการสมรสเพศเดียวกันในพิธีกรรมทางศาสนา

ระหว่างที่ดํารงตําแหน่งบิชอป พระองค์ยังคัดค้านความคิดริเริ่มของรัฐบาลในการสอนประเด็นเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศในโรงเรียน โดยบอกกับสํานักข่าวท้องถิ่นว่าเป็นการพยายามสร้างเพศที่ไม่มีอยู่จริง จึงต้องติดตามว่า บทบาทของพระสันตะปาปาองค์ใหม่ และท่าทีต่อกลุ่ม LGBTQ+ ในยุคที่เสรีนี้จะเป็นอย่างไร ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดที่แตกต่างที่สุดระหว่างโป๊ปเลโอที่ 14 กับโป๊ปฟรานซิส เพราะโป๊ปฟรานซิสเปิดกว้างต่อแนวความคิดให้คนเพศเดียวกันแต่งงานกันได้ 

ในส่วนของผู้อพยพ ดูเหมือนว่าจุดยืนของโป๊ปเลโอที่ 14 เกี่ยวกับผู้อพยพสอดคล้องกับจุดยืนของโป๊ปฟรานซิส โดยจากการสัมภาษณ์ของกลุ่มผู้ประสานงานของกลุ่มคาทอลิกเปรู ที่พระองค์เคยเป็นนักบวชอยู่เล่าว่า พระองค์มักแสดงความห่วงใยต่อผู้อพยพชาวเวเนซุเอลาในเปรูมาโดยตลอด ซึ่งเปรูเป็นประเทศที่มีชาวเวเนซุเอลาอพยพมากว่า 1.5 ล้านคน และถือว่ามากที่สุดในโลก ขณะที่ก่อนหน้านี้ โป๊ปองค์ใหม่ได้พูดออกมาผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อต่อต้านนโยบายการย้ายถิ่นฐานของฝ่ายบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐฯ ใน X โดยการแชร์บทความที่มีชื่อว่า “ทําไม วาทศาสตร์ต่อต้านผู้อพยพของ โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงมีปัญหา” และ “เจดี แวนซ์ ผิด: พระเยซูไม่ได้ขอให้เราจัดอันดับความรักของเราต่อผู้อื่น”

ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งในโลกที่เคร่งเครียด ทั้งสงครามยูเครน กาซา และซูดาน คริสตจักรคาทอลิกมักมีบทบาทสำคัญที่จะไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง และเป็นศูนย์รวมจิตใจในประเด็นเหล่านี้ โดยที่ผ่านมาโป๊ปฟราสซิสเองก็มักออกมาเรียกร้องสันติภาพให้ชาวปาเลสไตน์ในกาซา และอธิษฐานให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม

ในแถลงการณ์แรกหลังได้รับเลือก พระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ทรงตรัสว่า “ข้าพเจ้าขออุทิศชีวิตเพื่อรับใช้พระเจ้าและพี่น้องทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ทุกข์ยากและถูกละเลย ขอให้คริสตจักรของเราเป็นแสงสว่างแห่งความหวังในโลกที่แตกแยก คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการนำคริสตจักรให้เป็นศูนย์กลางของความเมตตาและความยุติธรรม”

นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงประสบการณ์ของพระองค์จากการบริหาร Roman Curia ซึ่งเป็นองค์กรปกครองของวาติกัน และการเคยเป็นตัวกลางผู้ผสานรอยร้าวระหว่างบิช็อปสายอนุรักษ์นิยม และสายก้าวหน้าในเปรูที่แตกแยกกัน จึงทำให้มีการคาดหวังบทบาทของพระองค์ในการเป็ฯสะพานช่วยลดความขัดแย้งระหว่างประเทศ

ความท้าทายในตำแหน่งผู้นำแห่งคาทอลิก

บทวิเคราะห์ในเว็บไซต์ของ CBS News ระบุว่า การขึ้นเป็นพระสันตะปาปาของเลโอที่ 14 เกิดขึ้นท่ามกลางความท้าทายมากมายของคริสตจักรคาทอลิก รวมถึงการลดลงของจำนวนสมาชิกในยุโรปและอเมริกาเหนือ การถกเถียงเรื่องการปฏิรูปศาสนจักร เช่น สิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ และบทบาทของสตรีในคริสตจักร รวมถึงความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มอนุรักษ์นิยมและกลุ่มก้าวหน้าในวาติกัน นอกจากนี้ การเป็นชาวอเมริกันอาจทำให้พระสันตะปาปาองค์ที่ 267 ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านภาพลักษณ์ในบางภูมิภาคที่มองสหรัฐฯ ในแง่ลบ

การเลือกพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ได้รับการจับตาจากสื่อและชุมชนคาทอลิกทั่วโลก บางส่วนมองว่าเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนความหลากหลายของคริสตจักร ขณะที่บางกลุ่มในฝั่งอนุรักษ์นิยมแสดงความกังวลต่อแนวคิดสายกลางของพระองค์ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการบริหารและประสบการณ์ในระดับนานาชาติของพระองค์ ทำให้หลายฝ่ายมองว่า พระองค์จะสามารถนำคริสตจักรผ่านช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงได้

ในฐานะพระสันตะปาปาองค์แรกจากสหรัฐอเมริกา พระสันตะปาปาเลโอที่ 14 มีโอกาสสร้างมรดกที่ยิ่งใหญ่ให้กับคริสตจักรคาทอลิก ด้วยการสานต่อนโยบายของ พระสันตะปาปาฟรานซิสและปรับให้เข้ากับบริบทโลกสมัยใหม่ การเลือกพระนาม ‘เลโอที่ 14’ สะท้อนถึงความเคารพต่อสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 13 ผู้เคยนำคริสตจักรผ่านความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในศตวรรษที่ 19 และอาจเป็นสัญญาณถึงวิสัยทัศน์ในการปฏิรูปอย่างสมดุล

คุยกัน7วันหน : เมื่อชาวจีนเปิดใจพูดคุยเกี่ยวกับ ‘ความตาย’ มากขึ้น

คุยกัน7วันหน : เมื่อชาวจีนเปิดใจพูดคุยเกี่ยวกับ ‘ความตาย’ มากขึ้น

คุยกัน7วันหน : เมื่อชาวจีนเปิดใจพูดคุยเกี่ยวกับ ‘ความตาย’ มากขึ้น

วันอาทิตย์ ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 06.30 น.

อวี๋โป๋ ผู้กำกับภาพยนตร์วัย 41 ปี เคยมองว่าความตายดูเป็นเรื่องไกลตัว แม้เขาจะใช้เวลานานหลายปีในการถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์เฉียดตายในห้องไอซียู แต่แล้วทุกอย่างได้เปลี่ยนไปเมื่อเขาเผชิญภาวะตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันขั้นรุนแรงถึง 3 ครั้งภายใน 1 ปีเนื่องจากการดื่มสุราหนักตามงานสังสรรค์ อวี๋จึงตระหนักได้ว่าความตายคือปลายทางเดียวที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ

เมื่อเดือนก่อน อวี๋ลงนามหนังสือเจตนาว่าไม่ประสงค์จะรับบริการทางการแพทย์ที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต (living will) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งในวิธีที่ชาวจีนจำนวนมากขึ้นหันมาบันทึกความต้องการของตัวเองเกี่ยวกับความปรารถนาในช่วงท้ายของชีวิต โดยเขาเลือกที่จะไม่รับการปั๊มหัวใจ การใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือการให้อาหารทางสายยาง หากไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

ในขณะที่จีนเดินหน้าการพัฒนา อายุคาดเฉลี่ยของประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ราว 79 ปีในปี 2024 ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ผู้สูงอายุจำนวนมากมีสุขภาพที่ดีและอายุยืนยาวขึ้น ทว่าโรคเรื้อรังและความท้าทายช่วงบั้นปลายชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น กำลังกระตุ้นให้สังคมหันมาทบทวนเกี่ยวกับการแก่ชราและการเสียชีวิตอย่างมีเกียรติมากยิ่งขึ้น

ท่ามกลางภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงนี้ การวางแผนบั้นปลายของชีวิตเริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบทสนทนาของผู้คนอย่างช้าๆ สิ่งที่เคยถือว่าเป็นเรื่องต้องห้าม อย่างหนังสือแสดงเจตนาฯ และเอกสารแสดงความประสงค์ล่วงหน้ากำลังได้รับความสนใจ เนื่องจากเปิดโอกาสให้แต่ละบุคคลมีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตนเองมากขึ้น และช่วยให้ครอบครัวเข้าใจความต้องการสุดท้ายของคนที่รักได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ผู้ใหญ่ในช่วงอายุ 30-59 ปีที่มีการศึกษา อาศัยอยู่ในเมือง และคุ้นเคยกับเทคโนโลยี คิดเป็น 2 ใน 3 ของผู้ที่ลงนามหนังสือแสดงเจตนาฯ มากกว่า 60,000 คน ซึ่งลงนามกับสมาคมส่งเสริมหนังสือแสดงเจตนาฯ ปักกิ่ง (Beijing Living Will Promotion Association) ที่เดิมรู้จักกันในชื่อแพลตฟอร์ม “ชอยส์ แอนด์ ดิกนิตี” (Choice and Dignity) ตั้งแต่ปี 2010

ชาวจีนเกือบร้อยละ 70 ที่ลงนามหนังสือแสดงเจตนาฯ กับสมาคมดังกล่าวเป็นผู้ที่มีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองพัฒนาชั้นนำอย่างกรุงปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้คนมีโอกาสเข้าถึงแนวคิดใหม่ๆ และสิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อทัศนคติของพวกเขาอย่างมาก

เมื่อความก้าวหน้าปะทะความเชื่อแบบดั้งเดิม

บรรทัดฐานทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับความตายในจีนยังคงฝังรากลึก ผู้คนมักหลีกเลี่ยงการพูดถึงความตายเพราะมองว่าไม่เป็นสิริมงคล การไม่รักษาตัวเพื่อยืดชีวิตกลับถูกมองว่าเป็นการอกตัญญู หลายครอบครัวจึงยืนกรานให้ดำเนินการรักษาจนถึงที่สุดเพื่อเลี่ยงความรู้สึกค้างคาใจหรือเกรงว่าจะถูกผู้อื่นตัดสิน ทว่านโยบายต่างๆ เริ่มสะท้อนถึงทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน

ในปี 2023 เมืองเซินเจิ้นกลายเป็นเมืองแรกในจีนที่รับรองให้หนังสือแสดงเจตนาฯ เป็นสิ่งถูกกฎหมาย เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถปฏิเสธการรักษาแบบรุกรานเมื่อเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิต การเคลื่อนไหวนี้ได้จุดประกายความสนใจอย่างไม่คาดคิด โดยสำนักงานโนตารีรายงานว่ามีจำนวนประชาชนที่ต้องการรับรองความประสงค์ของตนเพิ่มมากขึ้น เช่น คนหนุ่มสาวและคู่รักที่ไม่มีบุตร เนื่องจากพวกเขาให้ความสำคัญกับการคงไว้ซึ่งเกียรติในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต

เมื่อประชากรจีนเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 310 ล้านคน รัฐบาลจีนจึงได้ขยายบริการดูแลแบบประคับประคอง (palliative care) ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่กว้างขึ้นในการตอบสนองต่อความต้องการอันหลากหลายของผู้สูงอายุในประเทศ

หน่วยบริการฮอสพิซในจีนเพิ่มขึ้นจาก 510 แห่งในปี 2020 เป็น 4,259 แห่งในปี 2022 โดยมีโครงการนำร่องขยายครอบคลุมเมืองและอำเภอ 185 แห่ง ทว่าการเข้าถึงบริการเหล่านี้ยังคงไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะพื้นที่ตะวันตกที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ รัฐบาลจึงตั้งเป้าหมายว่าปี 2025 จะจัดตั้งแผนกการดูแลแบบประคับประคองอย่างน้อย 1 แห่งในพื้นที่นำร่อง เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่เมืองและชนบทอย่างทั่วถึง การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนแนวโน้มระดับโลก อาทิ สหรัฐฯ ที่กำลังเปลี่ยนจากหนังสือแสดงเจตนาฯ สู่การวางแผนการดูแลล่วงหน้า

การต่อต้านทางวัฒนธรรมที่ยังคงอยู่

เซี่ยงเฉี่ยวเจิน พยาบาลแผนกการดูแลแบบประคับประคองในมณฑลเจ้อเจียงและอาสาสมัคร กล่าวว่า      ผู้ป่วยบางคนโบกมือไล่เรา เหมือนกับการว่าการพูดถึงความตายจะทำให้มันมาถึงเร็วขึ้น แต่การรอจนถึงวินาทีสุดท้ายมักทำให้พลาดโอกาสที่ได้พูดคุยถึงเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง เซี่ยงเล่าว่า แม้เธอเองจะยังไม่ได้ลงนามหนังสือแสดงเจตนาฯ แต่ลูกสาวของเธอรู้ความต้องการของผู้เป็นแม่ดี ลูกสาวบอกว่าเมื่อวันนั้นมาถึง เธอจะดูแลให้แม่ได้เข้ารับการรักษาแบบประคับประคองแน่นอน การเข้าใจกันอย่างเงียบนี้ๆ คือสิ่งที่เราสองแม่ลูกหวังสร้างขึ้นในสังคม

อวี๋โป๋เองเผชิญกับแรงต้านเช่นกัน หลังจากเขาโพสต์เกี่ยวกับหนังสือแสดงเจตนาฯ บนบัญชีวีแชท (WeChat) เพื่อนๆ ของเขาหลายคนรีบโทรหาเพราะคิดว่าเขากำลังป่วยระยะสุดท้าย พวกเขาไม่เชื่อว่าอวี๋ตัดสินใจเช่นนี้เพียงเพราะอยากเตรียมตัวให้พร้อม อวี๋กล่าวว่า ความไม่สบายใจต่อความตายแทบจะฝังรากอยู่ในดีเอ็นเอทางวัฒนธรรมของชาวจีน เรากลัวมัน หลีกเลี่ยงมัน และแทบไม่เคยเป็นเจ้าของมันจริงๆ แต่การได้เลือกว่าจะจากโลกนี้ไปอย่างไรควรเป็นสิทธิ์ของเราเอง

อวี๋กล่าวว่า แม้จะเจอแรงต้าน แต่เขายังคงมีความหวัง อวี๋เชื่อว่าคนจำนวนมากขึ้นจะเลือกเดินเส้นทางนี้เช่นกัน และอยากถ่ายทอดเรื่องราวของพวกเขาผ่านภาพยนตร์ บางทีเราอาจได้เรียนรู้ที่จะพูดถึงความตาย ไม่ใช่เพื่อจมอยู่กับมัน แต่เพื่อใช้ชีวิตอย่างมีสติมากขึ้นเมื่อรู้ว่าความตายคือปลายทางสุดท้าย

ขอบคุณเนื้อหา จากสำนักข่าวซินหัวไทย

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : ​วิเคราะห์-เจาะลึก ใครจะได้เป็น ‘สมเด็จพระสันตะปาปา’ พระองค์ใหม่

คุยกัน7วันหน : ​วิเคราะห์-เจาะลึก ใครจะได้เป็น ‘สมเด็จพระสันตะปาปา’ พระองค์ใหม่

คุยกัน7วันหน : ​วิเคราะห์-เจาะลึก ใครจะได้เป็น ‘สมเด็จพระสันตะปาปา’ พระองค์ใหม่

วันอาทิตย์ ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

    หลังจากผ่านพ้นพิธีปลงพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสผู้ล่วงลับ ที่นครรัฐวาติกันเมื่อวันเสาร์ที่จะผ่านมา ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการสรรหาสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ ในกระบวนการที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี ตั้งแต่ยุคกลางของยุโรป ผู้ที่สามารถรับเลือกเป็นพระสันตะปาปา คือ  พระคาร์ดินัล หรือ บรรดานักบวชอาวุโสผู้มีสมณศักดิ์สูง อายุต่ำกว่า 80 ปี ซึ่งในครั้งนี้ มีจำนวนราว 130 คน เป็นคนเพียงกลุ่มเดียว ที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือก ผ่านการประชุมแบบลับที่เรียกว่า Conclave คาดว่าการประชุมคอนเคลฟ จะจัดขึ้นไม่เกินวันที่ 6 พฤษภาคมนี้

    อย่างไรก็ดี เคยมีคำพูดโบราณกล่าวไว้ว่า ‘ผู้ที่เข้าสู่การประชุมในฐานะพระสันตะปาปา มักออกมาในฐานะคาร์ดินัล’ สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของกระบวนการนี้ เพราะพระคาร์ดินัลที่ถูกคาดหมายว่ามีโอกาสจะได้ขึ้นครองตำแหน่งสมเด็จพระสันตะปาปา องค์ประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก ก่อนเข้าสู่กระบวนการสรรหา อาจจะไม่ได้เป็นไปตามโผ และพระคาร์ดินัลที่เข้าสู่กระบวนการสรรหา อาจไม่ได้คะแนนเสียงอย่างที่ตั้งใจไว้

    ยกตัวอย่างการประชุมเลือกโป๊ปเมื่อปี 2013 ครั้งนั้น หนึ่งในพระคาร์ดินัลที่ถูกมองว่ามีโอกาสได้รับเลือกมากที่สุด คือบาทหลวง แองเจโล สโคลา จากมิลาน ประเทศอิตาลี พระองค์มั่นอกมั่นใจอย่างยิ่งว่า ตนเองเป็นผู้ที่ได้รับเลือกแน่นอน ถึงขนาดที่ว่าเมื่อ ‘ควันสีขาว’ ลอยออกมาจากปล่องไฟของโบสถ์น้อยซิสทีน อันเป็นสัญญาณว่า ที่ประชุมพระคาร์ดินัลเลือกโป๊ปองค์ใหม่ได้เรียบร้อยแล้ว บาทหลวงชั้นผู้ใหญ่ของอิตาลีท่านหนึ่ง ถึงกับส่งข้อความหานักข่าว แสดงความยินดีที่พระคาร์ดินัลสโคลาได้เป็นโป๊ปองค์ใหม่ แต่กลับกลายเป็นว่า พระคาร์ดินัล ฮอร์เก มาริโอ เบร์โกกลิโอ จากอาร์เจนตินา เป็นผู้ได้รับเลือกให้เป็นโป๊ป ซึ่งต่อมาใช้ชือว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส นั่นเอง

    หลังการจากไปของโป๊ปฟรานซิส กระบวนการคัดเลือกพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่จึงถูกจับตามองและถือว่ามีความสำคัญยิ่ง ต่อการกำหนดทิศทางในอนาคตของคริสตจักรโรมันคาทอลิก จะเห็นได้ว่า ผู้ที่เป็น candidates หรือพระคาร์ดินัลที่ถูกมองว่ามีโอกาสได้รับเลือกในครั้งนี้ มีความหลากหลายมากกว่าเดิม ส่วนหนึ่งมาจากการสังคายนาใหม่ของโป๊ปฟรานซิส เพราะในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประมุขคริสตจักรโรมันคาทอลิก ทรงยกเครื่ององค์คณะที่ทำหน้าที่คัดเลือกและสรรหาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งต่อจากพระองค์ ช่วยให้มีตัวแทนพระคาร์ดินัลจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เข้ามามีส่วนในการคัดเลือกมากขึ้น

    ที่สำคัญ คือทรงยกเลิกกฎที่ไม่มีระบุอย่างเป็นทางการ แต่ปฏิบัติกันแพร่หลายก่อนหน้านี้ ที่กำหนดให้บาทหลวงจากหลายสังฆมณฑล (diocese) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอิตาลี ได้ตำแหน่งพระคาร์ดินัลในทันที และเปิดโอกาสให้บาทหลวงจากสังฆมณฑลห่างไกลในพื้นที่อื่นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นตองกา เฮติ หรือปาปัวนิวกินี ได้ทำหน้าที่พระคาร์ดินัล พระชั้นผู้ใหญ่จากดินแดนเหล่านี้ ถูกมองว่าอยู่นอกเหนือจากระบบคาทอลิกแบบดั้งเดิมของโรม จึงเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาได้ว่า พระคาร์ดินัลเหล่านี้จะลงคะแนนเลือกใคร

    แต่ถึงกระนั้นก็ตาม มีพระคาร์ดินัลเพียงหยิบมือเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งประสบการณ์ ความสามารถ ทักษะด้านต่างๆ และบารมี มากพอที่จะได้ดำรงตำแหน่งประมุขของคริสตจักรโรมันคาทอลิก ทั้งหลายทั้งปวง ขึ้นอยู่กับบรรดาพระคาร์ดินัลในที่ประชุมลับ หรือ Conclave ว่าจะเลือกบุคคลใด รวมถึงพิจารณาว่า โป๊ปพระองค์ต่อไปควรจะตามรอยแนวทางปฏิรูป ที่อดีตโป๊ปฟรังซิสได้ปูทางไว้ หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบไปในแนวทางอื่น อีกทั้งยังต้องคัดเลือกบุคคลที่มี ‘ชื่อชั้น’ พอที่จะเป็นผู้นำคริสตจักรบนเวทีโลกได้ 

    ผู้สัดทัดกรณีบางส่วนมองว่า อนาคตของคริสตจักรโรมันคาทอลิกอยู่ในเอเชีย จึงมีโอกาสสูงที่โป๊ปพระองค์ต่อไป อาจมาจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่อายุก็เป็นปัจจัยสำคัญ จะเห็นได้ว่า ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นโป๊ปก่อนหน้านี้ ล้วนมีอายุมาก เพื่อให้แน่ใจว่า จะอยู่ในตำแหน่งไม่ยาวนานจนเกินไป

    สำหรับ Papabile หรือผู้ที่มีโอกาสได้รับเลือกเป็นโป๊ปพระองค์ต่อไป แม้ไม่มีพระคาร์ดินัลรูปใดที่ได้รับการคาดหมายมากที่สุดในการเป็นโป๊ป แต่มี 2 รูปที่ดูเหมือนว่า ผู้คนจะสนใจเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นนักปฏิรูปคล้ายคลึงกับโป๊ปฟรานซิส คือ พระคาร์ดินัล ปิเอโตร ปาโรลิน จากอิตาลี วัย 70 ปี เป็นพระคาร์ดินัลนักการทูต และเป็นเบอร์สองของสำนักวาติกันรองจากโป๊ปฟรังซิสมาตั้งแต่ปี 2013 มีความรู้และเชี่ยวชาญในคริสตจักรทั่วโลก

ส่วนอีกพระองค์ พระคาร์ดินัล ลูอิส อันโตนิโอ ตาเกิล แห่งฟิลิปปินส์ วัย 67 ปี มักได้รับการเรียกขานในฟิลิปปินส์ว่า “ฟรานซิสแห่งเอเชีย” เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกับโป๊ปฟรานซิสผู้ทรงเป็นนักปฏิรูป และอุทิศพระองค์เพื่อผดุงความยุติธรรมในสังคม คาร์ดินัลตาเกิลเคยเป็นบิชอปแห่งอิมุส และอาร์ชบิชอบแห่งมะนิลา ได้รับการสถาปนาจากโป๊ปฟรานซิส ให้เป็นพระคาร์ดินัลเมื่อปี 2012 จากนั้นในปี 2019 โป๊ปฟรานซิสทรงย้ายพระคาร์ดินัลตาเกลจากมะนิลา ฟิลิปปินส์ ไปยังสำนักวาติกัน และแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะฝ่ายมิชชันนารีเผยแพร่ศาสนาของวาติกัน

    ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ก.พ. ปีนี้ ระบุว่าทั่วโลกมีพระคาร์ดินัลอยู่ถึง 252 รูป และส่วนใหญ่แล้วพระคาร์ดินัลเหล่านี้ก็มักจะดำรงตำแหน่งพระสังฆราชหรือบิชอป (bishop) ประจำสังฆมณฑลท้องถิ่นของตนเอง อย่างไรก็ตาม มีเพียงพระคาร์ดินัลที่อายุต่ำกว่า 80 ปีเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าร่วมประชุมเพื่อออกเสียงเลือกตั้งโป๊ปองค์ใหม่ได้

    ตามปกติแล้ว จำนวนของพระคาร์ดินัลที่เป็นองค์คณะผู้เลือกตั้งโป๊ปนั้น มักจำกัดไว้ที่ 120 รูป แต่ปัจจุบันกลับมีพระคาร์ดินัลที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดข้างต้นถึง 138 รูป เนื่องจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสได้ทรงแต่งตั้งพระคาร์ดินัลใหม่เพิ่มอีก 21 รูป เมื่อเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว

    การประชุมเลือกตั้งพระสันตะปาปา จะถูกจัดขึ้นแบบปิดลับและตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง เหล่าพระคาร์ดินัลผู้ออกเสียงเลือกตั้งไม่สามารถออกไปนอกเขตสำนักวาติกัน ทั้งยังไม่สามารถฟังวิทยุ, ดูโทรทัศน์, อ่านหนังสือพิมพ์, หรือใช้โทรศัพท์พูดคุยติดต่อกับบุคคลภายนอกได้ นอกจากนี้ยังห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปในเขตที่พักของพระคาร์ดินัลอีกด้วย เว้นแต่พนักงานทำความสะอาด, แพทย์พยาบาล, และนักบวชผู้ทำหน้าที่รับฟังคำสารภาพบาปเท่านั้น ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะต้องให้คำมั่นว่า จะเก็บสิ่งที่ได้เห็นหรือได้ยินได้ฟังไว้เป็นความลับ

    ในช่วงหยุดพักระหว่างการลงคะแนนของแต่ละวัน เหล่าพระคาร์ดินัลทั้งหมด รวมถึงผู้ที่ชราภาพเกินไปจนหมดสิทธิออกเสียงเลือกตั้งไปแล้ว จะมาร่วมหารือและอภิปรายถกเถียงกัน ถึงข้อดีข้อเสียของผู้สมัครเป็นพระสันตะปาปาแต่ละคน โดยไม่อนุญาตให้มีการรณรงค์หาเสียงอย่างเปิดเผย

    สำนักวาติกันระบุว่า การตัดสินใจของเหล่าพระคาร์ดินัลนั้น เป็นไปตามการชี้นำของพระจิตอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Spirit) แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้สมัครหลายรายมีการต่อสู้แย่งชิงเพื่อรวบรวมเสียงสนับสนุนให้ตนเอง ไม่ต่างไปจากการเมืองในโลกของฆราวาส

    หากมีควันสีขาวออกมาจากปล่องไฟของโบสถ์น้อยซิสทีน นั่นเป็นสัญญาณว่า ที่ประชุมพระคาร์ดินัลเลือกโป๊ปองค์ใหม่ได้เรียบร้อยแล้ว

    ตลอดการประชุมคอนเคลฟ จะมีการเผาทำลายบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่ใช้แล้ววันละ 2 ครั้ง คนภายนอกสำนักวาติกันสามารถมองเห็นควันจากปล่องไฟที่ออกมาจากโบสถ์น้อยซิสทีนได้ สีของควันไฟดังกล่าวจะเป็นไปตามสีที่ใช้ทาบัตรเลือกตั้ง หากควันเป็นสีดำแสดงว่าที่ประชุมยังไม่มีมติชี้ขาด แต่หากควันเป็นสีขาว นั่นคือสัญญาณว่าที่ประชุมพระคาร์ดินัลเลือกโป๊ปองค์ใหม่ได้เรียบร้อยแล้ว

ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : จีนผนึกกำลัง ‘อาเซียน’ รับมือกำแพงภาษีทรัมป์

คุยกัน7วันหน : จีนผนึกกำลัง ‘อาเซียน’ รับมือกำแพงภาษีทรัมป์

คุยกัน7วันหน : จีนผนึกกำลัง ‘อาเซียน’ รับมือกำแพงภาษีทรัมป์

วันอาทิตย์ ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

    สัปดาห์ที่ผ่านมา การเดินสายทัวร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในฐานะเวทีกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับสงครามการค้า

    สี จิ้นผิง เดินทางสายเยือน 3 ชาติประชาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ 3 ประเทศ คือเวียดนาม มาลเซีย และกัมพูชา เป็นการเยือนที่เกิดขึ้นได้ถูกจังหวะพอดี สำหรับผู้นำจีนที่ต้องการแสดงให้โลกเห็นว่า จีนเปิดกว้างทางการค้าแตกต่างจากท่าทีของสหรัฐฯ อย่างชัดเจน

    นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศตั้งกำแพงภาษีตอบโต้ทั่วโลก จีนก็ออกมามีบทบาทนำในการแสดงจุดยืนสนับสนุนระบบการค้าเสรี และชวนนานาประเทศให้ร่วมกัน รับมือกับความผันผวนและความไม่แน่นอน ที่สหรัฐฯ เป็นผู้ก่อขึ้น ซึ่งรวมถึงในเวทีอาเซียนด้วย

    ระหว่างการเยือนเวียดนามเป็นปรเะเทศแรก สี จิ้นผิง ได้พบปะหารือกับ เลือง เกื่อง ประธานาธิบดีเวียดนาม โดยกล่าวกระตุ้นจีนและเวียดนามร่วมต่อต้านการเมืองเชิงอำนาจและการกระทำการเพียงฝ่ายเดียว สี จิ้นผิง กล่าวว่า สงครามการค้าจะบ่อนทำลายระบบการค้าระหว่างประเทศ เสถียรภาพของระเบียบเศรษฐกิจโลกและผลประโยชน์อันชอบธรรมตามกฎหมายของทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา พร้อมเรียกร้องจีนและเวียดนามรับมือกับความไม่แน่นอนจากภายนอกด้วยความร่วมมือฉันมิตรและจุดแข็งของสังคมนิยม

การเยือนเวียดนามของผู้นำจีนเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นครั้งที่ 4 แล้วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเวียดนามถือเป็นฐานการผลิตสำคัญของบริษัทจีน รวมทั้งเป็นทางผ่านในการส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีด้วย การเยือนในรอบนี้ จึงไม่ต่างอะไรกับการให้คำมั่นว่า จีนจะยังคงร่วมมือกับเวียดนามในช่วงจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์

    ตามด้วยการเยือนมาเลเซีย สี จิ้นผิง ได้พบปะกับอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และกล่าวว่าความสัมพันธ์จีน-มาเลเซียกำลังก้าวสู่ยุคทองรอบใหม่ เขาพร้อมจะทำงานร่วมกับอันวาร์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาประชาคมจีน-มาเลเซีย ที่มีอนาคตร่วมกันในเชิงยุทธศาสตร์ระดับสูง รวมถึงมีส่วนสนับสนุนความเจริญรุ่งเรืองและเสถียรภาพในภูมิภาค

    สี จิ้นผิง ระบุด้วยว่า จีนและมาเลเซียจะยืนเคียงข้างประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค เพื่อต่อสู้กับนโยบายปกป้องทางการค้า การดำเนินมาตรการต่าง ๆ แต่เพียงฝ่ายเดียว และการเผชิญหน้าที่แบ่งขั้ว-เลือกข้าง ผู้นำจีนยังประกาศด้วยว่า จะร่วมกันปกป้องอนาคตที่รุ่งโรจน์ของครอบครัวเอเชีย

ขณะที่ผู้นำมาเลเซีย ระบุว่า จีนเป็นหุ้นส่วนที่มีเหตุมีผล แข็งแกร่งและพึ่งพาได้ ท่ามกลางความวุ่นวายโกลาหลจากกำแพงภาษี พร้อมทั้งระบุว่า มาเลเซียจะยังคงเป็นเพื่อนกับจีนไม่เปลี่ยนแปลง

    ระหว่างการพบปะหารือกับสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน หัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชาและประธานวุฒิสภากัมพูชา ณ กรุงพนมเปญของกัมพูชา สี จิ้นผิง กล่าวว่า เอกภาพนิยมหรือการกระทำเพียงฝ่ายเดียว และการครองอำนาจนำนั้นไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน

    สี จิ้นผิง กล่าวว่า ประวัติศาสตร์สะท้อนให้เห็นแนวโน้มที่ไม่อาจหยุดยั้งในการมุ่งหน้าสู่โลกหลายขั้ว โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ ตลอดจนความหลากหลายทางวัฒนธรรม และไม่มีประเทศใดต้องการหวนกลับคืนสู่การแยกตัวโดดเดี่ยว

    สี จิ้นผิง เผยว่าสงครามการค้าทำลายระบบการค้าพหุภาคีและส่งผลกระทบต่อระเบียบเศรษฐกิจโลก พร้อมเรียกร้องให้ทุกประเทศรวมกันเป็นหนึ่งและกำกับดูแลความมั่นคงระดับชาติและการพัฒนาของประเทศตนอย่างมั่นคง ยึดมั่นการเคารพซึ่งกันและกัน แสวงหาความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายและการพัฒนาร่วมกัน และร่วมทำงานเพื่อสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติ

    รัฐบาลจีนได้เตรียมการมานานแล้วสำหรับการเดินทางเยือน 3 ประเทศ เป็นภารกิจในต่างประเทศ ของ สี จิ้นผิง ครั้งแรกในปีนี้ แต่ประจวบเหมาะกับการประกาศสงครามการค้ารอบใหม่ของทรัมป์

    หากจับประเด็นเนื้อหาที่ สี จิ้นผิง พูดกับผู้นำทั้ง 3 ประเทศที่ไปเยือนรอบนี้ จะพบว่ามีเนื้อหาใกล้เคียงกัน นั่นคือ การบอกว่า จีนเป็นเพื่อนที่พึ่งพาได้ เชื่อถือได้ ไม่ข่มเหงรังแก และยังปกป้องโลกการค้าเสรีด้วย ซึ่งภาพลักษณ์เหล่านี้สวนทางกับบทบาทของรัฐบาลทรัมป์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งนี่อาจจะส่งผลกระทบต่ออิทธิพลของสหรัฐฯ ในระยะยาวก็เป็นได้

    เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตสินค้าหลายประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรัฐบาลทรัมป์ 1.0 เปิดศึกทางการค้ากับจีนเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ก็ทำให้บริษัทจากทั่วโลกจำนวนไม่น้อยย้ายฐานการผลิตมาที่ภูมิภาคนี้เพื่อผลิตและส่งออก ดังนั้น อาเซียนจึงเจอกับกำแพงภาษีสหรัฐฯ สูงลิบ ตั้งแต่ 10% ไปจนถึง 49% สำหรับกัมพูชา

    ในขณะที่อาเซียนส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ มูลค่ารวมหลายแสนล้านดอลลาร์ แต่ก็นำเข้าสินค้าจีนก้อนโตเช่นกัน โดยเมื่อปีที่แล้ว อาเซียนยังคงครองแชมป์นำเข้าสินค้าจีนสูงที่สุดในโลก ซึ่ง 5 ประเทศนี้ คือ 5 อันดับแรกที่นำเข้าสูงสุดในภูมิภาค เริ่มตั้งแต่ เวียดนาม มาเลเซีย ไทย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งจีนให้ความสำคัญมากทีเดียว

    การจัดทำเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2002 ซึ่งนำมาสู่การยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับจีน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน โดยปัจจุบัน มีความพยายามในการปรับปรุงข้อตกลงให้ทันสมัยและสอดรับกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะเน้นที่การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล พัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว ปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน และแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี

    การเดินทางเยือนสามประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งนี้ จึงถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของจีนด้านนโยบายต่างประเทศ ที่เรียกว่า ‘ยุทธศาสตร์โปรยเสน่ห์’ ที่ทำให้หลายประเทศรู้สึกประทับใจจีนมากขึ้น และที่สำคัญในช่วงเวลาที่หลายประเทศกำลังจะไปเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ การที่เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา เพิ่งจะต้อนรับการมาเยือนของ สี จิ้นผิง จะทำให้สามประเทศนี้มีข้อได้เปรียบในการไปต่อรองกับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เพราะมีจีนเป็นทางเลือกในการทำการค้าแทนที่สหรัฐฯ

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : จับตาศึกยก 2 สังเวียนการค้าโลก

คุยกัน7วันหน : จับตาศึกยก 2 สังเวียนการค้าโลก

คุยกัน7วันหน : จับตาศึกยก 2 สังเวียนการค้าโลก

วันอาทิตย์ ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2568, 07.15 น.

            การตอบโต้กันทางภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน สร้างความกังวลไปทั่วโลก ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนมองว่ามาตรการทางภาษีของทรัมป์อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย

            ล่าสุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 เม.ย.) กระทรวงการคลังจีนออกแถลงการณ์ว่า จีนจะขึ้นภาษีศุลกากรกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐเป็นร้อยละ 125 และว่าการที่สหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีสูงผิดปกติกับจีนได้ละเมิดระเบียบการค้าทางเศรษฐกิจและสากล กฎหมายเศรษฐกิจพื้นฐาน และสามัญสำนึก และเป็นการข่มเหงและข่มขู่แต่ฝ่ายเดียวอย่างสิ้นเชิง

            จีนแถลงเรื่องนี้หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศชะลอการเก็บภาษีรายประเทศในอัตราตั้งแต่ร้อยละ 11 ไปจนถึงร้อยละ 50 ออกไปอีก 90 วัน ยกเว้นจีนที่ถูกเก็บในอัตราร้อยละ 125 ก่อนที่ทำเนียบขาวจะชี้แจงในภายหลังว่า จีนถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีในอัตรารวมทั้งหมดร้อยละ 145

            ขณะเดียวกัน โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีนเปิดเผยว่า จีนจะให้ความช่วยเหลือบริษัทการค้าระหว่างประเทศของจีนที่กำลังเผชิญความท้าทายด้านการส่งออก ให้หันมาสำรวจตลาดภายในประเทศแทน สหรัฐใฯ ช้มาตรการภาษีกับจีนอย่างเกินขอบเขต ซึ่งละเมิดสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของจีนอย่างรุนแรง ขัดขวางการค้าทวิภาคี และส่งผลกระทบต่อบริษัทการค้าระหว่างประเทศของจีน ดังนั้น จีนจะมุ่งจัดการกิจการภายในของตนให้ดี และใช้ความแน่นอน ภายในประเทศปกป้องความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมภายนอก

            ในส่วนของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ก็ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นครั้งแรก โดยบอกเพียงสั้น ๆ ว่า ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้า และการทำตัวต่อต้านโลก มีแต่จะทำให้ตัวเองต้องโดดเดี่ยว และว่าตลอด 70 ปีที่ผ่านมา การพัฒนาของจีนอาศัยการพึ่งพาตัวเองและทำงานหนัก ไม่เคยยื่นมือรับความช่วยเหลือจากใคร จีนไม่หวาดกลัวต่อการกดขี่ที่ไม่เป็นธรรม ไม่ว่าสภาพแวดล้อมภายนอกจะเปลี่ยนไปอย่างไร จีนจะยังคงมั่นใจ ตั้งใจ และมุ่งมั่นในการจัดการปัญหาได้อย่างดี

            สังเวียนการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนครั้งนี้ ถือเป็นยกที่ 2 ที่ดุเดือดและรุนแรงกว่ายกแรกเป็นอย่างมาก โดยในยกแรก รัฐบาลทรัมป์ 1.0 บังคับใช้มาตรการกำแพงภาษีกับจีนทั้งหมด 5 ระลอก เริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค. 2018 หรือ 1 ปีครึ่งหลังโดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งผู้นำประเทศ

            ก่อนที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะลงนามในข้อตกลงการค้าเฟส 1 ในเดือน ม.ค. 2020 และเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆ แต่ข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้ถูกนำมาบังคับใช้อย่างครบถ้วน เนื่องจากเกิดวิกฤตโควิด-19 เสียก่อน

            ตลอดระยะเวลาประมาณ 17 เดือนของสงครามการค้ายกแรก สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าตั้งแต่ 10% ไปจนถึง 25% ในสินค้าหลายประเภทจากจีน กระทบกับสินค้าจีนกว่า 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่จีนเดินเกมโต้กลับกำแพงภาษีสหรัฐฯ ทุกระลอกเช่นกัน กระทบกับสินค้าอเมริกันประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

            ข้อมูลจากสถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศในสหรัฐฯ ระบุว่า ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ 1.0 ครบวาระ สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเฉลี่ยอยู่ที่ 19.3% ซึ่งรัฐบาลสมัยต่อมาในยุค โจ ไบเดน ยังคงบังคับใช้มาตรการภาษีเดิมกับจีนและเพิ่มมาตรการใหม่ด้วย ทำให้อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 20.8%

            จุดนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า จริงๆ แล้ว จีนอาจเตรียมตัวรับมือกับสงครามการค้ายกนี้มาล่วงหน้าแล้วหรือไม่ เพราะมองในด้านหนึ่ง การค้าระหว่าง 2 ประเทศไม่ได้ฟื้นตัวกลับมาเหมือนในอดีต ขณะที่จีนมีการค้ากับสหรัฐฯ คิดเป็นประมาณ 2% ของ GDP ทั้งประเทศเท่านั้น รวมทั้งยังเปิดตลาดใหม่ๆ ในหลายประเทศและเพิ่มการซื้อขายในตลาดของตัวเอง

            ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ของทรัมป์ยืนกรานว่า มาตรการภาษีที่ดำเนินการมาเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว พร้อมชื่นชมการหารือกับหลายประเทศเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าใหม่ ซึ่งรัฐบาลกล่าวว่า จะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ของตน

            อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า การขึ้นภาษีตอบโต้กันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะทำให้การค้าสินค้าระหว่างสองประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก เป็นไปไม่ได้ โดยมูลค่าการค้าดังกล่าวในปี 2024 อยู่ที่มากกว่า 650,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แน่นอนว่า ทุกฝ่ายหวังว่าสหรัฐฯ และจีนจะหาทางออกร่วมกันด้วยการเจรจา แต่ว่าทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ และสีจิ้นผิง ยังไม่ได้มีการติดต่อพูดคุยกันว่าจะแก้ไขปัญหานี้ร่วมกันได้อย่างไร ซึ่งเจ้าหน้าที่ของทำเนียบข่าวสองคนได้ให้ข้อมูลกับ CNN ว่า ทางสหรัฐฯ จะไม่เป็นฝ่ายติดต่อจีนก่อน ถ้าหากว่าทางจีนอยากจะเจรจาเรื่องนี้ ฝ่ายจีนจะต้องเป็นฝ่ายติดต่อสหรัฐฯ เข้ามาเอง ซึ่งทางจีนเองก็ไม่ได้แสดงสัญญาณที่จะเป็นฝ่ายติดต่อสหรัฐฯไปก่อน เพราะนักวิเคราะห์มองว่า หากฝ่ายไหนยอมเป็นฝ่ายขอเจรจาก่อน อาจจะถูกมองว่าเป็นฝ่ายที่อ่อนแอกว่า และจะทำให้กลายเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบในการเจรจา           

            ที่ผ่านมา โลกเผชิญกับสงครามการค้าครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง รวมถึงสงครามฝิ่นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โดยจักรวรรดิอังกฤษบังคับให้จีนเปิดตลาดให้พ่อค้าอังกฤษนำฝิ่นอินเดียเข้ามาขาย ก่อนจะลามไปถึงการเข้าปกครองเกาะฮ่องกง เปิดท่าเรือรับการค้าโลกและจำกัดภาษีศุลกากรที่ 5%

            ขณะที่ในปี 1930 สหรัฐฯ ผ่านกฎหมาย “สมูท-ฮอว์ลีย์” ซึ่งทำให้มีการบังคับใช้กำแพงภาษีนำเข้าเกือบ 60% กับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม ส่งผลให้ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ที่นำโดยแคนาดา ตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษี จนทำให้การส่งออกของสหรัฐฯ หดตัวลงมากกว่า 60% ระหว่างปี 1929-1933

            สงครามพาสตาในปี 1985 เกิดขึ้นหลังจาก โรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น ต้องการปกป้องอุตสาหกรรมอเมริกัน จึงขึ้นภาษีนำเข้าพาสตาจากยุโรป ขณะที่ยุโรปตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีถั่วและเลมอนจากสหรัฐฯ ก่อนจะบรรลุข้อตกลงกันได้หลังทำศึก 9 เดือน

            ในอดีต องค์การการค้าโลก หรือ WTO เข้ามามีบทบาทในการยุติข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศอยู่หลายครั้ง แต่ปัจจุบัน WTO กำลังถูกตั้งคำถามว่าเป็นเพียงแค่เสือกระดาษที่ขู่ใครไม่ได้หรือไม่ หลังจากจีนและหลายชาติทำหนังสือร้องเรียนในประเด็นกำแพงภาษีของสหรัฐฯ แต่ WTO ก็ยังทำอะไรไม่ได้ อีกทั้งผู้นำสหรัฐฯ ยังเคยขู่ถอนตัวออกจากกลุ่มความร่วมมือนี้หลายครั้ง

            หากนักการเมืองอเมริกันขับเคลื่อนนโยบายตามการสนับสนุนของฐานเสียง ก็อาจจะได้เห็นมาตรการกำแพงภาษีของทรัมป์บังคับใช้ต่อไป ขณะที่ผลสำรวจความเห็นล่าสุดของ Reuters/Ipsos ชี้ว่า ชาวรีพับลิกันเกือบ 3 ใน 4 สนับสนุนมาตรการนี้ ซึ่งก็มีชาวอเมริกันอีกมากที่เห็นด้วยกับทรัมป์ว่าประเทศคู่ค้าฉวยโอกาสจากสหรัฐฯ จริงๆ

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : มิน อ่อง หล่าย เยือนไทย ประชุม BIMSTEC ‘ได้หรือเสีย’

คุยกัน7วันหน : มิน อ่อง หล่าย เยือนไทย  ประชุม BIMSTEC ‘ได้หรือเสีย’

คุยกัน7วันหน : มิน อ่อง หล่าย เยือนไทย ประชุม BIMSTEC ‘ได้หรือเสีย’

วันอาทิตย์ ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2568, 06.47 น.

นับตั้งแต่กองทัพเมียนมาก่อรัฐประหารเมื่อ 4 ปีที่แล้ว การเดินทางเยือนต่างประเทศของพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้ง หลักๆ คือการไปเยือนรัสเซีย จีน และเบลารุส หลังจากเมียนมาถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก แต่ไทยถือเป็นชาติแรกในอาเซียนที่เปิดบ้านรับการมาเยือนของผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอด ผู้นำความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ หรือ BIMSTEC ครั้งที่ 6 ที่กรุงเทพฯ เป็นเจ้าภาพ ซึ่งจบลงไปแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบวิสัยทัศน์ฉบับแรกในประวัติศาสตร์ของ BIMSTEC

ผู้นำที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ประกอบด้วย ศาสตราจารย์ มูฮัมหมัด ยูนุส ประธานคณะที่ปรึกษารัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ, ดาโช เชริง โตบเกย์ นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน, นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย, พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ประธานสภาบริหารแห่งรัฐ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา, เค พี ศรรมะ โอลี นายกรัฐมนตรีแห่งเนปาลและ ดร.หริณี อมรสุริยะ นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา

ก่อนการประชุมผู้นำ BIMSTECจะเริ่มต้นขึ้น แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และนายกรัฐมนตรีเมียนมาได้พบหารือทวิภาคีกัน โดย พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ได้กล่าวแสดงความซาบซึ้งและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานสิ่งของแก่ประชาชนเมียนมา ซึ่งได้จัดส่งถึงเมียนมาแล้วเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา

ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือครอบคลุมความร่วมมือด้านการป้องกันพิบัติภัย ทั้งภัยธรรมชาติ และภัยจากมนุษย์ ตามแผนการ “ยุทธศาสตร์ฟ้าใส” เพื่อยกระดับการป้องกันและแก้ไขไฟป่า ฝุ่นละออง และหมอกควันระหว่างกัน ตลอดจนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมระหว่างสองประเทศ รวมทั้งอาชญากรรมข้ามพรมแดน ยาเสพติด และการลักลอบการค้าที่ผิดกฎหมายโดยเฉพาะความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์ รวมทั้งประสานเหยื่อผู้ถูกหลอกลวงกลับประเทศ ซึ่งมาตรการที่เด็ดขาดของประเทศไทย ทำให้การส่งข้อความและการโทรศัพท์หลอกลวง ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ผู้นำทั้งสองยังเห็นพ้องให้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพ โดยเมียนมาขอบคุณไทยที่เชิญเมียนมาเข้าร่วมหลักสูตรการศึกษาของกองทัพเพื่อการพัฒนา เมียนมาเห็นด้วยกับข้อริเริ่มของไทยที่จะ “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” อย่างในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรี พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ

ไทยยังขอเมียนมาให้มีความเข้มงวดต่อการข้ามแม่น้ำเมย และทั้งสองฝ่ายหารือสกัดกั้นช่องทางการลักลอบสินค้า อุปกรณ์ บุคคล สารตั้งต้นยาเสพติด และอาวุธผิดกฎหมาย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังชี้แจงว่า การที่ผู้นำทุกประเทศสมาชิกได้เข้าร่วมประชุมด้วยตนเอง สะท้อนถึงการยึดมั่นในพันธสัญญาที่ทุกประเทศมีร่วมกันในฐานะสมาชิก เช่นกันกับ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทยก็ตอบสื่อมวลชนด้วยว่า เป็นภาระหน้าที่ของไทยตามกฎบัตรบิมสเทค ที่จะต้องเชิญผู้นำทุกประเทศสมาชิก รวมถึงเมียนมา เข้าร่วมการประชุมที่ไทยเป็นเจ้าภาพอีกครั้ง โดยไม่มีการหารือถึงประเด็นภายในประเทศเมียนมาแต่อย่างใด

BIMSTEC ก่อตั้งขึ้นในปี 2540 เป็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศแถบอ่าวเบงกอล 7 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย เนปาล ภูฏาน บังกลาเทศ ศรีลังกา เมียนมา และไทย ครอบคลุมประชากรประมาณ 1,800 ล้านคน หรือคิดเป็นประมาณ 22% ของประชากรโลกและมี GDP รวมกันแตะ 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

การประชุม BIMSTEC จัดขึ้นไม่ถึง 1 สัปดาห์ นับตั้งแต่เกิดภัยพิบัติใหญ่ซึ่งชาติสมาชิก BIMSTEC แต่ละประเทศ ต่างสนับสนุนความช่วยเหลือให้กับเมียนมาในยามวิกฤต ทั้งส่งทีมกู้ภัยและสิ่งของบรรเทาทุกข์ต่างๆ โดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งถือเป็นชาติแรกๆ ที่ส่งความช่วยเหลือไปให้กับเมียนมา

หากสังเกตความเคลื่อนไหวในเมียนมาตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว แม้ว่าผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาจะเห็นชอบในฉันทามติ 5 ข้อ ระหว่างการประชุมอาเซียนนัดพิเศษที่กรุงจาการ์ตาเพียง 2 เดือนกว่าๆ หลังก่อรัฐประหาร แต่ต้องใช้เวลาเกือบ 3 ปีกว่าที่เมียนมาจะเริ่มหันหน้าเข้าหาอาเซียนและประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากเพลี่ยงพล้ำในสมรภูมิรบจากปฏิบัติการ 1027 ของกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ เมื่อปี 2566

ขณะที่ปี 2567 ถือเป็นปีที่รัฐบาลทหารเมียนมาเดินเครื่องเต็มสูบในการจัดการเลือกตั้ง เพื่อสร้างความชอบธรรม เริ่มตั้งแต่การยอมผ่อนคลายระเบียบพรรคการเมือง และเริ่มสำรวจสำมะโนประชากร เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาจัดทำรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ก่อนที่ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาจะประกาศเมื่อเดือนมี.ค. ว่า ต้องการจัดการเลือกตั้ง
ทั่วไปในเดือนธ.ค.นี้ หรืออย่างช้า คือเดือนม.ค. 2569

ภาพรวมสถานการณ์สู้รบในเมียนมาและความเคลื่อนไหวบนเวทีนอกประเทศของรัฐบาลทหารก่อนหน้านี้สะท้อนว่า มีความพยายามในการปูทางเพื่อจัดการเลือกตั้งขึ้นมาสักระยะหนึ่งแล้ว รวมถึงการประชุมอาเซียนนัดแรกที่ลังกาวี เมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเมียนมาใช้เป็นเวทีในการย้ำถึงความต้องการในการจัดการเลือกตั้ง

แต่ขณะนั้น อาเซียนยังยืนยันว่า การเลือกตั้งไม่ใช่ประเด็นสำคัญอันดับแรก แต่เป็นเรื่องของการหยุดยิงและทุกฝ่ายยอมยุติการสู้รบ ดังนั้นการเดินทางมาไทยของพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย อาจช่วยเปิดพื้นที่ของรัฐบาลทหารเมียนมา ในการแสดงจุดยืนเรื่องการจัดเลือกตั้ง และเรียกเสียงสนับสนุนด้วยหรือไม่

ขณะที่ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ รัฐมนตรีต่างประเทศไทยและมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เตรียมเดินทางเยือนเมียนมา เพื่อติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในพื้นที่ประสบภัยด้วย

หลายคนจับตามองว่า การเปิดบ้านรับการมาเยือนของพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นข้อครหาว่าเป็นการช่วยฟอกตัว เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลทหารเมียนมาบนเวทีโลกด้วยหรือไม่

โดย ดาโน โทนาลี