‘ชาตรามือ’ มุ่งขยายตลาด เสริมแกร่งรัฐพัฒนาสินค้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160309/223774.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 9 มีนาคม 2559
'ชาตรามือ' มุ่งขยายตลาด เสริมแกร่งรัฐพัฒนาสินค้า

ทำมาหากิน : ‘ชาตรามือ’ มุ่งขยายตลาด เสริมแกร่งรัฐพัฒนาสินค้า : โดย…ธานี กุลแพทย์

                    ผลิตภัณฑ์ชาไทยภายใต้ แบรนด์ “ชาตรามือ” มาจากวิสัยทัศน์ของนายดิฐพงศ์ เรืองฤทธิเดช ผู้ก่อตั้งโรงงานใบชาสยามเมื่อปี 2537 ด้วยทุนจดทะเบียน 6.3 ล้านบาท ดำเนินกิจการรับซื้อใบชาจากเกษตรกรมุ่งผลิตชาดีมีคุณภาพ ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนการจำหน่ายในประเทศ 60% และส่งออกต่างประเทศ 40%
                    นายดิฐพงศ์ เรืองฤทธิเดช กรรมการผู้จัดการโรงงานใบชาสยาม เล่าว่า ก่อนตั้งโรงงานได้นำเข้าใบชาจากต่างประเทศ เพราะขณะนั้นชาไทยคุณภาพยังด้อยและขาดการพัฒนา ต่อมาเมื่อตั้งโรงงานรับซื้อใบชาขึ้นที่ ต.เวียงกาหลง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย จึงผลิตเป็นแบรนด์ “ตรามือ” มีสินค้าหลัก ประกอบด้วย ชาแดง ชาเขียว ชาอู่หลง พร้อมพัฒนาคุณภาพในทุกๆ ด้าน
                    การเลือกทำเลตั้งโรงงานที่ ต.เวียงกาหลง นายดิฐพงศ์ บอกว่า เนื่องจากจะได้ใบชาสดจากตัวแทนที่รับซื้อกว่า 10 ราย ซึ่งอยู่ใน อ.เวียงป่าเป้า และดอยวาวี ทำให้สะดวกต่อการตรวจสอบความชื้น ตรวจสอบเศษสิ่งปลอมปน ตรวจสอบคุณภาพการผลิต ขณะเดียวกันก็จัดตั้งระบบ จีเอ็มพี, เอชเอซีซีพี ขึ้นในโรงงาน
                    ปัจจุบันโรงงานใบชาสยาม มีผลิตภัณฑ์ที่จำหน่าย คือชาแดง ชาเขียว ชาอู่หลง โดยแบ่งเป็นชาปรุงสำเร็จ 40% ชาเขียวปรุงสำเร็จ 40% ผลิตภัณฑ์อื่นๆ 20% สัดส่วนจำหน่ายในประเทศ 60% และส่งออกต่างประเทศ 40% อาทิ กลุ่มประเทศยุโรป สหรัฐอเมริกา
                    “เราทำการตลาดเชิงรุก ทั้งจัดโปรโมชั่น เสนอสินค้าผ่านเว็บไซต์ http://www.cha-thai.com ซึ่งเป็นหน้าที่ทีมงานทางกรุงเทพฯ ส่วนโรงงานผลิตตามคำสั่งซื้อโดยใช้แรงงานในพื้นที่ควบคุมกระบวนการผลิตทั้งหมด ตั้งแต่รับวัตถุดิบ การผลิต บรรจุ”
                    เพื่อเป็นการพัฒนาใบชาแบรนด์ “ตรามือ” ให้ได้คุณภาพมาตรฐานตลาดทั้งในและต่างประเทศ ปี 2557 โรงงานใบชาสยาม จึงเข้าร่วมโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค (One Province One Agro-Industrial Product) OPOAI กระทรวงอุตสาหกรรม ใน 2 แผนงาน คือแผนที่ 1 การบริหารจัดการโลจิสติกส์ และแผนที่ 2 การปรับปรุงคุณภาพและพัฒนางาน
                    โดยแผนที่ 1 การบริหารจัดการโลจิสติกส์ พัฒนาใน 2 ส่วน คือ 1.ปรับปรุงระบบการจัดการสินค้าให้มีการจัดวางที่มีประสิทธิภาพ และเบิกจ่ายสินค้าได้เพิ่มขึ้น จากเดิม 1 นาที เบิกได้ 50 กล่อง เป็น 104 กล่อง เพิ่มขึ้นร้อยละ 52 และ 2.พื้นที่คลังวัตถุดิบ ทางคลังสามารถเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บวัตถุดิบเป็น 2,512,000 กิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้น 300% ซึ่งช่วยลดต้นทุนการขนถ่ายสินค้าในคลังได้ 45% คิดเป็นมูลค่า 26,325 บาทต่อปี
                    ส่วนแผนที่ 3 ปรับปรุงคุณภาพและพัฒนางาน แผนนี้ได้ปรับปรุงเรื่องความสูญเสียจากการไม่มีมาตรฐานการตรวจด้านเคมี และความสูญเสียจากการไม่มีมาตรฐานการตรวจด้านประสาทสัมผัสในผลิตภัณฑ์ชา ซึ่งภายหลังการดำเนินงานพบว่ามูลค่าการเสียโอกาสในการขายสินค้า คิดเป็นมูลค่ากว่า 2 แสนบาทต่อปีห้วงเวลาที่ผ่านมา ได้ลดลงเป็นศูนย์
                    ด้านนายประสงค์ นรจิตร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า โครงการโอพีโอเอไอ  มุ่งพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันให้แก่สถานประกอบการ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยให้ความรู้ คำปรึกษา แนะนำด้านบริหารจัดการ ยกระดับการผลิตและผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานสากล ฯลฯ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งนี้ ให้สถานประกอบการแข่งขันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
————————-
(ทำมาหากิน : ‘ชาตรามือ’ มุ่งขยายตลาด เสริมแกร่งรัฐพัฒนาสินค้า : โดย…ธานี กุลแพทย์)

‘มะลิอ่องยักษ์’น้ำว้ากลายพันธุ์ อาชีพยามว่าง’พัชนี ตุษยะเดช’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160308/223707.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันอังคารที่ 8 มีนาคม 2559
'มะลิอ่องยักษ์'น้ำว้ากลายพันธุ์ อาชีพยามว่าง'พัชนี ตุษยะเดช'

ทำมาหากิน : ‘มะลิอ่องยักษ์’ น้ำว้ากลายพันธุ์ อาชีพยามว่าง ‘พัชนี ตุษยะเดช’ : โดย…ดลมนัส กาเจ

                    ที่จริงพื้นที่กว่า 100 ไร่ ที่ ต.หนองปรือ อ.จอมบึง จ.ราชบุรี “อ.พัชนี ตุษยะเดช” 1 ใน 10 โหรหญิงยอดนิยม และผู้เชี่ยวชาญด้านลายมือของเมืองไทย เก็บเงินซื้อไว้เพื่อเก็งกำไร แต่ในระหว่างที่รอขายเห็นว่าพื้นที่เหมาะแก่การเพาะปลูก จึงใช้เวลาในยามว่างไปทำการเกษตร ปลูกกล้วยน้ำว้าพันธุ์ “มะลิอ่องยักษ์” ออกผลดกและโต เนื้อเหนียว ผลผลิตออกมาขายได้หมดในราคาหวีละ 50-80 บาท
                    อ.พัชนี บอกว่า ปกติจะมีอาชีพเป็นโหรดูลายมือกว่า 20 ปีแล้ว และอยู่ 1 ใน 10 โหรหญิงยอดนิยมของเมืองไทย บางช่วงก็เปิดคอร์สสอนดูลายมือด้วย พอได้เงินก็ซื้อเก็บไว้ หากมีกำไรก็จะขายต่อในลักษณะซื้อมา-ขายไป แต่ที่ ต.หนองปรือ อ.จอมบึง ซื้อมานานแล้วกว่า 100 ไร่ เป็นพื้นที่เหมาะแก่การเกษตร เพราะด้านหลังมีบ่อน้ำกว่า 20 ไร่ จึงใช้เวลาว่างไปทำการเกษตร เริ่มตั้งแต่ปลูกข้าวโพดหวาน แต่ขาดทุน จึงหันมาปลูกอ้อย แม้จะมีกำไรบ้าง แต่ไม่คุ้มกับการลงทุน พอดีปีที่แล้ว (2558) ไปหาคนที่รู้จักกัน ที่ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ไปเห็นต้นกล้วยน้ำว้ามีลูกดก และขนาดใหญ่ พอได้ชิมรสชาติพบว่าหวานจัด เนื้อเหนียว และไม่มีเมล็ด จึงขอแยกหน่อกลับมาปลูก 3 หน่อ พอออกผลพบว่าใหญ่มาก และดกด้วย ไปถามผู้รู้ต่างบอกว่าเป็นกล้วยน้ำพันธุ์มะลิอ่อง น่าจะกลายพันธุ์ในทางที่ดี ออกผลลูกใหญ่จึงตั้งชื่อว่า “มะลิอ่องยักษ์” เพื่อจำได้ง่าย
                    ช่วงจังหวะพอดีที่ปัจจุบันกระแสการบริโภคกล้วยน้ำว้าสูงมาก เพราะเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มาก ผลวิจัยในวงการแพทย์แผนโบราณและแผนปัจจุบันยืนยันว่า กล้วยน้ำว้ามีสรรพคุณในการลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลายอย่าง และยังบรรเทาอาการเจ็บป่วยของโรคบางโรคด้วย เพราะมีวิตามินซี แคลเซียมสูงมาก หากบริโภควันละ 4 ลูก จะได้แคลเซียมพอดี รวมทั้งโพแทสเซียม มีโปรตีนครบเหมือนนมแม่ และมีฮิสโตแฟนอีกด้วย เมื่อรับประทานแล้วทำให้หลับสบาย ทำให้ อ.พัชนี ตัดสินใจขยายการปลูกกล้วยมะลิอ่องยักษ์ 400-500 ต้น ผลผลิตออกหลายคนตะลึง เนื่องจากผลใหญ่มาก วัดแล้วกล้วย 1 ผล มีความยาว 6-7 นิ้ว มีขนาดเส้นรอบวงกว้าง 8 นิ้ว น้ำหนักผลละ 300 กรัม เมื่อชั่งทั้งหวีจะได้ 4-4.3 กก.
                    จากการนำไปบริโภคผลกล้วยที่ปลูกใหม่ อ.พัชนี ยืนยันว่า มีรสชาติหวานอร่อยเหมือนมะลิอ่อง เพียงแต่มีขนาดผลใหญ่กว่า เนื้อเหนียว สีไส้ขาว เปลือกบาง ผลสวยด้วย ที่สำคัญสามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารหวานได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเมนูกล้วยเชื่อม กล้วยตาก หรือกล้วยทับ ก็ได้รสชาติอร่อยเด็ดไม่แพ้กล้วยน้ำว้าทั่วไป ที่สำคัญหากนำผลกล้วยไปอบในตู้ไมโครเวฟสัก 10 นาที รสชาติกล้วยน้ำว้ายักษ์จะมีรสหวานอร่อยยิ่งขึ้นอีกด้วย
                    หลังจากนำไปขายที่หมู่บ้านเสนาวิลล่า ย่านแฮปปี้แลนด์ บางกะปิ และอีกส่วนหนึ่งไปขายย่านประชานิเวศน์นับร้อยหวี ในราคา 3 หวีแรกที่ออกจากต้นขายหวีละ 80 บาท ที่เหลือหวีละ 50 บาท ปรากฏว่าขายได้หมดในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ อ.พัชนี ตัดสินใจขยายหน่อใหม่เพื่อปลูกเองและจำหน่ายให้เกษตรกรใกล้เคียงด้วย ปัจจุบันมีการขยายพื้นที่ปลูกได้กว่า 1 หมื่นต้น ในพื้นที่ประมาณ 30 ไร่ เนื่องจากปลูกถี่ เพราะเน้นในการขยายหน่อเพื่อนำไปปลูกให้เต็มที่ทั้ง 100 ไร่ เพราะมั่นใจว่าตลาดกล้วยน้ำว้ายังมีอนาคตอย่างแน่นอน
                    นับเป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งที่น่าสนใจและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่เกษตรกร หากเกษตรกรสนใจ ต้องการทราบรายละเอียดของกล้วยน้ำว้า “มะลิอ่องยักษ์” สามารถสอบถาม อ.พัชนี ตุษยะเดช ได้ โทร.08-6125-5000 และ 08-6128-8000
——————–
(ทำมาหากิน : ‘มะลิอ่องยักษ์’ น้ำว้ากลายพันธุ์ อาชีพยามว่าง ‘พัชนี ตุษยะเดช’ : โดย…ดลมนัส กาเจ)

พัทลุงเนรมิต’ฟาร์มโคนม’ต้นแบบ แหล่งฝึกอาชีพเกษตรกรเลี้ยงโคนม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160304/223467.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม 2559
พัทลุงเนรมิต'ฟาร์มโคนม'ต้นแบบ แหล่งฝึกอาชีพเกษตรกรเลี้ยงโคนม

ทำมาหากิน : พัทลุงเนรมิต ‘ฟาร์มโคนม’ ต้นแบบ แหล่งฝึกอาชีพเกษตรกรเลี้ยงโคนม : โดย…สุรัตน์ อัตตะ

                      เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงเปิดโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นมยูเอชที ของสหกรณ์โคนมพัทลุง จำกัด จ.พัทลุง วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555  ในครั้งนั้นพระองค์มีพระราชดำรัสกับผู้ที่มาเฝ้ารับเสด็จ ความตอนหนึ่งว่า “อาชีพการเลี้ยงโคนมนี้ เป็นอาชีพที่พ่อได้พระราชทานไว้ ดังนั้นเราจะสู้ต่อ เพื่อให้อาชีพอยู่คู่แผ่นดินไทย”
                      จากวันนั้นสหกรณ์โคนมพัทลุง จำกัด กลายเป็นแหล่งผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ ภายใต้ยี่ห้อ “นมพัทลุง” มีหลากหลายผลิตภัณฑ์เลือกดื่ม นอกจากนี้ยังเป็นผู้ผลิตนมโรงเรียน ยูเอชที และพาสเจอร์ไรซ์ รวมไปถึงเครื่องดื่มนมสดและไอศกรีมนมสดอีกด้วย ทว่าวันนี้สหกรณ์โคนมพัทลุงได้ดำเนินการก้าวมาอีกขั้น เมื่อมีการลงนามบันทึกความร่วมมือ (เอ็มโอยู) ระหว่างองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พัทลุง และวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพัทลุงเพื่อสร้างฟาร์มโคนมต้นแบบบนเนื้อที่กว่า 200 ไร่ ภายใต้โครงการฟาร์มโคนมเฉลิมพระเกียรติในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
                      จำนง นิลรัตน์ รองประธานสหกรณ์โคนมพัทลุง จำกัด ซึ่งรับผิดชอบการดำเนินโครงการกล่าวถึงความคืบหน้าระหว่างคณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) นำสื่อมวลชนลงพื้นที่ โดยระบุว่าสหกรณ์โคนมพัทลุง จำกัด ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2525 หลังจากผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้นมีแนวคิดที่จะพัฒนาด้านอาชีพโคนมให้แก่ประชาชนในจังหวัดเพื่อเป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ได้ทุกวัน จากนั้นก็เริ่มมีการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมมาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงแรกจะเป็นลักษณะเกษตรกรรายย่อยไม่กี่ราย เลี้ยงโคนมไม่เกิน 10 ตัว แต่ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 100 รายในเขตพื้นที่ จ.พัทลุง และจังหวัดใกล้เคียง มีโคนมอยู่ในเครือจ่ายประมาณ 400-500 ตัว มีน้ำนมดินส่งให้แก่สหกรณ์เฉลี่ยวันละ 10-12 ตัน
                      รองประธานสหกรณ์คนเดิมเผยต่อว่า ขณะนี้การปรับปรุงอาคารและพื้นที่มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เสร็จสมบูรณ์ใช้เป็นต้นแบบของฟาร์มโคนมมาตรฐานสากล เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวมีความพร้อมมากทั้งสถานที่เลี้ยงโคนม แปลงปลูกหญ้าสำหรับใช้เป็นอาหารโค ขณะเดียวกันในส่วนการบริหารจัดการโคนมในฟาร์มและการสนับสนุนสมาชิกในเครือข่ายก็ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แม้ระยะเวลาดำเนินการมากว่า 2 ปีทางโครงการจะขาดทุนทุกปีแต่ก็ต้องดำเนินการต่อไปเพื่อผลประโยชน์ของสมาชิก
                      “ถึงตอนนี้โครงการลงทุนไปแล้วประมาณ 18 ล้าน  หากรวมซื้อโคด้วยก็ประมาณ 26 ล้าน เราไม่ใด้ทำเป็นธุรกิจ แต่เน้นการช่วยเหลือสมาชิก อย่างบางครอบครัวมีโคอยู่ 4 ตัวเมื่อมีลูกออกมา น้ำนมที่ได้ลูกโคกินหมด ทำให้ไม่มีรายได้เข้ามา จึงนำมาฝากเลี้ยงไว้กับทางโครงการ เราจะเลี้ยงลูกโคตัวนั้นไว้เมื่อเขาพร้อมเมื่อไหร่ก็มารับซื้อคืนได้  ทางโครงการก็จะคิดแค่ต้นทุนค่าเลี้ยงเท่านั้นเอง เพื่อต้องการช่วยเหลือสมาชิก” จำนงค์กล่าวและย้ำว่า
                      หากสมาชิกที่นำมาฝากเลี้ยงไม่ซื้อโคกลับคืนหรือทางโครงการไม่สามารถจำหน่ายให้แก่สมาชิกรายอื่นได้ก็จะนำมาขุนเพื่อผลิตน้ำนมดิมส่งให้สหกรณ์โคนมพัทลุง จำกัด ต่อไป ปัจจุบันทางโครงการมีโคสาวที่พร้อมรีดนมอยู่ประมาณ 4-5 ตัว และคาดว่าจะมีเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
                      ด้าน วิสุทธิ์ ธรรมเพชร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พัทลุง กล่าวระหว่างเยี่ยมชมโครงการว่า ฟาร์มโคนมเฉลิมพระเกียรติในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แห่งนี้ ถือเป็นโครงการต้นแบบการเลี้ยงโคนมครบวงจรที่มีการร่วมมือกันระหว่าง 3 หน่วยงาน ได้แก่ สหกรณ์โคนมพัทลุงจำกัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พัทลุง และวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพัทลุงเพื่อใช้เป็นสถานที่ฝึกงานของนักศึกษาสาขาปศุสัตว์ ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเลี้ยงโคนมแก่สมาชิก ตลอดจนใช้เป็นแหล่งศึกษาดูงานและส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงเกษตรของจังหวัดพัทลุงในอนาคตด้วย
                      “โครงการนี้เริ่มมาได้ประมาณ 2 ปีแล้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ฝึกงานของนักศึกษาระดับ ปวช. ปวส. สาขาปศุสัตว์ จากวิทยาลัยเกษตรทั่วภาคใต้ แหล่งเรียนรู้ของประชาชนที่สนใจเลี้ยงโคนมและเป็นแหล่งทดแทนโคนมของสมาชิก อนาคตก็จะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร” นายก อบจ.พัทลุง กล่าวย้ำ
                      นับเป็นอีกก้าวความสำเร็จในการผนึกกำลังของ 3 หน่วยงานเพื่อสืบสานอาชีพพระราชทานให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในพื้นที่ จ.พัทลุง และจังหวัดใกล้เคียงสืบไป
———————-
(ทำมาหากิน : พัทลุงเนรมิต ‘ฟาร์มโคนม’ ต้นแบบ แหล่งฝึกอาชีพเกษตรกรเลี้ยงโคนม : โดย…สุรัตน์ อัตตะ)

พลิกพื้นที่ 2 ไร่ทำสวนเกษตรพอเพียง สร้างรายได้ระหว่างเรียน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160303/223422.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2559
พลิกพื้นที่ 2 ไร่ทำสวนเกษตรพอเพียง สร้างรายได้ระหว่างเรียน

ทำมาหากิน : พลิกพื้นที่ 2 ไร่ทำสวนเกษตรพอเพียง ‘เอกพงศ์’ สร้างรายได้ระหว่างเรียน : โดย…สุรัตน์ อัตตะ

                      การนำองค์ความรู้ด้านการเกษตรมาประยุกต์ใช้ในระหว่างเรียน เป็นอีกตัวอย่างความสำเร็จของนักศึกษาในระดับ ปวช.ปี 3 สาขาพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพัทลุง “เอกพงศ์ ขุนทอง” อายุ 18 ปี เจ้าของรางวัลโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนปี 2558 แห่งบ้านควนกุฎ หมู่ 15 ต.ควนมะพร้าว อ.เมือง จ.พัทลุง ที่ปัจจุบันมีรายได้ระหว่างเรียนจากการพลิกฟื้นที่ประมาณ 2 ไร่เศษรอบๆ บ้านพักอาศัยทำเกษตรพอเพียงตามแนวพระราชดำริเกษตรทฤษฎีใหม่ มีรายได้เฉลี่ยวันละ 300-500 บาท หรือเดือนละไม่ต่ำกว่า 2 หมื่น นำมาใช้เป็นทุนการศึกษาและช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้เป็นอย่างดี
                      ไม่ใช่เด็กกำพร้าพ่อแม่แต่ก็ไม่ต่างกันเมื่อเอกพงศ์ต้องอาศัยอยู่กับคุณปู่สุดใจ ขุนทอง มาตั้งแต่เล็ก เมื่อพ่อและแม่จำต้องมาต่อสู้ชีวิตในเมืองหลวงด้วยอาชีพค้าขายผลไม้ ไม่ได้กลับบ้านเกิดตั้งแต่นั้นมา  จากจุดนี้เองทำให้เขาได้เรียนรู้สั่งสมประสบการณ์การทำเกษตรที่ได้รับการถ่ายทอดจากผู้เป็นปู่อย่างเต็มที่ แต่หลังจากที่ปู่มีอุบัติเหตุจนทำให้ต้องเสียขาไปข้างหนึ่ง ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ภาระจึงตกแก่เอกพงศ์ในการหาเงินเลี้ยงครอบครัวและดูแลตัวเองด้วย
                      “หนึ่งในกิจกรรมของปู่คือการตอนกิ่งมะนาวขาย จึงเรียนรู้จากการเป็นลูกมือของปู่และผมได้ค่าจ้างจากการเอากิ่งตอนปลูกใส่ถุงกิ่งละบาท มีอยู่ครั้งหนึ่งผมอยากได้เงินก้อนจึงไปขอปู่ แกบอกว่าเงินก้อนไม่มี ถ้าจะเอาก็เอาลูกมะนาวและกิ่งตอนไปขายเอาเอง” เอกพงศ์ย้อนอดีตให้ฟัง จากนั้นเปลี่ยนจากการเป็นลูกมือคุณปู่มาเป็นผู้ปฏิบัติเอง เริ่มจากการตอนกิ่งมะนาวโดยใช้มะนาวพันธุ์ทูลเกล้าและแป้นพวงที่ปลูกในวงบ่อ ก่อนขยายมาทำเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ไข่ เลี้ยงปลา เลี้ยงแพะและเลี้ยงสุกร พร้อมกับพลิกพื้นที่รอบบ้านเป็นสวนสมรมปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก เหลือจากรับประทานกินก็เอาไปจำหน่ายในตลาดหมู่บ้านและใกล้เคียง
                      ผลจากการซึมซับวิถีเกษตรมาตั้งแต่เด็กหลังจากจบมัธยมปลายจากโรงเรียนพัทลุงพิทยาคม จากนั้นจึงเขาศึกษาต่อในระดับ ปวช.ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพัทลุง เนื่องจากอยู่ใกล้บ้าน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ที่สำคัญยังได้สานต่อกิจกรรมเกษตรพอเพียง ซึ่งเป็นช่องทางเดียวในการหารายได้เลี้ยงครอบครัว หลังคุณปู่ประสบปัญหาขาพิการไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ขณะเดียวกันยังเป็นการนำองค์ความรู้การเกษตรสมัยใหม่ที่ได้จากการเรียนในวิทยาลัยมาปรับใช้ในการทำเกษตรที่บ้านด้วย จึงไม่แปลกสวนสมรมเกษตรพอเพียงที่บ้านเอกพงศ์จึงเต็มไปด้วยเกษตรกรรมจากภูมิปัญญาและเกษตรกรสมัยใหม่ที่นำมาประยุกต์ใช้อย่างสอดคล้องและลงตัว
                      “ถ้ามีโอกาสผมจะเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ และก็ตั้งใจว่าหากเรียนจบมาก็จะมาพัฒนาสวนเกษตรที่บ้านนี่แหละ จะไม่ไปไหน ไม่ไปเป็นลูกจ้างใคร เพราะคิดว่าสุดท้ายก็ต้องกลับมาอยู่บ้านอยู่ดี แล้วเรามาเริ่มต้นที่บ้านตั้งแต่วันนี้ไม่ดีกว่าหรือ ถ้าถามความคิดของผมตอนนี้ก็ต้องบอกว่าอยากให้คนที่เรียนเกษตรกลับมาทำเกษตรที่บ้านตนเองมากที่สุด มาเริ่มทำจากพื้นที่เล็กๆ แล้วค่อยๆ ขยับขยายต่อไป ที่สำคัญได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัวด้วย” เอกพงศ์กล่าวย้ำ
                      อ.จรูญ รงครัตน์ หัวหน้าแผนกวิชาพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพัทลุง สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษายอมรับว่าเอกพงศ์เป็นเด็กที่ขยันอดทนและเชื่อฟังครูบาอาจารย์ แม้จะเรียนไม่เก่ง หลังว่างจากการเรียนก็จะมาทำงานที่บ้านทันที เนื่องจากระยะห่างจากบ้านกับวิทยาลัยอยู่ไม่ไกลมากนัก ขณะเดียวกันที่บ้านของเอกพงศ์ทางวิทยาลัยก็จะใช้เป็นสถานที่ดูงานของคณะที่มาเยี่ยมชมวิทยาลัยด้วย บางครั้งที่ได้รับคำแนะนำ ติชมจากผู้ที่มาเยี่ยมชมการทำเกษตรพอเพียงที่บ้าน เอกพงศ์ก็จะนำมาปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น
                      “วิทยาลัยได้สนับสนุนเขาอยู่ 2 โครงการ คือ โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และโครงการของ มกอช.สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ โดยให้เงินทุนมาสนับสนุนโครงการร่วมกับวิทยาลัย” อาจารย์ที่ปรึกษาคนเดิมกล่าว พร้อมย้ำว่า วิทยาลัยพยายามให้นักศึกษาทุกคนดูแบบอย่างของเอกพงศ์ ขุนทอง ในการดำเนินชีวิตระหว่างการศึกษาว่าจะต้องมีพื้นที่ปฏิบัติจริงควบคู่กันไปด้วย เพื่อจะนำความรู้ที่ได้นำไปทดลองปฏิบัติจริงในพื้นที่ของเราเอง
                      ปัจจุบันสวนเกษตรพอเพียงของเอกพงศ์นอกจากสร้างรายได้ให้ตนเองและครอบครัวแล้วยังเป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาดูงานของผู้สนใจทั้งในพื้นที่และต่างถิ่นไม่เว้นแต่ละวัน ล่าสุดได้รับรางวัลโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนระดับประเทศประจำปี 2558 สนใจเยี่ยมชมสวนติดต่อเจ้าของสวนโดยตรงโทร.08-7630-6465 หรือวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพัทลุง ในวันและเวลาราชการ
———————-
(ทำมาหากิน : พลิกพื้นที่ 2 ไร่ทำสวนเกษตรพอเพียง ‘เอกพงศ์’ สร้างรายได้ระหว่างเรียน : โดย…สุรัตน์ อัตตะ)

แปรรูปข้าวสู่ผลิตภัณฑ์ เสริมแกร่ง ‘โรงสี’ สู้ตลาด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160302/223363.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 2 มีนาคม 2559
แปรรูปข้าวสู่ผลิตภัณฑ์ เสริมแกร่ง 'โรงสี' สู้ตลาด

ทำมาหากิน : แปรรูปข้าวสู่ผลิตภัณฑ์ เสริมแกร่ง ‘โรงสี’ สู้ตลาด : โดย…ธานี กุลแพทย์

                      สภาวะตลาดที่เปลี่ยนไปตามเศรษฐกิจประเทศ ทำให้กิจการโรงสีข้าวของ สุทิน กองทอง ที่ต่อสู้ชีวิตจากพนักงานก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการ จำต้องปรับกลยุทธ์โรงสีตาม ทั้งเสริมแกร่งด้วยแปรรูปข้าวเป็นผลิตภัณฑ์ และขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐ มุ่งขยายตลาดที่มั่นคงในอนาคต
                      สุทิน กองทอง กรรมการผู้จัดการโรงสีข้าวเกริก เล่าว่า อดีตเป็นพนักงานโรงสีข้าว ก่อนผันตัวมาเป็นเจ้าของธุรกิจในปี 2526 ด้วยการสีข้าวเหนียวส่งขายจังหวัดใกล้เคียง กระทั่งปี 2549 จึงมาทำโรงสีข้าวออร์แกนิกที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน GMP, HACCP แต่ด้วยตลาดขยายตัวน้อยมาก จึงเปลี่ยนมาส่งเสริมการปลูกข้าวญี่ปุ่น และสีข้าวญี่ปุ่นแทน ทั้งต่อยอดธุรกิจด้วยนำรำข้าวหอมนิลและข้าวญี่ปุ่นมาสกัดเย็น แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมความงาม แบรนด์ “ถาดทอง” ส่งขายทั้งในและต่างประเทศ มียอดขายเติบโต 5-10% ต่อปี
                      ด้วยวิสัยทัศน์ที่ไม่หยุดนิ่งของสุทิน จึงได้รับความช่วยเหลือจากกระทรวงอุตสาหกรรม ส่งทีมที่ปรึกษาให้คำแนะนำเพื่อลดต้นทุนการผลิตมุ่งแข่งขันได้ในตลาดค้าข้าวและผลิตภัณฑ์แปรรูป โดยเฉพาะรองรับการเปิดเสรีอาเซียน ล่าสุด กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย นายประสงค์ นรจิตร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะสื่อมวลชน ลงพื้นที่เยี่ยมกิจการโรงสีข้าวเกริก ซึ่งตั้งอยู่ 136 หมู่ 12 ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ.เชียงราย
                      สุทิน บอกว่า โรงสีจะรับซื้อข้าวจากเกษตรกรที่ทำคอนแทร็กฟาร์มมิ่ง กับโรงสี โดยทางโรงสีได้จัดหาเมล็ดพันธุ์ข้าวญี่ปุ่น ปุ๋ย-ยาปราบศัตรูพืช นักวิชาการ ประกันราคา รับซื้อผลผลิต ซึ่งมี 500-700 ครอบครัว พื้นที่ 4,000 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ 800-1,200 กิโลกรัม ราคาจำหน่าย 40-42 บาทต่อกิโลกรัม มียอดขาย 6-10 ล้านบาทต่อปี มีตลาดส่งออกอยู่ที่ออสเตรเลีย และอยู่ระหว่างการพัฒนาตลาดอื่นๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์แปรรูปจากรำข้าว
                      ความแข็งแกร่งของโรงสีข้าวเกริกเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อเข้าร่วมโครงการพัฒนาขีดความสามารถแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค (One Province One Agro-Industrial Product) OPOAI จำนวน 1 แผนงาน คือ แผนงานที่ 4 การลดต้นทุนพลังงาน มีเป้าหมายต้องการผลิตสินค้าที่ดีมีคุณภาพให้แก่ลูกค้า เนื่องจากแรงงานเป็นปัญหาใหญ่ เพราะคนที่ทำนาในปัจจุบันอายุ 40 ปีขึ้นไป จึงต้องหาวิธีการลดต้นทุน และจากการที่ปรึกษาได้เข้าสำรวจสภาพปัจจุบันพบว่า มีการใช้พลังงานมาก และยังไม่มีมาตรการลดต้นทุน
                      ทีมที่ปรึกษาจึงเสนอ 3 มาตรการประหยัดพลังงาน คือ 1.จัดเวลาใช้งานเครื่องจักรเพื่อลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้า 2.ปรับปริมาณอากาศที่ใช้เผาไหม้เชื้อเพลิงให้เหมาะสมของเตาเผาที่ใช้อบแห้งข้าว และ 3.เปลี่ยนขนาดเครื่องจักรต้นกำลังให้เหมาะสมกับงาน
                      “ผลการดำเนินมาตรการ ช่วยลดค่าไฟฟ้าของโรงสีได้ถึง 1,115,156.00 บาทต่อปี คิดเป็นร้อยละ 19.96 ของค่าใช้จ่ายด้านพลังงานทั้งหมด” เจ้าของโรงสีแจง
                      ด้าน นายประสงค์ นรจิตร์ กล่าวว่า โครงการ OPOAI เริ่มปี 2550 มุ่งพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันให้แก่สถานประกอบการ เพื่อลดต้นทุน, เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ได้รับมาตรฐาน, กำหนดให้มีกลยุทธ์ขับเคลื่อนการตลาด และสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ อันเป็นการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา เพื่อให้สถานประกอบการแข่งขันได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน
———————–
(ทำมาหากิน : แปรรูปข้าวสู่ผลิตภัณฑ์ เสริมแกร่ง ‘โรงสี’ สู้ตลาด : โดย…ธานี กุลแพทย์)

‘พลังคู่กะเทาะล้างทรีอินวัน’ นวัตกรรมตอบสนองชุมชน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160301/223296.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2559
'พลังคู่กะเทาะล้างทรีอินวัน' นวัตกรรมตอบสนองชุมชน

ทำมาหากิน : ‘พลังคู่กะเทาะล้างทรีอินวัน’ นวัตกรรมตอบสนองชุมชน : โดย…พรนภา สวัสดี

                      ด้วยความคิดที่สร้างสรรค์และอยากจะช่วยแก้ปัญหาให้คนในชุมชนกับผลงานนวัตกรรมเด่นพลังคู่กะเทาะล้าง 3 in 1 ของนักเรียนโรงเรียนกาญจนดิษฐ์ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ที่ต้องการพัฒนาให้สิ่งประดิษฐ์มีประสิทธิภาพ และร่วมอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งเป็นผลงานนวัตกรรม 1 ในกว่า 300 ผลงานที่นำมาจัดแสดงในงานวันนักประดิษฐ์ประจำปี 2559 ระหว่างวันที่ 2-6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ณ ไบเทค บางนา
                      นันทิดา นวลเสน่ห์ หนึ่งในทีมนักประดิษฐ์รุ่นใหม่เจ้าของผลงาน พลังคู่กะเทาะล้าง 3 in 1 เล่าถึงที่มาของงานชิ้นนี้ว่า เกิดจากการที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ใน อ.กาญจนดิษฐ์ ประกอบอาชีพการทำกุ้งแห้งและการทำไข่เค็มซึ่งเป็นอาชีพที่มีชื่อเสียง แต่ด้วยวิธีการทำที่มีความยุ่งยาก บวกกับส่งผลต่อปัญหาหลายอย่าง ทำให้เกิดความคิดที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ โดยวิธีการที่ชาวบ้านใช้ทำกุ้งแห้ง คือ การนำตัวกุ้งที่ตากแห้งแล้วมาใส่ในถุงผ้าป่านแล้วฟาดขึ้นลงกับพื้น ซึ่งวิธีการนี้ทำให้เกิดผลกระทบตามมาหลายอย่าง อาทิ ตัวกุ้งไม่สะอาด ขาดเป็นท่อน การทำต้องใช้ระยะเวลานาน ด้วยลักษณะที่ต้องก้มต้องเงยอยู่บ่อยครั้งทำให้ชาวบ้านเกิดอาการปวดกล้ามเนื้อ
                      “เครื่องมือขนาดเล็กที่สามารถผลิตใช้ในครัวเรือน มีราคาต่ำและมีประสิทธิภาพ เครื่องพลังคู่กะเทาะล้าง 3 in 1 ช่วยแก้ปัญหาให้ชาวบ้านกาญจนดิษฐ์ได้” หนึ่งในทีมนักประดิษฐ์รุ่นใหม่แจง
                      สำหรับสิ่งประดิษฐ์พลังคู่กะเทาะล้าง 3 in 1 ประกอบไปด้วยชุดเครื่องล้างไข่เค็มที่สามารถล้างหอยแครงได้ และชุดกะเทาะเปลือกกุ้งแห้ง ยังสามารถกะเทาะเปลือกถั่วลิสงได้อีกด้วย สิ่งประดิษฐ์เพียงหนึ่งชิ้นที่สามารถใช้งานได้หลายรูปแบบ โดยพลังคู่กะเทาะล้าง 3 in 1 เป็นเครื่องมือที่อาศัยพลังงานกลจากการหมุนสว่านมือ ที่ทำให้สามารถทำงานพร้อมกันได้ทั้ง 2 ชุด ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที โดยชุดกะเทาะเปลือกกุ้งแห้งมีการติดตั้งใบพัดขวดน้ำพลาสติกเอาไว้ที่หม้อนึ่งซึ้งชั้นที่ 2 เมื่อหมุนสว่านมือจะทำให้ชุดซี่ตีหมุนมาเจอกับตัวกุ้ง กะเทาะตัวกุ้งและหัวกุ้งแยกออกจากกัน จากการหมุนทำให้เกิดแรงลมช่วยปัดกวาดเศษหัวและเปลือกกุ้งที่ไม่ได้ใช้ให้ตกลงสู่ด้านล่าง
                      นันทิดา เล่าว่า จากการเข้าแข่งขันในงานของสำนักงานคณะกรรมวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในครั้งที่ผ่านมา คณะกรรมการได้ให้คำแนะว่ามีพลังงานส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นแต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ จึงเกิดความคิดต่อยอดนำพลังงานตรงนั้นมาใช้ในส่วนของเครื่องล้างไข่เค็มที่ประดิษฐ์ขึ้น เพื่่อลดการสูญเสียพลังงานไปโดยสูญเปล่าเพื่อเป็นการร่วมอนุรักษ์พลังงาน โดยพลังงานในส่วนที่เหลือจะส่งมาทางสเตอร์ผ่านโซ่กำลัง ส่งมายังชุดเครื่องล้างไข่เค็ม ทำให้ชุดเครื่องล้างไข่เค็มทำงานใน 1 ครั้งสามารถล้างไข่เค็มได้ถึง 7 ฟอง ใช้ระยะเพียงแค่ 8 วินาที ส่วนระบบน้ำล้างสามารถใช้น้ำในการล้างได้มากกว่า 10 ครั้ง ด้วยเพราะเป็นระบบน้ำหมุนเวียน ทำให้การปล่อยน้ำทิ้ง เมื่อผ่านตัวกรองแล้วสามารถสูบน้ำกลับขึ้นมาใช้ใหม่ได้
                      “โดยปกติส่วนใหญ่วิธีการล้างไข่เค็มด้วยการใช้แรงคนนั้นต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรกว่าจะล้างดินที่พอกไข่เค็มออกได้สะอาด ซึ่งวิธีการที่ได้จากเครื่องพลังคู่กะเทาะล้าง 3 in 1 นี้ สามารถประหยัดพลังงานคนได้ถึง 7 เท่า” นักประดิษฐ์รุ่นใหม่แจงพร้อมบอกว่า
                      จากการที่นำเครื่องพลังคู่กะเทาะล้าง 3 in 1 นี้ ไปให้ชาวบ้านในชุมชนที่หมู่บ้านปากกะแดะ ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับที่ดี ชาวบ้านมีความพึงพอใจเครื่องนี้มาก เพราะช่วยลดปัญหาการปวดกล้ามเนื้อ ลดระยะเวลาการทำและได้ผลผลิตที่มากขึ้น
                      อย่างไรก็ตามผลงานสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ จากเยาวชนที่มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถช่วยแก้ปัญหาให้คนในชุมชนท้องถิ่นตนเองได้ เป็นผลงานที่ช่วยร่วมอนุรักษ์พลังงานถือเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและให้การสนับสนุน
————————-
(ทำมาหากิน : ‘พลังคู่กะเทาะล้างทรีอินวัน’ นวัตกรรมตอบสนองชุมชน : โดย…พรนภา สวัสดี)

‘เคบับ’ สูตรเฉพาะจากตุรกี ฝีมือคนไทยถูกปากคนกิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160226/223099.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559
'เคบับ' สูตรเฉพาะจากตุรกี ฝีมือคนไทยถูกปากคนกิน

ทำมาหากิน : ‘เคบับ’ สูตรเฉพาะจากตุรกี ฝีมือคนไทยถูกปากคนกิน : โดย…ดลมนัส กาเจ

                      จากความยากลำบากในการใช้ชีวิตในสังคมชนบท ที่ต้องอยู่กับท้องไร่ท้องนา ทำให้ สมหมาย มุ่งโป่ง ออกจากบ้านเกิดที่ ต.สระประดู่ อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ มุ่งหน้าสู่เมืองกรุง เมื่อครั้งอายุเพียง 15 ปี หวังว่าชีวิตน่าจะดีขึ้น จนวันเวลาผ่านไป เปลี่ยนอาชีพหลายอย่าง คำตอบสุดท้าย ยึดทำเลทองย่านห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่า ใกล้สถานทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย ถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ขาย “เคบับ” หลังจากได้สูตรจากชาวตุรกีเมื่อ 5 ปีก่อน จนสามารถสร้างรายได้วันละถึง 7,000 บาท
                      สมหมาย บอกว่า เข้ากรุงเทพฯ เมื่อปี 2521 อายุเพียง 15 ปี แต่ด้วยความรู้จบภาคบังคับเพียงชั้นประถมปีที่ 4 (ป.4) จึงไม่มีโอกาสที่จะเลือกงานได้ ต้องเข้าทำงานในภาคก่อสร้าง ทำหน้าที่เป็นคนตอกปั้นจั่นเสาเข็ม เปลี่ยนมาเป็นหนุ่มโรงงานผลิตถังแก๊ส ย่านบางโพธิ์ ทำได้ปีเดียวออกมาทำเฟอร์นิเจอร์ย่านบางรัก พัฒนาฝีมือจนเป็นช่าง และหัวหน้างานในเวลาต่อมา
                      “ตอนนั้นผมเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่ม อายุ 20 ปีต้นๆ เริ่มมีเพื่อนมากขึ้น พอดีรู้จักคนขับสามล้อเครื่องย่านประตูน้ำคนหนึ่ง มีรายได้ดี ชวนผมไปเช่ารถสามล้อเครื่อง ปรากฏว่ารายได้ดีครับ ตกวันละ 500 บาท แต่เพื่อนเก่งภาษาอังกฤษ พาฝรั่งไปเที่ยวได้เงินดีกว่า ผมตัดสินใจซื้อหนังสือภาษาอังกฤษ 75 ชั่วโมง ท่องทุกวัน วันละ 7 คำ ใช้เวลาเป็นปี พอพูดภาษาอังกฤษได้บ้างเริ่มพาฝรั่งไปเที่ยว ทำให้รายได้ดีขึ้น แต่เงินได้มาก็ไม่เหลือเพราะเที่ยวทุกคืน” สมหมาย ย้อนอดีต
                      ขณะที่สมหมายเพลิดเพลินกับงานขับสามล้อรับจ้าง พี่ชายไปสัมปทานป่าไม้ฝั่งประเทศกัมพูชา ขอให้ไปช่วย แต่วงการทำไม้สมหมายพบว่ามีแต่เล่ห์เหลี่ยม หักหลังจนชีวิตเกือบกลายจะเป็นฆาตกร เขาจึงอำลาวงการทำไม้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ บวชได้ 4 พรรษา สึกออกมา กลับไปขับสามล้อเครื่องอีกครั้ง จนดวงชะตาบรรจบพบแม่ม่ายขายลูกชิ้นย่านห้างสรรพสินค้าพันธุ์ทิพย์พลาซ่า เขาจึงวางมือจากคนขับสามล้อเครื่องมาเป็นพ่อค้าขายซูชิ อยู่ใกล้กัน
                      ครั้งหนึ่งห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่าจัดมหกรรมอาหาร มีชาวตุรกีออกบูธขายเคบับ ซึ่งเป็นอาหารของชาวเปอร์เซีย มีลูกค้ายืนต่อคิวยาวมาก สมหมายแอบนึกในใจว่าจะทำอย่างที่จะได้สูตรเคบับมาขายบ้าง จนงานจบเขาจึงไปติดต่อกับชาวตุรีเพื่อขอสูตรมา และซื้ออุปกรณ์ทำเคบับ สุดท้ายชาวตุรกีเสนอให้หุ้นกัน เพราะสมหมายมีที่ ชาวตุรกีมีอุปกรณ์ ลงทุนเท่ากันกำไรแบ่งครึ่ง ปรากฏว่าขายได้วันละ 7,000-8,000 บาท เคบับไก่ราคา 50 บาท เคบับเนื้อ 70 บาท
                      การร่วมหุ้นได้ไม่นานชาวตุรกีห่วงสูตรทุกอย่าง ห้ามจับมีดแล่เนื้อ ทำให้สมหมายต้องแอบจำ จนวันหนึ่งถึงจุดแตกหัก ชาวตุรกีถอนหุ้น ยอมขายอุปกรณ์ให้ในราคา 6 หมื่นบาท แต่ไม่ยอมขายแป้งให้ จนเขาไปพบว่าที่ห้างฟู้ดแลนด์มีแป้งชนิดเดียวกัน เขาจึงกลับมาทดลองทำแป้งเองและสามารถขายได้ปกติ
                      “การทำเคบับจะอร่อยหรือไม่ขึ้นอยู่กับแป้ง นุ่มหรือไม่ เนื้อและไก่ต้องหมักให้ได้ที่จึงจะนุ่ม การหันไฟต้องสม่ำเสมอ ผักต้องสด ดูภาพรวมมันง่าย แต่พอลงมือจริงไม่ง่าย ผมแอบมองชาวตุรกีทำหลายเดือน แล้วมาปรับปรุงสูตรให้ถูกปากคนไทยและชาวอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นลูกค้าประจำเพราะอยู่ใกล้สถานทูตอินโดฯ ตอนหลังเปลี่ยนแป้งใหม่ เพื่อนำเข้าจากตุรกีโดยตรง ทำมาสำเร็จรูป เราปรุวเฉพาะเครื่อง แล้วมาม้วน ขายได้เลย” สมหมายกล่าว
                      แม้ช่วงแรกลูกค้าอาจหายไปบ้าง แต่วันนี้ลูกค้ากลับมาเหมือนเดิมมีลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างประเทศ สามารถขายได้วันละอย่างน้อย 6,000-7,000 บาท หักต้นทุนแล้วสามารถอยู่ได้อย่างสบาย จากชีวิตเริ่มที่ศูนย์ แต่วันนี้ขายเคบับได้เพียง 5 ปี เขามีทุกอย่างทั้งบ้านและรถที่ไม่น้อยหน้าใครในสังคมนี้
———————–
(ทำมาหากิน : ‘เคบับ’ สูตรเฉพาะจากตุรกี ฝีมือคนไทยถูกปากคนกิน : โดย…ดลมนัส กาเจ)

ใช้กระถิน-ทางปาล์มน้ำมัน นวัตกรรมใหม่ปลูกกล้วยไม้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160225/223017.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2559
ใช้กระถิน-ทางปาล์มน้ำมัน นวัตกรรมใหม่ปลูกกล้วยไม้

ทำมาหากิน : ใช้กระถิน-ทางปาล์มน้ำมัน นวัตกรรมใหม่ปลูกกล้วยไม้ : โดย…นวลศรี โชตินันทน์

                      ที่ผ่านมาเกษตรกรจะนิยมกาบมะพร้าวใช้ในการปลูกกล้วยไม้ตัดดอกสกุลหวาย แต่ปัจจุบันกาบมะพร้าวกำลังขาดแคลน เนื่องจากพื้นที่การปลูกมะพร้าวลดลง เนื่องจากประสบปัญหาการระบาดของหนอนหัวดำและแมลงดำหนาม ทำให้กาบมะพร้าวมีราคาสูงขึ้นจากเดิมกระบะปลูกกล้วยไม้ราคากระบะละ 5-7 บาท มาเป็น 15-20 บาท กาบมะพร้าวเหมารถ 6 ล้อ จากคันละ 2,500 บาท เพิ่มกว่า 5,000 บาท ล่าสุด พุทธธินันทร์ จารุวัฒน์ วิศวกรการเกษตรชำนาญการพิเศษศูนย์วิจัยเกษตรวิศวกรรมจันทบุรี กรมวิชาการเกษตร พร้อมคณะ ศึกษาวิจัยกระถินและทางปาล์มน้ำมันเป็นวัสดุปลูกกล้วยไม้ทดแทนกาบมะพร้าว ปรากฏว่าใช้ได้เป็นอย่างดี
                      พุทธธินันทร์ บอกว่า ตามปกติเกษตรกรผู้เพาะปลูกกล้วยไม้ตัดดอกตระกูลหวายนั้น หลังจากปลูกไปแล้วทุกๆ 3-5 ปี จะต้องรื้อต้นกล้วยไม้เก่าและกาบมะพร้าวที่เป็นวัสดุปลูกออกเพื่อปลูกต้นใหม่ เนื่องจากกล้วยไม้มีจำนวนลำลูกกล้วยไม้มากและหนาแน่นขึ้น และมีการสะสมโรคในลำต้นเก่าๆ ด้วย แต่ปัจจุบันกาบมะพร้าวน้อยลง หากาบมะพร้าวไม่ได้ จะต้องทิ้งแปลงให้ว่างเปล่าส่งผลให้ขาดรายได้ไป
                      ด้วยเหตุนี้สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร จึงศึกษาและพัฒนาหาวัสดุปลูกมาทดแทนกาบมะพร้าวเน้นไปที่วัสดุที่เหลือใช้ทางการเกษตรที่ทิ้งไป โดยคำนึงถึงคุณสมบัติที่จะช่วยให้ระบบรากและต้นกล้วยไม้เจริญงอกงามดีและต้องหาได้ง่าย ราคาถูก ทนทาน และไม่ย่อยสลายเร็วเกินไป เบื้องต้นเลือกมา 5 ชนิด ได้แก่ กระถิน ทางปาล์มน้ำมัน ทางสละ เศษเหลือทิ้งจากสับปะรด ทะลายปาล์มน้ำมันจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ โดยมีวัสดุกาบมะพร้าวเป็นตัวเปรียบเทียบ
                      “เราคัดเลือกวัสดุเหลือใช้ทิ้ง หาได้ง่าย ต้นทุนต่ำ ระบายน้ำได้ดี ไม่อุ้มน้ำจนแฉะ สามารถนำมาอัดเป็นก้อนวัสดุปลูกทดแทนกาบมะพร้าว เราใช้เวลาศึกษาทดลองประมาณ 3 ปี เริ่มต้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2555 สิ้นสุดการทดลองในเดือนกันยายน 2558 โดยได้รับความอนุเคราะห์จากกลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร และสวนกล้วยไม้ของคุณสุวรรณ หิรัญวรวุฒิกุล สวนกล้วยไม้สุวรรณภูมิออร์คิด ที่ ต.หนองกระทุ่ม อ.กำแพงแน จ.นครปฐม ผลการทดลองพบว่า วัสดุที่กล้วยไม้ตอบสนองได้ดีคือกระถินและทางปาล์มน้ำมันที่จะนำมาปลูกกล้วยไม้ตัดดอกสกุลดีที่สุด” พุทธธินันทร์ กล่าว
                      สำหรับการดำเนินการเริ่มจากนำตัวอย่างวัสดุทั้งหมดไปศึกษาวิธีลดขนาดและกระบวนการอัดก้อนวัสดุสำหรับปลูกกล้วยไม้ตัดดอกสกุลหวาย สำหรับต้นกระถินหรือกิ่งกระถินใช้เครื่องหั่นย่อยกิ่งไม้ และใช้เครื่องหั่นเส้นใย คือ ทะลายปาล์มน้ำมัน ทางปาล์ม ทางสละและเศษเหลือทิ้งจากสับปะรด ซึ่งมีลักษณะเป็นพืชเส้นใย เครื่องหั่นนี้พัฒนาขึ้นมาโดยสถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม จากนั้นนำไปอัดเป็นก้อนวัสดุสำหรับปลูกกล้วยไม้ โดยการสร้างบล็อกโมเดลสำหรับขึ้นรูป มีขนาด 24x36x8 ซม. ซึ่งเป็นขนาดเดียวกับก้อนวัสดุปลูกกาบมะพร้าวที่ใช้กันทั่วไปในสวนกล้วยไม้ของเกษตรกร บล็อกที่ว่าใช้ปูนซีเมนต์เป็นตัวประสานให้วัสดุเหลือทิ้งที่เตรียมไว้สามารถขึ้นเป็นวัสดุปลูกได้
                      จากนั้นนำตัวอย่างก้อนวัสดุปลูกทั้งหมดไปศึกษาวิเคราะห์คุณสมบัติทางกายภาพและเคมี เพื่อทดสอบค่าต่างๆ รวมถึงศึกษาอายุและการใช้งานของก้อนวัสดุปลูกแต่ละชนิดและพบว่ากระถินและทางปาล์มน้ำมันทดแทนกาบมะพร้าวดีที่สุด
                      นอกจากนี้ยังวิจัยในส่วนของเครื่องมือผลิตกระบะวัสดุปลูกทดแทนกาบมะพร้าวในเชิงพาณิชย์ด้วย โดยผลิตเครื่องผลิตกระบะวัสดุปลูกกล้วยไม้ต้นแบบ ซึ่งมีความสามารถในการผลิต 25-30 กระบะต่อชั่วโมง กระบะวัสดุปลูกมีขนาด 20x36x8 ซม. สามารถปลูกกล้วยไม้ได้ 4 ต้น สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูย์วิจัยเกษตรวิศวกรรมจันทบุรี โทรศัพท์ 0-3945-1222
————————
(ทำมาหากิน : ใช้กระถิน-ทางปาล์มน้ำมัน นวัตกรรมใหม่ปลูกกล้วยไม้ : โดย…นวลศรี โชตินันทน์)

รวม ‘สแน็คเห็ด’ จากฟาร์ม เพิ่มค่าอร่อยมุ่งสุขภาพดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160224/222918.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559
รวม 'สแน็คเห็ด' จากฟาร์ม เพิ่มค่าอร่อยมุ่งสุขภาพดี

ทำมาหากิน : รวม ‘สแน็คเห็ด’ จากฟาร์ม เพิ่มค่าอร่อยมุ่งสุขภาพดี : โดย…ธานี กุลแพทย์

                      ความนิยมบริโภคเห็ดที่มีอย่างต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้นในโหมดอาหารจานสุขภาพ ทำให้หนุ่มเมืองโคราช “ศุภชัย คงธนะรุ่ง” วัย 26 ปี เห็นโอกาสตลาดจะสดใสจึงเปิดฟาร์มเห็ด ด้วยแนวคิดนอกจากขายผลิตผลเห็ดสดแล้ว ยังแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้อีกหลากหลายเมนู
                      ศุภชัย คงธนะรุ่ง ย้อนให้ฟังว่าสนใจเรื่องเห็ดมานาน เพราะนอกจากมีคุณค่าทางโภชนาการแล้วยังมีสรรพคุณช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง เบาหวาน หลอดเลือดหัวใจอุดตัน เมื่อเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ปี 2556 ได้เปิดฟาร์มเห็ดภูฐาน ชื่อ “ฟาร์มเห็ดคุณยุ่ง” เริ่มจากซื้อก้อนเห็ดจากเกษตรกร 1,000 ก้อน เก็บผลผลิตครั้งแรกได้ 40 กิโลกรัม จึงนำไปขายในมหาวิทยาลัย ด้วยความสดใหม่ทำให้ได้ราคาสูง และจำหน่ายหมดในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง จากนั้นเห็ดสดจากฟาร์มของเขาจึงขายดีมาตลอด
                      ต่อเมื่อความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ปีถัดมา ศุภชัย จึงคิดขยายช่องทางการตลาดโดยใช้เวลา 3 เดือนลองผิดลองถูกแปรรูปเห็ดเป็นผลิตภัณฑ์ในโหมดอาหารกินเล่นในสูตรเฉพาะของตัวเองควบคู่ไปกับการขายเห็ดสด มุ่งกลุ่มลูกค้ารักสุขภาพ เน้นการผลิตที่ได้มาตรฐาน สะอาด อร่อย อาทิ เห็ดทอดงาดำ 5 รสชาติ ข้าวเกรียบเห็ดงาดำ คุกกี้เห็ดกรอบ เป็นต้น
                      โดยสูตรที่คิดขึ้นที่โดดเด่นคือน้ำมันน้อย กรอบนาน ไม่เหนียว อยู่นาน 1 เดือน แต่ละสูตรมีส่วนผสมเนื้อเห็ดกว่าร้อยละ 50 เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสเนื้อ กลิ่นของเห็ด และความอร่อย ซึ่งการันตีทุกเมนูโดนใจและถูกปากลูกค้าแน่นอน
                      เกือบ 2 ปีของสแน็คเห็ด ศุภชัย บอกว่า มีกลุ่มลูกค้าติดต่อให้ไปขายในงานโอท็อปทั่วประเทศ ร้านค้าของฝากในจังหวัดต่างๆ รวมถึงขอซื้อสูตร บางรายแนะนำให้จัดทำแฟรนด์ไซส์ขาย แต่ต้องปฏิเสธไปหลายรายเพราะลูกค้าต้องการปริมาณมาก ซึ่งกำลังการผลิตมีไม่เพียงพอ
                      “ที่ผ่านมาต่อเดือนจะผลิตได้เต็มที่ 200 กิโลกรัม โดยให้ลูกค้าสั่งจองล่วงหน้า เพราะเราจะผลิตตามออเดอร์ เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ”
                      อย่างไรก็ตาม เพื่อทางเลือกของลูกค้า ศุภชัย บอกล่าสุด ได้ผลิตน้ำเห็ดหลินจือแดงพร้อมดื่มเพื่อสุขภาพ และดอกเห็ดหลินจือแดงอบแห้ง ตอนนี้วางจำหน่ายแล้ว ชาวโคราชหาซื้อได้ที่ร้านขนมไทยไพรจิต หลังย่าโม ต่างจังหวัดสั่งได้ทางข้อความ
                      ปัจจุบันศุภชัยทำธุรกิจเห็ดครบวงจร ตั้งแต่ผลิตก้อนเห็ด ปลูก ขาย และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ โดยแบ่งบริหารจัดการเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ฟาร์มเห็ดคุณยุ่ง ผลิตก้อนเชื้อและส่งดอกเห็ดสด ส่วนที่ 2 โคราชดอกเห็ด จะรับดอกเห็ดมาแปรรูป
                      “กำลังการผลิตต่อวันจะทำเท่าที่ทำได้ ในอนาคตจะขยายฟาร์มทำเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เตรียมจดทะเบียนพาณิชย์ ขอ อย. และส่งผลิตภัณฑ์คัดสรรสินค้าโอท็อป ทั้งคิดค้นสูตรการแปรรูปที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เพื่อสร้างจุดเด่นให้ผลิตภัณฑ์”
                      ผู้สนใจจะเยี่ยมชมฟาร์ม หรือต้องการซื้อหาผลิตภัณฑ์ เข้าไปได้ทางเฟซบุ๊กที่ฟาร์มเห็ดคุณยุ่ง โคราช หรือโทรศัพท์สอบถามรายละเอียดได้ที่ 08-3374-7244
——————–
(ทำมาหากิน : รวม ‘สแน็คเห็ด’ จากฟาร์ม เพิ่มค่าอร่อยมุ่งสุขภาพดี : โดย…ธานี กุลแพทย์)

‘สีมายา’ จากดินสู่ผืนผ้า งานทำเงินชาวบ้านหน้าถ้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160223/222883.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559
'สีมายา' จากดินสู่ผืนผ้า งานทำเงินชาวบ้านหน้าถ้ำ

ทำมาหากิน : ‘สีมายา’ จากดินสู่ผืนผ้า งานทำเงินชาวบ้านหน้าถ้ำ : โดย…สุพิชฌาย์ รัตนะ

                      จากดินสู่ผืนผ้า ผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมที่มาจากสีธรรมชาติ อาจไม่ใช่เรื่องแปลกในยุคสมัยปัจจุบันที่สังคมนิยมและแสวงหาความเป็นธรรมชาติหรือใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดๆ ก็สามารถหาซื้อได้ไม่ยากเย็น แต่หากสีย้อมผ้าที่มาจาก “ดิน” เชื่อแน่ว่าหลายคนไม่เคยได้ยิน สินค้านี้มีให้เลือกแค่ที่นี่ที่เดียวในประเทศไทย “กลุ่มย้อมสีธรรมชาติสีมายา” ต.หน้าถ้ำ อ.เมือง จ.ยะลา
                      เนาวรัตน์ น้อยพงษ์ ประธานกลุ่มสีธรรมชาติสีมายา บอกว่า เดิมทีกลุ่มสมาชิกรวมตัวกันผลิตผ้ามัดย้อมสีจากธรรมชาติโดยทั่วๆ ไป เช่น สีจากแก่นขนุน หูกวาง ใบมังคุด ฝักราชพฤกษ์ ใบกล้วยและกาบมะพร้าว จากนั้นจึงจะนำมาตัดเย็บเป็นประเภทเสื้อยืด เสื้อเชิ้ต ผ้าคลุม ผ้าเช็ดหน้า ซึ่งรูปแบบไม่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไปที่มักจะผลิตออกมาคล้ายๆ กันทำให้ต้องแข่งขันแย่งตลาดกันเอง กระทั่งพยายามคิดหาจุดขายใหม่ๆ ให้สินค้า กระทั่งได้รับคำแนะนำจากผู้รู้ในหลายๆ ด้านที่แนะนำให้เน้นการนำวัตถุดิบในท้องถิ่นที่เป็นรากเหง้าเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมมาใช้ประโยชน์ในด้านการผลิตเป็นแบรนด์สินค้า จากจุดนี้จึงนำสู่แนวคิดการนำดิน “สีมายา” มาสกัดเป็นสีย้อมผ้าจากธรรมชาติที่มีแค่ จ.ยะลา แห่งเดียวเท่านั้น
                      เนาวรัตน์ อธิบายต่อว่า สีมายา หรือขี้มายา คือชื่อเรียกของดินที่มาจากในถ้ำซึ่งเกิดจากการทับถมของสิ่งมีชีวิตเป็นหมื่นปีจนกลายเป็นดินและที่สำคัญในถ้ำจะมีค้างคาวอาศัยอยู่ทำให้ดินที่ได้จะมีส่วนผสมของขี้ค้างคาวไปด้วยกลายเป็นปุ๋ยอย่างดีชาวบ้านก็เลยเรียกว่า “สีมายา” ซึ่งชาวบ้านไปขุดมาวางขายเป็นปุ๋ยธรรมชาติ แต่มีจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่าสีจากดินมีประโยชน์หากนำมาย้อมบนผืนผ้าจะได้สีสันที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร และที่สำคัญผ้าทุกผืนสามารถบ่งบอกเรื่องราวและแหล่งที่มาได้อย่างชัดเจน ครั้งแรกที่เริ่มต้นนำสินค้าไปทดลองจำหน่ายที่ร้านค้าจำหน่ายของที่ระลึกบริเวณวัดคูหาภิมุข หรือวัดถ้ำยะลา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของ จ.ยะลา
                      จากจุดนี้ทำให้ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติสีมายากลายเป็นสินค้าขายดีได้อย่างรวดเร็ว ล่าสุดกลุ่มจึงเปิดโอกาสให้ใครที่สนใจอยากเรียนรู้ก็สามารถตามไปดูกระบวนการผลิตทุกขั้นตอนถึงแหล่งผลิตได้เลยทันที ซึ่งเมื่อเห็นแล้วจะยิ่งภาคภูมิใจที่มีโอกาสเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ผ้าจากสีมายาที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้มาในแต่ละผืน ปัจจุบันกลุ่มมีการผลิตลวดลายจากสีมายาถึง 7 แบบ ประกอบด้วย ลายแมงมุม ลายปล้องไผ่ ลายขดลวด ลายดอกฟัก ลายข้าวหลามตัด ลายริ้วทองและลายดอกทานตะวัน ขณะที่ผ้าส่วนใหญ่จะถูกนำมาตัดเย็บเป็นสินค้าหลากหลาย แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ เสื้อเชิ้ตที่มีลูกค้ากลุ่มวัยกลางคนหันมาสวมใส่ออกงานสังคมในท้องถิ่นนั่นเอง
                      ประธานกลุ่มสีธรรมชาติสีมายา บอกอีกว่า สำหรับกระบวนการสกัดสีจากดินสีมายาเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความพยายามสูง เริ่มจากการนำดินมาต้มจนได้สี จากนั้นก็ต้องกรองแยกเศษดินออกให้หมดเอาเฉพาะน้ำเพื่อนำไปย้อมสีผ้าตามลวดลายที่ต้องการ ขั้นตอนการกรองเป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องกรองแล้วกรองอีกจนกว่าจะมั่นใจว่าสะอาดจริง “การสกัดสีจากดินสีมายาจะได้สีย้อมผ้าเป็นสีโทนส้มอ่อนๆ คล้ายสีก้อนอิฐ เมื่อกรองหลายๆ ครั้งก็จะได้สีสันที่แตกต่างกันออกไปตามความเข้มอ่อนของดิน แต่ 90% โทนสีที่ได้จะจัดอยู่ในกลุ่มเอิร์ธโทนช่วยทำให้ผ่อนคลาย” เนาวรัตน์ กล่าวปลื้ม ผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติ “สีมายา” กลายเป็นสินค้าขายดีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมีเรื่องราวที่สามารถบอกเล่าผ่านสีของผืนผ้าให้คนยะลาภาคภูมิใจ สนใจผลิตภัณฑ์ติดต่อได้ที่ “กลุ่มย้อมสีธรรมชาติสีมาย” ต.หน้าถ้ำ อ.เมือง จ.ยะลา โทร.0-7325-3163 หรือ 08-1368-6300 ตลอดเวลา
——————–
(ทำมาหากิน : ‘สีมายา’ จากดินสู่ผืนผ้า งานทำเงินชาวบ้านหน้าถ้ำ : โดย…สุพิชฌาย์ รัตนะ)