ผักติ้ว?ซากุระแห่งที่ราบสูง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05050150559&srcday=2016-05-15&search=no

วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 623

พืชพื้นบ้าน เป็นทั้งอาหารและยา

สมิทธิชัย สุกปลั่ง

ผักติ้ว?ซากุระแห่งที่ราบสูง

ชื่อสามัญ : ติ้ว แต้ว ติ้วขน ติ้วเกลี้ยง ร้าเง็ง (สุรินทร์; บุรีรัมย์) ; กุยฉ่องเฉ้า (กะเหรี่ยง)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cratoxylum formosum

วงศ์ : CLUSIACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ติ้ว หรือ แต้ว เป็นไม้ยืนต้น ขนาดเล็ก พบมากในป่าเบญจพรรณแถบภาคอีสาน มี 2 พันธุ์ คือ ดอกสีขาว กับ ดอกสีชมพู ซึ่งพันธุ์ดอกสีชมพูนั้นมักจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ใบจะมีขนนุ่มๆ ขมกว่าชนิดดอกสีขาวเล็กน้อย เรือนยอดมักเป็นพุ่มกลม เปลือกต้นสีน้ำตาล อมเทา เมื่อแก่จะแตกเป็นสะเก็ดร่องๆ ถ้ามีแผล จะมียางสีเหลืองปนแดงซึมออกมา ใบรูปไข่กลับรีๆ ยาวประมาณ 3-12 เซนติเมตร

ลักษณะการแตกของใบจะออกเป็นคู่ๆ ตรงข้ามกัน หรือที่ภาษาพฤกษศาสตร์เรียกว่า Simple Opposite ผลทรงรีขนาดเล็กๆ มีนวลบางๆ เมื่อแก่จะแตกออกเป็น 3 แฉก ข้างในมีเมล็ดสีน้ำตาลปนดำอยู่มาก ออกดอกได้เป็นระยะตลอดปี แต่จะดกเป็นพิเศษในหน้าแล้ง ราวๆ เดือนมีนาคม-พฤษภาคม ยอดและใบอ่อนสีชมพูอมแดง สวยสดงดงาม เห็นแต่ไกล มีรสเปรี้ยว อมฝาด คุณสมบัติช่วยระบายท้อง ช่วยส่งเสริมเน้นรสชาติอาหาร ทางภาคอีสานชาวบ้านทั่วไปนิยมนำมาใส่ต้มยำแทนมะนาว หรือกินกับลาบ ส้มตำ น้ำตก ปลาร้า แจ่วบอง ก็แซ่บอีหลี

น้ำยางจากลำต้นผสมน้ำมันมะพร้าว ใช้ทาแก้โรคผิวหนัง ส้นเท้าแตก เปลือกใช้ย้อมผ้าให้สีน้ำตาลอ่อนๆ กำลังมีการศึกษา ทดลองค้นคว้าเรื่องการสกัดสารกันหืน (Rancidity) จากใบแต้วกันอยู่ในขณะนี้ (ที่จริงน่าจะศึกษาเรื่องการสกัด “สารกันหื่น” ควบคู่ไปด้วยเสียเลยนะเนี่ย) ที่แนะนำให้หามาปลูกก็เนื่องจากต้นไม่โตมาก ทรงสวย ทนทาน ให้ร่มเงาดี ใบไม่ร่วงพร่ำเพรื่อ เวลาจะออกดอกจึงจะทิ้งใบเกือบหมดต้น เหลือแต่ดอกสีชมพูอ่อนๆ ติดอยู่ ตามปลายกิ่งเป็นกระจุกๆ มองไกลๆ ดูคล้ายๆ ต้นซากุระของญี่ปุ่นเลย สวยงามน่ารัก เซ็กซี่ไปอีกแบบหนึ่ง ผู้เขียนเคยนำไปใช้ในงานจัดสวนมาหลายต้นแล้ว ปรากฏว่า เจ้าของบ้านชอบใจไปตามๆ กันหลายคน ก็สวย เท่ กินได้ นี่นา เวลามีดอกก็มีแต่คนมาถามว่า นี่ต้นอะไร ทำไมสวย น่ารักจังเลย

วิธีการขยายพันธุ์ ก็ใช้ตอนกิ่ง สกัดรากไปชำ หรือจะให้โตไวทันใจสวยเพียงชั่วข้ามคืน ก็ไปหาซื้อต้นที่เขาขุดล้อมมาขาย ไซซ์มาตรฐานจัดสวน 1.50-2.50 เมตร ลงไว้ริมรั้วบ้านได้เลย โรค แมลง ก็ไม่อยากมากวนใจ เพราะเป็นไม้ป่า ทนทาน แข็งแรงบึกบึนอยู่แล้ว ฝนจะตก จะแล้งยังไงก็ไม่กลัว ใส่ปุ๋ยคอกเดือนละครั้งก็เหลือจะพอ ปลูกได้ทั้งกลางแจ้งและในร่ม หามุมให้เหมาะๆ แล้วกัน ยิ่งเด็ดยอดบ่อยๆ ยิ่งแตกไวไม่ต้องกลัวครับ

ทำมัง ต้นไม้กลิ่นแมงดา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05049010459&srcday=2016-04-01&search=no

วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 620

พืชพื้นบ้าน เป็นทั้งอาหารและยา

สมิทธิชัย สุกปลั่ง

ทำมัง ต้นไม้กลิ่นแมงดา

ชื่อสามัญ : ทำมัง, ชะนัง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Litsea petiolata

วงศ์ : LAURACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ทำมัง เป็นไม้พุ่ม ยืนต้น ขนาดเล็กถึงกลาง ไม่ผลัดใบ ทรงพุ่มโปร่ง เปลือกต้นสีเทา บางทีก็สีน้ำตาลอมเขียว ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตัวแบบสลับเวียนไปรอบๆ กิ่ง ผลรูปไข่เล็กๆ ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลแดง ภายในมีเมล็ด เพียง 1 เมล็ด ใบสีเขียวเข้ม หนา เส้นใบชัดเจนเหมือนใบขนุน

ในไทยเราพบว่า มี 4 ชนิด ต่างกันเล็กน้อยตามท้องถิ่น กระจายแพร่พันธุ์กันตั้งแต่ชุมพรลงไปจนถึงนราธิวาส ปัจจุบัน ทำมัง ในธรรมชาติแทบจะสูญพันธุ์ เนื่องจากถูกถาง เผา ไล่ที่ปลูกยาง ปาล์มน้ำมัน แทน เป็นที่น่าน้อยอก น้อยใจแทน ต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่งเหมือนกันนะ อยู่มาตั้งนานนม พอเห็นว่าของใหม่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ก็ขับไสไล่ส่งกันดื้อๆ แบบนี้ พี่ไทยเราก็ชอบและฉลาดเรื่องแบบนี้ซะด้วย ของปู่ ย่า ตา ยาย ดีๆ ไม่สนใจ หลงลืมกันไปหมด ไปเห่อแต่ของนอกแพงๆ ไร้สาระกันเสียหมด

ดูจากชื่อแล้ว บางท่านอาจงง สงสัยว่า มีด้วยหรือ ต้นไม้แปลกประหลาด พิสดาร แบบธรรมชาติให้มาแบบนี้ แรกเริ่มเดิมที ทำมัง เป็นไม้ท้องถิ่นหนังลุง โนรา ที่ปัจจุบันหายาก แทบจะหายสาบสูญไปจากป่าแล้ว เหลือปลูกกันบ้าง ก็เล็กน้อยน่าใจหายเสียดายแทนคนใต้ เพื่อนผู้เขียน บางคนเป็นคนใต้แท้ๆ ยังไม่รู้จักก็มี เมื่อไม่นานมานี้ก็ส่งไปให้พรรคพวกที่สงขลาต้นหนึ่ง

เอ้า! ใครชอบกินน้ำพริกแมงดา ล้อมวงเข้ามาใกล้ๆ เลยครับ

ในเปลือก ลำต้น และใบทำมัง จะมีต่อมน้ำมันพิเศษชนิดหนึ่ง เมื่อฉีกออกมาปุ๊บ จะได้กลิ่นฉุนกึ๊กเหมือนกลิ่นประจำกายของแมงดาตัวผู้เป๊ะเลย สามารถใช้ทดแทนกันได้ในฤดูที่แมงดาหายากหรือขาดแคลน หรือเป็น มังสวิรัติ แต่ดันอยากเปิบ น้ำพริกแมงดา หรือในกรณีที่ไม่อยากบาปกรรม โขลกกะโหลกแมงดาตัวผู้จริงๆ (ทีอย่างงี้ละก็ ทำไมตัวเมียไม่หอม เหมือนคนสาวๆ ก็ไม่รู้เนอะ) ถ้าจะให้ดี หรือกลัวจะหอมไม่พอ ก็ให้เอาใบแก่ๆ ไปอังไฟ รุมๆ พอให้ต่อมน้ำมันที่ว่าแตกตัว คราวนี้ละก็หอมฟุ้งไปสามบ้านแปดบ้านทีเดียวเจียว บางบ้านเขาก็เอาไม้ทำมังแก่ๆ มาแกะเป็นสากไว้ใช้ตำน้ำพริกซะเลยก็มี จะได้กลิ่นแมงดาอ่อนๆ โชยขึ้นมาเอง สมัยก่อนทางใต้ถือว่าเป็นไม้มงคล เนื่องจากชื่อไปพ้องกับ คำว่า ธรรมมัง การปลูก ก็เล่นไม่ยากเหมือนเคย ใช้เพาะเมล็ด หรือกิ่งตอน ปลูกในกระถางหรือลงดินก็ได้ พยายามปลูกในที่ร่มรำไรๆ หาที่เหมาะๆ ขุดหลุม 30×30 เซนติเมตร ลึกเท่ากัน โรยปุ๋ยคอกรองก้นหลุมสักนิด ผสมใบไม้ผุ แกลบ ขุยมะพร้าว ให้เข้ากัน วางต้นลงไปแล้วกลบดินพอแน่น หาหลักไม้ไผ่มาผูกเชือกปักประคองไว้ กันต้นเอน หรือกันลมโยกเผื่อไว้สักหน่อย โรคแมลงก็ไม่ค่อยมีมากวนใจ เพราะความฉุนในตัวเอง

ทำมัง ชอบที่ชุ่มชื้น ไม่ชอบแดดจัด ปลูกไว้ตามโคนต้นไม้ใหญ่ยิ่งดี คอยใส่ปุ๋ยคอกไว้เรื่อยๆ ไม่นานก็ได้กิน

ป.ล. ต้นทำมัง น่ะพยายามหามาปลูกกันเยอะๆ เหอะ แต่อย่าไปเอา ต้นสังคัง มาปลูกก็แล้วกัน เอ่อ?มัน คัน ครับ 555

บัวบก…แก้ช้ำใน ไม่ใช่ช้ำใจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05044150359&srcday=2016-03-15&search=no

วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 619

พืชพื้นบ้าน เป็นทั้งอาหารและยา

สมิทธิชัย สุกปลั่ง

บัวบก…แก้ช้ำใน ไม่ใช่ช้ำใจ

ชื่อสามัญ : Asiatic pennywort ; Tiger herbal ; Magic herb ; ผักหนอก (อีสาน)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Centella asiatica

วงศ์ : UMBELLIFERAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : บัวบก เป็นไม้ล้มลุกครึ่งบกครึ่งน้ำ อยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก อายุหลายปี ลำต้นจะมีไหลเลื้อยแตกออกข้างๆ ไปตามดิน ใบเป็นใบเดี่ยวๆ รูปคล้ายไต หรือบางทีกลมๆ ก็มี

ลักษณะการแตกของใบจะอยู่ตรงข้ามกัน (Simple opposite) อยู่ตามบริเวณข้อต้น ขอบใบมีรอยหยักสวยงาม หลังใบเรียบ ท้องใบมีขนอุยอ่อนๆ พอเซ็กซี่เล็กน้อย ขยี้ดูจะมีกลิ่นหอม โชยออกมาอย่างชัดเจน กลิ่นสะอาดๆ เฉพาะตัว ไม่มีอะไรเหมือน ดอกของเจ้าบัวบกจะออกเป็นช่อเล็กๆ สีม่วงอมแดง มี 5 กลีบ ลักษณะมองดูคล้ายร่มเหมือนพืชอื่นในวงศ์เดียวกัน เช่น ผักแว่น และถึงแม้ว่า บัวบก จะชอบขึ้นตามพื้นดินที่ชื้นแฉะ ภายใต้แสงรำไรๆ แต่เมื่อต้องเผชิญอยู่ท่ามกลางแสงแดดแรงกล้าก็ยังสามารถปรับตัวเจริญเติบโตอยู่รอดปลอดภัยได้ตามปกติเช่นกัน

เห็นนามสกุลนี้แล้ว เดาได้เลยว่าบ้านเดิมเขาอยู่ที่ไหน ก็อยู่ในทวีปเอเชียของเรานี่เอง มิใช่อื่นไกลที่ไหนกัน

หลายๆ ท่านคงคุ้นเคยกับสำนวนไทยแท้ๆ ที่ว่า “นอนซดน้ำใบบัวบก” ใช่ไหมครับ คนเอเชียโบราณเรานี่ เก่ง สมองปราดเปรื่องมีภูมิปัญญาลึกล้ำกว่าคนแถบยุโรปมาก โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับพืชผักสมุนไพรต่างๆ คนจีนเก่าๆรวมทั้งคนไทยเรารู้กันมานานแล้วว่า บัวบก นั้นมีสรรพคุณแก้อาการช้ำในได้อย่างชะงัดและเด็ดขาด (คนละเรื่องกับ ช้ำใจ นะ) หากช้ำใจอกหักจากการถูกหนุ่มๆ หลอกละก็ ทั้งอาบทั้งแช่ยังไม่ค่อยจะหายกันเลย นอกจากนี้ ยัง บรรเทาอาการร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ บำรุงหัวใจ สมอง ช่วยความจำ เคยมีรายงานว่า อาสาสมัครที่ทดลองกินใบบัวบกเป็นประจำจะมีสมาธิจดจ่อกับเรื่องที่กำหนดให้ได้นานกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กิน และบัวบกยังช่วยกำจัดสารประเภทโลหะหนัก กับฤทธิ์ยาที่ตกค้างในร่างกายได้เป็นอย่างดี เพิ่มความยืดหยุ่นให้เส้นเลือดฝอย ดังนั้น จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง (โรคความดันทุรังสูง ลดไม่ได้นะครับ) ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ ในใบและก้านของใบบัวบกจะประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่สำคัญยิ่ง 2 ตัว ค่อยๆ ตามมานะครับ มาดีคาสสิก แอซิด (Madecassic acid) เอเชียติก แอซิด (Asiatic acid) เจ้า 2 สหายเนี่ย จะช่วยกันแท็กทีม ตามไล่ล่า พิฆาต เชื้อแบคทีเรียในร่างกาย มีอำนาจในการสมานแผลอย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะแผลที่เกิดจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือแม้กระทั่งแผลจากการผ่าตัด ลบรอยแผลเป็น รักษาโรคเรื้อน แผลจากซิฟิลิส บำบัดอาการผมร่วง เส้นเลือดขอด ทำให้แผลกดทับแห้งและหายเร็วขึ้น บัวบกทั้งต้นสามารถนำมาสกัดเป็นแชมพู ครีมนวดศีรษะบำรุงเส้นผมให้ดกดำเงางาม บางตำราบอกไว้ว่าน้ำต้มใบบัวบกยังลดอาการเจ็บคอ ปากเปื่อย ปากเหม็น ได้อีกด้วย (ปากหมา ยังไม่มีรายงานครับ) ปัจจุบัน มีครีมที่สกัดจากบัวบกจำหน่ายบ้างแล้ว ลองซื้อหามาใช้กันดู

นอกจากนั้น บัวบก ยังมีทีเด็ดคือ ยังประกอบไปด้วย ไกลโคไซด์ (Glycoside) สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน (Collagen) ได้อีก อันนี้สาวๆ ไม่ว่าจะสาวมากสาวน้อยหรือเคยสาวได้ยิน หรือเห็นเข้าคงหูผึ่งกันเป็นแถวละสิ อิ อิ สนใจก็ทดลองทำกันดูครับ เดี๋ยวให้สูตร ไปหาซื้อบัวบกทั้งต้นมาสักสองสามกำ ล้างน้ำให้สะอาด โยนลงเครื่องปั่น หรือบดก็ได้ ใช้สำลีชุบทาหน้า พอกทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมงก่อนนอนเป็นประจำทุกคืน (หรือจะพอกทิ้งทั้งคืนไว้ถึงเช้าเลยก็ได้ ถ้าหากไม่กลัวคนนอนข้างๆ ยันด้วยนิ้วสั้นๆ) จะให้เพิ่มพลังซัก เอ๊ย! เพิ่มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ก็เหยาะน้ำผึ้งลงไปด้วยสักช้อนชาหนึ่ง คนให้ทั่วแล้วค่อยโบ๊ะ ทำแบบนี้ติดต่อกันสัก 15 วัน ริ้วรอยเหี่ยวย่น ตีนกา รอยขูดขีดบนใบหน้าจะลดลงอย่างชัดเจน หากใครลองทำดูแล้วริ้วรอยไม่ลดลงเลย หรือกลับเพิ่มมากขึ้น แสดงว่าผิวหนังส่วนหน้าอาจจะหนาเกินไปแล้วละมั้งครับ 555 ใบบัวบก นำมาประกอบอาหารได้หลายอย่าง ทำเป็น ผักสลัด แต่งขอบจาน เป็นผักเคียงข้าง กินกับ ลาบ หลู้ (อาหารที่ประกอบด้วยเนื้อกับเลือดสดๆ ของวัวหรือควายทางอีสานบ้านเฮา) ก้อย เมี่ยงปลาเผา ขนมจีน ผัดไทย หรือจิ้มน้ำพริก ยิ่งคั้นสดทำเป็นเครื่องดื่มเย็นๆ ใส่น้ำแข็งทุบก็อร่อย หอมสดชื่น กลิ่นเฟรชชี่ๆ ไม่ซ้ำใคร สีก็สวยเติมแต่งด้วยดอกกล้วยไม้สีหวานๆ สักดอก เสียบหลอดปักลงไป เก๋ไก๋ เท่ระเบิด เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ผู้เขียนโปรดปรานเป็นการส่วนตัว แต่ไม่ค่อยจะมีเวลาทำเอง เจอที่ไหนเป็นต้องตรงรี่เข้าไปซื้อมาดื่มทันที บางทีก็แช่ตู้เย็นเก็บไว้ดื่มเวลากลับมาบ้านดึกๆ หายเหนื่อยหายเพลียเป็นปลิดทิ้งเลยครับ

ขอกระซิบอย่างเป็นกันเองเลยว่า น้ำบัวบก เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานกลางคืน นักร้อง นักดนตรี คนขับแท็กซี่ ฯลฯเป็นอย่างยิ่ง เพราะสามารถลดหรือป้องกันอาการดีซ่าน จากการอดหลับอดนอน หรือนอนน้อยได้เป็นอย่างดี ในคัมภีร์อายุรเวทของอินเดียจัดว่าเป็นสมุนไพรมหัศจรรย์ และเป็นยาอายุวัฒนะชั้นเยี่ยม หากใครกินใบบัวบกเป็นประจำติดต่อกัน ผิวพรรณ หน้าตามักดูอ่อนกว่าวัยร่วม 10 ปี เหมือนผู้เขียนนี่ไง ในบริเวณท้ายๆ หมู่บ้านที่ผู้เขียนอยู่ มีลุงขายของชำคนหนึ่งดื่มน้ำใบบัวบกประจำ แกเคยบอกว่า อย่าว่าแต่ปี๊บเลย ต่อให้ถังน้ำมัน 200 ลิตร ยังเตะซะกระเด็นเลย จริงรึไม่ ก็ลองดูกันเอาเอง ผู้เขียน ตอนนี้ไม่มีปี๊บเป็นของตัวเอง เลยยังไม่เคยพิสูจน์เหมือนกัน ใครมีปี๊บส่วนตัวก็ไปลองซะ แต่พึงระวังว่า อย่าไปทำอะไรพิลึกๆ ให้สมองกะสติปัญญาดูอ่อนกว่าวัยไปด้วยแล้วกัน ฮิ ฮิ

วิธีการปลูก ก็สุดแสนจะง่ายดายจัง เพียงแค่ตัดไหล (Stolon) หรือส่วนของลำต้นที่งอกออกมาเพื่อขยายพันธุ์ตามธรรมชาติเขาออกมาเป็นท่อนสั้นๆ สัก 3-4 นิ้ว เอาไปชำไว้ในทรายชื้นๆ หรือที่แฉะๆ ร่มรำไรๆ หากไม่มีที่จริงๆ ก็ปลูกในอ่างบัว กะละมัง ไห หรือถังแตกๆ ก็ได้ครับ ไม่นานก็แตกยอดแตกกอกันให้พรึ่บ โรคแมลง ศัตรู ก็ไม่ค่อยมีมากวนใจ หรือมีบ้างก็น้อย ให้ใช้สูตรเดียวกันกับฟักทองมาพ่นได้เลย อยากให้ปลูกกินกันเองมากกว่า เพราะบัวบก ตามตลาดมักจะปลูกกันตามใต้ถุนร้านกล้วยไม้ โดนทั้งปุ๋ยเคมี ทั้งยาปราบศัตรูพืชสารพัด ทางที่ดีปลูกเองแน่นอนปลอดภัยที่สุดครับ