ภูมิบ้านภูมิเมือง : “เกราะเพชร”ภูมิยันต์ของแผ่นดินสยาม

ภูมิบ้านภูมิเมือง : “เกราะเพชร”ภูมิยันต์ของแผ่นดินสยาม

ภูมิบ้านภูมิเมือง : “เกราะเพชร”ภูมิยันต์ของแผ่นดินสยาม

วันอาทิตย์ ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 06.15 น.

ในบรรดายันต์ที่รู้จักกันทั่วไปนั้นไม่ใครที่ไม่รู้จักยันต์เกราะเพชร์ของพระยาพิชัยดาบหัก นักรบคู่ใจของพระยาตาก(สิน)เป็นผู้มีส่วนกอบกู้เอกราชของชาติไทยหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง มีชื่อเสียงอย่างยิ่งจากความกตัญญูกตเวทีและความกล้าหาญ หนึ่งในสี่ทหารเสือของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้แก่ หลวงราชเสน่หา (สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท), หลวงพิชัยอาสา (พระยาพิชัยดาบหัก), พระยาเชียงเงิน (พระยาสุโขทัย), หลวงพรหมเสนา (เจ้าพระยานครสวรรค์) เดิมท่านชื่อ จ้อย เกิดที่บ้านห้วยคา อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ศึกษาอยู่กับท่านพระครูวัดมหาธาตุหรือวัดใหญ่ เมืองพิชัย ภายหลัง จ้อยได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นทองดี หรือ ทองดีฟันขาว มีความสามารถและชื่อเสียงอย่างยิ่งทั้งทางเชิงมวยและเชิงดาบจากครูเมฆ บ้านท่าเสา อุตรดิดต์จนได้เข้ารับราชการกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ตั้งแต่ครั้งดำรงตำแหน่งเป็นพระยาตาก ต่อมานายทองดีได้รับแต่งตั้งเป็นองครักษ์มีบรรดาศักดิ์เป็น “หลวงพิชัยอาสา” เมื่อรับราชการมีความดีความชอบจึงได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าหมื่นไวยวรนาถ พระยาสีหราชเดโช และพระยาพิชัย ผู้สำเร็จราชการครองเมืองพิชัย ซึ่งรับพระราชทานเครื่องยศเสมอเจ้าพระยาสุรสีห์ ตามลำดับ  ภายหลังข้าศึกยกทัพมาตีเมืองพิชัย 2 ครั้ง ในการรบครั้งที่ 2 พระยาพิชัยถือดาบสองมือออกต่อสู้จนดาบหักไปข้างหนึ่ง และรักษาเมืองไว้ได้ จึงได้รับสมญานามว่า “พระยาพิชัยดาบหัก”เมื่อครั้งนายเวทย์  นิจถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิต์ สร้างอนุสาวรีย์นั้น ได้นำยันต์นี้ไว้ด้านหลังเหรียญรุ่นแรก จึงทำให้ยันต์เกราะเพชร แพร่หลายและสืบต่อรุ่นยันต์นี้มาถึงหลวงพ่อสุ่น อุปัชญาจาย์ ของหลวงพ่อปาน  วัดบางนมโค  ท่านได้เรียนมาจากอาจารย์แจง  ซึ่งเป็นฆราวาส ชาวสวรรคโลก ที่สืบจากตำราสมัยพระร่วง ยันต์เกราะเพชรนี้ มาจากการเขียนบทพระพุทธคุณห้องต้น คือ พระอิติปิโสภควา จนถึงพุทธโธภควาติ เรียกว่า พระอิติปิโสแปดทิศนี้๑. อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา ( ឥ រ ចា គ ត្ត រ សា )บทนี้ชื่อ กระทู้ ๗ แบก ประจำอยู่ทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) ใช้เสกเป่าแก้พิษสัตว์กัด ต่อยได้ ๒. ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง ( តិ ហំ ច តោ រោ ថិ នំ )บทนี้ชื่อว่า ฝนแสนห่า ประจำอยู่ทิศอาคเณย์ (ทิศตะวันออกเฉียงใต้)ใช้ เสกทำน้ำมนต์ รดคนเจ็บไข้ได้ป่วย ผีเจ้าเข้าทรง๓. ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท ( បិ ស្ម័ រ លោ បុ ស្ត័ ពុ )บทนี้ชื่อ นารายณ์เกลื่อนสมุทร ประจำอยู่ทิศทักษิณ (ทิศใต้)ใช้ เสกภาวนากันภูตผีปีศาจเป่าพิษบาดแผล๔. โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ ( សោ មា ណ ក រិ ថា ទ្ធោ )บทนี้ชื่อ นารายณ์ถอดจักร์ ประจำอยู่ทิศหรดี (ทิศตะวันตกเฉียงใต้)ใช้ เสกจดครบ 108 จบ ทำน้ำมนต์ ไล่ผีหรือ ให้คนท้องกิน จะคลอดลูกง่าย๕. ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ ( ភ ស្ម័ ស្ម័ វិ ស ទេ ភ )บทนี้ชื่อ นารายณ์ขว้างจักร์ตรึงไตรภพ ประจำอยู่ทิศประจิม (ทิศตะวันตก)ใช้ เสกพรมร่างคนไข้ ไล่ภูตผีปีศาจร้าย ดีนัก๖. คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ ( គ ពុ ប្ន័ ទូ ទ្ម វ គ )บทนี้ชื่อ นารายณ์พลิกแผ่นดิน ประจำอยู่ทิศพายัพ (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ)ใช้เสกทำน้ำมนต์ ป้องกันผีเจ้าเข้าทรง หรือถูกคุณกระทำชะงัดนัก๗. วา โธ โน อะ มะ มะ วา ( វា ទ្ធោ នោ អ ម ម វា )บทนี้ชื่อ ตวาดฟ้าป่าหิมพานต์ ประจำอยู่ทิศอุดร (ทิศเหนือ)ใช้เสกด้าย หวาย มีด ข้าวสาร ขับไล่ผีบ้าน ผีป่าเวลาเดินทางดีนัก๘. อะ วิช สุ นุต สา นุส ติ ( អ វិ សុ នុ សា នុ តិ )บทนี้ชื่อ นารายณ์แปลงรูป ประจำอยู่ทิศอีสาน (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ)ใช้เสกเป่าตัวเองป้องกันตัวเองเวลาเดินทางออกจากบ้าน แคล้วคลาดได้ ยันต์เกราะเพรชของหลวงพ่อปานนี้  ก็ใช้บทพุทธคุณต้นห้องต้นนั้นมาเรียงกันตามตำรากำหนดแล้ว ขีดเส้นโยงเป็นตารางสานกันไปมา ระหว่างตัวอักขระพระอิติปิโสนี้   บังเกิดเป็นเกราะแก้วประสานกันรอบตัวยันต์ โดยเพิ่มตัวอุณาโลมและตัวโมลงไปด้วย ยันต์เกราะเพชรจึงสามารถคุ้มกันอันตราย ในสมัยที่ท่ายมีชีวิตอยู่นั้น ในงานไหว้ครูประจำปีของท่านทุกปี ท่านจะทำการเป่ายันต์เกราะเพชรให้กับลูกศิษย์และผู้เคารพนับถือปีละหน และผู้ที่ได้รับการเป่ายันต์เกราะเพชรแล้วไม่ต้องมาเป่าอีก และถ้าเป่าแล้วจะไปทำให้เสื่อมลง จะมาเป่าอีกก็ไม่ได้ผล การเป่ายันต์เกราะเพชรนี้หลวงพ่อได้อรรถธิบายว่า  เพื่อให้ยันต์นี้เข้าไปสถิตย์อยู่ในตัวของผู้ที่ต้องการ  ตรงบริเวณหน้าผากให้คุ้มครองให้พ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง ซึ่งเป็นคุณวิเศษของยันต์เกราะเพชรนี้

ตระกรุด

ตระกรุด

อกเลายันต์มหาอุดต์

อกเลายันต์มหาอุดต์

เสื้อยันต์เกราะเพชร

เสื้อยันต์เกราะเพชร

เสื้อยันต์เกราะเพชร

เสื้อยันต์เกราะเพชร

ยันต์มหาอุตม์

ยันต์มหาอุตม์

พระยาพิชัยดาบหัก

พระยาพิชัยดาบหัก

พระภิกษุร

พระภิกษุร

พระเจ้ากรุงธนบุรี(ตากสิน)

พระเจ้ากรุงธนบุรี(ตากสิน)

นักรบสมัยพระนเศวรต้องครอบยันต์นี้

นักรบสมัยพระนเศวรต้องครอบยันต์นี้

ภูมิบ้านภูมิเมือง : ‘รอยเลื่อนสกาย’ ภูมิวิกฤตแผ่นดินสยาม

ภูมิบ้านภูมิเมือง : 'รอยเลื่อนสกาย' ภูมิวิกฤตแผ่นดินสยาม

ภูมิบ้านภูมิเมือง : ‘รอยเลื่อนสกาย’ ภูมิวิกฤตแผ่นดินสยาม

วันอาทิตย์ ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

“รอยเลื่อนสะกาย” (Sagaing Fault) เป็นรอยเลื่อนที่มีพลัง ความยาวประมาณ 1,200 กม. วางตัวอยู่แนวทิศเหนือ-ใต้ ผ่านกลางประเทศเมียนมา โดยถูกขนานนามว่า “ยักษ์หลับกลางเมืองเมียนมา” เคยเกิดแผ่นดินไหวตั้งแต่ขนาด 2.9 – 7.3 กว่า 280 ครั้ง มาแล้ว รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) ถือเป็นหนึ่งในรอยเลื่อนมีพลัง (active fault) ที่สำคัญอันดับต้น ๆ ในอาเซียน คำว่า Sagaing Fault คนไทยสมัยก่อนอ่านว่า “รอยเลื่อนสะเกียง” ส่วนชาวต่างชาติเรียก “รอยเลื่อนสะแกง” ส่วนชาวเมียนมาเองนั้นเรียกว่า “รอยเลื่อนสะกาย”  ปัจจุบันได้มีการเรียกตรงกันว่า “รอยเลื่อนสะกาย”     ตำนานสิงหนวัติกุมารเล่าถึงการเข้ามาในดินแดนบริเวณลุ่มแม่น้ำกก ของชาวไทยเทศ มีผู้นำคือ สิงหนวัติกุมารได้ตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ คือ เมืองโยนกนาคพันธุ์ หรือเมืองโยนกนั่นเอง และมีการอยู่อาศัยเรื่อยมา จนถึงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ได้เกิดเหตุอาเพศ ตำนานเล่าว่าชาวเมืองได้จับปลาไหลเผือกมากิน ทำให้เกิดแผ่นดินไหว บ้านเมืองล่มสลายหายไปในที่สุด.  ชื่อเรียก “โยน” หรือ “ยวน” ที่เรียกกลุ่มคนและแคว้นบริเวณลุ่มแม่น้ำกกตั้งแต่สมัยพญามังรายจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์นั้น น่าจะมีที่มาจากชื่อเมืองโยนก ซึ่งแสดงถึงการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ตั้งแต่ยุคตำนานจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ ซึ่งนักประวัติศาสตร์หลายท่านเห็นว่า เมืองโยนกนี้ ไม่น่าจะเป็นเพียงเมืองในตำนาน เพราะลักษณะการเล่าเรื่องในตำนานบอกถึงความทรงจำถึงเมืองที่เคยรุ่งเรืองมาก่อน.  นักวิชาการสันนิษฐานว่าเมืองโยนกที่ล่มสลายไป น่าจะมีที่ตั้งอยู่ ๒ บริเวณ คือ บริเวณเวียงหนองล่ม (หรือเวียงหนองหล่ม ในภาษาเหนือ) ในพื้นที่รอยต่อระหว่างอำเภอแม่จันและอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย และอีกบริเวณคือ หนองหลวง ในพื้นที่อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ซึ่งทั้ง ๒ แห่งนี้ มีการสำรวจทางโบราณคดีพบโบราณสถาน ทั้งวัดร้างและแหล่งเตาเผาโบราณ จำนวน ๗๘ แหล่ง อย่างไรก็ตาม โบราณวัตถุและโบราณสถานที่สำรวจพบในพื้นที่เวียงหนองหล่ม สามารถกำหนดอายุได้ในราวช่วงสมัยล้านนาเท่านั้น ยกเว้น กลองมโหระทึก ที่ชาวบ้านพบจากหนองเขียว ที่มีอายุเก่าแก่ไปถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อประมาณ ๒,๐๐๐-๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว.   ศิลาจารึกสมัยกรุงสุโขทัยมีจารึกเรื่องแผ่นดินไหวกันแล้ว ส่วนพงศาวดารมีบันทึกแผ่นดินไหวมาตลอดเช่นกัน ครั้งรุนแรงที่สุดซึ่งอาจจะถือว่ารุนแรงที่สุดของย่านนี้ก็ว่าได้ ถึงขั้นเมืองทั้งเมืองพร้อมเวียงวังจมหายกลายเป็นบึงประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๑ กล่าวว่า“….ศาสนาพระพุทธเจ้าล่วงไปได้ ๑๐๐๓ ปี พระองค์มหาชัยชนะเป็นกษัตริย์มาได้ปีหนึ่งอายุได้ ๗๐ ปี เดือน ๗ แรม ๗ ค่ำ วันเสาร์ ครั้งนั้นคนทั้งหลายก็พากันไปเที่ยวยังแม่น้ำกุกกุฎนที ได้เห็นปลาตะเพียนเผือกตัวหนึ่ง ใหญ่เท่าต้นตาล ยาวประมาณ ๗ วา แล้วเขาก็พากันไปทุบปลาตัวนั้นตาย แล้วก็พากันลากมาถวายมหากษัตริย์เจ้า พระองค์ก็มีอาชญาให้ตัดเป็นท่อนแจกกันกินทั่วทั้งเวียงนั้นแล ครั้นว่าบริโภคกันเสร็จแล้วดั่งนั้น สุริยอาทิตย์ก็ตกไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงเหมือนดั้งแผ่นดินดังสนั่นหวั่นไหว ประดุจดังว่าเวียงโยนกนครหลวงที่นี้จักเกลื่อนจักพังไปนั้นแล แล้วก็หายไปครั้งหนึ่ง ครั้นถึงมัชฌิมยามก็ซ้ำดังมาเป็นคำรบสองแล้วก็หายนั้นแล ถึงปัจฉิมยามก็ซ้ำดังมาอีกเป็นคำรบสาม หนที่สามนี้ดังยิ่งกว่าทุกครั้งทุกคราวที่ได้ยินมาแล้ว กาลนั้นเวียงโยนกนครหลวงที่นั้นก็ยุบจมลงเกิดเป็นหนองอันใหญ่ ยามนั้นคนทั้งหลายอันมีในเวียงที่นั้น มีพระมหากษัตริย์เป็นประธาน ก็วินาศฉิบหายตกไปในน้ำที่นั้นสิ้น….”นี่คืออวสานของนครโยนกที่กลายเป็นทะเลสาบใหญ่ เนื้อที่กว่า ๑ ตารางกิโลเมตรในอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายในปัจจุบัน แผ่นดินไหวในสมัยอยุธยา นั้นพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ได้บันทึกถึงเหตุการณ์ “แผ่นดินไหว” ในสมัยกรุงศรีอยุธยาไว้หลายครั้ง แต่ไม่ได้ระบุว่ามี “ความรุนแรง” มากน้อยแค่ไหน เช่น“ศักราช ๘๘๗ ระกาศก (พ.ศ. ๒๐๖๘) น้ำน้อย ข้าวเสียสิ้นทั้งปวง อนึ่งแผ่นดินไหวทุกเมือง แล้วและเกิดอุบาทว์เป็นหลายประการ ครั้งรุ่งปีขึ้นศักราช ๘๘๘ จอศก (พ.ศ. ๒๐๖๙) (ข้าวสารแพง) เป็น ๓ ทะนานต่อเฟื้องเบี้ยแปดร้อย เกวียนหนึ่งเป็นเงินชั่งหกตำลึง ซึ่งเป็นเหตุการณ์จากรอยเลื่อนสะกา

ภูมิบ้านภูมิเมือง : ‘วันปีใหม่’ภูมิเทศกาลงานตรุษนานาชาติ

ภูมิบ้านภูมิเมือง : ‘วันปีใหม่’ภูมิเทศกาลงานตรุษนานาชาติ

ภูมิบ้านภูมิเมือง : ‘วันปีใหม่’ภูมิเทศกาลงานตรุษนานาชาติ

วันอาทิตย์ ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2567, 07.15 น.

พลุสะพานข้ามเจ้าพระยา

สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ ด้วยวันปีใหม่ที่สนุกรื่นเริงกันทั้งประเทศนั้นมีประวัติความเป็นมาจากการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยและความเหมาะสมของกาลเวลา ตั้งแต่สมัยเริ่มแรกนั้นชาวบาบิโลเนีย เริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่างๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับเมื่อครบ 12 เดือน ก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือน ทุก 4 ปี ต่อมาชาวอียิปต์ ชาวกรีกและชาวเซมิติก ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไขอีกหลายคราว

สันตะปาปาเกรกอรี

เพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้นจนถึงสมัยของ กษัตริย์จูเลียส ซีซาร์ ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอะเลกซานเดรีย ชื่อ เฮมดัลมาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี 365 วัน ในทุกๆ 4 ปีให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่าปีอธิกสุรทิน  เมื่อเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน ในทุก 4 ปี ทำให้วันในปฏิทินนั้นไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล จึงทำให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน วันที่ 21 มีนาคมตามปีปฏิทินของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตรงทิศตะวันตกพอดี เรียกว่า วสันตวิษุวัต ในปี ค.ศ.1582 (ตรงกับพ.ศ.2125) วสันตวิษุวัตกลับไปเกิดขึ้นในวันที่11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคมดังนั้น สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 13จึงปรับปรุงแก้ไขโดยหักวันออกไป 10 วันจากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ.1582 แทนที่จะเป็นวันที่ 5 ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (เฉพาะปีดังกล่าว) ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรโกเรียน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีเป็นต้นมา วันแรกของเดือนมกราคมหมายถึงการเริ่มต้นวันปีใหม่ วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองทางศาสนา แต่ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1900เป็นต้นมา ก็ได้กลายเป็นโอกาสเฉลิมฉลองในคืนวันสิ้นปี ในวันที่ 31 ธันวาคม โดยมีงานเฉลิมฉลองในที่สาธารณะ ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการแสดงดอกไม้ไฟ และประเพณีอื่นๆ ที่มุ่งเน้นไปที่เวลาเที่ยงคืนและปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง บริการยามค่ำคืน วันปีใหม่ จึงเป็นวันเวลาที่ปฏิทินปีใหม่เริ่มต้นและนับปีปฏิทินเพิ่มขึ้นหนึ่งปี

จูเลียส ซีซาร์ 

วันขึ้นปีใหม่ในปฏิทินเกรโกเรียนที่ใช้กันทั่วโลกปัจจุบันนี้ตรงกับวันที่ 1 มกราคม อนึ่ง เทศกาลปีใหม่ อาจหมายถึงวันที่นับจากวันหยุดวันแรกในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมปีก่อน จนถึงวันหยุดสุดท้ายในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม สำหรับชาวคริสต์จะหยุดตั้งแต่คริสต์มาสไปจนถึงวันขึ้นปีใหม่ รวม 8 วัน การเฉลิมฉลองและกิจกรรมที่จัดขึ้นทั่วโลกในวันที่ 1 มกราคม ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่โดยทั่วไป เช่น การเดินขบวนพาเหรดสำคัญในหลายแห่ง การกระโดดแบบหมีขั้วโลกโดยชมรมหมีขั้วโลกในเมืองทางซีกโลกเหนือหลายแห่ง และการแข่งขันกีฬาสำคัญในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา สำหรับวันสงกรานต์นั้นกำหนดโดยการคำนวณทางดาราศาสตร์ คือวันที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ตกประมาณวันที่ 13 หรือ 14 เมษายนแต่ปัจจุบันได้ระบุแน่นอนว่า 13 ถึง 15 เมษายนสำหรับวันปีใหม่มักเรียกว่า วันตรุษของต่างประเทศ เช่น ตรุษไทย เป็นวันที่เริ่มต้นเดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติไทย แต่ยกเลิกลงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และกำหนดให้ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่แทน ตรุษจีน เป็นวันที่เริ่มต้นเดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติจีน ตกประมาณวันที่ 20 มกราคมถึง 20 กุมภาพันธ์ ตรุษญี่ปุ่น เดิมใช้วันเดียวกับตรุษจีนแต่เมื่อ ค.ศ.1873 ได้รับเอาปฏิทินเกรโกเรียนมาใช้จึงเปลี่ยนเป็นวันที่ 1 มกราคม แทน ตรุษญวน เป็นวันที่เริ่มต้นเดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติเวียดนามตกประมาณวันที่ 20 มกราคมถึง 20 กุมภาพันธ์เราะอส์ อัสซะนะฮ์ อัลฮิจญ์ริยะฮ์ (อาหรับ :  ) เป็นวันที่เริ่มต้นเดือนมุฮัรรอม (เดือน 1) ตามปฏิทินฮิจญ์เราะฮ์ของอิสลาม วันที่ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับว่ามีคนมองเห็นดวงจันทร์หรือไม่ ตามสถิติเมื่อเทียบกับปฏิทินเกรโกเรียนพบว่าวันนั้นร่นเข้าไปประมาณ 10 วันทุกปี ดังนั้น วันตรุษของแต่ละชาติจึงแตกต่างกัน

ปฏิทินฉบับแรก

ปฏิทินฉบับแรก

แสงสีปีใหม่ต่างจังหวัด

แสงสีปีใหม่ต่างจังหวัด

เคาท์ดาวน์ปีใหม

เคาท์ดาวน์ปีใหม

ภูมิบ้านภูมิเมือง : ‘โอ๊ะป่อย’ชุมชนต้นแบบวิถีกะเหรี่ยงสวนผึ้ง

SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/812038

ภูมิบ้าน ภูมิเมือง : ‘โอ๊ะป่อย’ชุมชนต้นแบบวิถีกะเหรี่ยงสวนผึ้ง

ภูมิบ้าน ภูมิเมือง : ‘โอ๊ะป่อย’ชุมชนต้นแบบวิถีกะเหรี่ยงสวนผึ้ง

วันอาทิตย์ ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2567, 06.00 น.

ชุมชนตลาดโอ๊ะป่อย

สวนผึ้ง นั้นเดิมเป็นตำบลหนึ่งในอำเภอจอมบึง ที่มีพื้นที่กว้างขวาง ทุรกันดาร เต็มไปด้วยภูเขา ป่าไม้ ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง ทำให้การปกครองดูแลเป็นไปด้วยความยากลำบากและการคมนาคมติดต่อไม่สะดวก สำหรับชื่อ บ้านมะขาม นั้นสืบจากบรรพบุรุษได้มีการปลูกต้นมะขาม ด้วยมีความเชื่อว่าปลูกแล้วจะเป็นที่เคารพนับถือและเกรงขามของสรรพสิ่งทั้งหลาย เพื่อแก้ปัญหาความมั่นคงในเขตชายแดน จึงทำให้รัฐบาลส่ง หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ ที่ ๗๐ กรป.กลางบก.ทหารสูงสุด ประกอบด้วยทหาร ๓ เหล่าทัพ และผู้แทนกระทรวงต่างๆ พร้อมที่จะดำเนินการพัฒนาท้องถิ่นทุกด้าน ตั้งแต่มีนาคม ๒๕๑๑-๒๕๑๔จนตำบลแห่งนี้ได้เป็นอำเภอเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๖ ทำให้มีการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนชอบบรรยากาศแบบชาวตะวันตกและมีเสน่ห์ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวไทยพากันไปเที่ยวไม่ขาด

ด้วยความมีจุดเด่นและวิถีของกลุ่มชาติพันธ์ุกะเหรี่ยงแห่งนี้ ทำให้ได้รับการประกาศเป็นสุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชนยลวิถี” ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๖ ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน ด้วยการนำทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในชุมชนมาพัฒนาต่อยอด เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างคุณค่า และมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๗ ที่ผ่านมานั้นดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมได้เป็นประธานพิธีเปิดชุมชนแห่งนี้ โดยมีนางสาววริษฐา สงวนเสริมศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี นางโชติกา อัครกิจโสภากุลรองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และนายอำเภอสวนผึ้ง ประธานสภาวัฒนธรรม ผู้นำชุมชนและเครือข่ายของชุมชน โดยมีการจัดกิจกรรมวิถีชาวกะเหรี่ยงที่มีการใส่บาตรพระสงฆ์ที่นำพระล่องแพ การแสดง ชุดเจปันนิว จากโรงเรียนบ้านท่ามะขาม และการตีเกราะเคาะไม้ไผ่ ซึ่งมีการสาธิตภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในตลาดโอ๊ะป่อย เช่น นำคังด้งมาแขวน ณ บริเวณลานคังด้ง การแสดงชุดรำถักเชือก จากนักเรียนโรงเรียนบ้านสวนผึ้ง ในบริเวณใกล้เคียงนั้นมีวัดป่าท่ามะขาม ที่ให้กราบสักการะพระมิ่งมงคลในโบสถ์มหาอุตม์ที่สวยงามจากการพัฒนาของ พระใบฎีกาแดง อภิปุญโญ เจ้าอาวาสวัดป่าท่ามะขาม และพิธีบวชป่ารักษาต้นไม้ รวมไปถึงชมเส้นทางท่องเที่ยววิถีธรรมชาติในพื้นที่หลายแห่ง เช่น ตลาดเฌอซีญ่า (ตลาดไกวเปล) ซึ่งมีพิธีผูกแขนเรียกขวัญ และสาธิตการชงชาเบญจชาไทย จากปราชญ์ชาวบ้านซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติผู้มาเยือน ได้ศึกษาเรียนรู้อัตลักษณ์ วิถีชีวิต วัฒนธรรม และประเพณีของชุมชนในอนาคต 

สำหรับชุมชนคุณธรรมฯบ้านท่ามะขามนี้ถือเป็นชุมชนที่มีผู้นำ “พลังบวร”และเครือข่ายในการขับเคลื่อนที่เข้มแข็ง ด้วยชุมชนนี้ส่วนใหญ่มีสัญชาติไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงประมาณร้อยละ ๙๐ ที่ยังคงใช้ภาษากะเหรี่ยงในการสื่อสารเฉพาะกลุ่ม ซึ่งผู้นำชุมชนได้รณรงค์ส่งเสริมให้คนในชุมชนแต่งกายที่เป็นลักษณะเฉพาะของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในกิจกรรมของการท่องเที่ยววิถีวัฒนธรรมและธรรมชาติ ที่ตลาดเช้าริมธาร “ตลาดโอ๊ะป่อย” (แปลว่า พักผ่อน) รวมทั้งนำอาหารพื้นถิ่นมาจำหน่าย เช่น ข้าวแดกงา ข้าวห่อกะเหรี่ยง นับเป็นตลาดที่มีธรรมชาติที่สวยงาม มีลำภาชีไหลผ่านที่ตลาดโอ๊ะป่อย จึงเป็นแนวคิดนิมนต์พระสงฆ์นั่งแพไม้ไผ่ล่องมาบิณฑบาต โดยให้นักท่องเที่ยวใส่บาตรพระล่องแพยามเช้า เพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งเรียกว่า “ตักบาตรพระล่องแพ”ถือเป็นมนต์เสน่ห์ของตลาดโอ๊ะป่อยที่หาได้ยากข้อมูลด้านการท่องเที่ยวของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดราชบุรี พบว่า ปี 2565 มีนักท่องเที่ยวประมาณ 75,300 คน มีรายได้ 37,650,000 บาทปี 2566 มีนักท่องเที่ยวประมาณ 68,400 คนมีรายได้ 34,200,000 บาท

ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร

ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร

ประธานพิธี และรองผู้ว่าฯ ราชบุรี

ประธานพิธี และรองผู้ว่าฯ ราชบุรี

พิธีเปิดชุมชนที่โอ๊ะป่อย

พิธีเปิดชุมชนที่โอ๊ะป่อย

วัดป่ามะขาม

วัดป่ามะขาม

ขนมถ้วย

ขนมถ้วย

อาหารพื้นถิ่น

อาหารพื้นถิ่น

พิธีบวชป่าปลูกต้นไม้

พิธีบวชป่าปลูกต้นไม้

พิธีชาวกะเหรี่ยงรักษาป่า

พิธีชาวกะเหรี่ยงรักษาป่า

พิธีบวชต้นไม้

พิธีบวชต้นไม้

พระภิกษุรับภัตตาหาร

พระภิกษุรับภัตตาหาร

ปลูกต้นไม้สร้างป่าชุมชน

ปลูกต้นไม้สร้างป่าชุมชน

นมัสการพระภิกษุวัดป่ามะขาม

นมัสการพระภิกษุวัดป่ามะขาม

ตลาดโอ๊ะป่อย

ตลาดโอ๊ะป่อย

ตลาดโอ๊ะป่อย

ตลาดโอ๊ะป่อย

ภูมิบ้านภูมิเมือง : ‘ปากน้ำชุมพร’ภูมิวิถีชุมชนชายทะเลใต้

SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/810669

ภูมิบ้าน ภูมิเมือง : ‘ปากน้ำชุมพร’ภูมิวิถีชุมชนชายทะเลใต้

ภูมิบ้าน ภูมิเมือง : ‘ปากน้ำชุมพร’ภูมิวิถีชุมชนชายทะเลใต้

วันอาทิตย์ ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2567, 06.00 น.

ชุมชนปากน้ำ

ในภาคใต้นั้นทุกเมืองต่างมีชายทะเล เกาะและทรัพยากรจากอ่าวไทย ชุมชนที่น่าสนใจนั้นคือ ชุมชนปากน้ำชุมพร ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมได้ยกย่องเป็นชุมชนต้นแบบที่มีความหลายหลายตามวิถีของชาวประมงที่อยู่กับป่าชายเลนและทะเลอาทิตย์นี้ขอตามรอยสยามไปกับ นางโชติกาอัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ที่ไปเปิดชุมชนแห่งนี้ที่บ้านปากน้ำชุมพร สำหรับชื่อ “ชุมพร” นั้น มีมากมายหลายประเด็น แต่ที่น่าเชื่อก็คือน่าจะมาจากชื่อพันธุ์ไม้ธรรมชาติในท้องถิ่น ที่มี ต้นมะเดื่อชุมพร ด้วยที่ตั้งเมืองชุมพรนั้นอยู่บนฝั่งแม่น้ำท่าตะเภา จึงเรียกพื้นที่ตามต้นมะเดื่อชุมพร ซึ่งขึ้นอยู่มากมาย ประวัติความเป็นมานั้นว่า เมืองชุมพรมีปรากฏแต่ พ.ศ.๑๐๙๘ เป็นเมืองหนึ่งใน ๑๒ นักษัตร ที่มีเมืองนครศรีธรรมราชเป็นเมืองหน้าด่านฝ่ายเหนือของเมืองนครฯ และมีชื่อปรากฏในกฎหมายตราสามดวงเป็นเมืองตรี เมืองฝ่ายใต้ของอยุธยาใน พ.ศ.๑๙๙๘ เมื่อ ชาวจามได้มาอยู่ที่เมืองชุมพรแห่งนี้ ด้วยความสามารถทางการค้า การเดินเรือ และการรบ ซึ่งปรากฏว่าไพร่อาสาจาม นั้นได้เป็นกำลังรบมาแต่สมัยอยุธยา จนทำให้เมืองชุมพรนั้นได้ขึ้นต่ออยุธยาเป็นเมืองหน้าด่านฝ่ายใต้ จึงไม่ปรากฏว่ามีถาวรวัตถุร่วมสมัยเหมือนเมืองอื่น ในสมัยกรุงธนบุรีเมืองชุมพรไม่มีบทบาทมากนัก แม้จะอยู่ในภาวะสงครามกู้แผ่นดินของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทั้งรัชกาล ครั้งนั้น พระชุมพร (พวย)ได้นำไพร่พลประมาณ ๘๐๐ คน ไปสู้รบที่ ค่ายบางกุ้ง ไพร่พลจากชุมพรนั้นได้ส่งกำลังเข้ารักษากรุงศรีอยุธยามา ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๐๕-๒๓๐๘ และเข้าร่วมกันตีเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งแต่ยุคต้นรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑-๔ นั้น เมืองชุมพรได้เปลี่ยนตัวเองเป็นเมืองท่าค้าขายสำคัญมาจนถึงในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ชาวจาม ยังมีบทบาททางการค้าและทำสวนในดินแดนนี้ พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้จัดตั้งเป็น มณฑลชุมพร ต่อมาได้ยุบการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลมาเป็นจังหวัด พ.ศ. ๒๔๙๕ เมืองชุมพรจึงมีฐานะเป็นจังหวัดที่เป็นอนุสรณ์แห่งกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ผู้สามารถเดินเรือข้ามทะเลได้เอง

ชายทะเลชุมพร

ในที่สุด ชาวจาม ซึ่งไม่มีบทบาทเป็นนักรบอย่างแต่ก่อน ก็คงเปลี่ยนเป็นพ่อค้าทางทะเลชาวประมง จนมี จีน พม่า มอญ และจาม มารวมกันวิถีพหุวัฒนธรรม ปัจจุบันเมืองนี้มีวิถีความเชื่อตามชาติพันธุ์ เช่น  มีวัดพุทธที่มีพระพุทธรูปสวยงาม มีโรงเจรักศีลธรรมที่มีเทพเจ้าฝ่ายจีนครบโดยเฉพาะเทพเจ้า ๑๒ นักษัตร มีมังกร ๕ ธาตุเจ้าแม่มัทรี และเจ้าแม่กวนอิมบนเขามัทรีที่ยังมีอาหารพื้นถิ่น ส้มปลากะพงยอดมะพร้าว-ปลาหมึกไข่ผัดหวาน เนื้อปูม้า จากการเปิดสุดยอดชุมชนต้นแบบที่ชุมชนคุณธรรมบ้านปากน้ำชุมพร โดยมี นายนวรัตน์ วงศ์ปิ่นเพ็ชร์ นายอำเภอเมืองชุมพร, นายอธิวัส ทรรศปณะวิภาส นายกเทศมนตรีตำบลปากน้ำชุมพร และเครือข่ายชุมชนนั้น ได้ร่วมกันสักการะพระครูศรีธรรมวิเทศ เจ้าคณะอำเภอเมืองชุมพร เจ้าอาวาสวัดปากน้ำชุมพร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกแห่งของชาวปากน้ำชุมพรซึ่งเป็นการขับเคลื่อนในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน ด้วยการนำทุนทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในชุมชนนั้นมาพัฒนาต่อยอด เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้สร้างคุณค่า และมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ด้วยการยกระดับชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยววิถีชุมชน ตามโครงการ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ซึ่งจัดมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๖๔ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งประธานพิธีได้ชื่นชมผู้นำและเครือข่ายในการขับเคลื่อนที่เข้มแข็งในการอนุรักษ์สืบสาน รักษา ต่อยอด ภูมิปัญญาของท้องถิ่น โดยเฉพาะ ธนาคารปู ที่ชุมชนได้ทำให้เกิดสินค้าส่งขายและร่วมกันแพร่พันธุ์ให้เกิดวงจรของปูม้า ซึ่งเป็นสินค้าและห่วงโซ่อาหารท้องถิ่นที่ก้าวไกลไปสู่ตลาดภายนอกในอนาคต

โชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม

โชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม

วัดพระธาตุสวี (วัดสวี) ชุมพร

วัดพระธาตุสวี (วัดสวี) ชุมพร

ชุมชนแห่ผ้าห่มเจดีย์

ชุมชนแห่ผ้าห่มเจดีย์

ร่วมเชิญผ้าห่มเจดีย์

ร่วมเชิญผ้าห่มเจดีย์

พิธีเปิดชุมชนต้นแบบ

พิธีเปิดชุมชนต้นแบบ

หาดทรายรี

หาดทรายรี

เรือหลวงชุมพร

เรือหลวงชุมพร

โนราเมืองชุมพร

โนราเมืองชุมพร

ตลาดผลไม้

ตลาดผลไม้

ตลาดปลาจากทะเล

ตลาดปลาจากทะเล

ภูมิบ้านภูมิเมือง : ‘ชุมชนปกาเกอะญอ’หนึ่งเดียวที่วัดพระบาทห้วยต้ม

SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/809372

ภูมิบ้าน ภูมิเมือง : ‘ชุมชนปกาเกอะญอ’หนึ่งเดียวที่วัดพระบาทห้วยต้ม

ภูมิบ้าน ภูมิเมือง : ‘ชุมชนปกาเกอะญอ’หนึ่งเดียวที่วัดพระบาทห้วยต้ม

วันอาทิตย์ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2567, 07.53 น.

รูปหุ่นครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา

เมื่อเร็วๆ นี้ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวรปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้เดินทางไปเป็นประธานพิธีเปิดสุดยอดชุมชนต้นแบบที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ซึ่งเป็นวัดใหญ่ที่สุดในอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ชุมชนนี้ได้รับคัดเลือกจากกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็น ๑ ใน ๑๐ สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปี๒๕๖๖ โดยมี พระอธิการอ่อนแก้ว ชยฺยเสโนเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม พระครูอุปถัมภ์สังฆกิจ รองเจ้าคณะอำเภอลี้ นายสันติธร ยิ้มละมัย ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน และผู้บริหารวัฒนธรรม ๑๗ จังหวัด ร่วมกับชุมชนให้ความสำคัญว่าเป็นชุมชนของชาวปกาเกอะญอ หรือที่เรารู้จักว่า “ชาวกะเหรี่ยง” ผู้นับถือศาสนาพุทธตามคำสอนของ หลวงปู่ครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนาซึ่งครูบาฯนั้นได้พัฒนาด้านศาสนาอย่างเคร่งครัดและมีวัตรปฏิบัติในการฉันมังสวิรัติ ส่วนชื่อชุมชน “บ้านห้วยต้ม” นั้นมีเรื่องเล่าขานจากเรื่องพระเจ้าเหยียบโลกว่า “เมื่อครั้งพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาโปรดสัตว์ในสถานที่ต่างๆ เมื่อเสด็จมาถึงบริเวณที่เรียกว่าดอยนางนอนจอมแจ้ง มีพญาเมืองเถินพ่อฤๅษี และหมอพรานอีก ๘ คน หาบเนื้อสดเดินมาพบเข้า ขณะที่ไม่มีอะไรมาถวาย พระพุทธองค์ก็ยังไม่ได้ฉัน พวกพรานจึงเอาเนื้อไปกองรวมกันไว้ พวกละว้าที่อยู่ในบริเวณนั้นจึงไปต้มข้าวมาถวาย พระพุทธองค์จึงทรงรับมาฉันและให้ศีลให้พร และประทับรอยพระบาทไว้”จากนั้นพื้นที่บริเวณนี้จึงเรียกว่า “ห้วยต้มข้าว”ต่อมาเพี้ยนเป็น “ห้วยต้ม” ด้วยความเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาที่นี่และประทับรอยพระบาทไว้ ภายในวัดพระพุทธบาทห้วยต้มจึงปรากฏ “รอยพระพุทธบาท” ประดิษฐานอยู่ด้านใน “วิหารหลวง” ซึ่งประดิษฐานพระประธานองค์ใหญ่ หลวงปู่ครูบาเจ้า ๕ องค์ ด้านในสุดเป็นห้องพระที่หลวงปู่ครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา เคยใช้เป็นที่สวดมนต์ จิตรกรรมฝาผนังภายในวิหารได้เล่าเรื่องราวของหลวงปู่ครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา ตั้งแต่เกิดไปจนถึงหลังมรณภาพ และเรื่องราวของชุมชนบ้านห้วยต้ม

ครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา

ด้านหลังวิหารหลวงมี “พระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์” บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธรูปกว่า๘๔,๐๐๐ องค์ นอกจากนี้ ยังมี “วิหารพระเมืองแก้ว”ประดิษฐานสรีระสังขารของ หลวงปู่ครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา และ พระพุทธรูปปางเปิดโลกโดย หลวงปู่ครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา ได้ละสังขารไปเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๓ จึงทำให้มีประเพณีเปลี่ยนผ้าครองสรีระสังขารหลวงปู่ครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา เพื่อแสดงถึงความกตัญญูกตเวทีหลวงปู่ ที่เริ่มก่อตั้งวัดพระพุทธบาทห้วยต้มและชุมชนบ้านห้วยต้มขึ้น โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗ โดยมีการทำบุญใส่บาตรด้วยอาหารมังสวิรัติ เป็นประจำทุกวัน ส่วนพิธีเปิดชุมชนครั้งนี้ได้มีการแสดง“ฟ้อนกะเหรี่ยงทอผ้า” การร่วมสักการะพระประธานและสรีระครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา และพิธีฮ้องขวัญแขกแก้วมาเยือน ชมวิถีปกาเกอะญอโบราณ ชมการแสดงชาวปกาเกอะญอ ชุด “ระบำชาวเขา” และหมุนเกอห่ะ (เครื่องปั่นฝ้าย) เปิดชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) ผู้ที่ยังดำเนินชีวิตตามวิถีกะเหรี่ยงดั้งเดิม ใช้ภาษาปกาเกอะญอสื่อสารภายในชุมชน แต่งกายที่เป็นอัตลักษณ์ และสร้างบ้านเรือนตามชาติพันธ์ุของตนในหมู่บ้านน้ำบ่อน้อย หมู่บ้านกะเหรี่ยงโบราณ ซึ่งมีศูนย์วิจัยงานหัตถกรรมบ้านห้วยต้ม การสาธิตทอผ้าด้วยการใช้กี่เอว โดยมีพระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัยซึ่งเป็นใจบ้าน หรือสะดือของบ้าน โดยเฉพาะรสชาติอาหารชาวปกาเกอะญอ ได้แก่ ต๊ะกะเปาะ (ข้าวเบอะ)อาหารหลักของมุ้ยและชู (น้ำพริกดำ) ต๊ะจื้อที(แกงเย็น) ขนมเหม่โต๊ะปิ (ขนมข้าวเหนียวผสมงาขี้ม่อน) และผ้าทอกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ)ปักด้วยเส้นไหมและลูกเดือย และเครื่องเงินชุมชนที่มีลวดลายหลักๆ ได้แก่ ลายเม็ดทราย ลายเม็ดข้าวลายลาน ลายพดด้วง เป็นต้น ทุกปีมีพิธีห่มผ้าพระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย และทำบุญ “ตานแทนตานใช้” ประเพณีสรงน้ำรอยพระพุทธบาทเป็นวิธีพุทธของชาวปกาเกอะญอที่น่าสนใจให้ไปเที่ยวกัน(ขอขอบคุณข้อมูล-ภาพทีมงานโฆษกกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำพูน)

งานบุญประเพณีของวัด

งานบุญประเพณีของวัด

วัดพระบาทห้วยต้ม

วัดพระบาทห้วยต้ม

มณฑปวัดพระบาทห้วยต้ม

มณฑปวัดพระบาทห้วยต้ม

พิธีสักการะครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา

พิธีสักการะครูบาเจ้าชัยยะวงศาพัฒนา

ปลัดวธ.สักการะพระพุทธรูปประธาน

ปลัดวธ.สักการะพระพุทธรูปประธาน

พิธีเปิดชุมชนคนกะเหรี่ยง

พิธีเปิดชุมชนคนกะเหรี่ยง

พระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย

พระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย

พระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย

พระมหาธาตุเจดีย์ศรีเวียงชัย

ดนตรีแห่งชาติพันธ์ุ

ดนตรีแห่งชาติพันธ์ุ

ชาวปกาเกอะญอ

ภูมิบ้านภูมิเมือง : ‘หลวงปู่ทวด’ พระโพธิสัตโตรูปแรกสมัยอยุธยา

SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/808041

ภูมิบ้าน ภูมิเมือง : ‘หลวงปู่ทวด’ พระโพธิสัตโตรูปแรกสมัยอยุธยา

ภูมิบ้าน ภูมิเมือง : ‘หลวงปู่ทวด’ พระโพธิสัตโตรูปแรกสมัยอยุธยา

วันอาทิตย์ ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2567, 06.00 น.

ในสังคมไทยนั้น ไม่มีใครไม่รู้จัก “หลวงปู่ทวด” เช่นเดียวกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ หรือ สมเด็จโต แต่ไม่รู้เรื่องราวของท่านมากไปกว่าในเรื่องเล่าขานตำนานนานมาว่าท่านเหยียบน้ำทะเลจืดพระมหาเถระรูปนี้ คือ สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปรมาจารย์ (ปู สามีราโม) หรือ สมเด็จเจ้าพะโคะ หรือ หลวงปู่ทวดวัดช้างให้ หรือ ท่านองค์ดำ หรือ ท่านลังกา ผู้เป็นพระมหาเถระทรงอภิญญาที่รู้จักกันในกรุงศรีอยุธยา สมัย สมเด็จพระเอกาทศรถ ตามประวัติเล่าว่าหลวงปู่ทวดเป็นบุตรของ นายหู-นางจันทร์ ชาวบ้านวัดเลียบ ตำบลดีหลวง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นทาสในเรือนเบี้ย ที่ทำงานใช้หนี้ของเศรษฐีปาน ท่านเกิดในรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช มีนามเดิมว่า “ปู” ส่วนวันเดือนปีเกิดของเด็กชายปู ตรงกับวันเดือนปีใดไม่มีหลักฐาน จึงขอสันนิษฐานหลายความจากเอกสารยอเข้าตำราหมื่นตราพระธรรมวิลาสเอาไปวิวาทเป็นหัวเมือง ระบุว่า “อยู่มาไซร้แลครั้งเกิด สมเด็จพระราชมุนีมีบุญแลได้พระพุทธศักราช ๙๙๐ ฉลูสัมฤทธิ์ ศก”ข้อสันนิษฐานจาก อ.สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ ได้ว่า “ท่านเกิดปี จ.ศ.๙๕๐ ตรงกับ พ.ศ.๒๑๓๑” ในที่สุดได้สรุปว่าท่านเกิด วันที่๓ มีนาคม พ.ศ.๒๑๒๕ ณ สงขลา สยามประเทศ

หลวงปู่ทวดองค์ใหญ่-อยุธยา 

ท่านเป็นผู้มีบุญซึ่งเกิดมามีเหตุอัศจรรย์หลายประการ เช่น มีงูจงอางมารัดเปลผ้า และคายเมือกแก้ว (ลูกแก้ว) ไว้อยู่บนอกเด็กชายปูนั้น เมือกแก้วนั้นมีแสงแวววาว และต่อมาได้แข็งตัวเป็นลูกแก้ว ปัจจุบันประดิษฐานที่วัดพะโคะ ท่านมีอายุได้ประมาณ ๗ ขวบ พ.ศ.๒๑๓๒ บิดา-มารดาของท่านจึงนำท่านไปฝากไว้เป็นศิษย์วัดเพื่อเล่าเรียนหนังสือ ที่วัดกุฏิหลวง หรือวัดดีหลวง ซึ่งมีท่านสมภารจวง ผู้มีศักดิ์เป็นลุงเป็นเจ้าอาวาสอยู่ เด็กชายปูเป็นเด็กที่หัวดีเรียนเก่งสามารถเล่าเรียนภาษาขอมและภาษาไทยได้อย่างรวดเร็ว ต่อมาสมภารจวงได้บวชให้ท่านเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ ๑๕ ปี ตอนบวชเป็นสามเณรนั้นบิดาของท่านได้ถวายลูกแก้วคืนให้เป็นลูกแก้วประจำตัวท่านต่อไป ด้วยความที่เป็นคนใฝ่เรียนใฝ่รู้ตลอดเวลาของท่าน ต่อมาท่านสมภารจวงได้นำไปฝากให้เล่าเรียนหนังสือที่สูงขึ้นสมัยนั้นเรียกว่ามูลบทบรรพกิจ (คือเรียนนักธรรม) โดยนำไปฝากเรียนไว้กับ สมเด็จพระชินเสน ซึ่งเป็นพระเถระชั้นสูงที่ส่งมาจากกรุงศรีอยุธยา ให้มาครองเป็นเจ้าอาวาสวัดสีคูยัง หรือวัดสีหยัง ในปัจจุบัน ห่างจากวัดดีหลวงไปทางเหนือประมาณ ๔ กิโลเมตร ท่านได้เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและจบหลักสูตรที่วัดสีคูยังนั้น หลังจากนั้นท่านได้เดินทางเข้ามาศึกษาต่อที่เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อเรียนรู้ให้สูงขึ้นโดยมาพำนักอยู่ที่วัดเสมาเมือง ซึ่งเป็นสำนักเรียน และมี สมเด็จพระมหาปิยะทัสสี เป็นเจ้าอาวาสและบรรพชาอุปสมบทเป็นพระสงฆ์เมื่ออายุครบกาลอุปสมบท ท่านได้ศึกษาวิชาจากครูบาอาจารย์ต่างๆ จนมีความรู้และเป็นผู้ทรงอภิญญามากและได้แสดงปาฏิหาริย์หลายครั้ง

ต่อมาท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์จากสมเด็จพระเอกาทศรถเป็น สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปรมาจารย์ พรรษาอยู่ประจำที่กรุงศรีอยุธยา จนท่านมีอายุได้ ๘๐ ปี ท่านได้ลาสมณศักดิ์กลับมาจำพรรษาที่วัดพะโคะ วัดบ้านเกิดของท่าน เมื่อกลับมาท่านได้สั่งเสียกับลูกศิษย์ว่าเมื่อท่านมรณภาพให้นำศพท่านไปไว้ที่อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี จนวาระสุดท้ายเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม พ.ศ.๒๒๒๕ ท่านได้มรณภาพลงเมื่ออายุกาลครบ ๑๐๐ ปี ที่ “เมืองไทรบุรี” หรือรัฐเคด้า ของมาเลเซีย  ด้วยเหตุ หลวงปู่ทวด นั้นมีคนสนใจและนับถือมาก มักพากันไปสักการะที่ท่านจำพรรษาอยู่ทางใต้ ทั้งๆ ที่ท่านนั้นอยู่วัดแค หรือวัดราชานุวาส ในกรุงศรีอยุธยา มากกว่าวัดทางใต้สงขลา ปัตตานี ในอยุธยานั้นนอกจากวัดแค หรือวัดราชานุวาส แล้วยังมีวัดที่เชื่อว่ามีการสืบต่อสายธรรมมาถึงพระเถระรูปสำคัญ คือ หลวงปู่ดู่ ที่วัดสะแก ผู้รจนาบทสวดพระมหาจักรพรรดิเผยแพร่ไปทั่วประเทศ โดยมี พระอาจารย์วรงคต วิริยธโร วัดพุทธพรหมปัญญา เป็นผู้เผยแพร่นำการสวดมนต์นี้ให้อยู่วัตรปฏิบัติทุกเวลา ซึ่งใน วันที่ ๒๒-๒๓ มิถุนายนนี้อสมท คลื่น ๙๖.๕ จะพากันตามรอยหลวงปู่ทวดในอยุธยา สนใจติดต่อร่วมเดินทางได้เลย

สมเด็จพระเอกาทศรถ

สมเด็จพระเอกาทศรถ

รูปปั้นหลวงปู่ทวด วัดแค

รูปปั้นหลวงปู่ทวด วัดแค

วัดราชานุวาส (วัดแค)

วัดราชานุวาส (วัดแค)

วัดสะแก อยุธยา

วัดสะแก อยุธยา

สถานที่จำพรรษาเดิมหลวงปู่ทวด

สถานที่จำพรรษาเดิมหลวงปู่ทวด

หลวงปู่ทวด วัดราชานุวาส (วัดแค)

หลวงปู่ทวด วัดราชานุวาส (วัดแค)

เหรียญหล่อพระพุทธเหนือพรหม วัดสะแก

เหรียญหล่อพระพุทธเหนือพรหม วัดสะแก

เหรียญหลวงปู่ทวด วัดแค

เหรียญหลวงปู่ทวด วัดแค

ภูมิบ้านภูมิเมือง : ‘Golden Boy’ เทวรูป ศิลปะขอม-พิมายกลับคืนถิ่น

SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/806710

ภูมิบ้าน ภูมิเมือง : ‘Golden Boy’ เทวรูป ศิลปะขอม-พิมายกลับคืนถิ่น

ภูมิบ้าน ภูมิเมือง : ‘Golden Boy’ เทวรูป ศิลปะขอม-พิมายกลับคืนถิ่น

วันอาทิตย์ ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2567, 06.02 น.

จากการที่ไทยโดยกระทรวงวัฒนธรรมและกรมศิลปากร ได้รับเทวรูปสำริดที่รู้จักกันดีว่า “Golden Boy” ประติมากรรมสำริดยืนปิดทองทั้งองค์ อันเป็นโบราณวัตถุสำคัญ ๑ ใน๒ ชิ้น ซึ่งเป็นประติมากรรมสตรีนั่งชันเข่าพนมมือสูงอีกชิ้นหนึ่งที่ไทยได้รับแจ้งคืนจากThe Metropolitan Museum of Art (The MET)ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๖ นับเป็นเรื่องน่ายินดีในประวัติศาสตร์และโบราณคดีของไทยที่มีการศึกษาใหม่จากนักวิชาการ ดร.ทนงศักดิ์ หาญวงษ์ นักวิชาการอิสระด้านโบราณคดี ได้ศึกษาและติดตามมาแต่แรกให้ความเห็นว่า เทวรูป “Golden Boy” นี้คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๖ มีรูปแบบศิลปะเขมรแบบพิมาย พ.ศ. ๑๖๒๓-๑๖๕๐ พบที่ปราสาทบ้านยางหรือบ้านยางโปร่งสะเดา ตำบลตาจงอำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ โดยชาวบ้านขุดพบตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๘ แล้วขายให้พ่อค้าในราคา ๑ ล้านบาท จากนั้นได้ถูกนำออกอย่างผิดกฎหมาย โดยผ่าน บริษัทประมูล Spink & Son และนำไปจัดแสดงที่ The MET นิวยอร์ก หากกำหนดรูปแบบศิลปะเขมรโดยนักวิชาการชาวฝรั่งเศส มักเรียกตามชื่อแบบศิลปะตามปราสาทสำคัญหรือปราสาทประจำรัชกาล เช่นปราสาทบาปวน สร้างโดยราชวงศ์ของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ (พ.ศ.๑๕๖๐-๑๖๒๓) เรียกว่าศิลปะเขมรแบบบาปวน และมีโบราณวัตถุอยู่ในประเทศไทย ได้แก่ ปราสาทสระกำแพงใหญ่ ปราสาทพนมวัน ปราสาทสด็อกก็อกธม เป็นต้น

คณะผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมและกรมศิลปากร

สำหรับปราสาทนครวัด ปราสาทประจำรัชกาลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ซึ่งเป็นหลานของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๖ โบราณวัตถุเรียก ศิลปะเขมรแบบนครวัด พ.ศ. ๑๖๕๕-๑๖๘๘ ที่พบในไทย ได้แก่ โบราณวัตถุของปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทศรีขรภูมิ เป็นต้น ปราสาทบายน ซึ่งเป็นปราสาทประจำรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เหลนของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๖ เรียกโบราณวัตถุว่าศิลปะเขมรแบบบายน พ.ศ. ๑๗๒๔-๑๗๖๓ที่พบในไทยก็ได้แก่ ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาเมือน กุฏิฤๅษีเมืองพิมาย เป็นต้น

ส่วนปราสาทหินพิมายนั้นเป็นปราสาทประจำรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๖ เรียกศิลปะนครวัดตอนต้น จึงควรเปลี่ยนชื่อตามปราสาทคือ ศิลปะเขมรแบบพิมาย พ.ศ. ๑๖๒๓-๑๖๕๐ ซึ่งมีรูปแบบศิลปะเขมรแบบพิมายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดยได้พัฒนาการต่อเนื่องจากศิลปะแบบบาปวน และถ่ายทอดอิทธิพลต่อไปยังศิลปะแบบนครวัด จึงทำให้มีความแตกต่างไปจากศิลปะแบบบาปวนกับศิลปะแบบนครวัดอย่างชัดเจน ศิลปะแบบพิมายที่พบในกัมพูชานั้นพบที่ ปราสาทพงตึก สำหรับเทวรูป “GoldenBoy” นี้ มีพัฒนาการของผ้านุ่งสั้นที่มีชายสมอรูปหางปลาด้านหน้า ผ้านุ่งสั้นที่โค้งเว้าเห็นสะดือแบบบาปวน มีเข็มขัดรัด แต่ไม่มีชายผ้าบนชายสมอต่อตรงลงมาจากขอบผ้านุ่งเหนือเข็มขัด ได้ส่งต่อยังศิลปะแบบพิมาย ซึ่งยังใช้ต่อเนื่องมาจนถึงศิลปะแบบนครวัดตอนต้น ด้วยเหตุที่ลักษณะผ้านุ่งของ Golden Boy นั้นใกล้เคียงกับภาพสลักผ้านุ่งที่ปรากฏในปราสาทหินพิมายมากกว่าที่อื่น จึงเรียกศิลปะเขมรแบบพิมาย ในส่วนที่ว่าเป็น รูปพระเจ้าชัยวรมันที่ ๖ ขุดพบที่บ้านยางนั้นมีความสำคัญสอดคล้องกับหลักฐานจารึก ที่พบบริเวณที่ราบเขาพนมรุ้ง ซึ่งกล่าวถึงต้นกำเนิด“ราชวงศ์มหิธรปุระ” ราชวงศ์ใหม่ที่สถาปนาโดยพระองค์  จารึกปราสาทพระขรรค์ นั้นได้กล่าวถึงพระองค์ที่ทรงเลือกถิ่นฐานเดิม เพื่อตั้งราชธานีปกครองอาณาจักรเขมร เชื่อว่าคือ “เมืองพิมาย” ก่อนที่เชื้อสายของราชวงศ์มหิธรปุระจะย้ายเมืองหลวงกลับไปยังเมืองพระนคร แล้วสร้างสิ่งมหัศจรรย์ของโลกคือ “ปราสาทนครวัด” ถือเป็นเรื่องใหม่ที่ยังมีความเห็นต่างจากนักวิชาการ อย่างไรก็ตาม ทุกคนต้องพากันไปชมที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และขอบคุณคณะผู้ติดตามขอคืนจนสำเร็จ

ทวรูปสำริดนั่ง และเทวรูปสำริดยืน ที่ได้รับคืน

ทวรูปสำริดนั่ง และเทวรูปสำริดยืน ที่ได้รับคืน

ทวรูปสำริดนั่ง และเทวรูปสำริดยืน ที่ได้รับคืน

ทวรูปสำริดนั่ง และเทวรูปสำริดยืน ที่ได้รับคืน

การบรรจุขนส่งอย่างดี

การบรรจุขนส่งอย่างดี

บรรยากาศการเข้าชม

บรรยากาศการเข้าชม

การตรวจรับโบราณวัตถุ

การตรวจรับโบราณวัตถุ

ภูมิบ้านภูมิเมือง : ‘วิสาขบูชาวัดโพธิ์ชัย’ ภูมิพุทธธรรมลุ่มแม่น้ำโขง

SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/805424

ภูมิบ้าน ภูมิเมือง : ‘วิสาขบูชาวัดโพธิ์ชัย’ ภูมิพุทธธรรมลุ่มแม่น้ำโขง

ภูมิบ้าน ภูมิเมือง : ‘วิสาขบูชาวัดโพธิ์ชัย’ ภูมิพุทธธรรมลุ่มแม่น้ำโขง

วันอาทิตย์ ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2567, 06.00 น.

ภาพเก่าวัดโพธิ์ชัย

วันอาทิตย์นี้มีวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาคือ วันวิสาขบูชา ด้วยเหตุที่ไม่ว่าไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมา มาเลเซีย ต่างมีวัดพุทธศาสนาอยู่ทั่วไปและมีวัตรปฏิบัติในวันสำคัญทางพุทธศาสนาทั้งสิ้น จะแตกต่างก็ตรงมีพุทธบริษัทให้ความร่วมมือมากน้อยต่างกัน แต่ด้วยเหตุที่ วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคายเป็นพระอารามหลวงที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อพระใส”พระพุทธรูปปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุกมีพุทธลักษณะงดงาม เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวหนองคาย จึงเป็นวัดที่เชื่อมพุทธธรรมของผู้คนสองฝั่งโขงมาช้านาน

เดิมนั้นพื้นที่วัดโพธิ์ชัยเป็นวัดร้างตั้งอยู่บริเวณบ้านไผ่ จึงมีชื่อเรียกในอดีตว่า “วัดผีผิว(ปาก)” ด้วยเหตุไม้ไผ่ทำให้ปรากฏการณ์เหมือนผีผิวปาก และเป็นพื้นที่ที่เคยใช้เป็นสถานที่ฌาปนกิจ สำหรับประวัติตำนานวัดนั้นไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างเมื่อไร จึงได้แต่สันนิษฐานกันว่าน่าจะเคยเป็นพระอารามสำคัญของอาณาจักรล้านช้าง มาแต่เดิม ด้วยในวัดนั้นมีพระธาตุเจดีย์ศิลปะล้านช้างเก่าแก่อยู่ ลักษณะงดงาม เดิมนั้นไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ต่อมาจึงมีการบูรณะวัดร้างวัดผีผิว(ปาก)ขึ้นใหม่ และเปลี่ยนนามใหม่เป็น วัดโพธิ์ชัย ซึ่งวัดนี้ได้พัฒนาและจัดภูมิสถานเป็นสัดส่วนและสง่างาม ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เสด็จฯทรงเป็นประธาน ยกช่อฟ้าพระอุโบสถ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒ และต่อมาได้ยกฐานะวัดขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ถือเป็นวัดสำคัญแห่งเมืองหนองคาย ด้วยมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง

ซึ่งมีตำนานเล่าว่า พระธิดา ๓ องค์ ของกษัตริย์ล้านช้างได้หล่อพระพุทธรูปขึ้น ๓ องค์ และถวายนามพระพุทธรูปตามพระนามของแต่ละพระองค์ คือ “พระเสริม” เป็นพระประจำพระธิดาองค์ใหญ่ “พระสุก” ประจำพระธิดาองค์กลาง และ “พระใส” ประจำพระธิดาองค์เล็ก แต่เดิมพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ ได้ประดิษฐานอยู่ที่นครเวียงจันทน์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้อัญเชิญพระพุทธรูปทั้งสามองค์ลงเรือข้ามฝั่งแม่น้ำโขงมายังเมืองหนองคาย แต่เกิดพายุพัดแรงจน “พระสุก” ตกน้ำจมหายไป ส่วน “พระเสริม” และ “พระใส” ได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้ ขุนวรธานี และเจ้าเหม็น (ข้าหลวง) อัญเชิญ “พระเสริม” จากวัดโพธิ์ชัย หนองคาย ไปกรุงเทพฯ และอัญเชิญ “พระใส” จากวัดหอก่อง ขึ้นประดิษฐานบนเกวียนซึ่งคิดว่าจะอัญเชิญลงไปกรุงเทพฯ ด้วย แต่พอมาถึงวัดโพธิ์ชัย หลวงพ่อพระใสได้แสดงปาฏิหาริย์จนเกวียนหักจึงอัญเชิญลงไปไม่ได้ อัญเชิญได้แต่พระเสริมลงกรุงเทพฯ ประดิษฐาน ณ วัดปทุมวนารามส่วนหลวงพ่อพระใส ได้อัญเชิญประดิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัย อ.เมืองหนองคาย ตั้งแต่รัชกาลที่ ๓ จนถึงปัจจุบัน

หลวงพ่อพระใสจากลาว

ในช่วงวันสงกรานต์ วันที่ ๑๓ เมษายน ของทุกปีชาวเมืองหนองคายจะมีงานประเพณีบุญสงกรานต์ และมีพิธีอัญเชิญ “หลวงพ่อพระใส” ลงจากพระอุโบสถ เพื่อมาแห่รอบพระอุโบสถแล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานที่ราชรถ ขบวนหลวงพ่อพระใส และพระบริวารทั้งหมดออกแห่รอบเมืองให้ประชาชนได้สรงน้ำเพื่อความเป็นสิริมงคล สำหรับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนานั้น วัดนี้ได้จัดพิธีและบำเพ็ญกุศลเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างไทยเมืองหนองคายกับลาวจากนครเวียงจันทน์ ได้มีโอกาสในงานบุญดังกล่าวซึ่งวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ที่ผ่านมานั้น นายชัยพล สุขเอี่ยมอธิบดีกรมการศาสนา ได้ร่วมกับพุทธบริษัทชาวหนองคายได้จัดพิธีวันวิสาขบูชาขึ้นเพื่อเป็นแบบอย่างตามศาสนปฏิบัติ ซึ่งในเดือนพฤษภาคมนี้ทั่วประเทศจะมีวันวิสาขบูชา วันที่ ๒๒ พฤษภาคมและวันอัฏฐมีบูชา วันที่ ๓๐ พฤษภาคม รวม ๒ วัน

ดังนั้น ความร่วมมือของชาวพุทธสองฝั่งโขง จึงมีทั้งชาวไทย, ลาว, กัมพูชา ที่ผูกพันกับแม่น้ำสายนี้มาแต่โบราณ จึงมีความสัมพันธ์ต่อกันโดยใช้พุทธศาสนา-พุทธสถานเป็นสื่อเชื่อมปัญญาธรรมสืบต่อกันมา แม้จะมีเรื่อง พญานาค เกิดขึ้นตามความเชื่อต่อจากบรรพบุรุษ ก็ถือเป็นส่วนสร้างกระแสธรรมให้ พญานาคา นั้น มีบทบาทในสังคมให้นับถือศรัทธาในพุทธธรรมต่อมาจนวันนี้

พระเถระสวดในพิธี

พระเถระสวดในพิธี

อธิบดีกรมการศาสนาและพุทธบริษัท

อธิบดีกรมการศาสนาและพุทธบริษัท

วิสาขบูชา ที่วิหารวัดโพธิ์ชัย

วิสาขบูชา ที่วิหารวัดโพธิ์ชัย

พุทธศาสนิกชนร่วมพิธี

พุทธศาสนิกชนร่วมพิธี

พิธีภายในวิหาร

พิธีภายในวิหาร

พระธาตุเก่ากลางแม่น้ำโขง

พระธาตุเก่ากลางแม่น้ำโขง

พระธาตุล้านช้างของเก่า

พระธาตุล้านช้างของเก่า

ภูมิบ้านภูมิเมือง : ‘ชุมชนวัดพระธาตุผาเงา’ ภูมิวิถีวัฒนธรรมชาวบ้านสบคำ

SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/804061

ภูมิบ้าน ภูมิเมือง : ‘ชุมชนวัดพระธาตุผาเงา’ ภูมิวิถีวัฒนธรรมชาวบ้านสบคำ

ภูมิบ้าน ภูมิเมือง : ‘ชุมชนวัดพระธาตุผาเงา’ ภูมิวิถีวัฒนธรรมชาวบ้านสบคำ

วันอาทิตย์ ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2567, 08.09 น.

บ้านสบคำริมแม่น้ำโขง

อาทิตย์นี้ได้เดินทางไปเหนือสุดที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ด้วย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานพิธีเปิดสุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ที่วัดพระธาตุผาเงาบ้านสบคำ และลานวัฒนธรรมสร้างสุข โดยมีพระพุทธิญาณมุนี เจ้าคณะจังหวัด

วัดพระธาตุผาเงา (บ้านสบคำ) แห่งนี้ได้รับรางวัล ๑๐ สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ประจำปีพ.ศ.2566 จาก ๗๖ ชุมชนทั่วประเทศ ตามโครงการของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ที่จัดโครงการ “เที่ยวชุมชนยลวิถี” มาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๖๔

พระสยามเทวาธิราช

ชุมชนบ้านสบคำนี้เป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงทางด้านทิศตะวันตกของอ.เชียงแสน จ.เชียงราย วัดของชุมชนนี้คือ วัดพระธาตุผาเงา ที่มาจากเรื่องพระธาตุ ที่ตั้งอยู่บนยอดหินก้อนใหญ่มีลักษณะคล้ายรูปทรงเจดีย์ส่วนคำว่า “ผาเงา” นั้นก็คือ เงาของก้อนหินจึงตั้งชื่อว่า “พระธาตุผาเงา” ซึ่งเป็นบริเวณของพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันดีว่า เมืองเชียงแสนน้อย หรือเวียงปรึกษา เมื่อมีการขุดตรวจทางโบราณคดีได้ค้นพบ “พระพุทธรูปหลวงพ่อผาเงา” เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๑๙ คาดว่าโบราณวัตถุนี้มีอายุเก่าแก่ถึง ๑,๓๐๐ ปี ภายในวัดพระธาตุผาเงานั้นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนมาสักการะและท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ที่ยังรักษาวิถีวัฒนธรรมของชาวบ้านสบคำ ซึ่งเป็นชาวไทยเชื้อสาย ไท-ลาว ไท-ยวน ไท-ลื้อ และจัดเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงจากวัดพระธาตุผาเงา ไปยังสถานที่อีกหลายแห่ง ได้แก่ สกายวอล์กผาเงาสามแผ่นดิน ลานชมวิวที่สามารถมองเห็นแม่น้ำโขงและพื้นที่รอยต่อของ ๓ ประเทศ ได้แก่ ไทย ลาว และ เมียนมา โดยเห็นบริเวณแม่น้ำโขงที่มีแม่น้ำสาขาตัดผ่าน ซึ่งเป็นจุดชมวิวชายแดนที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นมาสักการะพระเจดีย์และถ่ายรูป ด้วยมีซุ้มประตูที่ด้านบนเป็นยอดเจดีย์สีทองสวยงาม มีความคล้ายกับประตูบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ซุ้มรูปหัวใจ เก้าอี้ และป้ายชื่อจุดชมวิว ในวัดพระธาตุผาเงานั้นยังมีหอพระไตรปิฎกเฉลิมพระเกียรติฯ หอพระบรมฉายามหาราชพุทธิรังสรรค์ หอวัฒนธรรมนิทัศน์และพิพิธภัณฑ์ผ้าทอล้านนาเชียงแสนจุดชมวิวสองฝั่งโขงบ้านสบคำ และวัดสบคำ เป็นต้นโดยเฉพาะการแสดงศิลปวัฒนธรรม เพื่อต้อนรับแขกเมือง มีชุด “ตีกลองหลวง” โดยกลุ่มตีกลองหลวงวัดพระธาตุผาเงา

การทอผ้าของไทลื้อ

ชุมชนต้นแบบที่ได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงวัฒนธรรมนั้นมีมาแล้วกว่า ๓๐ ชุมชน ตามนโยบายของรัฐบาล ในการขับเคลื่อน Soft Power ของไทยสู่นานาชาติ ด้วยการนำต้นทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน มาพัฒนาต่อยอด สร้างสรรค์สินค้าและบริการ โดยชุมชนนั้นได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีผู้นำ “พลังบวร” และเครือข่ายที่เข้มแข็ง ประชาชนมีความสุขมีความรักสามัคคี มีการสืบสาน รักษา ต่อยอด ภูมิปัญญาของท้องถิ่น ซึ่งยืนยันได้ว่า ชุมชนแห่งนี้เป็นชุมชนที่มีศักยภาพมีคุณภาพ และมีความพร้อมด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์ในทุกมิติ สามารถต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวคุณภาพสูงเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทุกประเภทอย่างยั่งยืนสืบไป ที่ศึกษาเรียนรู้ อัตลักษณ์ วิถีชีวิต วัฒนธรรม และประเพณีของชุมชนมากยิ่งขึ้น อาหาร คือ ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม และ ลาบปลาแม่น้ำโขง รวมถึงยังมีผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม คือ ผ้าทอล้านนาลายเชียงแสน และสมุนไพรวัดพระธาตุผาเงา เทศกาลประเพณีของชุมชนมีประเพณีสรงน้ำพระธาตุผาเงา ในช่วง ๑๒-๒๐ เมษายนของทุกปี ประเพณีบุญข้าวประดับดินในวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ของทุกปี และประเพณีไหลเรือไฟ ๑๒ ราศี เป็นต้น จึงเป็นชุมชนที่มีผู้คนมาเที่ยวมากมายนอกเหนือจากการชมเมืองโบราณสถานของเชียงแสนที่มีอยู่ตามเวียงต่างๆ ทั่วเมือง

ผู้บริหารวัฒนธรรม วัด และจังหวัดเชียงราย

ผู้บริหารวัฒนธรรม วัด และจังหวัดเชียงราย

ช่างสลักดุนพื้นบ้าน

ช่างสลักดุนพื้นบ้าน

สกายวอล์กชมวิวแม่น้ำโขง

สกายวอล์กชมวิวแม่น้ำโขง

วิวแม่น้ำโขง

วิวแม่น้ำโขง

พิธีเปิดชุมชนบ้านสบคำ

พิธีเปิดชุมชนบ้านสบคำ

พระพุทธรูปโบราณ

พระพุทธรูปโบราณ

พระธาตุผาเงา

พระธาตุผาเงา