แปะตำปึง ยอดสมุนไพรครอบจักรวาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05058151159&srcday=2016-11-15&search=no

วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 635

พืชพื้นบ้านเป็นทั้งอาหารและยา

สมิทธิชัย สุกปลั่ง

แปะตำปึง ยอดสมุนไพรครอบจักรวาล

ชื่อสามัญ : แปะตำปึง, กิมกอยมอเช่า, จินฉี่เหมาเยี่ย, จักรนารายณ์, ผักพันปี

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Gynura divarigata

วงศ์ : Compositae

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้พุ่มเตี้ย ลำต้นอวบน้ำ (Herbaceous) สีเขียวอ่อนปนม่วง ดอกเป็นช่อตรงก้านดอกยาวชูตรง ดอกมีสีเหลืองสวยงามน่ารัก ออกดอกเป็นระยะตลอดทั้งปี ใบหนาอวบน้ำเช่นกัน ใบมีลักษณะ 2 แบบ คือทั้งแบบกลม และใบรี สรรพคุณไม่ต่างกัน แต่ชนิดใบกลมจะมีขนอ่อนๆ คลุมหนากว่าชนิดใบรีหน่อยหนึ่ง เป็นต้นไม้ที่เลี้ยงง่าย ปลูกง่าย ขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด ชอบน้ำ สามารถอยู่ได้ทั้งกลางแจ้งและในร่ม เวลาปลูกชิดกันเป็นกอ ก็จะแน่น ดูสวยงาม ใช้เป็นไม้คลุมดินในงานจัดสวนได้เลย

ผู้เขียนก็ใช้อยู่บ่อยๆ ปลูกสลับกับไม้คลุมดินอื่นๆ ได้ดี เพื่อเพิ่มสีสันให้สวนสวย เนื่องจากใบสีเขียวอ่อนสดชื่นสบายตา แปะตำปึง นำเข้ามาในบ้านเราเมื่อ 5-6 ปี ที่แล้ว พร้อมๆ กับหญ้าปักกิ่ง

สรรพคุณทางยา แปะตำปึง จัดว่าเป็นสมุนไพรประเภทครอบจักรวาลก็ว่าได้ เช่น ฟอกโลหิตสตรี ช่วยขับสารพิษต่างๆ รักษาเริม งูสวัด ลดความดันโลหิต บรรเทาอาการภูมิแพ้ บำบัดโรคริดสีดวงทวาร และอื่นๆ

วิธีรับประทาน ให้เด็ดใบสดมาล้างน้ำให้สะอาด จิ้มน้ำพริก ครั้งละ 4-5 ใบ หรือทำเป็นผักแนมข้างเคียง

กับลาบ น้ำตก ส้มตำ ก็ยังได้ ใบสดจะมีกลิ่นหอมนิดๆ คล้ายผลชมพู่อ่อน หรืออาจนำใบไปโขลกคั้นน้ำ เหยาะน้ำผึ้งรับประทานก็ดี สีก็สวยคล้ายน้ำใบบัวบก

วิธีปลูก แปะตำปึง หรือ ผักพันปี ขยายพันธุ์ง่ายมาก ใช้วิธีตัดกิ่งปักชำ โดยเอามีดคมหรือคัตเตอร์ ตัดบริเวณใต้ข้อเล็กน้อย หั่นเป็นท่อน ยาวท่อนละประมาณ 5-6 นิ้ว นำไปชำในถุง หรือกระถางที่เตรียมไว้ วางไว้ในที่ร่มสัก 1 สัปดาห์ รดน้ำเช้าเย็น กิ่งชำก็จะงอกราก แตกใบอ่อน เราก็แยกไปลงดิน หรือแยกลงกระถางใหม่ได้ไม่ยากเลย ปุ๋ยเคมีก็ไม่ต้องใส่ รองพื้นด้วยปุ๋ยคอกมูลสัตว์ก็เหลือแหล่แล้ว

หมั่นคอยดูแลตัดแต่งอย่าให้กิ่งยาวเกะกะ เล็มยอดไว้บ่อยๆ ก็จะเป็นพุ่มสวยงามครับ บ่อยครั้งในงานจัดสวน ผู้เขียนปลูกแปะตำปึงเป็นแถวเป็นแนวริมทางเดินเท้า หรือบางทีก็ปลูกเป็นกลุ่มสลับสีกับไม้คลุมดินอื่นๆ ปรากฏว่าโตเร็วมาก และสวยงาม มองแล้วสบายตาไปอีกแบบหนึ่ง พอยาวหน่อยก็ยังตัดยอดมารับประทานได้อีก พออธิบายถึงสรรพคุณเป็นเกร็ดความรู้ เจ้าของบ้านก็รู้สึกชอบใจไปทุกคน ทุกครั้งด้วย ใครจะไม่ชอบล่ะครับ สวนสวย แถมรับประทานได้ เป็นสมุนไพรสรรพคุณครอบจักรวาลแบบนี้ เจ้าแปะตำปึงเนี่ย ยกให้เป็น Veggied Garden plant ชั้นนำหัวแถวได้เลย จะบอกให้จากใจเลยครับ

ว่านหางจระเข้?วุ้นสีเขียวมหัศจรรย์โลชั่นจากสวรรค์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05056010959&srcday=2016-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 630

พืชพื้นบ้านเป็นทั้งอาหารและยา

สมิทธิชัย สุกปลั่ง

ว่านหางจระเข้?วุ้นสีเขียวมหัศจรรย์โลชั่นจากสวรรค์

ชื่อสามัญ : หางตะเข้, ว่านไฟไหม้, Star cactus, aloe

เป็นไม้ล้มลุก รูปร่างหน้าตาประหลาด ชื่อน่าฉงนนี้ มีประโยชน์เหลือคณานับ คำว่า Aloe นี้ มาจาก “allal” ภาษากรีกโบราณ หมายถึงว่า มีรสขมและฝาด จากคัมภีร์ไบเบิ้ล (JOHN 19:39) ได้จารึกไว้ว่า น้ำสำหรับชโลมพระศพของพระเยซูนั้นมีส่วนผสมของว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ แสดงว่าผู้คนในยุคสมัยนั้นย่อมรู้คุณค่า ประโยชน์มากมายหลายด้านของว่านชนิดนี้เป็นอย่างดี

ว่านหางจระเข้ มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่แถบเมดิเตอร์เรเนียนและทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา แพร่กระจายพันธุ์ไปทั่วโลก พบว่ามีมากมายกว่า 300 สายพันธุ์ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ลำต้นมักเป็นกอเตี้ยๆ ใบรูปร่างคล้ายหางจระเข้ อวบน้ำสีเขียวหรือเทา บางพันธุ์อาจมีลายจุดขาวประปราย บางพันธุ์ก็ไม่มี ขนาดของใบก็ต่างกันไป ขอบใบมีหนามแหลมแข็งสั้นๆ ภายในกาบใบมีลักษณะเป็นวุ้นสีเขียวใส เย็น ดอกออกเป็นช่อตั้งตรงขึ้นมาระหว่างซอกใบก้านช่อดอกยาว ตัวดอกดูคล้ายหลอดยาวสีส้มอมเหลือง พอดอกแก่ก็จะกลายเป็นต้นอ่อน เรียกว่า ตะเกียง สามารถนำไปเพาะเป็นต้นใหม่ได้

สรรพคุณและการใช้ประโยชน์…ว่านหางจระเข้ จัดเป็นพวกสมุนไพรครอบจักรวาลตัวหนึ่งเลยก็ว่าได้ คนไทยเราใช้ประกอบเข้าเป็นยาดำ แก้ไข้ได้สารพัดโรค จนมีคำกล่าวว่า “แทรก เป็นยาดำ” ไงครับ นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น สมองไวได้จดสิทธิบัตรการค้นพบสาร Aloctin A ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน บำบัดรอยแผลจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ไว้เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2521

เนื้อเจลสีเขียวใส ภายในมีคุณสมบัตินานัปการ เช่น นำมาขยำชโลมเส้นผม บำรุงหนังศีรษะและรากผม ใช้ทาลดความมันบนใบหน้า ลดรอยขูดขีด จุด สิว ฝ้า กระ ลดอาการปวดแสบปวดร้อนจากการฉายรังสีเอ็กซเรย์ หรือถูกแดดเผา เพิ่มความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่นให้เซลล์ผิวหนัง จึงมีการนำวุ้นจากว่านหางจระเข้ไปสกัดทำเป็นเครื่องสำอางราคาแพงๆ หลายยี่ห้อในขณะนี้ หรือยังใช้ทาแผลสด จากรอยถูกของมีคมบาด รักษาน้ำกัดเท้า ทาส่วนที่หยาบแข็งกระด้าง เช่น บริเวณข้อศอก หัวเข่า ส้นเท้า ฯลฯ จะทำให้คลายตัวนุ่มเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ การดื่มน้ำสกัดจากว่านหางจระเข้ ยังมีสรรพคุณดีต่อร่างกายมากมาย เช่น

– รักษาแผลในกระเพาะอาหาร เคลือบลำไส้

– ช่วยหล่อลื่นข้อต่อกระดูก

– เสริมสร้างการทำงานของระบบเมตาโบลิซึ่ม

– กระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ใหม่ ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอของร่างกาย

– ป้องกันและลดการเสี่ยงของอาการเส้นเลือดฝอยในสมองแตก

– ช่วยผลักดันการสร้างคอลลาเจน, อีลาสติน กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว

– มีสารแอนทราควิโนน (anthraquinone) ที่ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย ฯลฯ

วิธีการปลูก…ว่านหางจระเข้ ขยายพันธุ์โดยการใช้ ตะเกียง หรือต้นอ่อนที่เกิดจากปลายช่อดอก หรือแยกหน่อ ที่บริเวณโคนต้นไปปลูก เมื่ออายุได้ถึงระยะขยายพันธุ์ ก็จะมีหน่อเล็กๆ โผล่ขึ้นมารอบๆ ต้นแม่ รอให้มีขนาดโตสักหน่อย มีใบ 5 ใบ หรือ 6 ใบ จึงตัดไปชำลงในถุง กระถาง หรือลงแปลงเลย ให้ขุดหลุมไม่ต้องลึกนัก เพราะว่านชนิดนี้มีระบบรากตื้นๆ เท่านั้น ความลึกของหลุมแค่ 20 เซนติเมตร ก็น่าจะพอ กว้าง 30×30 เซนติเมตร โรยปุ๋ยคอก แกลบดิบ กาบมะพร้าวสับ ใบไม้แห้งลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันดี ปลูกต้นกล้าลงไป กลบดินให้แน่น รดน้ำแต่พอดีๆ อย่าให้แฉะเกิน เพราะปกติเจ้านี่เขาไม่ค่อยชอบน้ำมากอยู่แล้ว เดี๋ยวรากจะเน่าเสียก่อน

ถ้าหากเป็นการปลูกด้วยตะเกียง ก็ทำเหมือนกัน แต่ปลูกด้วยตะเกียงอาจต้องรอนานกว่าปลูกด้วยวิธีแยกหน่อ

ขี้เหล็กบ้าน… พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดชัยภูมิ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05066010859&srcday=2016-08-01&search=no

วันที่ 01 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 628

พืชพื้นบ้านเป็นทั้งอาหารและยา

สมิทธิชัยสุกปลั่ง

ขี้เหล็กบ้าน… พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดชัยภูมิ

ชื่อสามัญ :Cassod tree

ชื่อวิทยาศาสตร์ :Senna siamea

วงศ์ :Leguminosae

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง เรือนยอดทึบ ใบสีเขียวเข้มแบบลูกทุ่งๆ โตเร็วแผ่กิ่งก้านสาขาไวมาก

ดอกสีเหลืองเข้มสวยงามออกประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมฝักแบนๆสีน้ำตาลเข้มภายในมีเมล็ดประมาณ 20-30 เมล็ดต่อฝัก

สมัยโบราณ มีการสอนถ่ายทอดภูมิปัญญาต่อๆกันมาว่า เวลาต้องการจะบ่มมะม่วง จะให้สุกเร็วขึ้นก็ใช้ใบขี้เหล็กมาปูรองก้นโอ่งก่อนจะใส่มะม่วงลงไปบ่ม จะได้ผลดี

ตำรายาไทยกล่าวไว้ว่า…

-ดอกและใบ เป็นยาช่วยให้หลับ ระบายอ่อนๆ ขับปัสสาวะ ในยอด ดอกอ่อน และแก่นขี้เหล็กประกอบด้วย สารกลุ่มแอนทราควิโนน (Antraquinone)หลายชนิดมีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ทำให้ผ่อนคลายความเครียด ช่วยให้หลับง่าย

-แก่นแก้กระษัยปวดเมื่อย ขับระดูขาว ถ่ายพยาธิ แก้เหน็บชา รักษาฝีคัณฑสูตร (ก็ ฝีมะม่วงนั่นแหละ)เป็นฝีที่เกิดจากต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ หรือรอบๆทวารหนัก เป็นก้อนคล้ายลูกมะม่วง

อันนี้แถมให้เป็นเกร็ดความรู้จากพุทธประวัติ “คัณฑะ” เป็นชื่อบุคคลที่พระพุทธเจ้าทรงประทานเมล็ดมะม่วงให้นำไปปลูก มะม่วงจึงมีชื่อเรียกในภาษาบาลีว่า “คัณฑามพฤกษ์” หรืออีกชื่อหนึ่งของมะม่วงคือ “อัมพา” เพราะนางอัมพปาลี ได้ถวายที่ดินสวนมะม่วงสร้างวัด ก็เลยได้รับการขนานนามว่า วัดอัมพวัน แปลว่า วัดที่สร้างจากที่ดินปลูกมะม่วงไงครับ

ไม้จากลำต้นขี้เหล็กยังสามารถนำมาทำเครื่องมือกสิกรรมได้ด้วยเช่น ด้ามจอบ ด้ามขวาน ด้ามเสียม บางโอกาสใช้ในงานก่อสร้างก็ยังพอไหว

ถือว่าเป็นต้นไม้ครอบจักรวาลชนิดหนึ่งได้เลย…

เดี๋ยวนี้มีการทำเป็น ขี้เหล็กแคปซูล ออกมาจำหน่ายกันหลายแบรนด์ ใครท้องผูก นอนไม่หลับ จิตฟุ้งซ่าน ลองซดแกงขี้เหล็กราดข้าวสักจาน หากไฟธาตุไม่แข็งจริงๆ คืนเดียวรู้ผลครับ

ขี้เหล็ก ปลูกโดยการเพาะเมล็ด เก็บฝักแก่มาแกะเอาเมล็ดข้างในไปเพาะในถุง หรือกระบะก็ได้ตามถนัด รดน้ำให้ชุ่ม วางไว้ที่รำไร

รอสัก10-14วัน พองอกสูงได้สักประมาณ 1 คืบกว่าๆ ก็แยกต้นไปปลูกลงดิน

โดยขุดหลุมกว้าง 50×50 เซนติเมตร ลึก 50 เซนติเมตร โรยปุ๋ยคอกลงไปรองก้นหลุมซะหน่อยหนึ่ง ผสมกับใบไม้ผุ กาบมะพร้าวสับ แกลบดิบหรือแกลบเผาก็ได้ คลุกให้เข้ากันกลบดินให้แน่น หาไม้ไผ่มาปักหลักประคองไว้กันลมโยกสักนิด จากนั้นรดน้ำเช้า-เย็น

แค่นี้เอง ปลูกไว้บ้าง เผื่อนอนไม่หลับ ก็กินแกงขี้เหล็ก แล้วผูกเปลนอนโคนต้นขี้เหล็ก…ร้องเพลง “นกกระจอกมากินดอกขี้เหล็ก แม่ม่ายก็มักจะได้ผัวเด็ก” เดี๋ยวเดียวก็หลับปุ๋ย