คุยกัน7วันหน : จับตา TikTok เตรียมปิดแอปในสหรัฐฯ วันนี้ ทำเกิด ‘ผู้ลี้ภัย’ สู่โลกใบใหม่ ‘เสี่ยวหงซู’

คุยกัน7วันหน : จับตา TikTok เตรียมปิดแอปในสหรัฐฯ วันนี้  ทำเกิด ‘ผู้ลี้ภัย’ สู่โลกใบใหม่ ‘เสี่ยวหงซู’

คุยกัน7วันหน : จับตา TikTok เตรียมปิดแอปในสหรัฐฯ วันนี้ ทำเกิด ‘ผู้ลี้ภัย’ สู่โลกใบใหม่ ‘เสี่ยวหงซู’

วันอาทิตย์ ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2568, 07.00 น.

หลายฝ่ายกำลังจับตาดูกันว่า ติ๊กต็อก (TikTok) จะปิดการให้บริการในสหรัฐฯ ที่มีชาวอเมริกันใช้งาน 170 ล้านคน ในวันที่ 19 ม.ค. ซึ่งเป็นวันที่คำสั่งห้ามใช้งานแพลตฟอร์มยอดนิยมดังกล่าวในสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้จริงหรือไม่ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง เมื่อผู้ใช้งานในสหรัฐฯ เปิดแอปพลิเคชั่นในวันนี้จะมีป๊อปอัพเป็นข้อความแจ้งเตือนพร้อมลิงก์ที่นำไปยังเว็บไซต์ที่โพสต์รายละเอียดเกี่ยวกับการแบนครั้งนี้โดยจะเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับบัญชีของตนเองออกมาเก็บไว้ได้

สำหรับสาเหตุของการตัดสินใจปิดตัวในครั้งนี้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนต้องการให้แพลตฟอร์มนี้อยู่ภายใต้บริษัทแม่อย่างไบต์แดนซ์ (Bydance) ต่อไป หลังจากไบต์แดนซ์ตัดสินใจไม่ขายติ๊กต็อกในสหรัฐฯ ก่อนถึงเส้นตายในวันดังกล่าว ขณะที่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ศาลฎีกาของสหรัฐฯ พิจารณาขั้นสุดท้าย ไฟเขียวบังคับใช้กฎหมายและอนุญาตให้ติ๊กต็อกถูกแบนในวันอาทิตย์ ตามที่รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกกฎหมายเมื่อเดือนเมษายน 2567 ให้แบนการใช้งานติ๊กต็อกในสหรัฐฯ หากไบต์แดนซ์ไม่ขายแพลตฟอร์มนี้

นั่นทำให้หลังจากนี้ อนาคตของแอปฯ ติ๊กต็อก ในสหรัฐฯ จะขึ้นอยู่กับโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้เตรียมดำรงตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม หลังจากคำสั่งแบนติ๊กต็อกมีผลได้เพียง 1 วัน หลายสื่อในสหรัฐฯ รายงานว่า ทรัมป์กำลังพิจารณาออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อระงับการแบนดังกล่าวภายใน 60-90 วัน ถือเป็นการกลับลำมาสนับสนุนติ๊กต็อก หลังจากที่เขาใช้แพลตฟอร์มนี้หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2567 และได้รับความนิยมอย่างมาก จากเดิมที่เขาพยายามจะปิดกั้นแพลตฟอร์มนี้ในสหรัฐเมื่อปี 2563 และบีบให้ขายให้กับบริษัทอเมริกัน

ขณะที่ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้หารือกันในหลากหลายประเด็น รวมถึงติ๊กต็อก การค้า และเรื่องไต้หวัน ระหว่างการสนทนากันทางโทรศัพท์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาไม่กี่วันก่อนทรัมป์ สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันที่ 20 มกราคมนี้

สถานการณ์ของติ๊กต็อกในสหรัฐฯทำให้บรรดาผู้ใช้งานอินเตอร์เนตชาวจีนบนแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดนิยมแห่งหนึ่ง ต่างรู้สึกถึงการหลั่งไหลเข้ามาอย่างฉับพลันของผู้ใช้งานหน้าใหม่ชาวต่างชาติ ซึ่งเรียกขายตัวเองว่าเป็น “ผู้อพยพ” จากติ๊กต็อกเนื่องด้วยวิตกกังวลความเสี่ยงว่ารัฐบาลสหรัฐฯ อาจสั่งแบนแอปพลิเคชั่นติ๊กต็อกภายในช่วงระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์

รายงานระบุว่า “เสี่ยวหงซู” (Xiaohongshu) แพลตฟอร์มของจีนที่ผสมผสานจุดเด่นของอินสตาแกรม(Instagram) และพินเทอเรสต์ (Pinterest)เข้าด้วยกัน เกิดกระแสติดแฮชแท็กอย่าง #TikTokRefugee หรือ #ผู้ลี้ภัยจากติ๊กต็อก เป็นจำนวนหลายแสนโพสต์จากบัญชีผู้ใช้งานที่ส่วนใหญ่ลงทะเบียนอยู่ในสหรัฐฯ การพุ่งขึ้นดังกล่าวส่งผลให้เสี่ยวหงซูหรือที่ต่างชาติรู้จักกันในชื่อ “เรดโน้ต” (RedNote) ทะยานขึ้นครองตำแหน่งแอปพลิเคชั่นที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดบน App Storeในสหรัฐฯ ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน

ท่ามกลางการรอลุ้นผลลัพธ์สุดท้าย บรรดานักสร้างสรรค์เนื้อหาออนไลน์บางส่วนไม่ยอมเสียเวลาเปล่าประโยชน์กับคำสั่งแบนอันย้อนแย้งกับความเป็นจริง โดยผู้ลี้ภัยจากติ๊กต็อกรายหนึ่งบนเสี่ยวหงซู โพสต์คลิปวีดีโอสั้นที่เผยว่า “พวกเขาพยายามแบนติ๊กต็อก (ด้วยข้ออ้างความมั่นคงของชาติ) แต่ตอนนี้ทุกคนแห่กันมาใช้แอปพลิเคชั่นของจีนที่แท้จริงแล้ว”

“เหล่าผู้ลี้ภัยจากติ๊กต็อกกำลังอพยพมายังแอปพลิเคชั่นของจีนโดยยินยอมให้ข้อมูลโดยตรงอย่างเต็มใจ” อีกหนึ่งโพสต์เสียดสีบนแอปพลิเคชั่นเอ็กซ์ (X) หรืออดีตทวิตเตอร์

“ผู้ลี้ภัยจากติ๊กต็อก” ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้ใช้งานเสี่ยวหงซู ซึ่งแบ่งปันรูปถ่ายและคลิปวีดีโอร่วมกับสมาชิกผู้ใช้งานหน้าใหม่นำเสนออาหารและการเดินทางท่องเที่ยวรวมถึงบทเรียนภาษาฟรี เนื่องจากเนื้อหาบนเสี่ยวหงซูส่วนใหญ่เป็นภาษาจีน

เสี่ยวหงซู ก่อตั้งปี 2013 เดิมทีมุ่งเน้นให้คำแนะนำเกี่ยวกับการช้อปปิ้งต่อมาปรับเปลี่ยนสู่การเป็นแพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์ครบวงจร ซึ่งผสมผสานสื่อสังคมออนไลน์และอี-คอมเมิร์ซเข้าด้วยกัน โดยผู้ใช้งานสามารถแบ่งปันเนื้อหาและซื้อสินค้าโดยตรงผ่านแอปพลิเคชั่น สร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบไม่มีสะดุดกวนใจ

ผู้ใช้งานเสี่ยวหงซูรายหนึ่ง ซึ่งทำงานเป็นล่ามภาษาอังกฤษในกรุงปักกิ่งโพสต์ข้อความว่า “ยินดีต้อนรับทุกคนสู่ชุมชนที่เปี่ยมด้วยพลังความมีชีวิตชีวาและสีสัน” และโพสต์จากผู้ใช้งานอีกรายซึ่งมาจากมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ระบุว่า“เริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ด้วยอาหารจีนกันเถอะ” พร้อมแนะนำเมนูเด็ดประจำมณฑลซื่อชวน

ขณะเดียวกันนักศึกษาชาวจีนบางส่วนเริ่มต้นขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับการบ้านภาษาอังกฤษของพวกเขา ซึ่งพวกเขาได้รับความช่วยเหลือจริงๆ โดย “ผู้ลี้ภัยจากติ๊กต็อก” ที่ใช้ชื่อ Rosie_in_Wonderland บอกว่าเสี่ยวหงซูคล้ายคลึงกับติ๊กต็อกมากในแง่การสร้างสรรค์เนื้อหาและใช้งานง่าย

การแบนติ๊กต็อกที่อาจเกิดขึ้นนั้นไม่ได้เป็นเพียงกรณีเดียว เพราะช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีของจีน รวมถึงหัวเหวย (Huawei) และดีเจไอ (DJI) ตกเป็นเป้าหมายของรัฐบาลวอชิงตันอย่างอยุติธรรมเพิ่มขึ้นโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตรการต่างๆ มาจำกัดควบคุมการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีจีนเหล่านี้

หลี่ว์เซียง นักวิจัยอาวุโสประจำศูนย์จีนและโลกาภิวัตน์ กล่าวว่าผู้ใช้งานติ๊กต็อกในสหรัฐฯ กำลังแสดงพลังต่อต้านว่าไม่ยอมรับการกดขี่กลุ่มบริษัทที่ไม่ใช่ของสหรัฐฯ ซึ่งดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจอย่างเป็นปกติ และการกระทำลักษณะดังกล่าวของกลุ่มนักการเมืองสหรัฐฯ กำลังสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของประชาชนชาวอเมริกันโดยตรง

หลี่ว์เสนอว่า รัฐบาลวอชิงตันควรปรับเปลี่ยนสู่มุมมองที่เปิดกว้าง ยอมรับการแข่งขันที่เป็นธรรม และส่งเสริมกลุ่มบริษัทของสหรัฐฯ สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เครือข่ายสังคมออนไลน์ใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ใช้งานชาวอเมริกัน

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : นักวิทย์จีนตั้งชื่อ ‘แมงมุมชนิดใหม่ 16 สายพันธุ์’ ตามชื่อเพลงของ ‘เจย์ โจว’

คุยกัน7วันหน : นักวิทย์จีนตั้งชื่อ ‘แมงมุมชนิดใหม่ 16 สายพันธุ์’  ตามชื่อเพลงของ ‘เจย์ โจว’

คุยกัน7วันหน : นักวิทย์จีนตั้งชื่อ ‘แมงมุมชนิดใหม่ 16 สายพันธุ์’ ตามชื่อเพลงของ ‘เจย์ โจว’

วันอาทิตย์ ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2568, 07.00 น.

เจย์ โจว (Jay Chou) หรือ โจวเจี๋ยหลุน เป็นนักร้องป๊อปชื่อดังชาวจีนที่มีพรสวรรค์ด้านดนตรี เขาคือผู้สร้างสรรค์ผลงานเพลงที่ถ่ายทอดความโรแมนติก ความคิดถึงวันวาน และเสน่ห์ของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม หากแฟนๆ เปิดฟังเพลงของเขาในช่วงนี้ อาจจะนึกถึงสิ่งใหม่ๆ อย่างเช่น “แมงมุม”

งานวิจัยวิทยาศาสตร์ฉบับล่าสุดที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนเพลงชาวจีน จากการตั้งชื่อแมงมุมสายพันธุ์ใหม่ 16 สายพันธุ์ตามชื่อเพลงที่โด่งดังของนักร้องวัย 45 ปี รายนี้

แมงมุมสายพันธุ์ใหม่เหล่านี้ซึ่งถูกจัดอยู่ใน 6 สกุล ได้รับการค้นพบที่สวนพฤกษศาสตร์เขตร้อนสิบสองปันนาแห่งสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS) ในมณฑลยูนนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ จวบจนถึงปัจจุบันจีนพบแมงมุมทั้งหมด 920 สายพันธุ์ในสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ที่มีขนาดใหญ่11 ล้านตารางเมตร และได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานที่ที่มีความหลากหลายของสายพันธุ์แมงมุมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ชื่อของแมงมุมเหล่านี้ได้แก่ “อันจิ้ง” (Silence-เงียบสงบ), “หลงเฉวียน” (Dragon Fist-หมัดมังกร), “เย่ฉวี่” (Nocturne-บทเพลงแห่งรัตติกาล), “ไฉ่หง” (Rainbow-สายรุ้ง) และ “เต้าเซียง” (Rice Field-นาข้าว) ซึ่งนักวิจัยบันทึกชื่อเหล่านี้ด้วยพินอินในเอกสารภาษาอังกฤษที่ตีพิมพ์ในวารสาร “การวิจัยด้านสัตววิทยา : ความหลากหลายและการอนุรักษ์” (Zoological Research :Diversity and Conservation) เมื่อเดือนธันวาคมของปี 2024

เมื่อถูกถามถึงแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อ หลี่ซูเฉียง หัวหน้าทีมวิจัยจากสถาบันสัตววิทยา แห่งสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีนได้ให้คำตอบที่น่าประทับใจ โดยกล่าวกับสำนักข่าวซินหัว ว่า สมาชิกในทีมของเขาทุกคนที่เกิดช่วงปี 1980-2000 ล้วนเป็นแฟนเพลงตัวยงของนักร้องและนักแต่งเพลงจากไต้หวันรายนี้ “พวกเขาเติบโตมากับการฟังเพลงของเจย์ โจว”หลี่กล่าว พร้อมเสริมว่าทีมงานมักฟังเพลงของเจย์ โจว ในเวลาว่างอันนำไปสู่การตัดสินใจตั้งชื่อสายพันธุ์แมงมุมทั้ง 16 ตามชื่อเพลงของเขา

ส่วนการเลือกชื่อให้แมงมุมแต่ละตัว หลี่เผยว่าไม่ได้ยึดหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด แต่เป็นการสุ่มเลือกโดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับลักษณะของแมงมุม

หมี่เสี่ยวฉี ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยถงเหรินในมณฑลกุ้ยโจวผู้เขียนหลักของงานวิจัยชิ้นนี้ ก็เป็นผู้ที่ชื่นชอบในตัวเจย์ โจว เช่นกัน หมี่ในวัยไล่เลี่ยกับ เจย์ โจว กล่าวว่า เขาเคยตั้งชื่องานที่ค้นพบจากลักษณะทางกายภาพของสัตว์ แต่ในปี 2022 เนื่องจากชื่อที่เขาตั้งนั้นไปซ้ำกับงานวิจัยชิ้นก่อนหน้าของคนอื่น ทำให้บทความของเขาไม่ได้รับการตีพิมพ์อย่างราบรื่น “ตั้งแต่นั้นมาผมจึงระมัดระวังมากขึ้นในการตั้งชื่อแมงมุม ครั้งนี้ผมจึงเลือกวิธีตั้งชื่อที่แตกต่างออกไปเพื่อป้องกันชื่อซ้ำ” หมี่กล่าว

หมี่กล่าวเสริมว่า การตีพิมพ์การค้นพบสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ 16 สายพันธุ์ในวารสารวิชาการพร้อมๆ กันนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนักวิจัยที่มีประสบการณ์หลายปี “ผมคุ้นเคยกับสายพันธุ์แมงมุมทั้งหมด แค่มองแวบเดียวก็สามารถบอกได้ว่าสายพันธุ์นั้นอยู่ในหมวดหมู่ใดและเป็นสายพันธุ์ใหม่หรือไม่”

ในสายตาของนักวิจัยแมงมุมชาวจีน สายพันธุ์แมงมุมมากมาย อันรวมถึงสายพันธุ์ที่เพิ่งค้นพบนี้ มีลักษณะเฉพาะที่น่าสนใจ เช่น แมงมุมตัวเมียโตเต็มวัยที่สามารถมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ได้หลายเท่า การค้นพบแมงมุมสายพันธุ์ใหม่จึงสะท้อนถึงความหลากหลายทางชีวภาพของจีน ตลอดจนความสำเร็จในการปกป้องระบบนิเวศ

หลังผลงานวิจัยนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หมี่กล่าวว่า เขารู้สึกพอใจกับความสำเร็จของทีมที่ทำให้ผลงานวิทยาศาสตร์ใกล้ชิดกับสาธารณชนมากขึ้น และหวังว่าผู้คนจะสนใจงานวิจัยของทีมและสนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติกันมากขึ้น

ชาวเนตจีนในโซเชียลยกให้หมี่เป็น “แฟนตัวพ่อ” ของ เจย์ โจว และชมวิธีการตั้งชื่อแมงมุมสายพันธุ์ใหม่ของเขาว่า เป็นวิธีการตามดาราหรือศิลปินที่สุดแสนจะสร้างสรรค์ ขณะที่แฟนๆ ของเจย์ โจว หลายคนยังพบว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักร้องเพลงป๊อปรายนี้มีอิทธพิลต่อแวดวงวิทยาศาสตร์เพราะเมื่อปี 2020 มีนักศึกษาปริญญาโทจากสถาบันธรณีวิทยาและบรรพชีวินวิทยาหนานจิง ได้ค้นพบไทรโลไบต์ (กลุ่มของสัตว์ทะเลขาปล้อง)ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ อายุประมาณ500 ล้านปี และตั้งชื่อมันว่า “แฟนตาซี”(Fantasy) เนื่องจากได้รับแรงบันดาลใจจากอัลบั้มที่สองของ เจย์ โจว โดยนักวิจัยผู้นี้บอกกับสื่อว่า การตั้งชื่อดังกล่าวเป็นวิธีสุดโรแมนติกในการแสดงความยกย่องไอดอลของตน ขณะที่เมื่อปี 2009 นักดาราศาสตร์สมัครเล่น4 คน ที่หลงใหลในเพลงของ เจย์ โจว ก็ได้ค้นพบดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่ง และตั้งชื่อให้มันตามชื่อของเขา

ตั้งชื่อใหม่ได้ ตามแต่ใจจะสร้างสรรค์

ในแวดวงการวิชาการ การตั้งชื่อสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่หรือชนิดใหม่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาการทั่วไป และยึดถือหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้เช่น ชื่อจะต้องไม่ซ้ำกับชื่อของสายพันธุ์ที่มีอยู่เดิม และไม่ควรก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือความขุ่นเคืองใจ

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีพื้นที่สำหรับ “ความคิดสร้างสรรค์” เพราะการผสมผสานวิทยาศาสตร์เข้ากับความเป็นมนุษย์เป็นแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมในหมู่นักวิจัยทั่วโลก โดยเฉพาะนักวิจัยรุ่นใหม่ที่มีความสร้างสรรค์ในการตั้งชื่อ

ระหว่างการสำรวจใต้ทะเลลึกในปี 2019 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบแอมฟิพอด (Amphipod) หรือสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดจิ๋วในทะเลลึกชนิดใหม่ และตั้งชื่อมันว่า “โดโรเธีย” (Dorotea) ตามตัวละครที่งดงามและจิตใจดีในนวนิยายระดับโลกเรื่อง “ดอน กิโฆเต้” (Don Quixote)ในทำนองเดียวกัน เมื่อปี 2018 ก็มีหนอนทะเลลึกชนิดหนึ่งที่ถูกตั้งชื่อว่า “โฮดอร์ โฮดอร์” (Hodor hodor) เพื่อยกย่องตัวละครที่ได้รับความนิยมจากซีรี่ส์แฟนตาซีสัญชาติอเมริกันเรื่องเกมออฟโธรนส์ (Game of Thrones)

หนังสือพิมพ์จีนฉบับหนึ่งแสดงความเห็นว่า การนำเอาองค์ประกอบของเพลงป๊อปมาใส่ในชื่อของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ไม่เพียงแต่เป็นแนวทางที่น่าสนใจ แต่ยังช่วยดึงดูดให้ประชาชนหันมาสนใจวิทยาศาสตร์ และสร้างแรงบันดาลใจให้อยากออกไปสำรวจความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : สหรัฐฯ เป้าหมายใหม่ไอเอส ? ท้าทายทรัมป์ก่อนรับตำแหน่ง

https://www.naewna.com/lady/851201

คุยกัน7วันหน : สหรัฐฯ เป้าหมายใหม่ไอเอส ? ท้าทายทรัมป์ก่อนรับตำแหน่ง

คุยกัน7วันหน : สหรัฐฯ เป้าหมายใหม่ไอเอส ? ท้าทายทรัมป์ก่อนรับตำแหน่ง

วันอาทิตย์ ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2568, 06.45 น.

เหตุสะเทือนขวัญที่คนร้ายใช้รถปิกอัพก่อเหตุรุนแรงถึง 2 ครั้งซ้อนในวันขึ้นปีใหม่ที่สหรัฐฯ สร้างความหวาดกลัวเป็นวงกว้างถึงการกลับมาของการก่อการร้าย ที่เคยคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากในโลกตะวันตก ยุคที่กลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส เรืองอำนาจ สำนักงานสอบสวนกลาง หรือ เอฟบีไอ ต้องเร่งหาคำตอบว่า ไอเอสเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน

วันขึ้่นปีใหม่ 1 มกราคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ เผชิญเหตุรุนแรง 2 เหตุการณ์ในวันเดียวกัน ทั้งเหตุคนร้ายขับรถปิกอัพที่เช่ามา พุ่งชนฝูงชนที่กำลังรวมตัวเฉลิมฉลองวันขึ้นไปใหม่ บนถนนเบอร์เบินในย่านเฟรนช์ ควอเตอร์ ย่านประวัติศาสตร์และแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 14 ศพ และได้รับบาดเจ็บอีก 35 คน ก่อนออกจากรถมายิงใส่เจ้าหน้าที่และถูกยิงวิสามัญ

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ยังเกิดเหตุรถปิกอัพไฟฟ้า ไซเบอร์ทรัค ที่ผลิตโดยบริษัทเทสลา ระบิดด้านนอกโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮเต็ล ในเมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา มีคนในรถเสียชีวิต 1 ศพ และคนอื่นๆ บาดเจ็บอีก 7 คน

จากการสืบสวนของตำรวจพบว่าผู้ก่อเหตุขับรถพุ่งชนคนบนถนนท่องเที่ยวชื่อดังใน นิวออร์ลีนส์ อาจได้รับแรงบันดาลใจมาจากกลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส เนื่องจากพบธงสัญลักษณ์ของกลุ่มไอเอสอยู่ในรถ รวมทั้งพบคลิปวีดีโอที่ แชมซุด-ดิน จาบบาร์ ผู้ก่อเหตุชาวอเมริกัน วัย 42 ปี จากรัฐเท็กซัส ระบุว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากไอเอส และเข้าร่วมกับกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้ แม้ว่าจนถึงขณะนี้ กลุ่มไอเอสจะยังไม่ได้ออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีในครั้งนี้

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ขั้นตอนและวิธีการในการก่อเหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้แทบจะลอกแบบมาจากคู่มือการก่อการร้ายของไอเอส โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิดที่สามารถจับภาพของรถปิกอัพสีขาวที่ขับมาตามถนน ก่อนที่จะเร่งความเร็วและหักเลี้ยวเข้าไปในถนนเบอร์เบิน เพื่อพุ่งชนผู้คนที่ออกมาเดินถนนในค่ำคืนของการเฉลิมฉลอง เหตุการณ์นี้จบลงหลังจากผู้ก่อเหตุลงจากรถและเปิดฉากยิง ก่อนที่จะถูกตำรวจวิสามัญฆาตกรรม โดยมีผู้เสียชีวิตจากเหตุโจมตีอย่างน้อย 14 ศพ และบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 35 คน

เจ้าหน้าที่สืบสวนยังพบในเวลาต่อมาว่า รถปิกอัพทั้งสองคันที่ใช้ในการก่อเหตุทั้งสองเหตุการณ์นี้ ถูกเช่ามาจากบริษัทเช่ารถผ่านแอปพลิเคชั่นบริษัทเดียวกัน จนมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า สองเหตุการณ์นี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่จนถึงขณะนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่พบความเชื่อมโยงของทั้งสองเหตุการณ์นี้ และมุ่งเน้นประเด็นการก่อการร้ายในเหตุการณ์ขับรถพุ่งชนคนที่นิวออร์ลีนส์เป็นหลัก

นับตั้งแต่ปี 2557 ที่กลุ่มไอเอสประกาศให้ผู้สนับสนุนใช้วิธีขับรถพุ่งชนคนถ้าไม่สามารถวางระเบิดหรือก่อเหตุกราดยิงได้ เหตุโจมตีที่นีซในวันชาติฝรั่งเศสเมื่อปี 2559 ก็กลายเป็นการก่อการร้ายจากฝีมือนักรบไอเอส ที่ใช้รถพุ่งชนคนครั้งใหญ่เป็นครั้งแรก ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 86 ศพ และอีกหลายร้อยคนได้รับบาดเจ็บ

เหตุการณ์ดังกล่าวตามมาด้วยการโจมตีในลักษณะคล้ายๆ กันในหลายเมืองใหญ่ของโลกตะวันตก เช่น เหตุขับรถบรรทุกพุ่งชนคนในตลาดคริสต์มาสที่กรุงเบอร์ลินของเยอรมนี เหตุขับรถชนคนบนสะพานเวสต์มินเตอร์ ด้านนอกอาคารรัฐสภาในกรุงลอนดอนของอังกฤษเหตุขับรถพุ่งชนคนบนถนนท่องเที่ยวในบาร์เซโลน่าของสเปน ไปจนถึงที่นิวยอร์ก เมื่อปี 2560 ที่ผู้ก่อเหตุโจมตีโดยมีเป้าหมายเพื่อเข้าร่วมกลุ่มไอเอส

จุดร่วมอย่างหนึ่งของการก่อเหตุเหล่านี้ นอกจากเรื่องแนวคิดอิสลามสุดโต่งแล้ว ก็คือ การใช้วิธีการใดในการก่อเหตุก็ได้ เพื่อคร่าชีวิตของผู้คนให้ได้มากที่สุด โดยตามตำราของไอเอส นั่นก็คือ การขับรถพุ่งชน ก่อนจะเริ่มเปิดฉากยิง หรือไล่แทงคน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ก็มักจะจบลงด้วยการที่ผู้ก่อเหตุถูกวิสามัญฆาตกรรม

ไม่น่าแปลกใจที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อการร้ายหลายคนจะออกมาตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มเกี่ยวข้องกับตัวผู้ก่อเหตุมากน้อยแค่ไหน และมีบทบาทในเหตุโจมตีที่นิวออร์ลีนส์ ในฐานะแรงบันดาลใจหรือเป็นผู้สั่งการโดยตรง

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เอฟบีไอและซีไอเอ ต่างส่งสัญญาณตรงกันว่า สหรัฐฯ กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะเผชิญเหตุก่อการร้าย โดยเฉพาะนับตั้งแต่สถานการณ์ในตะวันออกกลางร้อนระอุจากเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 ซึ่งเจ้าหน้าที่พบว่า กลุ่มไอเอสใช้โฆษณาชวนเชื่อบนสื่อสังคมออนไลน์และชักจูงคนให้เข้าเป็นสมาชิก เพื่อก่อเหตุโจมตีในสหรัฐฯ

การขับรถพุ่งชนคนเป็นการโจมตีที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่กลุ่มผู้ก่อเหตุที่มีแนวคิดอิสลามสุดโต่งเท่านั้น เรายังเห็นเหตุโจมตีลักษณะนี้ด้วยสาเหตุอื่นๆ บ่อยมากขึ้น เช่น ที่ ชาร์ลอตส์วิลล์รัฐเวอร์จิเนีย เมื่อปี 2560 ผู้ก่อเหตุมีแนวคิดเชิดชูคนผิวขาวและขับรถชนผู้ประท้วงต่อต้านแนวคิดดังกล่าว ส่วนเหตุโจมตีในออนแทริโอ เมื่อปี 2564 ผู้ก่อเหตุชาวแคนาดาซึ่งมีแนวคิดเชิดชูคนผิวขาว ตั้งใจขับรถชนครอบครัวชาวมุสลิม ขณะที่บางเหตุการณ์ ผู้ก่อเหตุอาจมีปัญหาด้านสุขภาพจิต เครียดหรือโกรธแค้นสังคม อย่างเช่น ที่จีน เมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตที่ศูนย์กีฬาในเมืองจูไห่มากถึง 35 ศพ

เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เอฟบีไอจับมือกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายแห่งชาติ ประกาศคำเตือนไปยังตำรวจเกี่ยวกับภัยคุกคามร้ายแรงจากผู้ก่อเหตุที่ลงมือเพียงลำพัง ในช่วงเทศกาลฤดูหนาว หน่วยงานในสหรัฐฯ ประเมินว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะพุ่งเป้าโจมตีไปที่สถานที่สาธารณะที่ใช้จัดงานรวมตัวขนาดใหญ่ แต่มีการรักษาความปลอดภัยต่ำกว่าที่อื่นๆ โดยจะใช้วิธีก่อเหตุที่ไม่ซับซ้อน เช่น ใช้มีดไล่แทงคน ใช้ปืนกราดยิง หรือขับรถพุ่งชนคน เนื่องจากเป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่านการฝึกซ้อม เข้าถึงอาวุธได้ง่ายและก่อให้เกิดความสูญเสียร้ายแรง

ในระยะหลังๆ มานี้ สถานการณ์ก่อการร้ายในโลกตะวันตกดูจะไม่ได้รุนแรงเหมือนในอดีต โดยรายงานดัชนีก่อการร้ายโลกฉบับล่าสุด ชี้ว่า เมื่อปี 2566 เกิดเหตุก่อการร้ายในโลกตะวันตก 25 เหตุการณ์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 21 ศพต่ำที่สุดในรอบ 15 ปี แต่สถานการณ์ในสหรัฐฯ เลวร้ายกว่าชาติอื่นๆ ตัวเลขผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งเผชิญเหตุโจมตีที่เข้าข่ายก่อการร้ายไม่ต่ำกว่า 7 ครั้ง

สามารถเรียกได้ว่า สถานการณ์ก่อการร้ายเริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง ในยุคที่โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯกำลังจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคมนี้สะท้อนโจทย์ใหญ่การแก้ปัญหาและป้องกันเหตุก่อการร้าย มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นประเด็นหลักในวาระงานของเขา

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : นักท่องเที่ยวไทยบินลัดฟ้า ตะลุยดินแดนน้ำแข็งหิมะ ‘ฮาร์บิน’

คุยกัน7วันหน : นักท่องเที่ยวไทยบินลัดฟ้า ตะลุยดินแดนน้ำแข็งหิมะ ‘ฮาร์บิน’

คุยกัน7วันหน : นักท่องเที่ยวไทยบินลัดฟ้า ตะลุยดินแดนน้ำแข็งหิมะ ‘ฮาร์บิน’

วันอาทิตย์ ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2567, 06.00 น.

กลุ่มนักท่องเที่ยวจากไทย จำนวน377 คน ได้เดินทางด้วยเที่ยวบินโดยสารนาน 6 ชั่วโมงถึงเมืองฮาร์บิน มณฑลเฮยหลงเจียง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ตอนราว 01.00 น. ของวันพุธ (25 ธ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น และเริ่มต้นการเดินทางท่องเที่ยวดินแดนแห่งน้ำแข็งและหิมะ ซึ่งมีอุณหภูมิแตกต่างกับไทยถึง 50 องศาเซลเซียส

สุพัตรา จันทร์หอม นักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่ได้รับแจกหมวกกันหนาวลายดอกไม้ตะวันออกเฉียงเหนือหรือตงเป่ยต้าฮวา บอกว่า ไทยเป็นเมืองร้อนหิมะถือเป็นเรื่องไกลตัวลิบลับ แต่ตอนนี้มันมาอยู่ตรงหน้าแล้ว ก่อนมาที่นี่เธอได้ดูรูปผลงานน้ำแข็งแกะสลักเยอะมาก และได้ยินว่ามีการก่อสร้างพระราชวังน้ำแข็งขนาดใหญ่ยักษ์ด้วย และคิดว่าต้องไปดูให้ได้!

สวนสนุกโลกน้ำแข็ง-หิมะแห่งฮาร์บินประจำปี 2024 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ห้วงฝันฤดูหนาว สายใยรักแห่งเอเชีย” ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมช่วงฤดูหนาวของฮาร์บิน และดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนไม่น้อย ที่นี่จัดแสดงประติมากรรมน้ำแข็งแกะสลักเป็นแลนด์มาร์คของ 42 ประเทศ และ 3 ภูมิภาค ซึ่งเป็นสมาชิกสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย

ทั้งนี้ สามชั่วโมงก่อนเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ลงจอดที่ฮาร์บิน มีเที่ยวบินปฐมฤกษ์ เอ็กซ์เจ 901 ทะยานบินสู่กรุงเทพฯ ทำให้นักท่องเที่ยวจากทั้งสองประเทศได้บินสวนกันกลางน่านฟ้าโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้มอบพัดลมพกพาขนาดเล็กแก่นักท่องเที่ยวจากเฮยหลงเจียงเพื่อคลายร้อนยามท่องเที่ยวประเทศไทย

ยลรวี สิทธิชัย ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกรุงปักกิ่ง กล่าวว่า ปี 2025 ตรงกับวาระครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับจีน และการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนสองประเทศพุ่งสูงแตะระดับใหม่ หลังจากมีการบังคับใช้นโยบายฟรีวีซ่าร่วมกันตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ยลรวีกล่าวว่า ความร่วมมือเหล่านี้จะช่วยกระชับมิตรภาพระหว่างประชาชนชาวจีนกับชาวไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองและการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ มอบประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายแก่นักท่องเที่ยวจากทั้งสองประเทศ

จู จ้านชุน รองผู้อำนวยการสำนักงานท่องเที่ยว ฝ่ายวัฒนธรรม วิทยุภาพยนตร์ และโทรทัศน์ประจำฮาร์บินกล่าวว่า ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนได้ปรับปรุงนโยบายวีซ่าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเพิ่มความสะดวกสบายด้านการชำระเงิน ภาษา การเดินทาง ฯลฯ เพื่อทำให้การท่องเที่ยวจีนเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น

ฮาร์บินนั้นจัดอยู่ในการผ่อนปรนนโยบายเดินทางผ่าน (transit) แบบฟรีวีซ่าล่าสุดของจีน ซึ่งขยายระยะเวลาพำนักที่ได้รับอนุญาตของนักเดินทางชาวต่างชาติที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์จากเดิม 72 และ 144 ชั่วโมง เป็น 240 ชั่วโมง หรือ 10 วัน

จูเสริมว่า ฮาร์บิน จึงยินดีต้อนรับเที่ยวบินท่องเที่ยวแบบเช่าเหมาลำที่บินตรงมาจากไทย พร้อมต้อนรับนักเดินทางท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกอย่างอบอุ่น เพื่อมาสัมผัสเชยชมภูมิทัศน์น้ำแข็ง-หิมะระดับโลกของฮาร์บิน

บล็อกเกอร์สาวไทยเยือน“ฉงชิ่ง”

ไม่เพียงแต่ฮาร์บินเท่านั้น พื้นที่ชมวิวริมแม่น้ำเจียหลิงในมหานครฉงชิ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ยังคงมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาเดินเล่นกันอย่างคึกคัก เพื่อรอชมภาพขบวนรถไฟทะลุตึกสูงด้วยตาตัวเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ เยาวภา แสงจันทร์ หรือหลี่ เพ่ยอิง บล็อกเกอร์สาวสายท่องเที่ยวจากไทย เธอบอกว่า ตั้งใจมาฉงชิ่ง เพราะเป็นบ้านเกิดของ “เซียวจ้าน” ผู้ชายที่หล่อที่สุดของจีนตามความเห็นของชาวเนตจีน โดยเซียวจ้านเป็นดาราจีนที่มีแฟนคลับชาวไทยอยู่มาก และอีกเหตุผลคือ “หม้อไฟหม่าล่า” รสชาติเผ็ดร้อนถูกปากชาวไทยสายแซ่บ

ช่วงไม่กี่ปีมานี้ สถานีหลีจื่อป้าของทางรถไฟรางเบาในฉงชิ่งกลายเป็นแลนด์มาร์คชื่อดังบนโลกโซเชียล ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติมาเช็คอินจุด “รถไฟทะลุตึก” กันเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับ ประวิตร ชาวไทยที่เผยว่าการมาเที่ยวฉงชิ่งเหมือนแกะกล่องสุ่ม ที่นี่มีภูมิประเทศแบบภูเขาและตึกสูงเรียงรายซับซ้อนชวนให้ประหลาดใจได้เสมอยามเดินสำรวจ

จีนได้ปรับปรุงนโยบายวีซ่าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ปี 2024 พร้อมยกระดับความสะดวกสบายด้านการชำระเงิน ภาษา การเดินทาง ฯลฯ เพื่อผลักดันให้ “ไชน่า ทราเวล” (China Travel) หรือ “ท่องเที่ยวจีน” กลายเป็นคำศัพท์ฮิตในตลาดการท่องเที่ยวระหว่างประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยิ่งหลังจากจีนประกาศการผ่อนปรนนโยบายเดินทางผ่าน (transit) แบบฟรีวีซ่า ช่วยขยายระยะเวลาพำนักที่ได้รับอนุญาตของนักเดินทางชาวต่างชาติที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์จากเดิม 72 และ 144 ชั่วโมงเป็น 240 ชั่วโมง หรือ 10 วัน สามารถเดินทางข้ามมณฑลได้ทั่ว 24 มณฑล เขตปกครอง และเทศบาลนคร

กระแส “ไชน่า ทราเวล” หรือ “ท่องเที่ยวจีน” ที่ติดลมบนได้เปิดประตูบานใหม่ในการทำความเข้าใจจีน ทำให้ชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยหลงรักการเดินทางท่องเที่ยวจีน ดังเช่น ใจดี และเพื่อนๆ ของเธอ ซึ่งเดินทางเยี่ยมชมผาหินแกะสลักต้าจู๋ แหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมในฉงชิ่ง เล่าว่าพระพุทธรูปแกะสลักที่นี่แตกต่างกับที่ไทย ทำให้ถ่ายรูปออกมาสวยงามมาก

ข้อมูลจากเอเจนซี่การเดินทางท่องเที่ยวท้องถิ่นฉงชิ่งพบว่านอกจากย่านใจกลางเมืองแล้ว นักท่องเที่ยวชาวไทยยังชื่นชอบแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมนอกตัวเมือง เช่น ผาหินแกะสลักต้าจู๋ และระบบชลประทานตูเจียงเยี่ยนของซื่อชวน (เสฉวน) ที่ซึ่งพรั่งพร้อมด้วยมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิทัศน์ธรรมชาติเป็นเอกลักษณ์ มอบประสบการณ์แปลกใหม่แก่นักท่องเที่ยว

ทั้งนี้ ฉงชิ่ง ยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทยแม้ล่วงเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว โดยข้อมูลสถิติจากซีทริป (Ctrip) พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางเยือนฉงชิ่ง ช่วงเดือนมีนาคม-พฤศจิกายน 2024 เพิ่มขึ้นราวสามเท่าเมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องด้วยอานิสงส์จากข้อตกลงยกเว้นวีซ่าระหว่างจีนกับไทย ซึ่งมีผลบังคับใช้ร่วมกันตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2024

ปัจจุบัน สายการบินบางส่วนในฉงชิ่งได้เริ่มเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินโดยสารแบบไปกลับไทย เพิ่มความสะดวกให้นักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถเดินทางฉงชิ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะแค่มีพาสปอร์ตหนึ่งเล่ม บวกกับบินตรงสามชั่วโมง ก็สามารถมาสำรวจ “เมืองภูเขา” แห่งนี้ได้แล้ว

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : ปิดคดีช็อกโลก สามีวางยาภรรยา ให้คนแปลกหน้าข่มขืน

https://www.naewna.com/lady/848911

คุยกัน7วันหน : ปิดคดีช็อกโลก  สามีวางยาภรรยา ให้คนแปลกหน้าข่มขืน

คุยกัน7วันหน : ปิดคดีช็อกโลก สามีวางยาภรรยา ให้คนแปลกหน้าข่มขืน

วันอาทิตย์ ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2567, 07.15 น.

ปิดฉากไปแล้ว กับคดีที่สร้างความตกใจให้กับผู้คนทั่วทั้งฝรั่งเศสและทั่วโลก กับเรื่องราวของ จีเซล เปลิโคต์ สตรีฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเหยื่อของ โดมินิก เปลิโคต์ สามีของเธอเอง ที่เชื้อเชิญชายหลายสิบคนร่วมกันวางยานอนหลับเพื่อข่มขืน ล่วงละเมิดทางเพศ และบันทึกภาพไว้ภายในบ้านของเธอเองต่อเนื่องเป็นเวลานับสิบปี

หลังจากไต่สวนมานานราว 4 เดือนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (19 ธ.ค.) ศาลในเมืองอาวีญง ตัดสินจำคุก โดมินิกที่ตอนนี้เป็นอดีตสามี เป็นเวลา 20 ปีตามอัยการร้องขอโทษ ในระหว่างการไต่สวน เขาให้การรับสารภาพและได้ขอโทษต่อบาปกรรมที่ทำไว้ ส่วนจำเลยร่วมอีก 50 คน มีประวัติ ที่มา อายุและอาชีพ แตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดทำผิดลักษณะเดียวกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งทุกอย่างปรากฏในคลิปวีดีโอและภาพนิ่งหลายพันภาพที่โดมินิกบันทึกไว้เอง รวมถึงข้อความการติดต่อสื่อสารชี้ชวนของโดมินิกกับจำเลยร่วมที่มัดแน่น ทำให้ผู้พิพากษาตัดสินว่ามีความผิดฐานข่มขืน พยายามข่มขืน และล่วงละเมิดทางเพศ รับโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี จนถึง 15 ปี ทั้งหมดล้วนถูกจำคุกโดยไม่มีการยกฟ้อง จำเลยหลายคนเดินทางมายังศาลพร้อมกระเป๋าสัมภาระที่เตรียมไว้สำหรับการเข้าเรือนจำ บางคนถึงกับร้องไห้และกอดคู่ชีวิต ครอบครัวของเขาก่อนเข้าไปในห้องพิจารณาคดี ส่วน โดมินิก จะไม่มีสิทธิ์ยื่นขอทัณฑ์บนจนกว่าจะรับโทษครบ 2 ใน 3 ของระยะเวลาจำคุก

โดมินิก เปลิโคต์ อดีตสามีจีเซล เป็นอดีตช่างไฟฟ้าและตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ ที่คนในชุมชนมองว่า เป็นคนโอบอ้อมอารี มักเห็นเขาร่วมกิจกรรมกับลูกๆ อยู่เสมอ ไม่มีใครคิดว่าเขานำยานอนหลับผสมกับมันฝรั่งบดกาแฟ และไอศกรีม ให้ภรรยารับประทานแล้วเปิดประตูให้ชายหลายสิบคนเข้ามาข่มขืนถึงในบ้าน ยิ่งไปกว่านั้น เขาซุกซ่อนกล้องวีดีโอบันทึกภาพเปลือยของภรรยา ลูกสาว และ ภรรยาของลูกชาย แล้วนำไปเผยแพร่ออนไลน์

โดมินิกให้การต่อศาลว่า เขาเคยถามภรรยาเรื่องรสนิยมทางเพศเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนคู่นอน แต่เธอปฏิเสธ เธอไม่คิดว่าความคิดนี้จะออกมา
จากสามีที่แสนดีที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเธอมานานกว่า 50 ปี และมีลูกด้วยกันถึง 3 คน เขาเป็นสามีและพ่อที่อบอุ่นมากสำหรับครอบครัว สุดท้ายโดมินิกแก้ต่างว่า มันเป็นเพียงคำถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเท่านั้น

แต่คำตอบของจีเซล กลับเป็นสิ่งที่กระตุ้น ประกอบกับการถูกล่วงละเมิดทางเพศของโดมินิกในวัยหนุ่ม จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาแสดงพฤติกรรมที่น่ารังเกียจกับอดีตภรรยา

ระหว่างปี 2554-2563 โดมินิกได้วางยาจีเซล ที่ปัจจุบันอายุ 72 ปีเท่ากัน ด้วยยากล่อมประสาทและยานอนหลับ โดยที่เธอไม่รู้ตัว ส่งผลให้เธอหมดสติและสูญเสียความทรงจำ จากนั้น โดมินิกได้ใช้เว็บไซต์หนึ่งชักชวนชายแปลกหน้าจากพื้นที่ใกล้เคียง ที่ส่วนใหญ่มาจากเมืองและหมู่บ้านในรัศมี 50 กิโลเมตรจากหมู่บ้านมาซองของครอบครัวเปลิโกต์ให้มาร่วมข่มขืนภรรยาของตัวเองภายในบ้านของพวกเขา ผู้ชายเหล่านี้มีทั้งคนหนุ่ม คนชรา อายุตั้งแต่ 26-74 ปีอาชีพหลากหลาย นักดับเพลิง คนขับรถบรรทุก พนักงานส่งของ ทหาร เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พัศดี ผู้สื่อข่าว และดีเจ

อัยการได้ทำสำนวนจำแนกการกระทำของจำเลยแต่ละคน จำนวนครั้งที่มีพฤติกรรมลวนลาม ล่วงละเมิดทางเพศหรือไม่และลักษณะใด จำเลยคนหนึ่งชื่อ โรแม็ง วี วัย 63 ปี เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีข่มขืนจีเซล ถึง 6 ครั้ง โดยไม่สวมอุปกรณ์ป้องกัน ในขณะที่รู้ว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวีโชคดีที่เขาพ้นสภาวะการแพร่เชื้อ

การกระทำของ โดมินิก ปิดฉากลงเมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในซูเปอร์มาร์เก็ตจับกุมเขาขณะกำลังถ่ายภาพใต้กระโปรงผู้หญิงคนอื่น ต่อมา ตำรวจจึงค้นพบพฤติกรรมที่เลวร้ายนี้ ผ่านคลิปวีดีโอจำนวนมากที่เก็บไว้ในบ้าน ซึ่งเป็นคลิปที่เขาแอบถ่ายมาตลอดเวลานานนับทศวรรษที่กระทำผิดต่อภรรยาของเขา

ขณะที่ผู้ร่วมกระทำอีกหลายคน ปฏิเสธข้อหา โดยบอกว่า พวกเขาไม่เชื่อว่าจีเซลจะถูกวางยา เธออาจแกล้งทำเป็นนอนหลับเพราะขี้อาย นี่คือหนึ่งในขบวนการของครอบครัวนี้ ผู้ต้องหาให้การต่อศาลเพิ่มเติมว่า เขาก็ถูกวางยาเหมือนกับจีเซลเช่นกัน เมื่อไปถึงบ้านเปลิโคต์ เขาถูกบังคับให้ดื่มเครื่องดื่มบางอย่าง และทำให้เขาไม่รู้ตัว ในขณะที่อีกหลายคนบอกว่า ถ้ารู้ว่ามีการตั้งกล้องแอบถ่าย พวกเขาจะปฏิเสธอย่างแน่นอน

ความกล้าหาญของวีรสตรีที่ชื่อ จีเซล เปลิโคต์

จีเซล ได้รับการชื่นชมจนกลายเป็นหนี่งในสตรีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของสื่อหลายสำนัก ในคดีข่มขืนที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส อันที่จริง จีเซลสามารถที่จะร้องขอให้การพิจารณาคดีแบบปิดได้เพื่อไม่ให้เรื่องราวกระจายออกไป แต่เธอกลับเรียกร้องให้เปิดเผยทุกอย่างต่อสาธารณชน ด้วยความหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือสตรีคนอื่นๆ ที่ต้องตกเป็นเหยื่อให้เปิดโปงความเลวร้ายออกมาด้วย การเป็นเหยื่อไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย คนทำผิดต่างหากที่สมควรละอาย

จีเซล เข้าร่วมการพิจารณาคดีเกือบทุกวัน เธอให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “อยากให้ผู้หญิงทุกคนที่เคยถูกข่มขืนคิดว่า ถ้ามาดามเปลิโกต์ทำได้ พวกคุณก็ย่อมทำได้”

จีเซลยื่นฟ้องคดีนี้มานานกว่า 2 ปีทนายความของเธอเล่าว่า เป็นคนแนะนำให้ลูกความของเขาลองถอดแว่นกันแดดออกขณะที่เดินทางไปศาล เพื่อเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ และการพยายามยอมรับ กล้าเปิดเผยความจริงเพื่อสื่อให้สังคมฝรั่งเศสได้เห็นว่า ความอับอายไม่ควรอยู่ข้างเธอ แต่ต้องไปอยู่กับฝั่งของผู้ก่อเหตุทั้งหมด

หลังคำพิพากษาของศาล จีเซลให้สัมภาษณ์กับสื่อทั่วโลกว่า เธอเคารพคำตัดสินของศาล พร้อมกับกล่าวขอบคุณผู้สนับสนุน ทั้งองค์กรสิทธิสตรีต่างๆ นักข่าว ทนายความ โดยบอกว่าคำพูดของพวกเขาทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้งและทำให้เธอมีกำลังใจที่จะเข้าร่วมการพิจารณาคดีทุกวัน พร้อมกับยืนยันว่า เธอไม่เคยรู้สึกเสียใจที่เปิดเผยตัวตนสู่การพิจารณาคดีเพื่อให้สังคมได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น

คดีนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมากทั้งในประเทศและทั่วโลก ส่วนหนึ่งมาจากการกล้าเปิดเผยตัวตนของ จีเซล ในการพิจารณาคดี กลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคมอย่าง Dare to be Feminist ระบุว่า จีเซลไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่การกระทำอันกล้าหาญของเธอ เป็นการเปลี่ยนมุมมองของสังคมที่มีต่อความรุนแรงทางเพศ ผู้ที่สนับสนุนเธอรวมตัวกันนอกศาลพร้อมป้ายและคำขวัญว่า “ความอับอายได้เปลี่ยนข้างแล้ว”

เรื่องราวในคดีนี้ แม้จะฟังดูโหดร้ายและหดหู่ แต่อย่างน้อย มันก็ยังแสดงให้เห็นความกล้าของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่กล้าเปิดหน้าตีแผ่เรื่องราวเลวร้ายหวังให้เป็นบทเรียนแก่คนอื่นๆ อีกทั้งยังปลุกกระแสการชำระล้างทางศีลธรรม รวมไปถึงการปรับปรุงตัวบทกฎหมายของประเทศต่างๆ ให้เท่าทันสังคมมนุษย์ที่เสื่อมโทรมและซับซ้อน

โดย ดาโน โทนาล

คุยกัน7วันหน : ‘ทุเรียนไทย’ จะรักษาสถานะผู้นำใน ‘ตลาดจีน’ ได้อย่างไร

https://www.naewna.com/lady/847499

คุยกัน7วันหน : ‘ทุเรียนไทย’ จะรักษาสถานะผู้นำใน ‘ตลาดจีน’ ได้อย่างไร

คุยกัน7วันหน : ‘ทุเรียนไทย’ จะรักษาสถานะผู้นำใน ‘ตลาดจีน’ ได้อย่างไร

วันอาทิตย์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2567, 06.45 น.

ห้วงยามจีนเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจและเปิดกว้างอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อุปสงค์ความต้องการทุเรียนของจีนเติบโตตามไปด้วยเช่นกัน โดยการนำเข้าทุเรียนของจีนพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคมของปี 2024มีการนำเข้าทุเรียนสดสูงเกิน 1.48 ล้านตันเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบปีต่อปี

“ไทย” ประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ส่งออกทุเรียนสู่จีน ยังคงครองตลาดทุเรียนในจีนด้วยสินค้าทุเรียนรสชาติหวานมันส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจผู้บริโภคชาวจีน แต่ขณะเดียวกันมีการนำเข้าทุเรียนจากเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ซึ่งกลายเป็นตัวเลือกใหม่ๆ ของผู้บริโภคชาวจีน

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวซินหัวได้พูดคุยกับพ่อค้าคนกลาง ผู้ค้าปลีก ผู้บริโภค และนักวิจัยตลาดในจีน พบว่า ทุเรียนไทยยังคงมีข้อได้เปรียบที่ไม่เหมือนใครและมีแนวโน้มรักษาตำแหน่ง “ผู้นำ” ในตลาดจีนต่อไป หากมุ่งมั่นพัฒนาการควบคุมคุณภาพ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ วิธีทำการตลาด การเพาะปลูกสายพันธุ์ใหม่ และการอุดช่องโหว่ทางอุปทานอย่างต่อเนื่อง

ควบคุมคุณภาพเข้มงวด สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า

“แม้ทุเรียนก้านยาวของเวียดนามจะราคาไม่แรง แต่ฉันยังชอบรสชาติและคุณภาพทุเรียนหมอนทองของไทยมากกว่า”ความคิดเห็นจากชาวเนตคนหนึ่งบนสื่อสังคมออนไลน์จีน ซึ่งมีชาวเนตจีนคนอื่นๆ เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ขณะกลุ่มลูกค้าที่เลือกซื้อทุเรียนในร้านผลไม้เผยว่า พวกเขาคุ้นเคยกับรสชาติของหมอนทองมานานและรู้สึกว่าพันธุ์อื่นๆ มีรสชาติไม่ค่อยถูกปาก

หลิวเป่าเฟิง พ่อค้าคนกลางคนหนึ่งกล่าวว่า ไทยเป็นประเทศเดียวที่นำเข้าทุเรียนสดสู่จีนมานานถึง 20 ปี โดยทุเรียนหมอนทองมีรสชาติหวานละมุนจนผู้คนติดใจเป็นแฟนคลับ

หากพิจารณาจากฤดูการผลิต ทุเรียนเวียดนามเพียงช่วยเติมเต็มช่องว่างการบริโภคทุเรียนในตลาดจีน ส่วนทุเรียนมาเลเซียที่ถูกนำเข้าสู่จีนครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน 2024 แตกต่างจากทุเรียนไทยและทุเรียนเวียดนามในด้านการเก็บเกี่ยว

การเก็บเกี่ยวทุเรียนมาเลเซียจะต้องรอให้ผลผลิตสุกและตกหล่นลงมาจากต้นเอง รวมถึงทุเรียนมาเลเซียมีกลิ่นและรสชาติเข้มข้นกว่า โดยการต้องรอให้ทุเรียนสุกตามธรรมชาตินี้ทำให้การขนส่งมีข้อกำหนดมากขึ้น นำสู่การมีราคาสูงขึ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ผู้บริโภคชาวจีนจึงยังไม่นิยมทุเรียนมาเลเซียเป็นวงกว้าง

ทุเรียนไทยยังคงมีฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ในจีน นี่เป็นจุดแข็งสำคัญที่จะช่วยรักษาความสามารถทางการแข่งขันของทุเรียนไทย โดยหวังเย่าหง ประธานสมาคมอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนในเมืองอวิ้นเฉิง มณฑลซานซีทางตอนเหนือของจีน เผยว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการควบคุมคุณภาพในยามเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดเพิ่มขึ้น

ผู้สื่อข่าวยังได้เยือนร้านผลไม้และซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งในจีน พบว่าทุเรียนที่มีเนื้อแน่นสีสวยและรสชาติหวานละมุนยังคงขายหมดเร็วที่สุดแม้มีราคาแพงกว่า ขณะพ่อค้าคนกลางคนหนึ่งบอกว่าทุเรียนหมอนทองของไทยได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภค แต่พอมีการนำเข้าจากหลายประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคไม่แน่ใจว่าที่ซื้อไปเป็นทุเรียนไทยจริงไหม

บรรดาหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่นในจีนจะติด “ตราบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์สินค้าเกษตรแห่งประเทศจีน” กับผลไม้ที่มีความพิเศษ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการและสมาคมธุรกิจบางส่วนจะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและติดรหัสคิวอาร์บนบรรจุภัณฑ์ของผลไม้ที่เข้าสู่ตลาด

รหัสคิวอาร์แต่ละอันมีลักษณะเฉพาะตัว เปรียบเสมือน “บัตรประจำตัว” ของผลไม้ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบ “วงจรชีวิตเต็ม” ของผลไม้ที่ซื้อไปด้วยการสแกนรหัสคิวอาร์นี้เพื่อป้องกันการสวมรอย ซึ่งนับเป็นวิธีการที่คุ้มค่าสำหรับทุเรียนไทย

พัฒนาโลจิสติกส์ ยกระดับคุณภาพ

พ่อค้า-แม่ค้าและผู้บริโภคส่วนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อเทียบกับการค้าทุเรียนในเวียดนามและมาเลเซีย ไทยสามารถสร้างสายพันธุ์ทุเรียนที่มีคุณภาพสูงขึ้นและใช้ประโยชน์จากระบบโลจิสติกส์อันมีประสิทธิภาพระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศอาเซียน ช่วยให้ผู้บริโภคชาวจีนได้รับประทานทุเรียนไทยที่ดีและสดใหม่ยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน เวียดนามสามารถขนส่งทุเรียนตรงสู่จีนผ่านการขนส่งทางบก ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพช่วยให้เวียดนามสามารถแข่งขันด้านราคาได้มากขึ้น ทำให้ครองส่วนแบ่งตลาดได้เพิ่มขึ้น

ส่วนทุเรียนมาเลเซียที่เก็บเกี่ยวตอนสุกแล้ว ทำให้ต้องรีบรับประทานภายใน 2-3 วัน และปัจจุบันสามารถขนส่งทางอากาศเท่านั้นเพื่อรักษาคุณภาพ

เอสเอฟ เอ็กซ์เพรส (SF Express) ระบุว่า มีการให้บริการขนส่งทุเรียนมาเลเซียแบบครบวงจรจากสวนถึงหน้าบ้าน โดยขนส่งถึงเซินเจิ้น กว่างโจว และเมืองใหญ่ในมณฑลกวางตุ้ง ได้เร็วที่สุดภายใน24 ชั่วโมง และขนส่งถึงปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และเมืองใหญ่แห่งอื่นๆ ภายใน 48 ชั่วโมง

หวังเย่าหง ผู้คลุกคลีกับการค้าผลไม้มานานหลายปี เผยว่า แม้ราคาทุเรียนมูซังคิงของมาเลเซียนั้นสูง แต่ด้วยรสชาติเฉพาะตัว การควบคุมคุณภาพเข้มงวด และการบริการโลจิสติกส์ที่เชื่อถือได้ ทำให้ยังคงได้ใจผู้บริโภคชาวจีนจำนวนมาก ซึ่งทุเรียนไทยสามารถเรียนรู้โมเดลนี้ในอนาคตเพื่อรักษาสถานะผู้นำตลาด

ทั้งนี้ ตลาดทุเรียนของจีนมีขนาดใหญ่และปัจจุบันยังคงเน้นบริโภคทุเรียนสดเป็นหลัก ไม่ได้บูรณาการและพัฒนาเชิงลึกร่วมกับอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น การจัดเลี้ยงและอาหาร จึงมีศักยภาพมหาศาลในการพัฒนาในอนาคต นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งอื่นๆพยายามแสวงหาส่งออกทุเรียนสู่จีน

ขณะเดียวกัน มีการพัฒนาอุตสาหกรรมทุเรียนภายในประเทศที่มณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ทางตอนใต้ของจีนอย่างรวดเร็ว ทำให้การแข่งขันของตลาดทุเรียนในจีนจะดุเดือดยิ่งขึ้นมากในอนาคต

ผู้ให้สัมภาษณ์จากอุตสาหกรรมทุเรียนของจีนเสริมว่า การส่งออกทุเรียนไทยสู่จีนมีสิ่งที่มิอาจมองข้าม 2 ประการ ได้แก่ สร้างสรรค์การตลาดรูปแบบใหม่ เสริมสร้างการสื่อสารกับผู้ค้าปลีกในจีนด้วยการเปิดร้านค้าพิเศษ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เปลี่ยนคืนสินค้าที่เน่าเสีย ฯลฯ เพื่อกระชับความนิยมทุเรียนไทยของผู้บริโภคชาวจีน และอีกประการ คือพยายามเสริมสร้างการเพาะปลูกทุเรียนสายพันธุ์ใหม่ เพื่ออุดช่องว่างในอุปทานทุเรียนไทย

ขอบคุณข้อมูล จากสำนักข่าวซินหัว

คุยกัน7วันหน : จับตาถอดถอน ยุน ซ็อก-ยอล จากตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้

https://www.naewna.com/lady/846144

คุยกัน7วันหน : จับตาถอดถอน ยุน ซ็อก-ยอล จากตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้

คุยกัน7วันหน : จับตาถอดถอน ยุน ซ็อก-ยอล จากตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้

วันอาทิตย์ ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2567, 07.00 น.

ป่านนี้ คงจะได้รู้ชะตากรรมของประธานาธิบดี ยุน ซ็อก-ยอล ผู้นำเกาหลีใต้ กันแล้ว ว่าจะออกมาในรูปแบบใดหลังจากที่เขาสร้างความตกตะลึงไปทั่วประเทศและทั่วโลก ด้วยการประกาศกฎอัยการศึก เมื่อกลางดึกคืนวันอังคารที่ผ่านมา (3 ธ.ค.) โดยอ้างภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือและกลุ่มต่างๆในเกาหลีใต้เองที่ต่อต้านอำนาจรัฐ แต่ประชาชนในประเทศรู้ดีว่า ไม่ใช่เรื่องของเกาหลีเหนือที่เป็นสาเหตุของเรื่องนี้ แต่เป็นความพยายามแก่งแย่งกันครองอำนาจรัฐด้วยการประกาศกฎอัยการศึก นำมาซึ่งการลงถนนประท้วงของประชาชนต่อเนื่องตลอดหลายวันที่ผ่านมา

สมาชิกสภาเกาหลีใต้ลงมติถอดถอนประธานาธิบดียุนช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาเกาหลีใต้ (7 ธ.ค.) ซึ่งขณะที่เขียนต้นฉบับอยู่นี้ยังไม่ทราบผลการลงมติ ว่าจะผ่านญัตติถอดถอนประธานาธิบดีหรือไม่ หลังจาก สส.พรรคประชาธิปไตย พรรคฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติถอดถอนเมื่อวันพุธ (4 ธ.ค.) เนื่องจากกฎหมายบังคับให้สภาจะต้องลงมติเพื่อผ่านญัตติถอดถอนประธานาธิบดีหรือไม่ภายในเวลา72 ชั่วโมง ซึ่งจะครบกำหนดในวันเสาร์พอดี

แต่ฝ่ายค้านแม้ครองเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่งในสภา แต่ยังขาดอีก 8 เสียง จึงจะสามารถผ่านญัตติถอดถอนได้ ซึ่งจะต้องได้เสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรครัฐบาลมาสมทบด้วย เนื่องจากต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของสมาชิกสภาที่มีทั้งหมด 300 คนหรือต้องการเสียงอย่างน้อย 201 เสียง

หากญัตติถอดถอนได้รับการอนุมัติใน ยุนจะถูกระงับการทำหน้าที่ประธานาธิบดีทันที และนายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้จะขึ้นเป็นประธานาธิบดีรักษาการ จากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญจะเริ่มกระบวนการพิจารณาถอดถอนยุน ซึ่งใช้เวลาสูงสุด 180 วัน องค์คณะผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้มี 9 คน หาก 6 ใน 9 ผู้พิพากษาออกเสียงสนับสนุนการถอดถอน จะทำให้ยุนพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดี

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทางสภานิติบัญญัติเกาหลีใต้ยังได้เริ่มสอบสวนยุนที่ประกาศกฎอัยการศึก โดย คิม ซุง-วอน สมาชิกสภาจากพรรคประชาธิปไตยพรรคฝ่ายค้านระบุว่า การประกาศกฎอัยการศึกของยุน ได้สร้างความหวาดกลัวและความสับสนให้แก่ประชาชน ถึงแม้ว่า คิม ยอง-ฮยอน รัฐมนตรีกลาโหมได้ยอมลาออก และประกาศว่าเป็นความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ของเขาในการประกาศกฎอัยการศึกก็ตาม

ด้าน อี ซัง-มิน รัฐมนตรีมหาดไทยเกาหลีใต้ เป็นผู้เปิดเผยต่อสภาว่า คิม ยอง-ฮยอน นั่นเอง ที่เป็นผู้แนะนำให้ประธานาธิบดียุนประกาศกฎอัยการศึก ส่วน คิม ซอน-โฮ รัฐมนตรีช่วยกลาโหม ให้การต่อสภาว่า เขาไม่รู้เรื่องการประกาศกฎอัยการศึกเลย และรู้จากข่าวในสื่อ ซึ่งแสดงว่าแทบไม่มีใครระแคะระคายว่ายุนจะประกาศกฎอัยการศึก

ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 เกาหลีใต้ได้เปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การเลือกตั้งที่โปร่งใส และการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสันติ อย่างไรก็ตาม การเมืองภายในประเทศยังคงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและการแบ่งขั้ว

อดีตประธานาธิบดี โหห์ มู เฮือน จบชีวิตตัวเองขณะถูกสอบสวนคดีคอร์รัปชั่นหลังพ้นตำแหน่ง ขณะที่ อี มยอง-บัก ผู้สืบทอดตำแหน่ง ถูกตัดสินจำคุก 15 ปีในคดีทุจริต ส่วนพัก กึน ฮเย ประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศ ลูกสาวของ พัก ชุง ฮี อดีตผู้นำเผด็จการผู้ถูกลอบสังหาร ถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติถอดถอนออกจากตำแหน่ง เนื่องจากผู้ช่วยคนสำคัญและเพื่อนของเธอใช้อิทธิพลในทางมิชอบ เธอถูกตัดสินจำคุก 24 ปีข้อหาทุจริตและใช้อำนาจโดยมิชอบ แต่ต่อมาเธอได้รับการอภัยโทษ

ลีฟ เอริก อีสลีย์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยอีฮวาในกรุงโซล ให้ความเห็นอย่างน่าสนใจว่า การเมืองเกาหลีใต้มีความเข้มข้น กดดัน เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ พรรคการเมืองมักผูกโยงกับตัวตนของผู้นำมากกว่ายึดโยงกับอุดมการณ์หรือนโยบาย ยิ่งอยู่ในบรรยากาศทางการเมืองที่ประชาชนมีบทบาทสำคัญและสื่อมุ่งเน้นเรื่องอื้อฉาว ประธานาธิบดีมักเผชิญความยากลำบากในการรักษาความนิยม

ส่วน อัน กวี-รยอง วัย 35 ปี โฆษกของพรรคประชาธิปไตย พรรคฝ่ายค้านของเกาหลีใต้ ผู้พยายามแย่งอาวุธปืนจากทหารนายหนึ่งท่ามกลางเหตุการณ์ที่วุ่นวายด้านนอกอาคารรัฐสภาเมื่อคืนวันพุธ และกลายเป็นคลิปที่เป็นไวรัลไปทั่วโลก และเป็นสัญลักษณ์ของชาวเกาหลีใต้ที่ต่อต้านการประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดีบอกว่า รู้สึกใจสลายและผิดหวังที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเกาหลีในศตวรรษที่ 21 และว่าถึงแม้พรรคประชาธิปไตยของเธอ ได้เสนอยื่นถอดถอนประธานาธิบดียุนออกจากตำแหน่ง แต่เธอเชื่อว่า ประชาชนชาวเกาหลีใต้ทั้งประเทศต่างมีคำตอบในใจในเรื่องนี้แล้ว เพราะคงไม่มีใครไว้วางใจประธานาธิบดี ที่อยู่ๆ นึกอยากจะประกาศกฎอัยการศึกก็ทำไปอย่างง่ายๆ สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในประเทศให้เป็นผู้นำทำหน้าที่บริหารประเทศได้อีกต่อไป

ความเคลื่อนไหวของยุนทำให้ประชาชนรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับยุคเผด็จการและตั้งคำถามถึงเสถียรภาพของประชาธิปไตยที่เคยแลกมาด้วยเลือดในอดีต ท่ามกลางการจับตาดูของโลก เกาหลีใต้กำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่อาจชี้ชะตาอนาคตทางการเมืองของประเทศอีกครั้ง

หากประธานาธิบดียุนถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ นายกรัฐมนตรี ฮัน ดัก ซู จะขึ้นมาทำหน้าที่แทน แต่คำถามคือ เกาหลีใต้จะสามารถรักษาระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนต่อสู้มานานกว่า 40 ปี ให้เดินหน้าต่อไปได้หรือไม่

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : ออสเตรเลียผ่านกฎหมาย ห้ามเด็กต่ำกว่า 16 ปีใช้สื่อสังคมออนไลน์

https://www.naewna.com/lady/844674

คุยกัน7วันหน : ออสเตรเลียผ่านกฎหมาย  ห้ามเด็กต่ำกว่า 16 ปีใช้สื่อสังคมออนไลน์

คุยกัน7วันหน : ออสเตรเลียผ่านกฎหมาย ห้ามเด็กต่ำกว่า 16 ปีใช้สื่อสังคมออนไลน์

วันอาทิตย์ ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2567, 06.45 น.

วุฒิสภาออสเตรเลียผ่านกฎหมายเข้มงวดที่สุดในโลก ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า16 ปี ใช้งานโซเชียลมีเดีย วุฒิสภาออสเตรเลีย มีมติผ่านร่างกฎหมายห้ามเยาวชนอายุต่ำกว่า 16 ปี ใช้สื่อสังคมออนไลน์ หรือ โซเชียลมีเดียแล้วเมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา ด้วยคะแนน 34 ต่อ 19 เสียง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในอีก 12 เดือนข้างหน้าโดยบริษัทเทคโนโลยีที่ไม่ปฏิบัติตามจะถูกปรับสูงถึง 50 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1,100 ล้านบาท)

ร่างกฎหมายดังกล่าวจะถูกส่งกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาการแก้ไขก่อนประกาศเป็นกฎหมาย แต่รัฐบาลครองเสียงข้างมากในสภาอยู่แล้ว จึงถือว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะผ่านการเห็นชอบอย่างแน่นอน

ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้ทำให้ออสเตรเลียกำลังจะขึ้นแท่นเป็นประเทศแรกที่จะบังคับใช้กฎหมายนี้อย่างเข้มงวดที่สุด เพราะแม้ว่าจะไม่ใช่ประเทศแรกที่พยายามจำกัดการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของเยาวชน แต่นับว่าเป็นการกำหนดเกณฑ์อายุสูงที่สุดในโลก และไม่มีข้อยกเว้นสำหรับผู้ใช้งานเดิมหรือผู้ที่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง

รายละเอียดสำคัญของร่างกฎหมายนี้ จะบังคับให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต้องเพิ่มกระบวนการตรวจสอบเอง และรัฐบาลจะใช้เทคโนโลยีตรวจสอบอายุในการบังคับใช้อีกทอดหนึ่งเวลานี้กฎหมายฉบับนี้ยังไม่ระบุแพลตฟอร์มที่จะบังคับห้ามใช้งาน โดยรัฐมนตรีการสื่อสารออสเตรเลียจะพิจารณาภายหลังตามคำแนะนำของ eSafety Commissioner ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลความปลอดภัยทางอินเตอร์เนต โดยแพลตฟอร์มเกมและแชทจะได้รับการยกเว้น รวมถึงเว็บไซต์ที่ไม่ต้องลงทะเบียน เช่น YouTube

รัฐบาลพรรคแรงงานของออสเตรเลีย ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบาเนซี มองว่าการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ที่มากเกินไป ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเด็กและเชื่อว่า กฎหมายฉบับนี้จะช่วยปกป้องเด็กจากอันตรายหลังจากข้อมูลทางการ ชี้ว่า เกือบ 2 ใน 3ของเด็กอายุ 14 ถึง 17 ปี ดูเนื้อหาออนไลน์ที่เป็นอันตราย ทั้งการใช้ยาเสพติด การฆ่าตัวตาย การทำร้ายตัวเองและการใช้ความรุนแรงอื่นๆถือเป็นสิ่งที่พ่อแม่ชาวออสเตรเลียหลายคนกำลังเป็นกังวล ที่ลูกๆ ของตัวเองใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไป

ข้อมูลจาก eSafety Commissioner ชี้ว่า ชาวออสเตรเลียที่มีอายุระหว่าง 12 ถึง 17 ปี ท่องโลกออนไลน์เฉลี่ยสัปดาห์ละ 14.4 ชั่วโมง ซึ่งผู้ชายเล่นนานกว่าผู้หญิง และยิ่งโตก็ยิ่งเล่นเยอะขึ้น โดยมักใช้เวลาไปกับการหาข้อมูลที่สนใจ มากที่สุด 95% ดูคลิปวีดีโอและทีวีออนไลน์ คุยกับเพื่อนฟังเพลงและเล่นเกมออนไลน์ ดังนั้น ร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้ย่อมกระทบกับการพูดคุยของเด็กบนโลกออนไลน์ แต่รัฐบาล ระบุว่า เด็กจะยังสามารถเข้าถึงบริการส่งข้อความ เกมออนไลน์ รวมทั้งบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและสุขภาพได้

อย่างไรก็ตาม ชาวออสเตรเลียจำนวนไม่น้อยไม่เห็นด้วยกับกฎหมายใหม่นี้ เพราะมองว่าการดูแลลูกหลานเรื่องการใช้งานโซเชียลมีเดียควรจะเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ใช่ให้รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงแบบนี้และการห้ามเด็กใช้โซเชียลมีเดียแบบไม่มีข้อยกเว้นแบบนี้ จะทำให้เด็กออสเตรเลียตามหลังประเทศอื่นเรื่องเทคโนโลยีดิจิทัล อันถือเป็นทักษะที่มีความสำคัญมากๆ ในยุคนี้

เด็กๆ ออสเตรเลียหลายคนถึงกับบอกว่า นี่มันละเมิดประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนชัดๆ เพราะผ่านกฎหมายในสภากันเองโดยไม่ยอมสอบถามประชาชนก่อน เด็กๆ บางคนบอกว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องความรับผิดชอบของพ่อแม่ผู้ปกครอง ไม่ใช่รัฐบาลต้องมาเป็นเจ้าภาพจัดการ และว่าหลังจากนี้พวกเขาก็จะไม่สนใจ และยังจะใช้งานสื่อออนไลน์ต่อไป แต่อาจใช้วิธีแอบเล่นเอา

กฎหมายนี้ยังถูกตั้งคำถามถึงวิธีการบังคับใช้ และผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัว กับการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม แม้บริษัทวิจัยตลาด YouGovของอังกฤษ สำรวจความเห็นชาวออสเตรเลีย เมื่อเดือนส.ค. พบว่า ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับมาตรการเข้มงวดของรัฐบาล อย่างการห้ามเล่นสื่อสังคมออนไลน์ กำหนดอายุเด็กที่ 17 ปีมากกว่าที่รัฐบาลเสนอเสียอีก นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้มีการกำกับดูแลสื่อสังคมออนไลน์เหมือนกับทีวี รวมทั้งให้บริษัทผู้ให้บริการไปร่วมมือกับรัฐเพื่อใช้อำนาจในการลบเนื้อหาออนไลน์ที่ไม่เหมาะสม

ยังไม่แน่ใจว่า ทางการออสเตรเลียจะห้ามไม่ให้คนที่อายุต่ำกว่า 16 ปี ใช้โซเชียลมีเดียได้อย่างไร ซึ่งทางรัฐบาลบอกว่าจะใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบอายุผู้ใช้งาน ซึ่งจะมีการทดสอบระบบในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีหลายๆ คนบอกว่าถึงการแบนจะเกิดขึ้นจริง และรัฐบาลจะมีวิธีการตรวจสอบอายุ แต่ก็มีหลายวิธีที่ผู้ใช้งานสามารถหลีกเลี่ยงการตรวจสอบอายุได้ ด้วยการใช้ VPNเพื่อเปลี่ยนโลเกชั่นผู้ใช้งานว่าไม่ได้อยู่ในออสเตรเลีย หรือการให้ผู้อื่นสมัครบัญชีใช้งานแทน รวมทั้ง อาจจะมีโซเชียลมีเดียใต้ดินเกิดใหม่ เพื่อให้เยาวชนใช้โดยเฉพาะ ซึ่งจะเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ เพราะโซเชียลมีเดียใต้ดิน รัฐบาลจะเข้าไปควบคุมอะไรไม่ได้เลย กลายเป็นว่ากฎหมายใหม่นี้จะผลักดันเยาวชนจากการใช้โซเชียลมีเดียที่รัฐบาลควบคุมได้ มีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง ไปสู่โซเชียลมีเดียใต้ดินที่เต็มไปด้วยเนื้อหาอันตรายที่ไร้การควบคุม

เช่นเดียวกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Google, Snap, Meta และ TikTok ต่างวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายนี้ว่า ไม่มีรายละเอียดที่มากพอว่าจะดำเนินการอย่างไร และบอกว่ากฎหมายใหม่นี้จะไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจจะปกป้องเด็กจากการใช้งานโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ การแบนคนในประเทศตัวเองจากการใช้โซเชียลมีเดียถือว่าเป็นเรื่องที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และขัดต่อหลักสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วย

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : เหล้าเถื่อน…ไม่ใช่แค่ สปป.ลาว แต่เป็นปัญหาร่วมชาติอาเซียน

คุยกัน7วันหน : เหล้าเถื่อน...ไม่ใช่แค่ สปป.ลาว  แต่เป็นปัญหาร่วมชาติอาเซียน

คุยกัน7วันหน : เหล้าเถื่อน…ไม่ใช่แค่ สปป.ลาว แต่เป็นปัญหาร่วมชาติอาเซียน

วันอาทิตย์ ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567, 07.15 น.

สถานการณ์คลัสเตอร์ผู้เสียชีวิตจากเหล้าเถื่อนใน สปป.ลาว ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มน่าเป็นห่วงมากขึ้น หลังจากมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตเพิ่มรายที่ 6 เป็นหญิงชาวออสเตรเลีย เสียชีวิตขณะรักษาตัวในไทย

ผู้เสียชีวิตรายล่าสุดคือ ฮอลลี โบวล์ส ชาวออสเตรเลีย อายุ 19 ปีเสียชีวิตลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา(22 พ.ย.) หลังจากถูกส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลในประเทศไทยตั้งแต่กลางสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมกับเพื่อนสนิทชาติเดียวกันคือ เบียงกา โจนส์อายุเท่ากัน ที่เสียชีวิตไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่21 พ.ย. ทั้งสองล้มป่วยลงหลังดื่มเหล้าเถื่อนที่คนในพื้นที่ลักลอบต้มกันเอง ระหว่างท่องเที่ยวที่เมืองวังเวียงเมืองท่องเที่ยวสำคัญใน สปป.ลาว และอาการป่วยหนักจนต้องถูกส่งตัวมารักษาอาการที่ประเทศไทย โดยมีพ่อแม่เดินทางมาเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดและเป็นผู้ยืนยันการเสียชีวิตของทั้งสอง

ช่วงค่ำวันพฤหัสบดีที่ 21 พ.ย. ยังมีการยืนยันการเสียชีวิตของเหยื่อรายที่ 5 เป็นผู้หญิงชาวอังกฤษจากกรุงลอนดอน ชื่อ ซีโมน ไวท์ อายุ 28 ปีได้ร่วมดื่มเหล้าเถื่อนกับผู้เสียชีวิตคนอื่นๆ จากคำบอกเล่ามีผู้ที่ล้มป่วยลงพร้อมกัน 14 คน โดยผู้ที่ยังรักษาตัวในโรงพยาบาล มีทั้งชาวอังกฤษอีก 1 คน ชาวนิวซีแลนด์ และชาวเนเธอร์แลนด์ หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวอเมริกันวัย 50 ปีเศษ 1 คน และนักท่องเที่ยวชาวเดนมาร์กอายุ 19-20 ปี อีก 2 คน เสียชีวิตจากสาเหตุเดียวกัน ทำให้ตอนนี้ ยอดนักท่องเที่ยวเสียชีวิตรวมแล้วอย่างน้อย 6 ราย

ในส่วนของการสืบสวนสอบสวน ค่อนข้างชัดเจนว่า สาเหตุการเสียชีวิตคือ พิษจากเมทานอล แอลกอฮอล์ที่เป็นพิษ ซึ่งใช้เป็นส่วนประกอบในการทำสุราเถื่อนที่ผู้ตายได้ดื่มกัน ตำรวจที่ทำคดีเชื่อว่า ช่วงที่เกิดเหตุเป็นคืนวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่ามาจากแหล่งใด ระหว่างโรงแรมที่ผู้ตายพักซึ่งได้แจกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฟรีให้กับผู้เข้าพัก หรืออาจเป็นบาร์ที่ผู้ตายเดินทางไปในคืนวันนั้น

ด้าน นานา แบ๊กแพ็กเกอร์ โฮสเทล โรงแรมที่สองนักท่องเที่ยวหญิงออสเตรเลียเข้าพักและล้มป่วยก่อนเสียชีวิต ขณะนี้อยู่ระหว่างปิดทำการและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการสืบสวนเหตุการณ์นี้ เจ้าของโรงแรมบอกว่า นักท่องเที่ยวหญิงทั้ง 2 คน อยู่ในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาตินับร้อยคน ที่ได้รับแจกเหล้าขาวพื้นเมือง ที่เรียกว่า “วอดก้าลาว” คนละช็อตเมื่อสัปดาห์ก่อน จากนั้นก็ออกไปท่องราตรีกันต่อ ยืนยันว่านอกจากทั้งสองคนนี้แล้ว นักท่องเที่ยวต่างชาติคนอื่นๆ ที่พักในโรงแรมไม่มีอาการป่วยผิดปกติใดๆ และขอให้ตำรวจเร่งสืบสวนเหตุการณ์นี้ เพื่อช่วยกู้ชื่อเสียงของโรงแรมที่ตอนนี้ถูกมองว่าเป็นสาเหตุทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตและล้มป่วย

เมทานอลคืออะไร?

เมทานอล คือแอลกอฮอล์ชนิดเชื้อเพลิง เป็นสารพิษที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมและมีบ้างในครัวเรือน อาทิ ทินเนอร์ หรือ วานิชขัดเงา แต่ไม่ควรนำมาบริโภค เมทานอล เป็นสารพิษที่รู้จักกันดีในแทบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาเป็นเวลานาน แต่ก็ยังมีการซื้อขายให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะเมื่อมีปาร์ตี้ของเหล่าแบ๊กแพ็กเกอร์ต่างชาติ มักมีการเติมเมทานอลลงในสุรา เพื่อเพิ่มฤทธิ์และดีกรีความเมา อีกทั้งยังมีราคาถูกกว่าแอลกอฮอล์ที่บริโภคได้หลายเท่า

อย่างไรก็ดี เมทานอลมีคุณสมบัติไร้สี ไร้กลิ่น และไร้รสชาติ จึงยากที่จะตรวจสอบและเมื่อดื่มเข้าไปจะไม่แสดงอาการในทันที ต้องรออย่างน้อย24 ชั่วโมง จึงจะเริ่มแสดงอาการ

การดื่มเมทานอลเพียง 25 มิลลิลิตร สามารถทำให้เสียชีวิตได้เริ่มตั้งแต่อาเจียนไปจนถึงหอบหายใจเร็วและลึกเป็นเวลานาน กรณีที่อาการหนักอาจส่งผลให้ตาบอด ตับเสียหาย หากรักษาช้าไปก็มีโอกาสจะเสียชีวิตถึง 20-40% ขึ้นอยู่กับปริมาณเมทานอลที่ดื่ม

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ทั่วโลกเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับปัญหาเหล้าเถื่อนผสมเมทานอลในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีรายงานคลัสเตอร์ยาดองในประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตกว่า 10 ราย ล้มป่วยอีกกว่า 20 คน เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายนที่ผ่านมา

องค์การแพทย์ไร้พรมแดนเผยสถิติว่า เอเชียเป็นภูมิภาคที่มีการลักลอบนำเมทานอลมาผสมในสุราเถื่อนมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับทวีปอื่นๆ หลายประเทศในภูมิภาคเกิดเหตุลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชาเวียดนาม ฟิลิปปินส์ โดยมีอินโดนีเซียเป็นจุดศูนย์กลางและมีผู้เสียชีวิตมากที่สุด แต่เหตุที่เกิดในเมืองวังเวียงกลายเป็นข่าวดัง เพราะที่นี่เป็นแหล่งยอดนิยมของนักท่องเที่ยววัยหนุ่มสาวชาติตะวันตก ผู้เสียชีวิตและล้มป่วยทั้งหมดเป็นชาวต่างชาติ

ขณะเดียวกัน สปป.ลาว แทบจะไม่มีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมการผลิตหรือจำหน่ายสารพิษชนิดนี้เลย รวมไปถึงมาตรฐานด้านมาตรฐานอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะส่วนใหญ่ การผลิตเหล้าเถื่อนใน สปป.ลาวเป็นการผลิตในลักษณะต้มและกลั่นกันเองที่บ้านหรือในชุมชน จนนำไปสู่เหตุสลดในครั้งนี้

ที่ผ่านมา บรรดาสถานทูตของชาติต่างๆ พยายามให้ข้อมูลและเตือนนักท่องเที่ยว แต่ก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร จึงมีเสียงเรียกร้องให้เปิดการณรงค์คู่ขนาน เพื่อกำจัดสุราเถื่อนพร้อมกับประกาศเตือนประชาชนและนักท่องเที่ยว

เพราะนี่คือปัญหาใกล้ตัว ที่อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้

โดย ดาโน โทนาลี

คุยกัน7วันหน : ครม.ทรัมป์ 2.0 ปูนบำเหน็จ-เรียกแขก

https://www.naewna.com/lady/841838

คุยกัน7วันหน : ครม.ทรัมป์ 2.0  ปูนบำเหน็จ-เรียกแขก

คุยกัน7วันหน : ครม.ทรัมป์ 2.0 ปูนบำเหน็จ-เรียกแขก

วันอาทิตย์ ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567, 06.45 น.

เห็นหน้าตาของว่าที่คณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ทรัมป์ชุดใหม่ ที่หลายคนเรียกว่า ครม.ทรัมป์ 2.0 กันแล้ว รู้สึกอย่างไรกันบ้าง? หลายคนที่ติดตามข่าวสารต่างประเทศอาจจะรู้สึกแปลกๆ กับบางรายชื่อที่ออกมา แต่สำหรับแวดวงการเมืองอเมริกันและบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเทศแล้ว บอกได้เลยว่า ครม. ทรัมป์ 2.0ชุดนี้ เรียกได้ว่า เป็น ครม.ชุด“เรียกแขก” ชัดๆ

ลองไล่เลียงกันทีละคน

เริ่มจาก ซูซี่ ไวลส์ ผู้จัดการทีมรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของทรัมป์เอง ที่เขาแต่งตั้งให้เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาวซึ่งถือเป็นผู้หญิงคนแรกที่ดำรงตำแหน่งนี้ของสหรัฐฯ การประกาศแต่งตั้งทีมงานอย่างเป็นทางการครั้งแรกของทรัมป์ ก่อนหน้าที่จะเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคมปีหน้า

ตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาว เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญและมีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่ง เนื่องจากจะเป็นผู้ทำหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการและกำกับดูแลเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่ทำงานอยู่ในทำเนียบขาว ทำหน้าที่ดูแลตารางเวลาและกำหนดการต่างๆ ของประธานาธิบดี ตลอดจนการทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ และสมาชิกสภาทั้งหมด

ส่วนเจ้ากระทรวงหลัก 6 กระทรวง ทรัมป์เลือก มาร์โก รูบิโอเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ, พีท เฮกเซธเป็นรัฐมนตรีกลาโหม, คริสตี โนม รัฐมนตรีความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ, แมท เกตซ์ รัฐมนตรียุติธรรม,ดั๊ก เบอร์กุม เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย และ โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ หรืออาร์เอฟเค จูเนียร์ เป็นเจ้ากระทรวงสาธารณสุข ส่วนที่ยังรอทรัมป์ตั้งเจ้ากระทรวง คือรัฐมนตรีคลัง, พาณิชย์, เกษตร, แรงงาน, เคหะและการพัฒนาเมือง, คมนาคม, พลังงาน, ศึกษา และกระทรวงกิจการทหารผ่านศึก โดยสหรัฐฯ มีกระทรวงทั้งหมด 15 กระทรวง

ทรัมป์ได้จัดตั้งหน่วยงานใหม่ ที่ยังไม่ได้ยืนยันว่า เป็นกระทรวงใหม่หรือไม่ แต่เรียกกันทั่วไปว่า “กระทรวงเพิ่มประสิทธิภาพรัฐบาล” มี อีลอน มัสก์ อภิมหาเศรษฐีเบอร์ 1
ของโลก เป็นผู้นำ ร่วมกับ วิเวก รามาสวามี นักลงทุนด้านเทคโนโลยีชีวภาพเชื้อสายอินเดีย ที่เคยลงชิงชัยเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันแข่งกับทรัมป์ แต่ภายหลังถอนตัวไป

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้เลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งสำคัญอื่นๆในรัฐบาลใหม่ คือ ทอม โฮแมน เป็นผู้อำนวยการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร หรือไอซีอี, เอลิสสเตฟานิค เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ, จอห์น แรตคลิฟผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลาง หรือซีไอเอ, ทัลซี แกบเบิร์ด ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ, ไมค์ วอลท์ซ เป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ, สตีฟ วิทคอฟ เป็นทูตพิเศษด้านตะวันออกกลาง และ ไมค์ ฮัคคาบี รั้งตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอิสราเอล

หลายรายชื่อที่ทรัมป์เสนอแต่งตั้งให้เข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญ บางส่วนเห็นว่าเหมาะสมดีและไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากนักแต่กับบางรายชื่อ ทันทีที่มีการประกาศออกมา ก็ทำเอาหลายต่อหลายคนทั้งนักวิเคราะห์วิจารณ์ ผู้สันทัดกรณีทางการเมือง และแม้แต่สมาชิกระดับสูงในพรรครีพับลิกันของทรัมป์เองที่ตอนนี้ได้คุมทั้งสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาอย่างเด็ดขาดแน่นอนแล้ว ถึงกับทำหน้าตาเหลอหลาบ้างก็ถอนหายใจดังเฮือก (ไม่ได้มโนเองสื่ออเมริกันหลายสำนักบอกมาอย่างนี้จริงๆ)

เริ่มจาก Department of Government Efficiency หรือ DOGE หน่วยงานใหม่ (ไม่ใช่กระทรวง) ที่ทรัมป์เสนอให้ ทรัมป์ นั่งคุมร่วมกับ วิเวก รามาสวามี เพื่อให้คำปรึกษาแก่ทำเนียบขาว ในการลดขนาดระบบราชการและปรับโครงสร้างหน่วยงานรัฐบาล ด้วยเป้าหมายลดขนาดรัฐ ขจัดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ตัดค่าใช้จ่ายสิ้นเปลือง และปรับโครงสร้างหน่วยงานรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพ

ทรัมป์ ระบุว่าโครงการ DOGEไม่ใช่หน่วยงานของรัฐอย่างเป็นทางการ ที่จะต้องผ่านกฎหมายของสภาคองเกรส แต่ DOGE จะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานที่ปรึกษาภายนอกให้ทำเนียบขาวสามารถใช้แนวทางของโครงการนี้เพื่อตรวจสอบและลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ที่คาดว่ามีมูลค่าประมาณ 6.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ของรัฐบาลกลาง

ทรัมป์มีเป้าหมายชัดเจนที่จะปรับโครงสร้างระบบราชการเพื่อให้รัฐบาลมีขนาดเล็กและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการลดการใช้งบประมาณและกำจัดการทำงานที่ซ้ำซ้อน

การแต่งตั้งมัสก์และรามาสวามีในฐานะหัวหน้า DOGE อาจเป็นกลยุทธ์ของทรัมป์ที่มุ่งสร้างภาพลักษณ์เน้นการลดขนาดรัฐบาลและปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ทำให้มัสก์จะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นในการกำกับดูแลและลดการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งอาจช่วยให้ Teslaและ SpaceX ของเขา ได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากรัฐบาลนักวิเคราะห์เห็นว่าการแต่งตั้งนี้เอื้อประโยชน์ให้มัสก์ ในการเข้าถึงทรัพยากรทางการเงินและข้อมูลเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมการเติบโตของบริษัทของเขา ทั้งที่เสี่ยงต่อการเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน

หลายฝ่ายมองด้วยว่า การตั้งหน่วยงานใหม่ถอดด้ามนี้ขึ้น เป็นการปูนบำเหน็จตอบแทนมัสก์ผู้สนับสนุนงบประมาณรายใหญ่ของทรัมป์ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง อีกทั้งการดำเนินการนี้อาจเผชิญการต่อต้านจากข้าราชการและสภาคองเกรส เนื่องจากการปฏิรูปเชิงโครงสร้างและการยุบหน่วยงานในวงกว้าง จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาลอย่างแน่นอน

ส่วนอีกหลายชื่อที่สร้างความฮือฮา คือชื่อของ แมท เกตซ์ รัฐมนตรียุติธรรม สส.ฟลอริดาปากกล้า องครักษ์ตัวเอ้ของทรัมป์ในสภา ที่ได้คุมกระทรวงยุติธรรม หลายฝ่ายเชื่อว่า เกตซ์จะมีภารกิจสำคัญในงานด้านกฎหมาย ทั้งเรื่องการผลักดันผู้อพยพผิดกฎหมายออกนอกประเทศตามนโยบายของนายทรัมป์ล้างผิดให้กับผู้ก่อเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาหลังการเลือกตั้งปี 2020 และเอาคืนคนกลุ่มต่างๆ ที่เคยเล่นงานทางกฎหมายเพื่อเอาผิดทรัมป์ในหลายคดีตลอดช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา

ปิดท้ายที่ อาร์เอฟเค จูเนียร์ ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นกระทรวงที่มีงบประมาณสูงถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 105 ล้านล้านบาท)คิดเป็นร้อยละ 22.8 ของงบประมาณปี 2567 ทั้งหมด อีกทั้งยังกำกับดูแลหน่วยงานสำคัญ เช่น สำนักงานอาหารและยา หรือ เอฟดีเอ (FDA) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อหรือซีดีซี (CDC) ก็สร้างความฮือฮาไม่แพ้กัน

การเสนอชื่อดังกล่าวทำให้ผู้คนในแวดวงสาธารณสุข และแม้แต่สมาชิกพรรครีพับลิกันแสดงการต่อต้านและตกตะลึง เพราะอาร์เอฟเค จูเนียร์มีจุดยืนที่ผิดหลักการทางการแพทย์มากมาย และมีความเชื่อแปลกๆ เช่นเชื่อว่าสารฟลูออไรด์ที่อยู่ในน้ำประปาทำให้กระดูกเปราะและก่อมะเร็ง ทั้งที่สมาคมการแพทย์ชี้ว่า ฟลูออไรด์ในน้ำประปาช่วยลดปัญหาฟันผุได้ดีมากนอกจากนี้เขายังเป็นผู้ต่อต้านวัคซีน โดยอ้างผิดๆ ว่าเป็นสาเหตุทำให้เด็กป่วยออทิสติก เขาได้เผยแพร่ข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ทำให้มีคนเชื่อและไม่ยอมฉีดวัคซีนมากมาย

แวดวงการแพทย์หลายแห่งระบุว่า อาร์เอฟเค จูเนียร์ เป็นอันตรายต่อระบบสาธารณสุข และสามารถก่ออันตรายถึงขั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตได้ ดังที่เขาได้แพร่ข่าวปลอมเรื่องวัคซีนโรคหัดในประเทศซามัว จนทำให้ผู้คนไม่ยอมไปรับวัคซีน ต่อมาเกิดการระบาดจนมีผู้ติดเชื้อกว่า 50,000 คนและเสียชีวิตไปเกือบร้อยศพ

เป็นไงครับ ครม. ทรัมป์ 2.0 แบบนี้เรียก “ยี้” ได้ไหม?

โดย ดาโน โทนาลี