ภูมิบ้านภูมอเมือง : ‘นนทบุรีศรีมหาสมุทร’ เมืองท่าหน้าด่านแม่น้ำเจ้าพระยาเดิม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/324325

ภูมิบ้าน ภูมอเมือง : 'นนทบุรีศรีมหาสมุทร' เมืองท่าหน้าด่านแม่น้ำเจ้าพระยาเดิม

ภูมิบ้าน ภูมอเมือง : ‘นนทบุรีศรีมหาสมุทร’ เมืองท่าหน้าด่านแม่น้ำเจ้าพระยาเดิม

วันอาทิตย์ ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เจดีย์เอียงวัดปากอ่าว หรือวัดปรมัยฯ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้รับผิดชอบพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี กับเทศบาลนครนนทบุรี ได้ร่วมกันจัดเที่ยวทางแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่า โดยเรือด่วนเจ้าพระยา ได้พาให้ตามรอยภูมิสถานเดิมในสมัยอยุธยาที่คนนนทบุรีไม่ค่อยรู้จักมากนัก ด้วยจังหวัดนนทบุรีนั้นเป็นที่ราบลุ่มชุ่มน้ำที่มีผู้คนมาตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนหนาแน่นตามริมแม่น้ำเจ้าพระยามาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีชุมชนสำคัญในอดีตหลายแห่ง เช่น วัดชลอ วัดเขมา บางม่วง ตลาดขวัญบางขนุน เป็นต้น มีวัดปรางค์หลวง สมัยอยุธยาตอนต้นเป็นหลักฐาน โดยเฉพาะชุมชน บ้านตลาดขวัญ นั้น ในพ.ศ.๒๐๙๑พระมหาจักรพรรดิ์โปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยา เหนือวัดชะลอไปทะลุใกล้วัดมูลเหล็กให้เป็นเส้นทางลัดเดินเรือและเปิดพื้นที่การเกษตร ซึ่งในพ.ศ.๒๐๙๒ บ้านตลาดขวัญนั้นได้ถูกยกเป็น เมืองนนทบุรีศรีมหาสมุทร ทำหน้าที่เป็นเมืองท่าหน้าด่านของกรุงศรีอยุธยา ที่ตั้งของเมืองนนทบุรีครั้งแรกนั้นอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีวัดเทพอุรุมภังค์หรือวัดหัวเมือง เป็นเขตเหนือ ปัจจุบันคือโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า และมีวัดท้ายเมืองเป็นเขตใต้

ต่อมา พ.ศ. ๒๑๗๙ พระเจ้าปราสาททองโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองลัดตัดส่วนโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ใต้วัดท้ายเมืองไปทะลุออกหน้าวัดเขมา ซึ่งแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมนั้นไหลวกเข้าไปทางบางกรวยและบางใหญ่ กระแสน้ำจึงเปลี่ยนทางเดินไหลเข้าคลองที่ขุดใหม่เป็นแม่น้ำเจ้าพระยาในปัจจุบัน ส่วนแม่น้ำเดิมก็ตื้นเขินลงเป็นคลองอ้อม คลองบางกอกน้อย และคลองบางกรวย ในที่สุด พ.ศ.๒๒๐๘พระนารายณ์มีพระราชดำริว่าแนวแม่น้ำเจ้าพระยาที่สั้นลงจะทำให้ข้าศึกเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาได้ง่ายขึ้น จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองนนทบุรีจากบ้านตลาดขวัญไปตั้งบริเวณปากคลองอ้อม บ้านบางศรีเมือง ซึ่งตั้งเป็นเมืองอยู่บริเวณนี้จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ครั้งนั้นให้สร้างกำแพงเมืองรวมทั้งป้อมปราการขึ้น ๒ แห่ง คือ “ป้อมแก้ว” ตั้งอยู่ที่บ้านตลาดแก้วสันนิษฐานว่าอยู่ที่วัดปากน้ำในปัจจุบัน และ “ป้อมทับทิม”ตั้งอยู่บริเวณวัดเฉลิมพระเกียรติพื้นที่เมืองนนทบุรีนั้นถือเป็นเมืองใหญ่ที่มีสวนผลไม้และการค้าขายทางน้ำ และหลังสุด พ.ศ.๒๒๖๔ พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ โปรดเกล้าฯให้ขุดคลองลัดเกร็ดขึ้นตัดแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลอ้อมไปทางบางบัวทอง ทำให้กระแสน้ำกัดเซาะจนพื้นนี้มีน้ำล้อมรอบเป็นเกาะ เรียกว่า “เกาะเกร็ด” ในช่วงสงครามพ.ศ.๒๓๐๗พระเจ้ามังระ กษัตริย์พม่า โปรดเกล้าฯ ให้มังมหานรธาเป็นแม่ทัพเข้าตีหัวเมืองรายทางใต้ขึ้นมาได้ยึดเมืองธนบุรีและเมืองนนทบุรีไว้ และพม่าจัดกำลังบางส่วนตั้งค่ายอยู่บริเวณวัดเขมา การสู้รบในพ.ศ.๒๓๑๐ นั้นส่งผลให้บ้านเมือง วัดวาอารามต่างๆ ถูกทำลายและทิ้งร้าง ชาวเมืองนนทบุรีต้องอพยพจากถิ่นที่อยู่เดิม ข้ามแม่น้ำไปหลบซ่อนในสวนบางกรวยและบางใหญ่ หนีสงคราม

เมื่อบ้านเมืองฟื้นฟูในสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวเมืองจึงย้ายกลับสู่ถิ่นฐานเดิม พร้อมทั้งมีผู้คนจากถิ่นอื่นเข้ามาในพื้นที่ด้วย โดยเฉพาะชาวมอญที่อพยพเข้ามาในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งถิ่นฐานที่ปากเกร็ด และมอญในรัชกาลที่ ๒ ให้ตั้งบ้านเรือนที่นนทบุรี เมืองปทุมธานี และเมืองนครเขื่อนขันธ์ นอกจากมีชาวไทยมุสลิมเมืองปัตตานีที่ถูกเข้ามาในรัชกาลที่ ๑ชาวไทยมุสลิมเมืองไทรบุรีเข้ามาในรัชกาลที่ ๓ นั้นโปรดเกล้าฯให้ชาวไทยมุสลิมเหล่านี้ตั้งถิ่นฐานที่บ้านท่าอิฐ และบ้านบางบัวทอง ในรัชกาลที่ ๔ นั้น พระองค์โปรดเกล้าฯให้เปลี่ยนสร้อยชื่อเมืองจาก เมืองนนทบุรีศรีมหาสมุทรเป็น เมืองนนทบุรีศรีมหาอุทยาน และต่อมาเปลี่ยนเป็น เมืองนนทบุรีศรีเกษตราราม  ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้นเมืองนนทบุรีฯมีฐานะเป็นหัวเมืองชายทะเล สังกัดกรมท่า ภายหลังรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายจากปากคลองอ้อม บ้านบางศรีเมือง มาตั้งอยู่ที่ปากคลองบางซื่อใกล้วัดท้ายเมือง และพ.ศ.๒๔๕๙ รัชกาลที่ ๖เปลี่ยนเป็น จังหวัดนนทบุรี จน พ.ศ.๒๔๗๑ รัชกาลที่ ๗ได้มีการย้ายศาลากลางจังหวัดนนทบุรีมาตั้งที่อาคารของโรงเรียนราชวิทยาลัย ทำให้ตลาดเมืองนนทบุรีอยู่บริเวณท่าน้ำนนทบุรีมาทุกวันนี้ ดังนั้นวัดเก่าสมัยอยุธยาที่เหลืออยู่และวัดที่เกิดตามยุคสมัยของเมืองอีกหลายวัดจึงน่าสนใจ เช่น ศาลหลักเมืองที่บางศรีเมือง วัดโตนด วัดบางระโหงวัดฉิมพลี วัดเชิงท่า วัดหน้าโบสถ์ วัดปากอ่าว หรือวัดปรมัย วัดท้ายเมือง วัดกลางบางซื่อ วัดกลางเกร็ดวัดปรางเหลือง วัดชะลอ วัดบางขนุน เป็นต้น ไปตามรอยหาศิลปวัฒนธรรมอยุธยากันเองก่อนที่คนจะไม่เห็นคุณค่าจนหมดความหมาย

คลองลัดเกร็ดกับวัดกลางเกร็ด

คลองลัดเกร็ดกับวัดกลางเกร็ด
ศาลหลักเมืองเดิมที่บางศรีเมือง

ศาลหลักเมืองเดิมที่บางศรีเมือง
วัดปรางค์เหลือง

วัดปรางค์เหลือง
พระไสยาสน์วัดปรมัยฯ

พระไสยาสน์วัดปรมัยฯ
พระพุทธรูปยืนวัดกลางบางซื่อสมัยอยุธยา

พระพุทธรูปยืนวัดกลางบางซื่อสมัยอยุธยา
ปากอ่าวของแม่นํ้าเจ้าพระยาเดิม

ปากอ่าวของแม่นํ้าเจ้าพระยาเดิม
ปรางค์เก่่าวัดท้ายเมือง

ปรางค์เก่่าวัดท้ายเมือง
โบราณสถานวัดเชิงท่า

โบราณสถานวัดเชิงท่า
จิตรกรรมวัดบางระโหง รัชกาลที่ ๓

จิตรกรรมวัดบางระโหง รัชกาลที่ ๓

ภูมิบ้านภูมอเมือง : ‘ศิลปินแห่งชาติสัญจร’ ภูมิการสร้างสรรค์งานศิลป์แผ่นดิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/318353

ภูมิบ้าน ภูมอเมือง : ‘ศิลปินแห่งชาติสัญจร’  ภูมิการสร้างสรรค์งานศิลป์แผ่นดิน

ภูมิบ้าน ภูมอเมือง : ‘ศิลปินแห่งชาติสัญจร’ ภูมิการสร้างสรรค์งานศิลป์แผ่นดิน

วันอาทิตย์ ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561, 06.00 น.

การเรียนในฐานจิตรกรรม

เมื่อวันที่ ๓๐-๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๑ที่ผ่านมานั้น คณะศิลปินแห่งชาติ โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ศูนย์อยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนครศรีอยุธยา ได้ร่วมกันจัดการเรียนรู้เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์สร้างสรรค์งานศิลป์ เสริมสร้างแรงบันดาลใจและพัฒนาทักษะด้านศิลปะให้แก่นักศึกษา ครู และประชาชนทั่วไป อาทิตย์นี้ได้มีโอกาสตามรอยโครงการ” ศิลปินแห่งชาติสัญจร” ซึ่งเป็นโครงการที่เริ่มกรมส่งเสริมวัฒนธรรมจัดขึ้นตั้งแต่พ.ศ.๒๕๔๘ เพื่อเปิดโอกาสนักศึกษา นักเรียน ครูและประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสพบกับการถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากศิลปินแห่งชาติผู้มีความรู้ ความสามารถ มีความเชี่ยวชาญ และมีผลงานสร้างสรรค์และพัฒนาเป็นที่ยอมรับของศิลปะในสาขานั้นๆ มีผลงานเป็นประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งเป็นทรัพยากรบุคคลสำคัญทางด้านศิลปะ ผู้สืบสานงานศิลปะของชาติให้เชื่อมโยงจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน ที่ถ่ายทอดภูมิปัญญาบรรพบุรุษในอดีตให้มีความรุ่งโรจน์สืบไปยังอนาคตข้างหน้า นอกจากการเรียนรู้แล้วยังเปิดเวทีแห่งโอกาสได้พบและเรียนรู้ที่หาได้ยากยิ่งนัก ด้วยศิลปินแห่งชาติแต่ละสาขานั้นต่างมีวิชาความรู้และประสบการณ์เฉพาะเรื่องที่น่าสนใจ

กล่าวคือ สาขาทัศนศิลป์  เป็นงานศิลปะที่มองเห็นได้ด้วยตา แบ่งเป็นวิจิตรศิลป์ และประยุกต์ศิลป์วิจิตรศิลป์ ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ สื่อผสมและภาพถ่าย ส่วนประยุกต์ศิลป์ ได้แก่ สถาปัตยกรรมแบบประเพณีและร่วมสมัย มัณฑนศิลป์ การออกแบบผังเมือง การออกแบบอุตสาหกรรมและประณีตศิลป์ เป็นต้น สาขาวรรณศิลป์ เป็นงาน บทประพันธ์ที่แต่งอย่างมีศิลปะทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง มีองค์ประกอบที่สำคัญคือ ความรู้สึกสะเทือนใจ ความคิดสร้างสรรค์จินตนาการและกลวิธีเสนอเรื่องที่น่าสนใจ และ สาขาศิลปะการแสดง เป็นงาน ศิลปะที่มีการแสดงที่เป็นได้ทั้งวิจิตรศิลป์ ประยุกต์ศิลป์ รวมทั้งศิลปะพื้นบ้าน แบ่งเป็น ๓ ประเภท ได้แก่ ดนตรีไทย นาฏศิลป์ไทยและศิลปะการแสดงพื้นบ้าน ดนตรีสากล และนาฏศิลป์สากล-ภาพยนตร์และละคร จากจำนวนศิลปินแห่งชาติตั้งแต่พ.ศ.๒๕๒๘) ถึงพ.ศ.๒๕๖๐ มีการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินแห่งชาติรวมแล้ว ๒๙๕ คน เสียชีวิตแล้ว ๑๒๘ คน และมีชีวิตอยู่ ๑๖๗ คนนั้นถือเป็นครูของแผ่นดินที่ใช้เวลาถ่ายทอดและสร้างแรงบันดาลใจในสาขาต่างๆตามความต้องการของพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแหล่งมรดกโลกนั้น ได้จัดฐานการเรียนรู้จากสาขาทัศนศิลป์ สาขาวรรณศิลป์ และสาขาศิลปะการแสดง

โดยมีศิลปินแห่งชาติคนสำคัญเป็นวิทยากร ได้แก่ ดร.กมล ทัศนาญชลี, ศ.วิโชค มุกดามณีสาขาจิตรกรรมและสื่อผสม, ธงชัย รักปทุม สาขาจิตรกรรม, ศ.เดชา วราชุน สาขาภาพพิมพ์และสื่อผสม,
วรนันทน์ ชัชวาลทิพากร สาขาภาพถ่าย, เนาวรัตน์พงษ์ไพบูลย์, ไพวรินทร์ ขาวงาม, สถาพร ศรีสัจจัง,ชมัยภร บางคมบาง (ไพลิน รุ้งรัตน์), มาลา คำจันทร์ไพฑูรย์ ธัญญา, กิตติศักดิ์ มีสมสืบ, สาขาวรรณศิลป์,ขวัญจิต ศรีประจันต์, ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี สาขาศิลปะการแสดง,สมนึก ทองมา (ชลธี ธารทอง) สาขานักแต่งเพลงลูกทุ่ง,ประยงค์ ชื่นเย็น สาขาดนตรีไทยลูกทุ่ง, นคร ถนอมทรัพย์สาขาดนตรีไทยสากล และรัตนา พวงประยงค์ สาขานาฏศิลปะไทย-ละคร เป็นต้น ร่วมเป็นวิทยากรในฐานต่างๆ เช่น ฐานเทคนิคจิตรกรรม เทคนิคสร้างสรรค์สื่อผสม เทคนิคภาพพิมพ์ เทคนิคประติมากรรม เทคนิคศิลปะผ่านเลนส์ การสร้างงานวรรณศิลป์ การสร้างงานศิลปะการแสดง(ลูกทุ่ง) การสร้างสรรค์ศิลปะเพลงพื้นบ้าน เป็นต้น

ผู้สนใจเข้าเรียนรู้นั้นได้เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสัมผัสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศิลปะอย่างใกล้ชิดกับศิลปินแห่งชาติสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานศิลปะด้านต่างๆ ตามที่ตนถนัด สุดท้ายการอบรมนั้นได้มีแสดงและการคัดเลือกผลงานแสดงผลสัมฤทธิ์จากฐานความรู้ต่างๆ ให้ปรากฏบนเวทีกลางเพื่อให้ศิลปินแห่งชาติและเพื่อนร่วมการเรียนรู้ได้เห็นประจักษ์ด้วยตนเอง เพื่อนำไปปรับแก้ไขและเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตัวเองในโอกาสข้างหน้า กิจกรรมตามโครงการศิลปินแห่งชาติสัญจรนี้จึงเป็นการสร้างโอกาสของเครือข่ายการพัฒนาวงการศิลปะไทยให้ก้าวไกลสู่อาเซียนและนานาชาติในโอกาสต่อไปด้วย

กมล ทัศนาญชลี

กมล ทัศนาญชลี
มอบเกียรติบัตรให้ผู้เรียน

มอบเกียรติบัตรให้ผู้เรียน
มอบเกียรติบัตรฐานเรียน จิตรกรรม

มอบเกียรติบัตรฐานเรียน จิตรกรรม
ฐาน-วรรณศิลป์

ฐาน-วรรณศิลป์
ฐานฝึกเพลงพื้นบ้าน

ฐานฝึกเพลงพื้นบ้าน
ฐาน...ศิลปะสื่อผสม

ฐาน…ศิลปะสื่อผสม
ฐาน เพลงพื้นบ้าน

ฐาน เพลงพื้นบ้าน
คัดเลือกผลงานฐาน-จิตรกรรม

คัดเลือกผลงานฐาน-จิตรกรรม
คณะศิลปินแห่งชาติประเมินผลงานนักเรียน

คณะศิลปินแห่งชาติประเมินผลงานนักเรียน
คณะวิทยากรจากศิลปินแห่งชาติ

คณะวิทยากรจากศิลปินแห่งชาติ

ภูมิบ้านภูมอเมือง : ‘ซ้องกั๋ง’ วรรณกรรมวิถีคนกล้าในสังคมไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/315485

ภูมิบ้าน ภูมอเมือง : 'ซ้องกั๋ง'  วรรณกรรมวิถีคนกล้าในสังคมไทย

ภูมิบ้าน ภูมอเมือง : ‘ซ้องกั๋ง’ วรรณกรรมวิถีคนกล้าในสังคมไทย

วันอาทิตย์ ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ต้นฉบับวรรณกรรมจีนที่แปลสมัยแรก

วันพิราลัยของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง)  ผู้สำเร็จราชการในแผ่นดินรัชกาลที่ ๕ เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ที่ผ่านมานั้น มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาได้นำวรรณกรรมจีนเรื่องซ้องกั๋ง มาจัดพิมพ์ขึ้นใหม่ ด้วยเป็นผลงานของสมเด็จเจ้าพระยาฯให้แปลและพิมพ์เผยแพร่สอนผู้คนเช่นเดียวกับอดีตที่ใช้วรรณกรรมจีนสอนผู้คนในสังคม กล่าวคือตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ นั้นทรงโปรดฯให้แปลเรื่องไซฮั่น และเรื่องสามก๊ก รัชกาลที่ ๒ ทรงโปรดฯ ให้แปลเรื่องเลียดก๊ก ห้องสินและตั้งฮั่น ในรัชกาลที่ ๓ มีนั้นได้มีชาวจีนเข้ามาทำมาค้าขายและอยู่ร่วมกันตามชายทะเลจำนวนมาก ต่อมามีเหตุการณ์อั้งยี่เพื่อดูแลชาวจีนและทำร้ายกัน ทำให้เจ้าพระยาพระคลัง คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์(ดิศ) ต้องนำกำลังปราบหลายครั้ง ที่ชายทะเลแสมดำเมื่อพ.ศ.๒๓๘๗ ที่ตำบลลัดกรุด สมุทรสาคร เมื่อพ.ศ.๒๓๙๐ และที่เมืองฉะเชิงเทรา เมื่อพ.ศ.๒๓๙๑ เป็นต้น ดังนั้นเมื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) เป็นสมุหกลาโหมในรัชกาลที่ ๔ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลหัวเมืองชายทะเล ที่มีชาวจีนโพ้นทะเลมาอยู่จำนวนมากนั้น จึงสนับสนุนการแปลวรรณกรรมจีนเพื่อผสมผสานความคิดผ่านตัวละครและเหตุการณ์ประวัติศาสตร์จีนมาสู่การปรับตัว อันส่งผลให้อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจและมีความสุขร่วมกัน วรรณกรรมจีนที่คัดเลือกมาแปลครั้งนั้นมีถึง ๑๙ เรื่อง โดยดำเนินการแปลมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ จำนวน ๑๐ เรื่อง ได้แก่ เรื่อง ไซ้จิ้น,  ตั้งจิ้น,น่ำซ้อง, หงอโต้, บ้วนฮวยเหลา,โหงวโฮ้วเพงไซ, โหงวโฮ้วเพงหนำ, ซวยงัก, ซ้องกั๋ง, เม่งเฉียว และอีก ๙ เรื่องในช่วงจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์(ช่วง)เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ได้แก่เรื่อง เสาปัก, ซิยินกุ้ยเจงตัง, ซิเตงซันเจงไซ, เลียดต้วน, อิวกังหนำ,ไต้อั้งเผ่า, เซียวอั้งเผ่า, หนำอิดซือ, เม่งฮวดเชงฌ้อ แต่ละเรื่องนั้นได้มีการแสดงงิ้วถ่ายทอดเนื้อหาสาระและสร้างความสนุกสนาน เป็นการสอนคุณธรรมและเรียนรู้เล่ห์กลให้รู้จักผิดชอบชั่วดีผ่านตัวละคร ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีโรงเรียนสอนประชาชน  ซึ่งมีการจัดพิมพ์ครั้งแรกใน ปี พ.ศ.๒๔๑๙ โดยโรงพิมพ์หมอบรัดเลย์ ที่นำวรรณคดีและเรื่องแปลในรัชกาลที่ ๑-๔ มาพิมพ์เผยแพร่ โดยเฉพาะวรรณกรรมจีน ๑๙ เรื่อง ดังกล่าวนั้นเรียกว่าฉบับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์(ช่วง) สำหรับเรื่อง ซ้องกั๋ง นั้นเป็นวรรณกรรมสุดยอดใน ๔ เรื่องของจีนได้แก่ ซ้องกั๋ง-สามก๊ก  ไซอิ๋ว และ ความฝันในหอแดง “ซ้องกั๋ง” นั้นเกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ้อง แผ่นดินพระเจ้าซ่งเฟยหง เมื่อพ.ศ.๑๖๖๔ เป็นเรื่องความผูกพันระหว่างบุคคล ที่มีเนื้อหาลึกซึ้ง สะเทือนใจ ผ่านตัวละครที่มีความสำคัญถึง ๑๐๘ คน แต่ละคนนั้นต่างมีบทบาทเป็นผู้กล้าหาญ-ดาวฟ้า-สหายดินอยู่ที่เขาเหลียงซานหรือเนียซัวเปาะ โดยมีหัวหน้าชื่อ ซ่งเจียง เป็นผู้มีความซื่อสัตย์ กตัญญู รู้หนังสือ และงานฝ่ายบุ๋น ฝีมือเข้มแข็ง โอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือชาวบ้านที่ขัดสนจนมีคนมาสวามิภักดิ์จำนวนมาก แต่ละคนล้วนมีที่มาที่ไปแตกต่างกัน แต่ทุกคนมารวมกันเพื่อต่อสู้กับอำนาจ ซึ่งสอนให้รู้จักการต่อสู้เพื่อทวงสิทธิประโยชน์ของตน และค้นหาคำตอบถึงการที่จะให้ผู้อื่นรังแกอย่างไม่มีเหตุผลต่อไปอีกหรือไม่ เป็นเรื่องที่สร้างให้คนทุกคนเป็นคนกล้าที่จะแสดงออก กล้าต่อสู้ กล้าที่จะยืนอยู่ในจุดยืนที่ถูกต้อง และเป็นกำลังสำคัญของชุมชน-อันเป็นพื้นฐานเบื้องต้นให้ประชาชนได้เรียนรู้และตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของตนเองจากตัวละครดังกล่าวอย่างไม่รู้ตัว เป็นเรื่องราวของผู้ที่ทนต่อความเหลวแหลกของสังคมไม่ได้แล้วพากันหลบหนีเข้าป่าไปซ่องสุมต่อต้านความอยุติธรรม สะท้อนภาพการปกครองที่เลวร้ายจนนำไปสู่ความแตกแยกความสามัคคี เมื่อฝ่ายปกครองรู้จักโอนอ่อนผ่อนปรน จึงออกจากป่ามาช่วยพัฒนาบ้านเมืองในที่สุด ใช้สอนสังคมว่า “ที่ใดมีการกดขี่  ที่นั่นย่อมมีการขัดขืน” ภายหลังนั้นซ่งเจียง ได้เข้าทำราชการเป็นขุนนางผู้สำเร็จราชการเมืองฌ้อจิว วรรณกรรมจีนซ้องกั๋งจึงเป็นเรื่องอ่านสนุก  เข้าใจง่าย คนจึงนิยมกันอย่างกว้างขวางและสะท้อนสังคมไทยมาทุกยุคสมัย

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
เสียงเพลงผู้กล้าจากซ้องกั๋ง

เสียงเพลงผู้กล้าจากซ้องกั๋ง
สำรวจวรรณกรรมต้นฉบับ

สำรวจวรรณกรรมต้นฉบับ
ภาพเขียนเรื่องซ้องกั๋ง

ภาพเขียนเรื่องซ้องกั๋ง
ดนตรีจากจีนในวันแนะนำซ้องกั๋ง

ดนตรีจากจีนในวันแนะนำซ้องกั๋ง
ซ้องกั๋งท่ี่พิมพ์ใหม่

ซ้องกั๋งท่ี่พิมพ์ใหม่
ซ่งเจียงหรือซ้องกั๋ง ผู้โบกธงคุณธรรม

ซ่งเจียงหรือซ้องกั๋ง ผู้โบกธงคุณธรรม

ภูมิบ้านภูมอเมือง : ‘สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี’ ๒๕๐ปีปฐมราชวงศ์กรุงธนบุรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/311845

ภูมิบ้าน ภูมอเมือง : ‘สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี'  ๒๕๐ปีปฐมราชวงศ์กรุงธนบุรี

ภูมิบ้าน ภูมอเมือง : ‘สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี’ ๒๕๐ปีปฐมราชวงศ์กรุงธนบุรี

วันอาทิตย์ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

พระยาตากนำไพร่พลกู้้แผ่นดิน

ก่อนสิ้นปีทุกปีนั้นมีวันสำคัญที่คนไทยระลึกถึงเป็นอย่างมากคือวันที่ ๒๘ ธันวาคม เป็นวันสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ปีนี้ครบวาระ ๒๕๐ ปี แห่งวันคล้ายวันปราบดาภิเษกสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีขึ้นเป็นกษัตริย์ราชวงศ์กรุงธนบุรีพระราชสมภพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๒๗๗ เดิมนั้นมีพระนามเดิมว่า “สิน” เล่ากันว่ามีพระบิดาเป็นพ่อค้าชาวจีนแต้จิ๋ว นามว่า “นายไหฮอง แซ่แต้” พระมารดา เป็นหญิงไทยนามว่า “นกเอี้ยง” ชาติกำเนิดนั้นด้วยเหตุที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนจึงมีการสันนิษฐานกันหลายความพระราชประวัติของพระองค์นอกจากปรากฏในเรื่องอภินิหารบรรพบุรุษแล้วมีความเล่าไว้ว่าวัยเยาว์ พระยาจักรีได้รับเด็กชายสินเป็นบุตรบุญธรรม และนำไปฝากให้เรียนหนังสือกับพระอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส (วัดคลัง) ทรงศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉาน เมื่อเล่าเรียนจบแล้วพระยาจักรีได้พาเด็กชายสินเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ด้วยความเฉลียวฉลาด รอบรู้ และพูดได้ถึงสามภาษา พระองค์จึงได้โปรดเกล้าฯให้เป็นมหาดเล็กรายงานราชการทั้งหลายในกรมมหาดไทยและกรมวังศาลหลวงเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เสด็จสวรรคต ในพ.ศ.๒๓๐๑ นั้น สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ขึ้นครองราชย์ต่อได้เพียง ๓ เดือนเศษ ได้ถวายราชสมบัติให้สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ พระองค์โปรดเกล้าฯให้นายสินมหาดเล็กรายงาน เชิญท้องตราราชสีห์ขึ้นไปชำระความหัวเมืองฝ่ายเหนือ นายสินมหาดเล็กสร้างผลงานได้รับความดีความชอบ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายสินมหาดเล็กรายงานเป็นหลวงยกบัตรเมืองตาก จนกระทั่งพระยาตาก เจ้าเมืองคนเดิมถึงแก่กรรม หลวงยกบัตรเมืองตากจึงได้เลื่อนเป็นพระยาตากแทนจึงเรียกรู้กันในนามพระยาตากสินต่อมา

คราวพม่ายกทัพมารุกรานกรุงศรีอยุธยาทางตอนใต้เมื่อปี พ.ศ.๒๓๐๗ โดยมังมหานรธาเป็นแม่ทัพ พระยาตาก (สิน)ได้ยกทัพไปช่วยรักษาเมืองเพชรบุรีและตีทัพพม่าถอยกลับไปต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๓๐๘ พม่าได้ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง พระยาตากก็สามารถช่วยรักษาพระนครไว้ได้อีก ความดีความชอบนี้ ทำให้สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์โปรดเกล้าฯแต่งตั้งพระยาตากเป็นพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชรโดยยังไม่ได้ครองเมืองกำแพงเพชรก็ปรากฏว่าพม่าได้ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง พระยาวชิรปราการจึงต้องเข้ากรุงศรีอยุธยาเพื่อช่วยป้องกันพระนคร ระหว่างทำการสู้รบอยู่นั้นพระยาวชิรปราการเกิดท้อแท้ใจที่แม้จะตีค่ายพม่าได้กลับถูกขัดขวางไม่มีกำลังไปหนุน ทำให้พม่ายึดค่ายกลับคืนได้อีกทั้งเห็นว่า ทัพพม่ามีกำลังมากกว่าหากออกไปรบคงพ่ายแพ้อย่างหมดทางสู้ประกอบกับตนถูกภาคทัณฑ์ที่ยิงปืนใหญ่ใส่ทัพพม่าโดยไม่ได้ขออนุญาตจากศาลาลูกขุนไว้ด้วย พระยาวชิรปราการจึงเห็นว่าคงไม่จะอยู่ป้องกันพระนครได้ยากและเชื่อว่ากรุงศรีอยุธยาคงจะต้องเสียกรุงในไม่ช้าจึงนำไพร่พลจำนวนมาก (๕๐๐ นั้นหมายถึงจำนวนนับไม่ได้มากกว่าระบุจำนวนคน) ตีหักด่านวงล้อมพม่าออกจากค่ายพิชัยไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และเข้ายึดเมืองระยองได้สำเร็จและรวบรวมผู้คนจนไพร่พลยกย่องพระยาวชิรปราการเป็น “ขุนหลวงตาก” (ขุนหลวงเป็นคำเรียกเจ้า) หลังจากนั้นขุนหลวงตาก ได้วางแผนจะเข้ายึดเมืองจันทบูรสั่งให้ไพร่พลทำลายหม้อข้าวให้หมด เพื่อปลุกขวัญกำลังให้สู้ตีเมืองจันทบูรให้แตกโดยหวังเสบียงข้างหน้าในเมืองในที่สุดทัพขุนหลวงตากสามารถตีเมืองจันทบูรได้ เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๑๐

ต่อมาจึงมีผู้คนเข้าร่วมเป็นไพร่พลอยู่กับขุนหลวงตากจำนวนมากจนสามารถรวบรวมเสบียงและกำลังคนได้ราว ๕,๐๐๐ คน ในเวลา ๓ เดือน แล้วนำทัพเรือล่องมาจนถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยาและยึดเมืองธนบุรีจากพม่าได้สำเร็จ จากนั้นพระองค์ได้ยกทัพเรือเข้ายึดค่ายโพธิ์สามต้นแล้วขับไล่ข้าศึกออกไปจากราชอาณาจักรโดยสามารถกอบกู้เอกราชได้สำเร็จภายในเวลา ๗ เดือน นับตั้งแต่เสียกรุงเมื่อปีพ.ศ.๒๓๑๐ หลังจากนั้นพระองค์ได้ตั้งราชธานีใหม่ที่เมืองธนบุรีศรีสมุทร ซึ่งเดิมเป็นเมืองด่านขนอนและปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๑๐ ในขณะพระชนมายุ ๓๔ พรรษา ทรงเฉลิมพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ พระองค์ได้ทำการปราบปรามชุมนุมหรือก๊กต่างๆ จนรวบรวมเป็นอาณาจักรเดียวกัน และฟื้นฟูบ้านเมืองขึ้นใหม่จากความเสียหายของกรุงศรีอยุธยาอันเป็นคุณูปการที่หาได้ยากยิ่ง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงครองราชย์ได้ ๑๕ ปี เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ สิริพระชนมายุ ๔๘ พรรษา นับเป็นวีรกษัตริย์องค์สำคัญที่กอบกู้แผ่นดินและสถาปนาราชวงศ์กรุงธนบุรีหนึ่งเดียวขึ้น

ท้องพระโรงกรุงธนบุรี

ท้องพระโรงกรุงธนบุรี
พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้ากรุงธนบุรี (ตากสิน)

พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้ากรุงธนบุรี (ตากสิน)
พระยาตากเข้าตีเมืองจันทบูร

พระยาตากเข้าตีเมืองจันทบูร
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

ภูมิบ้านภูมอเมือง : ‘ตลาดเก่าท่าม่วง’ ชุมชนวัฒนธรรมท่าน้ำริมแม่กลอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/309163

ภูมิบ้าน ภูมอเมือง : ‘ตลาดเก่าท่าม่วง’  ชุมชนวัฒนธรรมท่าน้ำริมแม่กลอง

ภูมิบ้าน ภูมอเมือง : ‘ตลาดเก่าท่าม่วง’ ชุมชนวัฒนธรรมท่าน้ำริมแม่กลอง

วันอาทิตย์ ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ตลาดเก่าท่าม่วง

ชุมชนหลายแห่งนั้นล้วนมีวัฒนธรรมที่สร้างและพัฒนาการมาแต่อดีต ดังนั้นวัฒนธรรมชาวบ้านที่บอกความเป็นตัวตนของชุมชนท้องถิ่นที่มีลักษณะเกื้อกูล พึ่งพาอาศัยไม่อยู่แบบตัวใครตัวมัน ไม่แข่งขันหรือเอารัดเอาเปรียบกันจึงย่อมรักษาภูมิปัญญาของตนได้ดี โดยอาศัยความสัมพันธ์กับธรรมชาติและมีความเคารพนับถือ เวลาว่างนั้น คุณธีรภาพ โลหิตกุล ศิลปินแห่งชาติ ได้ชักชวนเพื่อนพ้องที่รักชอบงานสารคดีและรักการถ่ายภาพมาร่วมกันให้ความสำคัญกับชุมชนทางวัฒนธรรมผ่านมุมมองแล้วถ่ายทอดเป็นหนังสือ “นพมณีกาญจน์” ให้เห็นความงดงาม ครั้งนี้ได้ไปตามรอยกันที่ ชุมชนบ้านท่าม่วง อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ที่ชาวบ้านแจ่มชัดในวัฒนธรรมของตน ทำให้หลายคนตื่นและรับรู้ถึงเอกลักษณ์และคุณค่าของตัวเอง จนค้นพบจิตสำนึกอิสระของชุมชน เห็นคุณค่าของการรวมตัวเป็นชุมชน และซาบซึ้งในประวัติการต่อสู้ดำรงอยู่ร่วมกัน

อีกทั้งยังเห็นภัยของการครอบงำจากวัฒนธรรมแปลกปลอมจากภายนอก  อำเภอท่าม่วงแห่งนี้ตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ.๒๔๔๑ ที่บ้านท่าไม้รวก ตำบลม่วงชุม โดยเริ่มแรกเรียกอำเภอใต้ เนื่องจากเขตอำเภอนั้นติดกับ “วัดใต้” หรือวัดมโนธรรมาราม ต่อมาความเจริญของลำน้ำเปลี่ยนไปทำให้ผู้คนอพยพลงมาทางใต้ ด้วยบริเวณท่าไม้รวกเป็นลำน้ำคด ไม่สะดวกในการสัญจรของเรือ แพ จึงย้ายอำเภอมาตั้งใหม่บริเวณใกล้กับวัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง ตั้งชื่อใหม่ว่า อำเภอวังขนาย  ความเป็นมาของชุมชนตลาดที่มากกว่า ๑๑๗ ปี จนมีชื่อเรียกขานว่า “ตลาดนางลอย” นั้นหลังจากเกิดอัคคีภัยครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๘ ได้มีการบูรณะฟื้นฟูบ้านเรือนขึ้นมาใหม่บริเวณตลาดนางลอยเดิมและเรียกว่าตลาดท่าม่วงต่อมา พระวรภักดิ์พิบูลย์ นายอำเภอสมัยนั้นเห็นว่าอำเภอควรตั้งชื่อให้สอดคล้องกับสภาพจริงคืออำเภอตั้งอยู่ในตำบลท่าม่วงและอยู่ท้ายตลาดท่าม่วงซึ่งเป็นตลาดใหญ่ จึงเปลี่ยนชื่อจากอำเภอวังขนายเป็น อำเภอท่าม่วง ในปีพ.ศ.๒๔๘๒ แม้ว่าจะมีการย้ายที่ว่าการอำเภอมาอยู่ที่ตั้งปัจจุบันอีกครั้งเมื่อพ.ศ.๒๔๘๙ เนื่องจากอาคารที่ว่าการอำเภอเดิมเล็กคับแคบและชำรุดทรุดโทรมไม่สามารถขยายได้ แต่ด้วยความที่เป็นย่านการค้าเก่าริมน้ำแม่กลองของเมืองกาญจนบุรี จึงเกิดชุมชนที่มีบทบาทและมีคุณค่าของประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และวิถีชีวิตชุมชนของตน

ตลาดเก่าท่าม่วงนั้นเฟื่องฟูมากด้วยอยู่บนเส้นทางค้าริมน้ำแม่กลอง มีท่าเรือรับส่งสินค้า จำนวน 3 ท่า คือ ท่าบน ท่ากลาง และท่าล่าง ที่ใช้ในการรับ-ส่งผู้โดยสาร และขนส่งซื้อ-ขายสินค้าที่มาจากเมืองต่างๆเช่น จากกรุงเทพฯ สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทราโดยใช้ลำน้ำแม่กลองในการใช้เส้นทางเดินเรือล่องผ่านอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เป็นชุมชนตลาดเก่าที่ยังคงวิถีชีวิตของชุมชนชาวจีน มีเรือนแถวไม้ของสถาปัตยกรรมเดิมๆ ของความเป็นเมืองท่าค้าขายที่กำลังจะถูกเปลี่ยนแปลงและอาคารเก่าหลายแห่งทรุดโทรม จึงมีความพยายามของชุมชน ร่วมมือกันฟื้นฟูวิถีของย่านผ่านการมีส่วนร่วม จนเป็นความอิ่มใจของชุมชนที่ร่วมกันคืนชีวิตให้ย่านการค้าเก่า ในรูปแบบถนนสายวัฒนธรรมหลังจากซบเซามากว่า ๓๐ ปี จากการสำรวจนั้นพบว่ายังมีอาคารสำคัญด้านประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์และผู้คนในอดีต มากกว่า ๙๐ รายการ อย่างบ้านปอเชียงอายุกว่า ๙๐ ปีนั้นปัจจุบันจัดเป็นศูนย์เรียนรู้ชุมชนที่มีประวัติการค้ากับชาวญี่ปุ่นและตะวันตกช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในแผนพัฒนาเมืองและพัฒนาเศรษฐกิจท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมนั้นทำให้ชุมชนได้ร่วมกำหนดอนาคตของย่านตลาดเก่าด้วยตนเอง ที่ชาวบ้านต้องร่วมกันถอดบทเรียนเพื่อนำมาเป็นข้อมูลสำหรับการเดินหน้าของชุมชนวัฒนธรรมแห่งนี้ต่อไป ชุมชนท่าม่วงนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ และละครหลายเรื่อง เช่น คู่กรรม ถ่ายทำเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๗ อันธพาล ถ่ายทำเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๕ และภาพยนตร์เกาหลี Sunny ถ่ายทำเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๗จึงเป็นตลาดเก่าที่สะท้อนวิถีแบบดั้งเดิมที่เหลืออยู่ได้และน่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง

การเรียนรู้ของชุมชน

การเรียนรู้ของชุมชน
ศูนย์การเรียนรู้ปอเชียง

ศูนย์การเรียนรู้ปอเชียง
ป้ายศาลเจ้าเก่า

ป้ายศาลเจ้าเก่า
ประตูในศาลเจ้า

ประตูในศาลเจ้า
ทางเข้าชุมชนในปัจจุบัน

ทางเข้าชุมชนในปัจจุบัน
เตาสำหรับใช้ถ่าน

เตาสำหรับใช้ถ่าน
ขวดเก่าเหล้าญี่ปุ่น

ขวดเก่าเหล้าญี่ปุ่น
การแสดงของเด็กในชุมชน

การแสดงของเด็กในชุมชน