มก.สานฝันปั้น ‘สังข์ทองโมเดล’ สู่เมืองเกษตรอินทรีย์รับเออีซี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160119/220753.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันอังคารที่ 19 มกราคม 2559
มก.สานฝันปั้น 'สังข์ทองโมเดล' สู่เมืองเกษตรอินทรีย์รับเออีซี

ทำมาหากิน : มก.สานฝันปั้น ‘สังข์ทองโมเดล’ สู่เมืองเกษตรอินทรีย์รับเออีซี : โดย…สุรัตน์ อัตตะ

                      นับเป็นความสำเร็จอีกก้าวของการลงนามความร่วมมือบันทึกทำข้อตกลงระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กับสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติ สปป.ลาว ในการจัดตั้ง “ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรและอาชีพเมืองสังข์ทอง” หรือ “สังข์ทองโมเดล” โดยการริเริ่มของอดีตผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน “ผศ.อนุพร สุวรรณวาจกกสิกิจ” ที่ปัจจุบันรั้งตำแหน่งผู้อำนวยการสถานีวิทยุแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (สถานีวิทยุ มก.) หลังจากส่งทีมงานนักวิชาการเข้าไปสำรวจพื้นที่การเกษตรเมืองสังข์ทอง จากนั้นคัดเลือกเกษตรกรตัวแบบเมืองสังข์ทองจำนวน 10 รายมาฝึกอบรมการทำนาปลูกข้าวด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่ที่โรงเรียนข้าวและชาวนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตแพงแสน เมื่อปี 2558 เพื่อหวังให้เป็นเกษตรกรแกนนำของเมืองสังข์ทอง สปป.ลาวต่อไป
                      “การร่วมมือจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวนี้ก็เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ทั้งทางด้านการฝึกอบรมแก่ประชาชนที่สนใจและการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการเกษตรและวิชาชีพผ่านวีดิทัศน์และสื่อในรูปแบบต่างๆ ที่สนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนการให้บริการวิชาการด้านต่างๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน พัฒนาคุณภาพชีวิตและนำพาชาวเมืองสังข์ทองให้รอดพ้นจากความยากจน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและประชาชนในพื้นที่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ตามแผนงานที่รัฐบาล สปป.ลาว ได้วางเอาไว้” ผศ.อนุพร เผยเป้าหมายความร่วมมือเมื่อครั้งนำคณะผู้บริหาร มก.เยือนเมืองสังข์ทองเมื่อปีที่แล้ว
                      ปัจจุบันการดำเนินกิจกรรมภายใต้ความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงานมีความก้าวหน้าตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเกษตรกรตัวแบบของเมืองสังข์ทองมาฝึกทำนาที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน การถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการเกษตรและวิชาชีพผ่านวิดีทัศน์และสื่อต่างๆ การให้ทุนการศึกษาระดับมหาบัณฑิตของมหาวิทยาลัยเพื่อต่อยอดองค์ความรู้ด้านการเกษตรให้แก่นักศึกษา สปป.ลาว เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาเมืองสังข์ทองต่อไป ในขณะระดับเจ้าหน้าที่ก็มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
                      อย่างไรก็ตามระหว่างวันที่ 20-21 มกราคม นายกสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รศ.ดร.วิโรจ อิ่มพิทักษ์ นำคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย พร้อมด้วยหน่วยงานในเครือข่ายพันธมิตรอย่าง ธ.ก.ส.เดินทางสู่เมืองสังข์ทอง สปป.ลาว อีกครั้งเพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานและเยี่ยมชมความสำเร็จในด้านต่างๆ ของเกษตรกรตัวแบบ อาทิ ข้าว พืชผัก การเพาะเห็ด เป็นต้น หลังผ่านการฝึกอบรมจากประทเศไทยเพื่อนำไปถ่ายทอดให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีการหารือถึงปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่ผ่านมาและกิจกรรมที่จะมีต่อใปนอนาคตด้วย
                      “การหารือของคณะท่านนายกสภา มก. กับสภาการค้า สปป.ลาว ครั้งนี้เป็นการต่อยอดความร่วมมือจากครั้งที่แล้ว โดยเสนอประเด็นเพิ่มเติมใน 3 ประเด็นคือ 1.การจัดการองค์ความรู้เรื่องยางพารา 2.ความร่วมมือที่จะมีต่อไปในอนาคตกับ มก.และ 3.การริเริ่มใช้เครือข่ายสถานีวิทยุ มก. เพื่อตกลงในความร่วมมือระหว่างกันในด้านการแลกเปลี่ยนรายการวิทยุกระจายเสียง ระหว่างกัน การร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรด้านผลิตรายการและด้านเทคนิคและการให้ความช่วยเหลือในด้านเนื้อหาทางการเกษตร เพื่อการผลิตรายการ” ผอ.สถานีวิทยุ มก. หนึ่งในคณะผู้บริหารเผยประเด็นการหารือในการเดินทางไปเยือน สปป.ลาวครั้งนี้ พร้อมกับย้ำว่าเป็นการเตรียมความพร้อมในทางวิชาการระหว่างสองหน่วยงานเพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมประชาคมอาเซียนของ สปป.ลาว ในฐานะประธานอาเซียนปี 2559 ด้วย
                      สำหรับเมืองสังข์ทองตั้งอยู่ทางทิศเหนือของนครหลวงเวียงจันทน์ ประมาณ 60 กิโลเมตรฝั่งตรงข้ามกับ อ.สังคม จ.หนองคาย สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นภาคเกษตรกว่าร้อยละ 70 มีทั้งนาข้าวและเลี้ยงสัตว์ โดยแบ่งการปกครองออกเป็น 35 หมู่บ้าน มีจำนวนประชากร 38,000 คน ประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม ทำให้รัฐบาล สปป.ลาว มีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนชาวเมืองสังข์ทองอยู่ดีกินดีและมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยมีแผนให้เป็นเมืองเกษตรอินทรีย์เพื่อผลิตสินค้าเกษตรป้อนนครเวียงจันทน์
———————-
(ทำมาหากิน : มก.สานฝันปั้น ‘สังข์ทองโมเดล’ สู่เมืองเกษตรอินทรีย์รับเออีซี : โดย…สุรัตน์ อัตตะ)

กระเป๋าใยตาล ‘โหนดทิ้ง’ หัตถกรรมหรู ‘โกอินเตอร์’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160115/220529.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2559
กระเป๋าใยตาล 'โหนดทิ้ง' หัตถกรรมหรู 'โกอินเตอร์'

ทำมาหากิน : กระเป๋าใยตาล ‘โหนดทิ้ง’ หัตถกรรมหรู ‘โกอินเตอร์’ : โดย…พรนภา สวัสดี

                      จากคุณสมบัติที่เหนียวของใยตาลผลผลิตผลของตาลโตนดซึ่งคนยุคก่อนทำเป็นเชือกผูกเรือ มาถึงปัจจุบันได้กลายเป็นกระเป๋าคุณภาพ สุดหรู หลากสไตล์ แบรนด์ “โหนดทิ้ง” แห่ง จ.สงขลา ที่โดนใจทั้งลูกค้าคนไทยและต่างชาติ สร้างรายได้ สร้างชื่อเสียงให้ท้องถิ่นไม่น้อย
                      ปิยธิดา รุ่งสุวรรณ หรือใหม่ ย้อนให้ฟังถึงที่มาของหัตถกรรมจากใยตาลว่า ในรุ่นของตนเองนั้นเป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ทว่า ก่อนจะมาถึงปัจจุบัน ในรุ่นปู่ของเธอได้ใช้ใยตาลนี้ทำเชือกผูกเรือ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีมาเป็นร้อยๆ ปี จนปี 2514 คุณลุงของเธอเห็นว่าเชือกผูกเรือผลิตผลจากเส้นใยของตาลโตนดมีความเหนียวและแข็งแรงทนทาน จึงนำมาสานเป็นกระเป๋า แต่ช่วงนั้นการตลาดยังไม่ค่อยดีและการผลิตก็ทำได้ช้า จึงไม่เป็นที่ต้องการของตลาดเลยต้องหยุดไป
                      ต่อเมื่อปี 2540 คุณแม่ของเธอได้กลับมาสานต่องานหัตถกรรมนี้ พร้อมตั้งกลุ่ม “โหนดทิ้ง” มีสมาชิกแรกเริ่มราว 10 คน ร่วมกันคิดหาวิธีจะทำอย่างไรเพื่อให้ผลิตได้เร็วและได้มากที่สุด จนได้เครื่องตีใยตาลและเครื่องทอเข้ามาช่วยจึงสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ ถึงตอนนี้ผลิตภัณฑ์จึงมีทั้งแบบสานและแบบทอกว่า 40 รายการ ภายใต้แบรนด์ “โหนดทิ้ง” ปิยธิดา เล่า พร้อมรับว่าแม้จะมีเครื่องมือเข้ามาช่วย แต่แรงงานคนก็ยังเป็นหัวใจของงานหัตถกรรมกลุ่มในปัจจุบัน
                      “ที่ใช้ชื่อกลุ่มว่า โหนดทิ้ง นั้นมาจาก คำว่า “โหนด” เป็นคำภาษาไทย ที่แปลว่า ต้นตาลโตนด ส่วน คำว่า “ทิ้ง” คือ ของเหลือทิ้งไม่มีมูลค่า แต่เรานำมาเพิ่มมูลค่าได้” ปิยธิดา อธิบายถึงชื่อกลุ่ม
                      สำหรับตลาดเป้าหมายนั้น ปิยธิดา บอกว่า ได้แบ่งเป็น 2 ตลาด คือในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศจะมีกลุ่มเป้าหมายคือคนวัยทำงานเป็นหลัก ขณะที่ชิ้นงานแต่ละชิ้นเน้นประณีต สวยงาม คงทน และผลิตจากใยตาลเพียวๆ โดยเฉพาะในโหมดกระเป๋าออกงานกลางคืน หรือ “กระเป๋าคุณนาย” เป็นที่นิยมมาก ส่วนที่ถักทอด้วยใยตาลแล้วมีหนังแท้ผสม จะเป็นที่นิยมของตลาดต่างประเทศ
                      “ตลาดต่างประเทศ มีทั้ง เอเชีย ยุโรป อาทิ จีน ญี่ปุ่น อเมริกา ส่วนประเทศแถบอาเซียนนั้น เพิ่งจะเริ่มได้มีโอกาสไปออกบูธที่ มาเลเซีย ลาว และเวียดนาม ซึ่งก็ได้รับความสนใจไม่น้อย”
                      ด้านสนนราคา ปิยธิดา ยอมรับว่า ผลงานแต่ละชิ้นนั้นคุณภาพระดับสากล อีกทั้ง ความสวยงามไม่เป็นรอง มีการพัฒนารูปแบบ มีดีไซน์ใหม่ๆ อยู่เสมอเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้า ทว่าด้วยค่าแรงงานที่ค่อนข้างสูง เพราะต้องใช้แรงงานที่มีฝีมือและมีความชำนาญเฉพาะทาง จึงทำให้เกณฑ์ราคาผลิตภัณฑ์ต่ำสุดอยู่ที่ 900 บาท และสูงสุด 3,500 บาท
                      “ผลิตภัณฑ์ของเรา การันตีด้วยรางวัลมากมาย ทั้งรางวัลภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย หมู่บ้านหัตถกรรมดีเด่น ผลิตภัณฑ์เด่น จ.สงขลา และรางวัลหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ระดับ 4 ดาว”
สำหรับท่านที่สนใจผลิตภัณฑ์ใยตาลฝีมือกลุ่ม “โหนดทิ้ง” ปิยธิดา บอกให้ติดต่อไปได้ที่ 09-3942-2658 Facebook: Nodething http://www.nodething.com หรือที่บ้านเลขที่ 15 หมู่ 4 ต.จะทิ้งพระ อ.สทิงพระ จ.สงขลา
———————-
(ทำมาหากิน : กระเป๋าใยตาล ‘โหนดทิ้ง’ หัตถกรรมหรู ‘โกอินเตอร์’ : โดย…พรนภา สวัสดี)

วิถีดำนารับมือแล้ง ใช้น้ำน้อย-ให้ผลผลิตสูง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160114/220452.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม 2559
วิถีดำนารับมือแล้ง ใช้น้ำน้อย-ให้ผลผลิตสูง

ทำมาหากิน : วิถีดำนารับมือแล้ง ใช้น้ำน้อย-ให้ผลผลิตสูง : โดย…ทีมข่าวเกษตร

                      นับเป็นความสำเร็จอีกก้าวของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ จับมือปราชญ์ชาวบ้านด้านเกษตรปลูกข้าว เปิดตัว “นวัตกรรมการดำนาน้ำน้อย” นวัตกรรมการดำนำที่ใช้น้ำน้อยกว่าปกติถึง 3 เท่า แต่ได้ผลผลิตสูงสุด 6 ตันต่อไร่ โดยตั้งเป้าหมายเผยแพร่องค์ความรู้ดังกล่าวแก่เกษตรกรไทยรับมือน้ำแล้งปี 2559
                      รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษาและการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า ในปี 2559 ประเทศไทยมีแนวโน้มในการเข้าสูภาวะวิกฤติการณ์น้ำแล้ง ซึ่งจากข้อมูลของกรมชลประทาน พบว่าน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนต่างๆ ลดระดับลง โดยปัจจุบันน้ำในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่ 33 แห่งทั่วประเทศ เหลือน้ำเพียง 43,384 ลูกบาศก์เมตร จากความจุ 70,370 ลูกบาศก์เมตร ในจำนวนนี้มีน้ำที่สามารถใช้ได้จริง 19,881 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวจะส่งผลต่อทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคครัวเรือน รวมถึงภาคการเกษตร โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่เป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศมีโอกาสได้รับผลกระทบสูง ดังนั้นประเทศไทยต้องหาแนวทางในการรับมือปัญหาดังกล่าวเพื่อป้องกันวิกฤติการณ์น้ำแล้ง ดังนั้นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศจึงมีแนวคิดในการพัฒนาองค์ความรู้ การวิจัย ฯลฯ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ค้นพบแนวทางนวัตกรรมการดำนำรูปแบบใหม่ที่ใช้ปริมาณน้ำในการปลูกเข้าที่น้อยกว่าวิธีปัจจุบันที่ใช้กันมายาวนาน โดยร่วมกับ ดร.เกริก มีมุ่งกิจ ปราชญ์ชาวบ้านด้านเกษตรปลูกข้าว พัฒนา “นวัตกรรมการดำนาน้ำน้อย” การดำนาแบบใหม่ให้สามารถรองรับและต่อสู้กับสภาวะภัยแล้งให้ชาวนาได้อย่างยั่งยืน
                      ด้าน ผศ.ดร.จิตติ มงคลชัยอรัญญา คณบดีวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ กล่าวว่า รายละเอียดเกี่ยวกับ “นวัตกรรมการดำนาน้ำน้อย” ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอนหลัก เริ่มจากการปรับปรุงดินให้สมบูรณ์ โดยการใช้ใบไม้แห้งและมูลสัตว์ จากนั้นใช้ต้นกล้าข้าวที่มีอายุ 15 วันปลูกโดยวิธีการดำมีระยะห่างต่อหลุม 50X50 ซม. เพื่อให้ข้าวแตกกอได้อย่างสะดวกและไม่ใช้ระบบน้ำขัง แต่ปล่อยน้ำในบางช่วงตามความต้องการของพืช และให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอเสมือนการปลูกผัก
                      ผศ.ดร.จิตติ กล่าวต่อว่า การปลูกข้าวด้วย “นวัตกรรมการดำนาน้ำน้อย” จะใช้น้ำเพียง 500 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ต่อฤดูกาล ซึ่งจะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงถึง 6 ตัน ขณะที่การปลูกข้าวโดยปกติที่จะปล่อยน้ำขังในนาข้าวจะใช้น้ำประมาณ 1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ต่อฤดูกาล แต่จะได้ผลผลิตเพียง 1 ตัน ซึ่งหากเปรียบเทียบกันแล้วจะพบว่าการปลูกข้าวน้ำน้อยจะใช้น้ำน้อยกว่าปกติถึง 3 เท่า แต่ได้ผลผลิตมากกว่าถึง 6 เท่า อย่างไรก็ตาม ปริมาณการใช้น้ำและผลผลิตที่ได้ด้วยวิธีการดังกล่าวจะแปรผันตามสภาพแวดล้อมของพื้นที่นั้นๆ ด้วย ทั้งนี้ “นวัตกรรมการดำนาน้ำน้อย” ถือเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยเป็นอย่างมาก ที่ช่วยลดต้นทุนในการผลิตและสร้างรายได้เพิ่ม ขณะเดียวกันก็เป็นอีกกลไกหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
                      ทั้งนี้ ปัจจุบันวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ สร้างศูนย์เรียนรู้ด้านอาหาร พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนที่สนใจ เข้ามาร่วมอบรมและเรียนรู้ด้านนวัตกรรมการเกษตรในรูปแบบต่างๆ อาทิ การทำไบโอแก๊ส การปลูกผักแบบเกษตรอินทรีย์ โดยในอนาคตคาดว่าจะเปิดให้ผู้สนใจเข้าร่วมอบรมในโครงการทำบ้านดิน การปลูกป่า ฯลฯ อันสอดรับกับปณิธานของ ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาชนบทที่เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศ
————————
(ทำมาหากิน : วิถีดำนารับมือแล้ง ใช้น้ำน้อย-ให้ผลผลิตสูง : โดย…ทีมข่าวเกษตร)

‘หมอนหลอด’ เพื่อสุขภาพ แก้แผลกดทับฝีมือเด็ก มข.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160113/220382.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันพุธที่ 13 มกราคม 2559
'หมอนหลอด' เพื่อสุขภาพ แก้แผลกดทับฝีมือเด็ก มข.

ทำมาหากิน : ‘หมอนหลอด’ เพื่อสุขภาพ แก้แผลกดทับฝีมือเด็ก มข. : โดย…ทีมข่าวเกษตร

                      ด้วยเห็นว่าปัจจุบันมีผู้ป่วยที่มีปัญหาต้องนอนติดเตียงอยู่เป็นจำนวนมาก เหตุนี้เป็นแรงผลักให้ นายธนากร ชัยวงศา นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น พร้อมเพื่อนร่วมทีม คิดทำอุปกรณ์ “หมอนหลอดเพื่อสุขภาพ” ช่วยแก้ปัญหาแผลกดทับในผู้ป่วยที่ต้องนอนนานๆ ได้เป็นผลสำเร็จ
                      นายธนากร ชัยวงศา นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาการจัดการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ย้อนให้ฟังถึงความเป็นมาของหมอนหลอดเพื่อสุขภาพว่า มาจากการศึกษารายวิชาสหกิจศึกษา ซึ่งการเรียนวิชานี้มหาวิทยาลัยจะให้นักศึกษาปฏิบัติงานจริงในสถานประกอบการ โดยครั้งนี้ตนเองและเพื่อนอีก 3 คน เข้าฝึกปฏิบัติงานที่ร้านอินเตอร์ม่านหลุยส์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น
                      โดยตลอดระยะเวลาของการฝึกปฏิบัติงานจริงนั้น เกิดแรงบันดาลใจนำวัสดุเหลือใช้มาเพิ่มมูลค่า จนได้ข้อสรุปเป็นการทำหมอนหลอดเพื่อสุขภาพที่หุ้มด้วยเศษผ้าที่เหลือจากกระบวนการตัดเย็บผ้าม่าน
                      ทั้งนี้ หมอนดังกล่าวมีความแตกต่างจากหมอนเพื่อสุขภาพทั่วไป เพราะมีการบรรจุหลอดกาแฟที่ถูกตัดเป็นชิ้นอัดแน่นภายในถุงหมอน ซึ่งหมอนหลอดเป็นนวัตกรรมที่ได้รับการการันตีจากแผนกหลังคลอด โรงพยาบาลศรีนครินทร์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ว่ามีคุณสมบัติอากาศถ่ายเทสะดวกทำให้ไม่ร้อนไม่เกิดแผลกดทับปรับรูปรองรับอวัยวะได้เป็นอย่างดีตามสรีระ ไม่มีไรฝุ่นซึ่งก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ สามารถเปลี่ยนไส้หมอน และถอดทำความสะอาดได้ง่าย
                      “การพัฒนาผลิตภัณฑ์หมอนหลอด เราได้ศึกษาจากผลงานวิจัยของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ซึ่งมีการรับรองผลการวิจัยแล้วว่า หลังผ่าคลอดแผลของผู้ป่วยที่ใช้หมอนหลอดจะหายเร็วขึ้นและไม่เป็นแผลกดทับ จากนั้นได้นำหมอนหลอดที่ผลิตไปทดสอบกับผู้ป่วยอาสาสมัครที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ แผนกสูติ-นรีเวช ห้องพักหลังคลอด พร้อมทั้งเก็บข้อมูล โดยการสัมภาษณ์พูดคุยกับหมอ พยาบาล ผู้ป่วยอาสาสมัคร เสียงสะท้อนส่วนใหญ่ตอบกลับมาว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้ผลจริง ยิ่งทำให้เรามั่นใจในคุณภาพมากขึ้น” นายธนากร กล่าว
                      พร้อมระบุว่า ผลิตภัณฑ์หมอนหลอดเพื่อสุขภาพเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากเศษผ้าที่เหลือจากการผลิตผ้าม่านช่วยสร้างรายได้เพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการซึ่งมีทักษะในการตัดเย็บ พร้อมทั้งกำลังคนและเครื่องจักรเป็นต้นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่เพิ่มสายการผลิตหมอนหลอดเพื่อสุขภาพเข้าไป
                      นายธนากร กล่าวอีกว่า หลังจากการประดิษฐ์คิดค้นหมอนหลอดเพื่อสุขภาพมาแล้ว มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งการออกร้านแสดงสินค้าในงานหรือกิจกรรมต่างๆ การทำการตลาดออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ ปรากฏว่าหมอนหลอดเพื่อสุขภาพมีกระแสตอบรับเป็นอย่างดี
                      ส่วนท่านใดที่สนใจในผลิตภัณฑ์สามารถติดต่อไปได้ที่สาขาการจัดการ คณะวิทยาการจัดการ มข.
                      “การตั้งราคาขายที่ต่ำกว่าตลาดเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ประความสำเร็จนอกเหนือจากคุณภาพของสินค้า ที่เราตั้งราคาต่ำกว่าเนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ต่ำ และต้นทุนส่วนใหญ่เป็นค่าตัดเย็บซึ่งเป็นจุดแข็งของร้านอยู่แล้ว จึงทำให้ผลิตภัณฑ์มีความได้เปรียบทางการแข่งขันค่อนข้างสูง” นายธนากร กล่าวในตอนท้าย
———————-
(ทำมาหากิน : ‘หมอนหลอด’ เพื่อสุขภาพ แก้แผลกดทับฝีมือเด็ก มข. : โดย…ทีมข่าวเกษตร)

เปิดแบบจำลองแนวคิด ‘เชิงพลวัต’ สู่การพัฒนาผลิตผลเกษตรยั่งยืน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160112/220310.html

เกษตร-วิทยาศาสตร์-ไอที : ข่าวทั่วไป
วันอังคารที่ 12 มกราคม 2559
เปิดแบบจำลองแนวคิด 'เชิงพลวัต' สู่การพัฒนาผลิตผลเกษตรยั่งยืน

ทำมาหากิน : เปิดแบบจำลองแนวคิด ‘เชิงพลวัต’ สู่การพัฒนาผลิตผลเกษตรยั่งยืน : โดย…พรนภา สวัสดี

                      ผลพวงจากประชากรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทำให้วิกฤติในเรื่องของอาหารเป็นประเด็นสำคัญที่ประเทศต่างๆ ให้ความสนใจในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการทางอาหารนั้นมีเพิ่มมากขึ้น ทำอย่างไรให้การผลิตสินค้าทางการเกษตรเพียงพอต่อความต้องการทางอาหาร เรียนรู้ พัฒนา ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
                      รศ.ดร.ศุภวัจน์ รุ่งสุริยะวิบูลย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เจ้าของผลงานวิจัยแบบจำลองเชิงพลวัตสำหรับวัดประสิทธิภาพและการเติบโตผลิตภาพทางการเกษตร พยายามคิดค้นผลงานวิจัยแบบจำลองในเชิงแนวคิดพลวัตขึ้นมาเพื่อให้เกษตรกรและอุตสาหกรรมผลิตอาหารและหน่วยงานภาครัฐสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อมีให้มีการพัฒนาไปในทิศทางที่เหมาะสมและยั่งยืน
                      “ที่จริงแล้วงานวิจัยชิ้นนี้มีการพัฒนาต่อยอดมาจากงานวิจัยชิ้นก่อนๆ ที่เคยทำขึ้นมา ระยะเวลาในการดำเนินงานกว่า 2 ปี ตั้งแต่ปี 2555 จนมาเสร็จสิ้นเมื่อปี 2557 ที่ผ่านมาจากความสนใจว่าจะสร้างตัวชี้วัดอย่างไรเพื่อให้แต่ละภูมิภาคมีการพัฒนาสินค้าทางการเกษตรและสามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการอาหารของโลก”
                      นักวิจัยคนเดิมเผยต่อว่า ก่อนหน้านี้วิธีหรือแนวคิดที่ถูกนำมาใช้กับแบบจำลองไม่มีเรื่องของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ตัวชี้วัดที่ออกมาอาจจะเกิดความคลาดเคลื่อนแบบจำลอง ที่อาศัยแนวคิดเชิงพลวัต จะคำนึงถึงเวลาในการปรับตัวของเกษตรกรหรือการปรับตัวของพื้นที่ต่างๆ ตัวชี้วัดที่ได้จากแบบจำลองที่ทำขึ้นไม่ใช่เฉพาะแค่ภาคการเกษตรที่จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ แต่ส่วนของอุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ถ้ามีข้อมูล ซึ่งส่งผลให้ภาครัฐสามารถนำไปกำหนดแผนเชิงนโยบาย พัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตแต่ละตัวให้เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมและเกิดความยั่งยืนมากขึ้น
                      “อย่างเรื่องของเทคโนโลยีการใช้ปัจจัยการผลิตและเรื่องขนาดทางการเกษตรที่ยังไม่เหมาะสม ซึ่งถ้าประเทศสามารถแก้จุดบอดตรงจุดต่างๆ ผลเสียต่างๆ ที่ศึกษาได้จากกลุ่มประเทศเปลี่ยนผ่านแล้วสามารถที่จะวางกลยุทธ์ของประเทศไทยให้เหมาะสมเพื่อทำให้เกิดการเติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้อง ด้วยทรัพยากรทางการเกษตรที่มีศักยภาพและจำนวนประชากรที่มากกว่าครึ่งของโลก ข้อมูลของกลุ่มประเทศเปลี่ยนผ่านจึงมีความน่าสนใจที่จะนำมาใช้ในงานวิจัย” รศ.ดร.ศุภวัจน์ แจง
                      อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.ศุภวัจน์ ยังย้ำด้วยว่าสำหรับกลุ่มประเทศเปลี่ยนผ่านนั้นเป็นกลุ่มที่เคยอยู่ในระบบสังคมนิยมแล้วเปลี่ยนมาเป็นระบบกลไกตลาดเสรี ถ้าสามารถเข้าใจภาพรวมได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับภูมิภาคนี้จะเกิดประโยชน์ต่อคนทั้งโลก เช่นประเทศไทยเป็นประเทศทางการเกษตรที่สามารถศึกษาเรียนรู้ได้ว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้กลุ่มประเทศเหล่านี้ยังพัฒนาได้ไม่ดีพอ อาทิ เทคโนโลยีทางด้านการเกษตรยังไม่มีความทันสมัยหรือเกษตรกรบางประเทศอาจจะยังไม่ได้รับการอบรมที่เพียงพอ เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ปรับตัวไป ถ้าประเทศไทยสามารถแก้จุดบอดที่ศึกษาจากกลุ่มประเทศเปลี่ยนผ่านได้จะทำให้การวางกลยุทธ์ของประเทศไทยมีความเหมาะสมและเกิดการเติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้อง
                      “ในอนาคตมองว่าแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นมา อาจจะนำไปประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ ของประเทศไทยได้ เพราะที่จริงแล้วอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นจุดที่นำเงินเข้ามาให้ประเทศค่อนข้างเยอะ ฉะนั้นถ้าแบบจำลองนี้ ถูกนำไปประยุกต์ใช้กับฐานข้อมูลในอุตสาหกรรมอื่นๆ ประเทศไทยจะสามารถกำหนดกลยุทธ์ต่างๆ ที่เหมาะสม และจะเป็นตัวสำคัญที่ดึงเม็ดเงินเข้ามาในประเทศได้อีกด้วย” รศ.ดร.ศุภวัจน์ กล่าวทิ้งท้าย
                      นับเป็นอีกก้าวของงานวิจัยในการนำผลสำเร็จจากการสร้างแบบจำลองแนวคิดเชิงพลวัตมาประยุกต์ใช้กับนโยบายรัฐและทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรของไทยเพื่อให้การพัฒนาไปในทิศทางที่เหมาะสมและเกิดความยั่งยืน
———————-
(ทำมาหากิน : เปิดแบบจำลองแนวคิด ‘เชิงพลวัต’ สู่การพัฒนาผลิตผลเกษตรยั่งยืน : โดย…พรนภา สวัสดี)