“ประจัก มีลาบ” ปลูกหน่อไม้ฝรั่งปลอดสารพิษ ที่ อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ (ตอนจบ)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05018011058&srcday=2015-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 608

บันทึกไว้เป็นเกียรติ

ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ

“ประจัก มีลาบ” ปลูกหน่อไม้ฝรั่งปลอดสารพิษ ที่ อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ (ตอนจบ)

การทำราวเชือก คุณประจัก มีลาบ อธิบายว่า การทำราวเชือกเพื่อช่วยพยุงลำต้นหน่อไม้ฝรั่งนับเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ประโยชน์ของการทำค้างก็เพื่อที่จะรักษาลำต้นเหนือดินให้อยู่ได้นานที่สุด ในช่วงเลี้ยงต้นก่อนการเก็บเกี่ยวและในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยปกติจะทำราวเชือกเมื่อต้นหน่อไม้ฝรั่งมีอายุ 2-3 เดือน หลังจากย้ายกล้าปลูก ไม้ที่ใช้ทำค้างอาจเป็นไม้รวกหรือไม้อื่นๆ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-2 นิ้ว หรือเสาปูน ขนาด 1×1 นิ้ว

การปักค้าง จะปักเป็นจุด จุดละ 2 หลัก และใช้เชือกไนล่อนขนาดพอเหมาะ ขึงตามความยาวของแปลง ระยะห่างของไม้แต่ละจุดประมาณ 2 เมตร หรือแล้วแต่ความเหมาะสม ซึ่งการทำค้างนี้จะทำไปตลอดอายุของการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง หากไม้ค้างผุ ควรเปลี่ยนไม้ค้างอยู่เสมอ เพื่อค้ำลำต้นไม่ให้ล้มจากลมพัด เพราะต้นหน่อไม้ฝรั่งค่อนข้างสูง ถ้าต้นหักล้มส่งผลให้ต้นกระทบกระเทือน เพราะถ้าต้นล้มเสียหายย่อมส่งผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิต

ในช่วงแรก งานหลักๆ คือ การป้องกันกำจัดวัชพืช พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ยาฆ่าหญ้า ควบคุมกำจัดวัชพืชใช้วิธีกล เช่น การเตรียมดินที่ดี การถอนด้วยมือ และวิธีเขตกรรมอื่นๆ โดยคุณประจักจะใช้การคลุมโคนและแปลงปลูกด้วยแกลบดิบให้หนา เพื่อทำให้หญ้าขึ้นน้อยลง หรือจะใช้ได้เพียงระยะแรกๆ ที่ยังไม่มีผลผลิต แต่เมื่อมีผลผลิตก็ต้องหยุดใช้ในพื้นที่ที่มีลมแรงและไม่มีแนวบังลม

การพูนโคนต้นกล้า ถ้าต้นกล้าหน่อไม้ฝรั่งมีเหง้าลอยพ้นดิน มักมีสาเหตุมาจากการที่หยอดเมล็ดตื้น หรือให้น้ำแบบสายยางฉีดรด หรือให้น้ำตามร่องจนชะดินลงมา ดังนั้น ควรมีการตรวจแปลงกล้าอย่างสม่ำเสมอ ถ้าพบว่าต้นกล้าที่แตกขึ้นมาใหม่มีขนาดเล็กและเป็นฝอย รากและเหง้าเล็กลง ทำให้ได้ต้นกล้าที่ไม่สมบูรณ์ จึงควรพรวนดินกลบเหง้า (พูนโคนต้น) ต้นกล้าด้วย

การไว้ต้นแม่เหนือดิน หลังจากย้ายกล้าประมาณ 1 สัปดาห์ ต้นจะงอกโผล่พ้นดิน เมื่อต้นหน่อไม้ฝรั่งมีอายุมากขึ้น จำนวนต้นจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต้นที่งอกช่วงแรกก็จะเริ่มแก่ ถ้าไม่มีการตัดต้นออกบ้าง บริเวณกอจะแน่น มีผลทำให้เป็นแหล่งสะสมโรคและแมลง อีกทั้งการให้หน่อใหม่จะเล็กลงด้วย ดังนั้น ในช่วงเดือนที่ 3 หลังจากย้ายปลูก ควรมีการตัดแต่งต้นออกบ้าง และสามารถพ่นสารชีวภัณฑ์กำจัดโรคและแมลงได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ การตัดแต่งต้นจะทำให้มีการสะสมอาหารที่เหง้าและตามากขึ้น ทำให้เหง้าและตามีขนาดใหญ่ขึ้น ดังนั้น การตัดแต่งต้นกล้าหน่อไม้ฝรั่งจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และมักจะทำเมื่อต้นกล้าอายุประมาณ 3-4 เดือน ขึ้นไป

การพรวนดินและการเติมปุ๋ยในช่วงเลี้ยงต้นกล้าในแปลงหน่อไม้ฝรั่ง การพรวนดินจะทำให้บริเวณหน้าดินไม่แน่น หน่ออ่อนจะโผล่พ้นดินได้สะดวก ไม่โค้งหรือคดงอ แต่การพรวนดินต้องทำอย่างระมัดระวัง อย่าให้กระทบกระเทือนถึงระบบราก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต เพราะจะทำให้หน่อไม้ฝรั่งชะงักการออกหน่อได้ ต้นหน่อไม้ฝรั่งในช่วงอายุ 3-4 เดือนแรก หลังจากการย้ายปลูก ควรพรวนดินและพูนโคน พร้อมทั้งเติมปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก เพื่อช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดีและร่วนขึ้น ใช้ปุ๋ยเคมี สูตรเสมอ 15-15-15 ผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยปรับสภาพดิน ให้เสริมเป็นระยะๆ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม และสภาพความอุดมสมบูรณ์ของหน่อไม้ฝรั่งด้วย

การให้น้ำ ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ผลผลิตจะมีคุณภาพดี ช่วงย้ายต้นกล้าลงแปลงปลูก ควรให้น้ำ วันละ 1 ครั้ง ทุกวัน หรือวันเว้นวัน ขึ้นอยู่กับสภาพดิน อุณหภูมิฝน แปลงที่มีความชื้นสูงก็ไม่จำเป็นต้องให้น้ำ การให้น้ำในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตต้องให้ทุกวันพอหน้าดินชื้น และเป็นไปได้ไม่ควรให้ตอนเย็น จะทำให้เกิดโรคระบาดได้ การให้น้ำในพื้นที่ดอน ระบบสปริงเกลอร์จะช่วยชะล้างโรคและแมลงบางชนิดได้ เช่น เพลี้ยไฟ เป็นต้น การให้น้ำหน่อไม้ฝรั่ง ทนแล้งได้พอสมควร แต่ถ้าขาดน้ำหรือให้น้ำไม่สม่ำเสมอ มีผลให้ปริมาณผลผลิตลดลงอย่างมาก และคุณภาพหน่อไม้ฝรั่งไม่ดี ควรมีการให้น้ำทุกวัน ทั้งนี้ ปริมาณน้ำที่ให้และระยะเวลาที่ให้น้ำขึ้นอยู่กับวิธีการให้น้ำ สภาพแวดล้อม (ชนิดดิน อุณหภูมิของอากาศ ความชื้นในอากาศ) หน่อไม้ฝรั่งชอบให้หน้าดินชื้น แต่ไม่ชอบให้หน้าดินแฉะและมีน้ำขัง พื้นที่ปลูกเป็นดินเหนียวผลผลิตจะไม่ดีเท่ากับพื้นที่ปลูกที่เป็นดินร่วน หลักการให้น้ำควรให้ผิวหน้าดินชื้น แต่อย่าให้จนดินแฉะ เพราะถ้าแปลงปลูกเป็นดินเหนียว จะทำให้ปริมาณผลผลิตของหน่อไม้ฝรั่งลดลง หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชที่ต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลผลิตดี หน่อไม้ฝรั่งที่ได้รับน้ำไม่สม่ำเสมอ จะมีคุณภาพของหน่อไม่ดี โดยจะมีเส้นใย (ไฟเบอร์) มาก หน่อจะเหนียว ทำให้คุณภาพในการบริโภคจะด้อยลง

การพักต้น หลังจากเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่งอินทรีย์ได้ 2 เดือน ต้นหน่อไม้ฝรั่งเริ่มโทรม ผลผลิตจะลดลงตามลำดับ จำเป็นต้องพักต้นหรือบำรุงต้นใหม่ 1 เดือน ให้ต้นหน่อไม้ฝรั่งได้สะสมอาหาร แล้วพร้อมให้ผลผลิตได้เก็บต่ออีก 2 เดือน แล้วก็จะพักต้นต่อ ทำแบบนี้เรื่อยไปทั้งปี

การพักต้นนั้น คุณประจัก อธิบายว่า ตนเองจะเริ่มจากการหยุดเก็บหน่อล่วงหน้า 3 วัน แล้วดูว่าหน่อไหนสวย ต้นใหญ่สมบูรณ์ ก็จะเก็บเอาไว้เป็นต้นแม่ ต้นที่เหลือจากการคัดให้ตัดแต่งต้นโดยการถอนทิ้ง เช่น ต้นที่เหลืองและโทรม มีโรคแมลงรบกวนให้ถอนทิ้งไป จะคัดเลือกต้นใหญ่ แข็งแรง ไว้เพียง 3-5 ต้น ต่อกอ เท่านั้น เพื่อเลี้ยงไว้เป็นต้นแม่ จากนั้นจะพรวนดิน การพรวนดินจะพรวนดินไปตามยาวของแปลงปลูก ไม่ควรพรวนรอบโคนต้นหน่อไม้ฝรั่ง พรวนเพื่อให้ดินเกิดช่องว่างเพื่อเราจะเติมแกลบและปุ๋ยต่างๆ จะได้แทรกลงในช่องว่างที่ได้พรวนดินเอาไว้ ทำให้ดินร่วนซุย อีกอย่างการที่เกษตรกรเข้าไปทำงานในแปลงโดยตลอด การถอน การเก็บเกี่ยวผลผลิต สภาพดินในแปลงจะยุบตัวลงมา รากหน่อจะตื้น รวมถึงการดึงเอาแร่ธาตุในดินไปใช้ หลังการพรวนดินเกษตรกรจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เพิ่มธาตุอาหารในดิน พร้อมกับพูนดินกลบโคนต้นทุกครั้ง เพื่อให้หน่อเกิดขึ้นมาใหม่มีความสมบูรณ์

การใส่ปุ๋ย คุณประจัก จะใส่ปุ๋ยอินทรีย์สำเร็จรูป 5 ส่วน ผสมกับปุ๋ยเคมี สูตรเสมอ 15-15-15 1 ส่วน นำปุ๋ยทั้ง 2 ชนิด คลุกเคล้าผสมให้เข้ากัน จากนั้นจะนำไปหว่านโรยบนหลังร่องให้ทั่ว โดยพื้นที่ปลูกหน่อไม้ฝรั่ง 2 ไร่ คุณประจัก จะใช้ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 จำนวน 1 กระสอบ (50 กิโลกรัม) ผสมคลุกเคล้ากับปุ๋ยอินทรีย์ จำนวน 5 กระสอบ (250 กิโลกรัม) หลังจากนั้นก็จะใส่แกลบดิบเพื่อเป็นการคลุมแปลงปรับสภาพให้แปลงร่วนซุย ให้หน่อไม้ฝรั่งได้แทงหน่อได้ง่าย ใส่ปุ๋ยเสร็จ ใส่แกลบทับก็จะให้น้ำเพื่อให้ปุ๋ยได้ละลาย

หลังจากเลี้ยงต้นแม่ให้ต้นสูงสัก 50-60 เซนติเมตร หรือสูงเลยระดับเชือกที่ขึงไว้เพื่อพยุงต้น ให้ใช้มือเด็ดยอดต้นหน่อไม้ฝรั่งทิ้งไป การเด็ดยอดนั้นทำให้ต้นแม่ของหน่อไม้ฝรั่งไม่งามใบจนเกินไป จุดประสงค์ให้มีการเจริญเติบโตที่กอด้านล่างมากกว่า เพื่อสะสมอาหารเตรียมให้ผลผลิต เมื่อใบหน่อไม้ฝรั่งเปลี่ยนจากสีเขียวอ่อนเป็นสีเขียวเข้ม (ใบแก่) ก็จะให้ผลผลิตเก็บหน่อขายต่ออีกราวๆ 2 เดือน ช่วงที่พักต้น ทางใบก็สามารถเสริมด้วยฮอร์โมน อาหารเสริม น้ำหมักชีวภาพ ฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน

คุณประจัก แนะนำสูตรน้ำหมักว่า ตนเองจะหมักด้วยหน่อกล้วยอ่อน น้ำหนัก 5 กิโลกรัม เอามีดสับให้ละเอียด + หัวเชื้อจุลินทรีย์ ประมาณ 1 ลิตร (ซึ่งครั้งแรกอาจจะซื้อหัวเชื้อมาจากท้องตลาด หรือแบ่งมาจากเพื่อนเกษตรกรที่ทำน้ำหมักเอาไว้) + กากน้ำตาล 5 ลิตร เอาใส่รวมกันในถัง 200 ลิตร ใส่น้ำให้เต็มถัง คนให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ให้ย่อยสลาย ฉีดแล้วทำให้ต้นหน่อไม้ฝรั่งเขียวและออกหน่อดี มีฉีดแคลเซียม-โบรอน เดือนละ 1-2 ครั้ง ตามความเหมาะสม จะช่วยเสริมความแข็งแรงของต้นให้หน่อมีความสมบูรณ์

การเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่ง คุณประจัก เล่าให้ฟังว่า การปลูกหน่อไม้ฝรั่งนั้นแตกต่างจากพืชผัก หรือพืชหมุนเวียนอายุสั้น เพราะหน่อไม้ฝรั่งต้องรอเวลาอย่างน้อย 1 ปี โดย 1 ปีแรก เพียงแต่บำรุงรักษาดูแลต้นให้กอใหญ่สมบูรณ์ จะเริ่มให้ผลผลิตได้เก็บหน่อบ้างในปีที่ 2 รายได้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ จากรายได้วันละหลักร้อย ก็กลายเป็นวันละหลักพันบาท อย่างตนเองแปลงปลูก อายุ 2 ปี ในปีที่ 2 อย่างต่อรอบ (2 เดือน) หรือ 1 มีด ราวๆ 10,000-20,000 บาท แต่ตัวเลขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 1 ปี ที่ผ่านมารวมตัวเงินได้ ราว 80,000 บาท ถือว่าเป็นรายได้ที่ดีพอสมควรเมื่อเทียบกับการทำการเกษตรอย่างอื่นที่มีต้นทุนมากกว่า ทั้งเรื่องของเมล็ดพันธุ์ สารเคมี และการลงแรงที่ทำงานหนักกว่ามาก แต่สำหรับหน่อไม้ฝรั่ง ทำงานเบาและสบายกว่ามาก ถือว่าเหมาะกับอายุของเราที่แก่ตัวลงทุกวัน ที่ฉีดยามากๆ ก็ไม่ไหว แต่พอมาปลูกหน่อไม้ฝรั่งปลอดสารพิษ กลับรู้สึกว่าสบายตัวมากทีเดียว

คุณประจัก เล่า อย่างรายได้จากการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง ยกตัวอย่างเพื่อนเกษตรกรที่มีพื้นที่ปลูกเท่าๆ กัน แต่ปลูกแบบแถวคู่ที่มีจำนวนต้นเยอะกว่า ตอนนี้อายุต้นมากกว่าไม่กี่เดือน สามารถทำผลผลิตได้สูง มีดละ 50,000-60,000 บาท (2 เดือน) ทำให้เรามั่นใจรายได้ในอนาคต ตนเองจึงปลูกเพิ่มอีก 2 ไร่ แต่ปรับระยะปลูกเป็น 2 แถว ต่อร่อง เพื่อให้ได้จำนวนต้นที่มากขึ้น

ส่วนการเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่ง คุณประจัก อธิบายว่า หลังจากที่หน่อไม้ฝรั่งโผล่ออกมาจากดินจนถึงเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ จะใช้เวลาเพียง 2-3 วัน เท่านั้น (หน่อไม้ฝรั่งจะเจริญและยาวในเวลากลางคืน) ดังนั้น เมื่อวันแรกที่พบหน่อไม้ฝรั่งงอกมาจากดิน และมีความสูงประมาณ 2-3 นิ้ว จะต้องเอากรวยพลาสติกที่ทำเหมือนหมวกมาครอบส่วนของยอดหน่อไม้ฝรั่ง กรวยพลาสติกจะช่วยให้ดอกตูม ไม่บาน หลังจากที่สวมหมวกไปได้เพียง 1-2 วัน ก็ต้องถอนเก็บหน่อออกจากแปลงมาจำหน่ายทันที ถ้าปล่อยไว้ส่วนของปลายหน่อจะบาน กลายเป็นหน่อตกเกรด วิธีเก็บเกี่ยวทำได้โดยใช้มือจับโคนหน่อที่ติดกับดิน ที่มีความเขียวที่ 20-25 เซนติเมตร แล้วดึงขึ้นในแนวตรง หากไม่ตรงจะทำให้หน่อหักในระหว่างการเก็บเกี่ยว ระวังอย่าให้หน่อไม้ฝรั่งกระทบกระเทือน จะทำให้หน่อที่เกิดใหม่น้อยลง ไม่ควรจับหน่อแรงเกินไปจะทำให้ช้ำหรือหักได้ ช่วงการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมคือ ช่วงเวลาเช้า ราว 06.00-09.00 น. หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต ต้องนำหน่อไม้ฝรั่งเข้าไว้ในที่ร่ม ไม่ตากแดด มีอากาศถ่ายเทสะดวก นำมาคัดแยกแบ่งเกรดหน่อไม้ฝรั่ง การคัดเกรดต้องล้างมือให้สะอาด ไม่ไว้เล็บยาวหรือสวมถุงมือ ทำความสะอาดโคนหน่อ อย่าให้ปลายหน่อโดนน้ำ ควรใช้น้ำสะอาดหรือน้ำประปาล้างหน่อไม้ฝรั่ง ล้างดินที่ติดมา แล้วนำมาวางเรียงในบล็อกไม้ที่จะกำหนดความยาวของหน่อไม้ฝรั่ง ตัดแต่งให้ยาว 20-25 เซนติเมตร (ความยาวแล้วแต่บริษัทผู้รับซื้อกำหนด) แล้วใช้มีดตัด ก็จะได้หน่อไม้ที่มีความยาวเท่าๆ กันอย่างระมัดระวังอย่าให้ช้ำ ต้องเปลี่ยนน้ำล้างหน่อไม้ฝรั่งทุกครั้งในแต่ละชุด ตัดโคนหน่อให้เสมอกัน ใช้กระดาษหุ้มแล้วมัดด้วยเชือกหรือยาง บล็อกและมีด ต้องทำความสะอาดอยู่เสมอ บรรจุในตะกร้าโปร่ง ให้ยอดตั้งขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ยอดคด ใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำหมาดๆ คลุมไว้ จะเก็บได้นาน ประมาณ 2 ชั่วโมง ถ้าต้องเก็บไว้นานกว่านั้น ให้ใช้ตะกร้าที่บรรจุหน่อไม้ฝรั่งใส่ถังน้ำแข็ง แต่อย่าให้หน่อโดนน้ำ จะเก็บได้นานประมาณ 2 วัน ควรบรรจุไม่เกิน 20 กิโลกรัม ต่อตะกร้า แล้วไปส่งยังจุดรับซื้อของกลุ่ม หรือหากอยู่ห่างไกลจากจุดรับซื้อของกลุ่ม ก็สามารถยืดอายุหน่อไม้ฝรั่งโดยการแช่ตู้เย็นเอาไว้ได้นาน 2-3 วัน เมื่อผลผลิตรวบรวมได้พอสมควรก็นำไปส่งที่จุดรับซื้อ ราคาประกันรับซื้อโดยแบ่งเป็นเกรดๆ อย่าง เกรดเอ (A) รับซื้อที่ กิโลกรัมละ 65 บาท เกรดรองลงมา 60, 55, 50, 45, 40, 30 บาท ตามลำดับของเกรดรับซื้อที่แยกย่อยลงมา

สรุป เคล็ดลับบางประการสำหรับผู้ปลูกหน่อไม้ฝรั่ง

1. หลีกเลี่ยงการใช้ยาฆ่าหญ้าโดยเด็ดขาด ถ้าใช้ยาฆ่าหญ้า หน่อไม้ฝรั่งจะชะงักการแทงหน่อ อย่างน้อย 4 เดือน ต้นจะโทรม บางครั้งถึงยืนต้นตายได้ ต้องระวังเป็นอย่างมาก

2. หลีกเลี่ยงการใช้มูลสัตว์ปีก เช่น มูลไก่ มูลเป็ด มูลค้างคาว เพราะมักจะเป็นเหตุที่ทำให้เกิดโรคจากเชื้อราได้ง่าย และจะทำให้หน่อไม้ฝรั่งออกดอกมาก ก้านดอกยาว เป็นไปได้แนะนำให้ใช้เฉพาะขี้วัว หรือวัวนมเก่าที่ย่อยสลายแล้วจะดีมาก

3. หลีกเลี่ยงใช้แกลบดำ เพราะพืชตระกูลกินหน่อมักไม่ชอบแกลบดำ

4. ใส่ยิปซัม สำหรับบางพื้นที่ ดินที่ใช้ในการเกษตรมานาน ขาดการปรับปรุงบำรุงดินที่เหมาะสม จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข โดยการใช้ยิปซัมเป็นวัสดุปรับปรุงดิน จะช่วยแก้ปัญหาผิวดินจับตัวกันแน่น ทำให้น้ำและอากาศผ่านลงไปในดินชั้นล่างได้ดีขึ้น พืชดูดน้ำและอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการแก้ปัญหาทางเคมีและชีวภาพ ยิปซัมช่วยลดสภาพดินเป็นกรดในดินชั้นล่าง ลดการเกิดโรคพืช ช่วยฟื้นฟูดินเค็มให้กลับมาใช้ปลูกพืชได้เป็นปกติ ยิปซัมนอกจากช่วยปรับสภาพดินแล้ว ยังเป็นแหล่งให้ธาตุแคลเซียม และกำมะถันที่จำเป็น

ปัจจุบันที่มีการใช้ปุ๋ยเคมีในการเพิ่มผลผลิตพืช ระบบการเกษตรแบบประณีต ทำให้ดินขาดความสมดุลของธาตุอาหาร โดยเฉพาะแคลเซียมและกำมะถัน ที่มีอยู่ในดินสูญเสียไปจากการถูกชะล้างจำนวนมากทุกปี การใส่ยิปซัมจะช่วยเสริมสร้างระบบดิน-พืช ให้ดีขึ้นได้

“ประจัก มีลาบ” ปลูกหน่อไม้ฝรั่งปลอดสารพิษ ที่ อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ (ตอนที่ 1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05020150958&srcday=2015-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 607

บันทึกไว้เป็นเกียรติ

ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ

“ประจัก มีลาบ” ปลูกหน่อไม้ฝรั่งปลอดสารพิษ ที่ อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ (ตอนที่ 1)

“หน่อไม้ฝรั่ง” เป็นพืชผักอีกชนิดหนึ่งที่มีราคาค่อนข้างสูง โดยหน่อไม้ฝรั่งเกรดดี หรือเกรดเอ คนในประเทศมักจะไม่ค่อยได้รับประทาน เพราะส่วนใหญ่จะถูกส่งออกขายไปยังต่างประเทศทั้งหมด ประเทศในเขตอบอุ่น เช่น ในยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น จะเก็บหน่อมาใช้ประโยชน์ได้เฉพาะในฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น ในขณะที่ประเทศไทยนั้นได้เปรียบ ซึ่งสามารถปลูกและเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่งได้ตลอดทั้งปี เราจึงควรใช้ความได้เปรียบนี้ผลิตหน่อไม้ฝรั่งเพื่อการส่งออกในช่วงเวลาที่ประเทศเหล่านั้นไม่สามารถเก็บผลผลิตได้ อันเนื่องมาจากฤดูกาลไม่เหมาะสม

เนื่องจากหน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชค่อนข้างใหม่ เทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม สำหรับประเทศไทย อยู่ในขั้นกำลังพัฒนา แม้ว่าจะมีการปลูกหน่อไม้ฝรั่งในประเทศไทยมานานแล้วก็ตาม แต่วิธีการปลูก พันธุ์ที่ใช้ปลูก การปฏิบัติดูแลรักษา ตลอดจนเทคนิคต่างๆ ในการเพิ่มผลผลิตและวิธีการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้หน่อที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดเป็นที่ต้องการของตลาด ยังไม่เป็นที่เปิดเผยมากนัก หน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชผักประเภทใบเลี้ยงเดี่ยวที่มีอายุหลายปี ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์จากหน่อสีขาว หรือหน่อสีเขียว หน่อขาวหรือเขียวนี้ เรียกว่า “สเปียร์” ซึ่งเป็นส่วนของลำต้นหน่อไม้ฝรั่ง

เกษตรกรส่วนใหญ่ในบ้านเราจะอยู่ในระบบการรับประกันราคาจากบริษัทผู้ส่งออกที่ราคามักจะคงที่ ทำให้เกษตรกรไม่ต้องเสี่ยงต่อราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะหน่อไม้ฝรั่งเป็นพืชที่มีความต้องการเป็นอย่างมากในการรับซื้อเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ แต่มีเงื่อนไขสำคัญเพียงอย่างเดียวคือ ต้องปลอดภัยจากสารเคมี ดังนั้น การปลูก และการดูแลรักษาหน่อไม้ฝรั่งของเกษตรกร จึงปรับเปลี่ยนจากการใช้สารเคมีมาเป็นการใช้สารชีวภัณฑ์ หรือสารอินทรีย์ต่างๆ มากำจัดหรือป้องกันโรคและแมลงศัตรูของหน่อไม้ฝรั่ง

ซึ่งปัจจุบัน ทางกรมวิชาการเกษตรมีความก้าวหน้าทางด้านสารชีวภัณฑ์มากขึ้นเป็นลำดับ เกษตรกรจำเป็นต้องปรับตัวจากความคุ้นเคยที่เคยปลูกพืชชนิดอื่นที่เคยใช้สารเคมีมา เช่น นาข้าว ยาสูบ ข้าวโพด ถั่วเหลือง ฯลฯ แต่พอนานวันเกษตรกรที่หันมาปลูกหน่อไม้ฝรั่งแบบปลอดสารพิษ ก็พบว่าไม่ต้องเสียสุขภาพในการที่จะต้องใช้สารเคมีเลย เพราะต้องปลอดสารพิษเท่านั้นจึงจะขายได้ เพราะบริษัทมีการตรวจสอบสารพิษตกค้าง หากตรวจสอบพบสารพิษ ทางบริษัทรับซื้อจะเลิกซื้อเกษตรกรรายนั้นโดยเด็ดขาด ซึ่งเคยมีกรณีแบบนี้มาแล้ว โดยกรณีแบบนี้ส่งผลกระทบทุกๆ ฝ่าย ตั้งแต่ตัวเกษตรกรเองที่จะไม่สามารถนำผลผลิตมาขายให้ยังกลุ่มอีกได้ต่อไป สอง ผู้ส่งออกก็ต้องเสียหาย หากสินค้าเล็ดลอดผ่านการสุ่มตรวจไปได้ เมื่อปลายทางตรวจพบ สินค้าจะถูกตีกลับเลยทีเดียว และส่งผลถึงชื่อเสียงของบริษัทผู้ส่งออกอีกด้วย

ลักษณะทั่วไปของหน่อไม้ฝรั่งนั้น เป็นพืชผักชนิดหนึ่งที่ได้รับความสนใจมากจากเกษตรกร ดังที่กล่าวไว้ตอนต้นว่า เป็นพืชที่มีแนวโน้มในด้านความต้องการของตลาดสูงอย่างต่อเนื่อง ทั้งการส่งออกในรูปหน่อสดและอุตสาหกรรมแปรรูป ดังนั้น เกษตรกรจึงเริ่มหันมาปลูกหน่อไม้ฝรั่งกันมากขึ้นๆ หน่อไม้ฝรั่งที่พบเห็นอยู่ทั่วๆ ไป มีทั้งชนิด “หน่อสีขาว” ซึ่งใช้สำหรับแปรรูป มีปลูกกันมากที่แถวๆ จังหวัดสุพรรณบุรี และชนิด “หน่อสีเขียว” ซึ่งใช้รับประทานสด มีปลูกกันมากที่จังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี นนทบุรี เพชรบูรณ์ และนครราชสีมา

ไม่ว่าจะเป็นหน่อชนิดใดก็ตาม การปลูกจะมาจากหน่อไม้ฝรั่งพันธุ์เดียวกัน หรืออาจจะปลูกจากต่างพันธุ์กันก็ได้ แต่เป็นการใช้เทคนิคจะทำให้ผลผลิตหน่อไม้ฝรั่งเป็นสีขาว หรือสีเขียว ขึ้นอยู่กับวิธีการปฏิบัติเท่านั้นเอง หรือกล่าวได้ว่า หน่อไม้ฝรั่งที่นิยมปลูกกันในประเทศไทย มี 2 ลักษณะ คือ ปลูกแบบหน่อเขียว และปลูกแบบหน่อขาว

1. หน่อเขียว คือหน่อไม้ฝรั่งที่มีการปล่อยให้หน่ออ่อนงอกพ้นเหนือดิน และได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ จึงทำให้ได้หน่อที่มีสีเขียว ปกติจะใช้บริโภคสดหรือแช่แข็ง เพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศ การปลูกหน่อไม้ฝรั่งแบบหน่อเขียวนี้ จะยุ่งยากกว่าหน่อขาว เนื่องจากผู้ปลูกต้องควบคุมคุณภาพของหน่อให้ได้มาตรฐาน คือต้องให้หน่อมีความยาว ประมาณ 25-30 เซนติเมตร และให้มีความเขียวของหน่อไม่ต่ำกว่าปลายยอดลงมา 18 เซนติเมตร นอกจากนี้ ปลายของหน่อซึ่งมีก้านใบเล็กๆ จะต้องไม่บาน หน่อไม่โค้ง หรือคดงอ และมีขนาดเล็กผ่าศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า 0.8 เซนติเมตร จึงจะขายได้ราคาดี

2. หน่อขาว คือหน่อไม้ฝรั่งที่มีการใช้ดินหรืออินทรียวัตถุกลบ หรือคลุมโคนต้น เพื่อไม่ให้หน่ออ่อนถูกแสงแดด จึงทำให้หน่อที่ได้เมื่อถอนออกมามีสีขาว หน่อขาวไม่จำเป็นต้องรักษาคุณภาพในเรื่องรูปร่างและขนาดมากเหมือนกับหน่อเขียว เนื่องจากหน่อขาวจะต้องนำมาลอกเปลือก หรือตัดส่วนที่มีตำหนิออกก่อนที่จะนำไปบรรจุลงในกระป๋อง ดังนั้น หน่อขาวจึงจะขายได้ราคาถูกกว่าหน่อเขียว

คุณประจัก มีลาบ เลขที่ 120/1 หมู่ที่ 8 บ้านทางข้าม ตำบลวังโป่ง อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ โทรศัพท์ (080) 030-1904 อีกหนึ่งตัวอย่างของเกษตรกรที่เปลี่ยนพื้นนามาเริ่มปลูกหน่อไม้ฝรั่ง คุณประจัก เล่าว่า ตนเองเริ่มปลูกหน่อไม้ฝรั่ง วันที่ 18 สิงหาคม 2556 หรือประมาณ 2 ปี ได้เกิดจากความสนใจ ได้ไปดูงานที่บ้านญาติ ที่อำเภอหล่มสัก คือที่นั่นถือเป็นแหล่งปลูกหน่อไม้ฝรั่งแหล่งใหญ่ เห็นว่าปลูกเพียงครั้งเดียวแต่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้นาน 7-10 ปี ก็เริ่มจากซื้อเมล็ดพันธุ์หน่อไม้ฝรั่งจาก อำเภอหล่มสัก ซึ่งเขาเรียกว่า พันธุ์จัมโบ้ แล้วก็เข้าไปสมัครเป็นลูกกลุ่ม ที่บ้านเขาเครือ อำเภอวังโป่ง ซึ่งที่กลุ่มก็จะให้เจ้าหน้าที่ของบริษัท คือ บริษัท สวิฟท์ จำกัด เข้ามาตรวจแปลง สอนวิธีการปลูกให้ เราก็เริ่มปรับพื้นที่ขึ้นแปลงตามคำแนะนำ โดยเริ่มต้นในพื้นที่ 2 ไร่ โดยขึ้นแปลงสูงประมาณ 25-30 เซนติเมตร กว้าง 120 เซนติเมตร เว้นทางเดิน 50 เซนติเมตร ปลูกแบบแถวเดี่ยว ให้ต้นห่างกัน 50 เซนติเมตร

ซึ่งระยะปลูกนี้ คุณประจัก แนะนำว่า ปลูกห่างไป ได้จำนวนต้นน้อย ซึ่งแปลงที่ปลูกใหม่อีก 2 ไร่ ได้เปลี่ยนเป็นปลูกแบบแถวคู่ ซึ่งได้จำนวนต้นมากกว่าเดิมเท่าตัว โดยในครั้งแรกที่ปลูก ได้ซื้อเมล็ดหน่อไม้ฝรั่งมาปลูก จำนวน 300 กรัม ตอนแรกที่เอาเมล็ดมาเพาะ โดยนำเมล็ดมาแช่น้ำอุ่น 1 คืน แล้วนำเมล็ดขึ้นมาผึ่งไว้ให้แห้ง เพื่อจะให้เมล็ดหว่านได้ง่ายไม่ติดมือ จากนั้นเอาไปหว่านในแปลงเพาะกล้าที่เตรียมไว้

การเตรียมแปลงเพาะกล้า ควรเป็นที่โล่งแจ้ง เป็นที่ที่มีการระบายน้ำดี น้ำไม่ท่วมขัง ดินเป็นดินร่วนปนทราย หรือปรับปรุงให้ร่วนซุย โดยการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเก่า (เมื่อเอามือซุกเข้าไปในกองปุ๋ยจะไม่รู้สึกร้อน) เมื่อเลือกที่ได้แล้ว ขุดหรือไถดินให้ลึก เก็บวัชพืชออกให้หมด และตากดินไว้ประมาณ 10-15 วัน จากนั้นจึงย่อยดินให้ละเอียดและใส่วัสดุปรับปรุงดิน

วัสดุปรับปรุงดิน ใช้ต่อพื้นที่เพาะกล้า 1 ตารางเมตร ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 2 กิโลกรัม ปุ๋ยเคมี สูตร 16-16-16 ประมาณ 30 กรัม (10 ช้อนแกง) ปูนขาว 10 กรัม (3-4 ช้อนชา) คลุกเคล้าวัสดุปรับปรุงดิน ยกแปลงให้สูงประมาณ 30 เซนติเมตร ขนาดกว้าง 1.5 เมตร เกลี่ยดินบนแปลงให้เรียบ ใช้ไม้ไผ่หรือไม้ระแนงทำร่องในแนวขวางแปลง โดยใช้ไม้ชักร่อง กดลงลึกประมาณ 1 เซนติเมตร ให้แต่ละร่องห่างกัน 15-20 เซนติเมตร นำเมล็ดหน่อไม้ฝรั่งมาหยอดลงในร่องที่เตรียมไว้ หยอดเมล็ดเป็นจุด จุดละ 1 เมล็ด ห่างกันจุดละ 10 เซนติเมตร (1 คืบมือ)

จากนั้นกลบเมล็ดโดยใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้เขี่ยดินรอบร่องลงกลบในร่องบางๆ แล้วใช้ฟางคลุมทับบนแปลงหนาพอประมาณ ละลายยาป้องกันเชื้อรา เช่น เมอร์แพน อัตรา 2 ช้อนแกง ต่อน้ำ 10 ลิตร ใส่บัวรดน้ำราดให้ทั่วแปลง รดน้ำตามให้ชุ่ม ระยะแรกๆ จะต้องรดน้ำให้บ่อยครั้ง อย่าให้แปลงแห้ง หลังจากหยอดเมล็ดได้ประมาณ 10-15 วัน ต้นกล้าจะเริ่มงอก เปิดฟางออกบ้าง ให้เหลือฟางเพียงบางๆ เพื่อให้ต้นกล้างอกได้สะดวก

หน่อไม้ฝรั่งต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอ ให้ต้นกล้าได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอ ไม่แฉะหรือแห้งจนเกินไป และอย่าให้น้ำฉีดโดนต้นอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้ต้นกล้าบอบช้ำ ทำให้โรคเข้าทำลายได้ง่าย เลี้ยงกล้านาน 6-8 เดือน ให้กล้ามีความแข็งแรง ก็จะเหมาะต่อการย้ายกล้าไปปลูก

การเตรียมกล้าก่อนการย้ายปลูก จะต้องงดให้น้ำในแปลงกล้า ประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อที่จะทำให้รากมีความเหนียว ไม่เปราะ หรือขาดง่าย ก่อนถึงวันกำหนดย้ายกล้า 2-3 วัน ควรให้น้ำเพื่อให้ดินอ่อนตัว จะได้ขุดต้นได้ง่าย และควรตัดลำต้นเหนือดินออกให้หมด โดยตัดให้เหลือส่วนที่อยู่เหนือดิน ประมาณ 15-30 เซนติเมตร ควรตัดด้วยความระมัดระวังอย่าให้กระทบกระเทือนต่อลำต้นใต้ดิน การใช้กรรไกรตัดหญ้าที่คมๆ จะทำให้กระทบกระเทือนต่อลำต้นที่อยู่ใต้ดินน้อยกว่าการตัดด้วยมีดหรือวิธีอื่นๆ

การขุดต้นกล้า ควรใช้จอบขุดดินให้ห่างจากบริเวณรากให้มากที่สุด แล้วแยกเอาดินที่ติดรากออกด้วยความนุ่มนวล หากมีการเตรียมดินในแปลงเพาะกล้าเป็นอย่างดี คือมีความร่วนซุยดี ดินที่เกาะติดรากอยู่จะหลุดร่วงโดยง่าย หรืออาจจะทำความสะอาดรากโดยการนำไปล้างน้ำก็ได้ เมื่อรากสะอาดดีแล้วนำต้นกล้าไปแช่ไว้ในน้ำที่มีส่วนผสมของสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น เบนเลท หรือ แคปแทน ฯลฯ อย่างน้อย 10 นาที จากนั้นจึงนำมาผึ่งให้แห้งก่อนที่จะนำมาปลูกในแปลงได้

คุณประจัก แนะนำว่า ควรย้ายกล้าในช่วงเย็นจะดี เพราะแดดไม่ร้อนมากนัก แต่ก่อนจะปลูก แปลงปลูกจะต้องพร้อม ระบบน้ำจะต้องสมบูรณ์ อย่างระบบน้ำจะเดินเป็นสายน้ำหยด โดยติดตั้งหัวน้ำแบบมินิสปริงเกลอร์ที่จะให้น้ำแบบรูปพัดหรือรูปตัววี (V) ขนานไปกับแนวปลูกของต้นโดยไม่ให้น้ำกระจายทั้งแปลง เพื่อลดปริมาณของหญ้าวัชพืชที่จะขึ้นบนแปลงปลูก การวางสายน้ำจะยกลอยให้สูงขึ้นจากพื้น ราว 50 เซนติเมตร ส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือ สายน้ำหยดที่จะใช้สำหรับให้ปุ๋ยโดยเฉพาะ จะแยกเส้นออกจากระบบน้ำเพื่อลดปัญหาการอุดตันของท่อน้ำหยด โดยการให้ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยน้ำหมักผ่านท่อน้ำหยด อาจจะมีตะกอนที่ทำให้สายยางอุดตันได้ โดยจะวางสายยกลอยจากพื้นแปลงขึ้นมา ราว 15 เซนติเมตร

สรุปว่า แปลงปลูกหน่อไม้ฝรั่งจะใช้วิธีการเดินสายให้น้ำและให้ปุ๋ยแยกเส้นกัน เพื่อความสะดวกและง่ายต่อการจัดการ เพราะต้องทำกันสองคนกับภรรยา โดยไม่ได้จ้างแรงงานเข้ามาช่วย

การเตรียมดินปลูก จะใช้รถแทรกเตอร์ผ่าน 3 ไถดะ ลึกประมาณ 30-40 เซนติเมตร ตากดินทิ้งไว้ 15-30 วัน เพื่อกำจัดวัชพืชและโรคแมลงในดิน ใส่วัตถุปรับโครงสร้างดิน เช่น เปลือกถั่วต่างๆ ซังข้าวโพด แกลบ อัตรา 3-4 ตัน/ไร่ หรือใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ในดินร่วนและดินทราย อัตรา 3 ตัน/ไร่ ไถพรวนหว่านพืชตระกูลถั่ว กรณีใช้แกลบดิน ควรหมักในดินไม่ต่ำกว่า 4 เดือน เพื่อช่วยให้ดินโปร่ง ร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดี ระบายน้ำดี แล้วจึงไถยกร่องแปลงปลูก ขนาดกว้าง 1.20 เมตร ตามแนวพื้นที่ แต่ไม่ควรยาวเกิน 50 เมตร เพราะจัดการแปลงได้ยาก

การทำราวเชือก ถือเป็นสิ่งจำเป็นหลังจากปลูกได้ 3-4 เดือน ควรทำราวเชือกเพื่อค้ำทรงต้น โดยปักเสาตำแหน่งหัวท้ายแปลงตรงกับแถวที่ปลูก ขึงเชือกไนล่อนเป็นระยะ ยาว 2-3 แถว เพื่อค้ำลำต้นไม่ให้ล้ม หรือส่งผลให้ต้นกระทบกระเทือน เพราะถ้าต้นล้มเสียหายย่อมส่งผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิต

ในช่วงแรก งานหลักๆ คือ การป้องกันกำจัดวัชพืช พยายามหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีทุกชนิด ควบคุมกำจัดวัชพืชใช้วิธีกล เช่น การเตรียมดินที่ดี การถอนด้วยมือ และวิธีเขตกรรมอื่นๆ โดยคุณประจัก มีลาบ จะใช้การคุมโคนและแปลงปลูกด้วยแกลบดิบให้หนา เพื่อทำให้หญ้าขึ้นน้อยลง

การขยายพันธุ์มะเดื่อฝรั่ง ด้วยรูปภาพ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05028010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606

บันทึกไว้เป็นเกียรติ

ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ

การขยายพันธุ์มะเดื่อฝรั่ง ด้วยรูปภาพ

การขยายพันธุ์พืช เกษตรกรสามารถฝึกหรือลองทำเองได้โดยอาศัยความชำนาญในการฝึกทำบ่อยๆ ก็จะได้ผลดี มีเปอร์เซ็นต์การรอดและการติดดีขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ และทราบถึงข้อผิดพลาดที่ทำแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ นำกลับมาแก้ไขในการขยายพันธุ์ครั้งต่อๆ ไป

การขยายพันธุ์พืชในประเทศไทย น่าจะเป็นประเทศที่มีความหลากหลายวิธีในการขยายพันธุ์ เราสามารถขยายพันธุ์พืชได้เกือบทุกชนิดด้วยวิธีต่างๆ การขยายพันธุ์พื้นฐานที่เห็นบ่อยและนิยมทำกันคือ การตอนกิ่ง ปักชำ การทาบกิ่ง เสียบยอด และติดตา โดยวิธีการเหล่านี้ยังประยุกต์แยกย่อยไปอีกจำนวนมาก เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในแต่ละพืชและขนาดของพืช ท่านสามารถขยายพันธุ์ต้นไม้ พันธุ์พืชที่ปลูกไว้ภายในบ้านให้มีจำนวนมากขึ้นโดยที่ไม่ต้องไปซื้อหามาเพิ่ม หรือท่านสามารถเปลี่ยนต้นไม้ให้มีหลายๆ สายพันธุ์ในต้นเดียวกัน เช่น เปลี่ยนยอดมะม่วงแฟนซี คือมีมะม่วงหลายๆ สายพันธุ์ในต้นเดียวกัน

การขยายพันธุ์มะเดื่อฝรั่ง หรือ ต้นฟิกส์ (Figs) ผลไม้ที่มาแรงชนิดหนึ่งในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา ด้วยเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์ค่อนข้างมาก นิยมรับประทานกันทั่วโลก เป็นผลไม้ที่จัดให้เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ 1 ใน 10 ของโลก ปลูกง่าย แม้แต่ปลูกในกระถาง หรือวงบ่อปูน ก็สามารถให้ผลได้ เก็บรับประทานหลังจากปลูกเพียง 6 เดือน เท่านั้น รสชาติหวานถูกปากคนไทยพอสมควร อีกทั้งมีสายพันธุ์นับร้อยสายพันธุ์ที่ได้นำเข้ามาปลูกเพิ่มในบ้านเราขณะนี้ บางท่านที่ต้องการขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนต้นมะเดื่อฝรั่ง ก็เริ่มได้จากการปักชำ ตอนกิ่ง หรือที่พิเศษที่ต้องการให้ต้นมะเดื่อฝรั่งแข็งแรง อายุยืน เราได้นำเสนอวิธีการติดตามะเดื่อฝรั่งบนต้นตอมะเดื่อป่า หรือมะเดื่อพื้นบ้านที่หาได้ง่ายในบ้านเรา โดยที่สวนคุณลี จังหวัดพิจิตร ที่ปลูกมะเดื่อฝรั่ง มานาน 10 ปี ได้นำเทคนิคดังกล่าวมาเผยแพร่ถึงขั้นตอนการติดตาด้วยรูปภาพที่เข้าใจได้ง่าย

กิ่งมะเดื่อฝรั่งที่ได้จากการปักชำ

มะเดื่อฝรั่งสายพันธุ์ญี่ปุ่นที่ได้จากการติดตาบนตอมะเดื่อป่า อายุ 10 ปี ที่สวนคุณลี จังหวัดพิจิตร

มะเดื่อฝรั่ง เป็นผลไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีมากและติดผลดีในบ้านเรา

การติดตามะเดื่อฝรั่งบนต้นตอมะเดื่อป่า

1. ตามะเดื่อฝรั่งพันธุ์ดี ที่เหมาะสมต้องมีตานูนเขียว

2. กรีดเปลือกโดยรอบแผ่นตามะเดื่อฝรั่ง ดังรูป แต่ยังไม่ต้องแกะตาออกจากเนื้อไม้ เพื่อไม่ให้แผ่นตาแห้ง

3. กรีดเปลือกมะเดื่อป่า ให้มีขนาดเท่าๆ แผ่นตามะเดื่อฝรั่งที่จะนำมาติด

4. ใช้ทิชชูซับน้ำยางผลมะเดื่อป่าออก

5. ลอกเปลือกแผ่นตามะเดื่อฝรั่งพันธุ์ดี

6. วิธีการใช้ปลายมีดบิดงัดแผ่นตาออกจากเนื้อไม้

7. แผ่นตาที่แกะลอกออกมา ไม่ควรให้มือสัมผัสโดนแผ่นตาด้านในเด็ดขาด ให้จับบริเวณข้างๆ แทน

8. นำแผ่นตามะเดื่อฝรั่งพันธุ์ดีมาวางลงบนแผลของต้นตอมะเดื่อป่า

9. พันเทปพลาสติกจากด้านล่างขึ้นด้านบนให้แน่น

10. การพันต้องเว้นตามะเดื่อฝรั่งให้โผล่ออกมา ดังรูป

11. เพียง 10-15 วัน ตาของมะเดื่อฝรั่งก็จะแตกยอดออกมา

12. เมื่อเห็นว่าแผลเชื่อมติดกันสนิท ก็ให้แกะเอาเทปพลาสติกออก

13. ยอดมะเดื่อฝรั่งที่ติดตาบนตอมะเดื่ออุทุมพร

14. ต้นมะเดื่อญี่ปุ่น ที่ใช้ตอนตอมะเดื่ออุทุมพร อายุ 10 ปี

การตอนกิ่ง

1. อุปกรณ์ในการเตรียมตอนกิ่งมะเดื่อฝรั่ง ตุ้มขุยมะพร้าวแช่น้ำ เชือกฟาง มีดขยายพันธุ์ และกรรไกรตัดกิ่ง

2. เลือกกิ่งที่สวย กิ่งกึ่งอ่อนกึ่งแก่จะเหมาะสมที่สุด

3. ใช้คมมีดขูดเยื่อเจริญออก ขูดจากบนลงล่างเบาๆ ให้ทั่ว

4. ใช้น้ำยาเร่งรากทาแผลด้านบน เพราะเป็นจุดกำเนิดราก

5. ใช้มีดผ่ากลางถุงขุยมะพร้าวแช่น้ำอัดตุ้ม ตามรูป

6. ประกบตุ้มขุยมะพร้าวเข้ากับรอยควั่น ใช้เชือกฟางผูกมัดตุ้มขุยมะพร้าวให้แน่น

7. ใช้เชือกฟางมัดให้แน่น ทั้งด้านล่างและด้านบน

8. เสร็จสิ้นการตอนกิ่งมะเดื่อฝรั่ง

9. กิ่งตอนที่สามารถตอนได้ทั้งปี แต่นิยมตอนกันช่วงหน้าฝน เพราะออกรากเร็วและตุ้มขุยมะพร้าวไม่แห้งง่าย

10. กิ่งตอนที่ตอนได้ 20-30 วัน เมื่อเห็นว่ารากมีมากพอ และมีสีขาวอมน้ำตาลก็จะสามารถตัดมาชำอนุบาลได้

11. นำกิ่งตอนมาชำในวัสดุปลูก แล้ววางเรียงอนุบาลใต้ซาแรนดำ 80 เปอร์เซ็นต์ หมั่นรดน้ำให้ความชื้น

12. หลังอนุบาลกิ่งตอนได้ราว 30-45 วัน กิ่งตอนก็จะงอกราก แตกใบ แข็งแรง พร้อมนำไปปลูก

การปักชำ

1. ตัดแต่งโคนกิ่งใหม่เพื่อให้แผลสด และสามารถดูดซึมน้ำยาเร่งรากได้ดี

2. แผลตัดใหม่ที่โคนกิ่ง

3. ใช้มีดกรีดเปลือก 3-5 รอย เพื่อเป็นจุดกำเนิดรากใหม่

4. น้ำยาเร่งรากผสมน้ำใช้แช่ท่อนพันธุ์

5. เอาโคนกิ่งจุ่มน้ำยาเร่งรากสัก 10-15 นาที แล้วนำขึ้นมาผึ่งลมให้แห้ง

6. ใช้ไม้แทงถุงชำให้เป็นรู ก่อนนำกิ่งมะเดื่อปักลงไป

7. ปักกิ่งมะเดื่อฝรั่ง ลึกราว 1 ใน 3 ของความยาวกิ่ง ใช้นิ้วกดดินให้แน่น

8. รดน้ำให้ชุ่มเพียงครั้งเดียว ทิ้งไว้สัก 30 นาที ก่อนนำไปอบในถุง

9. กรณีโรงเรือนไม่มี สามารถอบในถุงร้อนแล้วไว้ในร่ม หรือใต้ร่มไม้ใหญ่ หรืออบในกล่องโฟม ถังพลาสติก วงบ่อปิดฝาก็ได้

10. กิ่งมะเดื่อปักชำ อายุ 25 วัน

สนใจ กิ่งพันธุ์มะเดื่อฝรั่ง ติดต่อได้ที่ สวนคุณลี โทร. (081) 901-3760

การจัดการโรค และแมลงศัตรูแตงกวา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05020150858&srcday=2015-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 605

บันทึกไว้เป็นเกียรติ

ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ

การจัดการโรค และแมลงศัตรูแตงกวา

ปัจจุบัน พฤติกรรมในการบริโภคแตงกวาของคนไทย จะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ “แตงกวาผลสั้น” ซึ่งจะมีความยาวของผลเฉลี่ยจากหัวถึงท้าย ประมาณ 10-12 เซนติเมตร อีกกลุ่มหนึ่งคือ “แตงกวาผลยาว” จะมีความยาวของผล ตั้งแต่ 15 เซนติเมตร ขึ้นไป เช่น แตงร้าน เป็นต้น ภาพรวมของสายพันธุ์แตงกวาที่ดี ว่า “มีเนื้อแน่น เมล็ดลีบ รสชาติอร่อย วางขายอยู่ในตลาดได้นานในสภาพอุณหภูมิปกติ เป็นสายพันธุ์ที่มีความทนทานต่อโรค และปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้ดี” งานพัฒนาสายพันธุ์แตงกวาในบ้านเรามีความก้าวหน้าไปมาก และเมล็ดพันธุ์แตงกวาที่วางขายในท้องตลาด ซึ่งเกือบทั้งหมดผลิตโดยภาคเอกชนจะเป็นลูกผสมทั้งหมด ซึ่งจะมีความแน่นอนในเรื่องของผลผลิต ไม่เกิดความแปรปรวนเหมือนกับพันธุ์ผสมเปิด

ปลูกแตงกวาอย่างไร ให้ประสบความสำเร็จ

จากที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้นว่า สายพันธุ์แตงกวาที่มีขายในท้องตลาดขณะนี้ เป็นสายพันธุ์ลูกผสม เกษตรกรที่ปลูกแตงกวาจะต้องมีความเข้าใจเบื้องต้นว่า แตงกวาพันธุ์ลูกผสมจะมีความต้องการปุ๋ยมากพอสมควร จะต้องมีการใส่ปุ๋ยให้ถูกจังหวะของการเจริญเติบโต โดยปกติแล้วการปลูกแตงกวาของเกษตรกรไทยมักจะปลูกกันในช่วงฤดูฝน เนื่องจากมีการเจริญเติบโตเร็วกว่าฤดูอื่น แต่ในช่วงฤดูฝนมักจะพบปัญหาเกี่ยวกับโรคโคนเน่า รากเน่า โรคราน้ำค้าง และยังพบอาการผิดปกติอื่นๆ เช่น มีปริมาณของดอกตัวผู้มาก และต้นแตงกวามักจะพบอาการบ้าใบ เกษตรกรที่ปลูกแตงกวาควรจะต้องรู้นิสัยของแตงกวาและอายุการเก็บเกี่ยว และยังได้อธิบายหลักการกว้างๆ ของการปลูกแตงกวาเพื่อให้เกษตรกรบำรุงรักษาให้ถูกช่วงเวลาที่ถูกต้อง เช่น ระยะเตรียมดิน เกษตรกรควรจะใส่ปุ๋ยคอก อัตรา 1-2 ตัน ต่อไร่ รองก้นหลุมก่อนปลูกด้วยปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 หรือใช้ สูตร 12-24-12 อัตรา 1 ช้อนชา ต่อหลุม หรือประมาณ 20-30 กิโลกรัม ต่อไร่ “หลังย้ายปลูก” 7 วัน เร่งการเจริญเติบโตของต้นแตงกวาด้วยปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เช่น ยูเรีย (สูตร 46-0-0) โรยให้ทั่วบริเวณแปลงปลูก ในอัตรา 20-30 กิโลกรัม ต่อไร่ และ “ระยะแตงกวาออกดอก” คือประมาณ 25 วัน หลังจากปลูกแนะนำให้ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 หรือ สูตร 12-24-12 อัตรา 20-30 กิโลกรัม ต่อไร่ เป็นต้น

แมลงศัตรูพืชที่สำคัญของแตงกวา ได้แก่

“แมลงหวี่ขาว” ซึ่งเป็นแมลงที่หากินอยู่ในท้องนา พอเข้าเดือนมีนาคม หมดฤดูทำนา แมลงหวี่ขาวก็จะหันโจมตีแปลงปลูกแตงกวาแทน ปัญหาแมลงหวี่ขาวสามารถแก้ไขได้โดยใช้ยาอะบาเม็กติน ฉีดพ่นในช่วงเย็น ระหว่างเวลา 17.00-19.00 น. เพราะแมลงหวี่ขาวจะออกมาหากินในระยะเวลานี้ ถ้าฉีดยาตรงเวลาที่แมลงหวี่ขาวออกมารบกวนก็จะได้ผลผลิตที่ดี แตงกวาก็จะไม่เสียหายง่าย

“ด้วงเต่าแตง” (เกษตรกรมักเรียก แมงเต่าทอง) เป็นแมลงศัตรูพืชที่สำคัญของพืชตระกูลแตง เพราะแมลงพวกนี้จะเข้าทำลายแตงกวาในระยะต้นอ่อน ทำให้พืชได้รับความเสียหาย การป้องกันกำจัด ใช้เมโทมิล (ชื่อการค้า แลนเนท) ฉีดพ่น อัตราส่วนดูได้จากผลิตภัณฑ์ที่ใช้ “พวกหนอนต่างๆ” ใช้ยาอะบาเม็กติน ฉีดพ่นสลับกันกับยาตัวอื่น เพื่อป้องกันการดื้อยา

“เพลี้ยไฟ” ลักษณะเป็นแมลงขนาดเล็ก ตัวสีน้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลแก่ พบตามยอดใบอ่อน ดอก และผลอ่อน การทำลาย ดูดน้ำเลี้ยงที่ใบ ดอกอ่อน และยอดอ่อน ทำให้ใบม้วนหงิกงอ รูปร่างผิดปกติเป็นกระจุก มีสีสลับเขียวเป็นทาง ระบาดมากในช่วงที่มีอากาศแห้งแล้ง ฝนทิ้งช่วง นับเป็นแมลงที่เป็นปัญหาสำคัญที่สุดในการปลูกแตงกวา การป้องกันกำจัด ให้น้ำเพิ่มความชื้นในแปลงปลูก โดยให้น้ำเป็นฝอยตอนเช้าและตอนเย็น จะช่วยลดปัญหาของเพลี้ยไฟได้ ใช้สารฆ่าแมลง คือ สารสตาร์เกิล-จี ซัลแฟน 1 ช้อนชา ต่อหลุม ใส่พร้อมกับการหยอดเมล็ด จะป้องกันได้ประมาณ 2 สัปดาห์

กรณีที่เริ่มมีการระบาด ให้ใช้สารฆ่าแมลง ได้แก่ อิมิดาคลอพริด (โปรวาโด, โคฮินอร์ เอ็กซ์, เสือพรีอุส) ฟิโพรนิล (เฟอร์แบน), คาร์โบซัลแฟน (โกลไฟท์) เป็นต้น

“ไรแดง” ลักษณะไม่ได้เป็นแมลง แต่เป็นสัตว์ที่มีขา 8 ขา มีขนาดเล็กมาก มองเห็นเป็นจุดสีแดง การทำลาย ดูดน้ำเลี้ยงที่ใบและยอดอ่อน ทำให้ใบเป็นจุดด่างมีสีซีด โดยจะอยู่ใต้ใบเข้าทำลายร่วมกับเพลี้ยไฟ และเพลี้ยอ่อน มักระบาดมากในช่วงอากาศร้อนและแห้ง ซึ่งเป็นตอนที่พืชขาดน้ำ การป้องกันกำจัด ใช้สารเคมีกำจัดไรแดง ได้แก่ โอไมต์

“เพลี้ยอ่อน” ลักษณะเป็นแมลงขนาดเล็ก ลำตัวคล้ายผลฝรั่ง มีท่อเล็กๆ ยื่นยาวออกไปทางส่วนท้ายของลำตัว 2 ท่อน เป็นแมลงปากดูด ตัวอ่อนสีเขียว ตัวแก่สีดำและมีปีก การทำลาย ดูดน้ำเลี้ยงที่ใบและยอดอ่อน ทำให้ใบม้วน ต้นแคระแกร็น และยังเป็นพาหะนำไวรัสด้วย มักระบาดมากในช่วงอากาศร้อนและแห้ง ซึ่งเป็นตอนที่พืชขาดน้ำ โดยมีมดเป็นตัวนำ หรือการบินย้ายที่ของตัวแก่ การป้องกันกำจัด ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลง เช่นเดียวกับการป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟ

“เต่าแตงแดง และ เต่าแตงดำ” ลักษณะเป็นแมลงปีกแข็ง ปีกมีสีส้มแดงและสีดำเข้ม ตัวมีขนาดเล็ก ยาวประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตร อาศัยอยู่ตามกอข้าวที่เกี่ยวแล้วในนา หรือตามกอหญ้า การทำลาย กัดกินใบตั้งแต่ระยะใบเลี้ยงจนกระทั่งต้นโต ทำให้เป็นแผลและเป็นพาหะของโรคเหี่ยวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียด้วย ตัวเมียวางไข่บริเวณโคนต้น ตัวหนอนกัดกินราก การป้องกันกำจัด ควรทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของแมลง รวมทั้งเศษซากแตงหลังการเก็บเกี่ยว ใช้สารเคมีฉีดพ่น ได้แก่ เซฟวิน 85

การป้องกันกำจัดศัตรูพืช

ควรพ่นยาป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟ เต่าแตง แมลงวันทอง โดยใช้ยาพวกคาร์บาริล (เซฟวิน) และยาพวกคาร์โบซัลแฟน (โกลไฟท์) พ่นสัปดาห์ละครั้งสลับกัน แต่ถ้ามีเพลี้ยไฟระบาด ควรพ่นทุกๆ 5-7 วัน ควรพ่นยาพวกแมนโคเซบ เพื่อป้องกันโรคทางใบ สัปดาห์ละครั้ง โดยอาจพ่นร่วมกับการพ่นยาฆ่าแมลงการป้องกันกำจัดโรคราน้ำค้าง วิธีป้องกันที่ดีคือ คลุกเมล็ดแตงกวาก่อนปลูกด้วยสารพวกเมทาแลกซิล โดยใช้เมล็ด 1 กิโลกรัม ต่อยา 7 กรัม ซึ่งจะป้องกันโรคในระยะเดือนแรกได้ดี หลังจากนั้นควรพ่นยาป้องกัน เช่น แมนโคเซบ (แมนเซท-ดี) ทุกๆ 7 วัน

โรคที่สำคัญ ได้แก่ “โรคใบด่าง” เกิดจากเชื้อไวรัส สาเหตุอาจจะติดมาจากเมล็ดพันธุ์ ซึ่งโรคนี้พบได้ทุกแปลงปลูกแตงกวา ลักษณะอาการจะปรากฏที่ใบเลี้ยงคู่แรก หรือใบจริงคู่แรก โดยอาการใบมีสีเหลืองสลับกับสีเขียวอ่อน หรือขาวซีด ทำให้ต้นกล้าที่เกิดขึ้นมาแคระแกร็น โรคนี้โดยส่วนใหญ่จะมีแมลงตระกูลเพลี้ยเป็นพาหะ วิธีการแก้ไขในเบื้องต้น เมื่อพบต้นแตงกวามีลักษณะอาการดังกล่าว ให้ถอนต้นใส่กระสอบให้มิดชิด นำออกมานอกแปลงแล้วเผาทำลาย ป้องกันและกำจัดแมลงพาหะ โดยเฉพาะแมลงตระกูลเพลี้ยต่างๆ ซึ่งแมลงเหล่านี้อาจจะนำเชื้อไวรัสมาจากที่อื่นแล้วมาแพร่เชื้อในแปลงปลูกของเรา หรืออาจจะติดเชื้อจากแปลงเราแล้วนำพาเชื้อให้กระจายไปทั่วภายในแปลงปลูก ควรมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้แตงกวาขาดน้ำ

หากเกษตรกรผู้ปลูกแตงกวาสังเกตจะพบว่า ส่วนใหญ่ต้นแตงกวาที่แสดงอาการของไวรัสจะเป็นแตงกวาบริเวณต้นแถวและท้ายแถวปลูก เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นบริเวณที่ไม่ค่อยได้รับการรดน้ำอย่างเต็มที่ ทำให้แตงกวาขาดความแข็งแรง ไม่เจริญเติบโต จึงแสดงอาการของไวรัส

หากพบว่า แตงกวามีลักษณะอาการต้นแคระแกร็น ใบเหลือง ด่าง ยอดแตงกวาไม่คืบ วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดก็คือ ตัดสินใจถอนต้นแตงกวานั้นตั้งแต่เล็กๆ ใส่กระสอบให้มิดชิด แล้วเผาไฟทิ้งเสีย อย่าปล่อยไว้จนระบาดไปทั่วแปลง แล้วจะแก้ไขไม่ทัน

“โรคราน้ำค้าง” หรือเกษตรกรนิยมเรียกว่า “โรคใบลาย” ลักษณะอาการ เริ่มเป็นจุดสีเหลืองบนใบ แผลนั้นจะขยายออกเป็นเหลี่ยมในระหว่างเส้นใบ ถ้าเป็นมากๆ แผลลามไปทั้งใบ ทำให้ใบแห้งตาย ในตอนเช้าที่มีหมอกน้ำค้างจัดช่วงหลังฝนตกติดต่อกัน ทำให้มีความชื้นสูงในบริเวณปลูก จะพบว่าใต้ใบตรงตำแหน่งของแผลจะมีเส้นใยสีขาวเกาะเป็นกลุ่ม และมีสปอร์เป็นผงสีดำ ซึ่งจะเกิดมากในช่วงของการจับยอดแตง เพราะถ้าสัมผัสใบแตงที่เป็นแล้วไปจับใบอื่นๆ โรคชนิดนี้ก็จะลามไปทั่วแปลงอย่างรวดเร็ว วิธีป้องกัน ใช้สารอีทาบ็อกแซม (ชื่อการค้า “โบคุ่ม”) ฉีดพ่นสลับกับพวกแมนโคเซบ หรือ เมทาแลกซิล หรือ มาเนบ ฉีดสลับกันเพื่อป้องกัน ซึ่งจะระบาดมากช่วงหน้าฝนกับช่วงฤดูหนาว เป็นโรคที่ระบาดมากในการปลูกแตงกวา

“โรคราแป้ง” ลักษณะอาการ มักเกิดใบล่างก่อนในระยะที่ผลโตแล้ว บนใบจะพบราสีขาวคล้ายผงแป้งคลุมอยู่เป็นหย่อมๆ กระจายทั่วไป เมื่อรุนแรงจะคลุมเต็มผิวใบ ทำให้ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วแห้งตาย การป้องกันกำจัด ใช้สารเคมี เช่น ซีสเทน 24 อี ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาด

ต้องใช้เครื่องพ่นยาเบนซินในการฉีดพ่น เพราะแรงลมจากเครื่องจะทำให้ใบเปิดออก เพราะโรคชนิดนี้จะเกิดบริเวณใต้ใบของพืช ทำให้ต้องอาศัยแรงเครื่องยนต์พ่นเพื่อให้ใต้ใบสัมผัสกับยา ลุงเม็ง มีลาภ กล่าวทิ้งทายว่า อาชีพปลูกแตงกวานั้นยังมีความน่าสนใจ สร้างรายได้เร็ว บางครั้งโดนจังหวะของขาดตลาด เกษตรกรได้ราคาดี อายุสั้น ปลูกจนเก็บเกี่ยวหมดเพียง 2 เดือน เท่านั้น หากผิดพลาดเกษตรกรยังสามารถแก้ตัวใหม่ได้เร็ว อุปกรณ์ เช่น ระบบน้ำ ไม้ไผ่ ตาข่าย ฯลฯ ยังสามารถใช้ได้นานหลายรุ่น

ปัญหาและอุปสรรค ในการปลูกแตงกวาในประเทศไทย

โดยทั่วไปในการปลูกแตงกวาในเชิงพาณิชย์ ในพื้นที่ปลูกแตงกวา 1 ไร่ จะใช้เมล็ดพันธุ์ ประมาณ 100 กรัม (1 ขีด) แตงกวาจัดเป็นพืชผักอายุสั้น หลังจากลงหลุมปลูกใช้เวลาเพียง 30-45 วัน เริ่มเก็บผลผลิตได้และจะเก็บได้นาน ประมาณ 20-30 วัน เกษตรกรที่ปลูกแตงกวาเป็นอาชีพจะปลูกแตงกวา ปีละ 4 รุ่น สำหรับปัญหาและอุปสรรคในการปลูกแตงกวานั้น อาจารย์ดำเกิง บอกว่า จะมีปัญหาในแต่ฤดูกาลที่ปลูกแตกต่างกันออกไป ถ้าปลูกแตงกวาในช่วงฤดูแล้งหรือปลูกในช่วงอากาศแห้ง หรือฝนทิ้งช่วง เช่น เกษตรกรปลูกแตงกวาในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ มักจะพบปัญหาเรื่องแมลงศัตรูระบาดทำลาย โดยเฉพาะ “เพลี้ยไฟ” จะดูดน้ำเลี้ยงที่ใบ ดอก และยอดอ่อน ทำให้ใบม้วนหงิกงอ เพลี้ยไฟ จัดเป็นแมลงศัตรูสำคัญของการปลูกแตงกวา ดังนั้น เมื่อเกษตรกรปลูกแตงกวาในช่วงฤดูแล้งจะต้องใช้สารป้องกันและกำจัดเพลี้ยไฟมากขึ้นกว่าฤดูกาลอื่น ทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นตามไปด้วย แต่ถ้าเกษตรกรปลูกแตงกวาในช่วงฤดูฝนมักจะพบปัญหาเรื่อง “โรคราน้ำค้าง” หรือที่เกษตรกรเรียก “โรคใบลาย” ถ้าระบาดรุนแรง ทำให้ใบแห้งตาย วิธีการสังเกตช่วงเวลาที่จะเกิดโรคนี้ก็คือ สังเกตในช่วงเวลาเช้า ถ้ามีน้ำค้างลงจัด (ช่วงที่อากาศมีความชื้นสูง) หลังจากฝนตกเกษตรกรจะต้องหมั่นตรวจดูบริเวณใต้ใบแตงกวาว่ามีเส้นใยสีขาวเกาะเป็นกลุ่ม และมีสปอร์หรือไม่ ดังนั้น การปลูกแตงกวาในช่วงฤดูฝน เกษตรกรต้องมีต้นทุนในการผลิตในการซื้อสารป้องกันและกำจัดเชื้อรามากขึ้น

แจกฟรี หนังสือ “ปลูกแตงกวา 2 เดือน ได้เงิน 50,000 บาท” สนใจติดต่อได้ ที่ ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร โทร. (056) 613-021, (081) 886-7398