‘บลอนด์ดาคิแตน’ เนื้อนุ่ม โคพันธุ์ใหม่ทางเลือกเกษตรกร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160204/221736.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559
'บลอนด์ดาคิแตน' เนื้อนุ่ม โคพันธุ์ใหม่ทางเลือกเกษตรกร

ทำมาหากิน : ‘บลอนด์ดาคิแตน’ เนื้อนุ่ม โคพันธุ์ใหม่ทางเลือกเกษตรกร : โดย…โต๊ะข่าวเกษตร

                      ปัจจุบันความต้องการบริโภคเนื้อโคคุณภาพนับวันจะเพิ่มขึ้น ทำให้เกษตรกรหันมาพัฒนาและยกระดับการผลิตโคเนื้อคุณภาพเพื่อสนองความต้องการของตลาดภายในประเทศที่กำลังขยายตัว ทั้งตลาดโมเดิร์นเทรด และร้านปิ้งย่าง โดยเฉพาะโคพันธุ์กำแพงแสน บราห์มัน ชาร์โรเลส์ ซิมเมทอล และแองกัส ที่ได้รับความนิยมสูง ล่าสุดกรมปศุสัตว์ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้น้ำเชื้อแช่แข็งโคเนื้อพันธุ์ “บลอนด์ดาคิแตน” (Blonde d’Aquitaine) เพื่อผลิตลูกโคเนื้อคุณภาพป้อนเข้าสู่ตลาด โดยมีคุณสมบัติพิเศษ เนื้อนุ่ม และไขมันต่ำ
                      นสพ.สรวิศ ธานีโต รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ บอกว่า โคเนื้อพันธุ์บลอนด์ดาคิแตนเป็นโคเนื้อสายพันธุ์ฝรั่งเศส มีขนาดลำตัวใหญ่และลำตัวยาว มีช่องอกและสะโพกใหญ่ มีกล้ามเนื้อเด่นชัด แม่โคมีความสูงเฉลี่ย ประมาณ 150 ซม. น้ำหนักระหว่าง 850-1,000 กก. และมีกระดูกเชิงกรานกว้างทำให้คลอดลูกง่ายแม้ว่าลูกโคจะมีขนาดใหญ่ ส่วนพ่อโคสูงเฉลี่ย 160 ซม. น้ำหนักอยู่ระหว่าง 1,200-1,500 กก. โคเนื้อพันธุ์นี้มีนิสัยเชื่อง เขามีลักษณะโค้งลง สีเหมือนเปลือกข้าวโพด จมูกสีชมพู กีบสีซีด ให้เนื้อคุณภาพดี เนื้อมีความละเอียดและนุ่มมาก ทั้งยังมีไขมันน้อย จึงเป็นที่นิยมของผู้บริโภคเนื้อไขมันต่ำ
                      ที่สำคัญโคเนื้อพันธุ์นี้มีความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศที่หลากหลาย สามารถเลี้ยงได้ในพื้นที่ที่อากาศเย็นจัดถึง -30 องศาเซลเซียส จนถึงร้อนจัดหรือประมาณ 40 องศาเซลเซียส ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อการกินอาหาร เป็นอีกหนึ่งพันธุ์ที่น่าสนใจซึ่งสามารถนำมาพัฒนาพันธุ์โคเนื้อไทยได้ดี เพราะมีทั้งพันธุกรรมด้านการสร้างกล้ามเนื้อ การเจริญเติบโต ความสามารถในการทนอากาศร้อน และปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและรูปแบบการเลี้ยงในประเทศไทยได้
                      ด้าน นสพ.อภิรักษ์ อุทธา หัวหน้าศูนย์ผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งพ่อพันธุ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น บอกเพิ่มเติมว่า ทางกรมปศุสัตว์ได้นำตัวอ่อนหรือเอมบริโอ (Embryo) โคเนื้อพันธุ์บลอนด์ดาคิแตนจากประเทศฝรั่งเศส เข้ามาฝากอุ้มบุญในแม่โคเนื้อของไทยเมื่อปี 2550 เพื่อสร้างพ่อพันธุ์โคเนื้อคุณภาพ เป็นการเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกรที่ต้องการเลี้ยงโคเนื้อคุณภาพแต่มีปัญหาด้านการจัดการ โดยเน้นกลุ่มแม่โคที่มีสายเลือดยุโรป อาทิ พันธุ์ชาร์โรเลส์ แองกัส และซิมเมนทอล เป็นต้น เพื่อให้สามารถผลิตลูกโคเนื้อคุณภาพสูงป้อนตลาดได้
                      ล่าสุดตอนนี้ทางกรมปศุสัตว์มีพ่อพันธุ์โคเนื้อพันธุ์บลอนด์ดาคิแตน จำนวน 3 ตัว อยู่ในการดูแลของศูนย์ผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งพ่อพันธุ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยพ่อพันธุ์ 2 ตัว สามารถรีดน้ำเชื้อได้แล้ว มีกำลังการผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งเพื่อรองรับความต้องการของเกษตรกรได้ปีละกว่า 3 หมื่นโดส ส่วนอีก 1 ตัว อายุได้ประมาณ 6 เดือน หากโตเต็มที่และใช้งานได้ คาดว่า จะมีกำลังการผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งได้ไม่น้อยปีละกว่า 4.5 หมื่นโดส
                      อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ทางกรมปศุสัตว์ได้ผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งโคเนื้อพันธุ์บลอนด์ดาคิแตน และให้การสนับสนุนน้ำเชื้อที่ผลิตได้ให้แก่หน่วยงานของกรมปศุสัตว์ไปแล้วกว่า 132,394 โดส แยกเป็น ศูนย์วิจัยการผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพสระบุรี 2,389 โดส, ชลบุรี 3,276 โดส, นครราชสีมา 11,503 โดส, ขอนแก่น 300 โดส, เชียงใหม่ 4,608 โดส, พิษณุโลก 2,870 โดส, ราชบุรี 22,012 โดส, สุราษฎร์ธานี 22,154 โดส, สงขลา 43,776 โดส และศูนย์วิจัยการผสมเทียมและเทคโนโลยีชีวภาพอุบลราชธานี 19,506 โดส นอกจากนี้มีเกษตรกรนำน้ำเชื้อแช่แข็งโคเนื้อพันธุ์บลอนด์ดาคิแตนไปผสมเทียมแม่โคเนื้อในฟาร์มแล้ว ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้
                      โคเนื้อพันธุ์ “บลอนด์ดาคิแตน” นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของเกษตรกร หากสนใจสอบถามได้ที่ศูนย์ผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งพ่อพันธุ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต.ท่าพระ อ.เมือง จ.ขอนแก่น โทร.0-4326-3017
——————–
(ทำมาหากิน : ‘บลอนด์ดาคิแตน’ เนื้อนุ่ม โคพันธุ์ใหม่ทางเลือกเกษตรกร : โดย…โต๊ะข่าวเกษตร)

‘ของเล่น’ จากเศษกระดาษ งานไอเดียสู่สินค้าโอท็อป

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160203/221671.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559
'ของเล่น' จากเศษกระดาษ งานไอเดียสู่สินค้าโอท็อป

ทำมาหากิน : ‘ของเล่น’ จากเศษกระดาษ งานไอเดียสู่สินค้าโอท็อป : โดย…โต๊ะข่าวเกษตร

                       แนวคิดจะช่วยสังคมลดปริมาณขยะจากเศษกระดาษ ทำให้ “วิฑูรย์ ไตรรัตน์วงศ์” ชาวขอนแก่น ได้ออกแบบของเล่นจากกระดาษเหลือใช้เหล่านี้รังสรรค์เป็นงานศิลปะ โดยนำ “ไดโนเสาร์” เอกลักษณ์ของจังหวัดมาเป็นจุดขายให้ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “เด็กเด็กเปเปอร์มาเช่”
                       วิฑูรย์ ไตรรัตน์วงศ์ บอกว่า เดิมทำงานเป็นนักเทคนิคการแพทย์ ต่อเมื่อปี 2552 ได้ลาออกมาทำอาชีพส่วนตัวในโหมดของเล่นเด็ก จนมาเป็นงานเปเปอร์มาเช่ในปัจจุบัน
                       “สนใจเรื่องของเล่นเด็ก บวกกับเห็นว่าผู้คนทุกวันนี้ใช้ทรัพยากรสิ้นเปลืองโดยเฉพาะกระดาษ ผลิตภัณฑ์เปเปอร์มาเช่น่าจะตอบโจทย์ได้ดีกว่าอย่างยิ่งช่วยลดปริมาณขยะลงได้ จึงได้ศึกษาอย่างจริงจังทั้งขั้นตอน วิธีทำ ออกแบบให้ทันสมัยเหมาะกับการนำไปใช้ประโยชน์ และพัฒนาการของเด็ก”
                       โดยเฉพาะการผลิตผลิตภัณฑ์ของเล่นที่เหมาะสำหรับเด็กนั้น วิฑูรย์ ยอมรับว่าคิดอยู่นาน ก่อนมาลงตัวที่นำไดโนเสาร์มาสร้างจุดขาย ภายใต้แบรนด์ เด็กเด็กเปเปอร์มาเช่ ขณะที่ขั้นตอนการผลิต เขาได้ศึกษาเองทั้งจากหนังสือ ยูทูบ ก่อนลงมือทำจนได้ผลงานที่มีเอกลักษณ์ ได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) จากกระทรวงอุตสาหกรรม และเป็นสินค้าโอท็อปของขอนแก่นมากว่า 3 ปี
                       “ส่วนมากจะผลิตตามคำสั่งซื้อของลูกค้า นอกจากไดโนเสาร์แล้ว ยังมีหมู ยีราฟ วัว กลุ่มเป้าหมายอยู่ที่เด็กเป็นหลัก ฉะนั้น การออกแบบจึงไม่เน้นเหมือนจริง แต่เน้นที่ประโยชน์เป็นของเล่นที่ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กที่มีสีสัน ลวดลายสะดุดตา แข็งแรง น้ำหนักเบา รับน้ำหนักได้ดี ไม่อันตรายกับเด็ก” เจ้าของผลงาน แจง พร้อมบอกว่าปัจจุบันมีจำหน่ายที่ศูนย์โอท็อปจังหวัด และเผยแพร่ทาง http://www.papermache.in.th
                       โดยเฉพาะของเล่นในโหมด “ไดโนเสาร์” นั้นจะเน้นไปที่ “ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่” ที่คอและหางยาว อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่สวยงามของแบรนด์เด็กเด็กเปเปอร์มาเช่ อีกทั้ง ยังมีไดโนเสาร์หลากสายพันธุ์ที่ค้นพบในขอนแก่น ถูกนำมาสร้างสรรค์จากกระดาษเหลือใช้นี้ด้วยสำหรับเป็นของเล่นเด็กและของตกแต่งบ้าน
                       วิฑูรย์ บอกอีกว่า จะออกแบบของเล่นที่เหมาะสำหรับพัฒนาการของเด็กแต่ละวัย รวมถึงการเปิดคอร์สอบรม มีกลุ่มเป้าหมาย 2 กลุ่ม คือ ผู้สนใจทั่วไปเพื่อเป็นแนวทางในการทำอาชีพ และสอนให้เด็กในโรงเรียน กลุ่มนี้จะเน้นให้การศึกษาเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม การรู้จักนำวัสดุเหลือใช้มาทำเป็นของเล่น เห็นประโยชน์ของสิ่งที่อยู่รอบตัว ถือเป็นการพัฒนาเด็กและเยาวชน
                       ทั้งนี้ มีหลักสูตรเปเปอร์มาเช่เบื้องต้น ที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นและศิลปะเพื่อการเรียนการสอนไม่ซับซ้อน เปเปอร์มาเช่ขึ้นรูปทรงอิสระ เปเปอร์มาเช่จากโครงสร้างวัสดุรีไซเคิล เปเปอร์มาเช่ขึ้นรูปจากแม่พิมพ์ และเปเปอร์มาเช่เทคนิคก้าวหน้า โดยใช้เทคนิคอื่นๆ เช่น เยื่อกระดาษ เพื่อการสร้างผลงานที่มีความแตกต่าง
                       สำหรับผู้สนใจผลิตภัณฑ์ หรือต้องการเรียนเพื่อต่อยอดเป็นอาชีพ ติดตามผลงานได้ทางเว็บไซต์ข้างต้น หรือสอบถามได้ที่นายวิฑูรย์ ไตรรัตน์วงศ์ เลขที่ 488/52 หมู่ 14 ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น โทรศัพท์ 08-9840-7905
——————–
(ทำมาหากิน : ‘ของเล่น’ จากเศษกระดาษ งานไอเดียสู่สินค้าโอท็อป : โดย…โต๊ะข่าวเกษตร)

‘ถั่วทนแล้ง’ต้านโรคยอดไหม้สองสายพันธุ์ผลงานวิจัยมก.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160202/221659.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ 2559
‘ถั่วทนแล้ง’ต้านโรคยอดไหม้สองสายพันธุ์ผลงานวิจัยมก.
‘ถั่วทนแล้ง’ต้านโรคยอดไหม้สองสายพันธุ์ผลงานวิจัยมก.

ทำมาหากิน : ‘ถั่วทนแล้ง’ ต้านโรคยอดไหม้ สองสายพันธุ์ผลงานวิจัยมก. : โดย…สุรัตน์ อัตตะ

 

 

      เนื่องจากปัจจุบันถั่วลิสงเป็นพืชอีกชนิดที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศในปริมาณสูงถึง 75,980 ตันต่อปีคิดเป็นมูลค่ากว่า 1,093.08 ล้านบาท สาเหตุเพราะว่ามีปริมาณผลผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ ซึ่งมีสูงถึง 144,295 ตันต่อปี แต่ผลิตได้เพียง 38,619 ตันเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้สาเหตุมาจากผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ของประเทศยังต่ำ ขณะเดียวกันถั่วลิสงเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อยกว่าข้าว จึงเหมาะสมสำหรับการปลูกทดแทนข้าวนาปรัง โดยเฉพาะในพื้นที่ปลูกที่เป็นดินร่วน ดินร่วนปนทรายและดินทราย
      ด้วยเหตุนี้ทำให้ อ.เจตษฎา อุตรพันธ์ อาจารย์จากภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทำการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ถั่วลิสง จนได้พันธุ์ใหม่มีคุณสมบัติพิเศษทนแล้ง เหมาะปลูกในสภาพพื้นที่ดินร่วน ดินร่วนปนทรายและดินทรายมีชื่อว่า KUP11281 และ KUP1206-2
      อ.เจตษฎาเผยว่า ถั่วลิสงทั้งสองสายพันธุ์นี้เป็นการปรับปรุงพันธุ์ถั่วลิสงของภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยวิจัยปรับปรุงพันธุ์ถั่วลิสงขนาดเมล็ดปานกลาง  มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มผลผลิตและต้านทานต่อโรคยอดไหม้ รวมทั้งมีคุณภาพผลผลิตเป็นที่ต้องการของตลาด คณะนักวิจัยได้คัดเลือกเชื้อพันธุกรรมถั่วลิสงที่ปรับตัวได้ดีภายในประเทศมาใช้เป็นพันธุ์พ่อและแม่พันธุ์ โดยกำหนดให้ไทนาน 9 และขอนแก่น 5 ซึ่งมีคุณภาพดีเป็นพันธุ์แม่และขอนแก่น 6 ซึ่งต้านทานต่อโรคยอดไหม้เป็นพันธุ์พ่อ ผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์พ่อและแม่แล้วคัดเลือกและประเมินผลผลิตเบื้องต้นตามลำดับ
      “ขั้นตอนของการปรับปรุงพันธุ์ในสถานีวิจัยในสังกัดคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมทั้งในไร่นาเกษตรกรพื้นที่จ.สกลนคร นครพนมและกาฬสินธุ์และคัดเลือกสายพันธุ์ดีเด่นได้จำนวน 2 สายพันธุ์ได้แก่ KUP11281 และ KUP1206-2”
      นักวิจัยคนเดิมระบุอีกว่าสำหรับสายพันธุ์ KUP11281 ปลูกได้ทั้งในฤดูฝน (พ.ค.-ส.ค.) ฤดูปลายฝน (ส.ค.-พ.ย.) และฤดูแล้ง (ต.ค.-ก.พ.) และเหมาะสำหรับพื้นที่ปลูกที่เป็นดินร่วน ดินร่วนปนทรายและดินทราย ผลผลิตฝักแห้ง 350.5 กิโลกรัมต่อไร่ (ความชื้น 9 เปอร์เซ็นต์) ผลผลิตเมล็ดแห้ง 220 กิโลกรัมต่อไร่ เปอร์เซ็นต์กะเทาะ 68 เปอร์เซ็นต์ เมล็ดมีขนาดปานกลาง (น้ำหนัก 100 เมล็ดเท่ากับ 51.8 กรัม) วันดอกแรกบาน 28 วันหลังงอก อายุเก็บเกี่ยว 100-110 วันหลังงอก ส่วน KUP1206-2 ปลูกได้ทั้งในฤดูฝน (พ.ค.-ส.ค.) ฤดูปลายฝน (ส.ค.-พ.ย.) และฤดูแล้ง (ต.ค.-ก.พ.) เหมาะสำหรับพื้นที่ปลูกที่เป็นดินร่วน ดินร่วนปนทรายและดินทราย ผลผลิตฝักแห้ง 288.3 กิโลกรัมต่อไร่ (ความชื้น 9 เปอร์เซ็นต์) ผลผลิตเมล็ดแห้ง 178.2 กิโลกรัมต่อไร่ เปอร์เซ็นต์กะเทาะ 67 เปอร์เซ็นต์ ขนาดเมล็ดปานกลาง (น้ำหนัก 100 เมล็ดเท่ากับ 53.8 กรัม) วันดอกแรกบาน 28 วันหลังงอก อายุเก็บเกี่ยว 100-110 วันหลังงอก ต้านทานต่อโรคยอดไหม้และโรคใบจุดและราสนิม
      เกษตรกรและประชาชนที่สนใจปลูกถั่วลิสงคุณภาพดี สามารถเขาชมได้ในงานเกษตรแฟร์ระหว่างวันที่ 29 มกราคม-6 กุมภาพันธ์  ณ อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริ ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น.ทุกวัน

 

กระจกสีผสานศิลปะพ่นทราย งานสร้างรายได้คน ‘ควนโนรี’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160129/221373.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2559
กระจกสีผสานศิลปะพ่นทราย งานสร้างรายได้คน 'ควนโนรี'

ทำมาหากิน : กระจกสีผสานศิลปะพ่นทราย งานสร้างรายได้คน ‘ควนโนรี’ : โดย…พรนภา สวัสดี

                      วัสดุจากแถบยุโรป มาผสมผสานเป็นลวดลายวัฒนธรรมของประเทศไทย ด้วยฝีมือจากกลุ่มอาชีพงานกระจกสีและงานพ่นทรายบ้านควนโนรี ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี นำโดยเพ็ญพิมล แก้วแกมเพชร ประธานกลุ่มมาร่วมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าในจังหวัดบ้านเกิด
                      เพ็ญพิมล แก้วแกมเพชร ประธานกลุ่มอาชีพงานกระจกสีและงานพ่นทรายบ้านควนโนรี วัย 46 ปี ย้อนอดีตเมื่อหลายปีก่อนใน จ.ปัตตานี ไม่มีงานประเภทนี้ เมื่อได้รับโอกาสเข้าไปศึกษาเรียนรู้อาชีพที่ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จ.พระนครศรีอยุธยา จึงนำความรู้ที่ได้กลับมาสร้างงานในพื้นที่บ้านเกิด โดยเริ่มจากทำเป็นงานแบบเล็กๆ เพียงคนเดียวกว่า 3 ปี เนื่องจากไม่มีคนรู้จักงานประเภทนี้ ด้วยอยากจะหาโอกาส หารายได้ให้เด็ก เยาวชน และคนในชุมชนที่สนใจ จึงพัฒนามาเป็นกลุ่มอาชีพ ทำให้ได้ศึกษาเรียนรู้วิธีการทำอย่างจริงจังจนสามารถนำมาพัฒนาสร้างรายได้ให้ตัวเองและครอบครัว ภายใต้สัญลักษณ์รูปมือที่รองรับดอกบัว จึงเป็นสิ่งที่แทนความหมายของความรู้สึกได้เป็นอย่างดี
                      “งานกระจกสี ศิลปะสมัยโกธิค รุ่งเรืองในแถบยุโรป เป็นงานที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ ซึ่งส่วนมากจะเห็นอยู่ในโบสถ์ เครื่องมือ และวัสดุมีราคาค่อนข้างสูง มีน้อยคนที่จะรู้จักวิธีการทำ” เพ็ญพิมล แจงพร้อมบอกว่า
                      กระจกสีเป็นวัสดุสำคัญของงานนั้น สั่งมาจากร้านค้าในกรุงเทพฯ ที่นำเข้ามาจากยุโรป เป็นร้านเดียวกันกับที่ศูนย์ศิลปาชีพบางไทรนำมาใช้ ที่มีคุณภาพและไว้ใจได้ เพราะได้รับคำแนะนำมาจากอาจารย์ที่เป็นผู้สอนอาชีพให้ตอนที่ศึกษาอยู่ที่นั่น
                      “ทุกครั้งที่มีปัญหา หรือต้องการความช่วยเหลือ มีอาจารย์คนนี้ที่คอยให้คำปรึกษา ให้การช่วยเหลือตลอด จึงมั่นใจว่าทุกอย่างที่ได้รับจากคำแนะนำ มีคุณภาพและดีที่สุดแน่นอน”
                      ปัจจุบันนำงานกระจกสีมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับวัฒนธรรมของประเทศไทย ใช้ตัวกระจกของแถบยุโรป แต่นำมาผลิตเป็นลวดลายที่แสดงถึงวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย อาทิ แก้วน้ำ ที่มีการใส่ลวดลายของนกพิราบคาบกิ่งมะกอก ซึ่งบ่งบอกถึงสันติภาพของชายแดนใต้
                      เพ็ญพิมล ระบุอีกว่า กลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ไม่ได้เน้นเฉพาะเพียงคนกลุ่มใดเป็นหลัก แต่ต้องการให้คนที่มีรายได้ในทุกระดับสามารถซื้อได้ มีชิ้นงานหลากหลายแบบ ราคาอยู่ในระดับที่เหมาะสม ตั้งแต่ 50 บาทไปจนถึงหลักหมื่น แล้วแต่รูปแบบ การใส่สีและรายละเอียดของลวดลายที่ใส่ลงบนชิ้นงาน ตอนนี้ที่มีราคาสูงที่สุดเป็นงานโคมไฟภาพประดับพ่นทรายและภาพประดับพ่นทรายรูปสัตว์มงคล ราคาอยู่ที่หลักหมื่น
                      ส่วนงานโคมไฟภาพประดับพ่นทราย เป็นงานที่ใช้ไอเดีย สร้างสรรค์ภาพ ลงบนงานกระจกธรรมดา อาทิ งานกระจกเงา กระจกใส กระจกใสเขียว และกระจกสีชา ที่นำมาใส่ลวดลายเข้าไป เป็นการเพิ่มมูลค่า ทำให้งานมีรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น
                      “ตอนนี้การวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์อยู่ในรูปแบบของการออกบูธตามงานต่างๆ ทั้งในชุมชน จังหวัดและต่างจังหวัด ถือได้ว่างานเสน่ห์ปัตตานีครั้งนี้เป็นงานใหญ่ที่สุดที่นำผลิตภัณฑ์มาจำหน่ายให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ซึ่งได้รับโอกาสจากพาณิชย์จังหวัด” ประธานกลุ่มแจง
                      พร้อมยอมรับว่า ผลิตภัณฑ์เพิ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าโอท็อป แม้ยังไม่ได้มีการคัดสรรดาว แต่มีการจดทะเบียนเป็นมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) กับอุตสาหกรรมจังหวัด ซึ่งการจดทะเบียนเป็นการรองรับว่าผลิตภัณฑ์ผ่านมาตรฐานตามที่หน่วยงานกำหนด ด้วยกำลังผลิตที่ยังไม่เพียงพอ ทำให้ผลิตภัณฑ์ยังไม่มีการวางจำหน่ายในต่างประเทศ แต่มั่นใจว่าในอนาคตจะมีการส่งออกยังต่างประเทศแน่นอน โดยผู้ประกอบการคนไทยที่เปิดกิจการอยู่ในประเทศมาเลเซีย
                      สนใจผลิตภัณฑ์หรือรายละเอียดวิธีการทำติดต่อกลุ่มอาชีพงานกระจกสีและงานพ่นทราย ควนโนรี ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี โทร.08-9736-2543, 09-3719-4851 ได้ทุกวัน
—————–
(ทำมาหากิน : กระจกสีผสานศิลปะพ่นทราย งานสร้างรายได้คน ‘ควนโนรี’ : โดย…พรนภา สวัสดี)

แพปลาชุมชนอานิสงส์ ‘อ่างคลองหลวง’ อาชีพใหม่เพิ่มรายได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160128/221302.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม 2559
แพปลาชุมชนอานิสงส์ 'อ่างคลองหลวง' อาชีพใหม่เพิ่มรายได้

ทำมาหากิน : แพปลาชุมชนอานิสงส์ ‘อ่างคลองหลวง’ อาชีพใหม่เพิ่มรายได้ชาวบ้านคลอง : โดย…สุรัตน์ อัตตะ

                      เกาะจันทร์ได้ชื่อว่าเป็นอำเภอที่มีความแห้งแล้งกันดารมากที่สุดของ จ.ชลบุรี ชาวบ้านส่วนใหญ่มีฐานะยากจนประกอบอาชีพทำนา ปลูกข้าว ทำไร่อ้อยและไร่มันสำปะหลังปีละครั้ง แต่หลังจากมีอ่างเก็บน้ำคลองหลวงรัชชโลทร อันเนื่องมาจากพระราชดำริเกิดขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านเปลี่ยนจากไร่อ้อย ไร่มันหันมาปลูกไม้ผลแทน จากการทำนาปีละครั้งหันมาทำนาปรังเพิ่มขึ้น  ทำให้เริ่มมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นอานิสงส์จากอ่างยังสร้างอาชีพเสริมรายได้ด้วยการทำประมง จับสัตว์น้ำในอ่างเก็บน้ำเพื่อจำหน่ายอีกทางหนึ่งด้วย โดยเฉพาะชาวบ้านในชุมชนบ้านคลอง ต.เกาะจันทร์ อ.เกาะจันทร์
                      “หลังอ่างสร้างเสร็จมาเกือบ 2 ปี ชาวบ้านที่นี่ก็มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจับสัตว์น้ำขาย ปลาที่จับได้ก็มีหลายชนิด เช่น ปลาช่อน ปลายี่สก ปลาตะเพียน  ส่วนราคาขายก็แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดและชนิดของปลา ก็เป็นรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จากเมื่อก่อนที่มีรายได้ทางเดียวคือการขายผลผลิตทางการเกษตร ข้าวอ้อยและมัน ปีละครั้งเท่านั้น” ละเอียด เกิดวิธี รองประธานผู้จับสัตว์น้ำบ้านคลองวัย 60 ปีย้อนอดีตให้ฟัง ก่อนจะมีอาชีพเสริมการทำประมงมารองรับหลังจากการสร้างอ่างคลองหลวงแล้วเสร็จ จนสามารถเก็บกักน้ำได้และมีการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำนานาชนิดลงไปโดยกรมประมง
                      ละเอียด เล่าต่อว่า ระยะแรกที่มีการจับสัตว์น้ำเพื่อจำหน่ายยังไม่มีตลาดรองรับที่ชัดเจน ตลาดส่วนใหญ่จะมีพ่อค้าแม่ค้าปลาจากต่างถิ่นมารับซื้อ ทำให้เกิดปัญหาถูกกดราคาและขายตัดราคากันเอง จากนั้นจึงมีแนวคิดในการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยการรวมกลุ่มชาวบ้านทำแพปลาชุมชน โดยมีเจ้าหน้าที่ของโครงการชลประทานและสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอเกาะจันทร์มาให้คำแนะนำในการจัดตั้งกลุ่มผู้จับสัตว์น้ำและแพปลาชุมชนเพื่อใช้เป็นสถานที่รับซื้อขายสัตว์น้ำทุกชนิดที่จับมาได้จากอ่าง ก่อนจำหน่ายต่อให้พ่อค้าแม่ค้าที่มารับซื้ออีกทอดหนึ่ง
                      “ถึงตอนนี้กลุ่มเราเกิดขึ้นมายังไม่ถึงปี ก่อตั้งเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 โดยชาวบ้านมาร่วมลงหุ้นหุ้นละ 100 บาท ขณะนี้มีอยู่จำนวน 803 หุ้น มีสมาชิกจำนวนทั้งสิ้น 70 คน เพราะบางคนก็มีหลายหุ้น วัตถุประสงค์การจัดตั้งกลุ่มจับสัตว์น้ำขึ้นมาก็เพื่อเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย โดยกลุ่มจะรับซื้อปลาจากสมาชิก จากนั้นก็จะขายต่อให้พ่อค้าแม่ค้าที่มารอรับซื้ออีกทอดหนึ่งเพื่อแก้ปัญหาการถูกกดราคาจากพ่อค้าแม่ค้าและขายตัดราคากันเอง”
                      รองประธานคนเดิมระบุอีกว่าแต่ละวันจะมีชาวบ้านนำปลาที่จับได้จากในอ่างมาขายเฉลี่ย 700-1,000 กิโลกรัม ส่วนใหญ่จะเป็นปลานิล ปลาตะเพีน ปลาช่อน ปลายี่สก โดยกลุ่มจะเปิดรัับซื้อทุกวััวตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม และกลุ่มมีรายได้จากการจำหน่ายสัตว์น้ำเฉลี่ย 4-5 พันบาทต่อวัน โดยจะตัดรายได้จากการจำหน่ายปลาเข้ากลุ่มไว้ 10% เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการกลุ่ม
                      ขณะที่ ชยันต์ เมืองสง ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ กรมชลประทานกล่าวถึงกลุ่มผู้จับสัตว์น้ำบ้านคลองว่าเป็นหนึ่งในการเสริมสร้างอาชีพที่โครงการให้การสนับสนุน โดยร่วมกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเช่น กรมประมงในการปล่อยพันธุ์สัตว์ลงในอ่างเก็บน้ำ หรือกรมพัฒนาชุมชนให้คำแนะนำการรวมกลุ่มของชาวบ้านจนประสบความสำเร็จ โดยกรมชลประทานจัดสร้างอาคารที่ทำการกลุ่มให้ 1 หลังเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการของกลุ่ม พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลการทำประมงร่วมกับชาวบ้านเพื่อป้องกันการลักลอบการทำประมงจากบุคคลต่างถิ่น
                      “เราแค่เป็นพี่เลี้ยงคอยสนับสนุนให้คำแนะนำเท่านั้น ชาวบ้านจะต้องดูแลกันเอง ตั้งกฎกติกาขึ้นมาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเขาเอง  อย่างเรือที่ทำการประมงอยู่ตอนนี้ประมาณ 200 ลำต้องเป็นเรือพายเท่านั้น เราจะไม่อนุญาตให้เรือติดเครื่องยนต์ทำประมงในอ่างเก็บน้ำ หรือมีการควบคุมเครื่องมือจับสัตว์น้ำใช้ได้เฉพาะบางประเภทเท่านั้น ที่สำคัญสัตว์น้ำที่จับได้จะต้องนำมาขายให้แพปลาชุมชน” ผู้อำนวยการคนเดิมกล่าวถึงมาตรการป้องกันเพื่อความยั่งยืนในอาชีพทำประมงในอ่างเก็บน้ำ
                      การรวมกลุ่มผู้จับสัตว์น้ำบ้านคลองและแพปลาชุมชน นับเป็นอีกทางเลือกด้านอาชีพเสริมรายได้ที่เป็นผลอานิสงส์จากการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองหลวงรัชชโลทร อันเนื่องมาจากพระราชดำรินั่นเอง
———————-
(ทำมาหากิน : แพปลาชุมชนอานิสงส์ ‘อ่างคลองหลวง’ อาชีพใหม่เพิ่มรายได้ชาวบ้านคลอง : โดย…สุรัตน์ อัตตะ)

ผลิต ‘เฟอร์นิเจอร์’ ผู้สูงอายุ ต่อยอดสู่โอท็อปเพื่อสังคม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160127/221220.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 27 มกราคม 2559
ผลิต 'เฟอร์นิเจอร์' ผู้สูงอายุ ต่อยอดสู่โอท็อปเพื่อสังคม

ทำมาหากิน : ผลิต ‘เฟอร์นิเจอร์’ ผู้สูงอายุ ต่อยอดสู่โอท็อปเพื่อสังคม : โดย…โต๊ะข่าวเกษตร

                      ปัญหาเรื่องสุขภาพของผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น สวนทางกับวิถีชีวิตของลูกหลานที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ทำให้มีเวลาดูแลน้อยลง เป็นเหตุผลสำคัญทำให้ ผศ.ดร.สุรกานต์ รวยสูงเนิน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และทีมวิจัย มีแนวคิดผลิตเฟอร์นิเจอร์ในหลากรูปแบบเพื่อคนกลุ่มนี้ โดยเน้นผู้อาศัยที่อยู่ในสภาพแวดล้อมกึ่งเมืองกึ่งชนบท อีกทั้งเตรียมพัฒนาต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์โอท็อป สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน
                      จากการลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้านชุมชนโนนม่วง ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น 100 หลังคาเรือน พบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่พบปัญหาเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้อยู่ไม่เหมาะสมกับอาการเจ็บป่วย บางชิ้นสร้างภาระแก่ผู้สูงอายุ จึงเกิดไอเดียออกแบบผลิตภัณฑ์เครื่องเรือนที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ ในโครงการ “พัฒนาแบบเครื่องเรือนเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันสำหรับผู้สูงอายุในชนบท”
                      ผศ.ดร.สุรกานต์ กล่าวว่า ผู้สูงอายุในสังคมกึ่งเมืองกึ่งชนบท ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก จากการลงพื้นที่พบว่ากว่าร้อยละ 90 มีทั้งที่อยู่กับลูกหลานและอยู่ลำพัง เมื่อพูดคุยเรื่องความต้องการแบ่งตามอาการเจ็บป่วย คือ พอช่วยเหลือตัวเองได้ สายตามองเห็นไม่ชัด ภาวะน้ำหนักตัวเกิน ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงและอัมพฤกษ์ จากข้อมูลจึงนำมาออกแบบเฟอร์นิเจอร์ เน้นวัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่น การออกแบบที่เรียบง่ายและซ่อมแซมกันเองได้ สอดคล้องกับการใช้สอยในชีวิตประจำวัน
                      โดยการออกแบบต้องเหมาะสมกับขนาดร่างกาย ความปลอดภัย ลดข้อจำกัดด้านร่างกาย และออกแบบโดยยึดของใช้ที่ผู้สูงอายุใช้อยู่ เช่น เตียงนอน แคร่ ซึ่งจะออกแบบให้ไม่สูงจากพื้นบ้าน มีราวยึดที่แข็งแรง เสาไม้สำหรับใช้กางมุ้ง ที่วางพัดลม กล่องเก็บเครื่องใช้ ยารักษาโรค ด้านเก้าอี้พับก็ออกแบบให้มีน้ำหนักมาก รองรับน้ำหนักผู้สูงอายุ ส่วนเก้าอี้นั่งดูโทรทัศน์ก็พร้อมออกกำลังกายได้ ทั้งหมดล้วนเป็นนวัตกรรมที่มุ่งหวังให้ผู้สูงอายุได้ใช้ประโยชน์จริง แก้ปัญหาข้อจำกัดด้านร่างกาย
                      “ต้องปรับปรุงพัฒนา ทั้งเรื่องขนาด ความแข็งแรง ราคา และสามารถให้ลูกหลานหรือคนในชุมชนที่มีความรู้เรื่องงานช่างสามารถซ่อมแซมและต่อยอดนำไปประกอบอาชีพ สร้างสินค้าให้เป็นผลิตภัณฑ์โอท็อปเพื่อผู้สูงอายุได้ อีกทั้งสร้างรายได้ในชุมชนด้วย” ผศ.ดร.สุรกานต์ แจง
                      ส่วนการต่อยอดไปสู่การเป็นผลิตภัณฑ์โอท็อปเพื่อตอบไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้สูงอายุนั้น ผศ.ดร.สุรกานต์ มองว่า ในต่างประเทศมีการออกแบบและคิดค้นมานานแล้ว สำหรับประเทศไทยเพิ่งได้รับการยอมรับเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในอนาคตจึงมีแนวคิดนำองค์ความรู้เหล่านี้ไปอบรมให้แก่ชาวบ้านในชุมชนที่สนใจ เพื่อที่บุคคลเหล่านี้จะนำภูมิรู้ที่ได้ไปสร้างอาชีพ สร้างรายได้เสริมเลี้ยงดูครอบครัวในอนาคต
                      สำหรับผู้สนใจในรายละเอียดเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงการเข้าร่วมอบรมพัฒนาฝีมือ สามารถติดต่อสอบถามไปได้ที่ ผศ.ดร.สุรกานต์ รวยสูงเนิน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) หรือโทรศัพท์ 0-4336-2046 ได้ทุกวันในเวลาราชการ
———————–
(ทำมาหากิน : ผลิต ‘เฟอร์นิเจอร์’ ผู้สูงอายุ ต่อยอดสู่โอท็อปเพื่อสังคม : โดย…โต๊ะข่าวเกษตร)

ข้าวโพดหวานลูกผสม ‘ชัยนาท 2’ สายพันธุ์ใหม่ล่าสุดให้ผลผลิตสูง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160122/220970.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2559
ข้าวโพดหวานลูกผสม 'ชัยนาท 2' สายพันธุ์ใหม่ล่าสุดให้ผลผลิตสูง

ทำมาหากิน : ข้าวโพดหวานลูกผสม ‘ชัยนาท 2’ สายพันธุ์ใหม่ล่าสุดให้ผลผลิตสูง : โดย…โต๊ะเกษตร

                      หลังจากที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ชัยนาท ได้มีการปรับปรุงสายพันธุ์ข้าวโพดหวานอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดประสบผลสำเร็จในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดหวานลูกผสมพันธุ์ใหม่ “ข้าวโพดหวานลูกผสมพันธุ์ชัยนาท 2” มีลักษณะเด่นให้ผลผลิตฝักสดสูง และสามารถปรับตัวได้ดีกับสภาพแวดล้อมได้ดี ทางคณะกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตรได้รับรองสายพันธุ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
                      นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร บอกว่า ตามที่กรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดหวานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่เกษตรกรนำไปปลูก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตนั้น ศูนย์วิจัยพืชไร่ชัยนาทได้ปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดหวานลูกผสมพันธุ์ใหม่สำเร็จอีก 1 พันธุ์ คือ “ข้าวโพดหวานลูกผสมพันธุ์ชัยนาท 2” ซึ่งคณะกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร ได้ประกาศเป็นพันธุ์รับรองของกรมวิชาการเกษตรแล้ว หลังจากที่ผ่านมาทางกรมวิชาการเกษตร ได้มีการปรับปรุงสายพันธุ์ข้าวโพดฝักสดที่ได้รับการรับรองพันธุ์ พร้อมแนะนำและส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเพื่อสร้างรายได้มาแล้วหลายพันธุ์ อาทิ ข้าวโพดหวานลูกผสมพันธุ์สงขลา 84-1 ข้าวโพดหวานลูกผสมพันธุ์ชัยนาท 86-1 และข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสมพันธุ์ชัยนาท 84-1 เป็นต้น
                      สำหรับข้าวโพดหวานพันธุ์ใหม่นี้ เดิมชื่อ ซีเอ็นเอสเฮช 7566 เกิดจากการผสมระหว่างสายพันธุ์แท้เบอร์ 75 หรือสายพันธุ์แท้ไฮบริกซ์ 4 (เอส) 1บี-บี-บี-บี กับสายพันธุ์แท้เบอร์ 66 หรือสายพันธุ์แท้ ซีเอ็น-เอสเอสดับเบิ้ลยู 59 (เอส)-11-1-บี-บี-บี-บี ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ชัยนาท ได้ดำเนินการผ่านการทดสอบการให้ผลผลิตในแปลงเปรียบเทียบเบื้องต้น แปลงเปรียบเทียบมาตรฐาน และเปรียบเทียบในท้องถิ่น ตลอดจนปลูกเปรียบเทียบในไร่เกษตรกรตั้งแต่ปี 2553-2556 และผ่านการศึกษาข้อมูลจำเพาะของพันธุ์ข้าวโพดหวานในช่วงปีดังกล่าวด้วย
                      ลักษณะเด่นของข้าวโพดหวานลูกผสมพันธุ์ชัยนาท 2 คือ ให้ผลผลิตฝักสดทั้งเปลือกสูงถึงไร่ละ 2,897 กก. และผลผลิตฝักสดปอกเปลือกไร่ละ 1,965 กก. ขณะที่พันธุ์ชัยนาท 86-1 ซึ่งเป็นพันธุ์เปรียบเทียบให้ผลผลิตฝักสดทั้งเปลือกไร่ละ 2,779 กก. ผลผลิตฝักสดปอกเปลือกไร่ละ 1,805 กก. และพันธุ์ไฮบริกซ์ 3 ให้ผลผลิตฝักสดทั้งเปลือกไร่ละ 2,673 กก. และผลผลิตฝักสดปอกเปลือกไร่ 1,751 กก.
                      นอกจากนี้ ยังสามารถปรับตัวได้ดีกับสภาพแวดล้อม มีความต้านทานปานกลางต่อโรคใบไหม้แผลใหญ่ โดยข้าวโพดพันธุ์นี้ มีอายุเก็บเกี่ยว ประมาณ 70-73 วัน ขนาดฝัก 4.8×18 ซม. มีจำนวนแถว 16-18 แถว มีอัตราแลกเนื้ออยู่ที่ 46% มีความหวาน 13.4% บริกซ์ ทั้งยังมีคุณภาพด้านการรับประทานดีใกล้เคียงกับพันธุ์ไฮบริกซ์ 3 เหมาะสำหรับการบริโภคฝักสดและโรงงานอุตสาหกรรม
                      ที่สำคัญสามารถปลูกได้ทั่วไปทั้งเขตน้ำฝนในเขตภาคกลาง อาทิ จ.นครสวรรค์ ลพบุรี สุพรรณบุรี และสระบุรี และในเขตภาคตะวันตก อย่าง จ.กาญจนบุรี และสามารถปลูกได้ในพื้นที่ชลประทานเขตภาคเหนือ ทั้ง จ.เชียงใหม่ และสุโขทัย รวมทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จ.ขอนแก่น โดยสามารถปลูกได้ทั้งก่อนและหลังฤดูทำนา โดยพื้นที่ 1 ไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ในอัตรา 1.5 กก. และมีการจัดการดูแลง่ายเหมือนกับการปลูกข้าวโพดหวานทั่วไป แต่มีจุดด้อยคือไม่ต้านทานต่อโรคราน้ำค้าง เกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ที่มีโรคดังกล่าวระบาด ควรป้องกันกำจัดตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตรก่อน
                      ปัจจุบันกรมวิชาการเกษตรได้มอบหมายให้ศูนย์วิจัยพืชไร่ชัยนาท เร่งผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวานลูกผสมพันธุ์ชัยนาท 2 เพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของเกษตรกรที่จะนำพันธุ์ไปปลูก สนใจสอบถามได้ที่ ศูนย์วิจัยพืชไร่ชัยนาท อ.เมือง จ.ชัยนาท โทร.0-5640-5080-1
———————-
(ทำมาหากิน : ข้าวโพดหวานลูกผสม ‘ชัยนาท 2’ สายพันธุ์ใหม่ล่าสุดให้ผลผลิตสูง : โดย…โต๊ะเกษตร)

เชื้อเพลิงพืชเกษตร ‘อัดแท่ง’ ต้นแบบพลังงานสิ่งแวดล้อม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160122/220968.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2559
เชื้อเพลิงพืชเกษตร 'อัดแท่ง' ต้นแบบพลังงานสิ่งแวดล้อม

ทำมาหากิน : เชื้อเพลิงพืชเกษตร ‘อัดแท่ง’ ต้นแบบพลังงานสิ่งแวดล้อม : โดย…ธานี กุลแพทย์

                      การพัฒนาศักยภาพเชิงธุรกิจเครือข่ายคลัสเตอร์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นภารกิจหลักของโครงการสนับสนุนเครือข่ายเอสเอ็มอีใน 18 กลุ่มจังหวัด หนึ่งในนั้นคือ บริษัท เอส.วาย.เอส เพลเลท มิลล์ จำกัด ผู้ผลิตเชื้อเพลิงจากพืชเกษตรเหลือใช้อัดแท่ง กลุ่มพื้นที่ภาคกลาง ที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. ให้การสนับสนุน เตรียมต่อยอดเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันรองรับเปิดเออีซี
                      นายจาตุรงค์ ชาติสถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส.วาย.เอส เพลเลท มิลล์ จำกัด นักบริหารหนุ่มวัย 32 ปี หนึ่งในผู้ประกอบการพลังงานชีวมวล ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสว.ในการส่งเสริมการเชื่อมโยงธุรกิจ เสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มองว่า จากพื้นฐานเดิมของธุรกิจเป็นโรงสีข้าว ต่อเมื่อเห็นช่องทางธุรกิจจึงนำวัสดุการเกษตรเหลือใช้ เช่น แกลบ รำข้าว ชานอ้อย ขี้เลื่อย ฯลฯ มาแปรรูปเป็นสินค้าเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง ด้วยเครื่องอัดแท่ง จำนวน 2 เครื่อง กำลังผลิต 900-1,000 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ผลิตได้ 50 ตันต่อวัน
                      “สินค้าเชื้อเพลิงอัดแท่งนี้ จะป้อนให้ลูกค้าประเภทโรงงานอุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง น้ำมันพืช มีฐานลูกค้าหลักอยู่ที่ จ.สมุทรสาคร สมุทรปราการ นครปฐม และราชบุรี ซึ่งจะมีราคาถูกกว่าการใช้พลังงานจากก๊าซแอลพีจี หรือน้ำมันเตา”
                      ทว่า ปัญหาของธุรกิจคือ วัตถุดิบมีความชื้นไม่คงที่ ค่าความร้อนไม่คงที่ มีน้ำหนักเบา ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสูง อีกทั้งขนาดและรูปร่างเชื้อเพลิงไม่คงที่ บวกกับราคาพลังงานในปัจจุบันมีความผันผวน โดยเฉพาะราคาน้ำมันและก๊าซแอลพีจี มีราคาถูกลง จึงเริ่มที่แข่งขันกับพลังงานดั้งเดิมได้ยากขึ้น แต่จากการได้รับการสนับสนุนจาก สสว.ทำให้ลดต้นทุนได้ถึง 8 หมื่นบาทต่อเดือน ด้านการตลาดสามารถตั้งเป้าการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 100% จนมีความมั่นใจขยายธุรกิจด้วยการขยายโรงงาน ลงทุนซื้อเครื่องจักรเพิ่ม โดยใช้เงินลงทุนกว่า 10 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายคืนทุนในเวลา 4-5 ปี โดยรายได้จะมาจากกำไรจากวัตถุดิบในการอัด 10-15% และรายได้ 20% โดยเฉลี่ยจากยอดขาย 10 ล้านบาทต่อเดือน
                      ด้าน นางสาลินี วังตาล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวว่า การดำเนินงานโครงการสนับสนุนเครือข่าย เอสเอ็มอีใน 18 กลุ่มจังหวัดในปี 2558 สสว.ได้มุ่งเน้นการส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มเป็นคลัสเตอร์เพื่อประชุมหารือการจัดทำแผนพัฒนาเครือข่ายอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งปัจจุบันกลุ่มคลัสเตอร์ที่ดำเนินการจัดทำแผนแล้วเสร็จประมาณ 30 แผน
                      “มีผู้ประกอบการที่เข้าสู่กระบวนการพัฒนาศักยภาพเชิงธุรกิจผ่านกิจกรรมพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่าย อาทิ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมการตลาดเชิงรุก การลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ การพัฒนาตราสินค้า การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ฯลฯ ประมาณ 3,000 ราย” นางสาลินี แจง
                      พร้อมย้ำว่า ในปี 2559 จะดำเนินการต่อเนื่องให้บรรลุเป้าหมาย คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไม่น้อยกว่า 1 หมื่นราย สร้างโอกาสทางการตลาด รวมถึงมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 1,000 ราย และสามารถลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจไม่น้อยกว่า 150 ล้านบาท
———————-
(ทำมาหากิน : เชื้อเพลิงพืชเกษตร ‘อัดแท่ง’ ต้นแบบพลังงานสิ่งแวดล้อม : โดย…ธานี กุลแพทย์)

หันมาเลี้ยงจิ้งหรีดขาย เสริมรายได้ชาวสวนยาง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160121/220899.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม 2559
หันมาเลี้ยงจิ้งหรีดขาย เสริมรายได้ชาวสวนยาง

ทำมาหากิน : หันมาเลี้ยงจิ้งหรีดขาย เสริมรายได้ชาวสวนยาง : โดย…สุวรรณี บัณฑิศักดิ์

                      วิกฤติราคายางพาราตกต่ำ ยังเป็นปัญหาหลักสำหรับเกษตรกรชาวสวนยางในพื้นที่ภาคใต้ แต่หลายครอบครัวก็พยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว อย่างสามีภรรยาเกษตรกรชาวสวนยาง ลุงลิขิต บุญมาก อายุ 63 ปี และป้าวิญญา บุญมาก อายุ 62 ปี เกษตรกรชาวสวนยางพารา บ้านควนพระ หมู่ 2 ต.ท่าเรือ อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ธานี เลี้ยงเพาะขยายพันธุ์จิ้งหรีดขายได้ราคางามจนสามารถปลดหนี้ ธ.ก.ส. หนี้กองทุนหมู่บ้านและหนี้เงินล้าน ได้โดยไม่ต้องพึ่งพารายได้จากสวนยางพารา แถมยังมีเงินเหลือส่วนหนึ่งเก็บสะสมไว้ใช้ยามจำเป็นอีกด้วย
                      โดยได้เพาะเลี้ยงขยายพันธุ์จิ้งหรีดขาวและจิ้งหรีดดำในปล่องซีเมนต์ ขายให้กลุ่มนักตกปลาและกลุ่มผู้เลี้ยงนก มีรายได้ประมาณวันละ 500 บาท สร้างกำไรงาม สามารถนำเงินรายได้มาปลดหนี้สิน ธ.ก.ส. หนี้กองทุนหมู่บ้านและหนี้เงินล้าน ที่ทั้งคู่ต้องปลดหนี้กว่าปีละ 80,000 บาท โดยไม่ต้องพึ่งพารายได้จากสวนยางพารา
                      ลุงลิขิต บอกว่า ตนมีอาชีพเป็นเกษตรกรชาวสวนยางตั้งแต่บรรพบุรุษเมื่อรายได้จากยางพาราตกต่ำ ไม่พอเลี้ยงครอบครัวจึงยกรายได้จากการขายยางพาราให้ลูกสาว จากนั้นหันมาขายน้ำชากาแฟในช่วงเช้า ต่อมามีญาติแนะนำให้ทดลองเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดขาย จึงทดลองเพาะขยายพันธุ์จากปล่องซีเมนต์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 60 เซนติเมตรจำนวน 2 บ่อ จนมีความชำนาญจึงเพิ่มปริมาณการเลี้ยงขึ้นในปล่องขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลาง 120 เซนติเมตร โดยทำมา 2 ปีจนปัจจุบันนี้มีจำนวนถึง 14 ปล่อง สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจากการเพาะจิ้งหรีดขายได้วันละ 300-400 บาท บางวันขายได้สูงถึงวันละ 800 บาท
                      นอกจากนั้นยังมีเงินเก็บอีกจำนวนหนึ่งไว้ใช้ยามฉุกเฉินอีกด้วยเนื่องจากทั้งคู่อายุมากแล้ว ทั้งนี้หากจะเปรียบเทียบรายได้จากการขายผลผลิตยางพาราในปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่าการประกอบอาชีพเสริมด้วยการเพาะจิ้งหรีดขายมีรายได้ดีกว่าการทำสวนยางพารา ซึ่งตลาดยังมีความต้องการอีกมาก เนื่องจากเป็นที่นิยมของกลุ่มนักตกปลาและกลุ่มผู้เลี้ยงนก
                      “เกษตรกรรายใดต้องการนำไปเพาะขยายพันธุ์ขาย ตนก็มีไข่จิ้งหรีดขายในราคากระบะละ 300 บาท และสามารถเพาะขายได้ถึง 2,500 บาทต่อ 1 ปล่อง โดยใช้เวลา 45 วัน นอกจากนั้นมูลของจิ้งหรีดยังกวาดเก็บมาเป็นปุ๋ยขายในราคา กก.ละ 30 บาทอีกด้วย”
                      ลุงลิขิต ยอมรับว่า สำหรับการเลี้ยงจิ้งหรีดนั้นง่ายมาก ขนาดตัวเล็กก็จะให้กินอาหารที่ใช้เลี้ยงหมู ใบมัน มะละกอสุก และผลไม้เกือบทุกชนิด แต่การเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดเกษตรกรจะต้องศึกษาให้เข้าใจถึงวิธีการเลี้ยงและให้น้ำจิ้งหรีดกินที่เหมาะสม มิฉะนั้นจิ้งหรีดตายทำให้ขาดทุนได้
                      ด้านกุศล บุญกล่อม ผู้จัดการ ธ.ก.ส. สาขาบ้านนาเดิมกล่าวถึงลุงลิขิต บุญมาก และป้าวิญญา บุญมาก เป็นลูกค้า ธ.ก.ส.มานานและเป็นลูกค้าชั้นดี ธ.ก.ส.จะให้การสนับสนุนเรื่องเงินทุนในการเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดเพิ่ม แต่ทั้ง 2 คนปฏิเสธโดยบอกว่าตอนนี้รายได้ดีพอสามารถเลี้ยงครอบครัวและส่งเงินกู้ได้อย่างไม่ขัดสนไม่ต้องกู้เพิ่ม
                      “สำหรับการเลี้ยงจิ้งหรีดสร้างรายได้เสริมนั้น ยังขาดการสนับสนุนจากภาคราชการอย่างจริงจัง ซึ่งตนเห็นว่าเป็นทางเลือกทางหนึ่งของเกษตรกรชาวสวนที่จะประกอบอาชีพเสริม พร้อมร้องขอเกษตรกรชาวสวนอย่าเพิ่งสิ้นหวังกับสวนยางพารา ให้หันมามองหาการทำอาชีพเสริมแบบภูมิปัญญานำมาทดลอง เช่น การเลี้ยงไก่ชน หรืออื่นๆ ที่สามารถเสริมรายได้มาจุนเจือครอบครัวในยุคราคายางพาราตกต่ำ” ผู้จัดการธ.ก.ส.คนเดิมกล่าวย้ำ
                      การเลี้ยงจิ้งหรีดนับเป็นทางเลือกอีกอาชีพที่สร้างรายได้เสริมให้แก่ชาวสวนยางในห้วงเวลาที่ราคายางกำลังตกต่ำอยู่ในขณะนี้
———————–
(ทำมาหากิน : หันมาเลี้ยงจิ้งหรีดขาย เสริมรายได้ชาวสวนยาง : โดย…สุวรรณี บัณฑิศักดิ์)

‘เมธี’ เมล็ดมะม่วงแปรรูป ยอดของฝาก-ต้นตำรับการอบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160120/220821.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 20 มกราคม 2559
'เมธี' เมล็ดมะม่วงแปรรูป ยอดของฝาก-ต้นตำรับการอบ

ทำมาหากิน : ‘เมธี’ เมล็ดมะม่วงแปรรูป ยอดของฝาก-ต้นตำรับการอบ : โดย…ธานี กุลแพทย์

                      นับเป็นความสำเร็จอีกก้าวของเมล็ดมะม่วงหิมพานต์แปรรูปแบรนด์ “เมธี” นำโดย นายเมธี-นางบุญมา จตุเมธเมธี แห่งเมืองภูเก็ต ที่มุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจครอบครัว จนก้าวสู่เบอร์หนึ่งของประเทศในสินค้าประเภทนี้ ด้วยความโดดเด่นด้านคุณภาพ รสชาติ ที่โดนใจผู้บริโภค ทั้งการเข้าร่วมโครงการของรัฐเพื่อปรับปรุงมาตรฐานสินค้า เป็นแรงผลักที่ทำให้แบรนด์ของฝากจากแดนใต้นี้บรรลุเป้าหมายยิ่งขึ้น
                      โดยเฉพาะการเข้าร่วมโครงการของกระทรวงอุตสาหกรรม One Province One Agro-Industrial Product (OPOAI) หรือโครงการพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมส่วนภูมิภาค ซึ่งได้ อาภา วราภิวัฒนกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เมธีภูเก็ต จำกัด หลานสาว เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ
                      อาภา บอกว่า บริษัทเป็นเจ้าแรกๆ ใน จ.ภูเก็ต ที่แปรรูปเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ โดยคุณลุงและคุณป้าอดีตช่างทองได้พลิกชีวิตมาสู่อาชีพนี้เมื่อปี 2515 ด้วยแนวคิดนำมะม่วงหิมพานต์ ซึ่งปลูกมากในภาคใต้มาแปรรูปเป็นสินค้า โดยเฉพาะในโหมดของเมล็ดที่นำมาคั่วหรืออบ จากนั้นทั้งคู่ได้ต่อสู้กับปัญหาอุปสรรค กระทั่งนำมาสู้ซึ่งผลิตภัณฑ์แบรนด์ “เมธี” มีทั้งเมล็ดมะม่วงอบหลากรส น้ำมะม่วงหิมพานต์ น้ำพริกมะม่วงฯกุ้งเสียบ แกงไตปลา ฯลฯ
                      “ตลอดเกือบ 40 ปีที่บริษัทดำเนินธุรกิจนี้ นับว่าประสบผลสำเร็จด้วยดี ทั้งชื่อเสียงด้านคุณภาพ รสชาติความอร่อย โดยเฉพาะวิธีการแปรรูปซึ่งเราเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่ใช้วิธีการอบ จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นต้นตำรับของ จ.ภูเก็ต” อาภา กล่าว
                      ปัจจุบันสินค้าเม็ดมะม่วงแปรรูปมียอดจำหน่ายกว่า 2.5 หมื่นกิโลกรัมต่อปี มีการตลาดกับกลุ่มนักท่องเที่ยวแบ่งเป็นสัดส่วนในประเทศร้อยละ 95 และต่างประเทศร้อยละ 5 โดยสถานที่จำหน่ายคือร้านขายของฝากเมธีในตัวเมืองภูเก็ตทั้ง 2 สาขา
                      ทว่า ในความสำเร็จนั้น อาภายอมรับว่าก็มีปัญหาเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องประสิทธิภาพการผลิต และการตลาด เหตุนี้ในปี 2558 จึงเข้าร่วมโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมส่วนภูมิภาค (OPOAI) ใน 2 แผนงาน
                      เริ่มจากแผนที่ 2 คือ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ได้มีการปรับปรุง 2 ส่วน คือ 1.เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการบรรจุอัตโนมัติ หลังปรับปรุงสามารถลดของเสียได้จาก 20% เหลือ 0% คิดเป็นมูลค่าปีละ 532,000 บาท และ 2.เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการบรรจุอัตโนมัติแบบฟิล์มหด ก่อนปรับปรุงเกิดของเสีย 50% หลังปรับปรุงแล้วอัตราการเกิดของเสียเป็น 0 คิดเป็นมูลค่าปีละ 355,800 บาทต่อปี
                      และแผนที่ 6 กลยุทธ์ขับเคลื่อนการตลาด ซึ่งทีมที่ปรึกษาได้สำรวจ วิเคราะห์ ประเมิน ให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึก ทั้งศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค แนะนำแผนกลยุทธ์การตลาดระยะสั้นเพื่อกระตุ้นยอดขาย 5% ระยะกลางเพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ระยะยาวเพื่อพัฒนาสินค้าและเปิดช่องทางการจำหน่ายใหม่
                      “เราได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์ใหม่เพื่อเพิ่มมูลค่าใน 3 รูปแบบ คือ แบบกล่อง แบบซอง แบบขวด อีกทั้งเราได้เปิดช่องทางการตลาดใหม่ในร้านคิงเพาเวอร์ ซึ่งจากการเข้าร่วมโครงการสามารถเพิ่มยอดขายได้ร้อยละ 17.57”
                      ทั้งนี้ อาภา ยอมรับว่า แผนการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์จนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป นอกจากยึดหลักความพอเพียง ความเชื่อมั่นในตัวสินค้าแล้ว การใช้ระบบโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นอีกหนทางที่เพิ่มยอดขายได้ต่อเนื่องเช่นกัน
——————–
(ทำมาหากิน : ‘เมธี’ เมล็ดมะม่วงแปรรูป ยอดของฝาก-ต้นตำรับการอบ : โดย…ธานี กุลแพทย์)