“98 Wireless” ที่สุดของคำว่าเหนือระดับ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/619690

โดย วานิชหนุ่ม 14 พ.ค. 2559 05:01

 

การจะเลือกสรรที่อยู่อาศัย หรือที่เรียกติดปากว่า “บ้าน” ซักโครงการ ปัจจัยในการตัดสินใจอันดับต้นๆ คงหนีไม่พ้นด้านทำเลที่ตั้งโครงการ รองมาก็จะเป็นเรื่องของราคาที่เหมาะสม ดีไซน์การออกแบบ ความน่าเชื่อถือของเจ้าของโครงการ คุณภาพวัสดุที่ใช้ก่อสร้าง ฯลฯ

แต่อย่างไรเรื่องทำเลที่ตั้งก็ต้องติด 1 ใน 3 ในการตัดสินใจลงทุนซื้อแน่นอน เหตุเพราะคนเราล้วนมีไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิตที่ต่างกันไป บ้างก็ชอบอยู่ใกล้ระบบ ขนส่งมวลชนสาธารณะ รถไฟฟ้า เพื่อความสะดวก ในการเดินทาง

บ้างก็ชอบอยู่ชาน เมือง หลีกหนีความวุ่นวายจากในเมืองที่นับวันเนืองแน่นไปทั้งจำนวนคนและจำนวนรถยนต์ แน่นอนการหาทำเลที่ตั้งให้ตรงใจมากที่สุด ก็จะทำให้เราอยู่แล้วมีความสุขที่สุด

โดยวันนี้ก็ขอหยิบ ยกโครงการ “98 Wireless” (ไนน์ตี้เอทไวร์เลส) คอนโดมิเนียมสุดหรูบนถนนวิทยุ มูลค่าโครงการกว่า 8,500 ล้านบาท จากค่าย “แสนสิริ” ที่มีจุดเด่นในด้านทำเลที่ตั้ง และคุณภาพของตัวโครงการ ที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า โครงการ 98 Wireless ของเราถือเป็นโครงการซุปเปอร์ลักชัวรี่ ระดับ A++ เลยก็ว่าได้ เพราะทำเลที่ตั้งโครงการได้อยู่บนถนนวิทยุ ที่ถือเป็นถนนเส้นหนึ่งที่สวยที่สุดในกรุงเทพมหานคร มีต้นไม้ตลอด 2 แนวข้างทางถนน เปรียบดังย่านฟิฟท์ อเวนิว ในมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

โดยโครงการ 98 Wireless ยังถือว่าอยู่ย่านใจกลางเมือง มีสถานทูตนานาประเทศ โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ออฟฟิศเกรดเอ อยู่รายล้อมรอบๆโครงการ ที่สำคัญโครงการนี้เป็นที่ดินแบบฟรีโฮลด์ (ซื้อขายแบบโอนกรรมสิทธิ์) ซึ่งถือเป็นที่ดินผืนเกือบสุดท้ายบนถนนที่มีศักยภาพเส้นนี้ก็ว่าได้

สำหรับรายละเอียดของโครงการอยู่ติดกับสถานทูตสหรัฐฯ บนพื้นที่ 2 ไร่กว่า ตัวอาคารสูง 25 ชั้น มีจำนวนทั้งหมด 77 ยูนิต มีที่จอดรถใต้ดินรองรับได้ถึง 240% ของจำนวนห้องพัก และยังมีรถลีมูซีนไว้ให้บริการ โดยเลือกใช้รถเบนท์ลีย์ ในส่วนของแบบห้องมีให้เลือกตั้งแต่ 2-4 ห้องนอนเป็น แบบเพนท์เฮ้าส์ มีขนาด 120-1,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) โดยตั้งราคาขายไว้ที่ 550,000 บาทต่อ ตร.ม. หรือเริ่มต้นที่ 66 ล้านบาท ซึ่งถือว่าแพงที่สุดในเวลานี้

“ช่วงนี้โครงการยังสร้างไม่แล้วเสร็จแต่มียอดขายไปแล้วกว่า 30% ซึ่งเป็นการเปิดขายแบบการภายใน โดยหนึ่งในนี้มีห้องพิเศษซุปเปอร์เพนท์เฮ้าส์ (The One) ขนาด 1,000 ตร.ม. ที่มี เพียงห้องเดียวในโครง- การอยู่ชั้นบนสุด ได้ถูกเศรษฐีชาวไทยจับจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีมูลค่า 600 กว่าล้านบาท จะเห็นได้ว่าโครงการได้ รับการตอบรับที่ดีมาก”

นายอภิชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า ราคาที่ดินถนนวิทยุมีอัตราการเติบโตของราคาประเมินมาโดยตลอดเฉลี่ยปีละเกือบ 70% โดยการที่บริษัท ตัดสินใจซื้อที่ดินในเวลานั้นช่วงปี 2553 ก็เป็นการซื้อขายที่ดินที่มีราคาสูงเป็นประวัติการณ์ โดยราคา 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา (ตร.ว.) และคาดว่าในปี 2560 ราคาก็จะขยับสูงไปถึง 2.8 ล้านบาทต่อ ตร.ว.

ทั้งนี้ โครงการ 98 Wireless ยังมีจุดเด่นในด้านการออกแบบและแตกต่างที่เน้นความประณีตบรรจง พิถีพิถันในทุกรายละเอียดแบบยุคนีโอคลาสสิก ในเมืองไทยยังไม่ค่อยมีโครงการไหนทำเท่าไร เน้นตกแต่งด้วยหินเป็นหลัก โดยคัดวัสดุที่ดีที่สุดจากทุกมุมโลกมาเนรมิตโครงการนี้

โดยหินอ่อนและหินทรายคือวัสดุหลักที่ถูกนำมาใช้ตกแต่ง คิดเป็นพื้นที่กว่า 28,000 ตร.ม. โดยทีมดีไซน์ของบริษัทเดินทางไปคัดเลือกเองในประเทศอิตาลี มีทั้งหินอ่อนโวลาคัสสีขาวใช้ในห้องน้ำทั่วไป หินอ่อนคาลาคัตต้าสำหรับปูผนังครัวและพื้นโต๊ะ รวมถึงหินอ่อนสตาทูริโอสีขาว ที่ถือว่าเป็นสุดยอดหินอ่อนมีราคาสูงที่สุดในโลก ก็ถูกนำมาใช้ด้วย และยังมีในส่วนของหินทราย Moleanos จากประเทศโปรตุเกส ที่นำมาใช้ในบริเวณด้านหน้า พื้นโถงล็อบบี้ และพื้นที่สาธารณะ

“ไฮไลต์ของโครงการยังมีในส่วนของงานหล่อปูนตกแต่งผนัง ที่เป็นการทำด้วยมือจาก Hyde Park Mouldings จากสหรัฐฯทั้งหมด และยังมีในส่วนของเฟอร์นิเจอร์ ของ Ralph Lauren, ตู้แช่ไวน์ SubZero, เครื่องครัว Gaggenau และกลอนประตูทองเหลือง 100% Baldwin เป็นต้น ซึ่งคัดแต่ของดีเน้นสวยและคุณภาพทั้งสิ้น”

ตลาดที่อยู่อาศัยซุปเปอร์ลักชัวรี่ในปัจจุบัน ต่างก็มีหลายค่ายกระโดดมาเล่นในตลาดนี้เยอะ ซึ่งก็ต้องมาค่อยดูว่าแต่ละโครงการที่พัฒนาจะทำออกมาได้อย่างที่สัญญาไว้กับลูกค้าหรือไม่ แต่สำหรับ 98 Wireless ต้องบอกว่าไม่ผิดหวังแน่นอน!!!

วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th

“อินเตอร์แมค-ซับคอนไทยแลนด์2016” เชื่อมสู่โลก “ปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/616196

โดย วานิชหนุ่ม 7 พ.ค. 2559 05:01

 

“แนวคิดอุตสาหกรรม 4.0” เป็นการผลิตเข้ากับการเชื่อมต่อทางเครือข่ายในรูปแบบ “Internet of Things” สู่การเชื่อมโยงระบบการผลิตระบบอัตโนมัติ และแขนกลเข้ากับการติดตั้งระบบเครือข่าย เพื่อให้สามารถสื่อสาร และแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันอย่างอิสระ เพื่อการจัดการกระบวนการผลิตทั้งหมดอย่างมีระบบ

โดยการเชื่อมโยงด้านการเรียนรู้และเปิดโลกทัศน์ทางความคิดอุตสาหกรรม 4.0 ผสมผสานกับการต่อยอดในเรื่องของการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาเพิ่มกำลังการผลิตให้เกิดความแม่นยำ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถแข่งขันได้ในตลาดสากล จึงเป็นปัจจัยหลักที่ผู้ประกอบการต้องบริหารจัดการอย่างมีวิสัยทัศน์

งานอินเตอร์แมค-ซับคอนไทยแลนด์ 2016 เป็นงานแสดงเทคโนโลยีเครื่องจักรกลและอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตระดับภูมิภาค สู่ความพร้อมการเชื่อมสู่โลกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11–14 พ.ค.นี้ ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค จึงเป็นงานสำคัญที่ผู้เกี่ยวข้องในแวดวงอุตสาหกรรมการผลิตทั้งภาครัฐ-เอกชน ไม่ควรพลาด

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) ผู้จัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการระดับนานาชาติ กล่าวว่า ความพร้อมของการจัดงานอินเตอร์แมค 2016 ว่า จะเป็นเวทีสำคัญ
ในการเปิดตัวเทคโนโลยี-นวัตกรรมเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ล่าสุดครบวงจรมากกว่า 1,000 บริษัท จาก 35 ประเทศ โดยมีเทคโนโลยีมาเปิดตัวใหม่กว่า 150 รายการ เพื่อรองรับการเตรียมตัวเข้าไปสู่ “แนวคิดอุตสาหกรรม 4.0” ซึ่งจัดร่วมกับงานซับคอน-ไทยแลนด์ งานแสดงอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตเพื่อการจัดซื้อชิ้นส่วนอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย

นอกจากนี้ ภายในงานยังจัดให้มีงานสัมมนาระดับนานาชาติ การประชุมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงโอกาสเข้าสู่ธุรกิจในอุตสาหกรรมใหม่ อย่างอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนเครื่องมือแพทย์และอุตสาหกรรมอากาศยานอีกด้วย โดยได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรม สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย และสมาคมอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ไทย เป็นต้น

“ภายในงานยังจัดให้มีงาน ชีท เมทัล เอเชีย 2016 งานแสดงเทคโนโลยีการผลิตโลหะแผ่น โดยมีไฮไลต์ที่น่าสนใจ คือ การนำผู้ผลิตเครื่องจักรผลิตโลหะแผ่นชั้นนำกว่า 200 แบรนด์จากทั่วโลก พร้อมเทคโนโลยีล่าสุดในการผลิตโลหะแผ่น อาทิ เครื่องไฟเบอร์เลเซอร์ เครื่องพับ เครื่องเจาะ เครื่องม้วนและเทคโนโลยีวอเตอร์เจ็ท รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้า การก่อสร้าง อาหาร เฟอร์นิเจอร์ ซึ่งงานนี้เป็นโอกาสของผู้ประกอบการที่จะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีรุ่นใหม่ล่าสุด เหมาะกับผู้ประกอบการที่มุ่งเตรียมความพร้อมสายการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต”

ขณะเดียวกันในงานดังกล่าวเป็นการร่วมฉลอง 10 ปี งานอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตเพื่อการจัดซื้อชิ้นส่วนอุตสาหกรรมหรือ “ซับคอนไทยแลนด์ครั้งที่ 10” เป็นงานเดียวที่สร้างโอกาสให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมมีตลาดใหม่เพิ่มเติม ปีนี้ยังคงให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ พร้อมๆไปกับการหาโอกาสใหม่ให้กับกลุ่มผู้ผลิต สู่การเดินหน้าขยายโอกาสทางธุรกิจสู่อุตสาหกรรมใหม่ที่มีแนวโน้มสดใส สู่การผลิตด้วยเทคโนโลยีระดับสูงขึ้น ในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์และอุตสาหกรรมอากาศยาน

“อินเตอร์แมค-ซับคอนไทยแลนด์ 2016” จะเป็นงานที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำอย่างครบวงจร คาดว่าจะมีการเปิดตัวนวัตกรรมเครื่องจักรกลล่าสุดครั้งแรกในประเทศไทย

จะเป็นฐานของอุตสาหกรรม 4.0 สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่มีเป้าหมายใช้นวัตกรรมนำหน้าเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ทันท่วงทีกับโลกสมัยใหม่ที่ต้องใช้วิสัยทัศน์นำพาภารกิจให้ถึงเป้าหมาย!!!

วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th

“วังเด็ก” ปลุกตลาดของเล่นเด็ก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/613043

โดย วานิชหนุ่ม 30 เม.ย. 2559 05:01

 

ตลาดของเล่นเด็กในเมืองไทยมูลค่ามหาศาลกว่า 10,000 ล้านบาท กำลังถูกจับตามองเมื่อมีความเคลื่อนไหวกับกิจกรรมทางการตลาดอย่างสูงที่ค่อนข้างจะสวนกระแสกับภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศเมื่อแบรนด์ของเล่นเด็กระดับโลก อย่าง Mattel (แมทเทล) ได้เปลี่ยนนโยบายให้บริษัทวังเด็กทอยส์แลนด์ จำกัด ซึ่งบริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้า

และของเล่นสำหรับเด็กรายใหญ่ของไทย เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้ลิขสิทธิ์ของแบรนด์ดังกล่าวรายเดียวในประเทศไทย

บริษัทวังเด็กทอยส์แลนด์ จำกัด กับความตั้งใจแน่วแน่ที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมของเด็กเล่นให้มีแต่สินค้าคุณภาพเพื่อเป็นพื้นฐานในการเสริมสร้างจินตนาการ ความรู้ และความสนุกสนานให้แก่เด็กมาถึงวันนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ รวมถึงเป็นปีของการจัดทัพธุรกิจใหม่ของบริษัทที่มีประสบการณ์คร่ำหวอดมากว่า 40 ปี

นางพิมพ์พิศา ชุณหเสนีย์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัทวังเด็ก ทอยส์แลนด์ จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าในปีนี้สภาพเศรษฐกิจโดยทั่วไปและตลาดของเล่นเด็กจะไม่มีการขยายตัว แต่บริษัทยังเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในทุกช่วงอายุให้สอดรับกับความต้องการของเด็กและผู้ปกครองในยุคปัจจุบัน

“การได้รับสิทธิ์เป็นผู้จัดจำหน่ายของแมทเทลแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยนั้น ทำให้บริษัทมีแบรนด์ใหม่ๆ และมีสินค้าครอบคลุมในทุกกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่กลุ่มเด็กแรกเกิดกระทั่งถึงเด็กโตเข้ามาเสริมทัพมากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้แบรนด์สินค้าต่างๆเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ปีนี้บริษัทจึงมีแผนลงทุนด้านการตลาด โฆษณา ประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพิ่มมากขึ้น และเน้นทำการตลาดกับสินค้าอย่างเข้มข้นในทุกๆแบรนด์ โดยจะเพิ่มงบประมาณด้านการตลาดอีกเป็นเท่าตัว จากเดิมที่ใช้อยู่ในอัตราประมาณ 7-10% ของยอดขายทั้งหมด ปีนี้จะเพิ่มเป็น 15% ของยอดขายรวม หรือประมาณกว่า 10 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทยังมีแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ทั้งกิจกรรมขนาดใหญ่และกิจกรรมขนาดเล็กกับทุกแบรนด์ สำหรับปีนี้ บริษัทจัดอีเวนต์ใหญ่ในช่วงเดือนมีนาคม มีแผนเปิดตัวคาแรกเตอร์ตุ๊กตาชื่อดัง 2 ตัว ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งจากภาพยนตร์การ์ตูนและที่เป็นตุ๊กตา ประกอบด้วย เปิดตัว Ever After High ตุ๊กตาที่เป็นเรื่องราวของลูกตัวละครในเทพนิยายแนวแฟนตาซี มีความน่ารัก สดใส ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้เริ่มวางจำหน่ายแล้ว ที่ร้านทอยส์ อาร์ อัส และจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป

อีกทั้งมีแผนเปิดตัว บาร์บี้ นิวลุกซ์ (new look) ซึ่งมีความน่าสนใจที่แตกต่างจากคาแรกเตอร์จากรุ่นก่อนๆ ที่เป็นแนวเซ็กซี่ แต่บาร์บี้ นิวลุกซ์ มีหน้าตาที่เป็นธรรมชาติ และรูปร่างของตุ๊กตาที่ใกล้เคียงกับบุคลิกผู้หญิงในยุคสมัยปัจจุบัน ที่มีความหลากหลายมากขึ้น

“เรายังจะเปิดตัว “บาร์บี้ คลับ” สำหรับนำเสนอสาระเรื่องราวและกิจกรรมดีๆ ที่มากกว่าเรื่องของการแต่งตัวสวยๆ สำหรับเด็กผู้หญิง ที่คิดส์ซาเนีย ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อสื่อสารให้รู้ว่าบาร์บี้ ยุคใหม่นี้จะไม่เน้นแค่การแต่งตัว แต่ก็มีอะไรที่หลาก หลายขึ้น เช่น การเรียนรู้ในอาชีพต่างๆ เพื่อให้เด็กได้ค้นหาศักยภาพของตัวเอง, กิจกรรมสอนเล่นโยคะ, สอนการพัฒนาบุคลิกสำหรับเด็ก เป็นต้น สามารถร่วมสนุกและติดตามกิจกรรมต่างๆ ได้ทุกไตรมาสและอีกหลายๆกิจกรรมที่จะตามมา”

ส่วนด้านช่องทางจำหน่ายที่กระจายทั่วประเทศ จะทยอยปรับปรุงให้เป็นภาพลักษณ์ใหม่เพื่อต้อนรับลิขสิทธิ์ใหม่ๆ คาดว่าจะครบทั้งหมดทั่วประเทศภายในปีนี้ และปรับปรุงร้าน “Small World” ร้านค้าของตัวเอง 8 สาขา ให้เป็นรูปโฉมใหม่เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับช่องทางของร้านค้า

นับเป็นปีที่น่าสนใจของบริษัทที่คร่ำหวอดในธุรกิจของเล่นเด็กยาวนานกับการขึ้นผงาดอยู่แถวหน้าของวงการ!!
วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th

สีเบเยอร์ ผู้นำสีประหยัดพลังงาน สีรักษ์โลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/609547

โดย วานิชหนุ่ม 23 เม.ย. 2559 05:01

 

“ภาวะโลกร้อน” นับวันยิ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากขึ้น เนื่องจากปรากฏการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ทำให้ในปัจจุบันเกิดกระแสรักษ์โลก หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างหันมาให้ความสนใจหาพลังงานทดแทน การคิดค้น “นวัตกรรม” ใหม่ๆ ที่จะนำมาใช้พัฒนา ผลิตภัณฑ์ เพื่อลดผลกระทบของภาวะดังกล่าว ก็เป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการนำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ

จากการตระหนักถึงปัญหาซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างจึงทำให้กลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ บริษัทสีของคนไทย ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมสีรักษ์โลก จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด Eco-Wellness Innovation โดยคำนึงถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพ รวมถึงใส่ใจทุกๆกระบวนการผลิตจนถึงมือผู้บริโภค

นายวรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ รองประธานบริหาร กลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ กล่าวว่า จากสภาวะ โลกร้อนที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรง และส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินชีวิตของเรามากขึ้น จึงทำให้หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน หรือแม้แต่สถาบันครอบครัวเองต่างหันมาให้ความ สนใจกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อหาวิธีบรรเทา ปัญหาพร้อมทั้งช่วยประหยัดพลังงาน

ด้วยวิสัยทัศน์ใน การดำเนินธุรกิจของบริษัทที่เน้น Practical Innovation for Better Living ซึ่งเน้นนวัตกรรมที่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริง เพื่อทำให้ผู้บริโภคมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมถึงจากการศึกษาข้อมูลเชิงลึกจึงทำให้ทราบถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค ดังนั้น ในปีนี้ยังคงเน้นความต่อเนื่องตอกย้ำแนวคิด Eco-Wellness Innovation ผ่านผลิตภัณฑ์สีเบเยอร์คูล ที่จะมาช่วยตอบโจทย์ในเรื่องการลดอุณหภูมิภายในบ้าน พร้อมช่วยประหยัดพลังงานและลดค่าไฟ

“สีเบเยอร์คูล สีบ้านเย็น ช่วยประหยัดไฟ เป็นสีทาบ้านกันความร้อนรายแรกในเมืองไทย และสิ่งที่แตกต่างจากสีทาบ้านทั่วไปคือ มีส่วนผสมไมโครสเฟียร์เซรามิก ซึ่งเป็นวัสดุมาตรฐานเช่นเดียวกับที่องค์การนาซานำมาใช้ป้องกันความร้อนให้กับกระสวยอวกาศ ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือ “ความเกลี้ยง” ช่วยสะท้อนแสงแดดได้กว่า 94.2% “ความกลวง” เสมือนสารกันร้อนช่วยให้อุณหภูมิลดลง และ “ความกลม” ทำให้ทุกอณูอัดแน่น ช่วยให้ฟิล์มสีเรียบเนียน จึงปกป้องความร้อนให้พื้นผิวอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บ้านเย็นสบาย และประหยัดพลังงาน ช่วยลดอุณหภูมิให้บ้าน 3-5 องศา โดยสามารถช่วยประหยัดไฟให้ได้ถึง 25% เลยทีเดียว”

นายวรวัฒน์กล่าวด้วยว่า กลยุทธ์ในการดำเนินงานภายในปี 2559 ว่า บริษัทได้วางงบการตลาดไว้ประมาณ 150 ล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้ของผลิตภัณฑ์สีเบเยอร์คูล ผ่านเครื่องมือประชาสัมพันธ์ต่างๆ ครบทั้ง 360 องศา พร้อมทั้งเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาในชื่อชุด “เย็นกว่าเห็นๆ” โดยมีอนุวัต เฟื่องทองแดง ผู้สื่อข่าวชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์

ไม่เพียงแต่แผนการดำเนินงานทางด้านธุรกิจ กลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ยังนำพาภารกิจที่สำคัญสู่สังคม คือการตอบแทนและมอบสิ่งดีๆสู่สังคมอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดกิจกรรม One Wall One World ซึ่งเป็นโครงการหนึ่งผนังรวมพลังลดโลกร้อน One Wall One World โดยชวนกลุ่มนักธุรกิจ ศิลปินดารา และจิตอาสา ในการร่วมแสดงพลัง เพื่อช่วยลดปัญหาสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน

นอกจากนี้ บริษัทได้จัดกิจกรรมเพื่อสังคมแบบยั่งยืน ภายใต้โครงการ “Beger Be Happy สีเบเยอร์ สีแห่งความสุข” ส่งต่อรอยยิ้มให้คนไทยแบบยั่งยืน สนับสนุนการทำความดีส่งมอบสีเบเยอร์คูลให้สถาบัน การศึกษาทั่วประเทศ และปีที่ผ่านมาได้ต่อยอดโครงการภายใต้กิจกรรม “สีเบเยอร์ตามรอยพ่อ” ในโอกาสนี้ได้ชวนจิตอาสามาร่วมกันทาสีโรงเรียนพระดาบส โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากสีเบเยอร์มาให้ความรู้เรื่องเทคนิคการทาสี พร้อมเปิดหลักสูตรวิชาชีพช่างสี รับนักศึกษาศิษย์พระดาบสเข้าฝึก งานมาเรียนรู้ในโครงการสร้างงาน สร้างอาชีพกับสีเบเยอร์ เพื่อสามารถสร้างรายได้เลี้ยงดูครอบครัวตามแนววิถีพอเพียงและยั่งยืน

ดังนั้น ธุรกิจกลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ในวันนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ผู้ผลิตสีอีกต่อไป หากแต่กำลังมุ่งทยานสู่ความเป็นผู้นำนวัตกรรมสีที่ไม่หยุดนิ่ง เพื่อให้คนไทยได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตที่ดีและยั่งยืน!!

วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th

20 ปี กิฟฟารีน ธุรกิจเครือข่ายที่ยั่งยืน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/606098

โดย วานิชหนุ่ม 16 เม.ย. 2559 05:01

 

ท่ามกลางปัญหาด้านเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ปัญหาค่าครองชีพต่างๆ ได้ปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังมีหลายธุรกิจที่มีอัตราเติบโตต่อเนื่อง สวนทางกับกำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลง โดยเฉพาะธุรกิจขายตรง

นับเป็นธุรกิจสำหรับผู้ที่รักอาชีพอิสระที่ใครๆ ก็สามารถทำธุรกิจได้ ซึ่งหลายๆ คนได้ใช้เป็นอาชีพเสริมหารายได้เพิ่มขึ้น เพราะจากมูลค่าตลาดรวมธุรกิจขายตรงที่มีกว่า 70,000 ล้านบาทในปี 2557 กระโดดขึ้นมาทะลุ 100,000 ล้านบาท ในปี 2558

ทำให้วันนี้ขายตรงเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีความคึกคัก แม้ในช่วงปีที่ผ่านมาจะพบกับปัญหาเศรษฐกิจก็ตาม เช่นเดียวกับ “กิฟฟารีน” ที่วันนี้สามารถยืนหยัดคู่คนไทยมานานถึง 20 ปี เป็นธุรกิจเครือข่ายชั้นนำระดับประเทศ ในวงการอุตสาหกรรมขายตรงไทย ซึ่งทาง พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวว่า กิฟฟารีน ที่ก่อตั้งด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของทีมแพทย์และเภสัชกรไทย ด้วยแนวคิดในการเชิญชวนคนไทยมาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ และสร้างเครือข่ายผู้บริโภค จากการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพและแผนการจ่ายผลตอบแทนที่ยุติธรรมและโปร่งใส

ด้วยทีมผู้บริหารมือ อาชีพที่มีประสบการณ์ในวงการธุรกิจเครือข่ายกว่า 20 ปี ขับเคลื่อนองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาล ดำเนินงานตามกรอบจริยธรรม และรักษาจรรยาบรรณภายใต้กรอบกฎหมายของภาครัฐอย่างเคร่งครัด ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา กิฟฟารีน ประสบความสำเร็จในการสร้างยอดจำหน่ายถึง 68,332 ล้านบาท มอบรายได้ให้นักธุรกิจไปแล้ว 31,400 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ยังขยายตลาดสู่ต่างประเทศ และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในรูปแบบธุรกิจเครือข่ายอย่างเต็มรูปแบบ โดยให้ใบอนุญาตแก่ผู้สนใจลงทุนชาวต่างชาติ เช่น ลาว, มาเลเซีย, กัมพูชา, เมียนมา, อินโดนีเซีย, เวียดนาม และประเทศอื่นๆ ในอนาคต รวมทั้งมีนโยบายเชิงรุกด้านการตลาดต่างประเทศ โดยส่งออกสินค้าไปยังมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก อาทิ เกาหลี ออสเตรเลีย เยอรมนี สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และยังคงมุ่งมั่นขยายโอกาสทางธุรกิจต่อไปสู่ผู้คนทั่วโลกอย่างไม่หยุดยั้ง

“จากการนำเสนอสินค้าอุปโภคบริโภคกว่า 2,000 รายการ แบ่งออกเป็น กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร กลุ่มผลิตภัณฑ์เกษตร และกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาจากสมุนไพร ซึ่งผลิตภัณฑ์ คือ หัวใจสำคัญของธุรกิจเครือข่าย โรงงานจึงเป็นส่วนสำคัญในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยโรงงานของกิฟฟารีนใช้งบลงทุนสูงถึง 800 ล้านบาท ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 30 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ออกแบบถูกต้องตามหลัก GMP ทั้งในด้านโครงสร้างและวัสดุที่ใช้ เป็นโรงงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตระดับสากล สามารถรองรับกำลังการผลิตได้ถึง 20 ล้านชิ้น/เดือน รองรับยอดขายได้ถึง 20,000 ล้านบาทต่อปี ดำเนินงานโดยบุคลากรมืออาชีพกว่า 1,000 คน” พญ.นลินีกล่าว

รวมทั้งกิฟฟารีนได้ขยายกำลังการผลิต โดยการลงทุนเปิดโรงงานผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่หลากหลาย ในชื่อ บริษัท แฮปปี้ กิฟ จำกัด โรงงานนี้ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร บนเนื้อที่กว่า 5 ไร่ รองรับกำลังการผลิต 1 ล้านชิ้น/เดือน โดยผลิตผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาทิ เครื่องดื่มแอปเปิ้ล ไซเดอร์ ซินนามอน โรสฮิป เครื่องดื่มกลูต้า เคอร์คิวมา มิ้น ซี ตรา กิฟฟารีน

และได้เสริมทัพกำลังการผลิต โดยการลงทุนเป็นเจ้าของโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามในชื่อ บริษัท เฮลท์ฟู้ด ครีเอชั่น จำกัด และบริษัท คอสเมติค ครีเอชั่น จำกัด ซึ่งโดดเด่นด้านการคิดค้นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง เครื่องดื่มสมุนไพร และอาหารเพื่อสุขภาพ โรงงานทั้งสองนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดปทุมธานี บนพื้นที่ 10 ไร่ รองรับกำลังการผลิต 3.6 ล้านชิ้น/เดือน มีสินค้าติดตลาด และครองใจผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน ผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียงได้แก่ เครื่องดื่มสมุนไพร กิฟฟารีน ปัณจะภูตะ ผลิตภัณฑ์ดูแลรูปร่างกิฟฟารีน ดีพ มารีน เวย์ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกลุ่ม กิฟฟารีน เมอร์ริเนี่ยน โอลีฟ เป็นต้น

สำหรับกิจกรรมทางการตลาดในปีนี้ ครึ่งปีแรกเน้นกิจกรรมภายใน มุ่งเน้นฝึกอบรมให้ความรู้ ให้นักธุรกิจกิฟฟารีนมีทัศนคติที่ดี มีความมุ่งมั่นในการทำงาน และขยัน ส่วนครึ่งปีหลังจะรุกกิจกรรมทางการตลาด โดยวางงบประมาณทางการตลาดไว้ที่ 100-150 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 5%

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กิฟฟารีน พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นธุรกิจที่สร้างความมั่นคงและยั่งยืน ธุรกิจสามารถถูกส่งต่อให้ทายาทได้ เป็นแบรนด์ขายตรงที่ทันสมัย มีสินค้าที่ทุกคนเข้าถึงได้ สามารถสร้างอาชีพอย่างมั่นคงโดยที่ไม่ต้องลงทุน และไม่มีความเสี่ยง.

วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th

ซีพีเอ็น ฉีกกรอบ “ซัมเมอร์” สนอง เจน Z

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/603008

โดย วานิชหนุ่ม 9 เม.ย. 2559 05:01

 

ใกล้เข้าช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่อุณหภูมิร้อนฉ่า ภาคธุรกิจเองก็เดือดพล่านไม่แพ้อากาศ เพราะเป็นเทศกาลทำเงิน ยิ่งในปีนี้มีความพิเศษที่ภาครัฐได้งัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นในเทศกาลนี้สำหรับประชาชนผู้ใช้บริการร้านอาหารสามารถนำใบกำกับภาษีมาลดหย่อนภาษี

ทำให้บรรดาผู้ประกอบการด้านศูนย์การค้าและร้านอาหารขานรับจัดโปรโมชั่นหนักกระหน่ำเข้าไปอีก ซึ่งการเข้าสู่โลกสมัยใหม่กับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปกับการอัดโปรโม-ชั่นอย่างเดียวยังไม่เพียงพอต้องรู้จักผู้บริโภคเป็นใครก่อนที่จะโฟกัสเข้าหาได้ถูกจุด

นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาดซีพีเอ็น กล่าวว่า เทรนด์การตลาดศูนย์การค้ายุคใหม่ พฤติกรรมของผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ “มิลเลนเนียม” และ “เจน Z” จะเป็นกลุ่มสำคัญที่จะปฏิวัติโฉมหน้าวงการ “รีเทล” ภายใน 5 ปี กลุ่มรุ่นดังกล่าว มิลเลนเนียม คือกลุ่มที่เกิดระหว่างปี 2523-2538 อายุระหว่าง 21-36 ปี และกลุ่มเจน Z ที่เกิดและมีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นมา

คนกลุ่มนี้หากมองให้ลึกคือ ในช่วงปัจจุบันที่ถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจำนวนมากผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ใช้ชีวิตบนแพล็ตฟอร์มที่หลากหลายมีขั้นตอน กระบวนการตัดสินใจที่ซับซ้อนขึ้นมาก เช่นการเปรียบเทียบในการหาสินค้าและการบริการที่ดีที่สุดทั้งในโลกออนไลน์ และออฟไลน์

“คนกลุ่มนี้มีการสร้างตัวตนอยู่ในโลกโซเชียลมีเดีย มีความสนใจที่หลากหลาย กระหายความสำเร็จ เน้นที่ไลฟ์สไตล์ที่เป็นของตนเองไม่เหมือนใคร แต่ยังต้องการเป็นส่วนหนึ่งและได้รับการยอมรับในสังคม คนกลุ่มนี้จะมีกำลังซื้ออีกมากและจะเปลี่ยนโฉมหน้าในวงการรีเทลและแวดวงธุรกิจทั่วโลกในอีก 5-6 ปีข้างหน้า”

นายณัฐกิตติ์กล่าวว่า ในฐานะที่ซีพีเอ็นตั้งเป้าเป็นผู้นำของวงการรีเทล ระดับภูมิภาค การสร้างความประทับใจให้กลุ่มเป้าหมายจึงสำคัญ คนไทยและคนเอเชียมีพฤติกรรมร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคนเจน Z เช่นกันกับคนทั่วโลก มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง สร้างสรรค์นวัตกรรมทั้งการออกแบบศูนย์การค้า การบริการ การตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปให้ครบครันและสร้างแรงบันดาลใจ แนวคิดและโอกาสใหม่ๆ ให้กับลูกค้าและผู้ร่วมธุรกิจ”

ทิศทางการตลาดของซีพีเอ็นเพื่อจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายดังกล่าวด้วยการสร้างประสบการณ์ครบถ้วนแบบไร้รอยต่อ เชื่อมโยงทุกสัมผัส ทุกทัชพ้อยต์ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกัน อาทิ แคมเปญในช่วงเทศกาลสงกรานต์ “แฟชั่นฟรีซต้า” ซีพีเอ็นทุ่มงบประมาณไปกว่า 100 ล้านบาท สื่อสารแบบ 360 องศา ครบทุก “ทัชพ้อยท์” ทั้งในส่วนของแฟชั่นโชว์กลางลานสเกตน้ำแข็ง ที่สนุกที่สุดและแฟชั่นอีเวนต์สุดฟรีซ ดับร้อนในศูนย์การค้าของซีพีเอ็นทั่วประเทศ

การเปิดตัว “ซีพีเอ็น ไลฟ์ บูเลติน” แหล่งรวมข้อมูลแฟชั่นและไลฟ์สไตล์อัพเดตจากกรุงลอนดอน, ปารีส, มิลานและนิวยอร์ก นำเสนอคีย์ลุคและไอเทมส์ประจำซัมเมอร์จากแบรนด์ต่างๆ ในศูนย์การค้าที่ได้เทสเมคเกอร์กูรูด้านแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ทั้งกิน-ดื่ม-เที่ยว-ช็อป ชื่อดังจากหลากหลายวงการมาร่วมแชร์ไอเดียดับร้อน หาอ่านได้ตามร้านกาแฟทั่วไปและเส้นรถไฟฟ้า

นอกจากนี้ ยังนำเอา AR Code ที่ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น AR CPN Life แค่นำสมาร์ทโฟนมาถ่ายโลโก้แคมเปญโปรโมชั่นจากที่ใดก็ได้ เพื่อรับชมคลิปวีดิโอเบื้องหลังการถ่ายแฟชั่นเซตแบบเอ็กซ์คลูซีฟอีกด้วย รวมทั้งตกแต่งศูนย์การค้าให้สวยงามด้วยก้อนน้ำแข็งที่ห่อหุ้มไอเทมส์ต่างๆ ที่สื่อถึง “ทรอปิคัล” และสีสันของซัมเมอร์ พร้อมด้วยการบริการถ่ายภาพฟรีจากช่างภาพมือโปรในบูธ CPN Life Mobile Studio ผ่าน #CPNSummer2016#FashionFreezta

สำหรับโปรโมชั่น เพียงแค่ช็อปครบ 1,000 บาท ได้ลุ้นทริปชมแสงเหนือ ปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่ควรเห็นสักครั้งในชีวิตและพักที่โรงแรมน้ำแข็ง สโนว์ คาสเซิล ประเทศฟินแลนด์ แบบไม่เหมือนใคร หรือหากช็อปครบตามเงื่อนไขรับของสมนาคุณฟรี เช่น ลำโพงรูปผนึกน้ำแข็ง, แก้วน้ำ เป็นต้น ส่วนลูกค้าบัตรไทยไลฟ์การ์ดและบัตรเครดิตอิออนได้สิทธิพิเศษเพิ่มเติมอีกต่อจนถึง 30 เม.ย.นี้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลพลาซ่าและเซ็นทรัลเฟสติวัล 19 สาขาทั่วประเทศ

เรียกว่า การปูพรมดับร้อนทั่วประเทศ ชูความเป็นผู้นำด้านแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นช็อปปิ้ง เดสติเนชั่น ตั้งเป้าเป็นผู้พัฒนาศูนย์การค้าในระดับภูมิภาค ดึงเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศอีกทางหนึ่ง!!

วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th

ช็อป ชิม ชิล ในตลาดซัมเมอร์ ค้าปลีก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/599542

โดย วานิชหนุ่ม 2 เม.ย. 2559 05:01

 

ก้าวพ้นช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ไปเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว เข้าสู่เทศกาลหน้าร้อนที่เป็นช่วงที่น่าที่หลายๆ ธุรกิจ มองเป็นโอกาสในช่วงเทศกาลที่ร่วมกันสร้างสรรค์สีสันการตลาดและการโปรโมตเข้าถึงผู้บริโภคโดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก ห้างสรรพ สินค้าและศูนย์การค้าที่งัดไม้เด็ดมาห้ำหั่นกัน

ค่ายเดอะมอลล์ กรุ๊ป กลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าชั้นนำได้ประกาศใช้งบประมาณมากกว่า 150 ล้านบาท เพื่อช่วงชิงเค้กในตลาดช่วงซัมเมอร์มีมูลค่าถึง 25,000-30,000 ล้านบาทเพื่อดึงลูกค้าในแต่ละทำเลทองเข้ามาใช้บริการให้ได้มากที่สุด

นายชำนาญ เมธปรีชากุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า เราให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรมและแคมเปญในช่วงเทศกาลนี้ แต่ปัจจุบันตลาดที่ทำไม่ง่ายเช่นเดิม ลูกค้ามีข้อจำกัดมากขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจโดยรวมและจำนวนของธุรกิจที่มีมากขึ้น แนวคิดปีนี้ของการทำตลาดในช่วงหน้าร้อนจึงเป็นการผนึกกำลังในเรื่องของแคมเปญ และสร้างความยิ่งใหญ่ ความพิเศษของกิจกรรมในทุกๆทำเล สำหรับแคมเปญสร้างความคุ้มค่าสำหรับห้างสรรพสินค้าในกลุ่มทั้ง 4 ห้างสรรพสินค้าในเครือ และแยกสำหรับกิจกรรมที่สอดคล้องกับคาแรกเตอร์ของแต่ละ ห้างฯที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่แตกต่างกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิผลมากที่สุด

“ในเรื่องของแคมเปญเป็นเรื่องที่จูงใจการช็อปปิ้ง ลูกค้าปัจจุบันมีการศึกษาข้อมูลเพื่อให้ได้ความคุ้มค่าในการซื้อมากที่เดอะ มอลล์ กรุ๊ป จัดเหมือนกันทุกห้างสรรพสินค้าในกลุ่ม คือ แคมเปญ Salute Summer ที่เริ่มมาต่อเนื่องจนถึง 17 เม.ย.นี้ ภายใต้แนวคิด VIVA VOYAGER ตอบโจทย์เรื่องการท่องเที่ยว ความสำคัญของแคมเปญนี้ คือการให้สิทธิสมาชิก M Card ซื้อครบ 2,000 บาทได้ลุ้นตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจ ที่สามารถเลือกจุดหมายได้ด้วยตัวเองกว่า 150 เส้นทางทั่วโลก จากสายการบินกาตาร์ จำนวน 2 รางวัล”

นอกจากนี้ ลูกค้าที่ซื้อสินค้าตั้งแต่ 1,500-15,000 บาท รับคูปองส่วนลดสูงสุด 50% รวมทั้งผู้ที่มียอดซื้อสะสมสูงสุดของรายการ รับฟรีบัตรกำนัลห้องพักสุดหรูจากโรงแรมชั้นนำ และรับส่วนลดเพิ่ม บัตรกำนัล เงินคืน และคะแนนสะสมสูงสุด 15% จากบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ เป็นต้น

นายชำนาญกล่าวว่า ทางเดอะมอลล์ กรุ๊ปได้ให้ความสำคัญกับลูกค้าสมาชิกที่เป็นฐานลูกค้าสำคัญต้องรักษาและเพิ่มให้ได้มากที่สุด เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกในอนาคต โดยนอกจากแคมเปญ ซัมเมอร์นี้ ทุกห้างทุกทำเลเน้นแนวคิดการสร้างความสุขให้ลูกค้า โดย เดอะมอลล์ ที่มีสาขากระจายทุกมุมเมือง จัดซัมเมอร์ในชื่อ THE MALL SUMMER BRATION 2016 มีกิจกรรมพบปะซุปเปอร์ฮีโร่ครั้งยิ่งใหญ่, กิจกรรมเกี่ยวกับอาหาร, แฟชั่น พร้อมกิจกรรมในสวนน้ำแฟนตาเซียลากูน ที่จัดขึ้นพิเศษเฉพาะช่วงซัมเมอร์นี้เท่านั้น

โดยเฉพาะย่านสุขุมวิท ทำเลนี้ เหมือนเมืองหลวงของเดอะมอลล์ กรุ๊ป โดยย่านนี้สร้างปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา ปรากฏการณ์แรกในพื้นที่ ดิ เอ็มสเฟียร์ ที่ร่วมกับ FWR เนรมิตไดโนซอร์แพลนเน็ต โลกแห่งไดโนเสาร์ 150 ตัว ที่มีทั้งเครื่องเล่นสนุก เสริมจินตนาการและความรู้ ซึ่งจะเปิดให้สัมผัสกันและสร้างความฮือฮากันแล้ว

อีกปรากฏการณ์ที่เริ่มแล้ว ถึง 27 เม.ย.นี้ ที่เนรมิต 7 ชายหาดชื่อดังของโลก อย่าง ริเวียร่า, ไมอามี, มิโคนอส ฯลฯ มาไว้ฝั่ง ดิ เอ็มควอเทียร์ ในงาน ดิ เอ็มดิสทริค เวิลด์ ป๊อปอัพบีช มีกิจกรรมสนุกที่ทั้งครอบครัว หรือถ้าอยากแชร์เฟซบุ๊กเก๋ๆ ก็แค่ซื้อของใน ดิ เอ็มโพเรียม และดิ เอ็มควอเทียร์ ครบ 300 บาท นำมาร่วมประสบการณ์ ดิ เอ็มดิสทริค บีช แอร์ไลน์ ก็จะมีภาพเก๋ๆประหนึ่งขึ้นเครื่องไปลงชาดหาดชื่อดัง ขึ้นจอ 3D Mappingสำหรับพารากอนดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ในเรื่องความเป็นผู้นำแฟชั่น เทรนด์ทุกไลฟ์สไตล์ จัดซัมเมอร์ในชื่อ “Paragon Vivacious Summer” ให้ ความสำคัญกับกิจกรรมที่ให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมในโลกโซเชียล และความสนุกในการรับประสบการณ์ด้านสินค้า อย่างกิจกรรม Summer scope ในทุกศุกร์, เสาร์, อาทิตย์

ทั้งหมดนี้ คือสีสัน ที่เดอะมอลล์ กรุ๊ป นำมาใช้ใน ซัมเมอร์นี้เพื่อชิงเค้กก้อนสำคัญ โดยคาดว่าน่าจะมีรายได้ในช่วงนี้มากกว่า 5,500 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นฐานตัวเลขยอดขายที่สำคัญก่อนจบไตรมาส 2 ได้ดี โดยที่ในไตรมาส 3 และ 4 เดอะมอลล์ กรุ๊ป จะเน้นเรื่องการปรับเปลี่ยนสินค้า รูปโฉมใหม่ของห้างและศูนย์การค้าในกลุ่มเพื่อรองรับการแข่งขันรวมถึงการเกิดสาขาใหม่ ในทำเลใหม่ ที่น่าจับตามอง เพื่อชิงเค้กในธุรกิจค้าปลีกให้ได้มากที่สุด!!!

วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th

“อิชิตัน” กับของรางวัลในฝันแต่ละยุคสมัย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/596031

โดย วานิชหนุ่ม 26 มี.ค. 2559 05:01

 

หน้าร้อนถือเป็นไฮซีซั่นของตลาดเครื่องดื่ม ทุกค่ายต่างงัดทุกกลยุทธ์บนหน้าตักเพื่อดึงความสนใจให้ผู้บริโภคเจาะจงเลือกซื้อสินค้าของตน เพราะช่วงเวลาในหน้าร้อนอย่างเป็นทางการคือเวลาทองที่สร้างยอดขายให้กับผู้ประกอบการเครื่องดื่มได้ถึง 40-50% ของยอดขายรวมตลอดทั้งปี ใครยึดครองน่านน้ำได้มากกว่าก็เท่ากับเดินหน้าเข้าหาเส้นชัยของผลประกอบการประจำปีที่ใกล้ความจริงได้เร็วกว่า

สำหรับอิชิตัน กรุ๊ป ที่ได้รับการจับจ้องจากการสร้างสีสันโปรโมชั่นในทุกหน้าร้อน ในปีนี้ได้เริ่มสร้างสีสันให้ผู้บริโภคและสร้างความร้อนแรงในตลาดเครื่องดื่มดังที่ทราบกันแล้วในชื่อแคมเปญ “อิชิตัน รหัสรวยเปรี้ยง ตอนรางวัลแห่งชีวิต”

กับการจัดหนักกับ 30 ของรางวัลในฝันแห่งยุคสมัย ที่ล้วนแล้วแต่เป็นที่หมายปองของคนทุกระดับชั้น ได้แก่ คอนโดมิเนียมสุดหรูกลางซอยทองหล่อ แบบ Duplex พื้นที่ 80.94 ตร.ม. มูลค่า 15 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล คอนโดมิเนียม เดอะ ริเวอร์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่ 69 ตร.ม.มูลค่า 10 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล และรถยนต์เมอร์เซเดส เบนซ์รุ่น GLA 200 URBAN พร้อมประกันภัยชั้น 1 มูลค่ารางวัลละ 2.09 ล้านบาท จำนวน 28 รางวัล

หากเจาะลึกถึงพัฒนาการการมอบของรางวัลในฝันจากกิจกรรมทางการตลาดของไทย ต้องบอกเลยว่ามาไกลเหลือเกิน เริ่มต้นเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา การชิงโชคของรางวัลเริ่มต้นตั้งแต่การเปิดฝาลุ้นโชคเล็กๆน้อยๆ ประเภท เสื้อยืด นาฬิกา ส่วนลดเงินสด ในยุคถัดมาปรับเปลี่ยนจากการเปิดฝาลุ้นโชคเป็นการส่งฝาแนบชื่อที่อยู่แล้วส่งไปรษณีย์เพื่อจับสลากชิงรางวัลใหญ่มากขึ้น ทั้งโทรศัพท์ แพ็กเกจท่องเที่ยวรถยนต์

จนมาถึงยุคสมาร์ทโฟนที่อะไรก็ล้วนแล้วแต่เริ่มและจบในโทรศัพท์มือถือ อิชิตันก็เป็นผู้ประกอบการรายแรกที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ด้วยการส่งรหัสใต้ฝาเครื่องดื่ม แถมยังให้ส่งฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายกับทุกค่ายโทรศัพท์เสียอีก กล้าทุ่มแบบนี้ก็เพราะต้องการขยายฐานลูกค้าที่ร่วมกิจกรรมให้ใหญ่มากขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะเดิมพันในตลาดชาพร้อมดื่มมีขนาดใหญ่ถึงกว่า 15,000 ล้านบาท ใครใจถึงอำนวยความสะดวก ผู้บริโภค ได้มากเท่าไหร่ โอกาสแบ่งเค้กก้อนใหญ่ก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย

ด้วยวิธีคิดของอิชิตัน ที่เล็กๆไม่แต่ใหญ่ๆชอบ จัดหนักๆกับการเลือกแจกของรางวัลใหญ่ก็เพราะเป็นกลยุทธ์ “ดึงสินค้าออกจากตู้แช่ร้านค้าปลีก” ซึ่งที่มาของวิธีคิดนี้ “ตัน ภาสกรนที” กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สภาพการแข่ง-ขัน ของตลาดชาพร้อมดื่มเป็นไปอย่างเข้มข้นแต่ละแบรนด์ อาจใช้เครื่องมือทางการตลาดที่แตก-ต่างกันไป เช่น การลดราคาเพื่อสร้างแรงจูงใจในการซื้อ ส่วนอิชิตันนอกจากจะใช้กลยุทธ์ไซซิ่ง (Sizing) เพิ่มความหลากหลายของขนาดสินค้าโดยหลีกเลี่ยงสงครามราคา เพื่อคงไว้ซึ่งผลกำไรตามเป้าหมายและผลประกอบการโดยรวมแล้ว

ยังเลือกใช้กลยุทธ์ “ดึงสินค้าออกจากตู้แช่ร้านค้าปลีก” แจกของรางวัลมูลค่าสูงที่ทุกคนฝันจะได้ครอบครอง ทั้งคอนโดมิเนียม และรถเบนซ์ เพื่อสร้างความต้องการให้ผู้บริโภคเจาะจงเลือกซื้อสินค้าในเครืออิชิตันเท่านั้น ไม่สามารถทดแทนด้วยสินค้าแบรนด์อื่นได้ ทำให้ร้านค้าเองก็จะได้ประโยชน์ขายเครื่องดื่มเครืออิชิตันได้ง่ายและรวดเร็ว ยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแบบนี้ ทุกร้านค้าไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่รายย่อย ถ้ามีโอกาสใดที่จะช่วยสร้างการขายได้เร็วและแรง ก็ยิ่งต้องคว้าเอาไว้ก่อนอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ “อิชิตัน รหัสรวยเปรี้ยง ตอนรางวัลแห่งชีวิต” ตั้งเป้าจะดันยอดขายช่วง 2 เดือน (มี.ค.-เม.ย.) จำนวน 2,040 ล้านบาท หรือเติบโต 20% เมื่อเทียบกับยอดขายช่วงเดียวกันของปี 2558 ที่ผ่านมาที่มียอดขายอยู่ที่ 1,700 ล้านบาท และคาดว่าแคมเปญดังกล่าวจะสามารถผลักดันให้ตลาดชาเขียวเติบโตอย่างน้อย 10% จากมูลค่าตลาดรวม 15,500 ล้านบาทในปี 2558 ที่ผ่านมา

หน้าร้อนแบบนี้ รีบพลิกให้ อากาศร้อนๆกลายเป็นช่วงเวลาแห่งการขายแรงๆ สำหรับพ่อค้าแม่ค้าทุกคนจะขายก็ง่าย หรือร่วมลุ้นรางวัลแห่งชีวิตก็ทำได้ไม่ยาก เพียงแค่กด *711* ตามด้วยรหัสใต้ฝาหรือในกล่อง อิชิตัน เย็นเย็น และไบเล่ ทุกขนาด ทุกรสชาติ ทางโทรศัพท์มือถือ ฟรีทุกเครือข่าย ประกาศผลวันจันทร์-ศุกร์ ที่ http://www.ichitandrink.com เวลา 5 โมงเย็น รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 83 ล้านบาท

เรียกว่าเป็นกลยุทธ์ฮาร์ดเซลสุดๆ ที่จะเอาชนะในยามเศรษฐกิจภาพรวมที่นับวันเริ่มมีอนาคตที่สดใสอยู่ข้างหน้า!!

โครงการเมืองบางกอก Si-Am Bangkok City

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/589228

โดย วานิชหนุ่ม 12 มี.ค. 2559 05:01

 

“สวนสยาม” สวนน้ำและสวนสนุกครบวงจรที่อยู่คู่กับสังคมไทยมานานกว่า 35 ปี ภายใต้การบุกเบิกธุรกิจของ ดร.ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ ประธานกรรมการ สยามพาร์ค ซิตี้ กรุ๊ป และหนึ่งในตำนานผู้บุกเบิกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในยุคเริ่มต้น

จากจุดเริ่มต้นจนมาถึงทุกวันนี้สวนสยามได้ผ่านร้อนผ่านหนาวสั่งสมประสบการณ์เป็นผู้นำและเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของคนไทยและนักท่องเที่ยวที่ต้องไปสัมผัสกับ “ทะเลกรุงเทพฯ” ทะเลน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลกบนเนื้อที่กว่า 300 ไร่ ที่มีสไลเดอร์ยักษ์ขนาดสูงเท่าตึก 7 ชั้น ชวนไปคลายร้อนในช่วงหน้าร้อน อีกทั้งยังได้เพิ่มการลงทุนนำเข้าเครื่องเล่นสวนสนุกระดับโลกมาอย่างต่อเนื่องมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท

ที่สามารถสรรค์สร้างความสุขสำหรับครอบครัว และหมู่เพื่อนฝูง ให้ได้พักผ่อนอย่างสนุกสนาน ตื่นเต้นกับเครื่องเล่นนานาชนิด หรือความสงบร่มรื่น อบอวลกลิ่นอายธรรมชาติเขียวชอุ่ม ท่ามกลางแมกไม้ เกลียวคลื่น สายลม และแสงแดด

ล่าสุด เตรียมขึ้นโครงการยักษ์กับการเนรมิต “เมืองบางกอก : Si-Am Bangkok City” เพื่อต่อยอดเป็นหนึ่งในแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยกับการจำลองเมืองบางกอกในอดีต ปลุก “ย่านเก่า” ที่มีชื่อเสียงโด่งดังให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ถ่ายทอดผ่านอาคาร แหล่งสำคัญทางประวัติศาสตร์ แหล่งช็อปปิ้งยอดนิยม ไปจนถึงแหล่งบันเทิงต่างๆ ให้เป็นแหล่งรวมสรรพสินค้าและสถานที่ช็อปปิ้งแหล่งพบปะกิจกรรมในวันว่าง

ดร.ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ ประธาน กรรมการ สยามพาร์ค ซิตี้ กรุ๊ป กล่าวว่า โครงการนี้จะตอบโจทย์ของการเปิดประชาคมอาเซียน หรือเออีซี ได้อย่างลงตัว กรุงเทพฯในทุกวันนี้กลายเป็นศูนย์รวมของความหลากหลายทั้งประชากร ศิลปวัฒนธรรม การค้า เป็นศูนย์กลางความเจริญในทุกๆด้าน ถูกยอมรับว่าเป็นสุดยอด เมืองท่องเที่ยวของโลก โครงการนี้จะสามารถช่วยร่นเวลาให้นักท่องเที่ยวสามารถท่องเที่ยวในสถานที่ที่มีชื่อเสียงของกรุงเทพฯ ได้เพียง ในเวลาแค่วันเดียว

“โครงการนี้ตั้งบนเนื้อที่กว่า 70 ไร่บริเวณปากทางเข้าสวนสยามด้วยการจำลองสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าเพื่อสะท้อนประวัติศาสตร์และเรื่องราวในอดีต ด้วยการลงทุนจำนวน 2,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการเคลียร์พื้นที่เพื่อเตรียมการก่อสร้าง ตามแผนวางเป้าเสร็จจะพร้อมเปิดบริการได้ในเดือน พ.ย.2562”

ดร.ไชยวัฒน์กล่าวว่า โครงการเมืองบางกอกจะมอบบรรยากาศการช็อปปิ้งที่ไม่เหมือนใคร ผ่านอาคารที่เป็นที่รู้จักในแต่ละยุคสมัย อาทิ ศาลาเฉลิมไทย, ศาลาเฉลิมกรุง, ห้างแบดแมนแอนด์โก (กรมประชาสัมพันธ์), ห้างบีกริมแอนด์โก, ตลาดน้ำคลองถม, สำเพ็ง, เยาวราช, บ้านพระอาทิตย์ รวมถึงเรือนขนมปังขิง โดดเด่นด้วยการตกแต่งสไตล์ย้อนวันวานกับแลนด์มาร์กของพระนคร อาทิ ป้อมพระสุเมรุ, สะพานพุทธ, เสชิงช้า, อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย, ถนนราชดำเนิน, ประตูสามยอด, ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติถนนเยาวราช, สะพานหัน

โดยจะรวบรวมสินค้าและบริการนานาชนิดตั้งแต่ภัตตาคาร อาหารพร้อมทานขึ้นชื่อ จากทั่วสารทิศ อาหารสด อาหารแห้ง เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ สินค้าแบรนด์เนม เครื่องใช้ไฟฟ้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ประดับยนต์ ของเด็กเล่น เครื่องเขียน รวมถึงบริการต่างๆ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมือง อาทิ ซุปเปอร์มาร์เกต ธนาคาร ร้านกาแฟ ฟิตเนส ห้องประชุมสัมมนา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กไปจนถึงโรงแรม

ดร.ไชยวัฒน์กล่าวด้วยว่า การลงทุนในโครงการนี้จะกู้ธนาคารพาณิชย์มาใช้ดำเนินการจำนวน 2,000 ล้านบาท โดยภาระหนี้สินเดิมกับธนาคารกรุงเทพที่มีมายาวนานกว่า 20 ปีใกล้จะหมดลงในปีหน้า จากรายได้ของสวนสนุกและค่าเช่าที่สามารถคืนหนี้ได้ ปัจจุบันสวนสยามมีผู้เข้ามาใช้บริการปีละ 2 ล้านคน ทำรายได้ปีละ 500 ล้าน บาท เมื่อโครงการนี้เกิดขึ้นคาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้เป็นปีละ 800 ล้านบาท

“โครงการเมืองบางกอกจะสามารถรองรับการจัดกิจกรรมเกิดขึ้นหมุนเวียนตลอดทั้งปี พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวและลูกค้าเข้ามาใช้บริการกับกิจกรรมพิเศษที่จะจัดขึ้น จะเป็นโครงการขนาดใหญ่สุดท้ายและจะปิดฉากชีวิตธุรกิจของตนที่จะมีอายุครบ 80 ปีในอีก 2 ปีข้างหน้าก่อนที่จะให้ลูกหลานสืบสานบริหารต่อไป

และเป็นโครงการที่จะสะท้อนถึงคุณค่าเอกลักษณ์สืบทอดประวัติศาสตร์ไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่พร้อมนำอวดของดีสู่สายตาชาวโลก!!

วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th

ฤดูท่องเที่ยวเพื่อชาติ 05/03/59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/585925

โดย วานิชหนุ่ม 5 มี.ค. 2559 05:01

 

ย่างเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวช่วงหน้าร้อนที่กลุ่มคนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวต่างเฝ้ารอเพื่อหาเวลาไปพักผ่อนกับบรรดาเพื่อนฝูง หรือครอบครัวที่สมาชิกมีเวลาให้กันอยู่กันพร้อมหน้าในช่วงปิดเทอมยาว หาสถานที่จุดหมายท่องเที่ยวปลายทาง

เป็นประจำทุกปี กับงานมหกรรม “ไทยเที่ยวไทย” ที่ถือว่าเป็นงานแสดงสินค้าและบริการท่องเที่ยวอันหนึ่งของเมืองไทยได้ร่วมมือกับบรรดาผู้ประกอบการท่องเที่ยวชื่อดังครบครันที่มีพิกัดที่ตั้งอยู่จริงและมีการรีวิวในโลกออนไลน์บ่อยๆรวมทั้งหมด 1,270 ราย มานำเสนอรายการพิเศษ ลด แลก แจก แถม พบปะกับผู้ซื้อโดยตรง มาให้เลือกซื้อเพื่อการท่องเที่ยวที่ตรงความต้องการมากที่สุด

นายกฤต พัตรปาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พี.เค.เอ็กซิบิชั่น แมนเนจเมนท์ กล่าวว่า งานไทยเที่ยวไทยครั้งที่ 38 จัดขึ้นแล้วจนถึงวันที่ 6 มี.ค.นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กับแนวคิด “เที่ยวนี้ รีวิวไม่ต้อง” จัดเต็มพื้นที่ศูนย์ประชุม 20,000 ตารางเมตร ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม, รีสอร์ต, ทัวร์, รถเช่า, สายการบิน, เรือท่องเที่ยว, สวนน้ำ, สวนสนุก, สถานบันเทิง, อุปกรณ์เดินทาง สินค้าและบริการท่องเที่ยวครบครัน คาดว่าจะมีผู้สนใจเข้าชมงานกว่า 500,000 คน สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 600 ล้านบาท

“การจัดงานครั้งนี้ได้ขานรับกระแสการท่องเที่ยวยุคดิจิตอลด้วย ความต้องการของนักท่องเที่ยวที่ได้รับอิทธิพลจากเทคโนโลยีจากสถิติพบว่า คนไทยส่วนใหญ่ชอบค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวออนไลน์แบบละเอียดก่อนตัดสินใจเดินทางเพิ่มทุกปีละ 16% และค้นดูข้อมูลเรื่องการท่องเที่ยวแบบภาพรวมบนยูทูบมากถึงเดือนละ 80 ล้านครั้ง”

นายกฤตกล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยติดอันดับ 10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของโลก จากองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNWTO) พบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นทุกปี ผลจากการกระตุ้นโปรโมชั่นผ่านการรับรู้ทางสื่อออนไลน์ที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าสื่อออฟไลน์ทั่วไป รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่มักชอบทำการรีวิวค้นหาข้อมูล วางแผนการเดินทาง แบ่งปันประสบการณ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ แต่กระนั้นก็ตามปัญหาหลักสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว ผู้สูงอายุและคนวัยทำงานที่มีกำลังซื้อสูง ยังคงต้องการวิธีการติดต่อสื่อสารแบบดั้งเดิมกับผู้ประกอบการโดยตรงนอกเหนือจากข้อมูลออนไลน์ เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสร้างความเชื่อมั่นในตัวผู้ขายก่อนการตัดสินใจซื้อ

สำหรับรายชื่อตัวอย่างโรงแรมชื่อดังที่เข้าร่วมงาน อาทิ โรงแรมในเครือดุสิต, อิมพีเรียล, อมารี, เชอราตัน, ฮิลตัน, โนโวเทล, บันยันทรี, เซ็นทารา, แกรนด์ไฮแอท และอีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีบริษัทนำเที่ยวกว่า 50 บริษัท มานำเสนอแพ็กเกจเที่ยวทั่วไทยทั่วโลกในราคาพิเศษ รวมทั้งบิ๊กพาวิเลียนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี นำผู้ประกอบการท่องเที่ยวกว่า 50 แห่ง มาเสนอแพ็กเกจพิเศษเฉพาะในโซนนี้

ด้านนายอธิศ รุจิรวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ เซ็นทรัล เครดิตการ์ด เป็นตัวแทนบัตรในเครือ “กรุงศรี คอนซูเมอร์” ที่เข้ามาร่วมจัดกิจกรรมครั้งนี้มองว่า “ไทยเที่ยวไทย” เป็นงานใหญ่ประจำปีสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว และชวนคนไทยร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมผ่านการท่องเที่ยวและนับเป็นหมวดการใช้จ่ายยอดนิยมสำหรับผู้ถือบัตรในเครือกรุงศรี คอนซูเมอร์ โดยปีที่ผ่านมางานไทยเที่ยวไทย ซึ่งจัดทั้งหมด 4 ครั้ง มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรในเครือรวมกว่า 400 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความ ต้องการในตลาดที่มีอยู่สูง

“ในปีนี้บัตรเครดิตในเครือได้จัดโปรพิเศษไม่ว่าจะเป็นส่วนลดเพิ่ม สูงสุด 35% จากราคาพิเศษในงาน ผ่อน 0% นาน 10 เดือน ของสมนาคุณเมื่อจ่ายผ่านบัตรครบตามเงื่อนไขและลุ้นเป็นผู้โชคดีรับรางวัลแพ็กเกจห้องพักหรูรวมกว่า 40 รางวัล พร้อมกับตั้งเป้าว่าจะกระตุ้นยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรในเครือกว่า 220 ล้านบาท ในงานครั้งนี้”

อีกหนึ่งไฮไลต์ก็คือการซื้อแพ็กเกจท่องเที่ยวในงานนี้สามารถนำใบเสร็จประเภททัวร์ โรงแรม ไปลดภาษีเงินได้แก่บริษัท นิติบุคคล รวมทั้งลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท ซึ่งเป็นมาตรการรัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ

ได้ทั้งเที่ยว ได้ลดภาษีและยังช่วยประเทศชาติกระตุ้นเศรษฐกิจ จะเรียกว่าเที่ยวเพื่อชาติก็คงไม่ผิด!!!

วานิชหนุ่ม
wanich@thairath.co.th