คุยกัน7วันหน : 5 เรื่องควรรู้ แชทหลุดสะเทือนทำเนียบขาว

คุยกัน7วันหน : 5 เรื่องควรรู้  แชทหลุดสะเทือนทำเนียบขาว

คุยกัน7วันหน : 5 เรื่องควรรู้ แชทหลุดสะเทือนทำเนียบขาว

วันอาทิตย์ ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2568, 07.15 น.

ทำเนียบขาวสะเทือนจากเหตุ “กรุ๊ปแชท” หลุด มีการเชิญสื่อมวลชนซึ่งเป็นคนนอกเข้าร่วมกลุ่มพูดคุยเรื่องแผนปฏิบัติการทางทหารระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาว ที่ควรจะเป็นความลับขั้นสุดยอด จนรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าหละหลวมเรื่องการป้องกันข้อมูลลับ

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากเจฟฟรีย์ โกลด์เบิร์ก บรรณาธิการบริหารของสื่อนิตยสาร The Atlantic เปิดเผยผ่านบทความของเขาที่มีชื่อว่า “รัฐบาลทรัมป์พลาดส่งข้อความแผนทำสงครามมาให้ผม” (The Trump Administration Accidentally Texted Me Its War Plans) เมื่อวันที่ 24 มีนาคม โดยเล่าว่า เขาถููกเชิญเข้าร่วมกลุ่มสนทนาในกลุ่มสนทนาชื่อ Houthi PC small group ผ่านแอปพลิเคชั่นส่งข้อความ Signal อย่างไม่คาดหมาย โดยบัญชีที่ใช้ชื่อของไมเคิล วอลทซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม หรือ 2 วันก่อนหน้าที่สหรัฐฯ จะเริ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศกลุ่มฮูตีในเยเมน ในกลุ่มสนทนาดังกล่าว ประกอบด้วย บัญชีที่ใช้ชื่อของเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดด้านความมั่นคงหลายคนในรัฐบาลทรัมป์ ตั้งแต่รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์, มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ, จอห์น แรตคลิฟฟ์ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางแห่งชาติ หรือซีไอเอ, ทัลซี แกบบาร์ดผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ, สก็อต เบสเซนท์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ, ซูซี ไวล์ส หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว และเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ อีกหลายคน แต่ว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้อยู่ในกรุ๊ปแชทด้วย

การได้เข้าร่วมกลุ่มสนทนาดังกล่าว ทำให้โกลด์เบิร์กได้เห็น ไมเคิล วอลทซ์ มอบหมายภารกิจให้แก่ อเล็กซ์ หว่อง รองที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ จัดตั้งทีมที่มีชื่อว่า tiger team ทำหน้าที่ประสานปฏิบัติการโจมตีฮูตี และไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าสหรัฐฯ เริ่มถล่มฮูตีเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ได้พิมพ์ข้อความแชทลงในกลุ่มสนทนาดังกล่าว เปิดแผนปฏิบัติการถล่มฮูตีอย่างละเอียด ซึ่งมีทั้งเป้าหมายต่างๆ ของฮูตีที่จะถูกโจมตี อาวุธที่สหรัฐฯ จะใช้ และช่วงเวลาที่จะลงมือ โกลด์เบิร์กไม่ได้โต้ตอบหรือมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับแชทต่างๆ ที่มีการพูดคุยกันในกลุ่ม นอกจากอ่านและเก็บข้อมูล ก่อนจะออกจากกรุ๊ปแชทเองอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครรู้

แล้วเราได้รู้อะไรบ้าง จากเหตุการณ์นี้

อะไรคือ Signal

Signal เป็นแอปพลิเคชั่นส่งข้อความและโทรศัพท์ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยเป็นหลัก ใช้การเข้ารหัสแบบต้นทางถึงปลายทาง(end-to-end encryption) ซึ่งหมายความว่ามีเพียงผู้ส่งและผู้รับเท่านั้นที่สามารถอ่านข้อความหรือฟังการโทรได้ แอปนี้เก็บข้อมูลผู้ใช้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยส่งข้อความ, ข้อความเสียง, รูปภาพ, วีดีโอ และไฟล์ต่างๆ ได้ฟรี โทรเสียงและวีดีโอคอลได้ฟรี สามารถสร้างกลุ่มสนทนาได้ ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในแอปส่งข้อความที่ปลอดภัยที่สุด

เจดี แวนซ์ ไม่เชื่อใจทรัมป์

ในส่วนของรายละเอียดปฏิบัติการโจมตี โกลด์เบิร์ก บอกว่า บัญชีที่ใช้ชื่อว่าเจดี แวนซ์ บอกว่าเรากำลังทำพลาด เพราะแวนซ์เห็นว่า การโจมตีกลุ่มฮูตีที่จ้องเล่นงานเรือพาณิชย์ในคลองสุเอซและทะเลแดงนั้น จะส่งผลดีต่อยุโรปมากกว่า เนื่องจากเรือของยุโรปใช้เส้นทางดังกล่าวสัญจรมากถึงร้อยละ 40 แต่มีเรือของสหรัฐฯ ใช้เส้นทางเดินเรือนี้เพียงร้อยละ 3 เท่านั้น แวนซ์คิดว่าทรัมป์น่าจะตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องนี้ และเชื่อว่าหลังจากนี้ อาจได้เห็นราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งทะยานอย่างมาก โกลด์เบิร์กบอกด้วยว่า แวนซ์พร้อมที่จะเห็นชอบกับการตัดสินใจของเสียงส่วนใหญ่ แต่ส่วนตัวแล้ว เขาอยากให้เลื่อนการโจมตีออกไปอีก 1 เดือนมากกว่า

อย่างไรก็ดี โกลด์เบิร์กได้รับข้อความจากโฆษกของแวนซ์ในภายหลังที่ยืนยันว่าทรัมป์และแวนซ์หารือถึงเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน และเห็นพ้องต้องกันทุกประการ ไม่มีความขัดแย้งใดๆ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่เห็นด้วยกับประธานาธิบดีในประเด็นด้านต่างประเทศ ก่อนหน้านี้ดิ๊ก เชนีย์ ก็เคยขัดแย้งอย่างรุนแรงกับ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในช่วงท้ายของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เกี่ยวกับเรื่องสงครามอิรัก ขณะที่ โจ ไบเดน ก็เชื่อว่าการที่ บารัค โอบามา สั่งให้ปฏิบัติการลับเพื่อสังหาร อุซามะห์ บิน ลาดิน นั้นสุ่มเสี่ยงเกินไป

ต่อว่ายุโรป เป็นพวก ‘นั่งฟรี’

ตามความเห็นของโกลด์เบิร์ก เจดี แวนซ์ ยังคงดูไม่สบอารมณ์นักกับประเด็นที่ว่า สหรัฐฯ ควรที่จะเปิดฉากโจมตีกลุ่มฮูตีในเยเมนหรือไม่ เขาแชทกับเฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมว่า ถ้าคิดว่าควรเดินหน้าก็ลุยเลย แต่เขาไม่ชอบที่เห็นยุโรปได้ประโยชน์จากเรื่องนี้อีกแล้ว ซึ่งเฮกเซธก็บอกว่า เขาเห็นด้วยกับเรื่องนี้

สมาชิกในกรุ๊ปแชทอีกคน ที่ใช้ชื่อว่า SM บอกว่าหลังจากโจมตีกลุ่มฮูตีแล้ว สหรัฐฯ ควรทำให้อียิปต์และยุโรปเห็นว่า ต้องตอบแทนสหรัฐฯ ในเรื่องนี้เพราะถ้าสหรัฐฯ มีส่วนช่วยให้การเดินเรือในทะเลแดงกลับมาเสรีและปลอดภัยอีกครั้ง โดยที่ต้องลงทุนไปมหาศาลแล้ว สหรัฐฯ ก็ควรที่จะได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้กลับมาคืนมาบ้าง

ผิดพลาด เลินเล่อร้ายแรง

โกลด์เบิร์กยอมรับว่า ตกใจมากที่ได้เห็นเเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งข้อความหากันว่ามีแผนจะโจมตีข้าศึกศัตรูอย่างไรบ้าง เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเป็นความผิดพลาดร้ายแรงของระบบการสื่อสารที่ควรจะเป็นความลับขั้นสุดยอด แต่กลับมีการส่งคำเชิญให้คนภายนอกเข้าร่วมกลุ่มในตอนแรกที่โกลด์เบิร์กเห็นข้อมูลเหล่านี้เขารู้สึกเสียวสันหลังทันที เพราะถ้าหากข้อมูลเหล่านี้หลุดรอดไปยังประเทศที่เป็นคู่แข่งกับสหรัฐฯ แน่นอนว่าจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ทั้งต่อกองทัพและทหารสหรัฐฯ การที่กรุ๊ปแชทของเจ้าหน้าที่ในรัฐบาล ที่มีแต่บุคคลตำแหน่งสำคัญ และล้วนเป็นคนวงในที่ใกล้ชิดกับทรัมป์ทั้งนั้นหลุดออกไป มีการเชิญคนที่ไม่เกี่ยวข้องให้เข้าไปอยู่ในกรุ๊ปแชทไปส่องดูได้ว่าคนในรัฐบาลเคุยอะไรกันบ้าง ถือเป็นความผิดพลาดด้านการเก็บรักษาข้อมูลที่ร้ายแรง

นอกจากนี้ กฎหมายของสหรัฐฯ ก็ระบุไว้ด้วยกว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล เวลาที่จะสื่อสารกัน โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคง จะต้องพูดคุยกันในห้องทำงาน หรือห้องประชุมในอาคารของรัฐบาล เช่น ทำเนียบขาว หรือกระทรวงต่างๆ ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วในเรื่องของความปลอดภัย ว่าไม่มีการติดตั้งเครื่องดักฟังอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้มีข้อมูลรั่วไหล หากเป็นการพูดคุยกันผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น การส่งอีเมลหรือการส่งข้อความ ก็จะต้องทำผ่านแอปพลิเคชั่นที่ทำเนียบขาวให้การรับรองแล้วเท่านั้น จะใช้แอปพลิเคชั่นส่งข้อความภายนอก อย่างไลน์ หรือวอทส์แอปส่งข้อความหากันเองไม่ได้เด็ดขาด หากจะใช้อีเมล ก็จะต้องใช้อีเมลที่เป็นอีเมลทางการของทำเนียบขาวเท่านั้น เพราะจะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนามากๆ

ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง

หลังจากเป็นข่าว คนในทำเนียบขาวพยายามออกมาลดกระแสความไม่พอใจและยืนยันว่าไม่มีข้อมูลลับใดๆ หลุดออกไประหว่างการพูดคุยกันในกรุ๊ปแชท เฮกเซธปฏิเสธว่า เขาไม่ได้ส่งข้อความเผยข้อมูลลับแผนโจมตีฮูตีแต่อย่างใด แถมยังพยายามดิสเครดิตโกลด์เบิร์ก ว่าเป็นนักข่าวที่ปลิ้นปล้อน และเขียนข่าวหลอกลวง เช่นเดียวกับทรัมป์ ที่แม้ไม่ได้อยู่ในกรุ๊ปแชทแต่ก็ยืนยันว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้ แม้ข้อความในกรุ๊ปแชทจะเป็นของจริง แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องราวเสียหายใหญ่โต สำหรับเขาแล้ว มองว่านี่เป็นแค่เรื่องผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีใครออกมาขอโทษ

อย่างไรก็ดี เรื่องนี้แสดงให้เห็นแล้วว่ามัน “ใหญ่โต” และส่งผลกระทบเป็นวงกว้างกว่าที่คิด เพราะมันสะท้อนว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีปัญหาในเรื่องความรัดกุมของการปกป้องข้อมูลลับแบบนี้บ่อยครั้ง อย่างตอนที่ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ก็เคยโดนวิจารณ์เรื่องเอาข้อมูลลับกลับมาที่บ้าน หรือ ฮิลลารี คลินตัน ก็เคยมีข่าวว่าใช้อีเมลส่วนตัว ส่งข้อความ ส่งเอกสาร สมัยที่เธอเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งก็ทำให้เธอถูกโจมตีว่ามีความหละหลวมและทำให้เกิดความเสี่ยงที่ข้อมูลสำคัญจะรั่วไหลไปยังบุคคลภายนอก และพรรครีพับลิกันก็หยิบยกเรื่องนี้มาโจมตีเดโมแครตตลอด ว่าไม่ใส่ใจปกปิดข้อมูลลับ แต่ครั้งนี้กลับใช้กรุ๊ปแชทในการส่งข้อมูลสำคัญ แล้วรั่วไหลถึงคนภายนอกเสียเอง

แน่นอนว่าเรื่องนี้ กำลังทำให้รัฐบาลทรัมป์ตกเป็นเป้าวิจารณ์อย่างหนักมีการเรียกร้องจากกลุ่มสมาชิกสภาคองเกรสโดยเฉพาะ สส. ของพรรคเดโมแครต บอกว่า ต้องมีใครสักคนลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ ไมเคิล วอลทซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ คนสนิทของทรัมป์ ที่ดึงนักข่าวที่เป็นคนนอกเข้ากลุ่มแชทสำคัญแบบไม่ดูตาม้าตาเรือส่วน สส. ของพรรครีพับลิกันหลายคนก็บอกว่าเป็นห่วงว่าเรื่องที่เกิดขึ้น จะทำให้ประชาชนสูญเสียความมั่นใจในเรื่องการทำงานของรัฐบาล อีกทั้งความผิดพลาดในเรื่องนี้ อาจกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการหรือส่งต่อข้อมูลที่อ่อนไหวและมีความสำคัญ

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : ฟินแลนด์แสนฟิน! แชมป์ประเทศมีความสุขที่สุดในโลก 8 ปีซ้อน

คุยกัน7วันหน : ฟินแลนด์แสนฟิน!  แชมป์ประเทศมีความสุขที่สุดในโลก 8 ปีซ้อน

คุยกัน7วันหน : ฟินแลนด์แสนฟิน! แชมป์ประเทศมีความสุขที่สุดในโลก 8 ปีซ้อน

วันอาทิตย์ ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2568, 06.45 น.

หากพูดถึงประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก หลายคนก็ต้องนึกถึงฟินแลนด์ เพราะได้รับการจัดอันดับให้ได้ที่ 1 ในเรื่องนี้ติดกันหลายปีแล้ว และการจัดอันดับในปีนี้ ฟินแลนด์ก็ยังคงได้ที่ 1 อยู่ ทำให้ฟินแลนด์กลายเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกติดต่อกัน8 ปี ในรายงานความสุขโลก (World Happiness Report) ประจำปี 2025 โดยมีคะแนนนำหน้าคู่แข่งอย่างเดนมาร์ก (อันดับ 2) ไอซ์แลนด์ (อันดับ 3) และสวีเดน (อันดับ 4) ซึ่งทั้งหมดยังคงรักษาลำดับเดิมจากปีที่แล้ว ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น นอร์เวย์ตามมาในอันดับที่ 7 ทั้งหมดล้วนเป็นประเทศที่มาจากแถบนอร์ดิก หรือยุโรปเหนือทั้งสิ้น

รายงานนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Gallup, Oxford Wellbeing Research Centre, UN Sustainable Development Solutions Network และคณะบรรณาธิการ เผยแพร่เพื่อเฉลิมฉลองวันสหประชาชาติว่าด้วยความสุขสากล ซึ่งตรงกับวันที่ 20 มี.ค.ของทุกปี

ความสำเร็จของกลุ่มประเทศนอร์ดิกนี้ ได้รับการยกย่องจากระบบสวัสดิการที่แข็งแกร่งและครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงสาธารณสุขที่มีคุณภาพสูง การศึกษาฟรี และการสนับสนุนทางสังคมที่ทั่วถึง รวมถึงระดับความเหลื่อมล้ำด้านความเป็นอยู่ที่ต่ำมาก อีกทั้งพร้อมไปด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบมาเพื่อดูแลประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม

จอห์น เฮลลิเวลล์ บรรณาธิการผู้ก่อตั้งรายงานและศาสตราจารย์กิตติคุณด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย กล่าวเสริมว่า ความไว้วางใจและพฤติกรรมของประชาชนมีบทบาทสำคัญไม่แพ้ระบบสวัสดิการ เขายกตัวอย่างว่า การมีรัฐสวัสดิการ ไม่ได้ช่วยตามหาและคืนกระเป๋าสตางค์ที่หายไปให้เจ้าของ แต่ความเอื้อเฟื้อและใส่ใจต่อกันในสังคมต่างหาก ที่ช่วยให้กระเป๋าสตางค์กลับคืนสู่เจ้าของ

เฮลลิเวลล์ยังชี้ว่าความสามัคคีที่เกิดจากประวัติศาสตร์ เช่น สงครามฤดูหนาว (Winter War) ปี1939-1940 ระหว่างฟินแลนด์และสหภาพโซเวียต ซึ่งถึงแม้ฟินแลนด์จะไม่ชนะ แต่กลับสร้างความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวและความไว้วางใจในหมู่ประชาชนที่ยังคงส่งผลดีมาถึงปัจจุบัน รวมถึงทัศนคติที่ไม่หมกมุ่นกับวัตถุนิยมและการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมากกว่าสิ่งของ ก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่ทำให้ฟินแลนด์ครองอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง

รายงานความสุขโลกฉบับนี้จัดทำจากข้อมูล Gallup World Poll ซึ่งสำรวจความเห็นจากผู้คนในกว่า 140 ประเทศ โดยวัดความสุขจากคะแนนการประเมินชีวิตโดยเฉลี่ยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2022-2024) และวิเคราะห์ผ่าน 6 ตัวแปรหลัก ได้แก่ GDP ต่อหัว,การสนับสนุนทางสังคม, อายุขัยที่มีสุขภาพดี, เสรีภาพในการเลือกชีวิต, ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, และการรับรู้ถึงการทุจริตในสังคม

นอกเหนือจากความสำเร็จของกลุ่มนอร์ดิกแล้ว รายงานปี 2025 ยังเผยความก้าวหน้าที่น่าสนใจของ 2 ประเทศจากภูมิภาคละตินอเมริกา คอสตาริกาคว้าอันดับ 6 และเม็กซิโกก้าวสู่อันดับ 10 ซึ่งทั้งคู่ติด 10 อันดับแรกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของรายงาน รอน-เลวีย์ อธิบายว่า ความสำเร็จนี้เกิดจาก “เครือข่ายสังคมที่แข็งแกร่ง” รวมถึงการมองโลกในแง่ดีต่อทิศทางของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในผู้นำและสถาบันต่างๆ ของทั้ง 2 ประเทศ

ในส่วนของสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ด้านความสุข โดยรั้งอันดับที่ 24 ในการจัดอันดับปีนี้นับเป็นอันดับต่ำสุดเท่าที่เคยบันทึกมาในประวัติศาสตร์ของรายงานฉบับนี้ หลังจากหลุดจาก 20 อันดับแรกเมื่อปีที่แล้ว

อิลานา รอน-เลวีย์ กรรมการผู้จัดการของ Gallup ชี้ว่า การลดลงของความสุขในสหรัฐฯ มีสาเหตุสำคัญมาจากคนหนุ่มสาวอายุต่ำกว่า 30 ปี รู้สึกแย่ลงเกี่ยวกับชีวิตของตนเองอย่างมาก พวกเขารายงานว่า รู้สึกได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนและครอบครัวน้อยลง มีเสรีภาพในการตัดสินใจชีวิตจำกัด และมองอนาคตด้านมาตรฐานการครองชีพในแง่ลบมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ความไว้วางใจในสังคมและสถาบันต่างๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งกลายเป็นเชื้อเพลิงให้เกิดความแตกแยกทางการเมือง การประท้วงต่อต้านระบบ และการลงคะแนนเลือกตั้งที่สะท้อนความไม่พอใจต่อสถานการณ์ปัจจุบัน

ปัญหาความสุขที่ลดลงไม่ได้จำกัดอยู่แค่สหรัฐฯ เท่านั้น ประเทศที่พูดภาษาอังกฤษอื่นๆ ก็เผชิญสถานการณ์คล้ายกัน สหราชอาณาจักรอยู่อันดับ 23โดยมีคะแนนการประเมินชีวิตเฉลี่ยต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมที่รุมเร้า

ขณะที่แคนาดา ซึ่งเคยอยู่ในกลุ่มผู้นำด้านความสุข อยู่อันดับ 18 ในปีนี้ แม้จะยังติด 20 อันดับแรก แต่ก็เผชิญกับแนวโน้มความสุขที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมารายงานฉบับนี้ระบุว่า ความซับซ้อนของตัวแปรที่ส่งผลต่อความสุข เช่น GDP ต่อหัว การสนับสนุนทางสังคม และการรับรู้ถึงการทุจริต ล้วนมีส่วนทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างประเทศที่เจริญแล้วและกำลังพัฒนา

สำหรับประเทศไทย รายงานระบุว่าอยู่อันดับที่ 49 จากทั้งหมด 143 ประเทศ อยู่ในระดับปานกลาง เป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากสิงคโปร์ (อันดับ 34) และเวียดนาม (อันดับ 46) ตามข้อมูลที่ปรากฏในโพสต์บน X ความสุขของไทยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆเช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชนที่แน่นแฟ้น แต่ยังถูกจำกัดด้วยความท้าทาย เช่น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมือง

ในอีกด้านหนึ่ง รายงานยังเปิดเผย 10 ประเทศที่มีความสุขน้อยที่สุดในโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่เผชิญกับความขัดแย้ง ความยากจน และความไม่มั่นคงทางการเมืองอย่างรุนแรง ดังนี้

เลโซโท (อันดับที่ 138)

คอโมโรส (อันดับที่ 139)

เยเมน (อันดับที่ 140)

สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (อันดับที่ 141)

บอตสวานา (อันดับที่ 142)

ซิมบับเว (อันดับที่ 143)

มาลาวี (อันดับที่ 144)

เลบานอน (อันดับที่ 145)

เซียร์ราลีโอน (อันดับที่ 146)

อัฟกานิสถาน (อันดับที่ 147)

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : สงครามภาษีถล่มโลก ทรัมป์ 2.0 จุดไฟสงครามเศรษฐกิจ

คุยกัน7วันหน : สงครามภาษีถล่มโลก ทรัมป์ 2.0 จุดไฟสงครามเศรษฐกิจ

คุยกัน7วันหน : สงครามภาษีถล่มโลก ทรัมป์ 2.0 จุดไฟสงครามเศรษฐกิจ

วันอาทิตย์ ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2568, 07.42 น.

หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา เขาได้ย้ำถึงนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) ที่เคยเป็นจุดขายหลักตั้งแต่ดำรงตำแหน่งสมัยแรก ทรัมป์ระบุชัดเจนว่า จะใช้มาตรการภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือหลัก ในการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ลดการขาดดุลการค้า และจัดการปัญหายาเสพติดกับผู้อพยพผิดกฎหมาย

ในวันเดียวกัน เขาเซ็นคำสั่งบริหารแรกในฐานะประธานาธิบดี โดยสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) จัดทำรายงานเกี่ยวกับนโยบายการค้าและข้อเสนอแนะเรื่องภาษีภายในวันที่ 1 เมษายน 2568 เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการดำเนินนโยบายต่อไป

จากนั้นเป็นต้นมา ทรัมป์เดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าอย่างดุเดือด เริ่มจากแคนาดา-เม็กซิโก 25% จีน 10-20% เหล็ก-อะลูมิเนียมทั่วโลก 25% และล่าสุดขู่เก็บ 200% กับไวน์-สุรายุโรป มาตรการเหล่านี้ สะท้อนถึงความเร่งด่วนของทรัมป์ในการเริ่มต้นนโยบายกีดกันทางการค้า ซึ่งชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายที่มุ่งเน้นการกดดันคู่ค้าหลักอย่าง จีน แคนาดา และเม็กซิโก รวมถึงสหภาพยุโรป ที่ทรัมป์มองว่า เอาเปรียบสหรัฐฯ ทางการค้ามาโดยตลอด

ติดตามไทม์ไลน์นโยบายขึ้นภาษีของทรัมป์ ที่กำลังจุดชนวนสงครามการค้าโลกให้ระอุอยู่ในขณะนี้

1 ก.พ. 2568 : ประกาศขึ้นภาษีรอบแรก

ทรัมป์ประกาศผ่านโฆษกทำเนียบขาว ว่า จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตราร้อยละ 25 และจากจีนร้อยละ 10 โดยใช้เหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ อ้างว่าการลักลอบนำเข้าเฟนทานิล และผู้อพยพผิดกฎหมายจากชายแดนเป็น “ภัยคุกคามฉุกเฉิน” ตามอำนาจของกฎหมายInternational Emergency Economic Powers Act (IEEPA) มาตรการนี้ถูกกำหนดให้มีผลทันทีในวันที่ 4 ก.พ. แต่หลังจากการเจรจาระดับสูงกับแคนาดาและเม็กซิโก ทั้ง 2 ประเทศได้รับการผ่อนผันชั่วคราว 30 วัน ขณะที่ภาษีจีนยังคงเริ่มตามกำหนด

การตัดสินใจนี้ส่งผลกระทบต่อสินค้าทุกประเภทจากจีน รวมถึงสินค้าอุปโภค-บริโภค เช่น อิเล็กทรอนิกส์และเสื้อผ้า ส่วนแคนาดาและเม็กซิโกได้รับคำมั่นว่าจะเพิ่มการควบคุมชายแดนเพื่อลดการไหลเข้าของยาเสพติด

-จัสติน ทรูโด อดีตนายกรัฐมนตรีของแคนาดา เรียกประชุมฉุกเฉินและประกาศแผนเก็บภาษีตอบโต้สินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 107,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจะทยอยบังคับใช้ เช่น เหล็กกล้า อะลูมิเนียม และสินค้าเกษตร

-ประธานาธิบดีม็กซิโก ออกคำแถลงว่าจะตอบโต้ในระดับที่เหมาะสม พุ่งเป้าไปที่สินค้าส่งออกหลักของสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพดและเนื้อหมู

-กระทรวงพาณิชย์จีนยื่นฟ้องต่อ WTO ทันที และเพิ่มภาษีสินค้าสหรัฐฯ เช่น ถ่านหินร้อยละ 15 ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ร้อยละ 15 และน้ำมันดิบร้อยละ 10มีผลตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา

27 ก.พ. 2568 : ทรัมป์ยันขึ้นภาษีแคนาดา-เม็กซิโก

ทรัมป์ยืนยันผ่านการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวว่าจะเดินหน้าภาษีร้อยละ 25 กับแคนาดาและเม็กซิโกตามกำหนดวันที่ 4 มี.ค. พร้อมเพิ่มภาษีจีนอีกร้อยละ10 (รวมเป็นร้อยละ 20) โดยระบุว่า “เราให้โอกาสแล้ว แต่พวกเขาไม่ทำตามสัญญาเรื่องชายแดน” การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังรายงานจากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิระบุว่าการลักลอบนำเข้าเฟนทานิลยังคงสูงเกินเป้าที่ตกลงไว้

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ผลักดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงหนัก โดยดัชนี S&P 500 ปิดลบร้อยละ 1.7 ซึ่งเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ ธ.ค. 2567 เนื่องจากความกังวลต่อต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้น

ส่วนแคนาดาเริ่มแคมเปญบอยคอตต์สินค้าสหรัฐฯ ในระดับประชาชนโดยเฉพาะสินค้าอย่าง โคคา-โคล่า สุรา ไวน์ เบียร์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ และผลิตภัณฑ์จากฟอร์ด

4 มี.ค. 2568 : ภาษีแคนาดา-เม็กซิโกมีผล

มาตรการขึ้นภาษีร้อยละ 25 กับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ตามเวลาสหรัฐฯ พร้อมกับภาษีจีนที่เพิ่มเป็นร้อยละ 20ส่งผลกระทบต่อสินค้ามูลค่ากว่า 900,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่น รถยนต์จากเม็กซิโกและน้ำมันจากแคนาดา มาตรการนี้ทำให้ราคาน้ำมันและสินค้าอุปโภคในสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นทันที โดยเฉพาะในรัฐที่พึ่งพาการนำเข้าจากทั้ง 2 ประเทศ

ด้านเม็กซิโก ประกาศเก็บภาษีตอบโต้สินค้าสหรัฐฯ เช่น ผลไม้และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มูลค่า 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนแคนาดา ออกมาตรการเฟสแรก มูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์แคนาดา (ราว 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) พุ่งเป้าไปที่สินค้าอย่างเหล็กและชีส

6 มี.ค. 2568 : ผ่อนผันบางส่วน

หลังจากทรัมป์พบปะกับผู้บริหารจากบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ เช่น ฟอร์ด, GM และ สเตลลันติส ทรัมป์เซ็นคำสั่งยกเว้นภาษีชั่วคราวสำหรับสินค้ายานยนต์จากแคนาดาและเม็กซิโกจนถึงวันที่2 เม.ย. รวมถึงผ่อนผันสินค้าที่สอดคล้องกับข้อตกลง USMCA (United States-Mexico-Canada Agreement) ซึ่งครอบคลุมการค้าประมาณร้อยละ 38 จากทั้ง 2 ประเทศ การตัดสินใจนี้เกิดจากแรงกดดันของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ระบุว่าภาษีจะกระทบ Supply chain ข้ามชาติอย่างหนัก

12 มี.ค .2568 : ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมทั่วโลก

ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีร้อยละ 25 กับเหล็กและอะลูมิเนียมที่นำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลก โดยใช้ Section 232 ของ Trade Expansion Act of 1962 อ้างถึงความมั่นคงแห่งชาติ มีผลทันทีตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 2568 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อแคนาดา เนื่องจากเป็นผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่ และเม็กซิโก มาตรการนี้คล้ายกับนโยบายในสมัยแรกของทรัมป์ แต่คราวนี้ยกเลิกข้อยกเว้นทั้งหมดที่เคยให้ไว้กับบางประเทศ

14 มี.ค. 2568 : ขู่ภาษีไวน์และสุรายุโรปร้อยละ 200

ทรัมป์ขู่เก็บภาษีนำเข้าร้อยละ200 กับไวน์ คอนญัก และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากยุโรป เขาระบุว่าเป็นการตอบโต้แผนของอียูที่จะเก็บภาษีวิสกี้อเมริกันร้อยละ 50 ในเดือนเม.ย. ซึ่งอียูเองก็ตั้งใจตอบโต้ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ ที่เริ่มเมื่อ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา

อุตสาหกรรมสุราข้อมูลปี 2566 สหรัฐฯ ส่งออกไปอียูราวร้อยละ 40 ของทั้งหมด ขณะที่ยุโรปส่งออกไวน์และสุราร้อยละ 31 มายังสหรัฐฯ การขู่ขึ้นภาษีร้อยละ 200 จะทำให้ราคาไวน์ฝรั่งเศสและคอนญักพุ่งสูงในสหรัฐฯ

อียูไม่นิ่งเฉย เตรียมมาตรการตอบโต้ มูลค่า 26,000 ล้านยูโร ครอบคลุมสินค้าหลากหลาย เช่น ไหมขัดฟัน เสื้อคลุมอาบน้ำ และ สินค้าอุปโภค

ทำไมทรัมป์รีดภาษีสินค้าต่างประเทศดุเดือด?

ที่มาสำคัญน่าจะมาจากข้อมูลล่าสุดของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า ตัวเลขขาดดุลงบประมาณในช่วง5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568ระหว่างเดือนตุลาคมปีที่แล้วถึงกุมภาพันธ์ปีนี้ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่1.147 ล้านล้านดอลลาร์ รวมถึงตัวเลขขาดดุลงบประมาณ 3.07 แสนล้านดอลลาร์ ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นเดือนแรกที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งครบเดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4จากปีก่อน

ตัวเลขขาดดุลงบประมาณในช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งรวมถึงเวลาเกือบ 4 เดือน จนถึงวันที่ 20 มกราคม ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทำลายสถิติเดิมที่ 1.047ล้านล้านดอลลาร์ ระหว่างเดือนตุลาคมปี 2563 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลใช้จ่ายมหาศาลกับวิกฤตโควิดและมีรายรับจำกัด

ตัวเลขขาดดุลงบประมาณในเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้น 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว เนื่องจากรายจ่ายดอกเบี้ยหนี้ที่กู้ยืมมา รวมถึงประกันสังคม และสวัสดิการด้านสาธารณสุข สูงกว่ารายรับของรัฐบาล

แล้วผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ ต้องทำอย่างไร?

-เตรียมรับราคาที่สูงขึ้น เช่น รถยนต์ อาหาร สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ Tax Foundation ประเมินว่าภาษีจากจีนอาจเพิ่มต้นทุนครัวเรือนละ 329 ดอลลาร์/ปี

-ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อ ไปเป็นการซื้อสินค้าท้องถิ่น ที่อาจช่วยลดผลกระทบ แต่ผู้เชี่ยวชาญก็เตือนว่าผู้ผลิตในสหรัฐฯ มักมีพฤติกรรมปรับราคาขึ้นตามคู่แข่งนำเข้า ทำให้การ “ซื้อของอเมริกัน” หรือสินค้าท้องถิ่น อาจไม่ได้ช่วยมากนัก และอาจก่อให้เกิดปัญหาการซื้อล่วงหน้าหรือกักตุนสินค้าขึ้นมาได้

-วางแผนทางการเงิน ผู้บริโภคต้องคอยติดตามสถานการณ์เนื่องจาก การเจรจาของทั้งทรัมป์และประเทศคู่ค้าที่ปรับเปลี่ยนได้ในแต่ละวัน

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : หลากหลายประเด็นกับ ‘หวัง อี้’ นอกรอบการประชุมสภานิติบัญญัติระดับชาติ

คุยกัน7วันหน : หลากหลายประเด็นกับ ‘หวัง อี้’  นอกรอบการประชุมสภานิติบัญญัติระดับชาติ

คุยกัน7วันหน : หลากหลายประเด็นกับ ‘หวัง อี้’ นอกรอบการประชุมสภานิติบัญญัติระดับชาติ

วันอาทิตย์ ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2568, 06.45 น.

สัปดาห์ที่ผ่านมา จีนจัดการประชุมสองสภา ซึ่งเป็นการประชุมทางการเมืองระดับชาติที่สำคัญของจีนที่จะกำหนดทิศทางนโยบายของประเทศโดยการประชุมประจำปีของคณะกรรมการแห่งชาติประจำสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีน (CPPCC)ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาทางการเมืองระดับสูงสุดของจีน เริ่มขึ้นในวันอังคารที่4 มี.ค. ส่วนการประชุมของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ (NPC) ซึ่งเป็นสภานิติบัญญัติระดับสูงสุด จะเริ่มขึ้นในวันพุธที่ 5 มี.ค.

นายกรัฐมนตรีของจีน สมาชิกสภานิติบัญญัติระดับสูง ที่ปรึกษาทางการเมืองระดับสูง รวมถึงหัวหน้าศาลประชาชนสูงสุดและอัยการประชาชนสูงสุดจะนำเสนอรายงานการปฏิบัติงานโดยสมาชิกสภานิติบัญญัติจะทบทวนงบประมาณประจำปีและแผนการพัฒนาของรัฐบาล พร้อมพิจารณาแก้ไขร่างกฎหมายว่าด้วยสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติและสภาผู้แทนประชาชนท้องถิ่น

ช่วงนอกรอบการประชุม หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในหลากหลายประเด็นน่าสนใจ จึงขอหยิบยกนำให้ผู้อ่านได้ติดตามกัน

ประวัติศาสตร์และความจริงยืนยัน “ไต้หวัน” เป็นส่วนหนึ่งที่มิอาจแบ่งแยกของจีน

หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน แถลงข่าวนอกรอบการประชุมสภานิติบัญญัติระดับชาติว่า ประวัติศาสตร์และความจริงยืนยันว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งที่มิอาจแบ่งแยกได้ของจีน และปี 2025 ตรงกับวาระครบรอบ 80 ปี การฟื้นฟูไต้หวัน

หวัง อี้ กล่าวว่า ชัยชนะจากสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นของประชาชนจีนทำให้ไต้หวันกลับมาอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของจีนในปี 1945ขณะทั้งปฏิญญาไคโรและปฏิญญาพอตส์ดัม ซึ่งออกโดยกลุ่มประเทศชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ระบุชัดเจนว่าไต้หวันเป็นดินแดนที่ญี่ปุ่นขโมยจากจีนและต้องคืนสู่จีน โดยญี่ปุ่นยอมรับเงื่อนไขของปฏิญญาพอตส์ดัมและประกาศยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข ทั้งหมดนี้ยืนยันอำนาจอธิปไตยของจีนเหนือไต้หวัน และเป็นส่วนสำคัญของระเบียบระหว่างประเทศยุคหลังสงคราม

ข้อมติที่ 2758 ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติรับรองในปี 1971 ได้แก้ไขประเด็นการเป็นตัวแทนของจีนทั้งหมด รวมถึงไต้หวัน ในองค์การสหประชาชาติ และตัดความเป็นไปได้ในการสร้าง “สองจีน” หรือ “จีนเดียวไต้หวันเดียว” โดยการอ้างอิงถึงภูมิภาคไต้หวันในองค์การสหประชาชาติคือ “ไต้หวัน มณฑลของจีน” ดังนั้นไต้หวันไม่เคยเป็นประเทศ ไม่ว่าในอดีตหรืออนาคต

ขณะการเรียกร้อง “เอกราชไต้หวัน” เท่ากับแบ่งแยกประเทศ การสนับสนุน “เอกราชไต้หวัน” เท่ากับแทรกแซงกิจการภายในของจีน และการสมรู้ร่วมคิดเกี่ยวกับ “เอกราชไต้หวัน” เท่ากับบ่อนทำลายเสถียรภาพของช่องแคบไต้หวัน

หวัง อี้ เน้นย้ำ การเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของทุกประเทศ ควรหมายถึงการสนับสนุนการรวมประเทศอย่างสมบูรณ์ของจีน และการยึดมั่นหลักการจีนเดียวควรหมายถึงการต่อต้าน “เอกราชไต้หวัน” ทุกรูปแบบ ส่วนการแสวงหา “เอกราชไต้หวัน” จะประสบกับผลกระทบย้อนกลับและการใช้ไต้หวันควบคุมจีนจะเป็นความพยายามที่ไร้ผล เพราะจีนจะบรรลุการรวมชาติ นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้

จีนเดินหน้าบทบาทสร้างสรรค์ในการคลี่คลาย “วิกฤตยูเครน”

หวัง อี้ แถลงว่า จีนพร้อมทำงานร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศเพื่อเดินหน้าบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในการแก้ไขวิกฤตยูเครนและสร้างสันติภาพที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงเจตจำนงของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

หวัง อี้ กล่าวว่า จีนยินดีและสนับสนุนทุกความพยายามสร้างสันติภาพ โต๊ะเจรจาคือพื้นที่ยุติความขัดแย้งและเริ่มต้นสันติภาพ โดยสิ่งสำคัญคือการตระหนักถึงความซับซ้อนของสาเหตุแห่งความขัดแย้งนี้ และทุกฝ่ายควรร่วมกันพยายามบรรลุข้อตกลงสันติภาพที่เป็นธรรมและยั่งยืน แม้มีจุดยืนที่ไม่ตรงกันอย่างสมบูรณ์

หวัง อี้ เน้นย้ำว่า ทุกฝ่ายควรเรียนรู้บางสิ่งจากวิกฤตนี้ ความมั่นคงควรเป็นสิ่งที่มีร่วมกันอย่างเท่าเทียม ไม่ควรมีประเทศใดสร้างความมั่นคงของตนเองบนความไม่มั่นคงของประเทศอื่น โดยเราควรสนับสนุนและปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ใหม่ของความมั่นคงที่มีร่วมกัน ครอบคลุม พร้อมร่วมมือ และยั่งยืน นั่นคือหนทางสู่สันติภาพและความมั่นคงที่ยั่งยืนในทวีปยูเรเชียและทั่วโลกอย่างแท้จริง

ยืนยันสายสัมพันธ์ จีน-รัสเซีย จะไม่สั่นคลอน

หวัง อี้ ยังย้ำว่า ความสัมพันธ์จีน-รัสเซียที่เติบโตเต็มที่ แข็งแกร่ง และมีเสถียรภาพ จะไม่ถูกสั่นคลอนด้วยสถานการณ์ใดๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป และจะไม่ถูกแทรกแซงจากบุคคลที่สาม

สำนักข่าวซินหัว รายงานว่านายหวัง กล่าวว่าความสัมพันธ์จีน-รัสเซียมีความมั่นคงในโลกที่วุ่นวาย มิผันแปรตามเกมภูมิรัฐศาสตร์ และไม่ว่าภูมิทัศน์ระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรตรรกะทางประวัติศาสตร์ของมิตรภาพจีน-รัสเซียจะไม่แปรเปลี่ยน และพลังขับเคลื่อนภายในจะไม่ลดน้อยถอยลง

จีนและรัสเซียได้ค้นพบวิถีทางการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ “ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่ปะทะคะคาน และไม่มุ่งเป้าไปยังบุคคลที่สาม” โดยนี่เป็นความพยายามในการสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใหญ่รูปแบบใหม่และเป็นตัวอย่างอันดีของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน

จีนยังคงเชื่อมั่นใน “ยุโรป”

ในส่วนของความสัมพันธ์กับยุโรป หวัง อี้ แถลงว่า จีนยังคงเชื่อมั่นในยุโรปและเชื่อว่ายุโรปสามารถเป็นหุ้นส่วนที่น่าเชื่อถือ โดยทั้งสองฝ่ายจะสามารถแก้ไขปัญหาที่คั่งค้างอย่างเหมาะสม

หวัง อี้ กล่าวว่า ปี 2025 ตรงกับวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับสหภาพยุโรป (EU)ซึ่งในความสัมพันธ์อายุครึ่งศตวรรษนี้สินทรัพย์อันมีค่าที่สุดคือความเคารพซึ่งกันและกัน แรงกระตุ้นอันทรงพลังที่สุดคือผลประโยชน์ร่วมกันฉันทามติอันเห็นพ้องต้องกันที่สุดคือพหุภาคี และลักษณะเฉพาะอันถูกต้องที่สุดคือความเป็นหุ้นส่วน

การค้าจีน-สหภาพยุโรปในช่วงห้าทศวรรษที่ผ่านมาขยายตัวจาก 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8.08 หมื่นล้านบาท) เป็น 7.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 26 ล้านล้านบาท)การลงทุนเพิ่มขึ้นจากเกือบศูนย์เป็นเกือบ 2.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ(ราว 8.7 ล้านล้านบาท) และรถไฟสินค้าจีน-ยุโรปวิ่งมากกว่า 1 แสนเที่ยว กลายเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่เชื่อมเอเชียกับยุโรป

ช่วง 50 ปีที่ผ่านมา จีนและสหภาพยุโรปมีส่วนส่งเสริมเศรษฐกิจโลกเติบโตมากกว่าหนึ่งในสาม และความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายมีคุณค่าเชิงยุทธศาสตร์และอิทธิพลระดับโลกยิ่งขึ้นโดยความสัมพันธ์อันดีมีเสถียรภาพจะช่วยยกระดับทั้งสองฝ่ายและสร้างโลกที่รุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น

หวัง อี้ เสริมว่า จีนและสหภาพยุโรปมีความสามารถและสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาที่คั่งค้างอยู่อย่างเหมาะสมผ่านการปรึกษาหารือฉันมิตรและร่วมกันเดินหน้าสู่อีก 50 ปีแห่งความสำเร็จสมหวัง

ร่วมสร้างประชาคมมนุษยชาติที่มีอนาคตร่วมกัน

หวัง อี้ ปิดท้ายด้วยการกล่าวเรียกร้องการสร้างประชาคมมนุษยชาติที่มีอนาคตร่วมกัน พร้อมชี้ว่า นานาประเทศกว่า 100 แห่ง สนับสนุนแผนริเริ่มระดับโลก 3 แผน ได้แก่ แผนริเริ่มการพัฒนาระดับโลก (GDI) แผนริเริ่มความมั่นคงระดับโลก (GSI) และแผนริเริ่มอารยธรรมระดับโลก (GCI)ขณะเดียวกันมากกว่าสามในสี่ของประเทศทั่วโลกเข้าร่วมความร่วมมือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI)

หวัง อี้ ตอบคำถามเกี่ยวกับอิทธิพลของนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) ของสหรัฐฯ ระหว่างการแถลงข่าวนอกรอบการประชุมสภานิติบัญญัติระดับชาติว่า หากทุกประเทศเน้นย้ำ “ประเทศของฉันมาก่อน” และหมกมุ่นกับตำแหน่งความแข็งแกร่งจะส่งผลให้ “กฎแห่งป่า” หรือกฎผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอดกลับมาครอบงำโลกอีกครั้ง ประเทศเล็กและอ่อนแอกว่าต้องรับผลกระทบหนักก่อนใคร บรรทัดฐานและระเบียบระหว่างประเทศจะถูกบ่อนทำลายร้ายแรง

หวัง อี้ กล่าวว่า ประเทศใหญ่ควรปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศและรับผิดชอบตามหน้าที่อย่างเต็มกำลัง โดยประวัติศาสตร์จะพิสูจน์ว่าผู้ชนะที่แท้จริงคือผู้คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมเสมอ และประชาคมมนุษยชาติที่มีอนาคตร่วมกันจะรับรองว่าโลกนี้เป็นของทุกประเทศและทุกคนจะมีอนาคตที่สดใส

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : จับตาชะตากรรม ‘อุยกูร์’ ทั่วโลก

คุยกัน7วันหน : จับตาชะตากรรม ‘อุยกูร์’ ทั่วโลก

คุยกัน7วันหน : จับตาชะตากรรม ‘อุยกูร์’ ทั่วโลก

วันอาทิตย์ ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2568, 07.00 น.

กระแสข่าวเรื่องการส่งตัวชาวอุยกูร์ในไทยกลับจีนทำให้ทั่วโลกหันมาสนใจเกี่ยวกับชะตากรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มนี้อีกครั้ง ท่ามกลางความกังวลว่า สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์กำลังถดถอย

แม้ทั่วโลกจะพยายามรณรงค์ในกรณีอุยกูร์ แต่สถานการณ์ดูจะไม่ได้ดีขึ้นเลย ชาวอุยกูร์ในต่างประเทศหลายคนระบุว่า พวกเขาต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัว โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลของประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่ได้ยกระดับความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีน

ข้อมูลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯ ชี้ว่า อียิปต์และตุรกีเป็นหนึ่งในประเทศที่ในระยะหลังนี้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลจีนในการควบคุมชาวอุยกูร์ในประเทศของตัวเองเพิ่มขึ้น รวมถึงการจับกุมตัวและกดดันให้เดินทางกลับจีน หลังจากรัฐบาล 2 ประเทศ ยกระดับความสัมพันธ์กับจีนผ่านโครงการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐาน

ขณะที่การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนของรัฐบาลไทยสร้างความกังวลในหมู่นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนทั่วโลกรวมถึงเอเลน เพียร์สัน ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียของ Human Rights Watch ซึ่งมองว่าการดำเนินการของไทยละเมิดทั้งกฎหมายในไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ

นับตั้งแต่ปี 2017 มาตรการแข็งกร้าวของทางการจีนในเขตปกครองตนเองซินเจียง-อุยกูร์ ส่งผลให้มีชาวอุยกูร์และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นกว่า 1 ล้านคน ถูกควบคุมตัวที่ศูนย์กักตัวหลายแห่ง โดยทีมวิจัยจากสถาบันนโยบายยุทธศาสตร์ออสเตรเลียวิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำแผนที่ศูนย์ควบคุมตัวต้องสงสัยกว่า 385 แห่ง ในซินเจียง ที่ถูกสร้างหรือขยายพื้นที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังพบด้วยว่ามีมัสยิดรวมทั้งสถานที่ทางศาสนาและวัฒนธรรมในซินเจียงถูกทำลายหรือรื้อถอนไปแล้วหลายร้อยแห่ง หลังการประท้วงของชาวอุยกูร์และเหตุไม่สงบที่ปะทุขึ้นในปี 2009 ซึ่งตามมาด้วยเหตุรุนแรงหลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงปี 2013 ถึงปี 2015 จนนำมาสู่การปราบปรามของทางการจีน

ในปี 2022 ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติระบุว่า การปฏิบัติต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในซินเจียงของรัฐบาลจีนอาจเข้าข่ายก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าการกระทำดังกล่าวถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หลังมีรายงานว่า มาตรการของจีนมีทั้งการควบคุมตัว การสอดแนม การถูกบังคับใช้แรงงาน การถูกกลืนทางศาสนาและวัฒนธรรม รวมถึงการบังคับทำหมัน

ด้าน Human Rights Watch ระบุว่า มาตรการที่จีนใช้ยังรวมไปถึงการจำกัดการเดินทางอย่างเข้มงวดและการควบคุมชาวอุยกูร์ที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งไม่ต่างจากการปฏิเสธสิทธิของคนกลุ่มนี้ในการเดินทางออกนอกประเทศ นอกเหนือจากนโยบายเลือกปฏิบัติในการออกหนังสือเดินทางให้กับชาวอุยกูร์ก่อนหน้านี้

ชาวอุยกูร์คือใคร

ชาวอุยกูร์ (Uyghur) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้ามาจากชนเผ่าเร่ร่อนในแถบเอเชียกลางที่มีรากเหง้ามาจากชนเผ่าตุรกีโบราณ ที่เคยอาศัยอยู่ในแถบเอเชียกลางพวกเขามีความเกี่ยวข้องกับเผ่าซงหนู (Xiongnu) และเผ่าตูเจวี๋ย (Tujue) ซึ่งเคยมีอิทธิพลในบริเวณที่ราบสูงมองโกเลียและทะเลทรายทากลามากัน

ในช่วงศตวรรษที่ 8 ชาวอุยกูร์ได้สถาปนาอาณาจักรของตนเองที่เรียกว่า “อุยกูร์คานาเต” (Uyghur Khaganate) ซึ่งปกครองพื้นที่กว้างขวางและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์ถังของจีน อย่างไรก็ตาม อาณาจักรอุยกูร์ล่มสลายในศตวรรษที่ 9 หลังจากถูกกองกำลังคีร์กีซโจมตี ทำให้ชาวอุยกูร์จำนวนมากต้องอพยพลงใต้สู่ดินแดนที่ปัจจุบันคือเขตปกครองตนเองซินเจียงของจีน

หลังจากการอพยพ ชาวอุยกูร์ได้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในซินเจียง และกลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญในเส้นทางสายไหม พวกเขาค้าขายกับชาวเปอร์เซีย อาหรับ และจีน ทำให้ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากหลายอารยธรรม

ดินแดนซินเจียง หรือชื่อเต็มว่าเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน มีพื้นที่กว่า 1.6 ล้านตารางกิโลเมตร เป็นจุดเชื่อมต่อ
สำคัญของเส้นทางสายไหมมานานนับพันปีมีประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและผ่านการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาหลายยุคสมัย นับตั้งแต่ราชวงศ์ถัง จักรวรรดิมองโกล และจักรวรรดิแมนจู

ในปี 1759 ราชวงศ์ชิงได้เข้ายึดครองซินเจียงและกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรจีน การปกครองของจีนในภูมิภาคนี้เป็นไปอย่างหลวมๆ จนถึงศตวรรษที่ 20 เมื่อจีนเริ่มใช้นโยบายรวมศูนย์อำนาจมากขึ้น

หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ชิงและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสาธารณรัฐ ชาวอุยกูร์เคยประกาศตั้งรัฐอิสระของตนเอง 2 ครั้ง ได้แก่ สาธารณรัฐตุรกีตะวันออก ครั้งที่หนึ่งในปี 1933 และ ครั้งที่สองในปี 1944 อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 รัฐ ถูกกองทัพจีนเข้าปราบปราม

ในปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับชัยชนะในสงครามกลางเมืองและได้ผนวกซินเจียงเข้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างสมบูรณ์ โดยกำหนดให้เป็น “เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์” ซึ่งแม้จะมีสถานะปกครองตนเอง แต่ก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลาง

แม้ซินเจียงจะถูกกำหนดให้เป็นเขตปกครองตนเอง แต่ในทางปฏิบัติรัฐบาลจีนมีการควบคุมพื้นที่นี้อย่างเข้มงวดมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางชาติพันธุ์และการก่อการร้ายหลายครั้ง ซึ่งจีนมองว่ามีชาวอุยกูร์หัวรุนแรงเป็นผู้กระทำ

หนึ่งในประเด็นที่สร้างความกังวลในระดับนานาชาติเกี่ยวกับสถานการณ์ของชาวอุยกูร์คือ ตั้งแต่ปี 2017 มีรายงานว่ารัฐบาลจีนได้กักขังชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆ ใน “ค่ายปรับทัศนคติ” ซึ่งเชื่อว่ามีชาวอุยกูร์มากกว่า 1,000,000 คนถูกควบคุมตัว รัฐบาลจีนระบุว่าค่ายเหล่านี้เป็น “ศูนย์ฝึกอาชีพ” ที่ช่วยให้ชาวอุยกูร์พัฒนาทักษะในการทำงานและป้องกันแนวคิดหัวรุนแรง อย่างไรก็ตาม องค์กรสิทธิมนุษยชนและผู้ลี้ภัยจากซินเจียงให้ข้อมูลที่แตกต่างออกไป โดยอ้างว่าผู้ถูกกักขังต้องเผชิญกับการล้างสมอง การทรมาน และการบังคับใช้แรงงาน

นอกจากการควบคุมตัวแล้ว รัฐบาลจีนยังมีการสอดส่องชาวอุยกูร์ที่อยู่ภายนอกค่ายอย่างเข้มงวด เทคโนโลยีจดจำใบหน้า ระบบตรวจสอบการสื่อสาร และด่านตรวจที่แพร่หลาย เรียกว่าทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของชาวอุยกูร์เต็มไปด้วยการถูกติดตามและควบคุม

ปัจจุบัน ชาวอุยกูร์มีประชากรประมาณ12 ล้านคนทั่วโลก ในจำนวนนี้มากกว่า500,000 คน อาศัยอยู่ในอย่างน้อย 38 ประเทศนอกจีน โครงการสิทธิมนุษยชนอุยกูร์ในสหรัฐฯ แบ่งตัวเลขดังกล่าวออกเป็นรายภูมิภาค ซึ่งจะเห็นว่า เอเชียใต้และเอเชียกลางกินส่วนแบ่งชาวอุยกูร์โพ้นทะเลเกือบทั้งหมดตามมาด้วยตะวันออกกลาง 70,000 คน ยุโรปประมาณ 15,000 คน กระจายอยู่ใน 18 ประเทศ เช่น อังกฤษ สวีเดน ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เบลเยียม และเยอรมนี

เมื่อแยกดูรายประเทศนับเฉพาะที่มีเกิน 10,000 คน จะเห็นว่า ชาวอุยกูร์โพ้นทะเลส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านของจีนที่มีความใกล้เคียงกันในเชิงวัฒนธรรมทั้งในคาซัคสถานที่มีอยู่ประมาณ 300,000 คนซึ่งมากที่สุด ตามมาด้วยคีร์กีซสถาน อุซเบกิสถาน ตุรกี ไปจนถึงซาอุดีอาระเบีย สหรัฐฯ และทาจิกิสถานในเอเชียกลาง

การกระชับความสัมพันธ์ของจีนกับหลายประเทศในเอเชียกลางผ่านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ กำลังสร้างความกังวลว่า ความร่วมมือดังกล่าวจะกลายเป็นช่องทางให้จีนสามารถยื่นมือเข้าไปกดดันข้ามพรมแดนในบ้านหลังใหญ่ของชาวอุยกูร์โพ้นทะเลได้หรือไม่ ซึ่งในกรณีของไทย องค์การระหว่างประเทศหลายองค์การทยอยออกมาแสดงความกังวลถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : ถังป๊อปคอร์นดีไซน์ล้ำ ฟื้นธุรกิจโรงหนัง?

คุยกัน7วันหน : ถังป๊อปคอร์นดีไซน์ล้ำ ฟื้นธุรกิจโรงหนัง?

คุยกัน7วันหน : ถังป๊อปคอร์นดีไซน์ล้ำ ฟื้นธุรกิจโรงหนัง?

วันอาทิตย์ ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568, 06.19 น.

ใครจะไปเชื่อว่า ถังป๊อปคอร์นที่มีดีไซน์แปลกใหม่ กำลังช่วยให้ผลประกอบการของธุรกิจโรงหนังในสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งยังมอบประสบการณ์ที่มีคุณค่าในการชมภาพยนตร์แก่ผู้ชม โดยป๊อปคอร์น เป็นของกินเล่นเมนูหลักของผู้ชมในโรงภาพยนตร์ และเป็นแหล่งรายได้หลักของธุรกิจโรงหนังมานานหลายทศวรรษ แต่ปัจจุบัน ภาชนะ หรือถังที่ใส่ป๊อปคอร์น ก็มีส่วนสำคัญมากเช่นกัน

อย่างเช่นกรณีของ เอเอ็มซี เอนเตอร์เทนเมนต์ (AMC Entertainment) เครือโรงภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ จากที่ไม่ได้ขายสินค้าใดๆ แต่เมื่อปีที่แล้ว กลับสามารถทำรายได้จากการขายถังป๊อปคอร์น รวมถึงไอเท็มของที่ระลึกอื่นๆ เช่น แก้วเครื่องดื่ม และเสื้อยืด รวมมูลค่ากว่า 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อดัม อารอน ซีอีโอ ของ เอเอ็มซีกล่าวว่า บริษัทได้แรงบันดาลใจมาจากการขายถังป๊อปคอร์น จากการฉายภาพยนตร์ของบริษัทฯเอง ซึ่งเป็นภาพยนตร์คอนเสิร์ต Taylor Swift :The Eras Tour ที่เริ่มออกฉายเมื่อเดือนตุลาคม 2023 ซึ่งขายได้ดีมาก และจากนั้นจึงทำมาต่อเนื่อง แทบจะทุกเดือน

ไม่ใช่แค่ เอเอ็มซี เอนเตอร์ เทนเมนต์ เท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ดังกล่าว ยังมีเครือโรงภาพยนตร์อื่นๆ เช่น ซินีมาร์ก (Cinemark), มาร์คัส (Marcus), รีกัล (Regal) และ บี แอนด์ บี เธียเตอร์ส (B&B Theatres) ก็นำถังป๊อปคอร์นมาเป็นกลยุทธ์ ด้วยการสร้างความพิเศษ เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อจากผู้ชมและสร้างความรู้สึกว่าจะต้องไปรีบซื้อในช่วงสัปดาห์แรกของหนังที่เริ่มเข้าโรงผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้ยังมองเห็นว่า ถังป๊อปคอร์นจะช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับประสบการณ์การชมภาพยนตร์แก่ผู้ชมอีกด้วย

พอล ฟาร์นสเวิร์ธ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารและเนื้อหาของ บี แอนด์ บีเธียเตอร์ส กล่าวว่า หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทตระหนักได้ว่า การสร้างบรรยากาศและความน่าตื่นเต้นในการชมภาพยนตร์ เป็นสิ่งสำคัญมากขึ้น เพื่อดึงดูดให้ผู้ชมกลับมาสู่โรงหนังอีกครั้ง เพราะความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมนี้ก็คือการที่ผู้คนเลิกเดินทางไปดูหนังในโรงภาพยนตร์กันแล้ว

ฟาร์นสเวิร์ธ ตั้งข้อสังเกตว่าถังป๊อปคอร์นที่มีรูปแบบแตกต่างไม่เหมือนใคร จะสามารถเพิ่มแรงดึงดูดให้ลูกค้าออกจากบ้าน เพื่อไปดูหนังได้และช่วยสร้างความทรงจำจากการเดินทางไปดูหนัง ด้วยการนำถังป๊อปคอร์นติดตัวกลับไปบ้าน โดยจะนำไปวางไว้บนชั้น เพื่อตั้งโชว์ หรือนำกลับไปใช้ซ้ำ ก็ทำได้ ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัท แต่สิ่งที่มีค่ามากที่สุด ก็คือการที่ผู้คนเดินทางมาที่โรงหนัง และได้ของสนุกๆ กลับบ้านหรือมาถ่ายรูปกับสิ่งของเหล่านั้นในโรงหนังกันมากขึ้น

สำหรับ ฌอน แกมเบิล ซีอีโอ ของ ซินีมาร์ก เล่าว่า บริษัทได้ทำถังป๊อปคอร์นเป็นลวดลาย Screamในการเปิดตัวหนังเรื่อง Scream VIเมื่อปี 2023 และประหลาดใจกับเรื่องนี้ เพราะมันได้รับความนิยมอย่างมาก และขายหมดในทันที จากนั้นเลยนำไปขายในช่องทางออนไลน์เพิ่มเติมด้วย

ถังป๊อปคอร์นที่ระลึก ถือเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าในสวนสนุกมาช้านานแล้ว โดยช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทต่างๆ ทั้ง ดิสนีย์ และยูนิเวอร์แซลทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่สำหรับธุรกิจโรงภาพยนตร์ในสหรัฐฯ ถือว่าล่าช้าในการปรับตัวตามกระแสนี้

โดย ร็อด เมสัน รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ ซิงค์ กรุ๊ป กล่าวว่า ก่อนหน้านี้โรงภาพยนตร์หลายแห่งลังเลที่จะการผลิตสินค้าเหล่านั้นออกมา แต่ในที่สุด ก็มีจุดเปลี่ยนเกิดขึ้น ในช่วงปี 2019 ที่มีถังป๊อปคอร์นR2-D2 ซึ่งผลิตขึ้นมาสำหรับหนังเรื่อง Star Wars : The Rise ofSkywalker เขาเล่าอีกว่า เอเอ็มซีเอนเตอร์เทนเมนต์ ยอมเสี่ยงกับเรื่องนี้ซึ่งพวกเขาสามารถขายได้หลายหมื่นชิ้นและขายได้หมดภายใน 3-4 วันเท่านั้น ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย แม้จะไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อมีการตอบรับที่ดี ทุกคนจึงคิดได้ว่า ถังป๊อปคอร์นเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผล

จากนั้น ถังป๊อปคอร์นหุ่นยนต์ เวอร์ชั่นปรับปรุงใหม่ ก็ถูกนำออกมาจำหน่ายอีกครั้งสำหรับการฉายหนัง ครบรอบ 25 ปี ของ Star Wars : Episode 1 – A Phantom Menace โดยชุดถังป๊อปคอร์นและแก้วเครื่องดื่ม ขายในราคา 49.99 ดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาสำคัญที่แท้จริงของตลาดเฉพาะกลุ่มนี้ เกิดขึ้นอีกเกือบ 5 ปีต่อมา ด้วยถังป๊อปคอร์นที่โด่งดังแห่งยุคปัจจุบัน จากหนังเรื่อง Dune : Part Two ที่เปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2024 ที่ผ่านมาโดยถัง ถูกออกแบบให้เป็นแบบจำลองของหนอนทรายที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง แม้จะไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เกิดเป็นกระแส แต่กลับเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยถัง ราคา 24.99 ดอลลาร์สหรัฐ สามารถขายได้ทั้งหมด และยังได้รับความนิยมอย่างมาก ในตลาดรอง (ตลาดขายต่อ) เช่น ใน eBay ถังป๊อปคอร์นดังกล่าว สามารถขายได้ในราคาถังละ 50 ดอลลาร์ ถึง 210 ดอลลาร์ เลยทีเดียว

นอกจากนี้ ถังป๊อปคอร์นจากภาพยนตร์เรื่อง ดูน ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับ ไรอัน เรย์โนลด์ส นักแสดงและโปรดิวเซอร์จากเรื่อง Deadpool & Wolverine ที่ออกแบบถังป๊อปคอร์นสุดเก๋ เพื่อเปิดตัวภาพยนตร์ของเขา โดยเป็นถังรูปหัวของวูล์ฟเวอรีนอ้าปากเพื่อใส่ป๊อปคอร์น ขายในราคา 29.99 ดอลลาร์ และมีวางจำหน่ายเฉพาะที่ เอเอ็มซี เท่านั้นด้วย

มีคาดการณ์ด้วยว่า สตูดิโอและโรงภาพยนตร์ จะมีความกระตือรือร้นมากขึ้นในการทำงานร่วมกันกับ บริษัทอย่างเช่น ซิงค์ เพื่อสร้างสรรค์ถังป๊อปคอร์นที่มีความพิเศษแปลกใหม่สำหรับผู้ชม ซึ่ง ซิงค์ กรุ๊ป (Zinc Group) เป็นบริษัทออกแบบและผลิตถังป๊อปคอร์น และแก้วเครื่องดื่มที่มีตราสินค้าในสหรัฐฯ และปัจจุบันเป็น 1 ในผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาดป๊อปคอร์นพรีเมียม

ผู้บริหารจาก ซิงค์ กรุ๊ป กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีการแข่งขันกันสูงมาก และทุกคนพยายามเอาชนะกัน และต้องแน่ใจว่าสินค้าของพวกเขานั้นดีที่สุด ซึ่งปีที่ผ่านมา ว่ากันว่ามีการแข่งขันกันรุนแรงแล้ว แต่หลังจากนี้ยังถูกจับตามองมากขึ้นไปอีก เพราะอุตสาหกรรมภาพยนตร์กำลังจะมีหนังฟอร์มยักษ์เข้าฉายจำนวนมาก หลังจากล่าช้าออกไปในช่วงการระบาดใหญ่และการหยุดประท้วงของชาวฮอลลีวู้ดก่อนหน้านี้


โดย ดาโน โทนาลี
 

คุยกัน7วันหน : จับตาสัมพันธ์ ‘ทรัมป์-มัสก์’ ระเบิดเวลาการเมืองสหรัฐฯ?

คุยกัน7วันหน : จับตาสัมพันธ์ ‘ทรัมป์-มัสก์’  ระเบิดเวลาการเมืองสหรัฐฯ?

คุยกัน7วันหน : จับตาสัมพันธ์ ‘ทรัมป์-มัสก์’ ระเบิดเวลาการเมืองสหรัฐฯ?

วันอาทิตย์ ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568, 07.35 น.

หนึ่งในความสัมพันธ์ทางการเมืองที่ถูกจับตามองมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ คือมิตรภาพที่ไม่มีใครคาดคิดระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กับ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก และบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 21 เพราะเพียง 6 เดือน หลังจากที่เคยเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์อย่างรุนแรง มัสก์เปลี่ยนบทบาทมาเป็นหัวหอกในการผลักดันแนวทางปฏิรูประบบราชการแบบฝ่ายขวาโดยมีอำนาจในรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด

มัสก์ และ ทรัมป์ ไม่ใช่พันธมิตรกันตั้งแต่ต้น ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 มัสก์เคยลาออกจากที่ปรึกษาทำเนียบขาวเพื่อต่อต้านการถอนตัวของสหรัฐฯออกจากข้อตกลงปารีสด้านสิ่งแวดล้อมและแสดงความไม่พอใจต่อหลายๆ นโยบายของทรัมป์ แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ โจ ไบเดน ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และเลือกสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่มีสหภาพแรงงานเป็นฐาน แทนที่จะให้ความสำคัญกับ Tesla ของมัสก์ ทำให้เขาเริ่มเบนเข็มไปทางขวา โดยแสดงความไม่พอใจผ่านแพลตฟอร์ม X และเริ่มมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมมากขึ้น

ในช่วงต้นของการเลือกตั้งปี 2024 มัสก์เคยสนับสนุน รอน ดีแซนติสผู้ว่าการรัฐฟลอริดา แต่เมื่อดีแซนติสพ่ายแพ้ มัสก์ก็เริ่มเข้าใกล้ทรัมป์มากขึ้นและกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรัมป์รับฟังมากที่สุดในเรื่องเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ

เหตุการณ์ที่กระตุ้นให้มัสก์สนับสนุนทรัมป์อย่างเต็มตัวคือ เหตุลอบยิงทรัมป์ในเมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งทำให้เขาเร่งสนับสนุนแนวทางรัฐบาลที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ โดยไม่ได้ช่วยเหลือแค่ด้านการเงิน แต่ยังเสนอแนวคิดปฏิรูปรัฐบาลที่ไม่เคยมีมาก่อน

หลังจากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งมัสก์ได้รับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล(Department of GovernmentEfficiency – DOGE) ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อปฏิรูประบบราชการตามแนวคิด “ลดขนาดรัฐเพิ่มประสิทธิภาพ”

ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง มัสก์ เดินหน้า ใช้ AI แทนข้าราชการจำนวนมากลดจำนวนพนักงานภาครัฐ และนำแนวคิดแบบซิลิคอนแวลลีย์มาใช้ในรัฐบาล ทำให้เกิดทั้งเสียงชื่นชมจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมและเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากข้าราชการ

หนึ่งในมาตรการที่รุนแรงที่สุดของมัสก์ คือ การรื้อสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ(USAID) ซึ่งเป็นเครื่องไม้เครื่องมือหลักของวอชิงตัน ในการป้อนเงินสนับสนุนโครงการทางการเมืองต่างๆ ในต่างแดน ภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ เว็บไซต์ของ USAID ถูกปิด โซเชียลมีเดียถูกลบเจ้าหน้าที่หลายร้อยคนถูกปลด และงบประมาณถูกโอนกลับมาใช้ในประเทศ มัสก์ ประกาศว่า USAID เป็นองค์กรอาชญากรรม ที่ใช้เงินภาษีอเมริกันไปสนับสนุนต่างชาติอย่างไม่จำเป็น และอ้างว่าองค์กรแห่งนี้ให้เงินทุนสนับสนุนการวิจัยอาวุธชีวภาพ

ล่าสุด มัสก์มีถ้อยแถลงในที่ประชุม World Governments Summitในนครดูไบ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ก.พ. ประกาศว่า รัฐบาลของทรัมป์จะเดินหน้าดำเนินการเพื่อยุติโครงการต่างๆ ที่ส่งเสริมหลักการ “ความหลากหลาย ความเสมอภาค และการอยู่ร่วมกัน(Diversity, Equity, and Inclusion หรือ DEI)” ทั่วโลก เพราะหากยังปล่อยให้เดินหน้าหลักการ DEI ต่อไป และหลักการนี้ถูกนำไปใช้กับเรื่องบ้าๆ ที่เต็มไปด้วยสิ่งจอมปลอมและไม่สะท้อนความเป็นจริง ไปจนถึงเรื่องอื่นๆ อย่างเช่นปัญญาประดิษฐ์ มันก็จะเป็นเรื่องง่ายที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ได้สังคมที่ไม่พึงปรารถนา

เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคม มัสก์ อ้างว่า DOGE ช่วยประหยัดเงินให้สหรัฐฯมากกว่าวันละ 1,000 ล้านดอลลาร์ ด้วยการยกเลิกสัญญาต่างๆ กว่า 100 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับโครงการ DEI ระงับการจ้างงานผู้คนในตำแหน่งต่างๆ ที่ไม่มีความจำเป็น ยุติให้การปกป้องบุคคลข้ามเพศ และหยุดการจ่ายเงินแก่องค์การต่างชาติที่ไม่เหมาะสม

แม้ว่ามัสก์จะเป็นหนึ่งในบุคคลที่ใกล้ชิดทรัมป์ที่สุด แต่เขากลับ ไม่ต้องรายงานโดยตรงต่อทรัมป์ และมักทำงานร่วมกับที่ปรึกษาระดับสูงของทรัมป์ เช่น สตีเฟน มิลเลอร์ และ รัสเซลโวห์ต มากกว่าทรัมป์เอง แม้ทรัมป์จะให้สัมภาษณ์ว่าสิ่งที่มัสก์ทำจะต้องได้รับการอนุมัติจากเขาก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติดูเหมือนว่าอภิมหาเศรษฐีรายนี้ กำลังบริหารงานบางส่วนของรัฐบาลสหรัฐฯ “ตามความพอใจของตนเอง” และไม่มีมาตรการควบคุมใดที่สามารถบังคับใช้กับเขาได้จริงๆ

อิทธิพลของมัสก์ยิ่งเห็นได้ชัดเมื่อ X Æ A-12 (X) ลูกชายวัย 4 ขวบของมัสก์ ปรากฏตัวในห้องทำงานรูปไข่(Oval Office) ของทำเนียบขาว ระหว่างการประชุมระดับสูงกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเพราะมัสก์สามารถพาลูกชายเข้าไปใน Oval Office ได้อย่างอิสระ เป็นเหตุการณ์ที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นกับบุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกครอบครัวของประธานาธิบดี จนถูกนำมาเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมการเมืองของเผด็จการที่มักนำครอบครัวเข้าสู่เวทีอำนาจเพื่อปูทางในระยะยาว

ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่าง มัสก์ และ ทรัมป์ ยังกำลังก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการผสมผสานระหว่างอำนาจทางธุรกิจและอำนาจทางการเมืองในสหรัฐฯ เพราะการเข้าสู่การเมืองของมัสก์ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับขอบเขตอำนาจของภาคเอกชนที่มีต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า มัสก์กำลังพยายามขยายอิทธิพลของตนเข้าสู่การเมืองอย่างเป็นรูปธรรม และอาจมีเป้าหมายทางการเมืองที่สูงขึ้นในอนาคต

เห็นได้จากรายงานชิ้นล่าสุดของดิ อินดีเพนเดนท์ สื่ออังกฤษเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ก.พ. ที่เผยเอกสารกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เตรียมการจะสั่งซื้อรถหุ้มเกราะจากบริษัทเทสลาของมัสก์ โดยใช้งบปี 2025 สำหรับข้อตกลงมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ ระยะสัญญานาน 5 ปี ถือเป็นดีลมูลค่าสูงสุดของกระทรวงในปีนี้

ดิ อินดีเพนเดนท์ ยังรายงานด้วยว่า บริษัทสเปซเอ็กซ์ ของมัสก์ ยังได้สัญญามูลค่า 39 ล้านดอลลาร์ จากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯด้วย ในขณะที่เจ้าตัวกำลังพยายามตัดงบทั่วรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ผ่าน DOGE นั่นยิ่งเพิ่มการตรวจสอบและความสงสัยถึงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน

ริชาร์ด เพนเตอร์ อดีตที่ปรึกษาจริยธรรมทำเนียบขาวและศาสตราจารย์ทางกฎหมาย ทวีตบนแพลตฟอร์ม Xว่า “นี่เป็นสิ่งที่คนเหล่านี้เรียกว่า “ประสิทธิภาพ” เช่นนั้นหรือ?” ส่วน ทริสทัน สเนลล์ อัยการที่เคยดำเนินคดีมหาวิทยาลัยทรัมป์ที่อื้อฉาวมาแล้ว วิจารณ์อย่างเดือดดาลว่า “แผนของมัสก์ : ปิดส่วนต่างๆ ของรัฐที่ตรวจสอบเขาอ้างว่าเขากำลังหยุดการใช้เงินของรัฐ…(แท้จริงแล้ว) เอาเงินให้ตัวเองทั้งหมด”

ข้อวิตกของมัสก์เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เริ่มยากจะสลัดหลุด ประกอบกับความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์และมัสก์ที่ดูเหมือนจะแน่นแฟ้น อาจไม่ยั่งยืนในระยะยาว เนื่องจากบุคลิกที่แข็งแกร่งและความต้องการควบคุมของทั้ง 2 ฝ่ายจนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและการแยกทางกันในอนาคต และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันยุคใหม่

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : ‘ทรัมป์’ ท้าทายกฎหมายโลก เล็งฮุบกาซาท่ามกลางเสียงคัดค้าน

คุยกัน7วันหน : ‘ทรัมป์’ ท้าทายกฎหมายโลก  เล็งฮุบกาซาท่ามกลางเสียงคัดค้าน

คุยกัน7วันหน : ‘ทรัมป์’ ท้าทายกฎหมายโลก เล็งฮุบกาซาท่ามกลางเสียงคัดค้าน

วันอาทิตย์ ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568, 06.44 น.

โดนทัวร์ลงจากทั่วโลกตามคาด หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ไอเดียกระฉูด เสนอให้สหรัฐฯ เข้าควบคุมพื้นที่ฉนวนกาซาและดำเนินการพัฒนาใหม่ และให้ชาวปาเลสไตน์ในกาซาอพยพออกจากพื้นที่ไปอยู่ที่อื่น

ทรัมป์กล่าวเมื่อวันอังคารที่4 ก.พ. ระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ที่ทำเนียบขาว ข้อเสนอนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์เคยระบุว่าประเทศเพื่อนบ้านของอิสราเอล เช่น อียิปต์และจอร์แดน ควรรับชาวปาเลสไตน์ที่อพยพออกจากฉนวนกาซาไปอาศัยอยู่

ทรัมป์กล่าวเพิ่มเติมว่า สหรัฐฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบในการกำจัดระเบิดและอาวุธที่ยังไม่ระเบิดทั้งหมดในพื้นที่และดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับที่สามารถสร้างงานและที่อยู่อาศัยให้กับประชากร เขาอ้างว่าจะทำให้พื้นที่กาซาเป็นริเวียราของตะวันออกกลาง เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าใครจะอาศัยอยู่ในฉนวนกาซาหลังจากที่สหรัฐฯ เข้าควบคุม ทรัมป์ตอบว่า ประชาชนจากทั่วโลก รวมถึงชาวปาเลสไตน์

สำหรับริเวียรา (Riviera) เป็นคำที่ใช้เรียกบริเวณชายฝั่งทะเลที่มีทิวทัศน์สวยงาม มีชื่อเสียงในเรื่องของความหรูหรา และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เช่น ริเวียราฝรั่งเศสที่รู้จักกันดีในนาม Côte d’Azur หรือ “ชายฝั่งสีฟ้า” ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มีเมืองสำคัญอย่างนีซ, คานส์ และ โมนาโก หรือ ริเวียราอิตาเลียน หรือที่เรียกว่า “ริเวียราเดลฟลอเร” ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี มีเมืองเจนัว และปอร์โตฟิโน

แน่นอนว่าแนวคิดนี้ถูกต่อต้านและประณามจากหลายฝ่าย ซาอุดีอาระเบียออกแถลงการณ์ยืนยันจุดยืนที่ชัดเจนว่าสนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ที่เป็นอิสระ และระบุว่าสันติภาพที่ถาวรและเป็นธรรม จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากชาวปาเลสไตน์ไม่ได้รับสิทธิที่ชอบธรรมของตน ส่วนแถลงการณ์ร่วมของอียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ และองค์การสันนิบาตอาหรับ ระบุว่า ข้อเสนอดังกล่าวเป็นภัยต่อเสถียรภาพในภูมิภาค อาจทำให้ความขัดแย้งขยายตัว และบ่อนทำลายความหวังในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

ด้านสหประชาชาติ เตือนว่า การบังคับชาวปาเลสไตน์ย้ายถิ่นฐานเท่ากับเป็นการล้างเผ่าพันธุ์ ขณะที่มหาอำนาจ เช่น รัสเซีย จีน และเยอรมนีระบุว่า แผนการของทรัมป์จะกระตุ้นความเกลียดชัง

แม้แต่นักการเมืองอเมริกันเองยังไม่เห็นด้วย วุฒิสมาชิก คริส เมอร์ฟี่ จากรัฐคอนเนตทิคัต แสดงความเห็นผ่านแพลตฟอร์ม X ว่าผมมีข่าวมาบอก เราจะไม่เข้าควบคุมฉนวนกาซา พร้อมเสริมว่าทรัมป์เสียสติไปแล้ว

มีเพียงแต่นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู ที่แสดงท่าทีเปิดรับแนวคิดนี้โดยกล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การพิจารณา และเสริมว่า ทรัมป์มองเห็นอนาคตที่แตกต่างสำหรับกาซา เช่นเดียวกับทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ แดนนี ดานอน กล่าวว่าหากกลุ่มฮามาสยังคงอยู่ในอำนาจ อิสราเอลอาจไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำสงครามต่อไป

อิสราเอล แคตซ์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล ถึงกับโพสต์ผ่าน X ว่า ได้สั่งการให้กองทัพอิสราเอลจัดทำแผนการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ที่สมัครใจอพยพออกจากกาซา ที่พังราบเป็นหน้ากลองจากสงครามที่ยืดเยื้อนานกว่า 15 เดือน แผนการนี้จะรวมถึงตัวเลือกการเดินทางทั้งทางบก ทางเรือและเครื่องบิน และสามารถไปยังทุกประเทศที่ยอมรับคนเหล่านั้น แคตซ์ยังถือโอกาสเหน็บแนมพวกประเทศที่คัดค้านปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในกาซา อย่าง สเปน ไอร์แลนด์นอร์เวย์ โดยเขาบอกว่า เวลานี้ ประเทศเหล่านี้ควรอ้าแขนรับชาวปาเลสไตน์

หนึ่งวันหลังจากถูกรุมประณามคัดค้านจากทั่วโลก ทรัมป์แสดงความเห็นอธิบายเพิ่มเติมลงใน Truth Social แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทางเว็บของเขาในวันพฤหัสบดีที่ 6 ก.พ. ว่า ฉนวนกาซาจะถูกส่งมอบให้แก่สหรัฐฯ โดยอิสราเอล ในตอนที่การสู้รบสรุปปิดฉากแล้ว ชาวปาเลสไตน์จำนวนกว่า 2 ล้านคน ซึ่งเป็นประชากรของดินแดนนี้ จะถูกโยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานในประชาคมต่างๆ ในภูมิภาคนั้นเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีความปลอดภัยมากยิ่งกว่า และมีความสวยงามมากกว่า อีกทั้งได้อยู่ในบ้านใหม่ๆ และทันสมัย ยืนยันว่าไม่มีการส่งทหารของสหรัฐฯ เข้าพื้นที่ ไม่มีความจำเป็นเลย

ทรัมป์ฮุบกาซา ขัด ก.ม.ระหว่างประเทศ

ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศการพยายามบังคับย้ายประชากรออกจากพื้นที่ที่พวกเขาอยู่อาศัยถือเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างเคร่งครัด นักวิเคราะห์มองว่าข้อเสนอของทรัมป์อาจถูกตีความว่า เป็นแผนการขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากพื้นที่โดยสมบูรณ์ ซึ่งอาจเข้าข่ายการล้างเผ่าพันธุ์ทางชาติพันธุ์

ชาวปาเลสไตน์ในกาซา ต่างบอกว่าความพยายามผลักดันพวกเขาออกจากกาซากระตุ้นให้นึกถึง นักบา (Nakba)ซึ่งแปลว่า “หายนะ” โดยหมายถึงเหตุการณ์ที่ชาวปาเลสไตน์จำนวนมากถูกบังคับทิ้งถิ่นฐานระหว่างการสร้างชาติอิสราเอลในปี 1948

นักวิเคราะห์มองว่า แนวคิดของทรัมป์จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น และเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการสันติภาพแบบสองรัฐ (Two-State Solution) ที่ประชาคมโลก
ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด

สำหรับทรัมป์ ข้อเสนอนี้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับนโยบายเดิมของสหรัฐฯ ต่ออิสราเอลและปาเลสไตน์และถูกมองว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ อาจเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่มุ่งเสริมความนิยมในหมู่ผู้สนับสนุนอิสราเอลในสหรัฐฯโดยเฉพาะกลุ่มอนุรักษ์นิยมและคริสเตียนผู้เคร่งศาสนา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งประธานาธิบดี

แน่นอนว่า หากมีการผลักดันข้อเสนอนี้จริง อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น และทำให้โอกาสในการบรรลุสันติภาพในภูมิภาคลดน้อยลง

และแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทรัมป์ 2.0 พร้อมเดินหน้าผลักดันนโยบาย ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนได้อีกมากมาย

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : DeepSeek AI สัญชาติจีนสะท้านโลก

คุยกัน7วันหน : DeepSeek AI สัญชาติจีนสะท้านโลก

คุยกัน7วันหน : DeepSeek AI สัญชาติจีนสะท้านโลก

วันอาทิตย์ ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568, 06.18 น.

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ชื่อของเหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng)กลายเป็นที่พูดถึงไปทั่ววงการเทคโนโลยีหลังจากที่บริษัทสตาร์ทอัพของเขาDeepSeek เปิดตัวโมเดล AI ตัวใหม่ที่ท้าชนยักษ์ใหญ่อย่าง OpenAI, Meta และ Google ด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวของคู่แข่ง คือประมาณ6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 200ล้านบาท) ต่างจาก AI สัญชาติอเมริกันที่ต้องทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในการพัฒนาทำให้ DeepSeek ไม่ได้เป็นเพียงแค่สตาร์ทอัพหน้าใหม่ แต่ยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของจีนในเวที AI

DeepSeek พัฒนาขึ้นโดยบริษัทสตาร์ทอัพ ในหางโจว ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ผู้ก่อตั้งและมีบทบาทหลักในการพัฒนา คือ เหลียง เหวินเฟิง ชายหนุ่มวัย 40 ปี อดีตเด็กบ้านนอกในมณฑลกวางตุ้งแต่เฉลียวฉลาดหัวดี สามารถสอบเข้าศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาด้านเทคโนโลยีชั้นนำของจีน สาขาที่เขาเลือกเรียนคือวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศ

หลังจากจบการศึกษา เหลียง เข้าสู่วงการการเงินและก่อตั้ง High-Flyer Quant กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใช้ AI และ Machine Learningในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุน ด้วยแนวคิดใหม่ๆ และการใช้ AI ในตลาดทุน High-Flyer Quant กลายเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดของจีน

ไม่เพียงแค่ด้านการเงิน High-Flyer Quant ยังสร้าง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดเท่าคอร์ตบาสเกตบอล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการคำนวณ นี่เป็นหนึ่งในสัญญาณที่ชัดเจนว่าเหลียงไม่ได้ต้องการเป็นแค่เทรดเดอร์ที่ฉลาดที่สุด แต่เขากำลังวางรากฐานสำหรับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น

เหลียง เหวินเฟิง ใช้ความรู้จากการศึกษาวิศวกรรมสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์ จากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง และระดมทุนสร้างคลังชิพรุ่น Nvidia A100 ไว้ราว 50,000 ชิ้นแต่เมื่อปัจจุบัน ชิพรุ่นนี้ถูกห้ามส่งออกไปยังประเทศจีนแล้ว เพราะความขัดแย้งกับสหรัฐฯ เขาจึงใช้เคล็ดลับพิเศษด้วยการจับคู่ชิพ Nvidia ที่มีอยู่ 50,000 นั้นกับชิพที่ราคาถูกกว่าและพลังการประมวลผลน้อยกว่า แต่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจยิ่ง

เหลียงตัดสินใจก่อตั้ง DeepSeek ในปี 2556 โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่า จีนไม่ควรเป็นแค่ผู้ตามด้าน AI แต่ต้องเป็นผู้นำ DeepSeek ไม่เหมือนกับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีน เช่น ByteDance หรือ Alibaba ที่ได้รับแรงหนุนจากรัฐบาลหรือเงินทุนมหาศาล เหลียงเริ่มต้นจากทีมเล็กๆ ที่มีนักวิจัยและวิศวกรเพียง 140 คนและเขายืนยันว่าจะรับแต่บุคลากรจากมหาวิทยาลัยในจีนเท่านั้น เขากล่าวไว้ว่า 50 อันดับแรกของอัจฉริยะด้าน AI อาจไม่ได้อยู่ในจีนแต่เราอาจสร้างพวกเขาขึ้นมาเองได้

DeepSeek R1 ซึ่งเป็นโมเดลAI ล่าสุดของบริษัท เปิดตัวเมื่อวันที่20 มกราคมที่ผ่านมา และกลายเป็นกระแสไปทั่วโลกในชั่วข้ามคืน เพราะสามารถแข่งขันกับ GPT-4 ของ OpenAI หรือ Gemini ของ Googleความสำเร็จของ DeepSeekสั่นสะเทือนวงการ AI ของสหรัฐฯ ทันที เพราะตกตะลึงที่จีนพัฒนา DeepSeek ได้ด้วยเงินทุนเพียงเศษเสี้ยวของสหรัฐฯ จนหลายฝ่ายสงสัยว่า แล้วสหรัฐฯ จะแข่งขันปัจจัยต้นทุนได้อย่างไร ทำไมจึงต้องสิ้นเปลืองเงินทุนและทรัพยากรขนาดนั้น และที่สำคัญ สหรัฐฯ จะสูญเสียความเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์ให้กับจีนแล้วหรือไม่

คำถามและความไม่แน่นอนเหล่านี้ ส่งผลทำให้เกิดสภาพตลาดทุนในวันที่ 27 มกราคม ดัชนี NASDAQ ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของวอลล์สตรีท ร่วงลงมากกว่า 3% มีการเทขายหุ้นผู้ผลิตชิพและศูนย์ข้อมูลทั่วโลก ราคาหุ้นของNvidia บริษัทสัญชาติอเมริกันที่ผลิตชิพทรงพลังที่สามารถประมวลผล AI ได้ ร่วงลง 17% ภายในเวลาเพียงวันเดียว สูญเสียมูลค่าตลาดไปเกือบ 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 20 ล้านล้านบาท) เป็นการลดต่ำมากที่สุดในวันเดียวในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ จากที่เพิ่มขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ที่วัดจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด Nvidia ร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 3รองจาก Apple และ Microsoft

ความสำเร็จของ DeepSeek ยังส่งแรงกระเพื่อมไปถึงระดับการเมืองของสหรัฐฯ มาร์ก อันเดรสเซนนักลงทุนด้านเทคโนโลยีชื่อดัง ถึงกับขนานนามว่านี่คือ SputnikMoment หรือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ปลุกให้สหรัฐฯ ตระหนักถึงการแข่งขันทางเทคโนโลยี เช่นเดียวกับช่วงที่อดีตสหภาพโซเวียต ส่งดาวเทียมสปุตนิค-1 (Sputnik -1) ขึ้นสู่วงโคจรโลกในปี 2500

ขณะที่ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาแสดงความเห็นว่า ความก้าวหน้าของ DeepSeek เป็น เสียงปลุกให้สหรัฐฯ ตื่นตัว ในการแข่งขันด้าน AI กับจีน

ปัจจุบัน AI ถือเป็นสมรภูมิสำคัญระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ดำเนินมาตรการจำกัดการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์และชิพประสิทธิภาพสูงไปยังจีนเพื่อชะลอการพัฒนา AI ของประเทศคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า ข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนการพัฒนาของ DeepSeek อาจต้องได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน ยังต้องจับตามองว่า AI ของ DeepSeek ซึ่งดำเนินงานภายใต้กฎเกณฑ์ด้านการควบคุมข้อมูลของรัฐบาลจีน จะสามารถแข่งขันในระดับสากลได้หรือไม่

นักวิเคราะห์บางคนมองว่า ความสำเร็จของ DeepSeek อาจถูกจำกัดโดยนโยบายของรัฐบาลจีน เนื่องจากโมเดล AI ของบริษัทต้องดำเนินงานภายใต้การควบคุมข้อมูลที่เข้มงวด ซึ่งหมายความว่าอาจมีข้อจำกัดในการใช้งานเมื่อเทียบกับ OpenAI หรือ Meta ที่มีเสรีภาพในการพัฒนาโมเดลมากกว่า

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แน่นอนคือ DeepSeek และ เหลียงเหวินเฟิง ได้เปลี่ยนบทสนทนาเกี่ยวกับ AI ในระดับโลกไปแล้ว ไม่ว่าอนาคตของ DeepSeek จะเป็นอย่างไรก็ตาม

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : ทรัมป์เซ็นคำสั่งเผยเอกสารคดี ลอบสังหาร ‘จอห์น เอฟ. เคนเนดี’

คุยกัน7วันหน : ทรัมป์เซ็นคำสั่งเผยเอกสารคดี  ลอบสังหาร ‘จอห์น เอฟ. เคนเนดี’

คุยกัน7วันหน : ทรัมป์เซ็นคำสั่งเผยเอกสารคดี ลอบสังหาร ‘จอห์น เอฟ. เคนเนดี’

วันอาทิตย์ ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารมากกว่า 10 คำสั่ง ที่ล้วนแล้วแต่สั่นสะเทือนแวดวงการเมืองทั้งในประเทศและต่างแดน

แต่หนึ่งในคำสั่งฝ่ายบริหารที่หลายคนให้ความสนใจ เห็นจะเป็นการลงนามคำสั่งถอดสถานะชั้นความลับของเอกสารรัฐบาล ที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ.เคนเนดี หรือ JFK, วุฒิสมาชิกโรเบิร์ตเคนเนดี และ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และยังคงเป็นประเด็นที่มีการตั้งคำถามและข้อสงสัยจากสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง

คำสั่งของทรัมป์กำหนดให้เจ้าหน้าที่จัดทำแผนการปลดล็อกข้อมูลภายใน 15 วัน ที่อาจกลายเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้คำถามมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน หลังจากทรัมป์ได้สัญญาในระหว่างการหาเสียงว่าเขาจะเปิดเผยเอกสารข่าวกรองต่างๆ ที่เป็นความลับเกี่ยวกับการลอบสังหาร JFK ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐฯ ในปี 1963 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่คนอเมริกันให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง เพื่อสร้างความโปร่งใส หลังจากพยายามเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวระหว่างเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก แต่ถูกแรงกดดันจากสำนักข่าวกรองกลาง หรือ CIA และสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ หรือ FBI เกี่ยวกับเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ จึงยอมล้มเลิกไป

การลอบสังหาร JFK ยังคงเป็นเรื่องที่น่าสนใจในสหรัฐอเมริกาและผู้คนทั่วโลก และมีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับเหตุสะเทือนโลกครั้งนั้นทำให้ทั่วโลกจับตามองความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของผู้นำสหรัฐฯ อย่างยิ่ง โดยเฉพาะในประเด็นที่มีการอ้างว่า เขาถูกยิงโดยมือปืนเพียงคนเดียว และหน่วยงานรัฐบาลและกระทรวงยุติธรรมสหรัฐยังคงยืนยันว่าสมมุติฐานนี้เป็นเรื่องจริงแต่ผลสำรวจระบุว่า ชาวอเมริกันหลายคนยังคงเชื่อว่าการตายของเขามีความเกี่ยวข้องกับการสมคบคิดที่กว้างขวาง

ย้อนรอยการลอบสังหาร จอห์น เอฟ. เคนเนดี

22 พฤศจิกายน 1963

ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี หรือ JFK ถูกยิงเสียชีวิตขณะเดินทางในขบวนรถเปิดหลังคาในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส โดยระหว่างที่ขบวนรถเดินทางผ่านถนน Elm Street ขณะที่JFK นั่งอยู่ในรถกับ แจ็กเกอลีน ภรรยา,จอห์น คอนนอลลี ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส และภรรยา ได้เกิดเสียงปืนดังขึ้น 3 ครั้งโดยเคนเนดีถูกยิง 2 นัดที่บริเวณคอและศีรษะ

สิ่งที่ทำให้การลอบสังหาร JFKยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้คนทั่วโลกคือการที่มันถูกบันทึกไว้ในภาพยนตร์สั้นที่รู้จักกันในชื่อ ฟิล์ม Zapruder ความยาว 26 วินาที ถ่ายโดย อับราฮัมซาปรูเดอร์ ช่างตัดเย็บเสื้อผ้าในดัลลัส ซึ่งบังเอิญยืนอยู่ในจุดเกิดเหตุ คลิปแสดงให้เห็นช่วงเวลาที่กระสุนถูกยิงใส่JFK ขณะเขาและแจ็กเกอลีน สตรีหมายเลข 1 กำลังนั่งรถลีมูซีน ภาพของแจ็กกี้ในชุดสูทสีชมพูที่พยายามปีนขึ้นไปบนท้ายรถเพื่อช่วยเหลือสามี กลายเป็นภาพที่ชัดเจนในจิตใจของทุกคนที่ได้เห็นนี่จึงไม่ใช่เพียงการลอบสังหารที่เกิดขึ้นต่อหน้าสาธารณชน แต่ยังเป็นครั้งแรกที่เหตุการณ์สะเทือนขวัญเช่นนี้ถูกบันทึกภาพไว้ได้อย่างชัดเจน

ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ (Lee Harvey Oswald) เป็นผู้ต้องสงสัยหลักในคดีนี้ เขาถูกจับกุมหลังจากเหตุการณ์ไม่กี่ชั่วโมง และถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าฆ่าเคนเนดี รายงานของคณะกรรมการวอร์เรน ในปี 1964 ระบุว่า ลี ฮาร์วีย์ออสวอลด์ เป็นมือปืนเพียงคนเดียวที่ยิงJFK จากชั้น 6 ของอาคาร Texas School Book Depository โดยยิงทั้งหมด 3 นัดในเวลาอันสั้น แต่ทฤษฎีนี้ถูกตั้งคำถามอย่างหนัก ทั้งในเรื่องของจำนวนกระสุน ทิศทางการยิง และความเป็นไปได้ที่ออสวอลด์จะสามารถลงมือได้เพียงคนเดียว

สิ่งที่ทำให้ผู้คนยังสงสัยมากขึ้นคือ การที่ออสวอลด์ถูก แจ็ค รูบี ยิงเสียชีวิตหลังจากถูกจับกุมเพียง 2 วัน ทำให้ไม่มีใครได้ยินคำให้การจากเขาโดยตรง ทฤษฎีสมคบคิดที่ตามมาจึงหลากหลาย ตั้งแต่การเกี่ยวข้องของ CIA รัฐบาลคิวบา ม็อบมาเฟีย ไปจนถึงองค์กรลับหรือกลุ่มต่างๆ ที่ไม่พอใจกับนโยบายของ JFK และต้องการกำจัด JFK

ในปี 2023 พอล แลนดิส อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับผู้ดูแล แจ็กกี้ เคนเนดี ในวันเกิดเหตุ ได้เปิดเผยข้อมูลใหม่ว่า เขาเคยเก็บกระสุนจากรถลีมูซีนของประธานาธิบดี และนำไปวางไว้บนเปลของ JFK ที่โรงพยาบาล นี่เป็นข้อมูลที่ขัดแย้งกับรายงานเดิมที่ระบุว่า กระสุนนั้นถูกพบบนเปลของ จอห์น คอนนอลลี ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส ซึ่งนั่งในรถคันเดียวกับ JFK ข้อมูลของแลนดิสสร้างความสั่นสะเทือนอย่างยิ่ง เพราะหากกระสุนดังกล่าวไม่ได้มาจากเปลของคอนนอลลี ก็อาจหมายความว่ามีมือปืนมากกว่าหนึ่งคน หรือการยิงไม่ได้เกิดขึ้นตามที่รายงานวอร์เรนระบุ

ขณะที่ โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดีจูเนียร์ ลูกชายของ โรเบิร์ต เคนเนดี และหลานชายของ JFK เชื่อว่า CIA มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของ JFK ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่หน่วยงานดังกล่าวได้ปฏิเสธว่าเป็นข้อมูลที่ไม่มีมูลความจริง ทั้งนี้โรเบิร์ต เคนเนดี จูเนียร์ ยังกล่าวว่าเขาเชื่อว่า โรเบิร์ต เคนเนดี พ่อของเขาถูกฆ่าด้วยมือปืนหลายคน ซึ่งเป็นการกล่าวที่ขัดแย้งกับคำกล่าวอ้างอย่างเป็นทางการด้วยเช่นกัน

การลอบสังหาร JFK ยังกลายเป็นแรงบันดาลใจในงานศิลปะ วรรณกรรม และภาพยนตร์จำนวนมาก หนังสือกว่า 40,000 เล่มเกี่ยวกับ JFK ถูกเขียนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานวิชาการที่วิเคราะห์เหตุการณ์ ไปจนถึงนิยายที่จินตนาการถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ เช่น 11/22/63 ของ สตีเฟน คิง ที่เล่าเรื่องนักเดินทางข้ามเวลาที่พยายามหยุดการลอบสังหาร หรือภาพยนตร์ JFK ของ โอลิเวอร์ สโตน ที่เสนอทฤษฎีว่า CIA อาจเกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร

การลอบสังหาร JFK จึงไม่ใช่แค่เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของปริศนาที่ไม่มีวันจบสิ่งนี้ทำให้ผู้คนทั่วโลกยังคงสนใจ และตั้งคำถามถึงความจริงที่ซ่อนอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ต่อไป

โดย ดาโน โทนาลี