25 ปี สู้เพื่อป่าของคนเหล่าเหนือ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/223209

สิ่งแวดล้อม,รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม,เหนือ,ป่า,สวัสดิการ

การศึกษา-สาธารณสุข  :  28 ก.พ. 2559

25 ปี สู้เพื่อป่าของคนเหล่าเหนือ

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : 25 ปี สู้เพื่อป่าของคนเหล่าเหนือ สู่ต้นแบบพัฒนา ‘ดิน น้ำ ป่า สวัสดิการ’ : โดย…รุ่งโรจน์ เพชระบูรณิน

                      “เมื่อก่อนชาวบ้านไปทำไร่ทำสวนต้องกางร่มกันเลย ต่างกับปัจจุบันที่ร่มรื่นป่าฟื้นคืน เป็นความภาคภูมิใจของชุมชน สิ่งที่พอใจที่สุดคือเรื่องน้ำ เป็นผลที่ชัดเจนจากการอนุรักษ์ป่า” บุญยงค์ จิตมณี เปิดฉากบอกเล่าเรื่องราวอย่างภาคภูมิใจ
                      บุญยงค์ จิตมณี อดีตผู้ใหญ่บ้านเหล่าเหนือ ต.บ้านกลาง อ.สอง จ.แพร่ แกนนำในการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าชุมชนบ้านเหล่าเหนือ เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงว่า เริ่มตั้งแต่ปี 2526 ที่มีการสร้างอ่างเก็บน้ำสอง และมีการเปิดประมูลสัมปทานไม้ในอ่าง เป็นจังหวะโอกาสที่มีชาวบ้าน และนายทุนเข้ามาสวมรอยตัดไม้ทำลายป่าในเขตชุมชนบ้านเหล่าเหนือ หลังจากได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านในปี 2534 จึงเรียกประชุมคณะกรรมการหมู่บ้าน เพื่อหารือถึงสถานการณ์การบุกรุกทำลายป่าที่รุนแรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะถ้าขืนปล่อยไปป่าคงหมด เมื่อไม่มีป่า ก็ไม่มีน้ำ ไม่มีแหล่งอาหารให้แก่อนาคตของลูกหลาน
                      กระทั่งนำมาสู่การปิดป่า โดยห้ามไม่ให้ผู้ใดใช้ประโยชน์จากป่าทุกรูปแบบ เป็นเวลา 3 ปี จากนั้นก็เชื่อมประสานเอาหน่วยงานภาครัฐ มาช่วยในการจัดการป่าชุมชน ร่วมรักษาป่าต้นน้ำในเขตป่าสงวน จนสามารถจัดตั้งป่าชุมชนได้ 2,720 ไร่ ในปัจจุบัน
                      “บุญยงค์” เล่าด้วยว่า ปัจจุบันเรื่องการลักลอบตัดไม้หมดไปแล้ว ป่าก็ค่อยๆ ฟื้นตัว แต่เราก็ยังทำงานอนุรักษ์ต่อไป หวังให้คนรุ่นต่อไปได้สืบสานรักษาไว้ อนาคตป่าคงจะอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่ปัญหาก็คือ ที่ทำกิน กว่า 2,000 ไร่ ของชาวบ้าน เพราะเป็นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ จึงไม่มีความมั่นคงและมั่นใจในการทำกิน ซึ่งเรื่องนี้ชาวบ้านพยายามหาทางออกอยู่เหมือนกัน ทั้งต่อสู้เพื่อให้มีเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน ทำข้อมูลรายแปลง ข้อมูลพื้นที่ป่าชุมชน ที่อยู่อาศัย ไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา โดยหวังว่าอย่างน้อยขอให้มีสิทธิทำกิน แม้ว่าจะไม่มีเอกสารสิทธิหรือโฉนดก็ตาม และชาวบ้านยืนยันว่าต่อไปในอนาคตจะไม่มีการบุกรุกป่าเพิ่มอีกแน่นอน
                      เพื่อให้เห็นป่าชุมชนของจริง อดีตผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านเหล่าเหนือ ได้อาสาพาไปสำรวจเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชุมชนบ้านเหล่าเหนือ (ป่าห้วยป้อม) ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร เป็นทางเดินเท้า ที่รถจักรยานยนต์สามารถลัดเลาะขึ้นไปได้ ซึ่งเดิมเป็นเส้นทางเข้าป่าหาอยู่หากินของชาวบ้าน อีกทั้งใช้เป็นเส้นทางลาดตระเวนรักษาป่า ต่อมาได้ช่วยกันพัฒนาเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ แหล่งเรียนรู้ไว้ให้ลูกหลานเยาวชน และคนที่สนใจได้ศึกษาเรียนรู้
                      ที่น่าสนใจ คือการสร้าง 7 ฐานเรียนรู้ คุณค่าป่าชุมชนบ้านเหล่าเหนือ โดย ชาติ สุริยา ประธานราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า (รษทป.) บ้านเหล่าเหนือ บอกกับเราว่า การปกป้องฟื้นฟูผืนป่าเป็นงานจิตอาสา คนที่มาทำงานนี้ไม่ได้รับค่าตอบแทน แต่คิดว่า ถ้าหากเราไม่อนุรักษ์ป่าให้มีความสมบูรณ์ ลูกหลานรุ่นต่อๆ ไป จะไม่ได้รับประโยชน์ทั้งทางตรง และทางอ้อม เมื่อก่อนน้ำไม่มี ปัจจุบันเรามีน้ำใช้ไม่ขาดก็เพราะการช่วยกันอนุรักษ์ป่า
                      นอกจากนี้ประธานราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า ยังพาไปดูฐานต่างๆ รวมทั้งเล่าให้ฟังถึงความสำคัญของแต่ละฐานด้วย
                      ฐานที่ 1 “พืชผักกินได้” ชาวบ้านอาศัยเป็นแหล่งอาหาร มีทั้งไม้ผล ไม้กินยอดและใบ พืชน้ำ หน่อไม้ หลากหลายชนิด บริเวณนี้เป็นพื้นที่ต่ำร่มเย็นจะเหมาะสำหรับพืชผักหลายชนิด ที่ขึ้นตามบริเวณแถบนี้ เช่น ผักแซ้ว จะนำมาใช้ทำแกงเห็ด หรือแกงอื่นๆ ให้รสขมนิดๆ หรือมะเดือดิน กินผลกับน้ำพริก ผักกรูด ยอดไคร้ ปลีกล้วย ฯลฯ
                      ฐานที่ 2 “สมุนไพรม่อนห้วยช้าง” แหล่งสมุนไพร ยารักษาโรค ยาบำรุงร่างกาย ยาฆ่าแมลง ที่นี่มีสมุนไพรหลายอย่างทั้งให้คุณและโทษ อย่าง เครือไหล ที่สามารถทำเป็นยาเบื่อได้ บางคนใช้เบื่อปลาเพื่อจับได้ง่าย หรือสมุนไพรที่ให้คุณ อย่าง รางจืด ขับพิษในร่างกาย ต้มกินขับพิษสร่างเมา สาบเสือ สมุนไพรห้ามเลือด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ชาวบ้านได้พึ่งพาจากป่า
                      ฐานที่ 3 “ป่าไผ่บง ดงเถาวัลย์” แหล่งป่าไม้ใช้สอยของชุมชน เป็นแหล่งเก็บหน่อไม้ที่สำคัญ บริเวณจุดนี้มีไม้ไผ่หลากหลายชนิด ไผ่ป่า ไผ่บง ไผ่ซาง ไผ่รวก ไผ่ไร่ เป็นต้น นอกจากเก็บหน่อไปกินไปขายแล้ว ชาวบ้านที่นี่ยังนำไปใช้ทำตอกมัดข้าว หรือสานตะกร้าขาย ส่วนเถาวัลย์ จำพวกหวายก็กินได้ และใช้ทำเครื่องสานหลากชนิด ซึ่งแถบนี้ยังมีสมุนไพรอื่นๆ อีกหลายอย่าง
                      ฐานที่ 4 “เขตอภัยทานสัตว์ป่า” จุดนี้ชาวบ้านกำหนดเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เพราะจะให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหลายชนิด อย่างร่องรอยที่เราพบเห็นก็เป็นร่องรอยของหมูป่าตามบริเวณแหล่งน้ำ บริเวณนี้มีเรื่องเล่าถึงอาถรรพณ์ป่า ผีไพร ที่ชาวบ้านที่นั่งห้างเฝ้าสัตว์พบเจอ และบอกเล่าต่อๆ กันมา ถ้าชาวบ้านทั้งในและนอกหมู่บ้านเข้ามาเขตนี้ก็ขอความร่วมมือไม่ให้ล่าสัตว์
                      ฐานที่ 5 “ปล่องน้ำออกรู ตามดูสัตว์น้ำ” ปล่องน้ำออกรู หรือตาน้ำ เป็นจุดที่น้ำไหลออกจากดิน ตามลำห้วยสาขาซึ่งจะไหลไปรวมกันที่ห้วยป้อม น้ำที่ไหลออกมาชาวบ้านสามารถอาศัยดื่มกิน และเป็นแหล่งที่สัตว์ป่าลงมากินน้ำอีกด้วย
                      ฐานที่ 6 “สวยสมอ้าง ผาพี่ ผาน้อง ผาแอว” สถานที่ในประวัติศาสตร์วรรณคดีลิลิตพระลอ เป็นหน้าผาและถ้ำปู่เจ้าสมิงพราย ถ้ำพระเพื่อนพระแพง จุดนี้มีถ้ำเป็นจุดขาย มีทั้งค้างคาว หินงอกหินย้อย หลายถ้ำให้สำรวจ
                      ส่วนฐานที่ 7 “ม่อนจิกจ้อง ชมวิวอ่างสอง” ฐานสุดท้ายบนยอดเขาสูง การขึ้นฐานนี้เพื่อความปลอดภัยต้องเดินเท้าขึ้นอย่างเดียวเพราะทางชันประมาณ 200-300 เมตร เมื่อขึ้นมาบนยอดเขาก็จะเป็นจุดชมวิวอ่างเก็บน้ำสอง สามารถมองสภาพพื้นที่ป่าได้โดยรอบ เป็นสถานที่พักผ่อน บางช่วงสามารถเห็นทะเลหมอกที่สวยงาม
                      ที่สำคัญหลังจากการรักษาทรัพยากรป่าชุมชนบ้านเหล่าเหนือประสบความสำเร็จ ก็นำไปสู่การจัดการน้ำ การจัดการที่ดิน ที่อยู่อาศัย การจัดการสวัสดิการชุมชน โดยใช้ฐานสภาองค์กรชุมชนตำบล เป็นศูนย์กลางสู่การพัฒนาในมิติอื่นๆ เช่น พัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้ของ ต.บ้านกลาง ในการบริหารโดยชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเอง ที่อาศัยอาคารโรงเรียนบ้านเหล่าเหนือ เปิดเป็นสำนักงานขององค์กรชุมชนตำบลในทุกงาน ซึ่งคาดหวังให้เป็นพื้นที่ต้นแบบในการเรียนรู้ของคนในตำบล และพื้นที่ใกล้เคียง
                      นวลฉวี คำฝั้น ประธานกองทุนสวัสดิการชุมชน และเลขานุการสภาองค์กรชุมชน ตำบลบ้านกลาง ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน อ.สอง จ.แพร่ เกิดสภาองค์กรชุมชนตำบล 6 ตำบล มีกองทุนสวัสดิการชุมชน 7 ตำบล ส่วนสวัสดิการชุมชนของตำบลบ้านกลางนั้น ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 1,500 คน มีเงินสะสมประมาณ 2 ล้านบาท
                      นอกจากนี้ ยังเกิดเครือข่ายการจัดการลุ่มน้ำสอง 5 ตำบล เกิดกองทุนป่าชุมชน กองทุนน้ำประปา กองทุนเพื่อซ่อมสร้างที่อยู่อาศัย ซ่อมสร้างบ้านให้แก่ผู้ด้อยโอกาส และผู้ยากไร้ในตำบล วงเงินครัวเรือนละ 3 หมื่นบาท ที่ผ่านมามีการซ่อมสร้างไปแล้ว 6 หลังคาเรือน มีกองทุนที่ดิน ส่วนหนึ่งสนับสนุนเป็นทุนทำการเกษตรและการประกอบอาชีพ ช่วยเหลือสมาชิกที่เดือดร้อน ที่ผ่านมามีการไปไถ่ถอนที่ดินที่ไปจำนองไว้กับนายทุน ให้แก่สมาชิก 1 ราย ไม่ให้ที่ดินหลุดมือ “ที่งานพัฒนาเดินหน้าอย่างเข้มแข็งก็มาจากฐานของงานอนุรักษ์ป่า”
                      สำหรับการร่วมมือกับหน่วยงานรัฐนั้น มีการจัดทำข้อมูลทำพิกัดรายแปลงที่ดิน นำเสนอให้แก่กรมป่าไม้ เพื่อรับรองข้อมูลที่ดินทำกิน และกำลังผลักดันให้เกิดข้อตกลงในสิทธิทำกินของชาวบ้าน โดยสภาองค์กรชุมชน ทำข้อมูลไป 900 กว่าแปลง เพื่อลงนามบันทึกข้อตกลงกับป่าไม้ ให้เป็นฐานข้อมูลที่ชัดเจนร่วมกันว่า ที่ดินตรงไหนเป็นพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน แปลงไหนของใคร ที่ใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตป่าสงวน ด้านหนึ่งก็เพื่อไม่ให้มีการบุกรุกแผ้วถางเพิ่มเติม และยังมีการลงพื้นที่สำรวจข้อมูลรายครัวเรือน ทุกหมู่บ้าน ทำแผนที่ทำมือ ทำผังชุมชน จับพิกัดจีพีเอส 900 กว่าแปลง พื้นที่ 6 หมื่นกว่าไร่
                      เหนืออื่นใด ชาวบ้านตระหนักว่า น้ำ และที่ดิน ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต และการดำรงชีวิตของชุมชน เป็นปัญหาสำคัญที่สภาองค์กรชุมชนตำบลบ้านกลาง ได้ทำแผนการแก้ไขปัญหาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ข้อมูลจากบทเรียนและความเข้มแข็งของคนบ้านเหล่าเหนือ ในการปกป้องทรัพยากรมาเป็นแนวทาง และต้นแบบในการแก้ไขปัญหาของชุมชนให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างที่เห็นและเป็นอยู่นั่นเอง
————————
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : 25 ปี สู้เพื่อป่าของคนเหล่าเหนือ สู่ต้นแบบพัฒนา ‘ดิน น้ำ ป่า สวัสดิการ’ : โดย…รุ่งโรจน์ เพชระบูรณิน)

‘มะม่วง’ ทองบนดินเนินมะปราง สู่การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/222349

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม,มะม่วง,เนินมะปราง,พิษณุโลก

การศึกษา-สาธารณสุข  :  14 ก.พ. 2559

‘มะม่วง’ ทองบนดินเนินมะปราง สู่การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ‘มะม่วง’ ทองบนดินเนินมะปราง สู่การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน : โดย…สร้อยแก้ว คำมาลา

                     คุณค่าแห่งวิถีชีวิตเกษตรกรรม และวิถีวัฒนธรรมชุมชนอันเรียบง่าย ดีงาม บางครั้งก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะประเมินค่าได้เหมือนกัน
                     อย่าง ที่ “เนินมะปราง” เป็นอำเภอหนึ่งของ จ.พิษณุโลก อยู่ห่างจาก อ.เมือง ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 68 กิโลเมตร ที่นี่ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทั้งทำนา ทำไร่อ้อย ไร่ข้าวโพด และทำสวนผลไม้ โดยเฉพาะมะม่วง ซึ่งกำลังเป็นผลไม้เศรษฐกิจสำคัญของท้องถิ่น ปัจจุบันทำรายได้สูงราว 3.2 พันล้านบาทต่อปี เลยทีเดียว
                     ด้วยเหตุนี้ ระหว่างวันที่ 19-27 มีนาคม 2559 ที่ อ.เนินมะปราง จึงจัดให้มีงานเทศกาลมะม่วงเนินมะปราง หลังจาก เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2559 กลุ่มคนรักเนินมะปรางจัดกิจกรรมปั่นเพื่ออนาคตเนินมะปราง สู่การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน ซึ่งเป็นที่น่าสนใจสำหรับชุมชนเกิดใหม่อย่างเนินมะปราง ที่แยกตัวจาก อ.วังทอง เมื่อปี 2526 ทำไมพวกเขาเติบโตและมีพัฒนาการรวดเร็วจนทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของพิษณุโลก ขณะเดียวกันล่าสุดจากการจัด 5 อันดับ อันซีนไทยแลนด์ ที่น่าท่องเที่ยวที่สุด เนินมะปราง ยังเป็นหนึ่งในนั้น
                     ทั้งมะม่วง และการท่องเที่ยว จึงนับได้ว่ากำลังจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญของคนเนินมะปราง ซึ่งไม่ว่าภาครัฐ องค์กรปกครองท้องถิ่น ของ อ.เนินมะปราง และ จ.พิษณุโลก ต่างก็สนับสนุนผลักดันกันอย่างเต็มที่
                     ที่น่าสนใจไปกว่านั้น เมื่อดูบริบทการเติบโตทางเศรษฐกิจของ อ.เนินมะปรางแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่า สภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของเนินมะปรางนั่นเอง ที่เป็นต้นทุนสำคัญของคนเนินมะปราง แม้ว่าก่อนหน้านี้ราวร้อยปีก่อน เนินมะปรางยังเป็นพื้นที่ป่า สัตวป่าชุกชุม ไม่มีชุมชนอาศัยอยู่ กระทั่งมีการอพยพของคนไทยในอีสานจาก อ.นครไทย จ.พิษณุโลก อ.ด่านซ้าย จ.เลย อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ เข้ามาลงหลักปักฐาน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนยากจน บ่ายหน้าหาแผ่นดินใหม่ทำกิน จึงกลายเป็นชุมชนขึ้นมา
                     ในยุคบุกเบิกนั้น ทางการมองว่าที่นี่เป็นพื้นที่สีแดง เป็นเขตพื้นที่ของคอมมิวนิสต์ และมีการโจมตีส่วนราชการอยู่เนืองๆ ด้วยเหตุผลทางการเมืองจึงทำให้มีการแยกจาก อ.วังทอง มาเป็น กิ่ง อ.เนินมะปราง เมื่อปี 2519 ก่อนที่อีก 7 ปีต่อมาจะกลายเป็น อ.เนินมะปราง
                     จากนั้นเมื่อความรุนแรงลดลงกระทั่งเข้าสู่ภาวะปกติ อ.เนินมะปราง ซึ่งกลายเป็นอำเภอใหม่ แต่กลับถือว่าเป็นอำเภอที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากรทั้งบนดินและในดิน แม้ว่าทุกครอบครัวไม่อาจสร้างฐานะให้ร่ำรวยได้ถ้วนทั่ว และหลายครอบครัวจัดอยู่ในขั้นที่เรียกว่า ยากจน กระนั้น ก็ถือว่าสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยวิถีการเกษตร
                     ซึ่งแม้ปัจจุบันเกษตรกรส่วนใหญ่ของเนินมะปรางถึงร้อยละ 70 ยังมีปัญหาเรื่องพิสูจน์เอกสารสิทธิในที่ดินทำกินที่ทับซ้อนที่ดินของภาครัฐอยู่ก็ตาม และแม้ในอดีตชาวบ้านจำนวนมากต้องถูกจับขังอยู่เนืองๆ เป็นกรณีพิพาทระหว่างรัฐกับชาวบ้านมาตลอด แต่ปัจจุบันด้วยนโยบายของกรมป่าไม้ที่ไม่ตึงจนเกินไป จึงทำให้เกษตรกรสามารถทำกินในที่ดินที่มีข้อพิพาทนั้นได้ กระนั้นเกษตรกรหลายรายหวังว่าจะได้รับการพิสูจน์สิทธิ์ที่ชอบธรรมในการเป็นเจ้าของที่ดินทำกินในอนาคต หรืออย่างน้อยได้รับการออกโฉนดชุมชนก็ยังดี
                     เนินมะปราง นับได้ว่ามีลักษณะภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะด้านธรณีวิทยา ดังจะพบว่า ลักษณะดินที่นี่มีทั้งดินจากภูเขาหินปูน ดินจากภูเขาดินลูกรัง (ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง) โดยในส่วนพื้นที่ราบนั้นส่วนใหญ่เป็นที่ดินแล้ง และดินโคลนจากภูเขาผสมดินดำตามพื้นที่ราบเชิงเขา
                     ความหลากหลายของดิน คือที่มาของการปลูกมะม่วงที่ให้รสชาติดีที่สุด เนื่องจากเนินมะปรางอยู่ในพื้นที่สูงและแล้ง และพื้นที่ที่มีความแล้งนี่เองที่ทำให้มะม่วงน้ำดอกไม้ยามสุกมีรสหวานฉ่ำ (เพราะมะม่วงที่ชุ่มน้ำจะทำให้มีรสเปรี้ยว) กระทั่งนำไปสู่การเป็นมะม่วงคุณภาพนำส่งออกต่างประเทศและทำรายได้ให้แก่เนินมะปรางราว 3.2 พันล้านบาทต่อปี หรืออาจมากกว่านั้น (ข้อมูลจากสำนักงานการเกษตรอำเภอเนินมะปราง)
                     ศิลป์ชัย ตระกูลทิพย์ ประธานชมรมผู้ปลูกมะม่วงอำเภอเนินมะปราง ได้เล่าให้ฟังว่า ประมาณปี 2530 ทางเกษตรอำเภอได้มาส่งเสริมให้ปลูกมะม่วง และกลุ่มคนปลูกมะม่วงเนินมะปรางก็ได้รวมกลุ่มกันเมื่อปี 2532 โดยเริ่มต้นจากเกษตรกร 14 ราย ที่ค่อยๆ เรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการปลูก
                     ปี 2544 มีการประสานกับทางกลุ่มพ่อค้าส่งออกซึ่งมีทั้งนักลงทุนชาวไทยและชาวญี่ปุ่น จนทำให้สามารถนำมะม่วงส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศได้ราคาค่อนข้างสูง
                     ปัจจุบันกลุ่มผู้ปลูกมะม่วงเนินมะปราง มีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 40 ราย แต่มีการรวมกลุ่มย่อยเพิ่มอีกหลายกลุ่มมาก ทั้งได้ขยายเครือข่ายไปสู่ จ.พิษณุโลก และกลายเป็นเครือข่ายระดับประเทศ เนื่องจากความต้องการมะม่วงของตลาดต่างประเทศยังมีสูง
                     จากข้อมูลของฝ่ายยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนามะม่วงภาคเหนือตอนล่าง สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 ระบุว่า ในประเทศไทยมีเกษตรกรที่ปลูกมะม่วงอยู่ 259, 276 ครัวเรือน มีพื้นที่ให้ผลประมาณ 816,467 ไร่ เฉพาะที่ จ.พิษณุโลก จังหวัดเดียวมีพื้นที่ปลูกถึง 103,280 ไร่ คิดเป็น 55 เปอร์เซ็นต์ของภาคเหนือตอนล่างทั้งหมด ซึ่งที่เหลือกระจายอยู่ใน จ.เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ สุโขทัย
                     “เฉพาะ อ.เนินมะปราง เราปลูกประมาณ 6 หมื่นกว่าไร่ ปลูกเฉพาะน้ำดอกไม้ประมาณ 3 หมื่นกว่าไร่ ที่เหลือก็จะเป็นฟ้าลั่น เพชรบ้านลาด และอื่นๆ น้ำดอกไม้นั้นถ้าคัดเกรดเอส่งออกจะได้กิโลกรัมละ 100 บาท ผลผลิต 1 ไร่ จะได้ประมาณ 1 ตัน ส่วนพันธุ์อื่นๆ ได้ราคาประมาณ 60-70 บาท ต่อกิโลกรัม ถ้าจะถามว่ามะม่วงที่นี่ทำรายได้เท่าไหร่ก็ลองคำนวณดู”
                     ศิลป์ชัย พูดพลางหัวเราะ เขาภาคภูมิใจที่มะม่วงเนินมะปรางสามารถสร้างเศรษฐกิจที่ดีให้คนเนินมะปรางได้ แต่เขาก็ยังเป็นห่วงเรื่องสิ่งแวดล้อม และได้ฝากบอกถึงเพื่อนเกษตรกรให้ใช้สารเคมีตามที่นักวิชาการกำหนด และให้ผู้ปลูกทุกคนดูแลสุขภาพด้วย
                     “คนบริโภคปลอดภัยอย่างเดียวไม่ได้ ผู้ปลูกต้องปลอดภัยด้วย” ศิลป์ชัย ย้ำ
                     ความสำเร็จของการปลูกมะม่วงที่เนินมะปราง และการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตขึ้นของเนินมะปรางอาจกล่าวได้ว่า ล้วนเป็นผลมาจากการมีสิ่งที่เรียกว่า “ทรัพย์ในดินสินในน้ำ” โดยแท้ เป็นผลแห่งการมีผืนดินที่แม้บางช่วงบางแห่งไม่อาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์ แต่กลับกลายเป็นโอกาสในผลิตผลที่ยากจะหาได้จากที่อื่น ขณะที่พื้นที่อื่นๆ ที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์ก็ยิ่งทำหน้าที่ของการสร้างระบบนิเวศและความสมดุลให้แก่สิ่งแวดล้อมที่นี่
                     ทั้งมะม่วงและการท่องเที่ยว ที่ชุมชนกำลังพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเพื่อให้คงคุณค่าของสิ่งที่เรียกว่าการท่องเที่ยวนิเวศชุมชน อันเป็นเป้าหมายอันใกล้นี้ จึงนับได้ว่าน่าสนับสนุนและหนุนเสริมให้พวกเขาได้ดำรงคุณค่าเหล่านี้ไว้ให้ยาวนานและยั่งยืน
———————-
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ‘มะม่วง’ ทองบนดินเนินมะปราง สู่การจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน : โดย…สร้อยแก้ว คำมาลา)

‘ไทยแอ็ค’ เปลี่ยนประเทศไทยคนละไม้คนละมือ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/221904

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม,ไทยแอ็ค

การศึกษา-สาธารณสุข  :  7 ก.พ. 2559

‘ไทยแอ็ค’ เปลี่ยนประเทศไทยคนละไม้คนละมือ

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ‘ไทยแอ็ค’ เปลี่ยนประเทศไทยคนละไม้คนละมือ : โดย…บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์

                     เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นหรือพบเจอปัญหาต่างๆ ในสังคม คุณจะเป็น “ไทยแบบไหน” ไทยเดือดร้อน ไทยเผ่น ไทยมุง หรือ ไทยถีบ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน “ทำ” อะไร ก็ไม่สำคัญมากไปกว่า “เราอยากเห็นประเทศไทยในอนาคตเป็นอย่างไรต่างหาก”
                     ในพื้นที่ชายแดน โรงพยาบาลไม่ใช่แค่เพียงสถานที่รักษา แต่คือบ้านของทุกคนในชุมชนคนป่วย คือ คนในครอบครัวเดียวกัน นอกจากรักษาแล้วอีกภารกิจที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของหมอ คือ ลงพื้นที่ไปดูแลสารทุกข์สุกดิบชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และได้รับโอกาสมากกว่าที่เป็นอยู่
                     ครูผู้พร่ำสอน ชี้เส้นทางข้างหน้าแห่งความถูกต้อง เพื่อเป็นใบเบิกทางของชีวิตให้เด็กๆ ได้นำความรู้ไปต่อยอดในอนาคต ยิ่งเห็นเด็กมีการศึกษา มีอาชีพก้าวหน้านี้เป็นความสุขที่สุดของคนที่ได้ชื่อว่าเป็น “ครู”
                     ผู้นำชุมชนที่ยึดวิถีเศรษฐกิจพอเพียง ทำเป็นตัวอย่างให้ชาวบ้านเห็นและนำไปปฏิบัติตาม โดยหวังจะให้ชาวบ้านเลิกจน พึ่งพาตัวเองได้ เป็นต้นแบบของการทำความดีให้ลูกบ้านได้เห็น เพื่อให้ชุมชนเข้มแข็ง เป็นหมู่บ้านที่น่าอยู่
                     งานของตำรวจ ไม่ใช่แค่อยู่บนโรงพักแต่เขาจะลงพื้นที่พบปะชาวบ้าน สำรวจตรวจตราความปลอดภัยหมู่บ้านทุกซอกทุกมุม
                     มีแม่บางคนที่ลูกของเธอเป็นเด็กพิการ เธอรู้ดีว่าไม่มีโรงเรียนไหนที่จะสอนลูกให้เติบโตได้เท่ามือเล็กๆ ของเธอเอง เธอตัดสินใจลาออกจากงาน ละทิ้งความก้าวหน้าทางอาชีพเพื่อมาดูแลลูกของเธอ และกลายเป็นศูนย์ดูแลลูกของแม่ๆ คนอื่นที่ประสบปัญหาเหมือนเธอ บรรดาคุณแม่กลุ่มนี้ต่างช่วยกันออกเงินดูแลกันเอง คอยปลูกฝังให้เด็กเข้มแข็งและหัดช่วยตัวเอง เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นภาระของใครๆ ในวันหน้า
                     ตัวอย่างเรื่องราวบางเสี้ยวของคนตัวเล็กตัวน้อยรอบๆ ตัวเรา ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ทุกคนเพียงแค่รักแผ่นดินไทยสุดหัวใจ และปรารถนาให้ประเทศไทย “อยู่เย็นเป็นสุขและน่าอยู่” เท่านั้นเอง พวกเขาและเธอไม่เลือกตั้งคำถาม แต่เลือกที่จะทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ถามแต่ตัวเองแค่ว่า เราทำอะไรได้บ้าง เพื่อเปลี่ยนแปลงตนเองให้แข็งแกร่ง เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโลกในที่สุด
                     “ไทยแอ็ค-THAI ACT” เป็นกลุ่มคนเล็ก ที่เริ่มจากแรงเล็กแรงน้อย คนละไม้คนละมือ ที่หวังเป็นจุดเริ่มต้นพลังในการสร้างประเทศไทยในอนาคต ที่เชื่อว่าพลังของทุกคนเปลี่ยนแปลงสังคมได้ เพียงแค่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองและลงมือทำทันที
                     THAI คือ คนทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย ส่วน ACT คือ Action และ Active ที่สื่อความหมายว่า เป็นความกระตือรือร้นที่เกิดขึ้นจากการลงมือทำ เพราะเชื่อว่าพลังของคนทุกคนบนผืนแผ่นดินไทยสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้ เพียงแค่ “ตัวเรา” ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเพื่อส่วนรวม เปลี่ยนประเทศไทยได้ด้วยพลังในตัวเราก็เป็น “THAIACT” เช่นเดียวกัน
                     วันชัย บุญประชา หนึ่งในผู้ก่อตั้ง “กลุ่มไทยแอ็ค” กล่าวถึงความตั้งใจว่า ต้องการที่จะสื่อสารชวนคนในสังคม มาร่วมเป็นภาคประชาสังคมโดยวิธีการที่คนในสังคมสามารถทำได้ด้วยกัน ความเป็นภาคประชาสังคม ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อน ใครๆ ก็สามารถเป็นได้ ขอเพียง เริ่มจากการที่เราเห็นสิ่งที่คิดว่าไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม เห็นสิ่งที่น่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยกันทำให้ดีขึ้น ถ้าเห็นอะไรที่เป็นปัญหาเกิดขึ้นแล้วเราเฉย ก็จะทำให้เกิดเป็นปัญหาลุกลามบานปลายใหญ่โต
                     แต่ถ้าทุกคนเข้ามาร่วมกัน ช่วยกันแก้ไขปัญหาก็จะทำให้สังคมโดยรวมดีขึ้น เริ่มจากหนึ่งคน ร่วมกันทำเป็นสองคน สามคน ร่วมกับคนที่มีความคิดเดียวกัน จึงเป็นการร่วมมือกันระหว่างประชาชนในการพยายามช่วยตนเองมากกว่าการรอให้ระบบราชการหรือระบบอื่นๆ เข้ามาทำให้ปัญหานั้นหมดไปหรือลดลง ฉะนั้นภาคประชาสังคมก็คือประชาชนคนทั่วไปที่ร่วมกันช่วยกันแก้ปัญหา ไม่ปล่อยให้ราชการหรือรัฐเท่านั้นเข้ามาเป็นผู้กำหนดหรือแก้ปัญหาเพียงลำพัง
                     “ที่ผ่านมาประชาชนคนทั่วไป ราชการหรือนักธุรกิจ มักเข้าใจคำว่าภาคประชาสังคมเป็นคนที่ออกมาต่อสู้ อยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐ ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม หรือเรื่องที่กระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มประมงพื้นบ้าน กลุ่มแรงงาน กลุ่มสมัชชาคนจน มองดูน่ากลัว
                     “แต่จริงๆ แล้ว เราทุกคนก็คือประชาชนที่ออกมารวมกลุ่มปกป้องคุณภาพชีวิตของคนในสังคมทั้งสิ้น ไม่ต่างจาก ชมรมผู้ปกครองในโรงเรียน กลุ่มชาวบ้านที่อยู่เป็นชุมชน มารวมกันทำความสะอาด ตัดหญ้า มาทำให้พื้นที่ชุมชนตนเองมีสภาพแวดล้อมดีขึ้น ก็ถือว่าเป็นภาคประชาสังคมเช่นกัน การเป็นภาคประชาสังคมจริงๆ แล้วเป็นการหนุนเสริม ทำให้สังคมเป็นสังคมที่ไม่นิ่งดูดาย ทุกคนได้มีโอกาสช่วยเหลือดูแลกัน”
                     “THAIACT” ไม่ต้องรอผู้อื่นเปลี่ยนแปลง แต่ให้เปลี่ยนแปลงตัวเองหรือระเบิดออกมาจากข้างในตัวเองก่อน แล้ว Action ทันที เริ่มที่ตัวเราและค่อยขยายไปยังกลุ่มเพื่อน ชุมชน สังคม ประเทศชาติ โลกกลายเป็น เครือข่ายข้ามครอบครัว ข้ามชุมชน ข้ามภูมิภาค ข้ามประเทศ
                     ในการสื่อสารเพื่อจะทำให้คนในสังคมเข้าใจว่า ทุกคนก็เป็นภาคประชาสังคมได้นั้น “ไทยแอ็ค -Thai Civil Societywww.facebook.com/thaicivilsociety” จึงเป็นช่องทางเพื่อทำหน้าที่ดังกล่าวนี้ เชิญชวนทุกคนมาร่วมกันทำหน้าที่ของตัวเองอย่างมุ่งมั่น เปลี่ยนประเทศไทยคนละไม้คนละมือ
                     วิเศษ คุณฤทธิ์พงศ์ ผู้ดูแลเพจไทยแอ็ค ได้กล่าวถึงความตั้งใจในการทำว่า “สิ่งที่เราอยากเห็นในเพจไทยแอ็คอย่างแรกเลยคือ อยากให้มีคนหรือกลุ่มคนที่ไม่ได้นิ่งดูดายกับความเดือดร้อนของคนอื่นๆ ในสังคม มีช่องทางบอกเล่าเรื่องราวหรือวิธีการในการให้ความช่วยเหลือคนเหล่านั้น ไปจนถึงเรื่องที่พวกเราในสังคมจะต้องมาช่วยๆ กัน อย่างที่สองก็คือเราอยากนำเสนอตัวอย่างเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน เพื่อที่พวกเราจะได้มาร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็น “สังคมศึกษา” และร่วมกันเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว และสุดท้ายเราอยากจะเสนอความคิด และมุมมองต่างๆ ในสังคม ผ่านตัวการ์ตูนในแบบฉบับของเรา และเชิญชวนให้คนในสังคมออกมาปฏิบัติการในเรื่องของส่วนรวมมากขึ้น”
                     เพจไทยแอ็ค เปิดพื้นที่ เปิดโอกาส ให้ทุกๆ คนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเรียนรู้กับชุมชน สังคม อันจะทำให้เกิดความเข้าใจ ความเป็นไป และปัญหาของสังคมไทยนำไปสู่การเชื่อมโยงตนเองกับสังคม เกิดเป็นสำนึกของคนบนผืนแผ่นดินไทยที่ไม่นิ่งดูดาย
                     ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลก ทำให้สังคมไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์ปัญหาที่ซับซ้อนและรุนแรงมากยิ่งขึ้น “สังคมไทยที่น่าอยู่และเป็นสุข” จึงต้องการคนในสังคมเข้ามา Action ร่วมกันคิด ร่วมกันแก้ปัญหา ร่วมกันสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาสังคมไทยให้เต็มไปด้วยคนที่ Active เคารพกติกา เคารพความแตกต่าง และร่วมรับผิดชอบต่อสังคมเพราะทุกคนต่างก็เป็นเจ้าของประเทศไทยเช่นเดียวกัน แค่ “THAI Action” พลัน “THAI Active” ก็บังเกิดและผลิบาน
                     ความท้าทายวันนี้คือ ทำอย่างไรสังคมไทยจะสามารถส่งผ่านและปลูกฝังค่านิยมเรื่องการ Action เพื่อส่วนรวมให้เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที กับสภาพสังคมที่นับวันมีปัญหาและมีความซับซ้อนมากขึ้น การปลุก “สำนึกให้คน Action” จึงมีความสำคัญยิ่งและไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงแค่จากการอ่านหรือท่องจำเท่านั้น แต่ต้องเป็นการเรียนรู้จากการ “ลงมือทำ”
                     การสร้างคนทุกคนบนผืนแผ่นดินไทยให้ Action ต่อปัญหาของชุมชนและสังคมส่วนรวม ให้กลายเป็นคนที่ Active จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งต่อสังคมไทยในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยในขณะนี้ด้วย เพราะเราคือ ภาคประชาสังคมไทย หรือ ThaiCivil Society และทุกคน ก็คือส่วนหนึ่งที่สำคัญยิ่ง
                     มาร่วมกันสร้างสรรค์สังคมที่ “อยู่เย็น-เป็นสุข-เป็นธรรม และน่าอยู่สำหรับทุกคน” นี้ด้วยกัน
———————-
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ‘ไทยแอ็ค’ เปลี่ยนประเทศไทยคนละไม้คนละมือ : โดย…บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์)

เปิดเมืองบางกอกนี้ดีจัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/221490

การศึกษา-สาธารณสุข  :  31 ม.ค. 2559

เปิดเมืองบางกอกนี้ดีจัง

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : เปิดเมืองบางกอกนี้ดีจัง เพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์รู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยง : โดย…สาวิตรี รักษาสิทธิ์

                      ปัจจุบันเด็กเยาวชนอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและพิษภัย เด็กสามารถเดินถึงร้านเหล้าได้ภายใน 7 นาที ไปร้านเกมและแหล่งพนันได้ในเวลา 15 นาที เข้าถึงซีดีลามกและสถานบันเทิงได้ใน 30 นาที ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเขาจะต้องมีภูมิคุ้มกันมีทักษะชีวิตรอบด้านมีสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย
                      อย่างไรก็ดีทุกฝ่ายคงต้องเร่งวางมาตรการร่วมมือร่วมใจกันส่งเสริมให้เกิดการรู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยง มีกิจกรรมสร้างสรรค์และเกิดพื้นที่ดีลดพื้นที่เสี่ยงเพื่อเอื้อต่อการส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาเด็กเยาวชนรวมถึงประชากรกลุ่มคนทุกวัยในชุมชน
                      ที่น่าสนใจเมื่อไม่นานมานี้ กรุงเทพมหานคร ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนาสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดงานมหกรรมบางกอกนี้ดีจังภายใต้แนวคิด “เพลินบางกอกนี้…ดีจัง 3 ดีมีชีวิต” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 3 ณ บริเวณลานยิ้มริมน้ำคลองบางหลวงวัดหงส์รัตนาราม บางกอกใหญ่ เพื่อรณรงค์ลดพื้นที่เสี่ยงมุ่งสู่การทำพื้นที่สร้างสรรค์สร้างกิจกรรมชุมชนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
                      ภายในงานมีการแสดงจากกลุ่มเยาวชน Wow! บางกอกเชิดมังกร และทอล์ค&โชว์เพลงพื้นบ้านลิเกฮูลู รำโทน รำวงย้อนยุค และยังมีกระบวนการสื่อพัฒนาเด็กเยาวชน อาทิ เรียนรู้ลงมือทำ บ้านภูมิปัญญา เรือกระทงกาบมะพร้าว บิดกลีบบัว ภาพเขียนลายรดน้ำ นิทรรศการภาพถ่าย ภาพวาด เด็กเล่าเรื่องยิ้ม กิจกรรมทำมือ ศิลปะเรียกยิ้ม ปั้นแป้งหลากสี หน้ากากหรรษา ทำของเล่นสื่อสนุก กังหันลม และครัวยิ้ม เด็กทำขนม ฯลฯ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมงานจำนวนมาก
                      ดร.ผุสดี ตามไท รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร อธิบายถึงการเปิดพื้นที่สร้างสรรค์ในครั้งนี้ว่ากรุงเทพมหานครเห็นถึงความสำคัญของเด็กและเยาวชน จึงได้ร่วมกับมูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา สสย. สสส. และที่ขาดไม่ได้คือกลุ่มเด็กเยาวชนชุมชนโรงเรียนจากเครือข่ายบางกอกนี้ดีจังเขตบางกอกใหญ่ บางกอกน้อย บางพลัด พระนคร บึงกุ่ม และสวนหลวง ที่ช่วยผลักดันให้พื้นที่ชุมชน กทม.เกิดกิจกรรมบางกอกนี้ดีจังมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งเป็นการรณรงค์ให้เกิดพื้นที่สร้างสรรค์ พื้นที่ปลอดภัย พื้นที่ให้คนในชุมชนได้มาใช้ประโยชน์ พัฒนาศักยภาพเด็กเยาวชน คนทุกเพศทุกวัยสามารถเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ อาทิ สื่อศิลปวัฒนธรรมการแสดงฝึกทักษะชีวิต ทำงานอาสา การออกแบบช่วยให้เกิดภูมิคุ้มกันในการเท่าทันตนเองเท่าทันสื่อเท่าทันสังคม และเกิดการใช้ภูมิปัญญาในชุมชนปกป้องดูแลสร้างชุมชนให้น่าอยู่ เอื้อต่อการพัฒนาส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนต่อไป
                      “ขณะนี้เรามีพื้นที่ตัวอย่างเกิดขึ้นแล้ว อาทิ พื้นที่เขตบางกอกใหญ่ ชุมชนวัดหงส์รัตนาราม ชุมชนวัดโพธิ์เรียง เขตบางกอกน้อย บางพลัด พระนคร บึงกุ่ม และสวนหลวง ได้เริ่มทำพื้นที่สร้างสรรค์และพร้อมขยายต่อยอดสู่ชุมชนอื่นๆ เพื่อให้เกิดการรวมกลุ่มทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง หัวใจสำคัญของกิจกรรมนี้ คือการที่เด็กและเยาวชนคนในชุมชนตื่นตัวลุกขึ้นมาทำกิจกรรมด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องรอความหวังจากส่วนราชการ และในระยะยาวทุกภาคส่วนจะบูรณาการงานเข้ามาเองเป็นระบบที่เกิดจากฐานรากคือชาวบ้านจริง ไม่ใช่ระบบสั่งการจากบนสู่ล่าง” ดร.ผุสดี กล่าวย้ำ
                      ขณะที่่ สุรนาถ แป้นประเสริฐ แกนนำเครือข่ายเยาวชนบางกอกนี้ดีจัง กล่าวว่า ต้องชื่นชมและขอบคุณผู้ใหญ่ที่เห็นความสำคัญสนับสนุนกลุ่มเด็กเยาวชนและคนทั่วไปให้ได้มีพื้นที่ทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ เนื่องจากปัจจุบันเด็กเยาวชนตกอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและพิษภัย เข้าถึงอบายมุข ยาเสพติด เหล้า บุหรี่ รวมถึงสื่อที่ไม่ปลอดภัยได้ง่ายมาก จึงหวังว่ากิจกรรมที่เกิดขึ้นวันนี้จะเป็นทางเลือกให้ทุกคนตื่นตัวต่อการทำกิจกรรมทางสังคม ใช้ศักยภาพสื่อสาร สร้างการรับรู้ สร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้พัฒนาตนเองและส่วนรวม โดยเฉพาะการลุกขึ้นมาของเด็กและเยาวชนในการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งภายในงานมีกิจกรรมให้ได้ศึกษาเรียนรู้ชุมชน รวมถึงเปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้แสดงออกมากมาย รวมถึงมีการแสดงด้านศิลปวัฒนธรรมให้รับชม ซึ่งปีนี้มีการเปิดเส้นทางเดิน-ปั่น ตามยิ้ม 3 ดีมีชีวิตบางกอกนี้ดีจัง เพื่อสื่อสารกับคนในชุมชนถึงกิจกรรมครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม อยากให้เกิดกิจกรรมแบบนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างชุมชนให้น่าอยู่ ใช้ประโยชน์ในการเรียนรู้ ทำกิจกรรมเชิงบวกร่วมกัน เพื่อให้นักเรียนเกิดภูมิคุ้มกันห่างไกลจากปัจจัยเสี่ยงสิ่งเสพติด
                      เรียกได้ว่า เมืองบางกอก ยังคงเป็นเมืองที่มีชุมชนเป็นมิตร เป็นเมืองน่าอยู่ เมืองที่สร้างวิถีสุข มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้เต็มไปด้วยสื่อภูมิปัญญา สื่อวัฒนธรรม สื่อศิลปะชุมชน เด็ก เยาวชน โรงเรียน ชุมชนสามารถได้รับและได้ใช้สื่อที่เหมาะสมต่อการพัฒนาในแต่ละช่วงวัย มีโอกาสเข้าถึงสื่อดีได้ โดยไม่จำกัดโอกาส เวลา และสถานที่ คนในชุมชนสามารถมาร่วมใช้ประโยชน์ ซึ่งหมายถึงการมีทักษะที่จะคิดวิเคราะห์เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันในการเท่าทันตนเอง เท่าทันสื่อ เท่าทันสังคม และเกิดการใช้ภูมิปัญญาของทุกฝ่ายในชุมชน เพื่อมีส่วนร่วมในการปกป้องดูแลและสร้างสรรค์ชุมชนร่วมกัน
—————————
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : เปิดเมืองบางกอกนี้ดีจัง เพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์รู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยง : โดย…สาวิตรี รักษาสิทธิ์)

มีบ้านมั่นคง สิ่งแวดล้อมดีที่เมืองบางปู

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/221085

การศึกษา-สาธารณสุข  :  24 ม.ค. 2559

มีบ้านมั่นคง สิ่งแวดล้อมดีที่เมืองบางปู

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : มีบ้านมั่นคง สิ่งแวดล้อมดีที่เมืองบางปู : โดย…อุดมศรี ศิริลักษณาพร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.)

                      ดูเหมือนปัญหาที่อยู่อาศัยกับปัญหาสิ่งแวดล้อม มักมาด้วยกัน ไปด้วยกันเสมอ ที่่สำคัญการหาทางออกของทั้งสองเรื่อง ก็มักที่จะทำคนเดียวโดดเดี่ยวไม่ได้เช่นกัน
                      อย่างที่เมืองบางปู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ชาวบ้านมีความเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยจำนวน 7 ชุมชน 387 ครัวเรือน พวกเขาเริ่มมีทางออก เมื่อรวมตัวกันเป็นเครือข่ายบ้านมั่นคงและเริ่มดำเนินงานพัฒนาที่อยู่อาศัย พัฒนาสาธารณูปโภค และพัฒนาสภาพแวดล้อมของชุมชน หลังจากที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน หรือ พอช. ได้เริ่มต้นอนุมัติแผนงานและงบประมาณเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยและพัฒนาสาธารณูปโภคในชุมชนตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา
                      ที่นี่สมาชิกโครงการเป็นชุมชนมุสลิม ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน ค้าขาย และรับจ้างทั้งในชุมชนและนอกชุมชน อาศัยอยู่ชุมชนดั้งเดิมในพื้นที่ป่าชายเลนและที่ดินมีโฉนดบางส่วน สภาพชุมชนมีความแออัด บ้านเรือนก่อนสร้างใหม่และปรับปรุง มีสภาพเก่าและทรุดโทรมมาก ในช่วงฤดูฝนมีน้ำท่วมขัง
                      มะอายือบิง สาเละ คณะกรรมการชุมชนบาลาดูวอ ฝ่ายเหรัญญิกและช่างชุมชน กล่าวว่า เดิมชาวชุมชนในเมืองบางปูส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน แต่ในปัจจุบันความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำทะเลลดลง ทำให้เหลือชาวประมงพื้นบ้านประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนหนึ่งหันมาประกอบอาชีพรับจ้าง และมีคนไปทำงานที่มาเลเซียมากขึ้น
                      มะอายือบิง บอกว่า การดำเนินงานพัฒนาของแต่ละชุมชนจะมีคณะกรรมการของชุมชน ชุมชนละ 15 คน ทำหน้าที่บริหารจัดการงานบ้านการพัฒนาสาธารณูปโภค การส่งเสริมการออม การประสานความร่วมมือกับเครือข่ายบ้านมั่นคงในระดับเมือง จังหวัด และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งการประสานงานกับหน่วยงานสนับสนับสนุน
                      รอบีอ๊ะ สาแลแม คณะกรรมการเครือข่ายบ้านมั่นคงเมืองบางปู เล่าว่า การบริหารจัดการของเครือข่ายที่ผ่านมา มีความล่าช้าในการสร้างและปรับปรุงบ้าน ทำให้สมาชิกขาดความเชื่อมั่น จึงได้หาทางออกร่วมกับสถาปนิกชุมชนและเครือข่ายบ้านมั่นคงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีประสบการณ์ในการสร้างบ้านมาก่อน และได้ระดมจากเครือข่ายช่างชุมชนในจังหวัดและพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาช่วยกันสร้างบ้านตัวอย่างที่ชุมชนโต๊ะโสมและชุมชนบาลาดูวอ ในช่วงต้นปี 2558
                      หลังจากที่มีบ้านตัวอย่าง ทำให้สมาชิกมีความกระตือรือร้นในการออมและทยอยปรับปรุงบ้านของตนเอง อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับสมาชิกในเรื่องการสร้างบ้าน คณะกรรมการได้จัดหาช่างภายในชุมชนแทนผู้รับเหมาในรายที่ต้องมีการจ้างและค่าจ้างจะไม่ให้เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ของค่าวัสดุ
                      ประกอบกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยของชุมชนในเครือข่ายบ้านมั่นคงเมืองบางปู เป็นการปรับปรุงที่อยู่อาศัยในที่ดินเดิม ซึ่งได้รับงบอุดหนุนที่อยู่อาศัยจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนจากฐานเพดานครัวเรือนละ 2.5 หมื่นบาท จึงได้ใช้งบอุดหนุนดังกล่าวเพื่อการสร้างบ้านใหม่และปรับปรุงซ่อมแซม โดยการใช้งบประมาณไม่ได้จ่ายตามเพดานต่อครัวเรือน หากคำนึงถึงความเดือดร้อนของสมาชิกและความจำเป็นเท่าที่ต้องปรับปรุง
                      เช่น ที่ชุมชนโต๊ะโสม มีข้อตกลงร่วมกันของคณะกรรมการและสมาชิก ให้สนับสนุนการสร้างบ้านใหม่ที่หลังละ 6 หมื่น บาท หากเกินจากนี้เจ้าของบ้านต้องสมทบเอง ส่วนบ้านที่ต้องปรับปรุงซ่อมแซมก็ให้เป็นไปตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 2.5 หมื่นบาทต่อหลัง แต่ละชุมชนจะกำหนดการสนับสนุนไม่เท่ากันแต่มีความใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ สมาชิกที่ได้รับงบอุดหนุนสร้างบ้าน มีข้อตกลงเรื่องการคืนทุนเข้ากองทุนของชุมชนเพื่อช่วยเหลือสมาชิกที่เดือดร้อนรายอื่นๆ ต่อไป ปัจจุบันเจ้าของบ้านที่มีการสร้างและปรับปรุงแล้วเสร็จ จำนวน 215 ครัวเรือน มีการคืนทุนเข้ากองทุนของชุมชนแล้ว รวมเป็นเงิน 223,909 บาท
                      ด้านการพัฒนาสาธารณูปโภค ในทุกชุมชนมีความคืบหน้าในการพัฒนาถนน ทางเท้า ในชุมชน การจัดการเรื่องคูระบายน้ำ การปรับพื้นที่ป้องกันน้ำท่วมขัง การจัดสร้างที่จอดเรือของชุมชนแทนของเดิมที่เก่าและทรุดโทรมจำนวน 8 จุด สามารถจอดเรือได้กว่า 80 ลำ การจัดสร้างที่ละหมาดให้แก่นักเรียนและผู้เดินทางสัญจรที่ชุมชนบาลาดูวอ การริเริ่มจัดการธนาคารขยะที่ชุมชนโต๊ะโสม การปรับภูมิทัศน์ของชุมชนบาลาดูวอ เป็นต้น
                      ด้านการส่งเสริมการออมของสมาชิก มีการออมทรัพย์ ออมสวัสดิการ ออมเพื่อรักษาดินรักษาบ้านส่วนใหญ่เดือนละ 100 บาทต่อครัวเรือน ปัจจุบันมีเงินออมสะสมของชุมชนรวม 380,653 บาท นอกจากนี้คณะกรรมการของเครือข่ายเมืองบางปู ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนของคณะกรรมการชุมชน 7 ชุมชน มีการประชุมร่วมกันทุกเดือนเพื่อติดตามและพัฒนางานร่วมกัน จากการประชุมของคณะกรรมการเครือข่ายบ้านมั่นคงเมืองบางปูครั้งล่าสุด ได้สรุปร่วมกันว่าจะดำเนินการพัฒนาที่อยู่อาศัย พัฒนาสาธารณูปโภค และพัฒนาสภาพแวดล้อมของชุมชนให้แล้วเสร็จภายในปี 2559
                      หลังจากนี้ต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้มากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันสมาชิกในครัวเรือนส่วนหนึ่งต้องไปทำงานรับจ้างที่ประเทศมาเลเซีย ด้านการใช้ที่ดินเพื่อการปรับปรุงที่อยู่อาศัย การพัฒนาสาธารณูปโภค และสภาพแวดล้อมในชุมชน ได้มีการกำหนดกติกาและข้อตกลงร่วมระหว่างชุมชน เทศบาลและหน่วยงานที่ดูแลเรื่องที่ดิน เพื่อการพัฒนาชุมชนและป้องกันพื้นที่ไม่ให้มีการบุกรุกเพิ่ม
                      ถึงตรงนี้ต้องบอกว่า เครือข่ายบ้านมั่นคงเมืองบางปู เป็นอีกตัวอย่างของการพัฒนาตนเองหลายด้านควบคู่ไปกับสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ และเชื่อว่าหลายชุมชนสามารถเจริญรอยตามได้ด้วย
———————-
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : มีบ้านมั่นคง สิ่งแวดล้อมดีที่เมืองบางปู : โดย…อุดมศรี ศิริลักษณาพร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.))

 

เสียงเพรียกเครือข่ายลุ่มน้ำอีสาน ถอนร่าง พ.ร.บ.น้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/220629

การศึกษา-สาธารณสุข  :  17 ม.ค. 2559

เสียงเพรียกเครือข่ายลุ่มน้ำอีสาน ถอนร่าง พ.ร.บ.น้ำ

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : เสียงเพรียกเครือข่ายลุ่มน้ำอีสาน ถอนร่าง พ.ร.บ.น้ำ (ฉบับกรมทรัพย์ฯ) : โดย…เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำอีสาน

                      หนาวลมโบราณเขาให้ห่มผ้า หนาวฟ้าเขาว่าให้ผิงไฟ…แต่หนาวแล้งนี่สิเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะห่มฟ้าหรือผิงไฟก็คงไม่มีวันหายหนาว
                      เรื่องน้ำ กำลังกลายเป็นเรื่องสำคัญของมวลมนุษยชาติในประเทศไทยไปแล้วเวลานี้ เพราะแม้แต่รัฐบาลก็ยังไม่นิ่งนอนใจ เตรียมหามาตรการรับมือกันยกใหญ่ ส่วนจะแก้ตรงจุดตรงใจประชาชนหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
                      อย่าง เสียงเพรียกเรื่องน้ำในภาคอีสาน ก็นับว่าน่าสนใจ
                      ทั้งนี้เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ขณะที่หลายคนเตรียมตัวเตรียมใจสนุกสนานกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ทว่า เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำอีสาน, คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคอีสาน(กป.อพช.อีสาน), สมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ และเครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมตัวแทนชาวบ้านลุ่มน้ำมูล น้ำชี น้ำพอง แก่งละว้า กว่า 50 คน แถลงข่าว “หยุดเหยียบย่ำ พ.ร.บ.น้ำ (ฉบับประชาชน)”
                      โดย สิริศักดิ์ สะดวก ผู้ประสานงานเครือประชาชนลุ่มน้ำอีสาน กล่าวว่า การป้องกันและการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง จะต้องให้คนในท้องถิ่นในลุ่มน้ำนั้นๆ เข้าไปมีส่วนร่วม แต่เนื้อหาในร่างพระราชบัญญัติน้ำ ฉบับของกรมทรัพยากรน้ำ ในสายตาของตนเป็นการรวบอำนาจ ให้อำนาจแก่รัฐในการจัดสรรแล้วก็บริหารจัดการน้ำ และจากการติดตามศึกษามาตลอดพบว่า ฉบับของกรมทรัพยากรน้ำไม่ได้มีการเปิดให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ฉะนั้น ฉบับกรมทรัพยากรน้ำ จึงเป็นการลิดรอนสิทธิการจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อชุมชนของคนลุ่มน้ำในอีสานอย่างชัดเจน
                      ถ้าร่างพ.ร.บ.น้ำ (ฉบับกรมทรัพยากรน้ำ)ผ่าน ก็จะเป็นการให้อำนาจรัฐในการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งเราไม่เห็นด้วยแน่นอน เช่น ในมาตรา 6 ของร่าง พ.ร.บ.น้ำ (ฉบับกรมทรัพยากรน้ำ) เขาเขียนไว้ว่า “รัฐจะมีอำนาจพัฒนาทรัพยากรน้ำสาธารณะ โดยสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงรูปร่างของแหล่งน้ำ หรือขยายพื้นที่ของแหล่งน้ำนั้นได้” เพราะฉะนั้นแค่เรื่องมาตรา 6 ของกรมทรัพยากรน้ำ ก็เป็นการให้อำนาจรัฐในการที่จะเปลี่ยนแปลงแหล่งน้ำต่างๆ โดยที่ไม่ไปฟังเสียงประชาชน ไม่ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าไปแสดงความคิดเห็น ไม่ได้ศึกษาผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดเห็นได้ชัด อย่างเช่นในลุ่มน้ำมูล ลุ่มน้ำชี เราจะเห็นว่าขบวนการอย่างนี้มันเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งถ้าหาก พ.ร.บ.น้ำ (ฉบับของกรมทรัพยากรน้ำ)ถูกประกาศใช้จริง มองว่าคนอีสานจะได้รับผลกระทบมากเพราะว่าวิถีชีวิตของคนลุ่มน้ำนั้นเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันโดยตรง ใครจะมาตัดขาดจากกันไม่ได้ นับตั้งแต่การดำรงชีวิตโดยการเกษตร และวิถีการหาปลา ด้วยเหตุนี้ จึงมีข้อเสนอการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของภาคประชาชน ผ่านร่างพระราชบัญญัติน้ำ พ.ศ….(ฉบับประชาชน)ขึ้นมา ซึ่งร่างพ.ร.บ.น้ำภาคประชาชนจะเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นว่า คุณมีสิทธิในการบริหารจัดการน้ำที่เหมาะสมกับชุมชนอย่างไรบ้าง และเป็นกฎหมายที่ให้คนในท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง โดยไม่เบี่ยงเบนจากหลักการของคนในท้องถิ่น ดังนั้นเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำอีสาน จึงมีข้อเสนอคือ “ให้รัฐบาลถอดร่างพระราชบัญญัติ พ.ร.บ.น้ำ พ.ศ…(ฉบับกรมทรัพยากรน้ำ)ออกทันที”
                      เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม หรือแสดงความคิดเห็น การที่จะนำร่างพ.ร.บ.ฉบับกรมทรัพยากรน้ำไปพิจารณา ถือว่าไม่มีความเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชน ในขณะที่เครือข่ายลุ่มน้ำในภาคอีสานยังสนับสนุนรูปแบบในการจัดการน้ำของชุมชนที่เปิดให้ชุมชนเข้าถึงทรัพยากร ในการอนุรักษ์ และฟื้นฟูระบบนิเวศในแต่ละท้องถิ่นนั้นๆ
                      ขณะที่ ปัญญา คำลาภ จากสมาคมคนทาม กล่าวว่า สถานการณ์ในพื้นที่ลุ่มน้ำมูล ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม 2558 ก็เริ่มมีการขุดลอกแม่น้ำมูลในเขตอำเภอราษีไศล ซึ่งชาวบ้านและคนในพื้นที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆ ก็มีรถแม็คโคร มีรถขนเครื่องจักรกลหนักจากผู้รับเหมาลงมา แล้วก็มาลุยกันเลย โดยที่เทศบาล อบต. ผู้ใหญ่บ้าน อำเภอ ไม่รู้เรื่อง ชาวบ้านก็เลยเกิดคำถามว่าใครมาทำอะไร ? เพราะมันเกิดผลกระทบโดยตรงกับชาวบ้าน
                      เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าทรัพยากรธรรมชาติริมฝั่งถูกทำลายโดยเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ จากริมฝั่งทามที่เคยอุดมสมบูรณ์ มีป่าบุ่งป่าทามเป็นแหล่งหาอยู่หากินของคนในพื้นที่ หาของป่า หาไข่มดแดง หามันแซง หาหน่อไม้ และที่สำคัญยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา ปลาจากแม่น้ำมูลจะอุดมสมบูรณ์มากเพราะว่ามีระบบนิเวศชายฝั่งที่ปลาทุกชนิดอยู่ได้ มีการวางไข่ มีการหาอาหาร แต่พอโครงการทำเสร็จแล้วจะเห็นว่าทุกอย่างโล่งเตียน แล้วที่แปลกประหลาดก็คือมีป้ายโปรดรักษาป่าชุมชน แต่มีการเผา มีการโค่นต้นไม้ลง และไม่เห็นมีใครออกมารับผิดชอบกับปัญหาที่เกิดขึ้น คิดดูถ้ามีพ.ร.บ.น้ำโดยให้อำนาจการจัดการอยู่ที่รัฐออกมาบังคับใช้อะไรจะเกิดขึ้น
                      ด้าน อกนิษฐ์ ป้องภัย กรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคอีสาน กล่าวว่า แนวโน้มการบริหารจัดการน้ำของรัฐเชื่อว่าจะพัฒนาเป็นแหล่งเก็บน้ำเพื่อตอบสนองการขยายตัวของเมือง เกษตรกรรมรายใหญ่ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และภาคอุตสาหกรรม เพราะว่าแนวโน้มการพัฒนาประเทศมันจะเป็นแบบนั้น ดังนั้น การขุดลอกริมฝั่งแม่น้ำก็เพื่อให้แหล่งน้ำมันกว้างขึ้น เก็บน้ำได้เยอะขึ้น อันนี้ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ภาคประชาชนเป็นกังวลในเรื่องของการให้อำนาจรัฐที่มีมากเกินไป
                      เพราะฉะนั้นจะต้องให้อำนาจแก่ประชาชนที่จะออกแบบว่าจะแบ่งน้ำอย่างไรให้เหมาะสมกับความต้องการของประชาชนด้วย และในร่าง พ.ร.บ.น้ำ (ฉบับกรมทรัพยากรน้ำ) จะพูดไม่ค่อยชัดในเรื่องของสิทธิในการใช้น้ำ ยังไม่มีการลงรายละเอียด แต่ในส่วนของภาคประชาชนจะให้ประชาชนมีสิทธิในการที่จะพิจารณาว่าจะแบ่งน้ำอย่างไร? จะทำอย่างไรถึงจะไม่มีผลกระทบกับสิทธิชุมชน เช่น กรณีของแม่น้ำมูล สิทธิของประชาชนระบุไว้ชัดเจนเลยว่า ให้มีสิทธิร่วมพิจารณาว่าโครงการนี้มีผลกระทบกับสิทธิชุมชน แล้วก็เสนอเรื่องราวร้องทุกข์ และรับแจ้งผลพิจารณาได้เลยในกฎหมายภาคประชาชน
                      ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป ว่าข้อเสนอของภาคประชาชนอีสานจะได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากน้อยแค่ไหน หาไม่แล้วก็ยากที่จะซื้อใจประชาชนได้ อย่างดีก็ถูกข้าราชการหลอกให้เห็นดีเห็นงามไปวันๆ เท่านั้น
———————–
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : เสียงเพรียกเครือข่ายลุ่มน้ำอีสาน ถอนร่าง พ.ร.บ.น้ำ (ฉบับกรมทรัพย์ฯ) : โดย…เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำอีสาน)

‘พอช.’ สนับสนุน ‘ชุมชนจัดการตนเอง’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/220185

การศึกษา-สาธารณสุข  :  10 ม.ค. 2559

‘พอช.’ สนับสนุน ‘ชุมชนจัดการตนเอง’

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ก้าวที่เห็นค่าวิถีชีวิตสิ่งแวดล้อม ‘พอช.’ สนับสนุน ‘ชุมชนจัดการตนเอง’ : โดย…สุวัฒน์ คงแป้น

                      สังคมไทย ตั้งแต่อดีตกาลเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับความเป็นชุมชนหมู่บ้าน ความเป็นญาติมิตร ช่วยเหลือเกื้อกูล ซึ่งเป็นน้ำใจที่งดงาม เปี่ยมด้วยความรักและมีไมตรีให้กันและกัน
                      วิถีไทยเช่นนี้ เกิดจากผู้คนในหมู่บ้านได้ร่วมกันบ่มเพาะ จนหยั่งรากลึกเป็นเสาหลักของชุมชนหมู่บ้านที่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นวิถีการผลิตที่เป็นไปเพื่อการพึ่งตนเอง และเอื้อต่อธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านที่งดงาม แฝงไปด้วยภูมิปัญญาของคนท้องถิ่น มีเอกลักษณ์เฉพาะ ตลอดจนความเชื่อที่เต็มไปด้วยอุบายให้ผู้คนมีความรักต่อกันและเอื้อต่อธรรมชาติรอบๆ ตัว
                      แต่การพัฒนาประเทศที่มุ่งเน้นการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจกว่า 50 ปี เป็นต้นมา ได้บ่อนทำลายสังคมและวัฒนธรรมชุมชนที่ดีงาม การผลิตแบบพอเพียง และเอื้อต่อธรรมชาติ ถูกเปลี่ยนไปสู่การผลิต เพื่อการค้าที่ต้องพึ่งปัจจัยภายนอก มีการใช้สารเคมี รุกที่สาธารณะ เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิต ในขณะที่ราคาผลผลิตก็ถูกกำหนดมาจากภายนอก ในที่สุดก็เข้าสู่ภาวะล้มละลาย ความรู้เดิมหายไร้ที่พึ่งพิง
                      ในปี พ.ศ. 2548 เครือข่ายองค์กรชุมชนทั่วประเทศ จึงได้ร่วมกันคัดเลือกพื้นที่นำร่องในการฟื้นฟูชุมชนท้องถิ่น โดยการนำเอาประสบการณ์งานพัฒนาที่ชุมชนทำอยู่แล้ว มาคิดใหม่แบบบูรณาการเน้นการสร้างความเข้มแข็งที่ฐานราก โดยใช้ “พื้นที่” เป็นตัวตั้ง ใช้แผนแม่บทชุมชนเป็นเครื่องมือ มีองค์กรชุมชนเป็นแกนกลาง ภาคีท้องถิ่นและหน่วยงานรัฐร่วมสนับสนุน เพื่อให้ชุมชนสามารถปรับตัว กำหนดวิถีชีวิตของตนเอง และพึ่งตนเองได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยมุ่งเน้นพัฒนา 4 ส่วน อย่างบูรณาการ
ฟื้นฟูภูมิปัญญาพัฒนาอุดมการณ์ท้องถิ่น
                      ปัจจุบันความคิดและความเชื่อของคนในท้องถิ่นได้เปลี่ยนไป จากที่เคารพธรรมชาติ ก็หันมาทำลาย เห็นธรรมชาติเป็นทุน จากที่เคยเคารพและปฏิบัติตามความคิดความเชื่อของคนเฒ่าคนแก่ อันเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่แสดงออกทางวัฒนธรรม ประเพณี จนกลายเป็นวิถีชีวิตที่ดีงาม กลับละเลยไม่ใส่ใจใฝ่หา จนทำให้ชุมชนขาดราก ขาดอุดมการณ์ของท้องถิ่น หลงใหลไปตามกระแสทุนนิยม ที่ไหลบ่าถาโถมเข้ามาอย่างเชี่ยวกราก
                      ดังนั้น ภารกิจอันสำคัญอย่างหนึ่งของการฟื้นฟูชุมชนท้องถิ่นก็คือ ชุมชนต้องร่วมกันฟื้นฟูภูมิปัญญา สร้างอุดมการณ์ของท้องถิ่นขึ้นมา เช่น การทำพิธีสืบชะตาดิน น้ำ ป่า และการจัดการน้ำในระบบเหมืองฝาย การทำพิธีบวชป่าของพี่น้องเครือข่ายป่าชุมชนทั่วประเทศ อันเป็นประเพณีความเชื่อ ที่แสดงออกซึ่งความเคารพเพื่อให้คนอยู่กับธรรมชาติอย่างพึ่งพาต่อกัน
ชุมชนจัดการและใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
                      ธรรมชาติกับมนุษย์จะต้องอยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพา แม้ชุมชนท้องถิ่นจะเข้าใจธรรมชาติอย่างลึกซึ้งละเอียดลออ มีการจัดการที่สอดคล้องเหมาะสม พึ่งพาอาศัยและไม่ทำลายระบบนิเวศ แต่โครงสร้างการจัดการทรัพยากรแบบรวมศูนย์หลายทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ชุมชนเกิดความขัดแย้ง ไม่สามารถเข้าถึงหรือถูกกีดกันออกจากฐานทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
                      การฟื้นฟูชุมชนท้องถิ่นจะเป็นจริงได้ จึงต้องร่วมกันฟื้นฟูความรู้เรื่องระบบนิเวศท้องถิ่นและปรับเปลี่ยนโครงสร้างการจัดการฐานทรัพยากรดิน น้ำ ป่า ชายฝั่ง ความหลากหลายทางชีวิต เพื่อให้ชุมชนมีสิทธิในการใช้ประโยชน์และมีหน้าที่ดูแลรักษาได้อย่างยั่งยืน เช่น การฟื้นฟูพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำเชียงของ จังหวัดเชียงราย ในลักษณะที่ชุมชนผู้ใช้ประโยชน์เป็นหลักในการจัดการ
“พออยู่พอกิน” บนศักยภาพระบบนิเวศ
                      หัวใจสำคัญของการผลิต ต้องเป็นระบบที่สอดคล้องกับระบบนิเวศ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการป่าชุมชน เพื่อคนอยู่ร่วมกับป่า การเปลี่ยนวิถีไปสู่การเกษตรกรรมยั่งยืน ที่ไม่พึ่งการตลาด แต่เน้นระบบแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ตลอดจนการพัฒนาระบบตลาดที่เป็นของชุมชนการนำวัสดุในท้องถิ่นมาผลิต เพื่อใช้และแบ่งปัน ซึ่งระบบเช่นนี้อยู่คู่กับสังคมไทยมาตั้งแต่อดีตกาล
                      แต่การพัฒนาที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนนโยบายการพัฒนาที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชุมชนได้กลายเป็นสาเหตุให้คนมุ่งนำทรัพยากรไปเปลี่ยนเป็น “เงิน” จนเกินขีดที่ธรรมชาติจะรองรับได้ เกิดปัญหาความขัดแย้ง แย่งชิงทรัพยากรในหลายๆ พื้นที่
ขาดความสัมพันธ์ก็ขาดความเอื้ออาทร
                      ปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะนำพาชุมชนไปสู่ความอยู่ดีมีสุขได้ก็คือ ความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชน ซึ่งชุมชนไทยในอดีตจะมีฐานเครือญาติที่เข้มแข็ง มีระบบการนับถือผู้อาวุโสในชุมชน พัฒนาไปสู่ผู้นำตามธรรมชาติด้านต่างๆ เช่น ผู้นำศาสนาเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ปราชญ์ชาวบ้านเป็นผู้นำทางความคิด หมอเมือง แม่จ้าง เป็นต้น ซึ่งลักษณะเช่นนี้ไม่เพียงทำให้ผู้คนในชุมชนมีเสาหลักเท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาขยายออกไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ เช่น การเกิดกลุ่มองค์กรต่างๆ กลุ่มเยาวชน กลุ่มผู้เฒ่าผู้แก่ กลุ่มที่สร้างความสัมพันธ์ของคนต่างวัย กลุ่มและบุคคลเหล่านี้ได้ร่วมกันสร้างความคิด ความเชื่อพัฒนาไปสู่ระบบชุมชนแห่งความเอื้ออาทรและเกื้อกูลกัน
                      และนี่คือแนวคิด ทิศทางการฟื้นฟูชุมชนท้องถิ่นเป็นกระบวนการพัฒนาแนวใหม่ ที่ชุมชนเป็นแกนหลัก เป็นการบูรณาการทุนทุกประเภทในชุมชนมาทำงานร่วมกัน โดยใช้แผนชีวิต ชุมชนเป็นเครื่องมือ รู้เท่าทันกระแสโลกที่เปลี่ยนไป และรู้จักใช้เทคโนโลยีอย่างเลือกสรร ปรับโครงสร้างการพัฒนาให้ชุมชนและท้องถิ่นเป็นผู้กำหนดการพัฒนาได้มากขึ้น และเป็นบ่อเกิดของอุดมการณ์ พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 ที่ชาวบ้านได้ร่วมกันผลักดันขึ้น เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนพัฒนาชุมชนท้องถิ่นร่วมกันของทุกภาคส่วน
                      โดยตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน หรือ พอช. ได้สนับสนุนให้เครือข่ายองค์กรชุมชนใช้สภาองค์กรชุมชน เป็นเครื่องมือเชื่อมโยงทุกภาคส่วนระดับตำบล หรือจังหวัดหรือภูมินิเวศ นำปัญหามานั่งพูดคุยและวางแผนพัฒนาเพื่อกำหนดอนาคตของชุมชนท้องถิ่น
                      ดังนั้น การที่ภาคประชาสังคม หรือภาคประชาชนจะกำหนดอนาคตของชุมชนท้องถิ่นได้ จำเป็นจะต้องมีหลักเป็นของตนเอง คือ ทำงานเพื่อประชาชน โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในพื้นที่ มีองค์กรของภาคประชาชนใช้สภาองค์กรชุมชน ซึ่งเป็นองค์กรที่มีสถานะตามกฎหมาย ทำหน้าที่เชื่อมโยงภาคีพัฒนาต่างๆ มาทำงานร่วมกัน ให้เกิดกลไกของภาคประชาชนที่กว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่การจัดการทำข้อมูลที่จะนำไปสู่การวางแผนพัฒนาชุมชนท้องถิ่น
                      “พอช.” ให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งองค์กรชุมชน โดยสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาที่ใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง ใช้สภาองค์กรชุมชนเชื่อมโยงภาคีพัฒนาต่างๆ ให้เกิดเวทีกลางที่ทุกภาคส่วนมาทำงานร่วมกัน เป็นเวทีที่เป็นของคนในพื้นที่ นำปัญหามาแก้ปัญหาร่วมกันบนประโยชน์ของคนในพื้นที่ ซึ่งหากประชาชนมีตัวตนชัดเจน ก็จะเป็นแนวทางที่องค์กรเข้ามาสนับสนุนได้ตรงกับสิ่งที่ชุมชนต้องการ สิ่งเหล่านี้จะทำให้หน่วยงานสนับสนุนต่างๆ จากส่วนกลางและท้องถิ่นต้องเดินเข้าไปหาประชาชน เสนอแผนงานของตนเองให้สอดคล้องกับแผนของประชาชน
                      ด้วยแนวคิด อุดมการณ์ และการดำเนินงานเช่นนี้จึงเกิด “ชุมชนจัดการตนเอง” และเป็นนัยสำคัญที่จะก้าวไปสู่ความเข้มแข็งของการเมืองภาคพลเมือง การเมืองที่จะกำหนดอนาคตของประเทศอย่างแท้จริง
———————
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ก้าวที่เห็นค่าวิถีชีวิตสิ่งแวดล้อม ‘พอช.’ สนับสนุน ‘ชุมชนจัดการตนเอง’ : โดย…สุวัฒน์ คงแป้น)

ทาง(เลือก)รอด..การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ‘แม่กำปอง’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151213/218452.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2558
ทาง(เลือก)รอด..การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ 'แม่กำปอง'

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ทาง(เลือก)รอด..การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ‘แม่กำปอง’ : โดย…ธนชัย แสงจันทร์

                      ชุมชนบ้านแม่กำปอง อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ เป็นอีกชุมชนที่มีความโดดเด่นในเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และวิถีชุมชน เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้ เต็มไปด้วยต้นทุนทางทรัพยากรธรรมชาติที่รายล้อม ทั้งเสียงน้ำตกและลำธารที่ไหลผ่าน แมกไม้อันเขียวขจี และไม้ดอกนานาพรรณที่ชูช่อชวนให้ชื่นชมตลอดสองข้างทาง สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่สร้างบรรยากาศแห่งการท่องเที่ยวและชวนให้ผู้ที่มาพบเห็น จะแชะ แชร์ ส่งต่อโซเชียลก็ทำได้
                      จากต้นทุนที่มีอยู่เดิมชุมชนบ้านแม่กำปอง จึงเปลี่ยนวิถีชีวิตดั้งเดิม จากการเก็บใบเมี่ยง เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ให้บริการบ้านพักแบบโฮมสเตย์ กระทั่งกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อและสร้างชื่อเสียง สร้างรายได้ให้แก่คนในหมู่บ้านและด้วยมนต์เสน่ห์บ้านแม่กำปอง ประกอบกับ “กระแสโซเชียล” ทำให้นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ แวะเวียนมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก เกิดการท่องเที่ยวตามกระแส
                      บางครั้งบางคราวนักท่องเที่ยวก็มามากจนเกินจะตั้งรับไหว กระทั่งเกิดปัญหาในเรื่องการจัดการตามมา อย่างเช่น ช่วงวันที่ 23 ตุลาคม ที่ผ่านมา เส้นทางขึ้นแม่กำปองตลอดความยาว 10 กิโลเมตร เต็มไปด้วยรถยนต์ของนักท่องเที่ยว สถานที่ต่างๆที่จัดเตรียมไว้รองรับไม่เพียงพอ สร้างวิกฤติให้แก่ชุมชนและนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก นี่ถือเป็นเรื่องน่าตกใจ และเป็นปัญหาใหม่ของชาวบ้าน
                      ปัญหาที่เกิดขึ้นจะแก้ไขอย่างไรต่อไป เพราะฤดูกาลท่องเที่ยวของภาคเหนือก็มาถึงแล้ว… ?
                      อดีตพ่อหลวง(ผู้ใหญ่บ้าน) ชุมชนบ้านแม่กำปอง ธีรเมศว์ ขจรรัตนภิรมย์ (พรมมินทร์ พวงมาลา) กล่าวถึงทางออกว่า เพื่อป้องกันปัญหารถติดในช่วงวันหยุดยาว เช่น ช่วงเดือนธันวาคม และหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ ทางคณะกรรมการหมู่บ้านและองค์การบริหารส่วนตำบลได้มีการหารือร่วมกันและวางแผนในการแก้ปัญหา คือ เตรียมเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน อาสาสมัครกว่า 20 นาย ช่วยกันจัดการจราจร และจอดรถในสถานที่ต่างๆ ที่เตรียมไว้ให้ เช่น โรงเรียนบ้านแม่กำปอง ลานวัดแม่กำปอง และโครงการหลวงตีนตก หากจำนวนรถมากเกินกว่าที่จัดเตรียมไว้ก็จะอนุโลมให้จอดตามไหล่ทาง
                      “ต้องยอมรับว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากจนเกิดความต้องการ ได้สร้างความหนักใจให้แก่ชาวบ้าน ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากการเผยแพร่ผ่านสื่อในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ รวมทั้งสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นสื่อใหม่ที่ปลุกกระแสการท่องเที่ยวได้ดีเกิดคาด” อดีตพ่อหลวงชุมชนบ้านแม่กำปอง เล่า
                      ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะสั้น ส่วนการแก้ปัญหาในระยะยาว อดีตพ่อหลวงเล่าว่าจะให้น้ำหนักไปที่การจัดการท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมและยั่งยืน โดยการสร้างภูมิคุ้มกันการท่องเที่ยวชุมชนด้วยงานวิจัย เพราะปัญหาการท่องเที่ยวมีต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2543 ที่บ้านแม่กำปองหันมาเปิดเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และให้บริการบ้านพักแบบโฮมสเตย์ ปัญหาในเรื่องของการจัดการท่องเที่ยวก็เกิดขึ้น ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้เข้าไปชักชวนชาวบ้านในพื้นที่ ให้ทำการศึกษาวิจัยการจัดการการท่องเที่ยวที่ถูกต้อง ที่เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน
                      ด้วยกระบวนการวิจัย ทำให้เกิดชุดความรู้ในการแก้ไขปัญหา ในระยะแรกของการดำเนินการท่องเที่ยวในชุมชน บ้านแม่กำปองเกิดปัญหาที่สำคัญ คือชาวบ้านไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการท่องเที่ยวหรือการพัก ผลประโยชน์ที่เปิดหมู่บ้านเป็นแหล่งท่องเที่ยว ไม่เห็นความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและวิถีชีวิตของตนเอง ไม่มีกฎระเบียบหรือมาตรการในการปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่เข้าใจการดูแลผลประโยชน์หรือผลตอบแทนที่ได้รับ
                      ต่อมาชาวบ้านได้ร่วมกันทำวิจัย ภายใต้โครงการวิจัย การศึกษารูปแบบการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บ้านแม่กำปอง อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ ประมาณปี 2544 โดยพ่อหลวงบ้านแม่กำปอง และทีมวิจัยชุมชน จากงานวิจัยนี้ ทำให้ชุมชนได้รูปแบบ แนวทางการปฏิบัติในการจัดการ การท่องเที่ยวโดยชุมชนมีส่วนร่วม และมีการกำหนดโปรแกรมการท่องเที่ยวที่เหมาะสม ตั้งกลุ่มการท่องเที่ยวขึ้นมาบริหารจัดการโดยคนท้องถิ่น และสามารถรับนักท่องเที่ยวได้อย่างเป็นระบบ รวมทั้งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
                      อย่างไรก็ตาม ช่วงปี 2550-2551 การท่องเที่ยวในชุมชนยังพบว่ามีปัญหาและความต้องการหลายอย่างของชุมชน ที่เป็นผลกระทบจากการท่องเที่ยว ทำให้หมู่บ้านเริ่มพัฒนาถนนคอนกรีต ทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้นและคนภายนอกเข้ามาซื้อที่ดินเป็นที่อยู่อาศัย นำไปสู่ปัญหานายทุนภายนอกเข้ามาลงทุนประกอบกิจการท่องเที่ยวในชุมชน ไม่ยอมรับกฎกติกาของชุมชน ทำให้เกิดปัญหาในการจัดการท่องเที่ยวของชุมชน ในขณะที่ชาวบ้านบางกลุ่มก็ไม่เข้าใจเรื่องการท่องเที่ยว
                      สำหรับปัญหาดังกล่าว ชุมชนบ้านแม่กำปอง ได้ค้นหาวิธีการแก้ไขโดยใช้ฐานคิดจากงานวิจัยเพื่อหาคำตอบร่วมกัน นั่นคือโครงการวิจัย เรื่อง “การค้นหาแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนผ่านการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน บ้านแม่คำปอง อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่” โดย พรมมินทร์ พวงมาลา ผู้ใหญ่บ้านบ้านแม่กำปองและทีมวิจัยชุมชน
                      ทั้งนี้ เพื่อให้ชุมชนมีเครื่องมือและกระบวนการในการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวรวมทั้งการรับมือกับสถานการณ์นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงเกิดการจัดทำโครงการวิจัยเรื่อง การจัดการขีดความสามารถในการรองรับของพื้นที่เพื่อการท่องเที่ยวโดยชุมชน : บ้านแม่กำปอง ปี 2557 โดย ดร.ฐิติ ฐิติจำเริญพร อาจารย์ประจำสาขาวิชาการจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยวภาควิชาอุตสาหกรรมบริการ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยพายัพ เป็นหัวหน้าโครงการร่วมกับทีมวิจัยชุมชนบ้านแม่กำปอง
                      อาจารย์ฐิติ ย้ำถึงแนวทางการปฏิบัติในการจัดการ การท่องเที่ยวโดยชุมชนว่า ด้วยกระบวนงานวิจัย ส่งผลให้ชาวบ้านแม่กำปองเกิดทักษะในการแก้ไขปัญหา และพร้อมรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ชาวบ้านแม่กำปองยังตระหนักถึงและเห็นพ้องต้องกันว่าควรหาแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะยาวจากการวิจัยเพื่อศึกษาและประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อชุมชน ในทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านกายภาพ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคมวัฒนธรรม และด้านสุขภาพ
                      โดยพัฒนากรอบแนวคิดการประเมินผลกระทบต่อชุมชนร่วมกับกลุ่มนักวิจัยที่เป็นนักวิชาการจากภายนอกชุมชน รวมไปถึงตัวแทนผู้ประกอบการท่องเที่ยว หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานสาธารณสุขของชุมชน เพื่อร่วมกันค้นหาแนวทางและรูปแบบการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อรองรับการท่องเที่ยวของชุมชนได้อย่างเป็นระบบ และสามารถดูแลจัดการพื้นที่เพื่อการท่องเที่ยวด้วยตนเองได้อย่างยั่งยืน
                      เมื่อชุมชนมีทางออก ทางรอดของการท่องเที่ยว และความยั่งยืนในอนาคตก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย
——————–
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ทาง(เลือก)รอด..การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ‘แม่กำปอง’ : โดย…ธนชัย แสงจันทร์)

แก้ปัญหาพนักงาน ‘ขสมก.’ ทางออกชีวิตเปื้อนฝุ่นสังคมเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151129/217643.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2558
แก้ปัญหาพนักงาน 'ขสมก.' ทางออกชีวิตเปื้อนฝุ่นสังคมเมือง

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : แก้ปัญหาพนักงาน ‘ขสมก.’ ทางออกชีวิตเปื้อนฝุ่นสังคมเมือง : โดย…จรีย์ ศรีสวัสดิ์ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล

                      จากสภาพปัญหาการจราจรที่เกิดขึ้นในเมืองกรุง ส่งผลให้หลายๆ อาชีพต้องทนทุกข์อยู่บนท้องถนนเป็นเวลานาน ต้องเผื่อเวลาในการเดินทาง หรือมีความเครียดสะสมระหว่างเดินทางอย่างมาก เฉกเช่นเดียวกับพนักงาน “ขสมก.” ที่ต้องทนทั้งมลภาวะทางอากาศ สภาพการจราจรที่แออัดรถติด การกลั้นปัสสาวะที่ยาวนาน เพราะกว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้นั้นต้องใช้เวลาเป็นอย่างมาก
                      สะท้อนได้จากเวทีนำเสนอ “ผลวิจัยสุขภาพของพนักงานองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ” ที่จัดขึ้นโดย แผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) และสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เมื่อเร็วๆ นี้ ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพฯ
                      อรพินธุ์ แทนทอง พนักงานสายตรวจพิเศษ ขสมก. เปิดเผยงานวิจัย “สุขภาพของพนักงาน ขสมก. ภายใต้โครงการสร้างเสริมสุขภาพของพนักงาน ขสมก.” จำนวน 1,243 ตัวอย่าง แบ่งเป็นเพศชาย 57.2% เพศหญิง 42.6% ระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2558 พบว่าพนักงาน ขสมก. มีภาระหนี้สินสูงถึง 85% โดยมีแหล่งเงินกู้ในระบบ เช่น ธนาคาร สหกรณ์ออมทรัพย์ นอกจากนี้ยังพบการทำงานล่วงเวลาเกินครึ่ง หรือ 65% ในเพศชาย และหญิง 62% ส่วนใหญ่เป็นพนักงานเก็บค่าโดยสาร พนักงานขับรถและพนักงานสายตรวจ ทำงานล่วงเวลา 2 ชั่วโมงขึ้นไป ทั้งนี้ปัญหาจากการทำงานที่พบคือ กินข้าวไม่เป็นเวลา รองลงมา อยู่บนรถนาน ยืนนาน นอนไม่เป็นเวลา ที่น่าห่วงคือ ต้องกลั้นปัสสาวะและอุจจาระ เพราะไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำ รวมถึงมีอาการเครียด อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า พักผ่อนไม่เพียงพอ
                      “งานวิจัยพบว่า พนักงานหญิงบางรายต้องเผชิญปัญหาการคุกคามทางเพศขณะเก็บค่าโดยสาร เช่น ถูกแตะเนื้อต้องตัว ลวนลามด้วยสายตา สำหรับพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ พบว่าพนักงานชาย 28% สูบบุหรี่เป็นประจำ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบในกลุ่มชาย 61% ผู้หญิง 35% เหตุผลที่ดื่มเพราะต้องการสังสรรค์เข้าสังคมกับเพื่อน ขณะที่ชาย 48% นิยมดื่มเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อบำรุง อยากสดชื่น แก้ง่วง แก้อ่อนเพลีย น่าตกใจคือกลุ่มตัวอย่าง เกินครึ่งประสบปัญหามีโรคประจำตัว หญิง 58% และชาย 63% โรคที่พบมากที่สุด คือความดันโลหิตสูง 24.55% เบาหวาน 18.25% ไขมันในเลือดสูง 13.7% และอื่นๆ เช่น แพ้อากาศ ไข้หวัด ปวดหลัง ปวดข้อเข่า ปวดขา ปวดกล้ามเนื้อ โรคกระเพาะ อาหารเป็นพิษ ซึ่งพนักงานกว่า 22% ไม่ได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี” นางอรพินธุ์ ระบุ
                      อรพินธุ์ กล่าวสรุปได้ว่า จากสภาพการทำงานที่ตรากตรำส่งผลต่อสุขภาพของพนักงานในหลายด้าน น่าตกใจคือปัญหาการมีโรคประจำตัว การกินอาหารไม่เป็นเวลา นอนไม่เป็นเวลา เหนื่อยล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ และอาการทางร่างกายจากการที่ต้องนั่งหรือยืนอยู่บนรถเมล์นานๆ และที่สำคัญคือการที่พนักงานต้องกลั้นปัสสาวะและอุจจาระเป็นประจำ เพราะสภาพการจราจรที่ติดขัดและเส้นทางเดินรถที่มีระยะทางไกล รวมทั้งการที่ท่ารถบางแห่งยังมีห้องน้ำไม่เพียงพอ รวมไปถึงปัญหาอื่นๆ ที่พนักงานเจอ เช่น การถูกคุกคามทางเพศ โดยกลุ่มที่เจอปัญหานี้มากที่สุดคือพนักงานเก็บค่าโดยสารหญิง อีกทั้งจำนวนไม่น้อยยังมีปัญหาหนี้สินที่เป็นภาระพอสมควร
                      อรพินธุ์ ระบุข้อเรียกร้องเพื่อเสนอการปรับปรุงระบบสวัสดิการของพนักงาน เตรียมยื่นต่อ ขสมก. ได้แก่ 1.จัดสวัสดิการจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล เพื่อลดภาระที่พนักงานต้องหาเงินมาสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลในยามที่เจ็บป่วย 2.ปรับปรุงระบบการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อให้พนักงานได้รับบริการอย่างทั่วถึง เพราะปัจจุบันการตรวจสุขภาพประจำปีที่ ขสมก.จัดให้ยังมีระยะเวลาจำกัด ทำให้พนักงานที่ต้องเข้ากะทำงานในเวลาที่มีการตรวจสุขภาพต้องเสียโอกาส 3.จัดร้านค้าสวัสดิการที่ขายอาหารที่มีคุณภาพดีและราคาถูก รวมทั้งจัดน้ำดื่มสะอาดให้เพียงพอในทุกจุดที่มีพนักงาน และจัดสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม รวมถึงการจัดให้มีห้องน้ำตามอู่รถเมล์อย่างเพียงพอ 4.จัดกิจกรรมส่งเสริมการออกกำลังกายแก่พนักงาน 5.จัดอบรมให้ความรู้เรื่องการบริหารจัดการหนี้สินแก่พนักงาน และ 6.สร้างอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ให้พนักงานนอกเวลาทำงานหรือในวันหยุด
                      ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ อธิบายว่า การมีแผนงานฯ สนับสนุนงานวิจัยชิ้นนี้เนื่องจากเห็นถึงปัญหาที่พนักงานขสมก.ต้องเผชิญ จากนั้นจึงเกิดความร่วมมือกับหลายฝ่าย ดึงศักยภาพพนักงานขสมก.ตั้งแต่คนขับรถ พนักงานกระเป๋า พนักงานตรวจตั๋ว มาร่วมเป็นทีมวิจัยลงพื้นที่สำรวจทุกเขตทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้อยู่บนพื้นฐานความรู้ และมีทีมนักวิชาการมาช่วยเป็นที่ปรึกษา จนนำมาสู่การประมวลผลร่วมเกิดผลงานที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้น และสามารถต่อยอดนำไปสู่การแก้ปัญหา เกิดกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งเราตั้งเป้าให้ขสมก.เป็นองค์กรต้นแบบในด้านสุขภาพ ซึ่งประโยชน์ทั้งหมดจะตกอยู่ที่พนักงานขสมก.ทุกคน อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นนี้จะช่วยเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนระหว่างฝ่ายบริหารกับพนักงานเพื่อหาทางออกร่วมกัน เพราะสิ่งที่ยังห่วงใยคือ การทำงานเกิน 8 ชั่วโมง ปัญหาห้องน้ำไม่เพียงพอของพนักงาน
                      รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล นักวิชาการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม กล่าวในฐานะที่ปรึกษางานวิจัยชิ้นนี้ว่า จะช่วยพัฒนาศักยภาพของคนทำงานขสมก.ให้ได้มีบทบาทเชื่อมประสานสู่การทำงานวิจัยโดยนำเสนอข้อมูลที่เป็นปัญหาออกมาสู่สาธารณะ อย่างไรก็ตาม สภาพรถติด เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพนักงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งต้องทำงานเกินเวลา กระทบต่อสุขภาพ เกิดความเครียด กินนอนไม่เป็นเวลา ประสบปัญหาขับถ่ายและกลั้นปัสสาวะ หนี้สินล้นพ้น ขณะเดียวกันคนขับรถ พนักงานกระเป๋ายังต้องรับผิดชอบชีวิตผู้โดยสาร ซึ่งในต่างประเทศไม่มีสภาพปัญหาจราจรที่หนักกระทบต่อพนักงานแบบนี้ ซึ่งสะท้อนสภาพเมืองที่ไม่เอื้ออำนวยต่อคุณภาพชีวิต อาชีพนี้จึงไม่มีทางเลือกต้องใช้ชีวิตด้วยความเสี่ยงตลอดเวลา อีกทั้งส่งผลกระทบต่อคนระดับกลาง ระดับล่าง หากไม่รีบแก้ไขจะกระทบต่อทุกๆ อาชีพเป็นวงกว้าง
                      ขณะที่ ธนพร ลวดลายทอง หัวหน้ากลุ่มงานพัฒนาระบบสวัสดิการ ขสมก. เห็นว่า เป็นการสะท้อนปัญหาด้านสุขภาพ หลังจากนี้เมื่อได้บทสรุปจะร่างเป็นแผนและเร่งนำเสนอต่อผู้บริหารเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในขสมก.ให้พนักงานมีสุขภาพดีขึ้น สามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมาผู้บริหารได้มีความห่วงใย สนใจตอบรับในเรื่องสุขภาพ ขณะเดียวกันพนักงานก็มีความกระตือรือร้น อย่างน้อยงานวิจัยชิ้นนี้ทำให้ผู้บริหารรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริง สามารถนำไปสู่การแก้ไขที่ตรงจุด และอาจเกิดการผลักดันให้ขสมก.เป็นองค์กรตัวอย่างด้านสร้างเสริมสุขภาพ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้เน้นให้พนักงานและผู้บริหารเกิดความตระหนัก เห็นความสำคัญ มีส่วนร่วมสร้างเสริมสุขภาพ รวมถึงออกแบบวางแผนกิจกรรมในพื้นที่นำร่องต่อไป
                      จากการสะท้อนปัญหาผ่านเวทีครั้งนี้ ท้ายที่สุดจะนำมาสู่การแก้ไขที่ยั่งยืน เพื่อให้ชีวิตพนักงานขสมก.ได้มีสิทธิสวัสดิการด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเขา รวมถึงจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการต่อยอดเรียกร้องสิทธิกับอาชีพอื่นๆ อีกหลายสาขาอาชีพที่ยังมีผลกระทบไม่ต่างจากอาชีพนี้ !!!
——————–
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : แก้ปัญหาพนักงาน ‘ขสมก.’ ทางออกชีวิตเปื้อนฝุ่นสังคมเมือง : โดย…จรีย์ ศรีสวัสดิ์ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล)

แก้น้ำเน่าคลองลาดพร้าว-บางซื่อ ฟื้นคุณภาพชีวิต-เศรษฐกิจชุมชน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151122/217259.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน 2558
แก้น้ำเน่าคลองลาดพร้าว-บางซื่อ ฟื้นคุณภาพชีวิต-เศรษฐกิจชุมชน

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : แก้น้ำเน่าคลองลาดพร้าว-บางซื่อ ฟื้นคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจชุมชน : โดย…สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)

                      “ผมมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่อายุได้ 10 ขวบ เมื่อก่อนยังว่ายน้ำในคลอง ใช้น้ำในคลองซักเสื้อผ้า ชาวบ้านยังตักน้ำในคลองใส่ตุ่ม ใช้สารส้มแกว่งแล้วเอามาใช้ในบ้านได้ ปลายังมีเยอะ ทั้งปลาตะเพียน ปลาหลด ปลากระทิง ปลากรายขนาดตัวละ 5-6 โลยังมี กุ้งก้ามกรามลงไปงมตามตลิ่งหาได้ง่าย เรือพายขายกล้วยอ้อย ขายขนมมีหลายลำ ช่วงลอยกระทงก็จะสนุกสนานกันทั้งคลอง”
                      ลุงวาทิน รักสุวรรณนิมิต วัย 67 ปี ชาวบ้านริมคลองใกล้วัดลาดพร้าว เขตห้วยขวาง เล่าวิถีชีวิตชาวบ้านในคลองลาดพร้าวย้อนหลังไปเมื่อ 40-50 ปีก่อน
                      เช่นเดียวกับ ลุงสำเนียง บุญลือ วัย 61 ปี แกนนำชาวบ้านชุมชนพิบูลร่วมใจ 2 คลองลาดพร้าว บอกว่า “เมื่อก่อนตอนเช้า ตื่นมานุ่งผ้าขาวม้าลงไปอาบน้ำแปรงฟันในคลองได้เลย แต่ทุกวันนี้คงไม่มีใครกล้า กลัวจะตาบอด แต่เด็กๆ ก็ยังลงไปเล่นน้ำในคลองอยู่นะ ถ้าฟื้นฟูคลองขึ้นมาได้ก็จะดี ชาวบ้านก็มีแผนที่จะเดินเรือในคลอง เรือท่องเที่ยว และทำตลาดน้ำอยู่แล้ว”
                      ก่อนที่เมืองจะขยายตัว ริมคลองลาดพร้าวเคยมีโรงสีเล็กรับซื้อข้าวอยู่ 2 โรง เพราะพื้นที่รอบๆ ยังเป็นทุ่งนา ชาวบ้านดั้งเดิมยังทำนาเป็นอาชีพหลัก แม่ของลุงสำเนียงเมื่อก่อนก็ยังทำนา แต่มาเลิกราไปเมื่อราวปี 2518 เพราะความเจริญเริ่มคืบคลานเข้ามา ที่ดินราคาแพงขึ้น ทุ่งนาจึงกลายเป็นที่ดินจัดสรรและเป็นหมู่บ้าน โรงสีข้าวจึงพลอยหายไปด้วย
                      ส่วนสภาพน้ำในคลองเริ่มเน่าเสียตั้งแต่ปี 2528-2529 เพราะเมืองเริ่มขยายตัว มีตึกแถว ร้านค้า มีตลาดสด โรงนวด ฯลฯ รวมทั้งท่อระบายน้ำทิ้งของ กทม.ก็ปล่อยลงคลองโดยไม่มีการบำบัด นานวันเข้าน้ำในคลองก็เน่าเหม็นเป็นสีดำ กุ้ง ปลาจึงหายไป
                      คลองลาดพร้าว มีความยาวทั้งหมดประมาณ 22 กิโลเมตร เชื่อมกับคลองแสนแสบบริเวณชุมชนพระราม 9 ตัดผ่านถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ผ่านชุมชนประชาอุทิศ-ลาดพร้าว 80-พิบูลร่วมใจ 2-สะพานสอง- วัดลาดพร้าว-วังหิน-บางบัว-คลองสอง-สะพานใหม่-คลองถนน (เขตสายไหม) ไปเชื่อมกับคลองต่างๆ ที่แยกมาจากคลองรังสิตได้
                      ส่วน คลองบางซื่อ ที่เชื่อมกับคลองลาดพร้าว มีปากคลองอยู่ที่แม่น้ำเจ้าพระยา ไหลผ่านสามเสน- เกียกกาย-บางซื่อ เข้ามาในเขตห้วยขวางและเชื่อมกับคลองลาดพร้าวบริเวณใกล้วัดลาดพร้าว
                      ปัจจุบันสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร มีโครงการสร้างเขื่อนคอนกรีตเพื่อป้องกันน้ำท่วมในคลองลาดพร้าว คลองบางซื่อ และคลองเปรมประชากรที่อยู่ใกล้เคียงกัน ซึ่งขณะนี้ได้บริษัทที่รับเหมางานแล้วในวงเงินประมาณ 1,600 ล้านบาท คาดว่าจะเซ็นสัญญาและเริ่มก่อสร้างได้ภายในเดือนธันวาคม 2558
                      ส่วนแผนการรองรับชาวบ้านที่จะต้องรื้อย้ายบ้านเรือนให้พ้นแนวเขื่อน รัฐบาลได้มอบหมายให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช.เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องที่อยู่อาศัยของชาวบ้านตามแนวทางบ้านมั่นคง โดยการจัดผังชุมชนใหม่และสร้างที่อยู่อาศัยในที่ดินเดิม หรือกรณีที่ดินเดิมไม่พออาจจัดซื้อที่ดินใหม่ หรือหาที่อยู่อาศัยของการเคหะฯ มารองรับ
                      อย่างไรก็ดี ก่อนที่โครงการก่อสร้างเขื่อนจะเข้ามา ในช่วงปี 2555 ภายหลังจากมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ผู้นำชาวบ้านในคลองลาดพร้าวและบางซื่อร่วมกับหลายฝ่ายที่เกี่ยว ทั้งราชการและเอกชน ผู้เชี่ยวชาญปรึกษาหารือกันเรื่องการฟื้นฟูคลองลาดพร้าวและคลองบางซื่อที่อยู่ในเขตห้วยขวาง โดยมีการสำรวจคลองเพื่อนำข้อมูลมาวางแผนการพัฒนาและฟื้นฟูคลอง
                      ต่อมาในปี 2557 จึงเริ่มมีการฟื้นฟูคลองบางซื่อขึ้นมา เช่น มีการจัดพิธีบวชคลอง มีการปลูกหญ้าแฝกลงในลำคลองเพื่อให้รากแฝกช่วยกรองน้ำเสีย และทำน้ำหมักจุลินทรีย์แล้วเทลงในคลองเพื่อให้จุลินทรีย์บำบัดน้ำเสีย จนถึงปัจจุบันนี้น้ำในคลองบางซื่อช่วงถนนรัชดาภิเษกลงมาถึงชุมชนลาดพร้าวซอย 46 น้ำในคลองใสขึ้น มีปลาแหวกว่ายให้เห็น ต่างจากน้ำในคลองลาดพร้าวที่มีสีดำเหมือนโอเลี้ยง
                      ผศ.พงศ์พร สุดบรรทัด ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมและการวางผังเมือง ในฐานะประธานประชาคมเขตห้วยขวาง กล่าวว่า เขตห้วยขวางจะเป็นต้นแบบในการพัฒนาชุมชนและคลอง โดยตนจะเสนอให้สภาสถาปนิกเข้ามาพูดคุยกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯ คมนาคม และมหาดไทย เพื่อร่วมกับชาวบ้านพัฒนาชุมชนและคลองลาดพร้าวและคลองบางซื่อให้เป็นพื้นที่ตัวอย่าง เป็นเวนิสตะวันออกอย่างแท้จริง แม้ในวันนี้น้ำในคลองลาดพร้าวจะเน่าเสีย แต่ในวันข้างหน้าจะต้องมีโครงการบำบัดน้ำเน่าเสียอย่างแน่นอน เพราะในขณะนี้ กทม.ก็จะเริ่มโครงการบำบัดน้ำเน่าเสียในคลองแสนแสบแล้ว ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณเกือบ 7,000 ล้านบาท ดังนั้นคลองลาดพร้าวซึ่งเชื่อมกับคลองแสนแสบในอนาคตก็จะต้องแก้ปัญหาน้ำเน่าเสียด้วยเช่นกัน
                      “ถ้าหากคลองแสนแสบใสสะอาด คลองลาดพร้าวก็จะต้องใสด้วยเช่นกัน ซึ่งในต่างประเทศจะมีการบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงคลอง และต้องแยกท่อน้ำทิ้งออกจากท่อน้ำดี ซึ่งโครงการเขื่อนป้องกันน้ำท่วมของกทม.จะต้องไม่เป็นท่อระบายน้ำทิ้งเพียงอย่างเดียว และเราจะพัฒนาให้มีการเดินเรือเพื่อเชื่อมเส้นทางคมนาคมจากสะพานใหม่มาในคลองลาดพร้าว-คลองแสนแสบ และออกไปคลองพระโขนงได้ เพื่อเชื่อมกับรถไฟฟ้า หรือการคมนาคมทางบก คาดว่าภายในปีหน้าจะเริ่มการเดินเรือได้ โดยให้ชาวบ้านริมคลองมีส่วนร่วม”
                      จำรัส กลิ่นอุบล ผู้นำชุมชนลาดพร้าว 45 คลองลาดพร้าว กล่าวว่า ก่อนหน้านี้หลายปีเคยมีการเดินเรือในคลองลาดพร้าวจากสะพานใหม่ไปพระโขนง แต่ชาวบ้านไม่ได้มีส่วนร่วม ทั้งยังเกิดปัญหากับชุมชน เช่น เรือวิ่งเร็ว เสียงดัง คลื่นจากคลองกระแทกบ้านริมคลอง และเมื่อการเดินเรือในช่วงนั้นไม่ได้รับความนิยม บริษัทเอกชนที่มาวิ่งเรือจึงเลิกไป ซึ่งหากมีการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตในคลองแล้ว และจะมีการเดินเรือในคลองก็จะไม่มีผลกระทบกับบ้านที่อยู่ริมคลอง และจะสามารถเชื่อมการคมนาคมระหว่างถนนลาดพร้าวกับรถไฟฟ้าใต้ดินที่มีสถานีบริเวณถนนรัชดาภิเษกได้
                      “ทุกวันนี้ในชั่วโมงเร่งด่วนในถนนลาดพร้าวรถจะติดมาก และหากมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าในถนนลาดพร้าวขึ้นมาอีก การจราจรก็จะยิ่งเป็นอัมพาตขึ้นไปอีก เราจึงคิดแผนเรื่องการเดินเรือในคลอง ในระยะแรกอาจจะเป็นช่วงสั้นๆ จากสะพานสองหรือวัดลาดพร้าวไปเชื่อมกับคลองบางซื่อที่ถนนรัชดาภิเษกซึ่งมีรถไฟฟ้าใต้ดินอยู่แล้ว หรือจากคลองลาดพร้าวอาจเชื่อมไปยังคลองแสนแสบหรือเชื่อมต่อกับรถยนต์ที่ถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทราได้”  จำรัส เล่าด้วยว่า ตอนนี้ชาวบ้านมีเรือยนต์ที่สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ประมาณ 20-30 คน จำนวน 3 ลำ
                      “ส่วนในช่วงเทศกาลลอยกระทงปีนี้ เครือข่ายชุมชนในคลองลาดพร้าวและคลองบางซื่อได้ร่วมกันสืบสานประเพณีลอยกระทงและฟื้นฟูประโยชน์จากการใช้คลองขึ้นมา โดยจะมีการตักบาตรทางเรือ การแข่งพายเรือเล็ก การแห่กลองยาวทางเรือ การแสดงและการละเล่นต่างๆ ของชาวบ้านในวันที่ 22 พฤศจิกายน ที่คลองบางซื่อบริเวณซอยลาดพร้าว 42 และในวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่คลองลาดพร้าวบริเวณชุมชนร่วมใจพิบูล 2 จึงขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานครั้งนี้ด้วย” จำรัส กล่าว
                      กมลทิพย์ คงประเสริฐอมร นักวิชาการสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งนำคณะกว่า 10 คน มาสำรวจคลองลาดพร้าว-คลองบางซื่อ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา กล่าวว่า การมาสำรวจคลองเพื่อดูสภาพการใช้ประโยชน์จากคลองของชาวบ้าน และดูเรื่องท่อระบายน้ำทิ้งทั้งจากชุมชน โรงงาน ร้านค้า และท่อน้ำทิ้งของกทม. หลังจากนั้นจะจัดเวทีพูดคุยกับชาวบ้านในคลองลาดพร้าว-บางซื่อทั้ง 13 ชุมชนเพื่อดูความต้องการของชาวบ้านว่าต้องการพัฒนาคลองไปในแนวทางไหน อย่างไร
                      และหลังจากนั้นจึงจะนำแผนงานของหน่วยงานราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคลองมาบูรณาการร่วมกัน เพื่อจัดทำเป็นแผนการพัฒนาคลองสนับสนุนความต้องการของชาวบ้านต่อไป ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงทรัพยากรฯ ก็ได้จัดทำโครงการในลักษณะนี้ไปแล้วที่หัวหินและอยุธยา
                      นี่คือก้าวย่างในการพัฒนาและฟื้นฟูคลองลาดพร้าวและคลองบางซื่อ โดยการริเริ่มของชาวบ้านและภาคประชาสังคม ขณะที่หน่วยงานรัฐจะมีบทบาทเป็นผู้สนับสนุน เพื่อให้ชาวบ้านได้มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง มีสภาพแวดล้อมที่ดี สามารถช่วยเชื่อมเส้นทางคมนาคม และสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านในชุมชนได้.!!
———————-
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : แก้น้ำเน่าคลองลาดพร้าว-บางซื่อ ฟื้นคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจชุมชน : โดย…สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน))