อย่ามองข้ามเลี้ยง ‘จิ้งหรีด’ แมลงเศรษฐกิจเงินล้านสู้ภัยแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160222/222830.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2559
อย่ามองข้ามเลี้ยง 'จิ้งหรีด' แมลงเศรษฐกิจเงินล้านสู้ภัยแล้ง

ทำมาหากิน : อย่ามองข้ามอาชีพเลี้ยง ‘จิ้งหรีด’ แมลงเศรษฐกิจเงินล้านสู้ภัยแล้ง : โดย…ดลมนัส กาเจ

                      ท่ามกลางที่ประเทศไทยกำลังประสบกับวิกฤติภัยแล้งอย่างกว้างขวาง ถึงขนาดรัฐบาลต้องประกาศขอความร่วมมือจากเกษตรกรให้งดการทำนาปรัง และมีการส่งเสริมอาชีพอื่นทดแทนไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย
                      ในจำนวนอาชีพเสริมที่ใช้น้ำน้อยนั้น คือการเลี้ยงจิ้งหรีด เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ไม่ควรจะมองข้าม เนื่องจากเป็นอาชีพที่ใช้น้ำน้อยมาก เลี้ยงง่าย ตลาดต้องการสูง สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรเป็นอย่างดี จะเห็นจากบางหมู่บ้านที่เลี้ยงจิ้งหรีด มีเงินหมุนเวียนเดือนละนับล้านบาท โดยมีผู้ประกอบการไปรับซื้อถึงที่ ส่วนหนึ่งใช้บริโภคภายในประเทศ และอีกส่วนส่งออก
                      สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ ทางองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือเอฟเอโอ  ออกรายงานอย่างเป็นทางการว่า หนึ่งในหนทางดีที่สุดในการเลี้ยงประชากรโลกที่คาดว่าจะมีกว่า 9,000 ล้านคนในปี ค.ศ.2050 คือ “แมลง” ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อป่าไม้และทะเล แหล่งอาหารหลักของคนเราไม่ให้รับศึกหนักมากไปกว่านี้ และปริมาณอาหารที่ผลิตได้ ณ วันนี้มีไม่เพียงพอแน่นอน
                      เอฟเอโอ เคยระบุว่า แมลงบางชนิดต้องเป็นอาหารคน เนื่องจากความต้องการแหล่งอาหารอย่างยั่งยืนเพิ่มสูงขึ้น ที่สำคัญกระบวนการเผาผลาญอาหารเป็นน้ำหนักตัวของปศุสัตว์และสัตว์ปีก ไม่ดีเท่ากับแมลง อย่างจิ้งหรีด ต้องการอาหารเพียง 2 กิโลกรัม สำหรับการทำน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม กระบวนการเปลี่ยนผ่านทางชีวภาพที่มีต้นทุนต่ำ แถมช่วยลดการปนเปื้อน และปล่อยก๊าซเรือนกระจก, ก๊าซแอมโมเนีย น้อยกว่าโค กระบือ และสุกร ตลอดจนใช้ที่ดินและน้ำน้อยกว่าการเลี้ยงปศุสัตว์ รวมถึงการใช้ทรัพยากรน้ำที่น้อยด้วย
                      ขณะที่ประเทศไทยก็ได้มีสถาบันการศึกษา หน่วยงานของรัฐ และบริษัทเอกชนบางแห่งก็มีการส่งเสริมในการเลี้ยงแมลงมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะจิ้งหรีด อย่างคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้มีกิจกรรมจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การแปรรูปอาหารจากแมลง” เน้นไปที่ชนิดและคุณค่าทางอาหารของแมลงกินได้ เป็นต้น
                      ล่าสุด นายพิศาล พงศาพิชณ์ รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ระบุว่า ทางคณะกรรมาธิการยุโรป หรืออีซี ได้ประกาศยอมรับกฎระเบียบฉบับใหม่เกี่ยวกับอาหารที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ (Novel food) เพื่อให้สถานประกอบการสามารถนำเข้า Novel food ไปยังยุโรปได้สะดวกขึ้น ซึ่งกฎระเบียบดังกล่าว จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 และได้กำหนดให้แมลงเป็น Novel food ด้วย ถือเป็นการเปิดช่องทางให้แก่อุตสาหกรรมอาหารจากวัตถุดิบแมลง ที่จะเป็นโอกาสให้เกษตรกรผู้เลี้ยงจิ้งหรีดของไทยที่จะขยายตลาดส่งออกได้มากขึ้น จึงจำเป็นต้องเร่งจัดทำมาตรฐานจีเอพี ฟาร์มจิ้งหรีด เพื่อเสริมขีดความสามารถการแข่งขันให้แก่สินค้าแมลงของไทยในตลาดโลก
                      “ปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพและมีความชำนาญในการเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดในเชิงพาณิชย์ โดยมีฟาร์มจิ้งหรีดประมาณ 2 หมื่นแห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ จ.ขอนแก่น กาฬสินธุ์ และมหาสารคาม สำหรับพันธุ์จิ้งหรีดที่เกษตรกรนิยมเลี้ยงมี 3 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์สะดิ้ง ทองดำ และจิ้งหรีดขาว โดยมีกำลังผลิตสูงถึง 7,500 ตัน/ปี คิดเป็นมูลค่าจิ้งหรีดสดและแปรรูปรวมกว่า 900 ล้านบาท” นายพิศาล กล่าว
                      รองเลขาธิการ มกอช. ระบุอีกว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดแปรรูปมากมาย เช่น สแน็คฟู้รสชาติต่างๆ ทั้ง รสต้มยำ รสวาซาบิ จิ้งหรีดกรอบ รวมทั้งจิ้งหรีดชนิดโปรตีนผง เพื่อนำไปแปรรูป เป็น เค้ก คุกกี้ ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งลาว จีน และสหภาพยุโรป หรืออียู ทางผู้ประกอบการได้ประสานมายัง มกอช. เพื่อให้ออกข้อกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับฟาร์มจิ้งหรีด หรือฟาร์มจิ้งหรีดจีเอพี ขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งเสนอให้คณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตรพิจารณาการจัดทำมาตรฐานฟาร์มจิ้งหรีด เพื่อสนับสนุนการเพาะเลี้ยง การแปรรูปและการส่งออกจิ้งหรีดไปต่างประเทศต่อไป
                      ด้าน นายราฟาเอล ซาโมซิโน กรรมการผู้จัดการบริษัท อีโค่ อินเซ็ค ฟาร์มมิ่ง จำกัด ผู้รับซื้อจิ้งหรีดเพื่อนำไปแปรรูเป็นจิ้งหรีดผง ส่งออกยุโรป มีสำนักงานอยู่ที่ อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ บอกว่า ปัจจุบันทางอียูให้การยอมรับการบริโภคแมลงเพิ่มมากขึ้นแล้ว โดยเฉพาะจิ้งหรีดมีแนวโน้มความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในรูปแบบของแป้งจิ้งหรีดหรือจิ้งหรีดผง นำไปทำคุกกี้ และพาสต้า ถือเป็นอาหารโปรตีนชั้นเลิศและมีรสชาติดีด้วย
                      “ช่วงนระยะ 2 ปี ตลาดแป้งจิ้งหรีดในยุโรปเติบโตขึ้นมากอย่าง ประเทศอังกฤษ มีการนำเข้าสูงที่สุด แต่ชาวยุโรปไม่นิยมบริโภคจิ้งหรีดสดเหมือนกับคนไทย แต่ยังไม่ยอมรับการบริโภคเป็นตัว เนื่องจากไม่คุ้นเคยนั่นเอง ทางบริษัท อีโค่ อินเซ็คฯ มีแผนส่งออกแป้งจิ้งหรีดไปยุโรปเดือนละไม่น้อยกว่า 200 กิโลกรัม ขายในราคากิโลกรัมละ 900-1,000 บาท” นายราฟาเอล กล่าว
                      การเลี้ยงจิ้งหรีดนับเป็นอีกทางเลือกของเกษตรกร โดยเฉพาะช่วงที่กำลังประสบปัญหาภัยแล้ง เนื่องจากใช้น้ำน้อยมาก แต่สามารถสร้างรายได้เป็นอย่างดี
——————-
อาชีพเสริมรายได้หลัก
                      นายเพ็ชร วงศ์ธรรม ผู้ใหญ่บ้านบ้านแสงตอ ต.บัวใหญ่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น บอกว่า ในหมู่บ้านเลี้ยงจิ้งหรีดทั้งหมด 66 ครอบครัว จากทั้งหมด 99 ครอบครัว เดิมทีเลี้ยงเป็นอาชีพเสริมหลังทำนา แต่ปัจจุบันกลายเป็นรายได้หลัก มีเงินสะพัดในหมู่บ้านเดือนละกว่า 1.6 ล้านบาท อย่างของตนเลี้ยงมาแล้ว 3 ปี เริ่มจาก 4 บ่อ ขนาด 2.80×3 เมตร เลี้ยงได้ 40-45 วัน จับขายได้รุ่นละ 300-400 กิโลกรัม ขายในราคากิโลกรัมละ 90-100 บาท ปัจจุบันมี 180 บ่อ ผลิตได้รุ่นละ 13-14 ตัน มีรายได้ปีละกว่า 1 ล้านบาท
                      “การที่จิ้งหรีดเป็นแมลงที่เลี้ยงง่าย ใช้พื้นที่และปริมาณน้ำน้อย ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีและต้นทุนในการเลี้ยงที่สูง จึงเหมาะสมกับพื้นที่แห้งแล้งหรือเขตชนบท ซึ่งเกษตรกรสามารถเลี้ยงได้ปีละ 8 รุ่น จิ้งหรีดทองลายใช้เวลาเลี้ยง 40-50 วัน ราคาขายส่งกิโลกรัมละ 80-100 บาท ส่วนจิ้งหรีดทองดำใช้ระยะเวลาเลี้ยงประมาณ 30-45 วัน ราคาขายส่งอยู่ที่กิโลกรัมละ 120-150 บาท อย่างของผมทำตลาดเองส่งไป จ.กาฬสินธุ์ ตลาดไท ตลาดโรงเกลือ จ.สระแก้ว และจตุจักร กรุงเทพฯ” นายเพ็ชร กล่าว
——————-
(ทำมาหากิน : อย่ามองข้ามอาชีพเลี้ยง ‘จิ้งหรีด’ แมลงเศรษฐกิจเงินล้านสู้ภัยแล้ง : โดย…ดลมนัส กาเจ)

‘สบู่ฟักข้าว-รีสอร์ท’ วิถีสร้างอาชีพชุมชนมั่นคง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160219/222653.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559
'สบู่ฟักข้าว-รีสอร์ท' วิถีสร้างอาชีพชุมชนมั่นคง

ทำมาหากิน : ‘สบู่ฟักข้าว-รีสอร์ท’ วิถีสร้างอาชีพชุมชนมั่นคง : โดย…โต๊ะข่าวเกษตร

                      “แก่งละว้า” อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น เป็นแหล่งน้ำสาธารณะสำคัญครอบคลุมเขตพื้นที่ อ.บ้านไผ่ และอ.ชนบท รวมไปถึงพื้นที่ตอนกลางของจังหวัด ทั้งเป็นสถานที่พักผ่อน เป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดในการทำมาหากิน ด้วยทำเลที่ตั้งอันสวยงามนี้ ได้เกิดเป็นกลุ่มธุรกิจบริการที่สร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ซึ่ง “ชิคาโก้ไอซ์แลนด์รีสอร์ท” คือหนึ่งกลุ่มที่สร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์และต่อยอดด้วยใช้วัตถุดิบในพื้นที่สร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์
                      เหตุนี้จึงเป็นโจทย์สำคัญที่กลุ่มนักศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ได้ลงพื้นที่ ทำความเข้าใจรวมทั้งหารือร่วมกับผู้ประกอบการในชุมชนเพื่อนำไปสู่แนวทางการวิจัยและสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อให้สามารถเข้าสู่ตลาดการแข่งขันในระดับพื้นที่และการชูจุดเด่นของชุมชนเป็นสิ่งดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาใช้บริการในสัดส่วนที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น
                      น.ส.นนทพร ภควณิชย์ ชั้นปีที่ 4 สาขาการจัดการ คณะวิทยาการจัดการ มข. กล่าวว่า หลังจากได้หารือร่วมกับชุมชนและเจ้าของสถานประกอบการ ทีมนักศึกษาที่รับผิดชอบต่างได้ข้อสรุปที่ตรงกันว่า รีสอร์ทแห่งนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาด้านประชาสัมพันธ์ การสร้างจุดเด่น เพื่อนำไปสู่การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนบนพื้นฐานการผสมผสานการฟื้นฟูอนุรักษ์สภาพแวดล้อม สร้างอัตลักษณ์ ก่อนเข้าสู่การสร้างจุดเด่นของรีสอร์ท
                      “ขณะเดียวกันในรีสอร์ทแห่งนี้ยังปลูกฟักข้าว มีผลิตภัณฑ์ที่ทำจากฟักข้าว จึงได้จัดทำแผนการผลิตผลิตภัณฑ์สบู่จากฟักข้าวซึ่งทางผู้ประกอบการสนใจ จนเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์สบู่ฟักข้าว ที่นอกจากจำหน่ายให้ลูกค้าภายนอกแล้ว ยังมีสบู่ที่เหลือจากการตัดเพื่อขายเชิงพาณิชย์ ทางกลุ่มผู้ศึกษาได้เสนอให้ผู้ประกอบการนำมาใช้ในห้องพักของรีสอร์ทอีกด้วย”
                      น.ส.นนทพร กล่าวอีกว่า การผลิตสบู่ฟักข้าวเพื่อขายเชิงพาณิชย์ มี 4 กลิ่น คือ ลาเวนเดอร์ มะลิ ข้าวหอม และไม่แต่งกลิ่น จากการสำรวจพบว่ากลิ่นที่ลูกค้าชื่นชอบ ได้แก่ กลิ่นลาเวนเดอร์ กลิ่นมะลิ ไม่แต่งกลิ่น และกลิ่นข้าวหอมตามลำดับ
                      “ทางกลุ่มได้ลงพื้นที่หาร้านขายปลีกเพื่อวางขายผลิตภัณฑ์สบู่ฟักข้าว ขณะเดียวก็มีปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ โดยเริ่มจากกล่องพลาสติกสี่เหลี่ยมผืนผ้าและติดฉลาก แต่บรรจุภัณฑ์ยังไม่ดึงดูดใจผู้บริโภคเท่าที่ควร อีกทั้ง วัสดุที่ทำบรรจุภัณฑ์ยังไม่ตรงตามความต้องการของผู้โภค เราจึงเปลี่ยนแปลงรูปแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่โดยเลือกใช้วัสดุที่เป็นกระดาษแข็งทำเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม ลวดลายมีความสวยงาม มีสีสันมากกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งขันและดึงดูดผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์ได้อีกทางด้วย”
                      ด้านนางขวัญญาดา สิงคลีบุตร ผู้จัดการชิคาโก้ กล่าวว่า นักศึกษาได้เข้ามาทำแผนกำหนดแนวทางการพัฒนาภายใต้ความสามารถของคนในท้องถิ่นได้อย่างถูกทิศทางและสร้างทรัพยากรการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับสภาพที่เป็นอยู่จริงของท้องถิ่น โดยหลังจากมีการเปิดตัวกิจกรรมการท่องเที่ยวภายในรีสอร์ททำให้มีลูกค้าเข้าพักและผู้ใช้บริการรีสอร์ทมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
———————–
(ทำมาหากิน : ‘สบู่ฟักข้าว-รีสอร์ท’ วิถีสร้างอาชีพชุมชนมั่นคง : โดย…โต๊ะข่าวเกษตร)

รวยด้วยปลูกกล้วยหอมทอง ป้อนห้าง-เซเว่นฯ วันละ 10 ตัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160218/222587.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559
รวยด้วยปลูกกล้วยหอมทอง ป้อนห้าง-เซเว่นฯ วันละ 10 ตัน

ทำมาหากิน : รวยด้วยปลูกกล้วยหอมทอง ป้อนห้าง-เซเว่นฯ วันละ 10 ตัน : โดย…ดลมนัส กาเจ

                      จากการที่สามีภรรยา “เกรียงศักดิ์-เสาวณี วิเลปนะ” เกิดมาในครอบครัวที่มีอาชีพเกษตรกร ทำสวนส้มอยู่ในย่าน อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี เป็นทุนเดิม ทำให้ทั้งคู่เลือกเรียนด้านการเกษตรที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตบางพระ อ.บางพระ จ.ชลบุรี จบมาเลือกทางเดินตามรอยของครอบครัว ปลูกกล้วยหอมทองในสวนส้มร้างในทุ่งรังสิต เริ่มจาก 30 ไร่ ขยายเป็น 3,000 ไร่ พร้อมขยายพื้นที่ให้ลูกไร่อีกส่วนหนึ่งผลิตกล้วยหอมทองส่งตลาดวันละ 10 ตัน ในนามบริษัท คิง ฟูดส์ จำกัด โดยทั้งคู่เป็นผู้บริหารเอง ตั้งเป้าอีก 4 ปี จะขยายพื้นที่ปลูกถึง 1 หมื่นไร่
                      เกรียงศักดิ์ เล่าว่า เมื่อครั้งที่สวนส้มเขียวหวานในทุ่งรังสิตกำลังเฟื่องฟู ครอบของเขาก็ปลูกส้มในพื้นที่ 30 ไร่ แต่หลังจากที่ส้มรังสิตประสบปัญหาผลส้มร่วงอันเกิดมาจากโรคกรีนนิ่ง ทำให้เกษตรกรชาวสวนส้มย่านทุ่งรังสิต ย้ายทำเลใหม่ไปปลูกที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะที่ จ.กำแพงเพชร แต่ครอบครัวของเขายังรักถิ่นปักหลักจะอยู่ที่ อ.หนองเสือ ต่อไป จึงหาพืชตัวอื่นมาทดแทนส้ม ด้วยการเลือกปลูกกล้วยหอมทอง ซึ่งเป็นพืชที่ได้รับความนิยมปลูกมากที่สุดในยุคนั้น เริ่มต้นส่งผลผลิตผ่านพ่อค้าคนกลางที่รับซื้อเพื่อส่งต่อยังยังตลาดสี่มุมเมือง จากนั้นเริ่มเข้าสู่การเป็นผู้ขายเองโดยเช่าแผงค้าที่ตลาดไท และมีการขยายตลาดเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
                      “พื้นที่เราปลูก 30 ไร่ ในปี 2539 ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เราขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นเป็นลำดับตามความต้องการของตลาด ด้วยการหาพื้นที่ปลูกใหม่เพิ่มขึ้นทั้งที่ จ.ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี และนครนายก ตอนนี้มีพื้นที่ปลูกกล้วยหอมทองเองกว่า 3,000 ไร่ แต่ตลาดก็ยังต้องการสูง ต้องขยายโอกาสให้เกษตรกรที่ต้องการเป็นลูกไร่เพื่อปลูกกล้วยหอมทองส่งในพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจันทบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และชุมพร เราจะรับซื้อเครือละ 180-200 บาท หรือราว กก.ละ 20 บาท” เกรียงศักดิ์ กล่าว
                      ด้านเสาวณี ซึ่งดูแลด้านการตลาด บอกว่า ตลาดเริ่มเติบโตหลังจากที่ไปเช่าแผงค้าที่ตลาดไทและเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงจดทะเบียนตั้ง บริษัท คิง ฟูดส์ จำกัด ตั้งสำนักงานอยู่ที่ ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เพื่อเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกล้วยหอมทองอย่างครบวงจร เน้นขยายสู่ตลาดบน จนประสบความสำเร็จ สามารถผลิตกล้วยหอมทองคุณภาพป้อนตลาดห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ๆ อาทิ โลตัส เดอะมอลล์ แม็คโคร บิ๊กซี สายการบินใหญ่อีก 3 สายการบิน คือ การบินไทย บางกอกแอร์เวย์ และสายการบิน LSG ตลอดจนเครือไมเนอร์ กรุ๊ป หรือไอศกรีมสเวนเซ่นส์ ทั้งในรูปแบบกล้วยหวี และกล้วยแพ็กวันละ 10 ตัน
                      ล่าสุด เสาวณี บอกว่า บริษัทซีพี ออลล์ จำกัด ซื้อเพื่อวางขายในร้านเซเว่นอีเวฟเว่น วันละ 5 หมื่นแพ็ก ขณะที่เซเว่นต้องการกล้วยหอมทองแพ็กถึงวันละ 1 แสนแพ็ก และทราบมาว่าเซเว่นยังมีความต้องการกล้วยหอมทองแพ็กมากถึงวันละ 2 แสนแพ็ก แต่ปัจจุบันเซเว่นมีกล้วยหอมทองแพ็กป้อนเพียง 8 หมื่นแพ็กต่อวันจากซัพพลายเออร์ทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน บริษัทจึงตั้งเป้าว่าในปี 2563 จะขยายพื้นที่ปลูกให้ถึง 1 หมื่นไร่ เพื่อมุ่งสู่ตลาดต่างประเทศต่อไป
                      นั่นยอมแสดงให้เห็นว่า กล้วยหอมทองยังเป็นที่ต้องการของตลาดอีกมากทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ สนใจปลูกกล้วยหอมอย่างไรที่ตลาดต้องการ สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทยร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์สัมมนาเชิงวิชาการ “กล้วย…พืชเศรษฐกิจเงินล้าน…” เสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ ณ อาคารวิทยบริการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ สอบถามได้ที่โทร.0-2940-5426 หรือ 08-6340-1713
———————–
(ทำมาหากิน : รวยด้วยปลูกกล้วยหอมทอง ป้อนห้าง-เซเว่นฯ วันละ 10 ตัน : โดย…ดลมนัส กาเจ)

ปรับกลยุทธ์ชู ‘หอม-นุ่ม’ เพิ่มค่า ‘ผ้าไทย’ รับเออีซี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160217/222530.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2559
ปรับกลยุทธ์ชู 'หอม-นุ่ม' เพิ่มค่า 'ผ้าไทย' รับเออีซี

ทำมาหากิน : ปรับกลยุทธ์ชู ‘หอม-นุ่ม’ เพิ่มค่า ‘ผ้าไทย’ รับเออีซี : โดย…ธานี กุลแพทย์

                      ลวดลายที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ การอนุรักษ์ลายโบราณประยุกต์เข้ากับสมัยใหม่ บวกคุณภาพที่ได้มาตรฐาน ทำให้ผลิตภัณฑ์ “จิดาภาผ้าไทย” เครือข่ายกลุ่มผ้าไหมบ้านหนองโก ต.ดอนกอก อ.นาโพธิ์ จ.บุรีรัมย์ ตอบโจทย์และได้รับความนิยมจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งเพื่อรองรับการเปิดเสรีอาเซียน จึงปรับกลยุทธ์การผลิตที่มุ่งความหอม ความนุ่มของผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยี “นาโน” เพื่อเป็นทางเลือกของลูกค้าเพิ่มขึ้น
                      นายโชติช่วง นาดา รองประธานจิดาภาผ้าไทย กล่าวว่า จิดาภาผ้าไทย เป็นลูกข่ายของกลุ่มผ้าไหมบ้านหนองโก ซึ่งผลิตผ้าไหมมานับสิบปีจนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป โดยเฉพาะลวดลายที่สวยงาม แต่ยังคงความเป็นผ้าไหมมัดหมี่แบบดั้งเดิมไว้ ทั้งพัฒนาลวดลายใหม่ๆ ให้เข้ากับยุคสมัย ซึ่งผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่นอกจากส่งขายให้โครงการศิลปาชีพสวนจิตรลดาแล้ว ยังออกขายตามบูธต่างๆ จึงเป็นที่มาของแบรนด์ “จิดาภาผ้าไทย” ดังกล่าว
                      “เราพัฒนาต่อยอดผ้าไหมเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในยุคสมัยใหม่ จึงมุ่งเรื่องความนุ่มและความหอม เนื่องจากผ้าไหมส่วนใหญ่เมื่อย้อมและทอเรียบร้อยแล้วจะค่อนข้างแข็ง จึงนำนวัตกรรมใหม่ นาโนไมโครแคปซูล เข้ามาใช้เป็นการนำกลิ่นสกัดจากธรรมชาติดัดแปลงหมักกับผ้าไหม ทำให้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมมีกลิ่นหอมและนุ่มยิ่งขึ้น” รองประธาน แจง
                      พร้อมระบุถึงนวัตกรรมนาโนนี้เกิดจากการที่อุตสาหกรรมภาค 6 ได้จัดอบรมให้ชาวบ้านหนองโกในทุกกลุ่มผลิต เพื่อยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะการเปิดเออีซี ซึ่งคาดว่าจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้น ทว่า ปัจจุบันเหลือเพียง “จิดาภาผ้าไทย” ที่ยังคงผลิตด้วยวิธีนี้อยู่ เนื่องจากกรรมวิธีในการผลิตยุ่งยาก ต้องอาศัยความประณีต ยิ่งในขั้นตอนสุดท้ายที่นำกลิ่นมาอบหรือหมักกับผ้า 30 นาที ต้องพิถีพิถันมาก
                      “เริ่มนำผ้าไหมมีกลิ่นหอมออกจำหน่ายได้ 4 ปี ผลตอบรับดีมาก ต่อมาเลยกลายเป็นเอกลักษณ์ของจิดาภาผ้าไทย ราคาขายเริ่มตั้งแต่ 150 บาท ขึ้นอยู่กับลายและความต้องการของลูกค้า”
                      โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ผ้าไหมที่อบกลิ่น 4 กลิ่นคือ กลิ่นกุหลาบ มะลิ วาเลนเดอร์ ตะไคร้ ซึ่งทุกกลิ่นสกัดจากสารธรรมชาติ และผลิตด้วยมือทุกขั้นตอน หรือที่เรียกผ้าไหมกระทบมือ ทำให้การันตีได้ถึงความนุ่มของเนื้อผ้าในทุกชิ้นงาน
                      “ผ้าไหมเหล่านี้จะมีความนุ่ม กลิ่นหอม ไม่อับ ทั้งยังทำให้ผ้าตัวอื่นหอมตามไปด้วย แถมเก็บรักษาง่าย ตรงนี้ลูกค้าจะชอบมาก”
                      ด้านการตลาด นายโชติช่วง กล่าวว่า เป็นการตระเวนออกบูธตามจังหวัดต่างๆ 80 เปอร์เซ็นต์ อีก 20 เปอร์เซ็นต์ มีลูกค้าชาวไทยสั่งสินค้าส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศ อาทิ สวีเดน เยอรมนี ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา
                      อย่างไรก็ตามแม้ตอนนี้ “จิดาภาผ้าไทย” จะยังไม่ได้ส่งสินค้าไปต่างประเทศโดยตรง แต่ในอนาคตนั้น นายโชติช่วง บอกว่า จะมุุ่งไปที่ตลาดอาเซียน เพราะชื่นชอบผ้าไหมเหมือนกัน โดยเน้นพัฒนาในเรื่องคุณภาพให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด ปัจจุบันนอกจากมีหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สั่งสินค้าเป็นจำนวนมากแล้ว ก็เริ่มมีออเดอร์จากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเช่นกัน
————————-
(ทำมาหากิน : ปรับกลยุทธ์ชู ‘หอม-นุ่ม’ เพิ่มค่า ‘ผ้าไทย’ รับเออีซี : โดย…ธานี กุลแพทย์)

แปลงขยะเกษตรสู่ ‘แก๊สชีวภาพ’ ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ครัวเรือน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160216/222501.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559
แปลงขยะเกษตรสู่ 'แก๊สชีวภาพ' ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ครัวเรือน

ทำมาหากิน : แปลงขยะเกษตรสู่ ‘แก๊สชีวภาพ’ ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ครัวเรือน : โดย…ทีมข่าวเกษตร

                      ทีมนักวิจัย มทร.ศรีวิชัย นำของเสียจากสัตว์เลี้ยงและวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรมารีไซเคิลของเสียผลิตแก๊สชีวภาพ (biogas)  ใช้งานได้จริงไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของแหล่งพลังงานในอนาคตที่คาดว่าจะนำมาแทนพลังงานที่มีในธรรมชาติ
                      อ.นพดล โพชกำเหนิด อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย สงขลา และทีมงานผู้คิดไอเดียในการนำของเสียจากการเลี้ยงสัตว์และจากการเกษตรไปใช้ให้เกิดประโยชน์โดยการนำมาผลิตแก๊สชีวภาพสำหรับใช้ในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจเกษตรเพื่อเป็นการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้แก่ครัวเรือนและการประกอบธุรกิจ นอกจากนั้นยังสามารถลดปัญหาการปล่อยของเสียออกสู่สิ่งแวดล้อม ทำให้ชุมชนและผู้ประกอบการมีความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองและเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นการสร้างนวัตกรรมแก๊สชีวภาพจากวัสดุต้นทุนต่ำ
                      “วัสดุหลักที่ใช้ในการเก็บวัตถุดิบเพื่อให้เกิดการย่อยสลายสารอินทรีย์ในสภาวะไร้อากาศนั้นจะใช้ถุงพลาสติกชนิดโพลีเอทิลีนชนิดความหนาแน่นต่ำมาเป็นอุปกรณ์สำหรับกักเก็บมูลขนาด 7-8 ลูกบาศก์เมตร เพื่อทำการหมักให้ได้แก๊สมีเทนจำนวนวันละประมาณ 2-3 ลูกบาศก์เมตร เพื่อให้เพียงพอต่อการหุงต้มแทนแก๊สได้ไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ถัง รวมทั้งยังได้กากที่ผ่านการย่อยสลายแล้วมาใช้ประโยชน์เป็นปุ๋ยอินทรีย์อีกด้วย”
                      นักวิจัยคนเดิมเผยต่อว่า การสร้างและใช้งานบ่อหมักแก๊สชีวภาพนั้นจะต้องทำความเข้าใจกับชาวบ้านให้รับรู้ถึงประโยชน์และการดูแลรักษาให้ถูกวิธี โดยเริ่มจากการอบรมให้ความรู้พื้นฐานแก๊สชีวภาพและสาธิตขั้นตอนการสร้างบ่อหมักรวมไปถึงการให้ความรู้พื้นฐานการนำมูลสัตว์ที่ได้จากการย่อยสลายในบ่อหมักไปใช้ประโยชน์อบรมการประกอบถุงหมักพลาสติกชนิดแอลดีพีอี โดยเริ่มจากการนำถุงพลาสติกชนิดแอลดีพีอี หนา 0.25 มม. กว้าง 2.75 เมตร ยาว 6 เมตร มาแผ่บนพื้นเพื่อติดชุดส่งแก๊สจากตัวถุง จากนั้นพับขอบของถุงเป็นรูปสามเหลี่ยมแล้วตัดปลายที่พับเป็นรูปสามเหลี่ยมให้มีขนาดความกว้างเพียงเล็กน้อยไม่เกิน 1 ซม. หลังจากนั้นติดชุดส่งแก๊สโดยให้ต่อตรงพีวีซีเกลียวในขนาด ¾ นิ้ว อยู่ด้านในถุง และเกลียวนอกพีอีขนาด ¾ นิ้ว อยู่นอกถุง ทำการหมุนต่อตรงพีวีซีและเกลียวนอกให้แน่น
                      หลังจากต่อกับสายส่งแก๊สพีอีขนาด 25 มม. ความยาวประมาณ 1 เมตรและปิดปลายท่อด้วยถุงพลาสติก ผูกท่อพีวีซีขนาด 4 นิ้ว ที่ปลายทั้งสองของถุงแอลดีพีอี แล้วรัดด้วยยางในรถจักรยานยนต์เก่าโดยให้ท่อพีวีซีเข้าไปในถุงประมาณ 2 ใน 3 ส่วน ทำการเติมลมเข้าไปในถุงโดยใช้ไอเสียจากรถยนต์โดยการสอดปลายท่อพีวีซีเข้าที่ปลายท่อไอเสียส่วนปลายท่อพีวีซีอีกฝั่งหนึ่งให้ปิดด้วยถุงพลาสติกเพื่อป้องกันลมออกเป่าลมจนกระทั่งถุงพองตัวเต็มที่และตรวจสอบการรั่วของถุง นำถุงหมักแอลดีพีอีลงหลุม จัดวางตำแหน่งของชุดส่งแก๊สให้เหมาะสม
                      อ.นพดล อธิบายอีกว่า จากนั้นเติมเข้าไปในถุงประมาณ 1,500-2,000 ลิตร ใช้วงบ่อเป็นช่องเติมมูลและบ่อล้น ที่ปลายท่อพีวีซีทั้งสองด้านโดยตำแหน่งของช่องเติมมูลจะต้องสูงกว่าบ่อล้นเทปูนลงในวงบ่อเพื่อป้องกันการรั่วซึมของมูลและกากใช้ไม้ขัดบริเวณปลายท่อพีวีซีเพื่อให้ปลายท่อเกิดการเคลื่อนที่ไปมาระหว่างการเติมมูล จากนั้นประกอบชุดปรับแรงดันและดักน้ำทำการประกอบชุดปรับแรงดันกับปลายสายส่งแก๊สเติมน้ำให้ท่วมปลายท่อพีวีซีีที่อยู่ในขวดน้ำเพื่อป้องกันการรั่วของแก๊สที่อยู่ในถุงหมักและต่อสายส่งแก๊สไปยังจุดที่จะใช้แก๊ส เติมมูลสัตว์ลงไปประมาณ 2,000 กิโลกรัม โดยผสมกับน้ำ ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 สัปดาห์จะมีแก๊สที่สามารถจุดติดไฟได้ และหลังจากเริ่มใช้แก๊สแล้วให้เติมมูลโคสดผสมน้ำ วันละประมาณ 1 ปี๊บก็จะมีแก๊สที่สามารถใช้งานได้จริงไว้ใช้ในครัวเรือนได้อย่างยาวนาน
                      จากผลการดำเนินการโครงการนวัตกรรมแก๊สชีวภาพทั้งสิ้นกว่า 100 บ่อ ร่วมกับภาคี และชุมชนต่างๆ ให้สามารถสร้างนวัตกรรมแก๊สชีวภาพได้ โดยในทางเศรษฐกิจสามารถลดค่าใช้จ่ายในการใช้แก๊สหุงต้ม อย่างน้อยประมาณ 28,400 บาทต่อเดือน หรือเท่ากับประมาณ 340,800 บาทต่อปีและลดค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยเคมีจากการใช้กากที่ผ่านการย่อยสลายแล้วมาใช้ประโยชน์เป็นปุ๋ยอินทรีย์
                      นอกจากนี้ยังทำให้สิ่งแวดล้อม ทำให้ชุมชนอยู่ดีมีสุขมีความเอื้อเฟื้อและช่วยเหลือซึ่งกันและกันและช่วยลดมลภาวะจากกลิ่นเหม็น รวมทั้งแมลงที่บินไปสร้างความรบกวนเพื่อนบ้านที่อยู่ในชุมชน และเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรและของเสียในชุมชนได้ดีเยี่ยมทำให้ชุมชนและผู้ประกอบมีความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองและมีความยั่งยืน สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อ.นพดล โพชกำเหนิด โทร.08-6689-0920
————————-
(ทำมาหากิน : แปลงขยะเกษตรสู่ ‘แก๊สชีวภาพ’ ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ครัวเรือน : โดย…ทีมข่าวเกษตร)

วิทยุมก.ยกระดับ ‘ตลาดนัดเกษตรสีเขียว’ ส่งผลผลิตตรงจากเกษตรกร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160212/222241.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559
วิทยุมก.ยกระดับ 'ตลาดนัดเกษตรสีเขียว' ส่งผลผลิตตรงจากเกษตรกร

ทำมาหากิน : วิทยุ มก.ยกระดับ ‘ตลาดนัดเกษตรสีเขียว’ ส่งผลผลิตตรงจากเกษตรกร : โดย…สุรัตน์ อัตตะ

                      ไม่ใช่แค่ตัวกลางการสื่อสารข้อมูลข่าวสารด้านการเกษตรเท่านั้น แต่สถานีวิทยุแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จ.เชียงใหม่ (วิทยุ มก.เชียงใหม่) ยังใช้พื้นที่บริเวณรายรอบสถานีใน ต.ป่าไผ่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ จัดกิจกรรมเสริมความรู้ให้แก่ผู้ฟังและเกษตรกรในเครือข่าย ด้วยการเปิดตลาดนัดเกษตรสีเขียว เพื่อเป็นช่องทางการตลาดให้แก่เกษตรกรผู้ผลิตสินค้าเกษตรปลอดสารพิษ พร้อมเปิดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิชาการด้านการเกษตรจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรหลากหลายแขนง ปราชญ์ชาวบ้าน รวมถึงเกษตรกรที่นำสินค้ามาจำหน่ายในงาน ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำใทุกวันเสาร์แรกของเดือนมากว่า 3 ปีแล้ว
                      “ผมแฟนพันธุ์แท้วิทยุ มก. ฟังมาตลอด พอเขาเปิดตลาดก็มาเลย มาทุกเดือน ผมชอบที่นี่ เพราะต่างจากตลาดนัดที่อื่นๆ คือไม่ใช่มาขายของอย่างเดียว แต่ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ฟังอบรมเสวนาได้อัพเดตข้อมูลข่าวสารด้านการเกษตรด้วย ถือเป็นการมาพบปะพูดคุยกันเดือนละครั้ง” บัญชาการ พลชมชื่น เจ้าของแผงจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำข้าวกล้องงอกและลำไยอบแห้งในตลาดนัดเกษตรสีเขียวของสถานีวิทยุ มก.เชียงใหม่ กล่าวถึงข้อดีของตลาดนัดเกษตรแห่งนี้ ที่ไม่ได้เป็นแค่ตลาดนัดจำหน่ายสินค้าเกษตรเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีกิจกรรมทางด้านการเกษตรอื่นๆ ในการเสริมความรู้ให้แก่ผู้ซื้อและผู้ขายอีกด้วย
                      บัญชาการ เปิดเผยต่อว่า ปกติผลิตภัณฑ์ของเขาจะวางจำหน่ายเป็นประจำอยู่ที่บ้านใน ต.ชมภู อ.สารภี และที่ตลาดชุมชน  แต่จะมาจำหน่ายที่นี่เพียงแค่เดือนละครั้ง ทุกวันเสาร์แรกของแต่ละเดือน ที่ทางเจ้าของพื้นที่เปิดให้บริการ จึงอยากฝากไปยังสถานีวิทยุ มก.เชียงใหม่ ในฐานะเจ้าของพื้นที่ด้วยว่า น่าจะเปิดให้บริการตลาดนัดแบบนี้ในทุกสัปดาห์เพื่อผู้ซื้อและผู้ขายจะได้มาเจอกันบ่อยขึ้น ทั้งยังเป็นช่องทางการตลาดจำหน่ายสินค้าเกษตรให้แก่เกษตรกรในเครือข่ายของสถานีเพิ่มขึ้นด้วย
                      “น้ำข้าวกล้องงอกขวดละ 10 บาท ส่วนลำไยอบแห้งถุงละ 20 บาท มาแต่ละครั้งมีกำไรประมาณ 5-6 ร้อย ถ้ามองแค่กำไรอย่างเดียวคงไม่มา แต่มันได้อะไรมากกว่าที่อื่น อย่างเช่นเวลาลูกค้ามาซื้อเขาจะถามโน่นถามนี่ วิธีการทำ เราก็อธิบายไป คุยกันไป ไม่ใช่ซื้อต่อรองราคา ตกลงกันแล้วก็จบเหมือนตลาดนัดอื่น” บัญชาการ ให้มุมมอง
                      สอดคล้องมุมมอง พิชัย เชี่ยววิชา ประธานกลุ่มเกษตรปลอดสารพิษ ซึ่งเป็นเครือข่ายสถานีวิทยุ มก.เชียงใหม่ ยอมรับว่าตลาดนัดเกษตรสีเขียวที่จัดขึ้นเป็นประจำในทุกวันเสาร์แรกของเดือนนั้น จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดให้แก่ชาวบ้านที่ทำเกษตร เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่นำวางจำหน่ายที่นี่จะต้องเป็นเกษตรปลอดสารพิษที่ชาวบ้านได้รับฟังข้อมูลจากทางสถานีวิทยุมก.แล้วนำไปทดลองปฏิบัติจริง จนเกิดผลสำเร็จแล้วนำมาจำหน่ายให้ผู้บริโภคที่ใส่ใจในเรื่องสุขภาพ  นอกจากนี้เจ้าของสถานที่ก็ไม่ได้คิดค่าเช่าแผงเหมือนกับตลาดนัดทั่วไป เพียงแต่ตั้งกล่องรับบริจาคจากผู้ค้าเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ค่าน้ำค่าไฟและจ้างคนงานดูแล ทำความสะอาด ไม่ได้แสวงกำไร แต่เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในเรื่องการตลาดมากกว่า
                      “เรารวมกลุ่มมาปีกว่าแล้ว ตอนนี้มีสมาชิกอยู่ประมาณ 30 ราย ที่เป็นเครือข่ายของวิทยุ มก. ปลูกพืชผักปลอดสารพิษ จนประสบความสำเร็จแล้วก็นำผลผลิตมาขายที่นี่ ก็ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคพอสมควร มีทั้งพืชผักปลอดสาร ผักพื้นบ้าน มีให้เลือกหลากหลายมาก ที่สำคัญมาจากแหล่งผลิตที่เป็นเกษตรกรโดยตรง” ประธานกลุ่มเกษตรปลอดสารพิษกล่าวย้ำ
                      ด้าน ผศ.อนุพร สุวรรณวาจกกสิกิจ ผู้อำนวยการสถานีวิทยุ มก. หรือเคยูเรดิโอพลัส กล่าวถึงตลาดนัดเกษตรสีเขียวเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว หลังจากมีการก่อตั้งครอบครัว มก. จึงมีการจัดตั้งคณะกรรมการภาคประชาชนเพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานกับสถานี ซึี่งตั้งอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ทั้ง 4 ภูมิภาค แต่ที่ มก.เชียงใหม่ภาคประชาชนมีความเข้มแข็ง ทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว
                      “หลังมีครอบครัว มก.เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ก็ได้ตั้งคณะกรรมการภาคประชาชนขึ้นมาร่วมกันทำงาน จากนั้นมีการตั้งชมรมต่างๆ ขึ่้นมา เช่น ชมรมสมุนไพร ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ มีการเสวนาประจำเดือนและมีตลาดนัดประจำเดือนทุกวันเสาร์แรกของเดือน เพื่อเป็นช่องทางการตลาดให้แก่สมาชิกในเครือข่ายของชมรม” ผอ.วิทยุ มก.เผย พร้อมย้ำว่า หลังตลาดนัดเกษตรสีเขียวประสบความสำเร็จมีผู้สนใจมาใช้บริการมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงอาจจะเป็นไปได้ว่าจะเปิดให้บริการตลาดนัดเกษตรสีเขียวในทุกเสาร์ตามคำเรียกร้องของสมาชิกในเครือข่าย ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการสถานีเป็นผู้พิจารณา ซึ่งจะมีการประชุมกันในเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2559 ที่จะถึงนี้
———————-
(ทำมาหากิน : วิทยุ มก.ยกระดับ ‘ตลาดนัดเกษตรสีเขียว’ ส่งผลผลิตตรงจากเกษตรกร : โดย…สุรัตน์ อัตตะ)

สอนวิธีเพาะเลี้ยงปลาช่อนในบ่อ ใช้เวลาเพียง 4 เดือนได้เงินแสน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160211/222173.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559
สอนวิธีเพาะเลี้ยงปลาช่อนในบ่อ ใช้เวลาเพียง 4 เดือนได้เงินแสน

ทำมาหากิน : สอนวิธีเพาะเลี้ยงปลาช่อนในบ่อ ใช้เวลาเพียง 4 เดือนได้เงินแสน : โดย…ทีมข่าวเกษตร

                      ปัจจุบัน “ปลาช่อน” เป็นที่นิยมของผู้บริโภค เนื่องจากรสชาติอร่อย ก้างน้อย สามารถนำไปประกอบอาหารหลายอย่าง แต่นับวันปลาช่อนในแหล่งธรรมชาติลดน้อยลง ทำให้กรมประมงได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาการวิจัยเกษตร จัดโครงการพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาช่อนให้แก่เกษตรกรขึ้นมา โดยดึงหน่วยงานอื่นทำงานอย่างบูรณาการ ล่าสุดเริ่มแล้วในพื้นที่ จ.กำแพงเพชร เกษตรกรที่ร่วมโครงการสามารถนำไปประกอบอาชีพแล้ว
                      นายสนธิพันธ์ ผาสุขดี ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมงได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาการวิจัยเกษตร จัดโครงการพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาช่อนให้เกษตรกรในพื้นที่ จ.กำแพงเพชร โดยมีการจัดทีมนักวิจัยจากกองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด ลงพื้นที่นำความรู้ในเรื่องของเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไปถ่ายทอดให้เกษตรกรกลุ่มเป้าหมายซึ่งก็ถือว่าโครงการดังกล่าวได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี เกษตรกรส่วนใหญ่สามารถเพาะเลี้ยงปลาช่อนเป็นรายได้หลักในการหาเลี้ยงครอบครัวได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
                      สำหรับโครงการนี้เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือและการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน เช่น กรมพัฒนาที่ดินที่ขุดบ่อเลี้ยงปลาให้แก่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อบต.) มีการของบสร้างโรงเพาะฟักขนาดเล็กรวมทั้งยังของบในการสร้างบ่อเพาะไรแดงเพื่อที่จะนำมาเป็นอาหารในการอนุบาลปลา รวมถึงกรมทรัพยากรน้ำบาดาลที่มีการจัดสรรปริมาณน้ำให้เกษตรกรมีน้ำเพียงพอในการใช้งาน ทำให้มีแนวโน้มในการขายรวมถึงการขยายผลผลิตให้เพิ่มมากขึ้นต่อไปได้
                      ส่วนกองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดในฐานะหน่วยงานหลักของกรมประมงที่รับผิดชอบดูแลโครงการดังกล่าว มีการคัดเลือกทีมนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ให้เข้ามาช่วยในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกรอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการสาธิตวิธีการฉีดฮอร์โมนปลาช่อน การอนุบาลลูกปลาที่ถูกต้องรวมไปถึงเรื่องการบริหารจัดการคุณภาพน้ำและโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสัตว์น้ำ
                      นอกจากนี้มีการแนะนำให้เกษตรกรโดยเฉพาะเกษตรกรที่เลี้ยงปลาช่อนให้มีการเลี้ยงปลาสลับชนิดพันธุ์กันเนื่องจากโรคสัตว์น้ำบางชนิดจะเกิดขึ้นกับปลาเกล็ด บางชนิดจะเกิดขึ้นกับปลาหนัง ดังนั้นจึงควรเลี้ยงสลับกันไปเพื่อเป็นการตัดวงจรโรคที่อาจจะเกิดขึ้น
                      ด้านนายวินัย จั่นทับทิม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมนักวิจัย บอกว่า การฝึกอบรมเกษตรกรในโครงการมีการแนะนำข้อมูลความรู้ถ่ายทอดให้เกษตรกรอย่างละเอียด โดยในการเลี้ยงปลานั้นจะแนะนำให้เกษตรกรเลี้ยงปลาช่อน 2 รุ่น รุ่นละ 4 เดือน หลังจากนั้นให้เลี้ยงปลาชนิดอื่น เช่น ปลานิล สลับกันไปมาเพื่อเป็นการตัดวงจรการเกิดโรคปลาช่อน อีกทั้งยังแนะนำให้เกษตรกรมีบ่อพักน้ำบำบัดด้วยพืชน้ำหมุนเวียน เพื่อนำน้ำกลับมาใช้ได้ใหม่อีก ซึ่งปัจจุบันเกษตรกรรุ่นที่ 1 ที่ผ่านการอบรม สามารถเพาะพันธุ์ปลาช่อนได้แล้วจำนวน 2 รุ่นและจำหน่ายลูกพันธุ์ให้กลุ่มสมาชิกราคาตัวละ 50 สตางค์ หรือขายให้เกษตรกรทั่วไปราคาตัวละ 1.50 บาท เกษตรกรนำไปเลี้ยงเพียง 4 เดือนจะได้เงินเป็นหลักแสนบาท
                      “ตอนนี้ท่าน ดร.วิมล จันทรโรทัย อธิบดีกรมประมงมีนโยบายในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในประเทศ ให้ประชาชนทุกระดับมีสัตว์น้ำไว้กินไว้ใช้ รวมถึงการสร้างอาชีพให้ประชาชนมีรายได้หาเลี้ยงครอบครัว โครงการนี้จึงเป็นโครงการที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากเกษตรกร เนื่องจากเกษตรกรสามารถเพาะพันธุ์ลูกปลาได้เอง ส่งผลให้ต้นทุนการเลี้ยงต่ำลง นอกจากนี้กรมประมงได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการลดต้นทุนอาหาร ด้วยการของบประมาณสำหรับงานวิจัยสูตรอาหารที่ใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นในการนำมาผสมเป็นอาหาร อาทิ กากน้ำตาล หรือมันสำปะหลัง เพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุนให้กลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลาช่อนต่อไปในอนาคตอีกด้วย” นายวินัย กล่าว
                      นับเป็นอีกหนึ่งโครงการดีๆ สำหรับเกษตรกร ให้มีช่องทางในการสร้างอาชีพที่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้
———————-
(ทำมาหากิน : สอนวิธีเพาะเลี้ยงปลาช่อนในบ่อ ใช้เวลาเพียง 4 เดือนได้เงินแสน : โดย…ทีมข่าวเกษตร)

‘รากไม้’ ศิลปะสร้างรายได้ กลุ่มรักษ์กะลา จ.ปัตตานี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160210/222092.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559
'รากไม้' ศิลปะสร้างรายได้ กลุ่มรักษ์กะลา จ.ปัตตานี

ทำมาหากิน : ‘รากไม้’ ศิลปะสร้างรายได้ กลุ่มรักษ์กะลา จ.ปัตตานี : โดย…พรนภา สวัสดี

                       วัตถุดิบในท้องถิ่นที่หลายคนมองข้าม นำมาคิดประดิษฐ์เป็นสิ่งใหม่ที่แตกต่างสร้างเป็นอาชีพ ถ่ายทอดเอกลักษณ์ของ จ.ปัตตานี วัฒนธรรมของคนใต้ สร้างรายได้ให้เด็ก เยาวชน และคนในชุมชน สร้างการมีส่วนร่วมช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
                       นายสาหะซูไลมัน อันอดับ ประธานกลุ่มอาชีพบ้านรักษ์กะลา วัย 32 ปี กล่าวว่า หลังเรียนจบ ปวส. สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จากโรงเรียนวชิราโปลีเทคนิค จ.สงขลา ได้กลับมาทำงานในจังหวัดบ้านเกิด เริ่มจากเป็นอาสาพัฒนาชุมชน แต่ด้วยใจรักในงานศิลปะ บวกกับพบเห็นวัตถุดิบในท้องถิ่นมีอยู่มากจึงชวนเพื่อนๆ ร่วมผลิตชิ้นงาน แรกๆ ได้รับความสนใจน้อย ต่อเมื่อมีผู้สนใจเห็นคุณค่างานศิลปะเพิ่มมากขึ้น จึงตั้งเป็นกลุ่มอาชีพบ้านรักษ์กะลา เพื่อให้เด็ก เยาวชน คนในชุมชนได้มองเห็นความสำคัญจากสิ่งที่มีอยู่ใกล้ตัว ส่งเสริมอาชีพและสร้างรายได้
                       “คนกลุ่มนี้ส่วนมากมีอาชีพหลักอยู่แล้ว บางคนมีรายได้จากประมง แต่ช่วงที่มีลมมรสุม ออกทะเลไม่ได้ งานตรงนี้จึงเป็นรายได้เสริมเข้าไปช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้เขาได้” นายสาหะซูไลมัน แจง
                       พร้อมบอกว่า เพราะวัตถุดิบในท้องถิ่นที่มีอยู่มาก ทว่า หลายคนกลับมองข้าม จึงมีความคิดนำมาแปรรูปให้เป็นผลิตภัณฑ์สร้างรายได้ สร้างการมีส่วนร่วมอนุรักษ์ให้แก่เด็ก เยาวชน คนในชุมชน โดยวัสดุที่มีอยู่ โดยเฉพาะรากไม้ที่เหลือจากการทำเฟอร์นิเจอร์ นำมาประดิษฐ์เป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นเล็กๆ ใช้สำหรับใส่ของ รวมถึงกะลามะพร้าว เปลือกหอย ที่นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้
                       “บางกลุ่มอาชีพจะเน้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหญ่ จำพวกเฟอร์นิเจอร์ แต่เราสร้างเป็นกลุ่มเยาวชน แค่คิดประดิษฐ์ ทำเป็นชิ้นงาน ที่สร้างความร่วมมือ สร้างรายได้บ้างก็พอ โดยเน้นให้ตลาดมีความหลากหลาย ชิ้นงานเข้าถึงคนทุกกลุ่ม แต่ที่เราเน้นเป็นหลัก คือ โรงแรม รีสอร์ท โดยสิ่งประดิษฐ์ทุกชิ้นจะถ่ายทอดกลิ่นอาย เสน่ห์ เอกลักษณ์ของภาคใต้ให้มากที่สุด” ประธานกลุ่มแจง
พร้อมย้ำว่า ขณะนี้ผลิตภัณฑ์มีจำหน่ายตามบูธที่ทางหน่วยงานรัฐ เอกชน จัดขึ้นในบริเวณแหล่งท่องเที่ยวภาคใต้ ส่วนการส่งออกต่างประเทศยังไม่มีจำหน่าย
                       นายสาหะซูไลมัน กล่าวเสริมว่า ขณะนี้ผลิตภัณฑ์เพิ่งเข้าสู่กระบวนการคัดสรรดาว การส่งออกต้องผ่านหลายขั้นตอน ต้องได้รับใบอนุญาตจากทางโอท็อป และผ่าน 3-5 ดาว แต่ถ้าสามารถหาตลาดเองได้จะเป็นผลดี ตลาดเป็นสิ่งสำคัญ บางครั้งมีของเยอะ แต่ไม่มีตลาด ก็เป็นจุดด้อย ไม่อยากรอแค่หน่วยงานของรัฐ ต้องการยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง
                       “กำลังศึกษาตลาดมาเลเซีย แล้วจะพัฒนาต่อยอดไปประเทศในอาเซียนเรื่อยๆ ผสมผสานระหว่างเอกลักษณ์ของไทยและต่างประเทศ สร้างความแตกต่างบนผลิตภัณฑ์ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม จุดเด่นของกันและกัน”
                       ทั้งนี้ งานศิลปประดิษฐ์ ต้องใช้ฝีมือ ความประณีตสูง จึงต้องปลูกฝังให้เด็ก เยาวชน คนในชุมชน มีใจรักในงานศิลปะ เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้เห็นคุณค่าของวัตถุดิบในชุมชน
                       สำหรับท่านที่สนใจผลงาน วิธีการทำ นายสาหะซูไลมันบอกให้ติดต่อได้ที่กลุ่มอาชีพบ้านรักษ์กะลา 27/5 หมู่ 1 ต.บ้านกลาง อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี โทร. 08-9876-6603, 08-0698-4217
——————-
(ทำมาหากิน : ‘รากไม้’ ศิลปะสร้างรายได้ กลุ่มรักษ์กะลา จ.ปัตตานี : โดย…พรนภา สวัสดี)

‘คีมตัดก้นหอย’ ฝีมือเด็กช่าง ผลงานสู่การใช้ประโยชน์จริง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160209/222018.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559
'คีมตัดก้นหอย' ฝีมือเด็กช่าง ผลงานสู่การใช้ประโยชน์จริง

ทำมาหากิน : ‘คีมตัดก้นหอย’ ฝีมือเด็กช่าง ผลงานสู่การใช้ประโยชน์จริง : โดย…พรนภา สวัสดี

                      ความสำเร็จในการจัดงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2559 ภายใต้แนวคิด Life&Learn ระหว่างวันที่ 2-6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) นอกจากหวังให้นักประดิษฐ์ไทยได้สร้างสรรค์ผลงานประดิษฐ์คิดค้นนำสู่การเรียนรู้และพัฒนาเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนแล้ว ยังเป็นแรงจูงใจให้เยาวชนไทยเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์อันเกิดจากแรงบันดาลใจที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาชมุชน สังคมและชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นรูปธรรม หนึ่งในนั้นคือ คีมตัดก้นหอย ผลงานนวัตกรรมของทีมนักประดิษฐ์จากวิทยาลัยเทคนิคกระบี่ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สกอ.) โดยมีการออกแบบที่ใช้งานง่ายและใช้วัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น แต่มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพ่อค้าแม่ค้าและผู้บริโภคที่รับประทานหอยก้นแหลม
                      สหรัฐ คุ้มแควน หนึ่งในทีมนักประดิษฐ์รุ่นใหม่ได้เล่าที่มาของผลงานนวัตกรรมชิ้นนี้ว่า เกิดจากการที่เรานำหอยก้นแหลมไปทำอาหารเช่น แกงคั่ว แกงอ่อม หรือเมนูอื่นๆ จะต้องตัดก้นหอยออกก่อนเพื่อให้อากาศไหลวิ่งผ่านขณะที่ดูดเนื้อหอยออกจากเปลือกได้ง่าย มิฉะนั้นเราจะจุ๊บเนื้อหอยออกมารับประทานไม่ได้
                      “เนื้อหอยจะอยู่ด้านในของเปลือก การตัดหอยก้นแหลมสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ใช้มีดหรือคีมสับตัดก้นหอย ซึ่งหากผู้ทำไม่ชำนาญในการตัดก้นหอยอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้เช่น มีดอาจจะสับนิ้วได้ง่าย วัสดุที่ใช้ก็เป็นเหล็กสเตนเลสมาปรับคีมตัดก้นหอย ต้นทุนอยู่ที่ 300 บาท”
                      นักประดิษฐ์คนเดิมเล่าต่อว่า ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงสร้าง “คีมตัดก้นหอย” ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยออกแบบให้มีขนาดเล็กใช้มือบีบด้ามจับใบมีดเข้าตัดก้นหอยได้สะดวก ปลอดภัยและสามารถทำงานได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นและอาจจะเป็นทางเลือกให้พ่อค้าแม่ค้าที่ขายหอยหรือเจ้าของร้านอาหารให้เป็นเครื่องมือทุ่นแรงในการตัดก้นหอยได้เป็นอย่างดี
                      “เรานำคีมตัดก้นหอยไปให้พ่อค้าแม่ค้าขายหอยในตลาดสดเทศบาลเมืองกระบี่ทดลองใช้ ปรากฏว่าเขาชอบมากสามารถตัดก้นหอยได้เร็วกว่าใช้มีดสับหลายเท่า ซึ่งจากการทดลองทำดูก็พบว่าใช้เวลาในการตัดก้นหอยตัวละ 3.30 วินาที จากการทดลองตัดก้นหอยจำนวน 10 ตัว ผู้ใช้เห็นสอดคล้องกันในด้านการออกแบบและคุณลักษณะของชุดต้นแบบในระดับดีถึงดีมาก เช่นเดียวกับการนำไปใช้งานจริง ผู้ใช้มีความเห็นในระดับดีถึงดีมากเช่นกัน” สหรัฐเผยพร้อมแจงรายละเอียดขั้นตอนการใช้งาน โดยระบุว่าหลังจากนำหอยก้นแหลมไปล้างน้ำทำความสะอาดปราศจากดินโคลน คราบตะไคร่น้ำต่างๆ แล้วจับตัวหอยให้แน่นด้วยมือที่ถนัด ในขณะมืออีกข้างหนึ่งบีบกดด้ามคีมตัดก้นหอยเพื่อให้มีดวิ่งเข้าตัดก้นหอยจนขาดตามต้องการ เมื่อได้หอยที่ตัดก้นหอยแล้วก็พร้อมที่จะนำมาประกอบอาหารได้ทันที
                      อย่างไรก็ตามผลงานนวัตกรรมฝีมือเด็กช่างชิ้นนี้ นอกจากสามารถตัดก้นหอยได้สะดวก รวดเร็วและปลอดภัยแล้วยังประหยัดเวลาและเป็นการส่งเสริมการประกอบอาชีพผู้ประกอบการขายหอยเพื่อไปจำหน่ายในเชิงพาณิชย์อีกด้วย นับเป็นผลงานนวัตกรรมง่ายๆ แต่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เป็นอย่างดี
————————
(ทำมาหากิน : ‘คีมตัดก้นหอย’ ฝีมือเด็กช่าง ผลงานสู่การใช้ประโยชน์จริง : โดย…พรนภา สวัสดี)

วิจัยผลิตภัณฑ์แปรรูปยางพารา ต่อยอดงานสู่ภาคอุตสาหกรรม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160205/221798.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559
วิจัยผลิตภัณฑ์แปรรูปยางพารา ต่อยอดงานสู่ภาคอุตสาหกรรม

ทำมาหากิน : วิจัยผลิตภัณฑ์แปรรูปยางพารา ต่อยอดงานสู่ภาคอุตสาหกรรม : โดย…โต๊ะข่าวเกษตร

                      จากวิกฤติราคายางพาราตกต่ำรัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มของยางพารา เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลในการใช้ประโยชน์จากยางพาราเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันมีผลงานวิจัยและพัฒนาที่มีศักยภาพในการนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ และสามารถขยายผลสู่ภาคอุตสาหกรรม
                      ด้วยเหตุนี้ รศ.อาซีซัน แกสมาน ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรมยางพารา และผศ.ดร.อดิศัย รุ่งวิชานิวัฒน์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้พัฒนากระบวนการผลิตน้ำยางข้นชนิดครีม โดยใช้สารก่อครีมกลุ่มไฮดรอกซีเอทิลเซลลูโลส ร่วมกับสบู่แอมโมเนียมลอเรต ซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะสมในการเตรียมน้ำยางครีม ตั้งทิ้งไว้ 1 วัน เกษตรกรจะได้น้ำยางข้นชนิดครีมที่พร้อมนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้ โดยไม่ต้องใช้เครื่องจักรที่มีความซับซ้อน เงินลงทุนไม่มาก
                      นอกจากนี้นักวิจัยยังทดลองขยายสเกลการผลิตน้ำยางข้นชนิดครีมในระดับอุตสาหกรรมที่ปริมาณ 4,000 ลิตร มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำยางข้นที่ได้จากกระบวนการปั่นแยก และทดลองประยุกต์ใช้น้ำยางข้นดังกล่าวในการทำน้ำยางเคลือบสระเพื่อกักเก็บน้ำ ด้วยการพ่นลงบนพื้นผิวที่เป็นผ้าเพื่อง่ายต่อการใช้งาน และถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ให้กลุ่มเกษตรกรทำผลิตภัณฑ์ง่ายๆ เช่น บ่อเลี้ยงปลาดุก บ่อปลูกมะนาว หรือหมอนยางพารา เป็นต้น
                      “เป้าหมายของเราคือให้กลุ่มเกษตรกรสามารถพึ่งพาตัวเองได้บนฐานกระบวนการวิจัยในการพัฒนาสูตรน้ำยางและเครื่องมือการผลิตอย่างง่ายๆ และเหมาะสม แล้วนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้ยางพาราด้วยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ใช่ขายแต่น้ำยางสดเท่านั้น ซึ่งเกษตรกรสามารถกำหนดราคาขายผลิตภัณฑ์เองได้ รวมถึงการสร้างเครือข่ายชาวบ้านในลักษณะของเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชน นอกจากนี้ยังลดต้นทุนการผลิต สร้างเงินสร้างงานในพื้นที่โดยการสร้างโรงงานของตัวเอง ลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เกิดการจ้างงาน ทำให้ชาวสวนและประชาชนในพื้นที่มีรายได้เพิ่มขึ้น มีโอกาสและทางเลือกมากขึ้น”
                      ณัญญา แก้วหนู ผู้บริหารบริษัท 42 เนเจอรัลรับเบอร์ จำกัด กล่าวเสริมว่า แรกเริ่มได้รวมกลุ่มชาวบ้านทำผลิตภัณฑ์จากยางพาราในนามกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราตำบลคลองเปียะ อ.จะนะ จ.สงขลา ต่อมาได้จดทะเบียนตั้งบริษัทและพัฒนาสูตรน้ำยางพาราร่วมกับนักวิจัย สกว. และมีที่ปรึกษาด้านการออกแบบและการตลาด ปัจจุบันบริษัทรับจ้างผลิตหมอนยางพาราตามออเดอร์ซึ่งมีอยู่ 4 ราย เน้นการส่งขายในประเทศ และกำลังมีแผนส่งออกไปขายที่จีนอีก 2 ราย ซึ่งคาดว่าผลการเจรจาจะชัดเจนหลังตรุษจีนนี้ ทั้งนี้กำลังการผลิตของบริษัทอยู่ที่วันละ 50 ใบ ใช้น้ำยางข้น 500 กิโลกรัม โดยรับซื้อน้ำยางสดจากเกษตรกรในพื้นที่ราคาประมาณกิโลกรัมละ 38 บาท สูงกว่าหน้าโรงงานกิโลกรัมละ 50 สตางค์ เพื่อช่วยเหลือชาวสวนยาง นอกจากนี้ยังผลิตถุงมือผ้าเคลือบยางสำหรับใช้ในการทำเกษตรกรรมด้วย
                      ด้านสุไลมาน ดือราโอ หัวหน้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชนสายบุรี จ.ปัตตานี ย้ำด้วยว่า กลุ่มได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากนักวิจัยในการใช้น้ำยางข้นชนิดครีมมาพัฒนาสูตรน้ำยางคอมปาวด์ และผลิตเป็นสินค้าแปรรูปต่างๆ โดยเฉพาะบ่อเลี้ยงปลาดุก ซึ่งขอใช้สิทธิ์ผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์แล้ว ปัจจุบันสามารถทำวงบ่อปลูกมะนาวขายวงละ 300 บาท โดยใช้น้ำยางคอมปาวด์ 2.5 กิโลกรัมต่อวง ยอดขายเฉลี่ยเดือนละ 1,000 วง โดยบ่อที่ผลิตขึ้นมีราคาถูกกว่าบ่อซีเมนต์ น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก และช่วยดูดความร้อน ทำให้อุณหภูมิของน้ำที่ใช้เลี้ยงปลาสูงขึ้น ปลาเติบโตเร็ว สามารถขายได้ในเวลาเพียง 2 เดือนครึ่ง
———————-
(ทำมาหากิน : วิจัยผลิตภัณฑ์แปรรูปยางพารา ต่อยอดงานสู่ภาคอุตสาหกรรม : โดย…โต๊ะข่าวเกษตร)