“มูลนิธิพุทธวนาที่ซับบอน” กับ วาทะอันมีค่าของหลวงพ่อ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05126150958&srcday=2015-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 607

ภูมิปัญญาท้องถิ่น

บุญยงค์ เกศเทศ

“มูลนิธิพุทธวนาที่ซับบอน” กับ วาทะอันมีค่าของหลวงพ่อ

เมื่อคุณทัศนารถ รู้สึกว่าตนเองเข้าวัยชรา มีอายุกว่า 60 ปีแล้ว การตระเวนไปปลูกป่าตามถิ่นต่างๆ นั้นดำเนินการได้ไม่สะดวกนัก ควรจะปักหลักปลูกป่าถาวรขึ้นที่ไหนสักแห่ง จึงเดินทางไปดูสถานที่หลายแห่ง สุดท้ายได้ตัดสินใจมาปักหลักซื้อที่ดินข้างวัดป่า “ซับบอน” (เขาคงคา) ตำบลโนนระเวียง อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา

ต่อมาก็ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งเป็น “มูลนิธิพุทธวนา” มีจุดมุ่งหมายปลูกป่า รักษาสิ่งแวดล้อม รองลงไปคือการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลำบากยากไร้ และช่วยเหลือเด็กที่ขาดแคลนให้ได้รับการศึกษา มีทั้งที่รับมาอุปการะในมูลนิธิ และที่ให้ความช่วยเหลือโดยผ่านโรงเรียน และครู อาจารย์

มูลนิธิพุทธวนา เริ่มต้นบนพื้นที่ประมาณเกือบ 5 ไร่ จากนั้นได้ขยายพื้นที่ออกไปเรื่อยๆ เนื่องจากมีชาวบ้านหลายรายมาขอให้ช่วยซื้อที่ดินของเขา โดยอ้างถึงเหตุผลความจำเป็นต่างๆ เมื่อได้ซื้อที่ดินที่เป็นไร่มันสำปะหลัง ตลอดจนพื้นที่เสื่อมโทรมลักษณะต่างๆ ที่อยู่รายรอบวัดป่าซับบอน

จากนั้นได้เริ่มปลูกป่าบนพื้นที่เสื่อมโทรม และปลูกเสริมอย่างต่อเนื่องทุกปี อีกทั้งได้ขุดสระน้ำเพื่อกักเก็บน้ำที่เป็นบริเวณน้ำซับได้อีก 3 สระ ทำเขื่อนและเหมืองฝาย เพื่อระบายน้ำให้ชุมชนได้ใช้สอยด้วย พื้นที่ดำเนินการนี้ครอบคลุมถึงป่าบนภูเขาอีกเป็นจำนวนหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้ร่วมกับพื้นที่ป่าซับบอน หรือวัดเขาคงคา กลายเป็นป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ เป็นป่าใหญ่ผืนเดียวกัน ได้พื้นที่มากกว่า 200 ไร่

พื้นที่เบื้องล่างนอกจากปลูกไม้ป่า ไม้ยืนต้นต่างๆ แล้ว ได้จัดแบ่งเป็นแปลงปลูกผัก และปลูกพืชสมุนไพรต่างๆ เช่น เจียวกู่หลาน พลูคาว บัวบก กระชาย บอระเพ็ด ฯลฯ สมุนไพรเหล่านี้ใช้ปรุงยา ใช้เองในมูลนิธิในชุมชนใกล้เคียง ถวายพระ รวมทั้งแจกพันธุ์ให้แก่ผู้สนใจเอาไปปลูกด้วย โดยเริ่มต้นดำเนินกิจกรรมอนุรักษ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 ถึงปัจจุบัน

คุณทัศนารถ หรือ วนัสนันท์ ได้แรงบันดาลใจ และประทับใจในคำพูดพระป่ารูปหนึ่ง ท่านกล่าวไว้ว่า

“สวนป่าเกิดขึ้นอีกแห่งหนึ่งแล้วที่พุทธวนานี่ แล้วต่อๆ ไปจะมีเพิ่มขึ้นอีก เพิ่มขึ้นอีก ท่านไพศาล (วิสาโล) รักษาป่าวัดป่ามหาวัน หลวงพ่อคำเขียน รักษาป่าสุขะโตคุณนาท รักษาป่าบ้านทอฝัน ที่เมืองกาญจน์ หลวงพ่ออเนกฯ รักษาป่าบนดอยธาตุเวียงด้ง แล้วยังมีที่อื่นๆ อีกมากนักหนา พวกเราจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นๆ แล้วสักวันแผ่นดินโกร๋นเกรียน เพราะต้นไม้ถูกตัดจะค่อยๆ หายไป แต่จะมีป่าไม้ขึ้นมาแทนที่ ป่าไม้เขียวๆ ที่พวกเราช่วยกันปลูก ช่วยกันรักษาจะค่อยๆ แผ่กว้างขึ้นๆ และกว้างขึ้นจนเต็มพื้นที่ แล้วโลกนี้ก็จะเป็นสีเขียวอย่างเดิม…”

สำหรับด้านทุนทรัพย์ที่ใช้ไปในการสร้างพุทธวนาของคุณทัศนารถนั้น ส่วนใหญ่ได้มาจากการทยอยขายที่ดินส่วนตัวในกรุงเทพฯ ในจังหวัดใกล้เคียงอีก 3 แปลง และกำลังจะขายแปลงสุดท้ายอีก

ด้วยศรัทธาปสาทะของคุณทัศนารถ ในความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทำพุทธวนาให้มีลักษณะคล้ายนิคมของท่านมหาตมะ คานธี

คุณทัศนารถ เห็นว่า ปัญหาสำคัญที่เป็นมหันตภัยใหญ่หลวงของคนไทยเรา คือเรื่องพิษภัยของสารเคมีทางการเกษตร จำพวกสารเร่งและยาฆ่าหญ้า ฆ่าแมลง

หายนะภัยจากสารเคมีเหล่านี้ ได้นำพาโรคภัยต่างๆ มาสู่มวลมนุษยชาติสารพัดโรค เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน โรคอ้วน โรคทางเดินหายใจ เป็นต้น

คุณทัศนารถ ได้เน้นย้ำถึงแนวทางในการสร้างพฤติกรรมให้กับผู้คนในสังคมว่า

“ควรต้องมุ่งมั่นในการเปลี่ยนค่านิยมการยกย่องนับถือที่บุคคลพึงมี พึงให้ต่อกันเสียใหม่ว่า เราเลิกให้เกียรติ เลิกยกย่องนับถือคนรวย หรือรวยอย่างผิดปกติกันเสียจะดีไหม? เผื่อว่าการโกง การเขมือบ การคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบเท่าที่เป็นอยู่ในยุคนี้ จะลดน้อยลงบ้าง?”

คุณทัศนารถ เฝ้าเตือนเด็กๆ และผู้คนที่อยู่รอบข้างเสมอว่า

“อย่าบูชาเงินเป็นพระเจ้า แต่จงหาเงินในทางที่ถูกต้องสุจริต เพื่อว่า ถ้าเรามีเงินแม้แต่เพียงเล็กน้อย เราก็จะมีความเป็นคน เป็นมนุษย์อย่างเต็มความหมาย และความหมายสูงสุดของความเป็นมนุษย์นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมีเงินมากเป็นแสนเป็นล้าน แต่ขึ้นอยู่กับว่า เรามีแก่นและมีเกียรติของความเป็นมนุษย์ที่มีศีลธรรมงดงาม มีความสัตย์ซื่อ และความประพฤติดีมากเพียงไหนต่างหาก”

มอญเมืองสิเรียม ปากน้ำย่างกุ้ง เจดีย์เยเลพญา และโบสถ์คาทอลิก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05126010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606

ภูมิปัญญาท้องถิ่น

บุญยงค์ เกศเทศ

มอญเมืองสิเรียม ปากน้ำย่างกุ้ง เจดีย์เยเลพญา และโบสถ์คาทอลิก

เมืองสิเรียม (Syiam) หรือ ตันลยิน (Thanlyin) ตั้งอยู่ปากแม่น้ำย่างกุ้ง อยู่ห่างจากกรุงย่างกุ้งเพียง 15 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที

ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาวโปรตุเกสเดินเรือมาถึงบริเวณนี้พร้อมกับเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ต่อมา ฟิลิป เด บริโต ยี นิโคเต ทหารรับจ้างชาวโปรตุเกสรายหนึ่งได้ใช้กำลังพวกทหารรับจ้างที่เป็นบริวารเข้ายึดสิเรียม เนื่องจากเห็นว่าเป็นชัยภูมิที่เหมาะในการทำเป็นเมืองท่าค้าขาย จากนั้นก็ตั้งตัวเป็นเจ้าเมือง บีบบังคับให้เรือสินค้าทั้งหลายต้องผ่านมาที่นี่

สิเรียม จึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลแทนเมืองหงสาวดี ยาวนานถึง 13 ปี นิโคเตครองเมืองสิเรียม พร้อมทั้งสร้างบารมี มัวเมากอบโกย ย่ำยีพุทธศาสนา ปล้นชิงวัดวาอาราม ทั้งหลอมทองจากพระพุทธรูปมาหล่อปืนใหญ่ ชาวเมืองสิเรียมโดยทั่วไป รวมไปถึงพระสงฆ์องค์เจ้าต่างรวมใจกันสาปแช่ง ซึ่งก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น เนื่องจากไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์จะต่อต้านได้ นิโคเตยังกำเริบเสิบสานขู่เข็ญบังคับให้ชาวมอญเข้ารีตในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกหลายหมื่นคน

จนกระทั่ง ในปี พ.ศ. 2256 พระเจ้าอะน่าวแผ่หลุ่น กษัตริย์พม่าแห่งเมืองตองอู ยกทัพเข้าตีเมืองสิเรียมแตก จับนิโคเตฆ่าเสียบประจาน หลังจากนั้น สิเรียม ก็ตกอยู่ในอำนาจของอีกหลายกลุ่ม ทั้งพม่า มอญ สยาม เป็นต้น ปัจจุบัน สิเรียม เป็นแหล่งปลูกข้าว ด้วยเป็นพื้นที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ อีกทั้งยังเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่สำคัญของเมียนมาอีกด้วย

บริเวณปากแม่น้ำย่างกุ้งมีเกาะขนาดเล็ก โดยมีเจดีย์เยเลพญา (Ye Le Paya) ประดิษฐานอยู่บนเกาะขนาดเล็กนี้ด้วย มีคำบอกเล่ากันมาเป็นตำนานว่า เมื่อราวพันปีก่อนได้มีพระพุทธรูปงดงามลอยมาติดเกาะ ผู้คนเห็นเป็นที่อัศจรรย์ จึงร่วมกันอัญเชิญขึ้นประดิษฐาน พร้อมทั้งขนานนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “ง้าซัดพญา”

ด้วยเห็นว่าเป็นพระพุทธรูปที่แกะจากหินอ่อน ประดับเครื่องทรง ลักษณะพระพักตร์ขาวเด่น มีรอยยิ้มเปี่ยมด้วยพระเมตตา อีกทั้งยังสามารถถอดแยกออกได้ถึง 5 ชิ้น คือ พระพาหา 2 ชิ้น พระเพลา 2 ชิ้น และพระเศียรอีก 1 ชิ้น

ต่อมาในราวคริสต์ศตวรรษที่ 3 พระเจ้าซียาสะนา ทรงสร้างเจดีย์เยเลพญาขึ้น เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป โดยทรงตั้งจิตอธิษฐานไว้ 3 ประการ

ประการแรก ถึงแม้เกาะจะมีขนาดเล็กก็ตาม แต่ถ้ามีผู้คนขึ้นเกาะมากราบไหว้บูชาด้วยความศรัทธามากมาย ก็ขอให้เป็นพื้นที่เพียงพอรองรับผู้คนได้ทั้งหมด

ประการที่สอง ขอให้ผืนดินลอยตัวอยู่ได้ แม้ฝนจะตกหนักน้ำจะหลากมามากเท่าใดก็ตาม น้ำก็จะไม่ท่วมเกาะ และ

ประการที่สาม เมื่อผู้คนได้อธิษฐานสิ่งใดๆ ก็ตาม ก็ขอให้สมปรารถนาทุกสิ่ง

พุทธศาสนิกชนที่มากราบไหว้บูชาพระพุทธรูปและเจดีย์ต่างก็สามารถตั้งจิตอธิษฐานได้ทั้ง 3 ข้อ หรืออาจมากกว่านั้นได้ตามจิตศรัทธาด้วย ภายในบริเวณผืนเกาะมีพระพุทธรูปหลากหลายรูปทรง และเดชานุภาพอิทธิปาฏิหาริย์ที่แตกต่างกัน ดังเช่น พระสิวลี พระอุปคุต พระพุทธรูปปางต่างๆ รวมไปถึงนัตอีกหลายรูปทรง ล้วนมีอายุนับพันปีทั้งสิ้น บริเวณฝาผนังยังมีภาพเขียนอีกจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงคตินิยม ค่านิยม การดำเนินชีวิต อันเป็นวิถีและวัฒนธรรมของผู้คนจากอดีตผ่านมาถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งทำนายอนาคตของสังคมมนุษย์ไว้อย่างมีเลศนัยอีกด้วย

บรรดาพุทธศาสนิกชนจากหลากหลายถิ่นทั้งใกล้และไกลต่างนั่งเรือข้ามฟากมาจากผืนดินริมฝั่ง เพื่อมาอธิษฐานกราบไหว้บูชาขอพรกันอย่างต่อเนื่อง สิ่งของเครื่องบูชาพระพุทธรูปและผีนัตในพม่านั้นคล้ายคลึงกันแทบทุกวัด ทุกมหาเจดีย์ ประกอบด้วย มะพร้าว กล้วย ผลไม้ต่างๆ ดอกไม้ และใบไม้ชนิดหนึ่ง เรียกกันว่า “ใบแห่งชัยชนะ” นอกจากนี้ ข้างประตูทางเข้ายังมียักษ์สีเขียว 2 ตน ขนาบอยู่ซ้ายขวา เชื่อถือกันว่าเป็นยักษ์ศักดิ์สิทธิ์ หากใช้มือลูบหลังยักษ์แล้ว นำมาลูบร่างกายบริเวณที่ปวดเมื่อย เจ็บ ขัดยอก อาการดังกล่าวจะทุเลาเบาบางและหายไปในที่สุด

บนผืนแผ่นดิน ณ ริมฝั่งเมืองสิเรียม ยังมีเจดีย์ใหญ่รูปทรงเหมือนกับเจดีย์ชเวดากองอีกองค์หนึ่ง เรียกกันว่า ไจ๊ก์เค้าพญา (Kyaik Kauk Paya) มีตำนานเล่าขานกันสืบมาว่า เจดีย์องค์นี้สร้างขึ้นเมื่อกว่าสองพันปีมาแล้ว ในยุคสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย แต่ภายหลังได้บูรณปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมขึ้นใหม่ จึงเห็นรูปทรงในปัจจุบัน ซึ่งจำลองมาจากเจดีย์ชเวดากอง ด้วยจุดประสงค์เพื่อให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนี้สามารถบวงสรวงสักการะได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องเดินทางไปกราบไหว้บูชามหาเจดีย์ชเวดากองถึงกรุงย่างกุ้ง