สยามลวดเหล็กฯ พา “เกษตรสัญจร” ปลูกเยาวชนรุ่นใหม่หัวใจเกษตร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05095151159&srcday=2016-11-15&search=no

วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 635

เยาวชนเกษตร

ผู้แต่ง

สยามลวดเหล็กฯ พา “เกษตรสัญจร” ปลูกเยาวชนรุ่นใหม่หัวใจเกษตร

รู้กันดีว่า อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักที่อยู่คู่กับคนไทยมายาวนาน ให้คนไทยได้มีข้าว พืชผัก ผลไม้ กินตามฤดูกาลตลอดปี อีกทั้งยังสร้างรายได้และความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้ประเทศอย่างมหาศาล แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่าค่านิยมและทัศนคติที่มีต่ออาชีพเกษตรกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และนับวันจะยิ่งลดน้อยลง อีกทั้งความเชื่อที่ปลูกฝังคนไทยกันมาแต่อดีตว่า อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพที่ลำบาก ต้องตรากตรำทำงานหนัก “หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน” เหมือนคนรุ่นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย อีกทั้งต้องประกอบกับปัญหาสภาพอากาศ เศรษฐกิจ และรายได้ที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้อาชีพเกษตรกรรมไม่ใช่อาชีพในฝันของเยาวชนไทยเท่าไรนัก และก็ทำให้หาผู้สืบทอดอาชีพของเกษตรกรได้ยากในปัจจุบันนี้

ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว สะท้อนถึงวิถีชีวิตและการประกอบอาชีพเกษตรกรรมของชุมชนในพื้นที่ ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ที่ถ่ายทอดกันมายาวนานจากบรรพบุรุษ กำลังถูกลดความสำคัญลงเรื่อยๆ จากข้อมูลการย้ายถิ่นของประชากรในพื้นที่เพื่อออกไปหางานทำในเมืองหลวง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการทำเกษตรแบบผิดวิธี และผิดเพี้ยนจากที่บรรพบุรุษได้ทำมาตั้งแต่ในอดีต โดยปัจจุบันชาวบ้านเน้นการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและแมลงจำนวนมากขึ้นเพื่อทำให้ได้ผลผลิตสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม บริษัท สยามลวดเหล็กอุตสาหกรรม จำกัด และ บริษัท ที เอส เอ็น ไวร์ จำกัด (บริษัทในเครือ) เล็งเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น จึงให้ความสำคัญและสนับสนุนการพัฒนาอาชีพเกษตรกรให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ โดยริเริ่มโครงการ “เกษตรสัญจร” ตามแนวนโยบายของบริษัทในการขับเคลื่อนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การปฏิบัติจริงในโรงเรียน ภายใต้โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยมีโรงเรียนเป็นศูนย์กลาง (School-BIRD) เพื่อปลูกฝังแนวความคิดการเกษตรแบบยั่งยืน ปลอดสารเคมี และช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงให้ความรู้เกี่ยวกับการนำวัสดุที่มีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การสร้างจิตสำนึกรักในถิ่นฐานบ้านเกิด และทัศนคติที่ดีต่ออาชีพเกษตรกรรมอันเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยมายาวนาน

คุณนิกร อ่องอ่อน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส-ทรัพยากรบุคคลและบริหารทั่วไป บริษัท สยามลวดเหล็กอุตสาหกรรม จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ เรื่องเกษตรกรรมของคนไทยกลายเป็นเรื่องห่างไกล โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี กระแสสังคม ค่านิยม วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เด็กและเยาวชนขาดการเรียนรู้ในทางปฏิบัติจริง ดังนั้น การสร้างแรงจูงใจให้เยาวชนรุ่นใหม่หรือแม้กระทั่งลูกหลานเกษตรกรเองหันมาสนใจด้านเกษตรกรรม จึงเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาที่สำคัญ ซึ่งโครงการ “เกษตรสัญจร” เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่จะช่วยผลักดันและพัฒนาเยาวชนให้เกิดทัศนคติที่ดี มีความภูมิใจในการเป็นครอบครัวเกษตรกรรม ซึ่งเป็นอาชีพที่สุจริต สามารถสร้างรายได้และประสบความสำเร็จในชีวิตได้เหมือนกับอาชีพอื่นๆ เช่นกัน

สำหรับกิจกรรม เรามุ่งเน้นการให้ความรู้ในรูปแบบของการทัศนศึกษาหรือท่องเที่ยวเกษตรเชิงนิเวศ โดยนำนักเรียนจาก 6 โรงเรียน ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ได้แก่ โรงเรียนวัดดอนจันทน์ โรงเรียนวัดละหารไร่ โรงเรียนบ้านหนองละลอก โรงเรียนวัดหนองกระบอก โรงเรียนวัดเชิงเนิน และโรงเรียนบ้านมาบตอง ซึ่งเป็นโรงเรียนนำร่องในโครงการ School-BIRD เข้าร่วมกิจกรรมเรียนรู้วิถีเกษตรแบบเจาะลึกที่จะช่วยสร้างมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับการเกษตรรูปแบบใหม่ ว่าไม่ได้ยุ่งยากและลำบากอย่างที่คิด

โดยตลอดการทำกิจกรรม นอกจากความรู้ด้านทฤษฎี เด็กๆ ยังได้ลงมือปฏิบัติจริง รวมถึงค้นหาแนวคิดใหม่ๆ ด้วยตนเองนอกเหนือจากการสอนในห้องเรียน ทำให้เด็กๆ มีความเข้าใจเรื่องการทำเกษตรมากขึ้น อาทิ วิธีการเพาะเห็ดนางฟ้าภูฏาน การทำปุ๋ยอินทรีย์จากวัสดุธรรมชาติ รวมถึงชมกระบวนการปลูกและผลิตข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ วิธีการบรรจุข้าวเพื่อจำหน่ายเป็นสินค้า OTOP ณ ศูนย์การเรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ บ้านตรอกสตบรรณ ก่อนจะปิดท้ายด้วยชมการสาธิตและเทคนิคการเพาะต้นอ่อนเมล็ดทานตะวัน และการปลูกต้นกุยช่ายขาว จากพี่ๆ พนักงานจิตอาสา สยามลวดเหล็กฯ ที่ศูนย์การเรียนรู้สวนเกษตรอินทรีย์ SIW 1 Rai Farm ตั้งอยู่บริเวณโรงงานสยามลวดเหล็กฯ เพื่อให้เด็กๆ ลองไปเพาะกินเองที่บ้านกันอีกด้วย

กิจกรรมดังกล่าว ไม่เพียงถ่ายทอดประสบการณ์การเรียนรู้นอกห้องเรียนให้แก่กลุ่มเยาวชนเท่านั้น เรายังมุ่งต่อยอดสร้างแรงจูงใจให้กับชุมชน รวมไปถึงพนักงานบริษัทเกิดความเข้าใจในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบบรู้จักการพึ่งพาตนเอง มีรายได้พออยู่ พอกิน มีคุณภาพชีวิตที่ดีในท้องถิ่นของตนเอง ตามแนวพระราชดำริฯ

คุณฐาปณีย์ โลพันดุง ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดเชิงเนิน กล่าวว่า โรงเรียนให้ความใส่ใจกับการเรียนการสอน โดยอยากให้เด็กๆ เป็นนักคิด นักปฏิบัติ เกิดความรู้สึกรับผิดชอบ และมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียน โดยเฉพาะเรื่องของการเกษตรพอเพียง ไม่ใช่มุ่งเน้นแต่เนื้อหาทางวิชาการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เด็กนักเรียนบางคน พ่อ-แม่ มีอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ปลูกข้าว ปลูกพืชผักสวนครัว แต่ก็ไม่เคยรู้ว่าการทำการเกษตรจริงๆ เขาทำกันอย่างไร ดังนั้น นอกจากเด็กๆ จะได้รับความสนุกสนานแล้ว ยังเพิ่มแนวทางให้นักเรียนสามารถใช้พื้นที่ที่โรงเรียนและที่อยู่อาศัยให้เกิดประโยชน์ ตลอดจนช่วยกระตุ้นให้เด็กๆ เห็นคุณค่าและความสำคัญของอาชีพเกษตรกรรมว่ามีความเกี่ยวข้องต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างไร

เด็กหญิงญานิศา สดมุ้ย นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดเชิงเนิน กล่าวหลังร่วมกิจกรรมว่า รู้สึกสนุก ตื่นเต้น ที่ได้มาเห็นวิถีชีวิตเกษตรพอเพียงของชุมชนบ้านตรอกสตบรรณ พร้อมกับได้เรียนรู้วิธีการทำเกษตรด้วยตัวเอง ทั้งการทำปุ๋ยอินทรีย์ การปลูกพืชด้วยวิธีการเพาะเมล็ด และการแยกกอ รวมถึงได้ลงมือทำก้อนเชื้อเห็ด และการเพาะต้นอ่อนทานตะวันในตะกร้าจากวัสดุเหลือใช้ นอกจากจะสามารถปลูกไว้รับประทานเองเพื่อลดค่าใช้จ่ายในครอบครัวแล้ว เรายังสามารถแบ่งปันให้กับคนอื่นๆ ในชุมชน หรือนำไปขายสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้อีกด้วย

ส่วน เด็กหญิงโมลิก้า มอม นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองละลอก เล่าว่า ได้ทั้งความสนุกและประสบการณ์ใหม่ๆ มากมาย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกมาทำกิจกรรมเรียนรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรนอกโรงเรียน ปกติพ่อ แม่ มีอาชีพทำสวนยางพารา จึงไม่รู้ว่าการทำเกษตรเขาทำกันอย่างไร พอได้มาลองทำจริงๆ ก็รู้สึกว่าไม่ยากอย่างที่คิด และอยากเอาไปลองทำดูบ้าง ถ้าทำสำเร็จก็จะนำไปสอนพ่อกับแม่ และบอกต่อคนอื่นๆ ให้ได้รู้ว่าประโยชน์ของการทำการเกษตรมีข้อดีอย่างไร

ศูนย์การเรียนรู้สวนเกษตรอินทรีย์ SIW 1 Rai Farm เป็นส่วนหนึ่งของดำเนินกิจกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ภายใต้โครงการ School BIRD (Based Integrated rural Development) – การพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยมีโรงเรียนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งร่วมมือกับมูลนิธิ มีชัย วีระไวทยะ โดย บริษัท สยามลวดเหล็กอุตสาหกรรม จำกัด ปันพื้นที่ จำนวน 1 ไร่ ซึ่งอยู่ในโรงงาน มาปรับปรุงให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ฯ เพื่อเผยแพร่ความรู้ และอำนวยความสะดวกต่างๆ ตั้งแต่ เมล็ดพันธุ์ คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการปลูกพืชที่ปลูกอย่างไรให้ได้ผลผลิตตลอดทั้งปี และปราศจากสารเคมี การประหยัดต้นทุนเพิ่มรายได้ให้ครอบครัว การทำสวนเกษตรบนพื้นที่จำกัด เป็นต้น ให้แก่ชุมชน ครอบครัวพนักงาน โรงเรียน ชุมชน หรือผู้สนใจทั่วไป เข้ามาศึกษาหรือเยี่ยมชม SIW 1 Rai Farm เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ และนำมาปรับใช้ในครัวเรือนตลอดจนการดำเนินชีวิตตามวิถีการเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียงต่อไป

วัวบราห์มันในประเทศไทย (ตอนที่ 5) การพัฒนาและส่งเสริมการเลี้ยงดูวัวบราห์มัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05099151159&srcday=2016-11-15&search=no

วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 635

คนปศุสัตว์เล่าเรื่อง

สุพจน์ ศรีนิเวศน์ และ ปิยศักดิ์ สุวรรณี โทร. (081) 921-2328

วัวบราห์มันในประเทศไทย (ตอนที่ 5) การพัฒนาและส่งเสริมการเลี้ยงดูวัวบราห์มัน

เราไม่มีทางเลือกอื่นในการกระจายพันธุ์วัวบราห์มัน ให้ออกไปรวดเร็วให้ถึงมือชาวบ้านนอกจากวิธี

1. ผสมโดยยกระดับพันธุ์ Up-grading กับวัวพื้นเมืองเพียงอย่างเดียว ประมาณ 5 ชั่ว (generation) ซึ่งใช้เวลา 16-18 ปี ก็จะได้วัวบราห์มันขึ้นมา

2. วิธีการขยายวัวพันธุ์บราห์มัน ควรรักษาและขยายพันธุ์วัวพื้นเมืองไปด้วยเพื่อเป็นฐานผลิตวัวบราห์มัน

3. วัวบราห์มัน น่าจะเป็นวัวพื้นฐาน (Foundation stock) ในการผลิตวัวเนื้อและวัวนมได้ทั้ง 2 ชนิด

กลุ่มวัวลูกผสมที่เราเรียกกันว่า พันธุ์สังเคราะห์ (synthetic breeds) แต่พันธุกรรมยังไม่นิ่ง

สถานภาพวัวบราห์มันจนถึงปัจจุบัน

1. ประเทศไทยเลี้ยงวัวบราห์มันมานานกว่า 60 ปี น่าจะอยู่ในสภาพผู้ส่งออกวัวพันธุ์นี้สู่ประเทศเพื่อนบ้านได้

2. ควรเน้นและทำความเข้าใจอย่าให้การเลี้ยงวัวที่มีคุณสมบัติทางด้านเศรษฐกิจต่ำมาแทรกในวัวพันธุ์ดีๆ ที่สะสมมาให้ต่ำลง

3. วัวคงไม่ใช่สัตว์เลี้ยงไว้เพื่อความสวยงาม (Aesthetic favor) อย่างเดียว ดูไม่นานก็คงจะเบื่อ

4. จงเลี้ยงกันเพื่อผลิตเนื้อ เพื่อเป็นรายได้ของเกษตรกรโดยรวม

โอกาสของการใช้ประโยชน์จากวัวบราห์มัน (อย่างคร่าวๆ)

ก่อนอื่นเราจำเป็นต้องรู้คุณสมบัติของมัน ว่ามันจะอยู่ในสภาพแวดล้อมท้องถิ่นเราได้หรือไม่ เช่น

1. ขนาด ขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป คือตัวผู้หนักราว 730-1,000 กิโลกรัม ตัวเมียหนักราว 450-650 กิโลกรัม ในขณะที่วัวเนื้อพันธุ์ยุโรป (ยกเว้นพันธุ์แองกัส) จะหนักกว่า น้ำหนักแรกเกิดต่ำ คือระหว่าง 26-33 กิโลกรัม และโตเร็วในระยะกินนม (วัดที่น้ำหนักหย่านม 205 วัน)

2. นิสัยขี้อาย (ยังมีอยู่บ้าง) ขี้สงสัย ทรหดอดทนในท้องถิ่นทุรกันดาร ชอบความละมุนละม่อมในการปฏิบัติต่อมัน ถ้าเลี้ยงดูดีก็เชื่องมาก ถ้าเปรียวก็เปรียวจัดและดุร้าย

3. สีของมัน จากเทาอ่อนหรือแดงอ่อน ไปจนถึงแดงหรือเกือบดำ แต่ส่วนใหญ่เป็นสีเทาปานกลาง ตัวผู้จะเข้มกว่าตัวเมีย

4. ทนร้อน ทนร้อนได้ถึง 40 ถึง 45 องศาเซลเซียส ทนหนาวได้ตั้งแต่ 0 ถึง -13 องศาเซลเซียส หน้าหนาวจะมีขนยาวขึ้น เรียก Winter Coat

5. คุณสมบัติที่ดี คือปรับตัวได้เก่ง ซึ่งตัวมันมี เช่น

5.1 ขนคลุมร่างกาย

– ขนสั้นเกรียน ทึบ

– ขนเป็นมัน เป็นประกายสะท้อนแสงแดดออกจากตัวได้ดี

5.2 Pigment ที่ผิวหนังมีสีดำ ป้องกันแสงแดดทะลุทะลวงเข้าในตัวได้ดี

5.3 ผิวหนังย่น พับไปพับมา กระจายความร้อนออกจากตัวได้ดีมาก

5.4 มีต่อมขับเหงื่อบริเวณใต้ผิวหนังออกจากร่างกายได้เก่งมาก

5.5 เทียบกับวัวพันธุ์ยุโรปอื่นๆ แล้ว ร่างกายมันมีอุณหภูมิความร้อนต่ำกว่าพวกวัว Taurus

5.6 ผิวหนังสั่นเฉพาะที่ไล่แมลงที่เจาะเลือดได้ คือมี Muscular membrane ใต้ผิวหนังช่วย

5.7 ตาไม่เป็นมะเร็ง

5.8 ทนต่อเห็บและโรคไข้เห็บ รวมถึงอนาพลาสโมสิสด้วย

5.9 ส่วนที่ดีที่สุดอีกอันหนึ่งนั้นคือ เมื่อเอามาผสมข้ามพันธุ์กับพวก Taurus จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันหนึ่ง ที่เราเรียกว่า heterosis หรือ hybrid vigor ที่เด่นชัดมาก

ฉะนั้น คุณสมบัติที่ดีต่างๆ เหล่านี้เราก็นำมาใช้ประโยชน์ให้แก่เราได้เต็มที่ เช่น

– ขยายเป็นพันธุ์แท้ของมันเองให้เพิ่มขึ้น

– ผสมโดยยกระดับพันธุ์กับตัวเมียวัวใดๆ ก็ได้ (Up grading) เพื่อให้เป็นพันธุ์บราห์มัน ประมาณ 4-5 ชั่ว ก็จะได้วัวบราห์มันซึ่งถือว่าเป็น 100% ได้

– ใช้น้ำเชื้อพันธุ์วัวเนื้อยุโรปผสมกับแม่บราห์มัน หรือแม่บราห์มันยกระดับพันธุ์ ผลิตเป็นวัวเนื้อลูกผสม

ยุโรป 50% กับแม่วัวพื้นฐานเลี้ยงถึง 24 เดือน แล้วขุน 4 เดือน แล้วฆ่าขาย

– ท่านจะสร้างวัวเนื้อเพื่อการค้า ท่านต้องมีแม่บราห์มันมากๆ

กล่าวโดยสรุป เกี่ยวกับการเลี้ยงวัวบราห์มันในประเทศไทย ดังนี้

1. ขอให้เน้นมากที่สุดว่า ใครก็ตามที่เลี้ยงวัวต้องมีอาหารเลี้ยงวัวได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี เช่น หญ้าสด หญ้าแห้ง หญ้าหมัก วัสดุเหลือใช้จากการเกษตร ฯลฯ (พึ่งอาหารผสมเท่าที่จำเป็นจริงๆ) พึงตระหนักอยู่เสมอว่า การให้อาหารวัวต้องให้ผ่านทางทุ่งหญ้า (พืชอาหารสัตว์) เป็นอันดับแรก

2. วางแผนป้องกัน ควบคุมโรคให้ถูกวิธีและทำเป็นระบบ

3. ในการพัฒนาส่งเสริมให้การเลี้ยงวัวเป็นไปได้รวดเร็วทั่วถึงน่าจะมีโครงการ พัฒนาที่เบ็ดเสร็จ และต่อเนื่องอย่างน้อย 16 ปี โดยมีเกษตรกรรายย่อยเป็นศูนย์กลางร่วมกันทำเป็นหนึ่งเดียวก็พอ

4. การส่งเสริมพวกเลี้ยงวัวพันธุ์แท้ (Purebred breeders) ก็ต้องทำควบคู่กันไปด้วย

5. ประเทศไทย (ขณะนี้) น่าจะอยู่ในฐานะผู้ขายวัวพันธุ์บราห์มันแก่เพื่อนบ้านได้แล้ว ปัจจุบันเราทำได้น้อยมาก

6. การจดทะเบียนรับรองสายพันธุ์วัวลูกผสมบราห์มันสายเลือดระดับต่างๆ ถือเป็นงานเร่งด่วนและมีความสำคัญอย่างยิ่งในการขยายฐานแม่วัวเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตแบบต่อยอดครบวงจรต่อไป ที่ทั้งภาครัฐและเอกชน (สมาคม) ต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีแม่วัวลูกผสมบราห์มันเลือดสูงเป็นจำนวนมาก

ข้อสังเกตสุดท้ายของผู้เขียน ใคร่ขอฝากไว้แก่นักเลี้ยงวัวทั่วๆ ไปว่า ประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรวัวน้อย บ่อพันธุกรรมก็จะเล็กตามไปด้วย ดังนั้น การที่ท่านใดท่านหนึ่งประสงค์จะสร้างวัวพันธุ์ใหม่ขึ้นมา ขอความกรุณาอย่าทำเพราะแหล่งพันธุกรรม (gene pool) ก็จะเล็กมากด้วย ไม่เหมือนประเทศที่เขามีวัวมาก เขาใช้วัวเป็นพันๆ หมื่นๆ ตัว แล้วผสมปิดฝูงแล้วคัดเลือกได้อย่างเต็มที่ ถึงได้มาตามที่เขาต้องการ ลูกผสมที่เรามีๆ อยู่ ปัจจุบันก็ยังเป็นลูกผสมอยู่เหมือนเดิมๆ นั่นแหละ อยากให้มาช่วยกันผลิตวัวเพื่อเป็นลูกผสมแล้วขุนขายเลย ที่เราเรียกว่า Commercial producers (เชิงพาณิชย์) ซึ่งมีปริมาณงานร่วมในกิจการนี้ถึง 96 ส่วน อีก 4 ส่วนเป็นเรื่องของการผลิตพันธุ์แท้ (Purebred breeders) 96 ส่วนนี้เรายังไม่เข้าใจกันเท่าไรเลยว่า ควรผสมแบบไหนและใช้พันธุ์อะไรดี จึงจะให้ผลผลิตได้คุณภาพสากลและประหยัดแก่ผู้ดำเนินการด้วย โดยเฉพาะผู้ผลิตที่อยู่ในภูมิภาคร้อนชื้นอย่างประเทศไทย

(อ่านต่อฉบับหน้า)

วัวพันธุ์ใหม่เกิดจากบราห์มัน/พื้นเมือง เป็นพื้นฐานที่ทำกันก็มี

– วัวพันธุ์กำแพงแสน โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

– พันธุ์ตาก พันธุ์กบินทร์บุรี โดยกรมปศุสัตว์

– วัวบราห์เมนสไตน์ หรือวัวฟรีบราห์ (Frie-Brah) โดยกรมปศุสัตว์ และ สวทช. (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ)

– วัวบราห์มัน (ซีบู-Indicus) เมื่อผสมกับวัวยุโรป (Taurus) จะมีปรากฏการณ์รวมตัวการจับคู่ของยีน ได้ผลเฮทเทอร์โรสิส หรือไฮบริด วิกเกอร์ (Heterosis or Hybrid Vigor) สูงสุด

– แต่วัวบราห์มัน (ซีบู) ผสมกับวัวไทย หรือซูบู ด้วยกันได้เฮทเทอร์โรสิส ไม่มาก ไม่ชัดเจนเท่ากับผสมกับวัวยุโรป

– ปี 2531 เจ้าหน้าที่ของกรมปศุสัตว์ ได้ร่วมกันจัดตั้งสมาคมผู้บำรุงพันธุ์โคบราห์มันแห่งประเทศไทยขึ้น ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า Thai Brahman Breeders Association (TBBA) เพื่อหวังอย่างเต็มที่ว่าจะให้เป็นสมบัติของเอกชนและเกษตรกรในการส่งเสริมการเลี้ยงวัวให้เป็นอาชีพที่มั่นคง ถาวร

– โคฟรีบรา

ตาก (Tak)

มีเลือดชาร์โรเล่ส์ 62.5%

บราห์มัน 37.5%

สร้างและพัฒนาพันธุ์ โดยกรมปศุสัตว์

– กบินทร์บุรี (Kabinburee)

มีเลือดซิมเมนทอล 50%

บราห์มัน 50%

สร้างและพัฒนาพันธุ์ โดยกรมปศุสัตว์

– กำแพงแสน (Kamphangsaen)

มีเลือดชาร์โรเล่ส์ 50%

บราห์มัน 25%

พื้นเมือง 25%

สร้างและพัฒนาพันธุ์ โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

บัณฑิตแม่โจ้ เลี้ยงแพะนมพันธุ์ซาแนน ที่ลพบุรี เป็นงานสร้างเงิน บนวิถีแห่งความสุข

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05101151159&srcday=2016-11-15&search=no

วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 635

เทคโนโลยีปศุสัตว์

สุรเดช สดคมขำ

บัณฑิตแม่โจ้ เลี้ยงแพะนมพันธุ์ซาแนน ที่ลพบุรี เป็นงานสร้างเงิน บนวิถีแห่งความสุข

“จากข้อมูลล่าสุดของการเลี้ยงแพะภายในจังหวัดลพบุรี ในเวลานี้มีมากกว่า 20,000 ตัว ซึ่งตอนนี้ก็ได้มีการเลี้ยงแพะนมเข้ามาด้วย จึงถือได้ว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ ซึ่งในพื้นที่ยังเลี้ยงน้อยอยู่ ถ้าเราดูกันจริงๆ แพะนมก็เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ต้องอยู่ที่การบริหารจัดการด้วย ถ้าจัดการดีผลตอบแทนของน้ำนมดีเลยทีเดียว” คุณอภินันท์ กล่าว

คุณอภินันท์ จินพละ เจ้าหน้าที่สำนักงานปศุสัตว์อำเภอชัยบาดาล เปิดเผยข้อมูลว่า การเลี้ยงแพะนมนั้น ถ้าจะให้ได้ผลตอบแทนที่ดี เป็นอาชีพที่อยู่ได้ยั่งยืน ต้องมองปลายน้ำคือ เรื่องของการตลาด ซึ่งเป็นความโชคดีของเกษตรกรในจังหวัดลพบุรี ที่มีแหล่งรับซื้อน้ำนมแพะที่แน่นอนทำให้เกษตรกรมีตลาดจำหน่ายสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ซึ่งแพะนมพันธุ์ซาแนนผลิตน้ำนมให้ดีได้ปริมาณมาก และเป็นที่ต้องการของตลาดในขณะนี้

แพะนมพันธุ์ซาแนน (SAANEN) เป็นสายพันธุ์ที่ให้น้ำนมในปริมาณมาก จนได้รับขนานนามว่า “ราชินีแห่งนม” มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ลักษณะประจำพันธุ์คือ มีสีขาว มองแล้วสะอาดตา บางตัวอาจเป็นสีครีม ใบหน้ามีลักษณะแบน ใบหูสั้น ตั้งตรงชี้ไปข้างหน้า

เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ ตัวผู้จะมีน้ำหนัก 70 กิโลกรัม ส่วนตัวเมียอยู่ที่ 50 กิโลกรัม และมีเต้านมใหญ่ หัวนมเรียวยาว สามารถให้น้ำนมเฉลี่ยวันละ 3 กิโลกรัม ตัวเมียเมื่อตั้งท้องสามารถมีลูกได้ 1-3 ตัว ต่อ 1 แม่ จากความน่ารัก ขี้เล่นของแพะนมสายพันธุ์นี้ จึงทำให้เป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่สนใจอยากเลี้ยงเป็นอาชีพ เพื่อผลิตน้ำนมส่งจำหน่าย เหมือนเช่น คุณสุริพงษ์ ณะทิตศรี อยู่บ้านเลขที่ 122 หมู่ที่ 1 ตำบลพัฒนานิคม อำเภอพัฒนานิคม จังหวังลพบุรี

จากบัณฑิตแม่โจ้

สู่อาชีพปศุสัตว์

คุณสุริพงษ์ เล่าให้ฟังว่า เมื่อเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ สาขาวิชาสัตวศาสตร์ จึงได้มีแรงบันดาลใจที่สนใจอยากเลี้ยงแพะนม เกิดจากได้ไปเห็นการเลี้ยงแพะนมว่าไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และที่สำคัญเมื่อแพะเจริญเติบโตเต็มที่สามารถให้น้ำนมได้เป็นอย่างดี จึงมองว่าเป็นอาชีพที่น่าสนใจของเขาในขณะนั้น ซึ่งตัวเขาเองก็ชอบเลี้ยงสัตว์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“ประมาณต้นปี 58 ก็ได้ไปเห็นอาจารย์เขาเลี้ยงไว้ ผมก็เลยเกิดความสนใจ เพราะมองว่าผลผลิตที่ได้ก็ไว ไม่ช้าเหมือนสัตว์ชนิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผสมพันธุ์ให้ลูกและก็การให้น้ำนมก็ดี พอเราได้ไปศึกษาประมาณหนึ่ง เห็นมันน่ารักดี ก็เลยตัดสินใจเริ่มเลี้ยงในเวลาต่อมา” คุณสุริพงษ์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเลี้ยงแพะ

แพะนมที่เลือกเลี้ยงเป็นสายพันธุ์ซาแนน เนื่องจากมีลักษณะเด่นคือ ให้น้ำนมดี และเป็นแพะที่มีลักษณะตัวสีขาว ทำให้เขาชื่นชอบเพราะมองแล้วสะอาดตาน่าหลงใหล

กินอาหารง่าย

โตดี มีน้ำนมมาก

ในขั้นตอนแรกก่อนที่จะนำแพะมาปล่อยเลี้ยงในพื้นที่ คุณสุริพงษ์ บอกว่า ต้องเตรียมสร้างโรงเรือนเสียก่อน โดยขนาดใหญ่เล็กดูตามจำนวนแพะที่จะนำมาเลี้ยงภายในโรงเรือน ซึ่งที่ฟาร์มแห่งนี้เลี้ยงแพะประมาณ 100 ตัว สร้างโรงเรือนขนาด 10×20 เมตร ยกพื้นสูงประมาณ 1-1.50 เมตร พร้อมทั้งขยายหลังคาให้รอบโรงเรือนเพื่อกันแสงแดด

“พอเรามีโรงเรือนเรียบร้อย ก็เตรียมหาพ่อแม่พันธุ์มาเลี้ยง หรือจะซื้อแบบตัวเล็กๆ ก็ได้ ถ้าไม่ซื้อแบบพ่อแม่พันธุ์ อย่างแม่พันธุ์ที่สมบูรณ์เขาขายกันอยู่ที่ตัวละ 5,000-6,000 บาท ซึ่งผมก็จะซื้อที่เป็นพ่อแม่พันธุ์มา อายุประมาณปีกว่าๆ เลี้ยงไปสักพักก็จะผสมพันธุ์กัน ใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 5 เดือน ก็จะได้ลูกออกมา ก็จะเก็บลูกที่เป็นตัวเมียไว้ ส่วนตัวผู้ก็ขายออกไป” คุณสุริพงษ์ เล่าถึงการขยายพันธุ์

อาหารสำหรับเลี้ยงแพะ คุณสุริพงษ์ บอกว่า ใช้อาหารเลี้ยง 2 แบบ คือ อาหารข้นสำเร็จรูปกับอาหารหยาบ ซึ่งอาหารหยาบเขาเป็นผู้ปลูกเอง เช่น หญ้าขนและหญ้าเนเปียร์ ส่วนอาหารข้นซื้อจากแหล่งที่จำหน่ายทั่วไป

“อาหารทั้ง 2 แบบ ก็ต้นทุนไม่สูงมาก ให้กินอาหารข้นสำเร็จรูปตกอยู่ที่ตัวละไม่ถึงกิโล ให้กินช่วงเช้าเย็น ต้นทุนอยู่ที่ตัวละ 10 บาท ต่อวัน แต่อาหารหยาบพวกหญ้าต่างๆ ให้แพะกินเต็มที่ตลอดทั้งวัน เพราะเราปลูกเองทำเอง เลยไม่ต้องกลัวเรื่องต้นทุนที่จะสูงตามมา” คุณสุริพงษ์ อธิบายการให้อาหารของฟาร์ม

โรคที่เกิดขึ้นกับแพะช่วงที่ระบาดหรือต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นช่วงฤดูฝน เพราะพื้นที่เลี้ยงจะเกิดความชื้นแฉะทำให้แพะไม่สบายเนื้อสบายตัว จะทำให้เกิดโรคตามมาภายหลังได้ จะทำการป้องกันโดยฉีดวัคซีน ส่วนตัวที่มีอาการของโรครุนแรงจับแยกออกจากฝูงทันที

ด้านการรีดนมแพะนั้น คุณสุริพงษ์ เล่าว่า ต้องเป็นแม่แพะที่มีความพร้อมสมบูรณ์ อายุอย่างน้อย 1-1 ปีครึ่ง ถึงจะให้นมได้ ซึ่งแม่แพะจะให้น้ำนมประมาณ 9 เดือน โดยน้ำนมที่รีดต่อวันเฉลี่ยตกอยู่ที่ 3 กิโลกรัม ต่อตัว สามารถรีดได้ทุกวันช่วงเช้าและเย็น

ในขั้นตอนของการรีดนมแพะสิ่งที่ต้องเน้นเสมอคือ เรื่องความสะอาด ทุกครั้งก่อนใช้เครื่องรีดต้องใช้ผ้าชุบน้ำสะอาด เช็ดบริเวณเต้านมไม่ให้มีสิ่งสกปรกเหลืออยู่ จากนั้นใช้เครื่องรีดสวมเต้านมทั้ง 2 ข้าง ซึ่งการรีดนมใช้เวลาประมาณ 2-3 นาที ต่อตัว เมื่อรีดครบทุกตัวแล้วก็ส่งนมไปยังแหล่งรับซื้อได้ทันที

“อาหารที่ให้แม่แพะที่ให้นม เราต้องให้พิเศษขึ้นมาอีกหน่อย ก็จะมีเรื่องของอาหารที่ให้โปรตีนสูงเป็นพิเศษ จะเป็นพวกถั่วเหลืองที่ให้เข้ามาเพิ่ม เพราะจะช่วยให้น้ำนมมีคุณภาพมากขึ้น โดยจะเน้นให้กับแม่แพะ ก็จะช่วยได้หลายเรื่องที่เกี่ยวกับการให้นม” คุณสุริพงษ์ บอก

จากน้ำนมแพะดิบ

สู่นมพาสเจอไรซ์ขึ้นห้างสรรพสินค้า

คุณสุริพงษ์ ได้เล่าถึงเรื่องการตลาดว่า เมื่อรีดน้ำนมแพะได้ครบทุกตัวแล้วจึงจะนำนมทั้งหมดส่งจำหน่ายให้แหล่งที่รับซื้อ โดยที่รับซื้อจะนำน้ำนมทั้งหมดไปทำตามกระบวนการพาสเจอไรซ์ และส่งจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศต่อไป

“น้ำนมแพะที่รีดได้ เขาก็รับซื้ออยู่ที่กิโลกรัมละ 40 บาทตลอดทั้งปี ราคานี้ตลอด ซึ่งวันหนึ่งอย่างรีดได้มากสุดก็อยู่ที่ 100 กิโลกรัม อย่างตอนนี้ก็มีอีกตลาดที่ทำด้วย จะเป็นตลาดของน้องหมาน้องแมวที่ป่วย เพราะเวลาสัตว์พวกนี้ป่วย ให้กินนมแพะจะหายป่วยไว ราคาขายก็อยู่ที่กิโลกรัมละ 60 บาท ซึ่งใครสนใจก็ติดต่อมาได้โดยตรง ที่ฟาร์มก็จะรีดให้ได้เลย” คุณสุริพงษ์ เล่าถึงเรื่องการตลาด

สำหรับผู้ที่สนใจอยากเลี้ยงแพะนมพันธุ์ซาแนน คุณสุริพงษ์ ให้คำแนะนำว่า “สำหรับใครที่อยากเลี้ยง ยังไม่รู้วิธีการ ก็มาศึกษาที่ผมได้ ผมยินดีให้ข้อมูล ถ้ามองดูแล้วนมแพะ ในเรื่องการตลาดถามว่าดีไหม ตอนนี้ก็ต้องบอกเลยว่า ผู้บริโภคก็เริ่มเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วนตลาดของน้องหมาน้องแมว ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทอีกหนึ่งตลาด ก็ทำให้เราสามารถส่งขายได้หลากหลายมากขึ้น สำหรับผมตอนนี้ทำแล้วมีความสุข เพราะผมเองก็จบสัตวศาสตร์มา เลยชอบที่จะเลี้ยง อีกอย่างการได้ทำงานด้านนี้ได้อยู่บ้าน ดูแลคนที่เรารักได้ด้วย”

ส่วนด้านบทบาทของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลพบุรี โดย อาจารย์สมชาติ เปรี่ยมสูงเนิน อาจารย์สอนวิชาการผลิตโคนม ได้ให้ข้อมูลว่า วิทยาลัยแห่งนี้มีการสอนเกี่ยวกับด้านสัตวศาสตร์ ที่จะเน้นไปในเรื่องของโคนม โคเนื้อ สุกร และสัตว์ปีก ซึ่งผู้ที่จบการศึกษาแล้วสามารถนำวิชาความรู้ไปประกอบอาชีพได้ หรือนำไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ซึ่งในตอนนั้นคุณสุริพงษ์ มีความสนใจอยากเลี้ยงแพะนม ทางวิทยาลัยจึงได้ให้ข้อมูลรวมทั้งด้านวิชาการ เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดด้วยอีกทาง

“สำหรับใครที่สนใจ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ลพบุรี หรือจังหวัดอื่นๆ หากมีข้อสงสัยก็สามารถมาสอบถามข้อมูลได้ ซึ่งทางเราก็จะให้ข้อมูลที่ถูกต้องตามความเหมาะสม อย่างที่ฟาร์มแห่งนี้ในจังหวัดลพบุรี แพะนมที่เลี้ยงดีที่สุดต้องเป็นสายพันธุ์ซาแนน เราก็จะแนะนำทั้งเรื่องการจัดการ การให้อาหาร ตลอดจนเรื่องการตลาด เพื่อให้เป็นอาชีพที่เลี้ยงตัวเองได้แบบมั่นคงต่อไป” อาจารย์สมชาย กล่าว

การประกอบอาชีพจากสิ่งที่เขาชอบและรัก ทำให้ทุกวันนี้คุณสุริพงษ์ไม่ได้มีรายได้เพียงอย่างเดียว แต่เขายังบอกอีกด้วยว่ามีความสุขมาก โดยที่ไม่ต้องไปหางานทำให้ไกลจากบ้านเกิด เพียงแต่ใช้บริเวณพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เท่านี้ก็ทำงานบนวิถีแห่งความสุขแบบสบายๆ

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณสุริพงษ์ ณะทิตศรี ที่หมายเลขโทรศัพท์ (087) 121-4743

ชูการ์ไกลเดอร์ จิงโจ้ร่อน ลู่ลม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05103151159&srcday=2016-11-15&search=no

วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 635

สัตว์เลี้ยงสวยงาม

สุจิต เมืองสุข

ชูการ์ไกลเดอร์ จิงโจ้ร่อน ลู่ลม

10 กว่าปีก่อน เจ้าสัตว์เลี้ยงตัวจิ๋ว มีกระเป๋าหน้าท้องคล้ายจิงโจ้ แต่ลักษณะภายนอกด้วยรูปร่างลักษณะคล้ายกระรอก ทั้งยังมีพังผืดด้านข้างลำตัว ทำให้มีความสามารถมากกว่ากระรอกทั่วไป คือสามารถร่อนตัวเองจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งได้ เพิ่งเริ่มเข้ามาในเมืองไทยหมาดๆ ทำให้ราคาซื้อขายในยุคนั้นค่อนข้างสูง แต่ปัจจุบัน แม้ราคาจะถูกลงเหลือเพียงหลักร้อย แต่ความนิยมก็ไม่ได้ลดลง

ส่วนใหญ่ผู้เลี้ยงจะเรียกสัตว์เลี้ยงน่ารักชนิดนี้สั้นๆ ว่า ชูการ์ ชื่อเต็มๆ ของเจ้าจิงโจ้ร่อน หรือจิงโจ้บิน คือ ชูการ์ไกลเดอร์ (Sugar glider) ซึ่งชื่อเรียกมีที่มาจากพฤติกรรมที่ชอบกินยางไม้จากต้นไม้ และอาหารที่มีรสชาติหวานในธรรมชาติ

ตามตำราบอกว่า ชูการ์ไกลเดอร์ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในอันดับสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง จำพวกพอสซั่ม เนื่องจากตัวเมียจะมีกระเป๋าหน้าท้อง ใช้สำหรับให้ลูกอ่อนอาศัยอยู่จนกว่าจะโตได้ที่

ชูการ์ไกลเดอร์ เป็นสัตว์ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ตั้งแต่ 6-10 ตัวขึ้นไป แต่ละฝูงจะมีการกำหนดอาณาเขตของตัวเองอย่างชัดเจน ตัวผู้ที่เป็นจ่าฝูงจะปล่อยกลิ่นเพื่อกำหนดอาณาเขตของตนเอง อายุเฉลี่ย 10-15 ปี ตามธรรมชาติชูการ์ไกลเดอร์ จะอาศัยอยู่บนต้นไม้ ทำให้มีเล็บที่แหลมคมใช้เกาะ เพื่อกระโดดข้ามจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง

จุดเด่นของชูการ์ไกลเดอร์ คือความสามารถในการบินได้ ซึ่งเกิดจากพังผืดข้างลำตัวจากขาหน้าไปถึงขาหลังเพื่อลู่ลมเวลาร่อน เช่นเดียวกับกระรอกบิน หรือ บ่าง

อันที่จริง ชูการ์ไกลเดอร์เป็นสัตว์ขนาดเล็ก น่ารัก ไม่ดุร้าย ไม่ก้าวร้าว ทำให้ชูการ์ไกลเดอร์ได้รับความนิยมนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง และแม้ว่าจะเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันผู้เลี้ยงก็สามารถเพาะขยายพันธุ์ในที่เลี้ยงได้แล้ว

ตั้งแต่ชูการ์ไกลเดอร์เริ่มเข้ามาแพร่หลายในเมืองไทย คุณนทิตา ศรีวัฒนะ หรือ ป้าแป๋ว ก็เป็นหนึ่งคนที่สนใจเลี้ยงชูการ์ไกลเดอร์ แม้จะเริ่มจากการซื้อมาเพื่อเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเล่นภายในบ้าน เพราะเห็นว่าเป็นสัตว์แปลกใหม่ ยังมีน้อยในเมืองไทย แต่เมื่อป้าแป๋วตัดสินใจเลี้ยงแล้ว ก็ศึกษาเรื่องราวของชูการ์ไกลเดอร์จากหนังสือและเว็บของต่างประเทศ เพื่อให้แน่ชัดถ่องแท้ในการเลี้ยงดู ไม่ให้ผิดไปจากธรรมชาติเดิม

เพราะมีความชอบสัตว์ในกลุ่มเอ็กโซติกเพ็ดเป็นทุนเดิม เมื่อเริ่มเลี้ยงชูการ์ไกลเดอร์ก่อน 2 ตัวแรก ก็เริ่มเห็นความแตกต่างว่าชูการ์ไกลเดอร์แต่ละตัว ไม่เฉพาะความแตกต่างในเรื่องสี แต่รูปร่าง รูปหน้า ลักษณะบางประการก็มีความแตกต่างกันด้วย ทำให้ป้าแป๋วเริ่มซื้อเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามความชอบ เพื่อให้มีชูการ์ไกลเดอร์ที่แตกต่างกัน

เมื่อยุคโซเชียลเน็ตเวิร์กเริ่มมีบทบาท ก็เริ่มมีเว็บที่เปิดเฉพาะคนเลี้ยงชูการ์ไกลเดอร์ ซึ่งขณะนั้นมีเพียง 1-2 เว็บไซต์เท่านั้น ป้าแป๋วก็เป็นบุคคลหนึ่งที่เป็นที่รู้จักดีของเว็บคนเลี้ยงชูการ์ไกลเดอร์ในยุคนั้น

ป้าแป๋ว เป็นที่รู้จักแพร่หลายก็เนื่องจากให้ความรู้และคำแนะนำเกี่ยวกับการเลี้ยงชูการ์ไกลเดอร์ เธอพยายามถ่ายทอดความรู้เท่าที่มี เพราะทราบดีว่า ชูการ์ไกลเดอร์ แม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงง่าย แต่ต้องเอาใจใส่และมีความละเอียดมากพอ จึงจะเลี้ยงได้ดีและรอด

นับจากวันนั้นถึงวันนี้ ป้าแป๋วก็ทำฟาร์มชูการ์ไกลเดอร์ จากเพียงแค่คิดเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเล่นภายในบ้าน เมื่อเพิ่มจำนวนมากขึ้น มีคนมาขอซื้อ ป้าแป๋วก็ใจดีแบ่งปันขายไปตามความเหมาะสม และเมื่อถามไถ่กันมามากเข้า จึงลาออกจากงานประจำ มาจริงจังกับการทำฟาร์มชูการ์ไกลเดอร์ถึงปัจจุบัน รวมเวลา 14 ปี ระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ ทำให้เชื่อได้ว่า ชูการ์ไกลเดอร์จากฟาร์มป้าแป๋ว เป็นชูการ์ไกลเดอร์ที่ได้คุณภาพ

“ตอนเลี้ยงจนมีลูกชูการ์ไกลเดอร์ระยะแรก มีคนมาขอซื้อก็ขาย เดือนหนึ่งได้ลูกชูการ์ไกลเดอร์ถึง 5 ตัว แต่ก็ไม่พอขาย ราคาซื้อขายยุคนั้น อยู่ที่ตัวละ 2,500-3,000 บาท”

ป้าแป๋ว ให้ความรู้ว่า ชูการ์ไกลเดอร์ เป็นสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง การผสมพันธุ์ในตัวผู้และตัวเมีย ต้องให้ตัวผู้และตัวเมียมีความคุ้นชินกันเอง และตัวผู้จะต้องเก่งกว่าตัวเมีย สามารถควบคุมตัวเมียได้ จึงจะผสมพันธุ์กับตัวเมียตัวนั้นๆ ได้ แต่ถ้าพบว่าตัวผู้หรือตัวเมียมีลักษณะไม่โลดโผน นุ่มนิ่มคล้ายกัน เมื่อปล่อยให้อยู่ด้วยกันนานแล้ว ตัวเมียยังไม่ตั้งท้อง ก็อาจเป็นไปได้ว่า ชูการ์ไกลเดอร์ตัวผู้และเมียนั้น รักกันแบบพี่น้อง แต่หากผู้เลี้ยงมีความตั้งใจซื้อเพื่อนำมาผสมพันธุ์ให้ได้ลูกชูการ์ไกลเดอร์ และไม่แน่ใจ ควรเช็กสุขภาพของเพศผู้ด้วยการนำไปตรวจความแข็งแรงของน้ำเชื้อ ส่วนในเพศเมียให้สังเกตจากกระเป๋าหน้าท้อง หากปากกระเป๋าหน้าท้องตื้น หรือปากกระเป๋าไม่เปิด โอกาสผสมไม่ติดลูกสูงมาก

ชูการ์ไกลเดอร์เพศเมีย จะเริ่มเป็นสัดในอายุ 6 เดือน แต่วัยเจริญพันธุ์ของชูการ์ไกลเดอร์ที่เหมาะสมควรมีอายุระหว่าง 8-10 เดือน หรือมากกว่า รวมถึงสุขภาพของชูการ์ไกลเดอร์ตัวนั้นๆ ด้วย

ในการตั้งท้องของชูการ์ไกลเดอร์ หากผู้เลี้ยงเห็นขณะที่มีการผสมระหว่างเพศผู้และเพศเมีย ให้นับจำนวนวันคลอดของลูกชูการ์ไกลเดอร์ ระหว่าง 15-21 วัน แต่ถ้าไม่เห็นขณะผสมพันธุ์กัน ควรสังเกตพฤติกรรมของชูการ์ไกลเดอร์เพศเมีย หากตั้งท้องจะชอบเก็บตัว แอบมุมใดมุมหนึ่ง เลียกระเป๋าหน้าท้องบ่อย มีคราบเหนียวๆ (น้ำลาย) เลอะบริเวณหน้าท้อง กินเก่ง และดุมากขึ้น

“ถ้าต้องการให้ชูการ์ไกลเดอร์ตั้งท้อง ควรให้อาหารบำรุงสุขภาพ ดูแลชูการ์ไกลเดอร์อย่างใกล้ชิด เพราะหากชูการ์ไกลเดอร์สุขภาพไม่ดี ขาดสารอาหาร เมื่อตั้งท้องคลอดลูกออกมาจะกินลูกตัวเอง”

ป้าแป๋ว บอกว่า หลังชูการ์ไกลเดอร์คลอดลูก ผู้เลี้ยงจะยังไม่เห็นลูกชูการ์ไกลเดอร์จนกว่าลูกชูการ์ไกลเดอร์จะมีอายุประมาณ 4 เดือน จึงจะโผล่ออกมาบริเวณหน้าท้องให้เห็น และจะกลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องของแม่อีกไม่ได้ เพราะตัวใหญ่ขึ้น เมื่อชูการ์ไกลเดอร์คลอดลูกออกมาจะเลียปากกระเป๋าเป็นทางน้ำลายเปียก ให้ลูกกลิ้งเข้ามาและฝังตัวเข้าไปในกระเป๋าหน้าท้องของแม่ นั่นหมายถึง ชูการ์ไกลเดอร์คลอดลูกแล้ว และตลอดเวลาที่คลอดออกมา ลูกชูการ์ไกลเดอร์จะอาศัยอยู่ภายในกระเป๋าหน้าท้อง เพราะภายในกระเป๋าหน้าท้องของแม่ชูการ์ไกลเดอร์มีนม 4 เต้า ไว้เลี้ยงลูก ในแต่ละครั้งของการคลอดลูกของชูการ์ไกลเดอร์จะได้ลูกชูการ์ไกลเดอร์ เฉลี่ย 1-3 ตัว

การให้อาหารอย่างสมบูรณ์กับชูการ์ไกลเดอร์ที่เลี้ยงไว้เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผู้เลี้ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระหว่างที่ชูการ์ไกลเดอร์เลี้ยงลูก

อาหารของชูการ์ไกลเดอร์ ป้าแป๋ว แนะนำว่า เป็นอาหารหลักครบ 5 หมู่เหมือนคน อาหารของชูการ์ไกลเดอร์ ได้แก่ แมลง หนอนนก จิ้งหรีดนึ่ง จิ้งหรีดสด ผลไม้หวาน และนม การให้อาหารควรมีไว้สลับสับเปลี่ยน การให้นมกับชูการ์ไกลเดอร์เป็นเรื่องดี เพราะชูการ์ไกลเดอร์เป็นสัตว์เล็ก หากขาดแคลเซียม อาจทำให้เป็นอัมพาตเฉียบพลัน ขาหลังอ่อนแรง และไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า

การให้อาหารอย่างสมบูรณ์ในช่วงที่ชูการ์ไกลเดอร์เลี้ยงลูก เป็นสิ่งจำเป็น หากชูการ์ไกลเดอร์ขาดโปรตีน จะกินลูกตัวเอง และถ้าชูการ์ไกลเดอร์ขาดน้ำ ก็จะกินลูกตัวเองเช่นกัน

การทำความสะอาดชูการ์ไกลเดอร์ด้วยการอาบน้ำ หากไม่จำเป็นไม่ควรอาบน้ำให้กับชูการ์ไกลเดอร์ เนื่องจากชูการ์ไกลเดอร์เป็นสัตว์ขนหนาสองชั้น หากอาบน้ำแล้วเช็ดไม่แห้ง มีโอกาสเป็นเชื้อราที่ผิวหนัง หากชูการ์ไกลเดอร์เป็นเชื้อราที่ผิวหนังจะเริ่มคัน เมื่อคันมากจะเริ่มกัด ขนร่วง หรือเป็นโรคขี้เรื้อน ในที่สุด

ป้าแป๋ว บอกด้วยว่า การแยกลูกชูการ์ไกลเดอร์ออกจากกระเป๋าหน้าท้องของแม่ ทำได้เร็วที่สุดคือ ชูการ์ไกลเดอร์มีอายุ 2 เดือน 15 วัน หากเข้าไปยุ่งกับแม่ชูการ์ไกลเดอร์ก่อนหน้านั้นมากเกินไป โอกาสที่แม่ชูการ์ไกลเดอร์จะกินลูกตัวเองมีสูง แต่การแยกลูกชูการ์ไกลเดอร์ออกมาก่อนอายุ 4 เดือน ก็มีความเสี่ยงที่ลูกชูการ์ไกลเดอร์จะเสียชีวิต

“ถ้าจะแยกออกมาก่อน คนเลี้ยงต้องเลี้ยงเป็น ต้องใช้นมแมวหรือนมชูการ์ไกลเดอร์เท่านั้น และต้องป้อนนมทุกๆ 2-4 ชั่วโมง ตามการเจริญเติบโตของลูกชูการ์ไกลเดอร์ ซึ่งหากผู้เลี้ยงมีความอดทนมากพอ ก็สามารถทำได้”

ชูการ์ไกลเดอร์ กับการเลี้ยงในยุคปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ภายในบ้านหรือคอนโดมิเนียม ที่มีพื้นที่ไม่กว้างนัก ป้าแป๋ว บอกว่า ควรหากรงไว้สำหรับให้ชูการ์ไกลเดอร์นอน หากผู้เลี้ยงอยู่บ้านก็ปล่อยให้ออกมาเล่นนอกกรงได้ แต่ควรระวังสัตว์อื่นที่อาจมาทำร้ายชูการ์ไกลเดอร์ และควรระวังช่องลม ฝ้าเพดาน แอร์ เพราะชูการ์ไกลเดอร์ เป็นสัตว์อยากรู้อยากเห็น ซุกซน หากหลุดหายออกไปภายนอก โอกาสเสียชีวิตสูงมาก ส่วนการทำกรงนอนให้กับชูการ์ไกลเดอร์ ควรมีเปลนอน ผ้า และบ้านนอนให้ด้วย นอกจากนี้ ผู้เลี้ยงที่สนิทกับชูการ์ไกลเดอร์ ไม่ควรนำชูการ์ไกลเดอร์นอนด้วย เพราะอาจพลิกทับชูการ์ไกลเดอร์ตาย ซึ่งการนอนควรปล่อยให้นอนในกรงนอนดีที่สุด

สำหรับกรงชูการ์ไกลเดอร์ หากมีพื้นที่แคบควรให้กรงมีความสูง เพื่อให้ชูการ์ไกลเดอร์ปีนขึ้นและร่อนตัวลงมา แต่ถ้ากรงมีความกว้างตามแนวนอนมาก ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้กรงสูง เพราะชูการ์ไกลเดอร์มีพื้นที่สำหรับวิ่งเล่นแล้ว

ปัจจุบันป้าแป๋ว มีพ่อแม่พันธุ์ชูการ์ไกลเดอร์ ประมาณ 350 คู่ แต่ไม่ได้ผสมทุกคู่ เพราะบางคู่อายุมากแล้ว สนใจสอบถามเพิ่มเติม ป้าแป๋วยินดีให้คำแนะนำในการเลี้ยงชูการ์ไกลเดอร์อย่างถูกวิธี หรือต้องการลูกชูการ์ไกลเดอร์คุณภาพ ติดต่อได้ที่ คุณนทิตา ศรีวัฒนะ (ฟาร์มป้าแป๋ว) หมู่บ้านเดอะเลกาซี่ปิ่นเกล้า ซอยบางแวก 85 กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (081) 555-6177 หรือเฟซบุ๊ก : ชูก้าไกรเดอร์ ฟาร์มป้าแป๋ว

สหกรณ์ยางพาราเนินดินแดงฯ จังหวัดตราด กระจายรายได้สู่ชุมชน ด้วยหมอนยางพารา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05105151159&srcday=2016-11-15&search=no

วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 635

ผลิตภัณฑ์น่าใช้

กาญจนา จินตกานนท์

สหกรณ์ยางพาราเนินดินแดงฯ จังหวัดตราด กระจายรายได้สู่ชุมชน ด้วยหมอนยางพารา

“ปัญหายางพาราราคาตกต่ำ” ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ ภาครัฐและเกษตรกรพยายามที่หาทางรอด ด้วยการเปลี่ยนพืชหลักใหม่ๆ เช่น ปาล์ม ทุเรียน หรือพืชชนิดอื่นๆ หรือเปลี่ยนอาชีพไปเลย หรือพยายามต่อสู้ต่อด้วยการเพิ่มมูลค่าน้ำยางพาราด้วยการนำไปทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ ถ้าโปรเจ็กต์ยักษ์น่าจะเป็นการทำถนนที่ภาคใต้ ที่เห็นค่อนข้างเกร่อเต็มตลาดคือ ทำหมอนยางพารา ด้วยตลาดมีความต้องการทั้งในและต่างประเทศ จึงมีการผลิตตามๆ กัน แข่งขันกันด้วยราคา ไม่คำนึงถึงคุณภาพที่ได้มาตรฐาน การผลิตที่ได้คุณภาพเป็นที่ยอมรับและพยายามมองหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายผู้ผลิตที่สามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นพึ่งตนเอง ไม่กู้ธนาคาร

เน้นกระจายรายได้ชุมชน มีรายได้ปันผลทันที

คุณเกรียงไกร เทพินทร์อารักษ์ ประธานสหกรณ์ยางพาราเนินดินแดงตราด จำกัด เล่าว่า เดิมสหกรณ์ของกลุ่มยางพาราเนินดินแดง ตั้งขึ้นเมื่อปี 2555 ช่วยเหลือเกษตรกรผลิตยางรมควันขาย แต่เห็นว่ายังเป็นการแก้ปัญหาที่กลางน้ำ เพราะไม่สามารถกำหนดราคาได้ จากข้อมูลการผลิตยางพาราวัตถุดิบส่งต่างประเทศ 90% และนำมาแปรรูปในประเทศเพียง 10% เป็นการเสียโอกาสอย่างยิ่ง ดังนั้น ในเดือนตุลาคม 2558 จึงจัดตั้งเป็นสหกรณ์ยางพาราเนินดินแดงตราด จำกัด มีสมาชิก 38 คนถือหุ้น หุ้นละ 100 บาท เงินทุนจดทะเบียน 440,000 บาท ด้วยจุดประสงค์ที่จะแก้ไขปัญหาราคายางพาราที่ถูกลงมาเรื่อยๆ และไม่มีโอกาสที่จะราคาสูงได้เหมือนเดิม จึงคิดหาวิธีเพิ่มรายได้ให้สมาชิกด้วยการแปรรูปน้ำยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์หมอนยางพาราเพื่อที่จะกำหนดราคาเองได้ จากนั้นเดินทางไปศึกษาดูการผลิตทางภาคใต้หลายครั้งใน 1 ปีเศษ เพื่อเรียนรู้และตัดสินใจลงทุนเครื่องจักรและหาตลาดจำหน่าย จนกระทั่งแน่ใจจึงเริ่มผลิตเมื่อเดือนมิถุนายน 2559

“แรกๆ ไม่ทราบว่าจะขายให้ใคร ใช้วิธีการทำตลาดอย่างไร จึงใช้โซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ก ไลน์ ตลาดกลับขยายได้กว้าง ตอบรับดีมาก ซื้อ-ขายตรง ทำให้ผลิตไม่ทัน เพราะมีต้นทุนน้อยใช้เครื่องจักรเล็กๆ ทำได้เพียงวันละ 120-160 ใบ คือผลิตวันละ 2 กะ กะละ 12 ชั่วโมง ผลิตได้ 60-80 ใบ จึงทำแบบ 24 ชั่วโมงทีเดียว” คุณเกรียงไกร กล่าวและบอกต่ออีกว่า

“ยอมรับว่าการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เป็นเรื่องที่ยาก เคยลองติดต่อต้องใช้เวลารอนาน และเสียดอกเบี้ยร้อยละ 4-5 นั้น กำไรที่ได้เล็กๆ น้อยๆ จะไม่ได้เป็นของสมาชิก เนื่องจากสหกรณ์เราต้นทุนการผลิตสูง ผลิตภัณฑ์ทำแบบคุณภาพจริงๆ หากกู้เงินธนาคารกำไรน่าจะต้องส่งให้ธนาคารหมด สมาชิกแทบไม่ได้อะไรเลย คิดว่าควรพึ่งตัวเองให้ได้ดีกว่า จึงระดมเงินหุ้นจากสมาชิกเพิ่ม รวมทั้งใช้เงินส่วนตัวสำรองไปก่อน ประมาณ 700,000-800,000 บาท เพื่อให้มีทุนหมุนเวียน หลักการคือจะไม่รอเงินปันผลปลายปี เป็นรูปเงินสวัสดิการ ถ้ามีรายได้เข้ามาจะปันผลให้สมาชิกเป็นรายเดือนทันที เพื่อให้มีรายได้หมุนเวียนใช้จ่ายกัน ผลตอบแทนตัวเงินอาจจะไม่สูงมากแต่คิดว่าเป็นการกระจายรายได้ให้กับชุมชนสำคัญกว่า เพราะเมื่อฝนตกพ่อบ้านกรีดยางไม่ได้ มาทำงานที่โรงงาน แม่บ้านนำปลอกหมอนไปเย็บที่บ้าน เด็กๆ นำเศษยางไปตัดกิโลกรัมละ 10 บาท จะมีรายได้ ให้เขารู้ค่าของเงิน”

ขั้นตอน วิธีการผลิต ไปดูงาน

ดูตลาดก่อนทำ มาตรฐานสำคัญ

เมื่อซื้อเครื่องจักรที่ผลิตหมอนยางพารามาติดตั้ง เป็นโรงงานขนาดเล็ก ประกอบด้วย เครื่องกวน เครื่องตีฟอง ตัวแบบที่ทำ ตู้สตรีม ตู้ปั่นถังซักแห้ง ตะแกรงตากแดด และห้องสำหรับตากให้แห้ง รวมทั้งสำนักงานของสหกรณ์ที่ดิน 2 ไร่เศษ คุณชาญ สีสด อดีตประธานสภาตำบลเนินทราย บริจาคให้

ขั้นตอนการผลิต

คุณสายสุณี สีสด สมาชิกสหกรณ์ยางพาราเนินดินแดงตราด จำกัด พาชมโรงงานผลิตเล็กๆ พร้อมอธิบายกระบวนการผลิตที่ค่อนข้างพิถีพิถันว่า การผลิตมี 6-7 ขั้นตอน ดังนี้

1. การปั่นน้ำยางข้น ใช้น้ำยาง 60 เปอร์เซ็นต์ ชั่ง 9.8-10 กิโลกรัม นำไปปั่นกวนในถังสแตนเลส เติมน้ำยาส่วนผสม 3 ชนิด ตามอัตราส่วน เริ่มจาก ผสมฟองสบู่ปั่นประมาณ 30 นาที ให้พองฟู น้ำใส จากนั้นใส่กำมะถันป้องกันเชื้อรา กันบูด กวนให้เข้ากันอีก 2 นาที และใส่สารที่ช่วยให้แข็งตัว คงรูป ไม่ยุบตัว กวนต่ออีก 1.40 นาที

2. การเทใส่บล็อกหรือแบบพิมพ์ นำน้ำยางที่กวนแล้วเทใส่บล็อกรูปหมอน ปาดน้ำยางให้เรียบ ปิดฝาทิ้งไว้ให้ยางแข็งตัว 15 นาที

3. การอบไอน้ำ นำหมอนออกจากบล็อกใส่ตู้อบ อุณหภูมิ 100 องศาเซียลเซียส ใช้เวลา 30 นาที อบไอน้ำให้แห้ง หมอนจะพองฟู นำไปล้างน้ำ

4. การล้างทำความสะอาด-ตากลม ล้างน้ำให้สะอาดในถังซีเมนต์ 3-4 ครั้ง และนำไปสลัดให้แห้งด้วยเครื่องปั่นแห้ง (เครื่องซักผ้า) ประมาณ 15 นาที และนำไปผึ่งลมบนแผงตะแกรงเป่าลมด้วยพัดลมขนาดใหญ่ให้แห้ง ใช้เวลา 18 ชั่วโมง

5. การอบให้แห้งสนิท สร้างโรงอบใส่แผ่นกระเบื้องพลาสติกใสให้มีแสงแดดลอดเข้ามา ทำชั้นวางหมอน ให้โปร่งและใช้พัดลมเป่าช่วยให้แห้งสนิทขึ้นอีก 7 วัน

6. การอบแห้งอีกครั้ง นำหมอนจากโรงอบเข้าตู้อบอุณหภูมิ 60-70 องศาเซียลเซียส ใช้เวลา 6 ชั่วโมงอีกครั้งให้แห้งสนิท และตัดแต่งขอบหมอนให้เรียบสวย เศษยางตัดจากขอบจะนำไปตัดชิ้นเล็กทำหมอนขนาดเล็กได้

7. การบรรจุแพ็กเกจจิ้ง นำหมอนที่อบแห้งเข้าโกดัง วัดความชื้นและแพ็กใส่ถุงสุญญากาศทันที เพื่อป้องกันเชื้อรา หมอนจะหดตัวบาง สะดวกพกพา จากนั้นนำไปใส่ปลอกตัวหมอน ปลอกหมอนพร้อมใช้งาน

“หมอนยางพาราที่นี่จะมีความพิถีพิถันให้แห้งสนิท ปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ตามขั้นตอนให้ได้คุณภาพมาตรฐาน สูตรนี้ทำหมอนได้ครั้งละ 4 ใบ อัตราสูตรที่ใส่สารเคมีส่วนผสมต่างๆ จะมีมาตรฐานรับรองความปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ จากสถาบันวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหิดล สูตรอาจจะต้องปรับเล็กน้อยตามความเข้มข้นของน้ำยางและสภาพอากาศ คนทำหน้าที่นี้ต้องประจำ เพราะจะชำนาญและไม่ผิดพลาด เนื้อหมอนทำ 2 อย่าง คือ เนื้อยางที่ขาว และเนื้อยางสีม่วงซึ่งจะใส่ส่วนผสมถ่านชาโคลจากไผ่ลงไปผสมราคาจะแพงกว่า” คุณสายสุณี กล่าว

ตลาดแข่งขันสูง

มองหาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ เพิ่มมูลค่า

คุณเกรียงไกร กล่าวว่า ปัญหาที่ผ่านมา มี 2-3 ปัจจัยหลักๆ คือ

1. การแข่งขันกับตลาดใหญ่ที่ผลิตจำนวนมากๆ ทำให้ต้นทุนต่ำ จึงตั้งราคาขายได้ต่ำกว่า และมีบางรายแข่งขันตัดราคากันเอง ทำให้หมอนไม่มีคุณภาพ เสียหายกับผู้ผลิตในภาพรวม

2. การตลาดระยะยาวยังไม่แน่นอน เนื่องจากมีการผลิตกันแพร่หลาย ตลาดผู้ซื้อจะไม่ทำสัญญาออเดอร์ระยะยาว ทำให้ไม่มั่นใจที่จะลงทุนขยายการผลิต

3. ยังไม่มีเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) รับรองสินค้าที่ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย ทำให้ทำตลาดต่างประเทศยาก แม้จะมีตลาดยุโรปสนใจ แต่การส่งตลาดต่างประเทศต้องมี มอก. รับรอง และ

4. สหกรณ์มีเงินทุนหมุนเวียนน้อย เนื่องจากสหกรณ์เองทำธุรกิจตัวแทนนำเข้าปลอกหมอนทั่วประเทศต้องมีเงินทุนสต๊อกผ้า รวมทั้งการจ่ายค่าแรง ทำให้ต้องชะลอเรื่องการขยายการผลิตออกไป

จังหวัดตราด เสียเปรียบที่อากาศชื้น ฝนตกมาก ต้องสร้างห้องอบและเพิ่มตู้อบให้แห้งอีกชั้นหนึ่ง ทำให้เพิ่มต้นทุน และการทำจะใช้เนื้อยางธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ ราคาที่ตั้งขายอยู่เป็นราคาที่หักจากต้นทุนแล้ว กำไรเพียงใบละ 100 กว่าบาท ราคาขายส่งอยู่ที่ใบละ 500 บาท ขายปลีก 650 บาท หมอนชาโคล 750 บาท อาจจะแพงแต่รายละเอียดเรามีมากกว่า ตัวหมอน ปลอกหมอนใช้ผ้าเนื้อดีเย็บ จะทำ 2 ชั้น ใช้ผ้าทำปลอกหมอนโดยเฉพาะ มีความยืดหยุ่น นุ่ม นำเข้าจากจีน ตอนนี้หยุดความคิดขยายการผลิต ติดตั้งเครื่องจักรเพิ่มขึ้น มาเป็นตามเก็บทุนจากเดิม เพื่อให้สมาชิกเห็นรายได้จากเงินลงทุนมาระยะเวลา 5-6 เดือน

“เงินทุนสำรองการสั่งปลอกหมอนครั้งละสูงถึง 200,000-300,000 บาท จึงไม่อยากขยายต้นทุนติดตั้งเครื่องจักรเพิ่มอีก เมื่อตลาดแข่งขันกันค่อนข้างสูง จึงหันมาทำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เช่น ที่นอน เบาะอาสน์สงฆ์ และนำเศษยางพาราเล็กๆ ทำหมอนรองคอ หมอนข้างเล็กๆ ออกมาใหม่ๆ จะขายดี แต่ต่อมาตลาดจะเงียบ จึงต้องมองหาโปรดักส์ใหม่ๆ ที่สร้างมูลค่าเพิ่มเป้าหมายลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง และต่างจากคนอื่น เร็วๆ นี้มีแผนการผลิตที่นอน หมอนหลุมของเด็กๆ เพราะมองเห็นว่าใช้วัสดุไม่มาก แต่เพิ่มมูลค่าได้สูง และในอนาคตมีผลิตภัณฑ์ที่รอการรับรองผลการวิจัยก่อน คิดว่าผลิตภัณฑ์ยางพาราไปได้อีกไกล แต่ต้องมองหาสินค้าตัวใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนใครและตอบโจทย์ของตลาดให้ได้มากกว่า” คุณเกรียงไกร กล่าว

ผลงานโดดเด่นของสหกรณ์ยางพาราเนินดินแดงตราด จำกัด ได้คัดเลือกเข้าโครงการ 1 หอการค้า 1 สหกรณ์ และบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีตราด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) คาดว่าโอกาสที่จะขยายตลาดผลิตภัณฑ์ยางพาราใหม่จะมีมากขึ้น และนั่นคือเป้าหมายการสร้างรายได้ให้กับสมาชิกจะเพิ่มขึ้น สนใจสอบถามรายละเอียดดูงานได้ที่ สหกรณ์ยางพาราเนินดินแดงตราด จำกัด เลขที่ 159/3 หมู่ที่ 9 ตำบลเนินทราย อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด 23000 หรือ คุณเกรียงไกร เทพินทร์อารักษ์ โทร. (098) 959-2565

วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตชาใบบัว กว๊านพะเยา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05107151159&srcday=2016-11-15&search=no

วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 635

ผลิตภัณฑ์น่าชิม

การุณย์ มะโนใจ

วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตชาใบบัว กว๊านพะเยา

กว๊านพะเยา ถือเป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย สร้างขึ้นเมื่อ 70 กว่าปี ที่แล้ว มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากบึงบอระเพ็ดและหนองหาน มีอาณาบริเวณกว้างถึง 12,831 ไร่ 1 งาน 26 ตารางวา หรือประมาณ 20.53 ตารางกิโลเมตร ความลึกเฉลี่ย 1.93 เมตร ทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งนี้มีฐานะเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำใหญ่ที่สุดของระบบนิเวศลุ่มน้ำอิงและภาคเหนือตอนบน มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ มีความหลากหลายของพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ เป็นถิ่นที่อยู่ ที่หากิน ที่วางไข่ และเลี้ยงลูกอ่อนของปลานานาชนิด รวมทั้งเรื่องราววิถีชีวิตผู้คนโดยรอบกว๊านพะเยา

กว๊านพะเยาถือเป็นแหล่งชีวิต สมดังคำขวัญทางการท่องเที่ยวประจำจังหวัดพะเยา ในกว๊านพะเยานอกจากจะมีพันธุ์สัตว์น้ำแล้ว ยังมีพันธุ์พืชอีกคณานับ รวมถึงบัว ซึ่งชาวบ้านสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในทุกส่วน ตั้งแต่รากจนถึงดอกและใบ

บัว นอกจากจะทำให้ทิวทัศน์กว๊านพะเยาสวยงามยามเบ่งบานแล้ว บัวยังเป็นสมุนไพรโบราณที่มีคุณค่าต่อสุขภาพอีกด้วย

คุณศิริลักษณ์ ดวงพันธ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑ์บัวกว๊านพะเยา ผู้ผลิตเครื่องดื่มบัวกว๊านพะเยาและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากบัว อยู่บ้านเลขที่ 167 หมู่ที่ 4 ตำบลท่าจำปี อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา เล่าให้ฟังว่า เป็นคนพะเยาโดยกำเนิด โตมากับกว๊านพะเยา เห็นว่ากว๊านพะเยามีหลายสิ่งที่จะนำมาต่อยอดหรือพัฒนา เพื่อสร้างรายได้ให้กับคนพะเยาและประชาสัมพันธ์กว๊านพะเยา ไปในตัว การใช้ประโยชน์จากกว๊าน เช่น การทำปลาส้ม ก็มีคนทำไปแล้ว จึงฉีกแนวมาทำผลิตภัณฑ์จากบัวกว๊านพะเยา

ดอกบัวในกว๊านพะเยา เป็นดอกบัวหลวงที่มีทั้งสีขาวและชมพู

บัวหลวง จัดเป็นไม้ล้มลุก มีอายุหลายปี ลำต้นมีทั้งเป็นเหง้าอยู่ใต้ดินและเป็นไหลอยู่เหนือดินใต้น้ำ ลักษณะของเหง้าเป็นท่อนยาว มีปล้องสีเหลืองอ่อนจนถึงสีเหลือง มีความแข็งเล็กน้อย หากตัดตามขวางจะเห็นเป็นรูปกลมๆ อยู่หลายรู โดยส่วนของไหลจะเป็นส่วนเจริญไปเป็นต้นใหม่ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินเหนียว ในระดับน้ำลึก 30-50 เซนติเมตร และสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ดหรือวิธีการแยกไหล มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย

ใบบัวหลวง ใบเป็นใบเดี่ยว ใบอ่อนจะลอยปริ่มน้ำ ส่วนใบแก่แผ่นใบจะชูขึ้นเหนือน้ำ ลักษณะของใบเป็นรูปเกือบกลมและมีขนาดใหญ่ โดยมีขนาดประมาณ 50 เซนติเมตร ขอบใบเรียบและเป็นคลื่น ผิวใบด้านบนเป็นนวลเคลือบอยู่ ก้านใบจะติดอยู่ตรงกลางของแผ่นใบ ก้านใบมีลักษณะแข็งและเป็นหนาม หากตัดตามขวางจะเห็นรูอยู่ภายใน และก้านใบจะมีน้ำยางสีขาว เมื่อหักก้านจะมีสายใยสีขาวๆ สำหรับใบอ่อนจะเป็นสีเทานวล ปลายจะม้วนงอขึ้นเข้าหากันทั้งสองด้าน

ดอกบัวหลวง ออกดอกเป็นดอกเดี่ยว มีสีขาว สีชมพู ดอกมีกลิ่นหอม ดอกมีกลีบเลี้ยง 4-5 กลีบ กลีบเลี้ยงมีขนาดเล็กและสีขาวอมเขียวหรือเป็นสีเทาอมชมพู ร่วงได้ง่าย ส่วนกลีบดอกจะมีจำนวนมากและเรียงซ้อนกันอยู่หลายชั้น ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปไข่กว้างประมาณ 5-6 เซนติเมตร และยาวประมาณ 7-9 เซนติเมตร เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดประมาณ 20-25 เซนติเมตร ในดอกจะมีเกสรตัวผู้สีเหลืองอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีความยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร และล้อมรอบอยู่บริเวณฐานรองดอกซึ่งมีลักษณะเป็นรูปกรวยหงาย หรือที่เรียกว่า “ฝักบัว” ที่ปลายอับเรณูจะมีระยางคล้ายกระบองเล็กๆ มีสีขาว

ส่วนเกสรตัวเมียจะมีรังไข่ฝังอยู่ในฐานรองดอก เมื่ออ่อนเป็นสีเหลือง หากแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ช่องรังไข่จะเรียงเป็นวงบนผิวหน้าตัด มีจำนวน 5-15 อัน ส่วนก้านดอกมีสีเขียว ลักษณะยาวและมีหนามเหมือนก้านใบ โดยก้านดอกจะชูขึ้นเหนือน้ำและชูขึ้นสูงกว่าก้านใบเล็กน้อย ดอกบัวหลวงจะเริ่มบานในตอนเช้า โดยจะออกดอกและผลในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนธันวาคม

ฝักบัวหลวง ในฝักมีผลอ่อนสีเขียวนวลและมีจำนวนมาก ผลจะฝังอยู่ในส่วนที่เป็นฝักรูปกรวยในดอก ในรูปกรวยของดอกนั้นเมื่ออ่อนจะเป็นสีเหลือง เมื่อแก่แล้วจะขยายใหญ่ขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีเทาอมเขียว โดยจะมีผลสีเขียวอ่อนฝังอยู่ในฝักรูปกรวยเป็นจำนวนมาก

ผลบัวหลวง หรือ เมล็ดบัวหลวง ออกผลเป็นกลุ่มหรือที่เรียกว่าฝัก ลักษณะผลเป็นรูปกลมรี ผลอ่อนมีสีเขียวนวลและมีจำนวนมาก เมล็ดมีความกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ในเมล็ดมีดีบัว หรือต้นอ่อนที่ฝังอยู่กลางเมล็ด มีสีเขียว เมล็ดมีสารอัลคาลอยด์

ดีบัวหลวง คือส่วนของต้นอ่อนที่อยู่ในเม็ดบัวหลวง ดีบัวมีลักษณะคล้ายสาก มีความยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 มิลลิเมตร มีใบอ่อน 2 ใบ ใบหนึ่งสั้น ส่วนอีกใบยาว ใบมีสีเขียวเข้มหรือสีเขียวอมเหลือง ปลายใบมีลักษณะม้วนเป็นรูปคล้ายลูกศร มีต้นอ่อนตรง ขนาดเล็กมาก อยู่ระหว่างใบอ่อนทั้งสอง มีความยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร โคนต้นมีสีเหลืองอ่อนหรือเป็นสีเหลืองอมเขียว ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกยาวประมาณ 2-4 มิลลิเมตร เนื้อหนาเปราะ รอยหน้าตัดจะมีรูเล็กๆ จำนวนมาก ดีบัวมีรสขมจัด แต่ไม่มีกลิ่น ดีบัวมีสารในกลุ่มอัลคาลอยด์อยู่หลายชนิด

บัวสามารถทำผลิตภัณฑ์ ได้หลายอย่าง เช่น

ชาใบบัว จะช่วยบำรุงร่างกาย แก้ไข้ บำรุงโลหิต ช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดน้ำหนัก ลดความดัน ป้องกันโรคหัวใจ ถุงน้ำดีอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี ไขมันพอกตับ

ชาก้านบัว บำรุงหัวใจ ทำให้ชุ่มชื่น บำรุงปอด บำรุงตับ บำรุงกำลัง คุมธาตุ แก้ล้ม แก้ไข้ ใช้แก้ปัสสาวะบ่อย บำรุงครรภ์ และแก้อาการท้องเสีย

ชาดอกบัว แก้อาการช้ำใน บรรเทาอาการอ่อนเพลีย ทำให้สดชื่นขึ้น และช่วยลดอาการใจสั่น บำรุงหัวใจ ช่วยแก้เสมหะ บำรุงครรภ์ของสตรี แก้โรคท้องร่วง แก้ไข้

ชาเกสรบัวหลวง บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ บรรเทาอาการอ่อนเพลีย ทำให้สดชื่น แก้อาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ระงับประสาท และช่วยขับเสมหะ ช่วยคุมธาตุในร่างกาย บำรุงปอด ช่วยแก้อาการท้องเสีย ช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะบ่อย บำรุงตับ แก้โรคลำไส้อักเสบ

ดีบัว มีสาร Methylcorypalline และสารอื่นๆ ซึ่งเป็นตัวช่วยทำให้เส้นเลือดขยาย ขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ แก้เส้นเลือดตีบในหัวใจ เพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ และช่วยบำรุงหลอดเลือดหัวใจ แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ช่วยแก้ไข้และช่วยบำรุงร่างกายได้อีกด้วย ช่วยแก้อาการอาเจียนเป็นเลือด ดีบัวช่วยบำรุงถุงน้ำดี บำรุงครรภ์ของสตรี บัวนอกจากจะมีมากในกว๊านพะเยา แล้วยังมีประชาชนในชุมชนรอบกว๊านพะเยาทำสระบัว เพื่อเป็นอาชีพเสริมเป็นจำนวนมาก

ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มได้จากบัวในกว๊านพะเยา และบัวที่ปลูกไว้ในสระ เมื่อเก็บมาแล้วก็นำมาล้าง ทำความสะอาด แล้วแยก มาทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ นำมาหั่น นำมาอบ และบรรจุในซองเยื่อไผ่ เพื่อจำหน่ายตามออเดอร์ที่สั่งมา และนำไปจำหน่ายและแนะนำสินค้าตามงานต่างๆ ที่จัดขึ้น โดยแต่ละผลิตภัณฑ์ ได้ผสมผสานความรู้ทางภูมิปัญญาท้องถิ่น และการค้นคว้าตามสื่อต่างๆ รวมทั้งการลองผิด ลองถูก จนได้ผลิตที่คงที่

สนใจรายละเอียดในผลิตภัณฑ์ชาบัว หรือศึกษาดูงานได้ตามที่อยู่ บ้านเลขที่ 167 หมู่ที่ 4 ตำบลท่าจำปี อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา อีเมล : laotop@hotmail.co.th ไลน์ไอดี (Line ID) : laotop โทรศัพท์ : (089) 997-3634 และ (086) 916-9433

ปลูกพริกไทยซีลอน พืชใหม่มีอนาคต ที่ ตะพานหิน พิจิตร (ตอนที่ 1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05020011159&srcday=2016-11-01&search=no

วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 634

บันทึกไว้เป็นเกียรติ

ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ

ปลูกพริกไทยซีลอน พืชใหม่มีอนาคต ที่ ตะพานหิน พิจิตร (ตอนที่ 1)

“พริกไทย” จัดได้ว่ามีความสำคัญทางเศรษฐกิจและจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันของคนไทยมาช้านาน ในการประกอบอาหารและใช้เป็นเครื่องเทศ ปรุงรสชาติอาหาร ช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ส่วนประกอบของเครื่องแกงต่างๆ การถนอมอาหาร และใช้ประโยชน์ในด้านเภสัชกรรมยาสมุนไพร ทุกส่วนของพริกไทยสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบ เช่น เมล็ดพริกไทยอ่อน เมล็ดพริกไทยดำ เมล็ดพริกไทยขาว พริกไทยป่น พริกไทยแช่แข็ง น้ำมันหอมระเหยพริกไทย และพริกไทยดอง เป็นต้น

ประโยชน์ของพริกไทย เกี่ยวข้องกับอาหาร ใช้ปรุงแต่งกลิ่นและรสชาติอาหาร เช่น ก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้ม โจ๊ก ต้มจืด แกงเลียง และใช้ในการถนอมอาหาร ทำให้อาหารที่มีพริกไทยปรุงรสเก็บไว้ได้นานกว่าปกติ เช่น เนื้อบด หมูบด ตับบด หมูยอ แฮม ไส้กรอก เพราะพริกไทยมีน้ำมันหอมระเหย (Volatile oil)

นอกจากนั้น พริกไทย ยังใช้ประโยชน์ในด้านสมุนไพร ช่วยย่อยอาหาร เช่น ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ลดไขมันในเส้นเลือด ปัจจุบัน นิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย ในรูปอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

พริกไทย เป็นพืชสมุนไพรและเครื่องเทศ เจริญเติบโตได้ดีในประเทศเขตร้อน เช่น ประเทศบราซิล หมู่เกาะอินเดียตะวันตก ประเทศไต้หวัน มาเลเซีย และปลูกมากในจังหวัดจันทบุรีของประเทศไทย เป็นพืชตระกูลเดียวกับ ดีปลี ชะพลู และพลู ชอบอากาศร้อนชื้น อุณหภูมิระหว่าง 15-35 องศาเซลเซียส ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบที่ลุ่มน้ำขัง ลำต้น มีลักษณะเป็นเถาเลื้อยยืนต้น ต้องอาศัยค้างในการพยุงและยึดเกาะลำต้น โดยใช้รากขนาดเล็กที่เกิดตามข้อปล้อง เรียกว่า มือตุ๊กแก

ลำต้น สามารถเจริญเติบโตเป็นกิ่งข้าง หรือกิ่งกระโดง โดยกิ่งกระโดงจะมีความสมบรูณ์และขนาดใหญ่ ตั้งดิ่งจากผิวดิน

ส่วน กิ่งข้างหรือกิ่งแขนง จะขนานแตกออกเป็นทรงพุ่ม ใบ พริกไทยเป็นพืชใบเลี้ยงคู่ เป็นประเภทใบเดี่ยวเกิดสลับตามข้อของลำต้น มีลักษณะเป็นรูปไข่โคนใบใหญ่ ฐานใบกลม กว้างประมาณ 6-10 เซนติเมตร ยาว 7-14 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ลักษณะคล้ายใบพลู พื้นผิวใบเรียบ ผิวใบด้านบนเป็นมันสีเขียวเข้มถึงเขียวอ่อนไล่กันไปจากใบอ่อนถึงใบแก่ ด้านล่างใบสีจะจางกว่าด้านบน ขนาดใบและเส้นใบจะแตกต่างกันระหว่างสันของเส้นใบจะนูน

ดอก จะเกิดตรงข้ามกับใบในส่วนของกิ่งแขนง ออกดอกเป็นช่อ ความยาวประมาณ 7-14 เซนติเมตร ไม่มีก้านช่อ ดอกตัวผู้แยกกับดอกตัวเมีย แต่อยู่ในช่อเดียวกัน ผลเล็ก มีสีเขียวเข้มและจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองและแดงเมื่อแก่จัด ระยะเวลาตั้งแต่ออกดอกจนเก็บเป็นพริกไทยเมล็ด 6-7 เดือน

ผล ค่อนข้างกลม เรียงตัวกันหนาแน่นบริเวณแกนกลางของช่อผล ผลอ่อนจะมีสีเขียวเข้มและจะค่อยๆ เปลี่ยนไปตามอายุผล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3-4 มิลลิเมตร มีกลิ่นฉุน รสชาติเผ็ด เกิดจากสารแอลคาลอยด์ของไพเพอรี

พริกไทย เป็นพืชที่สามารถ

เจริญเติบโตและให้ผลผลิตดี

แม้ในพื้นที่ซึ่งมีความชื้นสูง ไม่มีน้ำท่วมขัง สูงจากระดับน้ำทะเล 0-1,200 เมตร สภาพเป็นดินร่วน ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนเหนียว มีความอุดมสมบูรณ์สูง ระบายน้ำได้ดี ค่าความเป็นกรด เป็นด่าง อยู่ที่ 6.0-6.5 ความลึกของหน้าดินมากกว่า 50 เซนติเมตร พื้นที่อยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 20 องศาเหนือและใต้ อุณหภูมิ 10-30 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝน 1,200-2,500 มิลลิเมตร มีแหล่งน้ำที่สะอาดปราศจากสารพิษเจือปน มีความเป็นกรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 5.0-6.5

ผลผลิตพริกไทย หากเทียบกับผลตอบแทนที่ได้ในแต่ละปีจะดีกว่าผลไม้ชนิดอื่นในพื้นที่มาก และถ้าหากเกษตรกรดูแลต้นพริกไทยไม่ให้ทรุดโทรม ก็จะทำให้ผลผลิตในปีต่อๆ ไปดีขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากการลงทุนในเรื่องต้นทุนได้ลงไปแล้วในปีแรก อีกทั้งสามารถเก็บไว้ได้นานหลายปี

พันธุ์ซีลอน เป็นพันธุ์พริกไทยที่นำมาจากประเทศศรีลังกา นิยมปลูกเพื่อขายเป็นพริกไทยสด มากกว่าทำพริกไทยดำหรือขาว ลักษณะของยอดจะออกสีน้ำตาลแดง จึงเรียกกันว่า “ซีลอนยอดแดง” นอกจากนี้ ยังมี พันธุ์ซีลอนยอดขาว เป็นพันธุ์พริกไทยที่นำมาจากประเทศศรีลังกา เช่นเดียวกันกับพันธุ์ซีลอนยอดแดง พริกไทยพันธุ์นี้ความจริงเป็นพริกไทย พันธุ์ PANIYUR-1 ซึ่งเป็นพริกไทยพันธุ์ลูกผสมของประเทศอินเดีย ระหว่างพ่อพันธุ์ Uthirankota กับแม่พันธุ์ Cheriyakaniyakadan (John.K.Ghanara tham, 1994)

พริกไทยพันธุ์นี้จะมีลักษณะเถาอ่อน สีจะเขียวอ่อนเกือบขาวโดยเฉพาะที่ยอดอ่อน จึงนิยมเรียกว่า “ซีลอนยอดขาว” เนื่องจากมีผู้นำพันธุ์มาจากประเทศศรีลังกา (ซีลอน) ลักษณะต่างๆ จะคล้ายกับพันธุ์ศรีลังกาที่แตกต่างกันชัดเจนก็คือ ส่วนยอด ช่อผลจะยาวกว่าพันธุ์ศรีลังกาเล็กน้อย การเจริญเติบโตเร็วกว่าพันธุ์ซาราวัก ผลสดจะมีลักษณะโตกว่าพันธุ์ซาราวัก นิยมปลูกเพื่อจำหน่ายเป็นพริกไทยสด เพื่อส่งโรงงานทำพริกไทยดอง

พริกไทยซีลอน มีคุณลักษณะเด่นคือ มีใบและทรงพุ่มใหญ่ ฝักยาว น้ำหนักดี ที่สำคัญเป็นพริกไทยพันธุ์หนัก สามารถเก็บฝักอ่อนจำหน่ายได้ เมื่อฝักมีอายุตั้งแต่ 3-6 เดือน ซึ่งถือเป็นข้อดี เพราะสามารถอั้นฝักไปเก็บขายในช่วงเดือนที่พริกไทยมีราคาแพงได้ อีกทั้งพริกไทยสายพันธุ์นี้ไม่ค่อยมีโรครบกวน จะมีปัญหาเดียวในช่วงปลายฝนต้นหนาวคือ ราน้ำค้าง ซึ่งเราสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ด้วยการฉีดสารป้องกันเชื้อราทั่วไป ก่อนที่จะตัดแต่งกิ่ง จากนั้นจึงปลูกลงไร่ ให้ระยะห่าง 2-2.5×2-2.5 เมตร

พันธุ์ซาราวัก หรือ พันธุ์คุชซิ่ง พันธุ์ที่ชาวสวนพริกไทยจังหวัดจันทบุรี นิยมเรียกพันธุ์ “มาเลเซีย” นั่นเอง เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกกันมาก นำมาจากรัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย สามารถต้านทานโรครากเน่าได้ดีกว่าพันธุ์จันทบุรี ซึ่งปลูกอยู่แต่เดิม เจริญเติบโตได้เร็วและให้ผลผลิตสูงกว่า ถ้าต้นสมบูรณ์จะให้ผลผลิตน้ำหนักสดเฉลี่ย ประมาณ 9-12 กิโลกรัม ต่อค้าง ต่อปี หรือไร่ละประมาณ 3,600-4,800 กิโลกรัมต่อปี เป็นพันธุ์สำหรับนำไปทำพริกไทยดำและพริกไทยขาว

เช่นเดียวกับเกษตรกร คุณประเสริฐ จันทโรทัย บ้านเลขที่ 115 หมู่ที่ 1 ตำบลวังสำโรง อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร โทร. (087) 841-2310 ที่เริ่มปลูกพริกไทยซีลอนมาได้ 1 ปีเศษ ซึ่งพริกไทยเริ่มให้ผลผลิตบ้างแล้ว เก็บขายในท้องถิ่นและแม่ค้าได้ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 100 บาท และยังขยายพันธุ์พริกไทยซีลอนด้วยการตอน สร้างรายได้เป็นอย่างดีในช่วงรอเวลาที่ต้นพริกไทยจะเริ่มให้ผลผลิต

คุณประเสริฐ เล่าว่า การปลูกพริกไทยถือว่าเป็นพืชใหม่ในพื้นที่อำเภอตะพานหิน เพราะส่วนมากเกษตรกรแถบนี้ก็จะทำนาข้าว ปลูกข้าวโพด ชะอม สวนมะนาว สวนส้มโอ แต่บังเอิญตนเองได้มีโอกาสไปนั่งฟังบรรยายเรื่องการปลูกพริกไทย ที่จัดขึ้นในตำบล ก็ได้รับฟังข้อมูลมาว่า พริกไทยเป็นพืชที่ปลูกครั้งเดียวแต่มีอายุการเก็บเกี่ยวนานมากกว่า 10 ปีขึ้นไป และราคาซื้อขายพริกไทยสดค่อนข้างดี จึงเกิดความสนใจก็ไปศึกษาดูงานและซื้อต้นพันธุ์มาปลูก โดยเริ่มต้นปลูกในพื้นที่ 2 งาน โดยใช้เสาหลักปูน จำนวน 200 หลัก และต้นพันธุ์พริกไทยซีลอน จำนวน 4 ต้น ต่อหลักปูน ต้องใช้ต้นพันธุ์พริกไทย 800 ต้น และต้องมุงซาแรนคลุมอีกที แม้เป็นการลงทุนที่สูง แต่คุณประเสริฐเล่าว่า มีแนวโน้มของตลาดที่ดีมาก น่าจะสามารถคืนทุนได้ไม่นาน

การปลูกพริกไทย

สามารถปลูกได้ทั้งปีถ้ามีแหล่งน้ำ มีระบบน้ำที่ดี แต่ส่วนมากนิยมปลูกช่วงฤดูฝน เพราะต้นพริกไทยตั้งตัวได้เร็ว ประหยัดเรื่องการให้น้ำ โดยจะใช้ต้นพันธุ์ไทย 4 ต้น ต่อหลุม หรือค้าง ใช้ระยะ ปลูก 2×2 เมตร โดยเลือกใช้เสาปูนหน้ากว้าง 4 นิ้ว ความยาว 2.50 เมตร เพื่อจะขุดหลุมฝังลงดินไป 0.50 เมตร ให้เสาปูนมีความสูงจากพื้นขึ้นไป 2 เมตร

การขุดหลุม ซึ่งปัจจุบันทำได้สะดวกมากขึ้น โดยมีตัวเจาะหลุมติดหลังรถไถ หรือแบบเครื่องเจาะหลุมคล้ายๆ สว่านมือ ราคาเครื่อง 5,000-6,000 บาท แล้วแต่จะเลือกใช้ ในพื้นที่ดอนไม่มีน้ำท่วมขังก็เพียงปรับพื้นที่ให้เรียบ ไม่ให้พื้นที่เป็นแอ่งกระทะ เพราะต้นพริกไทยไม่ชอบน้ำขังแฉะ แต่ถ้าเป็นพื้นที่ลุ่มก็ให้ใช้รถไถ ขึ้นเป็นแปลงลูกฟูก จุดประสงค์เพื่อให้บริเวณที่ปลูกระบายน้ำได้ดีนั้นเอง ซึ่งแม้พื้นที่ปลูกพริกไทยจะเป็นพื้นที่ดอน ก็สามารถขึ้นแปลงเป็นลูกฟูกได้ ปากหลุมห่างจากโคนค้าง ประมาณ 10-15 เซนติเมตร (เรื่องของระยะปลูกมีหลายระยะ เพราะเกษตรกรจะเป็นคนตัดสินใจว่าระยะปลูกแบบไหนที่จะเหมาะสมที่สุด นั้นมีปัจจัยต่างๆ ในการตัดสินใจ) ผสมดินที่ขุดขึ้นมาในอัตรา ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกเก่า 1 ส่วน ต่อดิน 2 ส่วน โกยดินกลบลงในหลุมตามเดิม แต่จะมีลักษณะเป็นโคกดินหรือหลังเต่า เพราะมีอินทรียวัตถุเพิ่มขึ้นมา ขุดหลุมให้พอดีกับถุงต้นพันธุ์พริกไทย โดยนำต้นพันธุ์ที่เตรียมไว้ลงปลูกให้ปลายยอดเอนเข้าหาค้างเสาปูน หันด้านที่มีรากหรือตีนตุ๊กแกเข้าหาค้าง กลบดินให้แน่น รดน้ำให้ชุ่ม และรดน้ำให้อย่างสม่ำเสมอในช่วงแรกของการปลูก

การตัดแต่งต้น ปล่อยให้ขึ้นเสา

เมื่อต้นพริกไทยเริ่มตั้งตัวได้ มีการแตกยอดอ่อนและอาจจะมียอดอ่อนจำนวนมาก ก็ต้องตัดแต่งออกบ้าง ให้เหลือยอดที่สมบูรณ์ไว้เพียง ต้นละ 2-3 ยอด ก็เพียงพอ เพื่อให้ยอดเกาะขึ้นเสาได้เร็ว ไม่สูญเสียอาหารในการเลี้ยงยอดจำนวนมาก จัดยอดให้อยู่รอบค้าง ใช้เชือกฟางผูกยอดให้แนบติดค้าง ผูกทุกข้อเว้นข้อ ถ้ามียอดแตกใหม่เกินความต้องการให้ตัดทิ้ง

เมื่อต้นพริกไทยเจริญงอกงามดีแล้ว ควรตัดไหลที่งอกออกตามโคนทิ้ง ตัดกิ่งแขนงที่อยู่เหนือผิวดิน 8-10 เซนติเมตร ออกให้หมด เพื่อให้โคนต้นโปร่ง แดดส่องถึง ในระยะที่พริกไทยยังไม่เจริญเติบโตถึงยอดค้าง ต้องเด็ดช่อดอกออกให้หมด ถ้าทิ้งไว้จะทำให้พริกไทยเติบโตช้า และควรมีการตัดกิ่งส่วนบน เพื่อความสะดวกในการทำงาน ซึ่งจะทำปีละครั้งหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว

กรณีที่ต้องการเลี้ยงเถาเพื่อใช้ทำพันธุ์ขยายพื้นที่ปลูกในปีต่อไป หรือเพื่อจำหน่าย ขายเอาคืนทุนเป็นรายได้ระหว่างรอเวลา เมื่อพริกไทยอายุ 1 ปี ตัดเถาให้เหลือ 50 เซนติเมตร จากระดับผิวดิน เมื่อพริกไทยแตกยอด จัดยอดขึ้นค้างเช่นเดียวกับปีแรก จนกว่าพริกไทยจะสูงเลยค้างไป ประมาณ 30 เซนติเมตร ให้ผูกไว้บนยอดค้าง

การใส่ปุ๋ย

แนะนำให้ใส่โดโลไมท์ หรือปูนขาว ปีละ 1-2 ครั้ง ครั้งละ 300-500 กรัม ต่อค้าง ก่อนใส่ปุ๋ยเคมี 15-30 วัน เพื่อปรับสภาพดินและฆ่าเชื้อ ใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยหมัก อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง อัตรา 2-5 กิโลกรัม ต่อค้าง หรือแบ่งใส่ปีละ 2-3 ครั้ง ใส่มากหรือน้อย บ่อยครั้งแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับสภาพดินและความสมบูรณ์ของแปลงปลูกของเกษตรกรเอง การใส่ปุ๋ยเคมี คุณประเสริฐก็เน้นใส่ปุ๋ยพื้นฐาน อย่างสูตรเสมอ สูตร 15-15-15 อัตรา 300-500 กรัม (3-5 กำมือ) ต่อค้าง อาจจะสลับหรือผสมด้วยปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 บ้างถ้าเห็นว่าต้นพริกไทยไม่ค่อยจะแตกยอด

ส่วนใส่ปุ๋ยคอก ก็จะหว่านรอบเป็นวงกลมห่างจากต้นพริกไทยมาสัก 1 คืบมือ และช่วงหน้าแล้งแนะนำใช้ฟางมาคลุมดินเพื่อให้ดินมีความชื้นสะสมที่นานขึ้น อีกทั้งยังช่วยป้องกันวัชพืชไม่ให้ขึ้นมาแย่งอาหารพริกไทยด้วย จนกระทั่งพริกไทยมีอายุ 8-13 เดือน (ขึ้นอยู่กับปัจจัย เช่น การดูแลสภาพสวน) จึงเริ่มแตกตาดอกและให้ผลผลิต แต่จะให้ผลผลิตน้อย เพียงหลักละ 1-3 กิโลกรัม ต่อปี เท่านั้น

ในปีแรกเราจะยังไม่เน้นให้พริกไทยติดฝัก เพราะทันทีที่พริกไทยแตกตาดอก ติดฝักนั้น พริกไทยจะชะงักการเจริญเติบโต ดังนั้น ในปีแรกควรบำรุงต้น ดูแลทรงพุ่มให้มีขนาดใหญ่ ควรเริ่มตั้งแต่ช่วงต้นฤดูฝน โดยให้ฉีดพ่นปุ๋ยทางใบ ที่มีสูตรตัวหน้า (N) สูง เช่น สูตร 20-7-7 หรือ 18-6-6 หรือ 30-20-10 ก่อน เพื่อเป็นการเพิ่มไนโตรเจนสร้างยอดและใบใหม่ และอีก 7 วันต่อมาก็ค่อยให้ปุ๋ยทางดินสูตรเสมอ เป็นการบำรุงต้นต่อไป เมื่อต้นพริกไทยอายุครบ 2 ปี จะเริ่มเหมาะสมปล่อยให้มีการติดผลเก็บผลผลิต

ดูความสำเร็จ “เทคโนโลยีเปลี่ยนยอดพันธุ์อะโวกาโด” ของ ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรที่สูง จังหวัดตาก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05042011159&srcday=2016-11-01&search=no

วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 634

เทคโนโลยีการเกษตร

ทะนุพงศ์ กุสุมา ณ อยุธยา

ดูความสำเร็จ “เทคโนโลยีเปลี่ยนยอดพันธุ์อะโวกาโด” ของ ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรที่สูง จังหวัดตาก

“อะโวกาโด” เป็นไม้ผลที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้รักสุขภาพและความงาม แม้ว่าจะสามารถปลูกได้ในประเทศ แต่ยังขาดคุณสมบัติทางด้านคุณภาพ ด้วยเหตุนี้จึงมีการนำเข้าอะโวกาโดจากต่างประเทศมาขายในตลาดบ้านเราในราคาค่อนข้างสูง อีกทั้งมีมูลค่าในการสั่งนำเข้าเพื่อการบริโภคและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ปีละมากมาย

จังหวัดตาก เป็นอีกแหล่งที่มีพื้นที่และผลผลิตอะโวกาโดมาก จึงทำให้บรรดานักท่องเที่ยวต่างแวะซื้อกัน เหตุผลประการหนึ่งเพราะการมีพื้นที่จำนวนมากทางภาคตะวันตกของจังหวัดตากมีความเหมาะสมและได้เปรียบทางด้านภูมิประเทศ เนื่องจากลักษณะทางกายภาพส่วนใหญ่ล้วนเป็นป่าไม้และภูเขาสูง

ทั้งนี้ การปลูกอะโวกาโดของชาวบ้านในช่วงแรกไม่ได้เน้นคุณภาพ เมื่อมีผลผลิตก็มักขายเหมาทั้งสวน จึงทำให้ได้ราคาต่ำ ภายหลังการเข้าไปส่งเสริมของภาคราชการที่รับผิดชอบ เพื่อมุ่งหวังให้ชาวบ้านปรับแนวทางการปลูกอะโวกาโดให้มีคุณภาพเทียบเท่าต่างประเทศ เพื่อประโยชน์ทางด้านการขาย

ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดตาก (เกษตรที่สูง) สังกัดกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนา พร้อมกับผลักดันในชาวบ้านในพื้นที่หันมาปลูกอะโวกาโดให้มีคุณภาพเพื่อสร้างรายได้สูง พร้อมไปกับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อให้นำองค์ความรู้ไปพัฒนาพืชต่อไป

ทั้งนี้ อะโวกาโด ถือเป็นพืชสำคัญและมีแนวโน้มทางด้านการตลาดสูง ขณะเดียวกันยังมีชาวบ้านเป็นจำนวนมากยังขาดความรู้ ความเข้าใจ ในกระบวนการปลูกและการตลาดอย่างดีพอ ดังนั้น การเข้ามาส่งเสริมองค์ความรู้จึงเป็นเรื่องสำคัญ

พัฒนาคุณภาพ

ด้วยการพัฒนากิ่งพันธุ์

คุณศุภชัย ศรีจันทร์ดร รักษาการหัวหน้าศูนย์ กล่าวว่า สำหรับภารกิจของศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดตาก (เกษตรที่สูง) จะรับผิดชอบ 2 จังหวัด คือ ตาก กับอุทัยธานี

สำหรับบทบาทและหน้าที่คือ การส่งเสริมชาวบ้านในการปลูกพืชที่เหมาะสมแล้วให้ความสำคัญกับอะโวกาโดเป็นหลัก รองลงมาคือ พลับ และกาแฟ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่ทางศูนย์จะได้เข้ามา ชาวบ้านมีการปลูกอะโวกาโดกันอยู่แล้ว โดยจะขายผลผลิตแบบเหมาทั้งสวน ซึ่งถ้าเฉลี่ยแล้วมีรายได้ กิโลกรัมละ 10 บาท เป็นพันธุ์พื้นเมืองและถือว่าเป็นราคาต่ำมาก เนื่องจากขาดคุณภาพ

ฉะนั้น เพื่อเป็นการพัฒนาผลผลิตให้ได้มาตรฐาน มีคุณภาพ จนทำให้สามารถขายได้ราคาที่สูง ทางศูนย์จึงหาแนวทางในการปรับปรุงคุณภาพด้วยการนำเทคโนโลยีการเปลี่ยนยอดพันธุ์ โดยมีการคัดเลือกยอดพันธุ์ที่เหมาะกับการค้า ซึ่ง ได้แก่ ปิเตอร์สัน บัคคาเนียร์ และแฮส ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยม ทั้งนี้แต่ละสายพันธุ์ดังกล่าวจะให้ผลผลิตต่างเวลากัน โดยเริ่มจากปิเตอร์สันก่อน แล้วจบที่แฮส ที่จะให้ผลผลิตไปจนถึงเดือนธันวาคม ฉะนั้น จะแนะนำให้ชาวบ้านปลูกทั้ง 3 พันธุ์ เพราะจะได้มีผลผลิตพร้อมกับมีรายได้ที่ยาวนาน

คุณศุภชัย ชี้ว่าสำหรับพันธุ์แฮสที่วางจำหน่ายตามโมเดิร์นเทรด เป็นการนำเข้ามาจากนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย โดยขายเป็นลูก ราคา 60-70 บาท ขณะเดียวกันปิเตอร์สันและบัคคาเนียร์ที่ทางศูนย์ได้ส่งเสริมด้วยการเปลี่ยนยอดพันธุ์ ขณะนี้เป็นเวลา 3 ปีแล้ว ได้ผลผลิตแล้ว และมีคุณภาพทัดเทียมกับต่างประเทศ ขณะเดียวกันจะผลักดันให้มีการปลูกอะโวกาโดด้วยการใช้จุลินทรีย์เพื่อเป็นการสร้างมูลค่า ซึ่งนอกจากทำให้ผู้ปลูกมีรายได้แล้ว ยังมีลูกค้ามาสั่งจองกัน ซึ่งมีราคาเฉลี่ย กิโลกรัมละ 40 บาท แล้วนำไปขายกัน กิโลกรัมละ 50 บาท ส่วนพันธุ์แฮสมักขายเป็นผลราคาผลละ 20-30 บาท

“อย่างในปีนี้ (2559) ได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมการเกษตรให้มีการเปลี่ยนยอดไปแล้วกว่า 4 ไร่ (1 ไร่ประมาณ 44 ต้น) นอกจากนั้น ยังมีโครงการสอนให้ชาวบ้านได้เรียนรู้วิธีเปลี่ยนยอดและได้สนับสนุนยอดพันธุ์ วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งนี้จะแนะนำให้ชาวบ้านเปลี่ยนยอดทั้ง 3 พันธุ์ ไม่ว่าจะเปลี่ยนในถุงหรือที่ต้น เพราะเป็นพันธุ์ที่มีความสำคัญด้านการค้าแล้วตลาดต้องการสูง ทำให้ชาวบ้านสามารถมีรายได้ตลอดเวลาต่อเนื่องหลายเดือน

อีกเหตุผลที่ต้องการให้ชาวบ้านหันมาปลูกอะโวกาโดเพื่อเป็นการให้ลดการเผาต้นพืชก่อนเตรียมแปลงปลูกอย่างเช่น ข้าวโพด โดยการนำอะโวกาโดไปปลูกในไร่ข้าวโพด เพื่อให้ชาวบ้านเปลี่ยนพฤติกรรม ขณะเดียวกันผลของการปลูกอะโวกาโด จะช่วยเพิ่มพื้นที่ปลูกไม้ เป็นการช่วยรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำ แล้วสร้างมลภาวะอากาศให้ดีขึ้น” รักษาการหัวหน้าศูนย์กล่าว

ผลักดันปลูกอะโวกาโด

แทนพืชเชิงเดี่ยว

ต่อจากนั้นทีมงานได้เดินทางไปชมแปลงปลูกต้นพันธุ์อะโวกาโด ซึ่งแปลงดังกล่าวได้รวบรวมสายพันธุ์อะโวกาโดที่เหมาะกับการค้าและเป็นที่นิยมของตลาด โดยมี คุณธนากร โปทิกำชัย นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ เป็นผู้ให้รายละเอียดและข้อมูล

คุณธนากร บอกว่า จุดมุ่งหมายหลักคือ ความพยายามให้ชาวบ้านเปลี่ยนการปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่มีปัญหาหรือมีต้นทุนสูง เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หรือแม้แต่การปลูกกะหล่ำในพื้นที่ลาดชัน แล้วหันมาปลูกอะโวกาโดแทน เนื่องจากเป็นพืชที่ให้ผลตอบแทนเร็ว ลงทุนน้อย โดยเฉพาะพื้นที่แถบพบพระที่มีลักษณะทางธรรมชาติที่เอื้อต่อการปลูก ตลอดจนขายได้ราคาดี มีแหล่งจำหน่ายที่ชัดเจน เหตุผลเหล่านี้จึงเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกเพิ่มมากขึ้น

พื้นที่ภายในบริเวณศูนย์ถูกจัดแบ่งออกเป็นโซน ไม่ว่าจะเป็นโซนต้นพันธุ์พ่อ-แม่ โซนแปลงเพาะต้นกล้า โซนแปลงเปลี่ยนยอดพันธุ์ในถุง และโซนแปลงเปลี่ยนยอดพันธุ์จากต้น สิ่งเหล่านี้คุณธนากรบอกว่า เพราะตั้งใจจะทำเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ให้มากที่สุด ตลอดจนทำเป็นแปลงแม่พันธุ์สำหรับไว้ถ่ายทอดเทคโนโลยีของศูนย์ด้วย

มีโอกาสสร้างรายได้

จึงเน้นพันธุ์เพื่อการค้า

คุณธนากร ชี้ว่า การปลูกอะโวคาในพื้นที่สูงมีโอกาสและได้เปรียบมาก ฉะนั้น การเลือกสายพันธุ์สำหรับปลูกควรมองตลาดจำหน่ายให้เป็นกรอบเพื่อสร้างความชัดเจน ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ปิเตอร์สัน ลูเทิ่น บู๊ช บัคคาเนียร์ แฮส และปากช่อง 28 ซึ่งถือว่าเป็นพันธุ์สุดท้ายของช่วงฤดูกาล ล้วนแต่ตอบโจทย์ความต้องการได้ทุกตลาด ทั้งตลาดบริโภค ตลาดชุมชน หรือตลาดแปรรูปส่งโรงงานอุตสาหกรรมที่นำไปทำเป็นเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ความงาม รวมถึงควรมีลักษณะคุณสมบัติเด่นคือให้ผลผลิตและค่าตอบแทนสูง คุ้มค่าต่อการลงทุนด้วย

“ดังนั้น จะต้องพยายามคัดพันธุ์โดยการนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่สามารถตอบสนองกับพื้นที่พบพระ แล้วยังต้องให้สอดคล้องกับปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ด้านรสชาติ ขนาดผล ตลอดจนความหนา-บาง ของเปลือก เพื่อให้ปลอดภัยต่อการขนส่ง โดยจะได้นำพันธุ์ต่างๆ ไปใช้ได้ตรงตามความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง”

พัฒนายอดพันธุ์ดี

ด้วยเทคนิคการเปลี่ยนยอดพันธุ์

สำหรับเทคโนโลยีที่ศูนย์ได้นำมาใช้พัฒนาต่อยอดการปลูกอะโวกาโดคือ “เทคนิคการเปลี่ยนยอดพันธุ์ดี” ทั้งนี้เพื่อให้ได้ผลผลิตที่เร็ว ซึ่งเทคนิคดังกล่าวมี 2 วิธี คือการต่อกิ่งแบบฝานบวบ กับการเสียบเปลือกประยุกต์

การต่อกิ่งแบบฝานบวบ เป็นวิธีการปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งพันธุ์ดีตามที่ต้องการ ทั้งนี้ จากประสบการณ์พบว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการผลิตต้นกล้าอะโวกาโดเปลี่ยนยอดพันธุ์ดี เพราะมีข้อดีคือจะได้รอยต่อที่มีความแข็งแรงมากกว่าวิธีการติดตา และมีคุณภาพมากกว่า ส่วนข้อเสียคือ จะต้องรอเวลาเพื่อให้กิ่งมีความเหมาะสมกับยอดพันธุ์ก่อน

การเสียบเปลือกประยุกต์ วิธีนี้ควรเลือกใช้ในกรณีที่กิ่งยอดพันธุ์ดีมีขนาดเล็กกว่าต้นตอ เป็นการเสียบเข้ากับเปลือกล็อกท่อน้ำและท่ออาหาร แล้วจึงนำกิ่งยอดพันธุ์ดีเสียบเข้าไป ข้อดีของวิธีนี้คือ มีความสะดวกและง่าย สามารถทำได้ทันที แต่ความสำเร็จต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความชำนาญ และทักษะ เพราะมิเช่นนั้นอาจทำให้เปอร์เซ็นต์การรอดน้อยกว่าการฝานบวบ

ส่วนข้อเสียของวิธีนี้คือ การประสานเนื้อไม้อาจไม่ดีพอ เนื่องจากเนื้อไม้ทั้งสองมีความแตกต่างด้านอายุต้น ระหว่างกิ่งแก่กับกิ่งอ่อน อย่างไรก็ตาม วิธีนี้นิยมนำมาใช้ในกรณีการเปลี่ยนสายพันธุ์ เพราะผลผลิตไม่เป็นที่น่าพอใจ หรือในกรณีที่ต้องการทำเป็นต้นแฟนซีไว้โชว์สายพันธุ์ต่างๆ ในต้นเดียวกัน ก็ควรใช้วิธีนี้เหมาะสมกว่า

ทางด้านแนวทางการเปลี่ยนยอดพันธุ์ อาจทำให้ 2 ลักษณะ คือเปลี่ยนยอดในถุงหรือเปลี่ยนยอดในแปลง ซึ่งทั้ง 2 แบบ มีข้อดี-ข้อเสีย แตกต่างกัน

การเปลี่ยนยอดพันธุ์ดีในถุง ส่วนมากใช้วิธีฝานบวบ เพราะถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด แล้วยังเป็นการป้องกันเชื้อที่อาจก่อโรคเข้ามาติดได้ง่าย และตามความเห็นของคุณธนากร มองว่าหากจะทำในเชิงพาณิชย์ การใช้วิธีเปลี่ยนยอดในถุงเพื่อให้ได้ต้นกล้าที่มีความสมบูรณ์ของทรงต้น เพื่อนำมาปลูก จะมีการบริหารจัดการได้ง่าย เนื่องจากสามารถเลือกสายพันธุ์ได้ เลือกขนาดต้นกล้าได้ ตลอดจนสามารถบริหารจัดการเรื่องเวลาได้

ขณะที่ การเปลี่ยนยอดในแปลง จะต้องรอเวลาการปลูกต้นตอพันธุ์ไปสัก 1-3 ปี แล้วมักพบปัญหาการเชื่อมต่อประสานของเนื้อไม้ เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องอายุเนื้อไม้ที่ต่างกัน การเปลี่ยนในแปลงนั้นเหมาะกับยอดพันธุ์ดีหรือเปลี่ยนสายพันธุ์

อย่างไรก็ตาม แต่ละวิธีล้วนมี ข้อดี-ข้อเสีย ต่างกัน จึงขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่เป็นหลักด้วย สำหรับฤดูที่เหมาะสมกับการเปลี่ยนยอดคือ ช่วงหน้าหนาว แต่หากเป็นช่วงจังหวะที่กิ่งตาพร้อมในช่วงหน้าฝนก็ทำได้ แต่ถ้าไม่ชำนาญและทักษะไม่ดีพอ อาจทำให้โอกาสรอดน้อย

อีกประเด็นที่ยังเป็นปัญหาของชาวบ้านต่อการปลูกอะโวกาโดคือ การเก็บผลผลิต เพราะที่ผ่านมาชาวบ้านมักเก็บผลผลิตที่ยังไม่สุกแก่ขาย พอลูกค้าที่เพิ่งซื้อรับประทานครั้งแรกชิมแล้วมีรสขมฝาด จึงเกิดทัศนคติไม่ดี แล้วมีผลต่อการซื้อทันที อย่างไรก็ตาม ลักษณะการขายอะโวกาโดของชาวบ้านนิยมขายยกสวน ทำให้คนเก็บไม่ใช้ความระมัดระวัง จึงทำให้ผลเสียหาย ปัญหาเหล่านี้ล้วนทำให้ฉุดรั้งความสนใจ แล้วทำให้ขายยาก ราคาตก ฉะนั้น การเก็บจะต้องสังเกตผลที่จุกสีแดงหรือผิวที่เปลี่ยนสี

ชาวบ้านสนใจ

แห่ปลูกเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

คุณธนากร เผยว่า เป็นที่น่าดีใจ เพราะภายหลังที่มีการส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกอะโวกาโดตามที่แนะนำ ได้พบว่าชาวบ้านต่างเห็นประโยชน์แล้วหันมาปลูกกันเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ชนิดก้าวกระโดด ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานเกษตรอำเภอ พบว่า เดิมมีพื้นที่ปลูกอะโวกาโดอยู่ จำนวน 500 ไร่ เพิ่มขึ้นมาเป็นเกือบ 1,500 ไร่ ภายในเวลาไม่กี่ปี ทั้งรุ่นที่เก็บผลผลิตขายได้แล้วกับรุ่นที่เพิ่งปลูกใหม่

ขณะเดียวกันทางศูนย์ได้มีการเก็บข้อมูลเฉพาะผู้ปลูกพันธุ์ดี พบว่า มีจำนวนผู้ปลูกอยู่ประมาณ 50 ไร่ นอกจากนั้น ยังพบว่ามีผู้ปลูกรายใหม่ที่เน้นปลูกพันธุ์ดีอีกประมาณ 300 ไร่ ส่วนที่เหลือเป็นพันธุ์พื้นบ้านทั่วไปประมาณพันกว่าไร่

สำหรับสายพันธุ์ที่ควรส่งเสริมปลูกในเชิงพาณิชย์ ได้แก่ พันธุ์บัคคาเนียร์ เนื่องจากให้ผลดก โตเร็ว ขั้วเหนียว ทนทานต่อแรงลม เปลือกหนา เมล็ดเล็ก เนื้อมาก ถือว่าเป็นพันธุ์ที่มีทุกอย่างครบ ดังนั้น จึงเหมาะทั้งรับประทานสด และแปรรูปส่งโรงงาน แล้วที่ดีที่สุดคือ สามารถอยู่บนต้นได้นานถึงเดือนพฤศจิกายน เพื่อรอให้มีราคาที่พอใจ ทั้งนี้ บัคคาเนียร์ จะเริ่มให้ผลผลิตในปีที่ 2-3 แต่มักเก็บขายจริงจังในปีที่ 4

อีกสายพันธุ์ที่กำลังมาแรง แล้วดูเหมือนว่ากำลังแซงพันธุ์ที่นิยมอย่าง แฮส นั่นคือ พิงค์เคอร์ตัน ถือเป็นพันธุ์ที่ลบข้อเสียของแฮสได้ทั้งหมด แล้วยังให้ผลดก มีขนาดใหญ่ในระดับพรีเมี่ยม อย่างไรก็ตาม พันธุ์แฮสต้องปลูกในระดับน้ำทะเลไม่ต่ำกว่า 600 เมตร จึงจะได้ผลดี ขณะที่พิงค์เคอร์ตัน ใช้ระดับเพียง 300-400 เมตร จากระดับน้ำทะเลก็เพียงพอแล้ว ดังนั้น จึงไม่มีข้อจำกัดในระดับพื้นที่ปลูกที่เป็นปัญหา

แนะ…ปลูกหลายพันธุ์

เพื่อสร้างรายได้ต่อเนื่อง

นอกจากนั้น คุณธนากร ยังชี้ว่า ถ้าต้องการปลูกอะโวกาโดแบบให้ผลผลิตแล้วมีรายได้ต่อเนื่อง ควรปลูกพันธุ์ที่เริ่มให้ผลก่อนใคร อย่าง พันธุ์ปิเตอร์สัน เพราะสามารถเก็บขายได้ก่อนพันธุ์อื่น จากนั้นตามด้วย ลูเฮิร์น ซึ่งมีข้อดีคือดก รสชาติดี ถ้านำไปทำแบบลอดช่องน้ำกะทิแทนแตงไทยได้เลย ถือเป็นพันธุ์รับประทานสดที่มีรสอร่อยมาก ข้อเสียอย่างเดียวคือ เปลือกบาง จึงไม่เหมาะกับการขนส่งในระยะทางไกลและนาน

สำหรับ พันธุ์ปากช่อง 28 จะออกผลผลิตเป็นชนิดสุดท้าย แล้วให้ผลผลิตยาวข้ามปี ราวปลายมกราคม-กุมภาพันธ์ หลังจากที่พันธุ์อื่นให้ผลผลิตหมดแล้ว จึงทำให้ได้ราคาดี ทั้งนี้มีลักษณะเด่นคือ อายุการเก็บเกี่ยวนาน แต่พันธุ์นี้ยังไม่แพร่หลาย เพราะกิ่งพันธุ์ยังมีน้อย

“ท้ายนี้ ทางศูนย์ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมปลูกอะโวกาโดมาก เพราะมองว่าเป็นพืชที่มีศักยภาพเมื่อนำมาปลูกที่พบพระ อีกทั้งพบว่ามีปัจจัยหลายอย่างเอื้อต่อการลงทุนต่ำ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ปลูกมาก ขณะเดียวกันกลับสร้างรายได้สูง แต่ต้องอยู่บนเงื่อนไขของการปลูกอย่างมีคุณภาพจริง แล้วยังสามารถปลูกทดแทนพืชเชิงเดี่ยวได้

จึงหวังให้เกษตรกรในพื้นที่หันมาปลูกอะโวกาโดกันมากๆ ไม่ต้องหวั่นเรื่องตลาด เพราะถ้าคุณสามารถปลูกได้อย่างมีคุณภาพตามที่ทางศูนย์แนะนำแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นผู้รับซื้อวิ่งเข้ามาหาคุณแน่นอน” คุณธนากร กล่าว

สนใจสอบถามข้อมูลอะโวกาโดได้ที่ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดตาก (เกษตรที่สูง) โทรศัพท์ (055)-806-249 (ในวัน/เวลา ราชการ) หรือ คุณธนากร โปทิกำชัย โทรศัพท์ (081) 724-8013

หรือติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวตลอดจนกิจกรรมดีๆ ที่น่าสนใจของ อะโวกาโด ได้ที่เฟซบุ๊ก “คนรักอะโวกาโด(Avocado)” แล้วท่านจะไม่ตกเทรนด์เรื่องสุขภาพอย่างแน่…

เกษตรผสมผสาน วิถีพอเพียง บนพื้นที่ 2 ไร่ ที่สิงห์บุรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05048011159&srcday=2016-11-01&search=no

วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 634

เทคโนโลยีการเกษตร

พัฒนา นรมาศ

เกษตรผสมผสาน วิถีพอเพียง บนพื้นที่ 2 ไร่ ที่สิงห์บุรี

เกษตรกรรม เป็นกิจกรรมการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และประมง แต่การเลือกทำเพียงกิจกรรมเดียว จะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงที่จะไม่ได้รับผลผลิตเมื่อต้องประสบกับภัยสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ แต่ถ้าเลือกทำ “เกษตรผสมผสาน” คือมีตั้งแต่ 2 กิจกรรมขึ้นไป มีการวางแผนการผลิต ใช้ปัจจัยผสมผสานเพื่อลดต้นทุนการผลิต ความเสี่ยงก็ลดลง ในสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจแปรปรวนเกษตรผสมผสานจึงเป็นทางเลือกในการยกระดับรายได้เพื่อนำไปสู่การดำรงชีพที่มั่นคง วันนี้จึงนำเรื่อง เกษตรผสมผสาน วิถีพอเพียง บนพื้นที่ 2 ไร่ ที่สิงห์บุรี มาบอกเล่าสู่กัน

คุณยศพนธ์ ทัพพระจันทร์ เกษตรจังหวัดสิงห์บุรี เล่าให้ฟังว่า จังหวัดสิงห์บุรีมีพื้นที่การเกษตร 418,781 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ทำนา 377,826 ไร่ พื้นที่ปลูกพืชไร่ 11,002 ไร่ พื้นที่ปลูกพืชสวน เช่น ปลูกไม้ผล พืชผัก 26,895 ไร่ พื้นที่เลี้ยงสัตว์ 1,189 ไร่ และพื้นที่ประมง 1,869 ไร่ ประชากรส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม ทั้งทำการเกษตรเชิงเดี่ยว ทำไร่นาสวนผสม หรือเกษตรผสมผสาน

เกษตรผสมผสาน เป็นงานเกษตรที่ทำตั้งแต่ 2 กิจกรรม ขึ้นไป เพื่อลดความเสี่ยง โดยได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปฏิบัติตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ให้วางแผนการปลูกและผลิต ปฏิบัติดูแลบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพ ใช้ปัจจัยผสมผสานเพื่อลดต้นทุนการผลิต ให้ผลิตในระบบเกษตรดีที่เหมาะสม หรือ GAP (Good Agricultural Practice) ที่ได้ผลผลิตดี มีคุณภาพ หรือเป็นสินค้าโอท็อป (OTOP) ที่ตลาดต้องการ ทำให้เกษตรกรยกระดับรายได้ เพื่อการดำรงชีพที่มั่นคง

ร้อยตรีบัญชา เพ็ชรรักษ์ ผู้ทำเกษตรผสมผสาน เล่าให้ฟังว่า จากที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อเกษียณก็ได้ผันตัวออกมาเป็นชาวบ้านเป็นเกษตรกร เบื้องต้นจึงต้องเรียนรู้เสริมสร้างประสบการณ์งานด้านเกษตรให้ชำนาญ สืบค้นข้อมูลด้านวิชาการเกษตรจากแหล่งวิชาการ ขอรับคำแนะนำจากสำนักงานเกษตรจังหวัดสิงห์บุรี เมื่อได้ข้อมูลพอแล้ว ได้ตัดสินใจทำเกษตรผสมผสาน ทั้งปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ เพื่อลดความเสี่ยง ให้มีผลผลิตบริโภคหรือเหลือขาย

การดำเนินงาน ได้จัดการใช้ประโยชน์ พื้นที่ 2 ไร่ ที่มีพื้นที่ส่วนที่หนึ่งเป็นบ้านพัก ส่วนที่สองจัดเป็นพื้นที่ปลูกไม้ผลและพืชผัก ส่วนที่สามจัดเป็นคอกเลี้ยงหมู เป็ด และไก่ จัดให้มีแหล่งน้ำใช้ในการผลิตเกษตร

กิจกรรมหลัก คือ การเลี้ยงหมูแม่พันธุ์และเลี้ยงหมูขุน ได้สร้างโรงเรือนห่างจากบ้านพักและเป็นที่ดอน น้ำไม่ขัง เมื่อล้างทำความสะอาดพื้นคอกหมู มูลหมูที่เก็บได้ใส่น้ำหมักชีวภาพลงไปคลุกเคล้าเพื่อกำจัดกลิ่นและป้องกันแมลงวันเข้ามารบกวน ส่วนมูลหมูที่ตากแห้งได้นำไปใช้ในแปลงเกษตร อีกส่วนหนึ่งขาย การเลี้ยงหมูมี ดังนี้

การเลี้ยงแม่พันธุ์หมู ได้คัดเลือกแม่พันธุ์หมูมาเลี้ยง 3 วิธี คือ

1. ซื้อลูกหมูขุนจากฟาร์ม คัดเลือกตัวที่มีน้ำหนัก ประมาณ 90 กิโลกรัม หรืออายุ 4 เดือน นับจากวันอย่านม มีลักษณะดีเช่น มีเต้านม 13 เต้า ขึ้นไป หัวนมไม่บอด แผ่นหลังกว้าง ขาหลังใหญ่ตรง แข็งแรง

2. ซื้อแม่พันธุ์หมูที่แหล่งพันธุ์ดี คัดเลือกขนาด อายุ น้ำหนักและใกล้เป็นสัด มีข้อดีคือ โครงร่างใหญ่ ให้ลูกดก

3. เลือกซื้อลูกหมูที่เกิดจากแม่พันธุ์ดี ราคาถูก สุขภาพดี ไม่อ่อนแอ และต้านทานโรค

การเลี้ยงหมูขุน นำลูกหมูอย่านมเข้าคอก ติดป้ายระบุวันอย่านมไว้ที่คอก เพื่อการดูแลและกำหนดวันจับขาย ช่วงแรกที่เลี้ยงได้ให้อาหารหมูเล็กหรือให้กินกล้วยน้ำว้าสุกบ้าง เพราะลูกหมูยังหากินไม่เก่ง ช่วงอดนม 2-3 วัน ต้องปอกเปลือกกล้วยสุกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ให้กิน ถ้าลูกหมูท้องเสียให้ลดอาหาร เมื่อดีขึ้นก็ให้กินอาหารเหมือนเดิม แต่ถ้าไม่ดีขึ้นต้องใช้ยาฉีด หมูที่มีน้ำหนัก 15 กิโลกรัม ขึ้นไป ได้เปลี่ยนเป็นอาหาร เบอร์ 2 มาผสมให้กิน เมื่อได้น้ำหนัก 30 กิโลกรัม ได้เปลี่ยนเป็นอาหาร เบอร์ 3 มาผสมให้กิน และเมื่อหมูน้ำหนัก 50 กิโลกรัม เปลี่ยนมาผสมอาหารปกติให้กิน

การทำบ่อบำบัด ได้สร้างบ่อบำบัดอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าพื้นคอกหมู เพื่อให้น้ำที่ล้างทำความสะอาดไหลลงบ่อได้ง่าย ฉาบด้วยปูนซีเมนต์ด้านในวงบ่อซีเมนต์ป้องกันน้ำซึมเข้าและป้องกันกลิ่นไปรบกวนเพื่อนบ้าน และเมื่อมูลหมูเต็มบ่อได้สูบขึ้นมาใช้ประโยชน์ในการปลูกพืช

ร้อยตรีบัญชา เล่าให้ฟังในท้ายนี้ว่า อีกกิจกรรมหนึ่งคือ เลี้ยงไก่ไข่ 15 ตัว มีไข่ให้เก็บ 10-14 ฟอง ต่อวัน วิธีเลี้ยงได้ปล่อยไก่ไปหากินเศษอาหารที่ตกหล่นจากการเลี้ยงหมูหรือเศษพืชผักผลไม้เพื่อลดต้นทุนค่าอาหารเม็ด และได้จัดอาหารเม็ดให้ไก่กินเพื่อเสริมให้เพียงพอต่อการเจริญเติบโตให้ผลผลิตคุณภาพ

การปลูกพืช ได้ปลูกพืชอายุสั้นที่ให้ผลผลิตไวได้เก็บกินในครัวเรือนก่อน เหลือก็นำออกขายให้กับพ่อค้าในหมู่บ้านนำไปขายต่อที่ตลาดสิงห์บุรี พืชผักที่ปลูก เช่น ผักโขม ผักสลัด มะเขือ กะเพรา ข่า ตะไคร้ หรือดอกชมจันทร์ ส่วนไม้ผลที่ปลูก เช่น มะม่วง ฝรั่ง กล้วยหอม กล้วยเล็บมือนาง มะละกอ หรือมะนาว

ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ เวลานี้มีผลมะนาวให้เก็บมากินและนำออกขาย ปลูกชมจันทร์ไม้เถาเลื้อยพืชผักสวนครัวที่ปลูกง่ายให้ดอกดก นำไปแกงส้มหรือลวกกินกับน้ำพริกได้รสแซบอร่อย ผักโขมเป็นพืชผักอีกชนิดที่กินอร่อยได้เก็บบรรจุใส่ถุงไปวางขายตลาดผู้ซื้อชอบมาก พืชผักและไม้ผลจะมีผลผลิตให้ทยอยเก็บได้ต่อเนื่องทุกวัน

การทำเกษตรผสมผสาน ได้จดบันทึกทุกกิจกรรมเพื่อนำข้อดี ข้อด้อย มาเป็นแนวทางแก้ไขปรับปรุงวิธีผลิตและการผลิตในระบบเกษตรดีที่เหมาะสม หรือ GAP (Good Agricultural Practice) ได้ผลผลิตดี มีคุณภาพ จึงได้รับการรับรองให้เป็นสินค้าเกษตรดีมีคุณภาพ จากกรมวิชาการเกษตร และการก้าวสู่ความสำเร็จมีผลผลิตให้เก็บกินหรือนำไปขายเป็นรายได้ เป็นเกษตรผสมผสานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ที่ทำให้วิถีการดำรงชีพมีความมั่นคง

จากเรื่อง เกษตรผสมผสาน วิถีพอเพียง บนพื้นที่ 2 ไร่ ที่สิงห์บุรี ได้จัดการพื้นที่ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ใช้ปัจจัยผสมผสานเพื่อลดต้นทุนการผลิตที่ได้ผลตอบแทนคุ้มทุนหรือจดบันทึกกิจกรรม เป็นวิถีการดำรงชีพที่มั่นคง

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ร้อยตรีบัญชา เพ็ชรรักษ์ เลขที่ 20/1 หมู่ที่ 6 ตำบลพวกรวม อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี โทร. (081) 291-9687 หรือที่สำนักงานเกษตรจังหวัดสิงห์บุรี โทร. (036) 813-488 ก็ได้เช่นกันครับ

ละออง ภูจวง จากลูกจ้างบริษัท กลับบ้านเกิด พลิกผืนนาเป็นเกษตรผสมผสาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05052011159&srcday=2016-11-01&search=no

วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 634

เศรษฐกิจพอเพียง

อำพน ศิริคำ

ละออง ภูจวง จากลูกจ้างบริษัท กลับบ้านเกิด พลิกผืนนาเป็นเกษตรผสมผสาน

ละออง ภูจวง อายุ 34 ปี ปัจจุบัน อยู่บ้านเลขที่ 71 หมู่ที่ 16 ตำบลขามเฒ่าพัฒนา อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม โทรศัพท์ (087) 145-6552 เป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer) ซึ่งได้ใช้ความพยายามฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคจนประสบผลสำเร็จระดับหนึ่ง เป็นแบบอย่างแก่เยาวชนและเกษตรกรทั่วไป

คุณละออง เล่าให้ฟังว่า หลังจากสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เมื่อปี 2544 ได้ไปสมัครงานและเข้าทำงานที่บริษัท ไทยซัมมิกฮาร์เนส นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี แผนกวางแผนและควบคุมการผลิต ตำแหน่งพนักงานทั่วไป ทำหน้าที่แจกจ่ายเอกสาร และธุรการทั่วไป ทำงานได้ 9 ปี และระหว่างนี้ยังศึกษาต่อจนจบ ปวส. ที่โรงเรียนเทคโนโลยีศรีราชา (ภาคค่ำ 2 ปี) อีกด้วย

จุดเปลี่ยนอาชีพต่อสำนึกรักบ้านเกิด

ตลอดระยะเวลาของการทำงานที่บริษัท ไทยซัมมิกฮาร์เนส นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นไปด้วยดีด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจทำ เป็นที่ยอมรับของนายจ้าง และเป็นที่รักใคร่ของพี่ เพื่อน และน้องๆ ในบริษัท แม้การทำงานที่บริษัทจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น แต่ปัญหาเรื่องส่วนตัวเริ่มเกิดขึ้นด้วยสำนึกต่อผู้มีพระคุณที่ให้กำเนิดเริ่มเข้าสู่วัยชรา ไม่มีคนดูแล ประกอบกับไม่มีผู้เลี้ยงดูลูก ด้วยความสำนึกต่อผู้มีพระคุณและแผ่นดินเกิด จึงคิดที่จะกลับไปหางานทำที่บ้าน หาอาชีพที่จะต้องมีรายได้เพื่อนำมาจุนเจือครอบครัวหลังจากที่ต้องลาออกจากงานที่บริษัท

น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ที่บ้านเกิด

แนวคิดเริ่มแรกเมื่อเดินทางกลับบ้านเกิดคือ การน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามรอยพ่อหลวง โดยได้รับแรงบันดาลใจจากคุณลุงท่านหนึ่งที่เล่าให้ฟังและใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการดำรงอยู่และปฏิบัติตนอยู่บนเส้นทางสายกลาง อยู่บนความพอเพียง ซึ่งหมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร

ซึ่งได้ฟังแล้วคิดว่าเราน่าจะทำได้ เพราะเราอยู่กับการทำการเกษตรมาตั้งแต่แรกเกิด

จึงได้เริ่มศึกษาหาความรู้ตามหนังสือบ้าง ทางอินเตอร์เน็ตบ้าง พร้อมได้เล่าให้ครอบครัวฟังว่าอยากทำการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่จะช่วยให้ครอบครัวอยู่ได้แบบยั่งยืน แต่ทุกคนในครอบครัวไม่เห็นด้วย เพราะต้องมีการปรับพื้นที่โดยการปรับพื้นที่นามาขุดสระน้ำและให้เป็นสวน ซึ่งต้องใช้เงินลงทุน แต่ตนเองก็ไม่ละทิ้งแนวคิดทำการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลังจากลาออกจากงานที่บริษัท ก็เริ่มทำความฝันตนเองให้เป็นจริง เริ่มต้นด้วยการปลูกผักที่ตัวเองชอบกิน รวมถึงพืชผักสวนครัวต่างๆ ไปพร้อมกับการปลูกพลู ปลูกกล้วย และอื่นๆ ที่กินได้ เหลือกินก็นำไปขายให้ชาวบ้านและชุมชนใกล้เคียง ขณะเดียวกัน ก็ได้เข้ารับการฝึกอบรมตามโครงการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่ส่วนราชการจัดขึ้น ทำให้ได้รู้วิธีการและเทคโนโลยีการผลิตแบบใหม่ๆ จึงมีแนวคิดที่จะขยายพื้นที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม โดยทุกครั้งที่ไปเรียนและเข้ารับการฝึกอบรมจะมีคำถามจากคนรอบข้างตลอดว่าจะเรียนไปทำไม แค่ปลูกผักใครๆ ก็ทำได้

วันหนึ่ง คุณลุงเล่าให้ฟังว่า มีการเปิดรับสมัครเข้าร่วมโครงการพระราชดำริฯ จำนวน 5 คน นับเป็นโอกาสอันดี จึงสมัครเข้าเป็นนักเรียนในโครงการพระราชดำริฯ หลักสูตรการดำรงชีวิตตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียงและองค์กรภาคี โครงการรณรงค์เพื่อน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสร้างภูมิคุ้มกันชุมชน ทำให้ได้ความรู้โดยมีหลักการสำคัญที่นำมาปรับใช้ในการทำการเกษตรคือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เป็นขั้นตอนตามลำดับความจำเป็น ประหยัด การพึ่งพาตนเอง ส่งเสริมความรู้ และเทคนิควิชาการสมัยใหม่ที่เหมาะสม รวมทั้งส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้น ยังมุ่งเน้นการสร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้ชุมชนสามารถวิเคราะห์ปัญหา และความต้องการของชุมชน สามารถวางแผนการผลิตที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ และความพร้อมของเกษตรกรได้ด้วยตนเอง โดยใช้กระบวนการแบบมีส่วนร่วมของเกษตรกร

การทำการเกษตรเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ขณะเดียวกัน ได้รับการคัดเลือกจากสำนักงานเกษตรอำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม และได้รับการคัดเลือกเป็นวิทยากรต้นแบบ โครงการเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmer) จังหวัดมหาสารคาม กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ความสำเร็จการทำการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

มีพื้นที่ทั้งหมด 12 ไร่เศษ เริ่มจากขุดสระน้ำในไร่นา 1 บ่อ แล้วปลูกพืชผัก ไม้ผล และอื่นๆ 2 ไร่ เมื่อมีรายได้จึงนำเงินมาขุดบ่อเพิ่มอีก 1 บ่อ ปัจจุบัน ขยายพื้นที่ปลูกออกเป็น 4 ไร่ 52 ตารางวา โดยปลูกพืชหลากหลายชนิด ดังนี้

1. กล้วย 120 กอ มี 20 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์กล้วยหอมขอนแก่น หอมไต้หวัน หอมทุเรียน กล้วยไข่กำแพงเพชร กล้วยนาก กล้วยหมูสีข้าวก่ำ กล้วยหมูสี กล้วยเขียวใหญ่ กล้วยเล็บมือนาง กล้วยหอมมอญ กล้วยตีบ กล้วยเทพนม กล้วยหักมุก กล้วยน้ำว้า กล้วยเต่า กล้วยพะโล และกล้วยงาช้าง

2. ข่า 350 กอ มี 3 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ข่าเหลือง ข่าใหญ่ และข่าแดง ขายหน่อ 5-7 หน่อ/10 บาท และขายพันธุ์ถุงละ 25 บาท ต้นขจร 60 ต้น

3. มะนาวพันธุ์แป้นพิจิตร 60 ต้น และพันธุ์ตาฮิติ 2 ต้น ไม้ผล มี มะม่วง ขนุน มะขามหวาน มะขามเปรี้ยว และส้มโอ รวม 25 ต้น

4. พลู 200 หลัก ราคาขาย 100 ใบ/25-30 บาท มีรายได้ทุกวัน เฉลี่ยเดือนละไม่น้อยกว่า 3,000 บาท

5. ผลิตผักปลอดสารพิษ หลายชนิด เช่น คะน้า ผักสลัด หอม ฯลฯ เพาะผักสวนครัวไว้สำหรับแจกจ่ายผู้ที่มาเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงอีกจำนวนหนึ่ง

6. เลี้ยงปลา 2 บ่อ มีปลาธรรมชาติ และปล่อยปลาตะเพียน ปลานวลจันทร์ และปลาหมอ เลี้ยงหมูหลุม 4 ตัว เลี้ยงเป็ดและเลี้ยงไก่พันธุ์พื้นเมือง ประมาณ 50 ตัว และทำนา 8 ไร่

นวัตกรรมที่นำมาใช้ในไร่นา คือได้คิดค้นสกีต่อพ่วงกับรถไถเดินตาม ประโยชน์ คือลดต้นทุนการผลิตไม่ต้องจ้างรถปั่น ไร่ละ 250 บาท ลดต้นทุนค่าน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยไร่ละ 40 บาท ประหยัดเวลาจากการใช้รถไถเดินตามทำได้ 4-5 ไร่/วัน ถ้านั่งสกีทำได้ 8-10 ไร่/วัน และยังสะอาดเรียบร้อยไม่มีวัชพืช และยังนำปุ๋ย OM การผลิตสมุนไพรไล่แมลงมาใช้ในฟาร์มด้วย

ผลจากการดำเนินงานทำให้มีผลิตผลการเกษตรประเภทพืชผัก ปลา และสัตว์ปีก ที่เป็นอาหารที่ปลอดภัยในครัวเรือนและผลผลิตในส่วนที่เหลือยังนำไปจำหน่ายในชุมชน ทำให้มีรายได้ 400-500 บาท/วัน สำหรับสัตว์และไม้ผลทำให้มีรายได้เดือนละ 12,000-13,000 บาท ทั้งนี้ ตลอดปีทั้งปีมีรายได้เฉลี่ยปีละ 220,000 บาท ส่งผลให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุขและยั่งยืน

คุณละออง บอกว่า ทุกครั้งที่มีเงินรายได้จากการจำหน่ายผลิตผล จะแบ่งออกเป็นส่วนๆ ส่วนหนึ่งเก็บออมไว้ อีกส่วนไว้เป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวและเป็นเงินลงทุนในการทำการเกษตร และอีกส่วนจะพาครอบครัวไปศึกษาดูงานเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเกษตรกรต้นแบบที่ประสบผลสำเร็จในแต่ละด้าน รวมถึงทุกครั้งเมื่อมีการจัดฝึกอบรมเพื่อให้รู้ว่าการทำการเกษตรจะต้องไม่หยุดนิ่ง ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้รับการถ่ายทอดแล้วก็นำเรื่องการคิดต้นทุนในการผลิตมาใช้ก่อนที่จะลงมือทำการผลิตพืชแต่ละชนิดก่อน

การขยายผลสู่ชุมชน

วิสัยทัศน์คือ “ยึดมั่นในปรัชญา, พัฒนาตามขั้นตอน, สอนให้พึ่งตนเอง” จากความสำเร็จในการทำเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เมื่อปี 2558 ได้รับการคัดเลือกจากจังหวัดมหาสารคาม ให้จัดตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรอินทรีย์ ประจำตำบลขามเฒ่าพัฒนา

ท่านที่เคารพครับ จะเห็นว่าคุณละอองเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่แล้วกลับมาฟื้นฟูอาชีพแบบดั้งเดิมให้เป็นอาชีพใหม่ที่ลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ และลดความเสี่ยงด้านการตลาดและราคา มีรายได้และผลตอบแทนที่ดี โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้มีความสุข ท่านที่สนใจจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคุณละออง ติดต่อได้ที่ โทร. (087) 145-6552 หรือ Facebook ละออง ภูจวง หรือ ID Line : ละออง และ YSF มหาสารคาม