สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วยการปลูกข้าวอินทรีย์ที่ตำบลท้อแท้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151115/216874.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2558
สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วยการปลูกข้าวอินทรีย์ที่ตำบลท้อแท้

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วยการปลูกข้าวอินทรีย์ที่ตำบลท้อแท้ : โดย…สร้อยแก้ว คำมาลา

                      ตำบลท้อแท้ ชื่อนี้หลายคนได้ยินแล้ว อาจอมยิ้มพลางอดสงสัยไม่ได้ว่า นี่คือชื่อตำบลจริงๆ หรือ?
                      นี่คือชื่อตำบลจริงๆ อยู่ในเขต อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นตำบลหนึ่งที่มีการสร้างเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรปลูกข้าวปลอดภัย ที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนให้การหนุนเสริมมาตั้งแต่ปี 2556
                      ต.ท้อแท้ สมาชิกส่วนใหญ่ของชุมชนดำรงชีพด้วยวิถีเกษตรกรรมและเช่นเดียวกันกับประชากรไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ที่หลายสิบปีที่ผ่านมา วิถีการเกษตรของพวกเขาต้องพึ่งพาสารเคมีเป็นหลัก ไม่ว่าปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า หรือการเร่งการเจริญเติบโตต่างๆ จนเป็นผลทำให้สุขภาพทั้งของพวกเขาและผู้บริโภคตกอยู่ภาวะอันตรายมากขึ้น
                      จนเมื่อสามปีที่แล้ว เวทย์ พลูหน่าย ประธานสภาองค์กรชุมชนตำบลท้อแท้ ได้เห็นถึงปัญหาเรื่องหนี้สินของเกษตรกรอันเนื่องมาจากต้นทุนการผลิตจากการซื้อสารเคมี ปุ๋ยเคมี มีจำนวนสูง จึงได้นำเรื่องมาปรึกษาหารือกับสมาชิกในสภาองค์กรชุมชน ประมาณเดือนธันวาคม 2556 และนับจากนั้นเครือข่ายเกษตรกรปลูกข้าวปลอดภัย จึงเกิดขึ้น โดยมีสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนให้การสนับสนุนเพื่อพัฒนาศักยภาพชุมชน เป็นจำนวนเงิน 2 แสนบาท
                      สภาองค์กรชุมชนตำบลท้อแท้ เริ่มขยายกลุ่มผู้ผลิตข้าวปลอดภัย โดยมีการพาสมาชิกชุมชนไปดูงานพื้นที่รูปธรรมของ จ.ลพบุรี เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการผลิตแบบไร้สารเคมี กระทั่งทำให้สมาชิกที่ไปเห็นเกิดแรงบันดาลใจ และกลับมาเป็นคนต้นแบบให้แก่ชุมชนทั้งหมด 8 คน
                      ผ่านไปเพียงหนึ่งปี คนต้นแบบเหล่านี้ได้เรียนรู้ทั้งความสำเร็จและล้มเหลว และนำมาถ่ายทอดให้สมาชิกชุมชนได้รับฟังซึ่งยังคงเห็นถึงความหวังในแนวทางการผลิตอาหารปลอดภัยนี้ว่า เป็นแนวทางที่ดีและสามารถประสบความสำเร็จได้ โดยกลุ่มผู้ผลิตที่เรียกว่า คนต้นแบบนี้ยังคงดำเนินการผลิตแบบไร้สารเคมีและขยายพื้นที่เพาะปลูกแบบไร้สารเพิ่มเรื่อยๆ
                      พร้อมกับขยายแนวคิดไปยังเพื่อนบ้านคนอื่นๆ จนมีสมาชิกครบทั้ง 8 หมู่บ้าน และเข้าร่วมกลุ่มผลิตอาหารปลอดภัยอีกประมาณ 80 คน โดยมีแปลงนา แปลงผัก สวนผลไม้ปลอดภัยเป็นต้นแบบในชุมชนเพื่อเรียนรู้ร่วมกัน อันมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือเพื่อให้ประชาชนใน ต.ท้อแท้ ได้บริโภคข้าว ผลไม้ ปลอดภัย เกษตรกรมีสารเคมีตกค้างในร่างกายลดลง
                      ความเติบโตของกลุ่มได้พัฒนาไปอีกขั้น เมื่อทางกลุ่มข้าวปลอดภัยได้ประกาศใช้ “ธรรมนูญชุมชนระบบการผลิตข้าวปลอดภัย” ขึ้นมา ซึ่งกลายเป็นข้อตกลงของกลุ่ม เมื่อเดือนกรกฎาคม 2557 เพื่อขอความร่วมมือในการจัดการสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัย โดยธรรมนูญฉบับนี้จะไม่มีการบังคับใช้กับสมาชิกทุกคนในตำบล หากแต่จะใช้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมเพื่อขยายความร่วมมือไปอย่างละมุนละม่อม
                      นอกจากนี้ 20 กรกฎาคม 2558 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนได้จับมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่าง องค์การบริหารส่วนตำบลท้อแท้อีกครั้ง เพื่อพัฒนาศักยภาพของกลุ่มเกษตรกรข้าวปลอดภัย ภายใต้โครงการเศรษฐกิจและทุนชุมชนเข้มแข็ง โดยได้จัดเวทีสร้างแผนปฏิบัติการ “ข้าวปลอดภัย” ที่ห้องประชุมชั้นสองของอบต.ท้อแท้ เพื่อสรุปบทเรียนของการปลูกข้าวไร้สารในปีที่ผ่านมาและร่วมกันวางแผนในการปลูกข้าวปลอดภัยในปีต่อไป
                      แน่นอนว่าเกษตรกรที่เริ่มต้นปลูกข้าวปลอดภัยไม่ได้ประสบความสำเร็จไปเสียทุกคน หนึ่งในแปดคนของคนต้นแบบที่หันมาทำการเกษตรไร้สารเคมี อย่าง “หมอตู่” หรือ ศรายุทธ พุนพิน นักวิชาการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลท้อแท้ ซึ่งมีความสนใจในอาหารปลอดภัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ได้กลับมาทำนาไร้สารเคมีของตนเองประมาณ 3 ไร่ ปรากฏว่าเขาไม่ได้ข้าวเลย
                      หมอตู่เล่าว่า เขาได้ทดลองทำนาโยน ปรากฏว่า ต้นกล้าถูกทั้งนกเป็ดน้ำ ทั้งมด กินหมด นับตั้งแต่เพาะกล้าแล้ว (เล่าไปหัวเราะไป) ต่อมาเมื่อข้าวงอกงามดี ก็ปรากฏว่ามีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ความที่เขาไม่ใช้ยาฆ่าหญ้าเขาก็ปล่อยให้หญ้าขึ้นเต็มไปหมด และเมื่อข้าวเท่าที่มีออกรวงมาหนูก็มากินอีก สรุปว่าเขาไม่ได้ข้าวเลย แต่เมื่อให้พี่สาวแฟนมาทำในปีต่อมา พี่สาวแฟนสามารถผลิตข้าวได้อย่างงดงามทั้งที่ทำนาปลอดภัยเหมือนกัน
                      “การทำนาไร้สารเคมี ไม่ได้ง่ายสำหรับทุกคน แต่คนที่ทำนาเป็นอยู่แล้ว อย่างไรเขาก็จะทำได้ แต่ผมไม่เคยทำนามาก่อนเลย ก็เลยไม่ประสบความสำเร็จ”
                      ดังนั้น ผลของการทำนาไร้สารที่ล้มเหลว ไม่ได้แปลว่า การทำนาปลอดภัยจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อไปฟังคำตอบของคนต้นแบบคนอื่นๆ อาทิ ลุงพวง ดาวเรือง, นุจรินทร์ ศรีชมพู, ซิ้ม เพชรดี ปรากฏว่าทุกคนได้ผลผลิตที่ดี ต้นทุนลดลง ทั้งยังมีวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆ กันไป เช่น การจัดการหนู ใช้กับดักหนู การไล่นก ใช้หุ่นไล่กา มัดถุงพลาสติกติดไม้ปักกลางทุ่งนา หมั่นไปดูทุ่งข้าวบ่อยๆ หรือหากมีต้นหญ้าขึ้นก็ถอน
                      “สิ่งที่ทำ นอกจากจะช่วยให้ต้นทุนการเกษตรลดลง ยังทำให้สุขภาพผมดีขึ้น อาการชาที่เท้าของผมซึ่งเคยเป็นก่อนหน้านี้หายไป ผมมีความเชื่อมั่นในแนวทางนี้ แต่ผมไม่รู้ว่าทางภาครัฐจะช่วยสนับสนุนแค่ไหน เพราะปัญหาสำคัญคือตลาด”
                      ขณะที่นางนุจรินทร์ ศรีชมพู บอกว่า จำนวนข้าวไร้สารที่เธอได้เมื่อเทียบกับการผลิตข้าวใช้สารเคมี เมื่อหักกลบลบหนี้แล้วถือว่าได้ผลลัพธ์ค่าตอบแทนพอๆ กัน เพราะการทำนาไร้สารเคมีไม่ต้องใช้เงิน แต่ว่าสิ่งที่ได้เพิ่มมา คือ สุขภาพที่ดี อาจจะเหนื่อยมากขึ้นหน่อย อย่างต้นหญ้าต้องถอนเอง
                      แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นตรงกันคือ เมื่อเทียบกับผลผลิตที่ได้จากการทำนาใช้สารเคมี การทำนาอย่างหลังจะได้ผลผลิตมากกว่า รวมถึงเมล็ดข้าวปลอดสารนั้น มีขนาดเมล็ดเล็กกว่า ดังนั้น หากต้องขายข้าวในราคาเดียวกันแล้ว ข้าวไร้สารจะได้รับค่าตอบแทนที่น้อยกว่า เพราะถูกมองว่าเป็นข้าวคุณภาพต่ำ (เมล็ดเล็ก) ทุกคนจึงเห็นตรงกันว่า ต้องมีตลาดมารองรับเพื่อให้พวกเขาได้ผลิตข้าวปลอดภัยที่คุ้มค่ากับการผลิต
                      ดังนั้นก้าวต่อไป แนวทางการหาตลาดรองรับ จึงจำเป็น และจะมีการเปิดเวทีปรึกษาหารืออีกครั้ง โดยองค์การบริหารส่วนตำบลจะมาช่วยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอีกทางหนึ่ง แต่เรื่องนี้ก็มีทางออกบ้างแล้ว นั่นคือ เจ้าหน้าที่ทหารจากอำเภอวัดโบสถ์ที่มาร่วมด้วย ยินดีจะช่วยหาตลาดให้ชาวบ้านอีกทางหนึ่ง รวมถึงทาง รพ.สต.ตำบลท้อแท้ ก็พร้อมสนับสนุน เพื่อจะได้สร้างแผน “ทำนาปลอดภัย” ให้แก่ชุมชนได้อย่างครอบคลุมและผู้ผลิตสามารถดำรงอยู่ได้อย่างแท้จริง
——————–
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วยการปลูกข้าวอินทรีย์ที่ตำบลท้อแท้ : โดย…สร้อยแก้ว คำมาลา)

แค่แบ่งพื้นที่ให้เด็ก ก็จะได้ ‘พลเมืองเกรดเอ’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151108/216486.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน 2558
แค่แบ่งพื้นที่ให้เด็ก ก็จะได้ 'พลเมืองเกรดเอ'

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : แค่แบ่งพื้นที่ให้เด็ก ก็จะได้ ‘พลเมืองเกรดเอ’ : โดย…มูลนิธิสยามกัมมาจล

                      อาจเป็นเพราะ “พลเมือง” ไม่รู้ “หน้าที่” วิชา “หน้าที่พลเมือง” จึงกลับมาอีกครั้ง แต่การกลับมาครั้งหลังสุด เป็นการกลับมาในสภาวะที่บริบททางสังคมไม่เหมือนเดิม เพราะเด็กเรียนรู้โลกใหม่ของพวกเขาได้จากหลายช่องทาง
                      ขณะที่การเรียนรู้แบบ “ท่องจำ” ถูกปฏิเสธจากพลเมืองรุ่นใหม่…พวกเขาโหยหาแนวทางอื่นๆ โดยเฉพาะโหยหา “พื้นที่” ที่พวกเขาจะได้แสดงความสามารถและศักยภาพของตนเอง
                      ดังนั้น ภายใต้บริบทใหม่…“การสร้างพลเมือง” รูปแบบจึงต้องไม่เหมือนเดิม
แค่แบ่งพื้นที่ให้เด็ก
                      บนพื้นที่เล็กๆ ณ ลานวัฒนธรรมนาคะวะรังค์ โครงการอัมพวา ชัยพัฒนานุรักษ์ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เมื่อวันที่ 19-20 กันยายน ที่ผ่านมา ศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.สมุทรสงคราม ภายใต้โครงการ “พลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก” ที่สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มีการรวมตัวกันของเด็กๆ กว่า 100 ชีวิต จากพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ราชบุรี สมุทรสงคราม กาญจนบุรี และเพชรบุรี…พวกเขามารวมตัวกันเพื่อแสดงพลังความสามารถของคนรุ่นใหม่หลังผ่านการเรียนรู้และมีส่วนร่วมทำงานกับชุมชนบ้านเกิด ซึ่งก่อนหน้าที่พวกเขาจะมารวมตัวกัน…พวกเขาถูกฝึก ถูกเติมเต็ม หรือแม้กระทั่งถูกปลุกจากอาการหลับใหล บางคนดำเนินชีวิตอย่างไร้ทิศทาง บางคนท่องอยู่ในโลกโซเชียลจนไม่สามารถสบตาผู้คนได้ในโลกของความเป็นจริง
                      แต่ในวันนั้น…เด็กๆ บางคนกล้าที่จะไปยืนพูดบนเวที…ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น “แค่จับไมค์ก็เหงื่อแตก” บางกลุ่มเคยเป็นเด็กเกเร เมื่อได้รับโอกาส พวกเขาก็หมั่นฝึกฝนทักษะด้านดนตรีจนสามารถเล่นเพลงได้หลายแนว และสามารถเรียกเสียงปรบมือจากคนทั้งห้องประชุม
                      วิกรม นันทวิโรจน์สิริ เยาวชนจากมหาวิทยาลัยศิลปากรวิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี และจากโครงการการจัดการน้ำทิ้งในมหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า ตัวเองถูกพัฒนาให้มองอะไรรอบด้านมากขึ้น…รู้จักแก้ปัญหา และรู้ว่าสำนึกพลเมืองไม่ได้เริ่มจากใครนอกจากที่ตัวเอง
                      สำหรับ “โบ๊ท” รณชัย พรมบุตร นักศึกษาจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกาญจนบุรี จากโครงการพัฒนาคุณภาพอาหารและโรงเรือนแพะโดยการมีส่วนร่วมของเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะใน ต.หนองหญ้า จ.กาญจนบุรี บอกว่า การเข้าร่วมในโครงการนี้ ทำให้มั่นใจว่าจะเอาตัวรอดในอาชีพเกษตรซึ่งเป็นฐานอาชีพของพ่อแม่ได้
                      “ถึงจบไปจะไม่มีงานทำ เราก็มีความรู้กลับไปทำไร่ ทำสวน หรือเลี้ยงสัตว์ที่บ้านเกิดได้ เพราะเราเคยลำบากมาก่อน พวกเรียนสายสามัญอาจจะเป๊ะ แต่ภาคปฏิบัติผมมั่นใจว่าผมทำได้มากกว่า เพราะอึด….ถึก และ ทน” โบ๊ท กล่าวอย่างมั่นใจ
พี่เลี้ยงต้อง “หนุน” แต่อย่า “นำ”
                      ปัญญา โตกทอง พี่เลี้ยงชุมชน กล่าวว่า โครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมตะวันตก เปิดการปลูกจิตสำนึกรักบ้านเกิดให้แก่เด็กและเยาวชน ด้วยการเรียนรู้จากสิ่งที่มีอยู่ในชุมชน นอกจากจะทำให้เด็กและเยาวชนรัก หวงแหน และเห็นคุณค่าของทรัพยากรและภูมิปัญญาที่มีอยู่เดิมแล้ว ยังทำให้เห็นความแตกต่างที่หลากหลายในระบบที่ใหญ่ขึ้นในอนาคต
                      “พอเขาโตขึ้น รู้จักสังคม รู้จักโลกมากขึ้น เขาจะเข้าใจความแตกต่าง ต้นไม้ในแต่ละท้องถิ่นมีไม่เหมือนกัน ดูแลอย่างไร อาชีพในแต่ละชุมชนแตกต่างกันจะพัฒนาอย่างไร การพัฒนาแบบหนึ่งอาจจะใช้กับอีกที่หนึ่งไม่ได้ ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละที่ บทเรียนนี้จะสอนให้เขาเรียนรู้เรื่องการปรับตัว คิดได้ และคิดในมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น”
                      ขณะที่ ครูตูน กมลเนตร เกตุแก้ว โรงเรียนเทพมงคลรังสี พี่เลี้ยงชุมชนโครงการ ท.ษ.ยุคใหม่ใส่ใจการแยกขยะ กล่าวว่า บทบาทของครูตอนแรกที่มา คิดว่าเขาจะต้องทำตามที่เราคอนโทรล แต่พอมาทำจริงๆ เข้าใจเลยว่าโครงการต้องการให้เป็นโครงการพลังเด็ก คือ เรื่องของเด็กไม่ใช่เรื่องของครู ครูเป็นที่ปรึกษาเมื่อเขามีปัญหาเท่านั้น ตอนแรกก็หงุดหงิดว่า ทำไมไม่ถามครู ไม่คุยกับครู ทำไมให้มานั่งเฉยๆ แต่จริงๆ แล้ว ณ วันนี้ต้องบอกเลยว่าสิ่งที่โครงการทำดีมากๆ เพราะเด็กได้คิด ได้ลงมือทำ ได้แก้ปัญหาเอง คุณครูมีหน้าที่เพียงที่ปรึกษา เป็นพี่เลี้ยงคอยดูอยู่ห่างๆ ถ้าเขาไม่ไหวหรือต้องการคำแนะนำเขาจะมาหาเราเองแล้วเราก็ให้เขาคิดก่อน ถ้าคิดไม่ออก เราค่อยแนะ แต่ถ้าบอกเลยคงไม่ใช่ พอมาอบรมที่นี่ต้องการให้เขาคิดเองทำเอง เป็นเรื่องของเด็กจริงๆ
                      “สิ่งที่เห็นคือความรับผิดชอบที่เขามีมากขึ้น จากเดิมบางคนมี บางคนไม่มีเลย แต่พอมาร่วมกิจกรรมสิ่งแรกที่เห็นคือ มีความรับผิดชอบมากขึ้น รับผิดชอบทั้งในด้านการเรียน จากเดิมที่งานเคยส่งบ้าง ไม่ส่งบ้าง ตอนนี้ก็ส่งครบ รับผิดชอบต่อตนเอง รับผิดชอบต่อสังคม”
                      โครงการนี้ให้บทบาทเด็กเต็มๆ คุณครูเป็นเพียงส่วนเติมเต็มเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น…สังเกตว่าทางโครงการจะไม่ถามอะไรครูมาก เหมือนให้ครูไปนั่งดู นั่งฟังอย่างเดียว เราก็รู้เลยว่าบทบาทของเรามันไม่เหมือนเดิม ก็ดูอยู่ห่างๆ บางทีก็เข้าไปดูใกล้ๆ แต่ไม่พูดอะไรเลย เราสังเกตด้วยตัวเราเองว่ามันเป็นเรื่องของเด็ก ต้องบังคับตัวเองว่า เราต้องไม่เป็นผู้นำ เพราะว่าโครงการนี้เป็นโครงการของเด็ก เด็กคิดเด็กทำเด็กแก้ปัญหา เด็กทำสิ่งต่างๆ ดังนั้น ครูต้องไม่เป็นผู้นำ แต่บทบาทของครูต้องเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำ เมื่อเขามีปัญหา ครูแค่คอยสังเกต แต่ลดบทบาทลง เพื่อให้เขามีความเป็นผู้นำมากขึ้น สำหรับครูมันเป็นความยากที่ทำอย่างไร จะพูดอย่างไรให้นักเรียนมีความสำนึกเป็นพลเมืองมากขึ้น มีความรับผิดชอบ กล้าแสดงออก หรือไอเดียความคิดต่างๆ มากขึ้น โดยที่ไม่ใช่จากปากคุณครู
ต้องเชื่อมั่นในตัวเด็ก
                      ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ ผู้ประสานงานศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น (สกว.) จ.สมุทรสงคราม ในฐานะผู้บริหารโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก และเป็น “ผู้ใหญ่ใจดี” ที่มองว่า ในตัวเด็กมียักษ์ซ่อนอยู่…แต่ยักษ์เหล่านั้นกำลังหลับใหล เพียงแต่ยังไม่มีใครกล้าปลุกขึ้นมาเท่านั้น
                      “เพราะเราเชื่อว่า เด็กทุกคนพัฒนาได้ แต่กระบวนการพัฒนาที่ผ่านมายังไม่ถูกจริตของเด็กๆ เพราะเราเอาเด็กไปเรียนรู้เรื่องราวไกลตัวของพวกเขามากเกินไป การเรียนรู้จึงไม่สนุก ดังนั้นโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก จึงเป็น “เครื่องมือ” ที่ดึงให้เด็กได้มาเรียนรู้ท้องถิ่น ให้เด็กรุ่นใหม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลง และรู้ว่าเขาจะอยู่ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร”
                      และเมื่อเด็ก “เข้าใจ” การเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ เด็กก็จะเข้าใจและสามารถยับยั้งการเปลี่ยนแปลงได้ หรือรู้จักดึงฐานทรัพยากร ภูมิปัญญา วัฒนธรรมเดิมกลับมารับใช้ในการเปลี่ยนแปลงได้…
                      “เพราะฉะนั้นเด็กต้องรู้สิทธิ รู้หน้าที่ รู้ความรับผิดชอบที่ตัวเองควรจะมีต่อสังคม ไม่ใช่สังคมเป็นอย่างไรไม่รู้ ตัวเองเอาตัวรอดอย่างเดียว เพราะถ้าสังคมสิ่งแวดล้อมไปไม่รอด เขาก็จะอยู่ไม่ได้เช่นกัน”
1 ปี เท่ากับ 12 ปี
                      ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา จากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุชัดบนเวทีเสวนาว่า “1 ปีของการทำงานของเด็กกลุ่มนี้ เท่ากับ 12 ปีของการเรียนในระบบการศึกษา”
                      “เท่าที่เดินพูดคุยกับเด็กๆ เห็นชัดว่าเด็กๆ มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เราเสียเวลากับการเรียนการสอนในระบบถึง  12 ปี แต่ไม่สามารถสร้างให้เด็กได้ใช้ชีวิตอย่างมีจุดหมาย คิดเป็น และมีความอ่อนน้อมถ่อมตน แบบเด็กกลุ่มนี้ได้เลย นี่คือความลงตัวที่ชุมชนขัดเกลา นี่คือโมเดลที่ทำให้เด็กเป็นแกนกลางได้จริง อันนี้เป็นก้าวสำคัญเรื่องการศึกษา ตอนนี้โมเดลของกระทรวงศึกษาธิการได้มีนโยบายลดเวลาเรียนให้น้อยลง ให้โรงเรียนเลิกบ่ายสองโมง ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างการเรียนรู้ให้แก่เยาวชนในลักษณะนี้ได้”
                      ตลอดระยะเวลาสองวันของมหกรรมแห่งการเรียนรู้ “ปลุกพลังเยาวชนชูวิถีคนตะวันตก” ความยินดีมิได้เกิดขึ้นเฉพาะกับเด็กๆ และผู้ให้การสนับสนุน…แต่พลังแห่งความยินดียังถูกส่งต่อไปยังผู้คน ที่ผ่านไปมา
                      นี่คือตัวอย่างของจังหวัด และภูมิภาคตะวันตก ที่ได้ริเริ่มสร้างพลเมืองคุณภาพของจังหวัดตนเอง โดยการร่วมกันของพลเมืองผู้ใหญ่จากภาคส่วนต่างๆ ทั้งท้องถิ่น ภาครัฐ ประชาสังคม ประชาชน โดยมีพี่เลี้ยง (Coach) เป็นกลไกสำคัญในการเปิดพื้นที่และเปิดโอกาสให้เยาวชนได้ใช้ศักยภาพของตนเองในการร่วมแก้ปัญหาจากโจทย์จริงของชุมชน เกิดทักษะ และสำนึกพลเมือง โดยมีครู ผู้ปกครอง หรือผู้นำชุมชน ร่วมกันสนับสนุน
———————
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : แค่แบ่งพื้นที่ให้เด็ก ก็จะได้ ‘พลเมืองเกรดเอ’ : โดย…มูลนิธิสยามกัมมาจล)

ชวนคนไทยเอาชนะเหล้า งดดื่มต่อเนื่องหลังออกพรรษา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151101/216120.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2558
ชวนคนไทยเอาชนะเหล้า งดดื่มต่อเนื่องหลังออกพรรษา

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ชวนคนไทยเอาชนะเหล้า งดดื่มต่อเนื่องหลังออกพรรษา : โดย…จะเด็จ เชาวน์วิไล

                      ขอปรบมือดังๆ ชื่นชมคนที่งดเหล้างดอบายมุขช่วงเข้าพรรษา ซึ่งเป็นกระแสที่มาแรงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และเพื่อเป็นสัญญาณที่ดีในการลดละเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อไป จึงอยากเชิญชวนให้ขยับงดเหล้าต่อเนื่องหลังออกพรรษา เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี นำไปสู่การเลิกดื่มระยะยาว สร้างครอบครัว คนรอบข้าง ชุมชน อย่างยั่งยืนต่อไป
                      กิจกรรมงดเหล้าเข้าพรรษาทุกๆ ปีที่ผ่านมา เห็นชัดเจนว่า คอเหล้าที่เลิกดื่มช่วงเข้าพรรษาได้ มีความตั้งใจลดการดื่มลงหลังจากออกพรรษา ด้วยเหตุผลที่ว่าสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายไม่มีประโยชน์ เสียสุขภาพ ที่สำคัญคนที่งดดื่มมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีเงินเก็บ สอดคล้องกับข้อมูลศูนย์วิจัยปัญหาสุรา(ศวส.) ระบุว่า การเลิกสุราจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 1,312 บาทต่อเดือนต่อคน ซึ่งที่ผ่านมาคนไทยควักกระเป๋าซื้อเหล้าปีละกว่า 2 แสนล้านบาท ยังไม่นับความสูญเสียที่เกิดจากการดื่ม
                      นอกจากนี้เมื่อย้อนดูข้อมูลการสำรวจระบาดวิทยาระดับชาติครั้งล่าสุด พบว่า อายุผู้ติดเหล้าเฉลี่ยจากที่มีอายุ 30-45 ปีขึ้นไป ลดเหลือเพียง 20-30 ปีเท่านั้น ส่วนภาพรวมมีผู้ติดสุราราว 4.3 ล้านคน 1 ใน 4 หรือกว่า 1 ล้านคน อายุ 15-25 ปี ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโรคเรื้อรังหลายชนิด
                      ล่าสุดสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.) ร่วมกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดกิจกรรมรณรงค์ “คนเลิกเหล้า…เปลี่ยนชุมชน” เพื่อเชิญชวนคนงดเหล้าให้งดต่อเนื่องหลังออกพรรษานี้ โดยนำประสบการณ์ของคนที่เลิกเหล้า และปรับเปลี่ยนตัวเอง เป็นกำลังสำคัญในการชวนคนเลิกเหล้า ร่วมกันเปลี่ยนชุมชนให้ดีขึ้น รวมถึงนำคนที่งดเหล้าเข้าพรรษาและตั้งใจจะงดต่อไป มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อสาธารณะ
                      ธีระ วัชรปราณี ผู้จัดการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.) อธิบายว่า กิจกรรมครั้งนี้ต้องการสื่อสารไปยังคนที่งดเหล้าเข้าพรรษาให้ตั้งมั่นที่จะสู้ต่อเพื่อเอาชนะใจตนเองแล้วงดเหล้าต่อเนื่องหลังออกพรรษาต่อไป รวมถึงผู้ที่ต้องการจะลดละเลิกเหล้าในชุมชนต่างๆ ซึ่งคนกลุ่มนี้จะเป็นกำลังสำคัญในการบอกต่อหรือเชิญชวนคนในชุมชนหมู่บ้านให้ลดละเลิกเหล้า เพื่อเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของตนเองและชุมชนให้ดีขึ้น สร้างเงินออมและความอบอุ่นให้ครอบครัว ลดปัญหาอุบัติเหตุ ความรุนแรง และอาชญากรรมในชุมชน
                      ทั้งนี้จากสถิติตัวเลขปีที่ผ่านมามีคนไทยตอบรับเข้าร่วมกิจกรรม ลดละเลิกเหล้ากว่า 13 ล้านคน และงดได้ครบพรรษาทั้ง 3 เดือนกว่า 7 ล้านคน จากนักดื่ม 17 ล้านคนทั่วประเทศ ประหยัดเงินได้กว่า 3 หมื่นล้านบาท คาดว่ากิจกรรมนี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คนที่อยากจะเลิกเหล้าเกิดแรงกระตุ้น ส่วนคนที่งดเหล้าเข้าพรรษาจะตั้งมั่นสู่การงดเหล้าหลังออกพรรษานำไปสู่การเลิกเหล้าตลอดชีวิตได้ นอกจากนี้ขอฝากคำแนะนำสำหรับผู้ที่หยุดดื่ม หากต้องการหยุดได้ต่อเนื่องต้องหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้นึกถึง ส่วนผู้ที่ยังดื่มอยู่อยากให้ลองเปรียบเทียบระหว่างข้อดีข้อเสียของการดื่ม แม้จะยังไม่เกิดผลกระทบกับตัวเองตอนนี้ แต่ในอนาคตหากเกิดขึ้นแล้วไม่สามารถแก้ไขได้
                      สมควร ในทอง กำนันตำบลโนนหนามแท่ง จ.อำนาจเจริญ เล่าถึงอดีตที่เคยเป็นนักดื่มตัวยงว่า เริ่มดื่มตั้งแต่อายุ 15 ปี มีปัญหาทะเลาะวิวาทบ่อยครั้งรวมทั้งความรุนแรงในครอบครัว จนลูกไม่มีเงินไปโรงเรียนก็ยังดื่มอยู่ เป็นหนี้เป็นสินเขาไปทั่ว ครั้งหนึ่งเคยประชดครอบครัวด้วยการเอาอีโต้ฟันขาตัวเอง เนื่องจากขอเงินไปซื้อเหล้าแล้วไม่ได้ แต่มาเลิกเหล้าได้ตอนที่เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน โดยใช้วิธีหักดิบ จากการชักชวนของลูกบ้านที่อดีตเคยเป็นปีศาจสุราเหมือนกัน พอมาเป็นกำนันแล้วพบปัญหาคนในหมู่บ้านดื่มเหล้ามากถึงร้อยละ 70 สร้างความเดือดร้อนต่อชุมชน ทั้งทะเลาะวิวาทชกต่อยมีปากเสียง ฯลฯ
                      นอกจากนี้ ยังพบว่าในงานพิธีต่างๆ ทั้งงานบุญงานศพ จะมีเรื่องจากการดื่มเหล้าเข้ามาต่อเนื่อง จึงได้มีการทำประชาคมหมู่บ้าน โดยให้ประชาชน ท้องถิ่น สถาบันการศึกษา เข้าร่วมทำประชาคม เริ่มจากการจัดงานศพปลอดเหล้า มีการพูดคุยทำความเข้าใจกับเจ้าภาพ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อย่างดี
                      “อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการรณรงค์ให้เป็นชุมชนปลอดเหล้า ผลที่ได้คือ ในชุมชนไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีขโมย ไม่มีความรุนแรงในครอบครัว และขณะนี้ก็มีการเชิญชวนคนในหมู่บ้านที่ตั้งใจงดเหล้าเข้าพรรษาได้งดต่อเนื่องไป เพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นช่วยลดละเลิกเหล้าตลอดชีวิตให้ได้จนสำเร็จ มีเงินเหลือเก็บเปลี่ยนตัวเองเพื่อครอบครัว ต้องขอบคุณมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และสสส.ที่เห็นคุณค่าของคนเล็กคนน้อยอย่างพวกเรา และไม่รังเกียจที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นขี้เมา” สมควร กล่าว
                      นิพล วิชัย พ่อค้าย่านพระประแดง จ.สมุทรปราการ บอกถึงจุดเริ่มต้นที่เคยติดสุรามาก่อนว่า จากเดิมที่เคยเป็นคนติดเหล้า ต้องดื่มเหล้าขาววันละ 1 ขวด สมัยนั้นราคา 105 บาท ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ ค่าใช้จ่ายไม่พอ ครอบครัวทะเลาะกัน ผู้คนในชุมชนไม่ให้เครดิต มองเป็นคนไม่ดี เอะอะโวยวายสร้างความเดือดร้อนให้แก่เพื่อนบ้านและมีปัญหาสุขภาพบ่อยครั้ง จากนั้นปี 2550 ได้เริ่มเข้าร่วมโครงการชุมชนพอเพียง เพื่องดเหล้า หลังจากที่เลิกได้ผลที่เกิดขึ้นคือ ครอบครัวมีความสุข มีรายได้พอใช้ คนในชุมชนให้การยอมรับ ณ วันนี้ได้เป็นทั้งกรรมการชุมชนและอสม. ชาวบ้านต่างยกย่อง สร้างความภูมิใจให้แก่ตนเอง นอกจากนี้อยากจะฝากไปยังคนที่ยังดื่มอยู่ว่า อย่าดื่มเลยเพราะถ้าติดแล้วมันเลิกได้ยาก ยิ่งอายุมากยิ่งเลิกได้ยาก และจะเป็นคนไม่มีเครดิตกับคนในสังคมเลย
                      “ทุกวันนี้ผมได้ทั้งเงินและครอบครัวกลับมาแล้ว ซึ่งจะชี้แนะคนในชุมชนให้รู้จักการเปรียบเทียบว่าการดื่มมีผลเสียอย่างไรกับเราและชุมชนบ้าง ที่สำคัญการงดเหล้าต่อเนื่องหลังออกพรรษาเป็นเรื่องที่ดีที่จะทำให้คนในชุมชนได้ตระหนักและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทุกวันนี้สิ่งที่ผมทำเป็นประจำคือชักชวนให้คนที่ดื่มลด ละ เลิก เพราะหากเขาเลิกได้ความสุขจะตามมา เราก็รู้สึกดีไปด้วย” นิพล ระบุ
                      ขณะที่ นัยนา ยลจอหอ ประธานชุมชนวัดสวัสดิ์วารีสีมาราม เขตดุสิต กทม. บอกว่า ก่อนหน้านี้จัดอยู่ในกลุ่มผู้หญิงที่ชอบดื่ม มองว่าดื่มแล้วดูเป็นผู้หญิงแกร่ง และเก่ง ทั้งดื่มทั้งสูบ ประมาณว่าอะไรที่ผู้ชายทำได้ฉันก็ทำได้ แต่พอเมาแล้วก็เสียงานเสียการ จนต้องตกงาน และเริ่มมีปากเสียง มีความรุนแรงในครอบครัว เริ่มมีปัญหาสุขภาพ ตอนตั้งครรภ์ก็หยุดดื่ม หลังคลอดลูกก็กลับมาดื่มใหม่ ในชุมชนมีปัญหาเรื่องการดื่มเหล้ามาก ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือความรุนแรงในครอบครัว สร้างความรำคาญให้คนในชุมชน มีทั้งทะเลาะตบตี
                      “สำหรับจุดเปลี่ยนเริ่มจากภายหลังที่ได้เข้าไปศึกษาดูงานกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เรื่องความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดจากเหล้า จึงได้ทำโครงการงดเหล้าเข้าพรรษาในปี 2557 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ผลที่ได้ผู้คนในชุมชนที่ดื่มเหล้าเปลี่ยนพฤติกรรมจากหน้ามือเป็นหลังมือ ครอบครัวดีขึ้น ชุมชนดีขึ้น ซึ่งถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากสสส.และมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ก็คงไม่มีตนเองในวันที่สามารถกลับมาหยัดยืนในสังคมอย่างภาคภูมิใจได้ขนาดนี้ นอกจากนี้ยังได้ชักชวนให้คนในชุมชนงดเหล้าต่อเนื่องหลังออกพรรษา โดยจะเพิ่มขึ้นอีก 1 เดือน แต่จะทำในลักษณะของการงดเหล้าด้วยความสมัครใจไปก่อน นอกจากนี้จะเริ่มต้นงดการดื่มเหล้าในงานเลี้ยงต่างๆ ด้วย ส่วนตัวตั้งใจว่าจะงดเหล้าจากเข้าพรรษา เป็น 6 เดือน ท้าทายตัวเองว่าจะงดให้ได้ตลอดไป” นัยนา กล่าวทิ้งท้าย
                      การรณรงค์ลดละเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำต่อเนื่องและครอบคลุม ซึ่งต้องเน้นคนรอบข้าง เพื่อน ครอบครัว ชุมชนก่อน แล้วค่อยขยายต่อ เพื่อสุขภาพและสิ่งดีๆ ที่จะตามมา
———————-
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ชวนคนไทยเอาชนะเหล้า งดดื่มต่อเนื่องหลังออกพรรษา : โดย…จะเด็จ เชาวน์วิไล)

‘say NO! slow life social awareness’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151018/215296.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2558
'say NO! slow life social awareness'

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ‘say NO! slow life social awareness’ ปลุกพลังเยาวชนรู้จักปฏิเสธอบายมุข : โดย…ปาลิณี ต่างสี เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง

                      “เยาวชนคืออนาคตของชาติ” เป็นคำพูดที่คนทั่วไปมักจะพูดกันติดปาก และนับวันบทบาทของเด็กและเยาวชนเริ่มจะปรากฏให้เห็นเด่นชัดมากขึ้น ยิ่งทุกวันนี้พวกเขามีความกล้าที่จะรวมพลัง ลุกขึ้นมาส่งเสียงสะท้อนปัญหาต่างๆ รายรอบตัว รวมถึงปลุกกระแสให้เพื่อนๆ เยาวชนด้วยกันเอง ได้ตื่นตัวไม่หลงผิดก้าวพลาดไปหาสิ่งที่ทำให้ตัวเองต้องเสียอนาคต
                      การรวมตัวของกลุ่มนักเรียนนักศึกษาจากหลากหลายสถาบันกว่า 100 ชีวิตในครั้งนี้ เกิดขึ้นในนามเครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน เครือข่ายเกสรชุมชนกทม. ทีมเฉพาะกิจเธียเตอร์ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.) จัดกิจกรรมรณรงค์ ภายใต้แนวคิด “say NO! slow life social awareness” พร้อมแสดงโชว์การเต้นประกอบเพลงปฏิเสธอบายมุข เหล้า บุหรี่ พนัน ยาเสพติด ปัจจัยเสี่ยง หวังสะท้อนปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเยาวชน
                      “น้องบูม” หรือ ณัฐพงศ์ สำเภาแก้ว ผู้ประสานงานเครือข่ายเด็กรุ่นใหม่ไม่พนัน อธิบายถึงกิจกรรมครั้งนี้ว่า พวกเราต้องการสะท้อนปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การพนัน บุหรี่ และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยให้เยาวชนแต่ละกลุ่มคิดคอนเซ็ปต์  แต่งตัว-แสดงผลกระทบจากปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การพนัน บุหรี่ รวมถึงยาเสพติด และร่วมกันเต้นประกอบจังหวะเพลงแสดงท่าทางจุดยืนปฏิเสธปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เหล่านั้น นอกจากนี้ยังมีตัวแทนเยาวชนที่เคยผ่านประสบการณ์ปัจจัยเสี่ยงมาร่วมฝากแง่คิดเพื่อเป็นอุทาหรณ์
                      “เยาวชนเป็นเป้าหมายโดยตรงต่อปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ส่งผลกระทบทั้งความรุนแรง การถูกล่วงละเมิดทางเพศ ก่ออาชญากรรม อุบัติเหตุ พิการเจ็บตาย จึงอยากกระตุ้นเตือนให้ทุกภาคส่วนรับรู้ รวมถึงอยากให้เยาวชนแสดงจุดยืน คือ 1.Say no รู้จักปฏิเสธอบายมุข ปฏิเสธความไม่ถูกไม่ควร 2.Slow life เยาวชนควรใช้ชีวิตแบบค่อยเป็นค่อยไป มีสาระ มีสติ ไม่ไร้ทิศทางไปตามกระแสสังคม และ 3.Social awareness คือวัยรุ่นยุคใหม่ควรตระหนักรู้ทันสังคม สนใจความเป็นไปของสังคม และหาโอกาสมีส่วนร่วมกับสังคม”
                      “น้องบูม” ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า กิจกรรมนี้นอกจากเยาวชนจะรู้เท่าทัน กล้าลุกขึ้นมาปกป้องตัวเอง และได้มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆ แล้ว เรายังต้องการส่งเสียงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ใส่ใจกับปัญหาที่กระทบต่อเยาวชนที่มีมายาวนาน ออกมาตรการเพื่อมาปกป้องคืนความสุขให้เด็กและเยาวชนอย่างเป็นรูปธรรม
                      นายเอ(นามสมมุติ) เยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวถึงผลกระทบจากการดื่มสุราจนทำให้ชีวิตเปลี่ยน กระตุ้นให้ก่ออาชญากรรมว่า เริ่มดื่มสุราตั้งแต่อายุ 15 ปี ทุกๆ วันต้องดื่มกับเพื่อน ขาดเรียนบ่อยครั้ง เงินที่พ่อแม่ให้มาก็มาลงกับขวดเหล้าหมด ยอมรับว่า ช่วงที่ดื่มหนักๆ มีปัญหาการเรียน สุขภาพ ทะเลาะวิวาท ขาดสติ นำมาสู่อาชญากรรมในคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่น จนถูกต้องโทษจนถึงปัจจุบัน จากบทเรียนครั้งนี้สอนอะไรหลายอย่าง จนเมื่อมาอยู่ที่บ้านกาญจนาฯ ก็ได้วัคซีนที่ดีทำให้คิดได้ ต่อไปนี้สัญญาว่าจะปรับปรุงตัวเองเป็นคนใหม่ และขอโอกาสอยากฝากให้ผู้ใหญ่ให้ยอมรับเด็กที่เคยก้าวพลาดมาก่อน ได้มีพื้นที่ยืนในสังคม เพราะเมื่อเขาพร้อมปรับปรุงตัวเองก็ควรให้โอกาส
                      นายบี(นามสมมุติ) อายุ 22 ปี เยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวถึงอดีตที่เคยก้าวพลาดเพราะการพนันว่า ขณะนั้นอายุ 18 ปี ได้ร่วมกับเพื่อนก่อคดีฆ่าชิงทรัพย์ จนถูกจับดำเนินคดีและคุมประพฤติ 8 ปี เนื่องจากต้องการนำเงินมาเล่นการพนัน เริ่มเล่นครั้งแรกตอนอายุ 14 ปี จากแทงสนุ้ก ไพ่ พัฒนามาเล่นพนันบอลในบ่อน ที่ผ่านมาไม่เคยสนใจเรียน ไม่เข้าสอบ ไม่ทำกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวกับการเรียนเลยแม้แต่น้อย ที่ผ่านมาต้องสูญเงินเพราะการพนันเดือนละ 2 หมื่นบาท
                      “จากบทเรียนครั้งนั้น ทำให้ผมคิดได้ว่าการพนันไม่ทำให้ใครเจริญ มีแต่จะทำให้ชีวิตเราจมดิ่ง เสียเงิน เสียสุขภาพ ครอบครัวแตกแยก ผมจึงอยากฝากถึงเยาวชนเมื่อเราก้าวพลาดแล้ว ก็ควรเริ่มต้นใหม่ในทางที่ถูกได้ และก่อนจะทำอะไรขอให้มีสติคิดถึงอนาคต คิดถึงครอบครัว และจากนี้เมื่อพ้นโทษ ก็จะกลับไปเรียนตามที่ได้สัญญาไว้กับพ่อแม่” นายบี กล่าวทิ้งท้าย
                      “น้องโค้ช” มณฑล พวงเงิน อายุ 23 ปี ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสูบบุหรี่ กล่าวว่า เริ่มสูบบุหรี่ตอนอายุ 14 ปี สาเหตุที่สูบเพราะอยากรู้อยากลอง มองว่าดูแล้วเท่ จากนั้นก็สูบหนักขึ้นวันละ 2 ซอง กระทั่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เริ่มมีอาการคอบวม จนพ่อแม่ขอร้องให้ไปตรวจที่โรงพยาบาล หมอตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ ให้รีบผ่าตัดด่วน และผลที่ตามมาคือ ทำให้ผมต้องเป็นอัมพาตครึ่งซีก ระบบการหายใจติดขัด ต้องเจาะคอ พูดไม่ได้เกือบปี ปัจจุบันยังพูดไม่ชัดติดๆ ขัดๆ หมดค่ารักษาพยาบาลนับล้าน ตอนนี้อยู่ในช่วงเฝ้าระวัง ต้องกินยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง ซึ่งพ่อแม่ญาติพี่น้องต้องช่วยกันมาดูแลผม จนรู้เลยว่าการสูบบุหรี่ส่งผลกระทบทั้งต่อตัวผมและคนรอบข้างผมอย่างมาก
                      “อยากฝากถึงคนที่คิดจะสูบบุหรี่ว่า ให้เลิกความคิด เพราะมันไม่ส่งผลดีต่อตัวเองและทำร้ายคนอื่นจากบทเรียนชีวิตครั้งนี้อยากฝากเป็นอุทาหรณ์ให้เยาวชนย้อนมองตัวเองและคิดถึงความรู้สึกของคนในบ้านให้มากๆ เราไม่ควรทำให้สังคมเดือดร้อน สิ่งไหนไม่ดีควรถอยหลังออกมา และฝากถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้ตระหนักยับยั้งปัญหายาเสพติด อบายมุขต่างๆ ที่ทำลายเยาวชน เพราะอย่าลืมว่าทั้งแรงจูงใจและสภาพแวดล้อมทำให้เด็กเข้าไปอยู่ในจุดนั้นได้ง่ายมาก”
                      ขณะที่ สุรชัย วงษ์ประเสริฐ เยาวชนเครือข่ายเกสรชุมชน อดีตจากเด็กเคยติดยาและมีปัญหาครอบครัว จนสามารถนำตัวเองมาสู่คนทำงานเพื่อชุมชน ระบุว่า ก่อนที่จะเสพยาก็เริ่มจากการดื่มเหล้า สูบบุหรี่มาก่อน ซึ่งสมัยเรียน ปวช. การหาซื้อยาเสพติดง่ายมากและมีราคาค่อนข้างถูก แต่เมื่อเราเริ่มเห็นผลกระทบต่างๆ รอบตัว ทั้งการเรียน เงินทอง สุขภาพ และปัญหาครอบครัว ก็ทำให้เริ่มลดละเลิกได้ในที่สุด ปัจจุบันหันมาเป็นอาสาสมัครทำงานเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในชุมชน เพราะอยากจะตอบแทนสังคมบ้าง อย่างไรก็ตาม อยากฝากถึงเยาวชนที่กำลังคิดจะลองให้กลับตัว หันมาตั้งใจเรียนเพื่อสิ่งที่ดีๆ จะตามมาในอนาคต อย่าเอาตัวเองเข้าไปในจุดที่เสี่ยง เพราะอาจจะทำให้เกิดผลกระทบตามมาจนเราไม่สามารถเอากลับคืนมาได้อีก
                      การส่งเสียงของเยาวชนครั้งนี้ คงทำให้สังคมไทยอยากที่จะยกเครื่องครั้งใหญ่ หวังว่าผู้ใหญ่ระดับนโยบาย การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ จะหันหน้ามารับฟังปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่เพิกเฉยในประเด็นเด็กและเยาวชนอีกต่อไป และสิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องร่วมเฝ้าระวังเตือนสติก่อนที่จะสายไปมากกว่านี้ !!!
——————–
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ‘say NO! slow life social awareness’ ปลุกพลังเยาวชนรู้จักปฏิเสธอบายมุข : โดย…ปาลิณี ต่างสี เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง)

‘เอมี่ ไวน์เฮ้าส์’ เหล้า..ยา..ความตาย อุทาหรณ์เตือนใจวัยโจ๋

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151011/214900.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2558
'เอมี่ ไวน์เฮ้าส์' เหล้า..ยา..ความตาย อุทาหรณ์เตือนใจวัยโจ๋

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ถอดบทเรียนชีวิต ‘เอมี่ ไวน์เฮ้าส์’ เหล้า..ยา..ความตาย อุทาหรณ์เตือนใจวัยโจ๋ : โดย…ชูวิทย์ จันทรส

                      เป็นที่รู้กันดีว่า นักร้องเพลงแจ๊สชื่อดังอย่าง “เอมี่ ไวน์เฮ้าส์” ต้องมาจบชีวิตลงด้วยวัยเพียง 27 ปี โดยมีเหล้า ยาเสพติด และคนรอบข้างเป็นสะพานสีดำที่นำพาชีวิตของเธอไปสู่ความตาย ทั้งที่ชีวิตของเอมี่ ไวน์เฮ้าส์ จะได้พบความสำเร็จ และได้สร้างเสียงเพลงที่มีคุณค่าให้แก่แฟนเพลง
                      บทเรียนชีวิตที่ต้องแลกมาด้วยชีวิต ที่น่าจะเป็นอุทาหรณ์ได้ดีแก่คนรุ่นหลัง จึงถูกหยิบยกขึ้นมาสร้างเป็นภาพยนตร์ให้คนทั่วโลกได้ดู และตระหนักถึงภัยร้ายของเหล้า ยาเสพติด และสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงครอบครัว ที่มีผลกระทบต่อผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
                      ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) โรงภาพยนตร์เอสเอฟ เซ็นทรัลเวิลด์ ชวนเยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก และนักเรียน นักศึกษาจากหลายสถาบัน เข้าชมภาพยนตร์ “เอมี่ ไวน์เฮ้าส์” (Amy Winehouse) เพื่อเพิ่มทักษะการใช้ชีวิต พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดผ่านเวทีเสวนา ในหัวข้อ “เอมี่ ไวน์เฮ้าส์ เหล้าหรือใคร หรืออะไรทำร้ายเธอ”
                      นายคำรณ ชูเดชา ผู้ประสานงานเครือข่ายเฝ้าระวังกลยุทธ์อุตสาหกรรมสุรา กล่าวว่า หนังเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องจริงเพื่อเป็นอุทาหรณ์เหมาะสมสำหรับทุกคนควรไปดู ส่วนตัวรู้สึกว่ารู้จักหนังเรื่องนี้ช้าไปหน่อย ครั้งแรกดูผ่านเฟสบุ๊ก บอกได้เลยว่า เรื่องนี้ไม่ธรรมดา เป็นเรื่องจริง ที่ทำให้เราต้องสังเกตว่า หากมีคนใกล้ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนในครอบครัว ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปแบบเอมี่ ไวน์เฮ้าส์ นั่นอาจสรุปได้ว่า เขาส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างแล้ว
                      ในหนังได้ตั้งคำถามให้คนดูได้คิดว่า การใช้ทักษะชีวิต กับคำว่า “มีใครไว้ใจได้บ้าง” เป็นคำถามที่คนดูต้องหาคำตอบเอง แล้วเราจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ขณะเดียวกันธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักจะฉวยโอกาสส่งเสริมการขาย กลยุทธ์ซ้ำเติมมอมเมาเยาวชน โดยเฉพาะกลุ่มที่เปราะบางให้ดำดิ่งเร็วขึ้น โอกาสที่เยาวชนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมเป็นไปได้ยากมาก
                      ดร.นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สสส. กล่าวว่า ในหนังเรื่องนี้ได้สร้างการเรียนรู้ไว้ 3 ประเด็น คือ 1.ก่อนเป็นตัวเอมี่ 2.เป็นตัวของเอมี่ และ 3.สิ่งแวดล้อม ประเด็นแรกที่กล่าวถึงคือ ก่อนเป็นตัวเอมี่ สรุปได้ว่า ครอบครัวมีความสำคัญและส่งผลต่อตัวเด็ก ในเรื่องเอมี่วัย 9 ปี รับรู้เรื่องการแยกทางของพ่อแม่ ความสุขครอบครัวหายไป แม่ไม่ได้สอนเรื่องระเบียบวินัย การควบคุมตนเอง ในหลายครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน พ่อแม่มักจะชดเชยเด็กด้วยการตามใจ ในหนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน แม่ไม่เคยพูดคำว่า “หยุด” และ “อย่า” กับเอมี่ เมื่อเธอทั้งสูบหรี่ ดื่มเหล้า หรือจะพาผู้ชายมานอนที่บ้าน
                      ประเด็นที่ 2 เป็นตัวของเอมี่ กับความมีชื่อเสียง เงินทองมากมาย แต่เธอกลับไม่มีความสุข เอมี่เลือกใช้วิถีชีวิต และการแก้ปัญหาด้วยการหนีปัญหา อีกทั้งโรคบูลิเมียก็เป็นพื้นฐานการเกิดโรคซึมเศร้าของเอมี่ เธอขาดความสามารถในการตอบสนองและการใช้ทักษะชีวิต ทุกคนมีสิทธิที่จะเลือกทำในสิ่งที่เราทำแล้วสบายใจ และสามารถตัดสินใจเองได้ และเธอก็เลือกที่จะใช้เหล้า ยาเสพติด เพื่อหลีกหนีปัญหา
                      ประเด็นที่ 3 สิ่งแวดล้อม จากครอบครัวที่พ่อแม่ ไม่เคยใช้คำว่า “หยุด” และ “อย่า” กับเอมี่ รวมทั้งสามีที่ชักจูงให้เธอได้รู้จักกับยาเสพติด ทุกครั้งที่ผ่านการบำบัดและต้องกลับมาอยู่ในสังคมเดิมๆ และกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม นั่นเขาเริ่มส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างแล้ว ซึ่งเราจะช่วยเขาได้เราต้องมีความเมตตา อุเบกขา และความอดทน เราถึงจะช่วยเขาได้ ในเรื่องนี้จะเห็นว่า เหล้าจะเป็นตัวต้นทางที่นำสู่เรื่องต่างๆ ทั้งยาเสพติด และความตาย
                      นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ในเรื่องนี้ทำให้ได้รับรู้การใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นที่สุดโต่ง และจากไปก่อนวัยอันควร แต่ลึกๆ แล้วไม่มีใครรู้ว่า อีก 80% ของชีวิตเขาต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง อีกทั้งปัจจัยต่างๆ ส่งให้ต้องเป็นแบบนี้ ทำให้เรามองเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น เอาบทเรียนที่ได้จากสิ่งเหล่านี้มาปรับใช้ ดูหนังแล้ววิเคราะห์บทเรียน มองให้เห็นพื้นที่สีดำของตัวละคร และต้องหาทางแก้ไขและดีดตัวเองออกมาเมื่อเกิดขึ้นกับตัวเองได้
                      ด้าน นายบุรินทร แซ่ล้อ ผู้อำนวยการโคตรอินดี้ กล่าวว่า ดูหนังแล้วให้ดูตัวเอง บอกได้เลยว่า ตนเคยทั้งดื่มเหล้าและสูบบุหรี่มาหมด และบอกได้เลยว่า เรื่องของสุรา ยาเสพติดในวงการดนตรีมีไหม ตอบได้เลยว่าประมาณ 10% ซึ่งมองว่ามันเป็นเรื่องของแฟชั่นมากกว่า จากประสบการณ์การจัดงานคอนเสิร์ตโคตรอินดี้ ซึ่งตอนทำแรกๆ หลายคนบอกว่าจะทำได้จริงเหรอ แต่มาวันนี้เราพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราสามารถจัดพื้นที่บันเทิงปลอดเหล้าและบุหรี่ได้ และตนก็อยากให้การจัดงานแบบนี้ตกสู่รุ่นต่อรุ่น ถือว่าเป็นการสร้างวัฒนธรรมใหม่ในการดูคอนเสิร์ต
                      “เพื่อน พ่อ แม่ ครอบครัว เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นไม่เข้าหายาเสพติดได้ เราควรปลูกจิตสำนึก ให้รู้ถึงภัยอันตรายของเหล้า ยาเสพติดต่อเด็ก”
                      บทเรียนชีวิตที่ก้าวพลาดที่ต้องแลกกับชีวิตของศิลปินชื่อดัง อย่าง เอมี่ ไวน์เฮ้าส์ อาจจะเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ต้องรู้เท่าทัน ณ วันนี้ ผู้ใหญ่ในสังคมคงต้องช่วยกันเพิ่มทักษะการใช้ชีวิตให้แก่เยาวชนไทย ก่อนที่จะสายเกินแก้ อย่างชีวิตของ “เอมี่ ไวน์เฮ้าส์”
——————–
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ถอดบทเรียนชีวิต ‘เอมี่ ไวน์เฮ้าส์’ เหล้า..ยา..ความตาย อุทาหรณ์เตือนใจวัยโจ๋ : โดย…ชูวิทย์ จันทรส เลขานุการเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์)

นักวิจัยชาวบ้านกับงานอนุรักษ์ กู้วิกฤติฟื้นชีวิตอ่าวบ้านดอน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151004/214495.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2558
นักวิจัยชาวบ้านกับงานอนุรักษ์ กู้วิกฤติฟื้นชีวิตอ่าวบ้านดอน

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : นักวิจัยชาวบ้านกับงานอนุรักษ์ กู้วิกฤติฟื้นชีวิตอ่าวบ้านดอน : โดย…ธนชัย แสงจันทร์

                      อ่าวบ้านดอน เวิ้งน้ำขนาดใหญ่ของ จ.สุราษฎร์ธานี และของภาคใต้ ครอบคลุมพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อ.ไชยา อ.ท่าฉาง อ.พุนพิน อ.เมือง อ.กาญจนดิษฐ์ และ อ.ดอนสัก มีความยาวของแนวชายฝั่งประมาณ 120 กิโลเมตร ที่สำคัญอ่าวบ้านดอน เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับนานาชาติ ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง เนื่องจากรับน้ำจืดจากแม่น้ำตาปี และคลองต่างๆ อีก 19 ลำคลอง ไหลลงสู่อ่าวไทย และตลอดแนวชายฝั่งมีป่าชายเลนแหล่งขุมทรัพย์สัตว์น้ำนานาชนิด เช่น ปลาดุกทะเล ปลากดทะเล ปูม้า ปูทะเล ปูแสม หอยนางรม หอยแมลงภู่ หอยลาย หอยตลับขาว หอยไฟไหม้ ที่เข้ามาอาศัยเพาะพันธุ์
                      ที่กล่าวมาทั้งหมด คือ ความสมบูรณ์ของทางธรรมชาติของอ่าวบ้านดอน แต่ภาพความสมบูรณ์นั้นกำลังจางหายไป จากการแย่งชิงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และในปัจจุบันเวิ้งน้ำขนาดใหญ่แห่งนี้ ยังคงโดนการคุกคามของกลุ่มทุนที่เข้าไปใช้ประโยชน์ตามชายฝัง จนเกิดการใช้ทรัพยากรเกินความพอดี และเกินกำลังที่อ่าวจะรองรับได้ กระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนสภาพไปในที่สุด ส่งผลกระทบต่อชาวประมงชายฝั่ง จ.สุราษฎร์ธานี จนเป็นที่มาของการต่อสู้ปกป้องพื้นที่ทำกิน
                      วิรัตน์ สาระคง ผู้ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.สุราษฎร์ธานี เล่าถึงสถานการณ์อ่าวบ้านดอน ณ ปัจจุบันว่า สถานการณ์อ่าวบ้านดอนยังคงวิกฤติเพราะมีกลุ่มนายทุนเข้าไปทำฟาร์มกุ้งและเลี้ยงหอยแครงรุกล้ำเขตพื้นที่สาธารณประโยชน์ แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดจะมีคำสั่งให้มีการรื้อถอน เมื่อปี 2555-2557 แต่ก็ไม่ความคืบหน้าแต่อย่างใด แถมยังขยายวงกว้างมากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นอิทธิพลบางอย่างของกลุ่มนายทุน ที่ยังหาคำตอบไม่ได้ โดยชาวบ้านหวังว่าปัญหาที่มีมานานนับสิบปีจะได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
                      ดูเหมือนว่าความหวังของชาวบ้านในพื้นที่อ่าวบ้านดอนจะเป็นจริง เมื่อ พ.ต.อำนาจ เกตุษา ผู้ช่วยนายทหารฝ่ายยุทธการจังหวัดทหารบกสุราษฎร์ธานี นำกำลังทหารจากค่ายวิภาวดีรังสิต ตำรวจน้ำสุราษฎร์ธานี อาสารักษาดินแดนประมงจังหวัดสุราษฎร์ธานี เจ้าท่าสุราษฎร์ธานี ผู้นำท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งเข้ารื้อถอนคอกเลี้ยงหอยแครงและขนำ ซึ่งรุกล้ำในเขตห่างจากชายฝั่ง 1,000 เมตร สำหรับบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันด้านประมง โดยมีพื้นที่ครอบคลุมเริ่มต้นตั้งแต่ปากน้ำตาปีจุดรอยต่อระหว่าง อ.กาญจนดิษฐ์ กับ อ.เมือง ไปจนถึงเขตรอยต่อระหว่าง อ.เมือง กับ อ.พุนพิน ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร และจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีการปักหลักคอกหอยแครงในเขต อ.เมือง มากถึง 6,000 ไร่
                      ภายหลังการรื้อถอน พ.ต.อำนาจ เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นไปตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีและผู้บังคับการจังหวัดทหารบกสุราษฎร์ธานี ที่ให้เร่งจัดระเบียบพื้นที่อ่าวบ้านดอน ซึ่งมีการร้องเรียนจากประมงชายฝั่งว่ามีการจับจองพื้นที่ทางทะเลจนถึงชายฝั่งเลี้ยงหอยแครง จนทำให้ประมงชายฝั่งเดือดร้อนไม่มีพื้นที่ทำมาหากิน จึงจำเป็นต้องเร่งจัดระเบียบพื้นที่ดังกล่าว โดยจะกระทำครอบคลุมทุกอำเภอของอ่าวบ้านดอน ซึ่งระยะแรกรื้อถอน 1,000 เมตร หลังจากนั้นจะขยายถึงเขต 3,000 เมตร ตามกฎหมายยกเว้นพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต
                      ย้อนกลับไปก่อนหน้าตั้งแต่ปี 2551 ชาวบ้านและกลุ่มคนสุราษฎร์ธานี กลุ่มคนเล็กๆ ได้ร่วมกันสร้างพลังอันยิ่งใหญ่ ทำโครงการวิจัยในหัวข้อต่างๆ เพื่อหาคำตอบของปัญหา และแนวทางพลิกฟื้นอ่าวบ้านดอนให้กลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม โดยใช้เครื่องมือ และการสนับสนุนของฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หรือ “สกว.” ที่มีชาวบ้านเป็นผู้ออกแบบทิศทาง กลไก การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ และมีนักวิชาการ นักวิจัยเป็นผู้ช่วยในโครงการต่างๆ เช่น การสังเคราะห์ภาพรวมอ่าวบ้านดอน, “ประสานงานชุดเครือข่าย” การจัดการทรัพยากรอ่าวบ้านดอนและองค์กรภาคี, สถานการณ์ ผลกระทบและการแก้ปัญหาของชุมชนประมงพื้นบ้านในสถานการณ์อุทกภัย กรณีศึกษา พื้นที่อ่าวบ้านดอน
                      ทุกวันนี้ วิรัตน์ สาระคง และชาวบ้าน ยังคงเดินหน้าโครงการวิจัยอ่าวบ้านดอน เพราะมองว่า สถานการณ์โดยรวมยังมีการรุกคืบของกลุ่มทุน เพื่อจับจองผืนน้ำขยายเขตการเพาะเลี้ยงกุ้งและหอย ขณะเดียวกันก็มีการปล่อยของเสียจากอุตสาหกรรมลงอ่าว การใช้เครื่องมือประมงที่ผิดกฎหมาย อีกไม่ช้าในเขตดอนสักจะถูกใช้ให้เป็นเมืองหน้าด่าน เกิดท่าเทียบเรือเพื่อรองรับอุตสาหกรรม ซึ่งอาจตามมาด้วยการบุกรุกป่าชายเลนและผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่มากขึ้น
                      ทั้งนี้ วิรัตน์ สาระคง ในฐานะผู้ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.สุราษฎร์ธานี ได้นำเสนอความคืบหน้าของโครงการวิจัยต่อ ผศ.ดร.บัญชร แก้วส่อง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น และสภาพปัญหาที่เปลี่ยนแปลงมากขึ้นตามที่กล่าวมาในข้างต้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการอาศัยความร่วมมือจากนักวิชาการในการสังเคราะห์งานวิจัย เพื่อออกแบบกระบวนการคิด และขยายฐานความรู้เดิมควบคู่ไปกับการสร้างเครือข่ายภาคประชาชนอย่างเข้มแข็ง โดยการรวมกลุ่มนักวิจัยชาวบ้านขอจดทะเบียนเป็น “สมาคมนักวิจัยเพื่อท้องถิ่นลุ่มน้ำตาปี” ซึ่งอยู่ระหว่างการขอจดทะเบียน ควบคู่กับการจัดทำเฟซบุ๊กแฟนเพจ “มหัศจรรย์แห่งชีวิต อ่าวบ้านดอน” เป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อการให้เกิดการตื่นตัวรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงและการจัดการทางสังคม โดยสื่อออนไลน์
                      พร้อมประกาศยุทธศาสตร์พลเมือง ในเชิงตั้งคำถาม เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล ผ่าน เฟซบุ๊กแฟนเพจ “มหัศจรรย์แห่งชีวิต อ่าวบ้านดอน” ว่า ยุทธศาสตร์พลเมืองประการที่ 1.การพัฒนาคนและฟื้นฟูวิถีชีวิตผู้คนในอ่าวบ้านดอนจะทำอย่างไร ประการที่ 2.การพัฒนาและฟื้นฟูอ่าวบ้านดอนทำได้อย่างไร ประการที่ 3.จะมีการประสานพลังภาคีต่างๆ และร่วมมือกันได้อย่างไร ประการที่ 4.ถ้าจะมีการสื่อสารและขยายผลควรทำอย่างไร และประการสุดท้าย ในด้านการท่องเที่ยว ทั้งการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สังคมและวัฒนธรรมรอบอ่าวบ้านดอนจะทำได้อย่างไร
                      ในทำนองเดียวกัน ประเทศไทยกำลังปฏิรูปเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าสภาพเดิมๆ ดังนั้นอ่าวบ้านดอนก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ประเทศที่ต้องไปให้พ้นจากการเอาเปรียบ ฉ้อฉล คดโกง ความทุกข์ยากของผู้คน เพื่อไปสู่อ่าวบ้านดอนที่สวยงาม อุดมด้วยทรัพยากร น่าท่องเที่ยว ผู้คน ทั้งคนหาปลา คนกินปลาอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก เราต่างให้ความเมตตา และซาบซึ้งในคุณค่าแห่งความเป็นอ่าวบ้านดอน
                      “มหัศจรรย์ที่กำลังจะเกิดขึ้น” ในอีกหลายๆ เวที ในความเป็นพลเมืองผู้ตื่นรู้ ที่จะช่วยกันปกปักรักษามิให้อ่าวบ้านดอนถูกรังแกอีกต่อไป แล้วคอยติดตาม”
                      ผศ.ดร.บัญชร ได้แนะนำนักวิจัยฝ่ายท้องถิ่นเพิ่มเติมว่า อ่าวบ้านดอนเป็นพื้นที่หลากหลายเรื่องราวที่เชื่อมโยงกัน ทั้งเรื่องระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม และการเมือง หากหาวิธีการจัดการพื้นที่โดยภาคประชาชนได้จะน่าสนใจมาก เช่น การสร้างเครือข่ายในการจัดการ ดึงนักวิชาการมาร่วมกิจกรรม เพื่อให้ช่วยในเรื่องออกแบบการคิด สร้างความรู้จากท้องถิ่นให้เกิดการตื่นตัว เช่น การทำอีเอชไอเอโดยชาวบ้าน ซึ่งจะทำให้เจ้าของพื้นที่ได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริง และลุกขึ้นมาเป็นแนวร่วม หรือฉายภาพที่เด่นชัดของวิถีชีวิต และความเป็นชุมชนท้องถิ่นอ่าวบ้านดอน เป็นต้น
                      นับว่าน่าสนใจ บริบททางสังคมของชาวบ้านอ่าวบ้านดอนในวันนี้ที่เปลี่ยนไป คือ หันมาเป็นนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น ซึ่งก็เป็นตัวอย่างที่ดีของสังคม
———————
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : นักวิจัยชาวบ้านกับงานอนุรักษ์ กู้วิกฤติฟื้นชีวิตอ่าวบ้านดอน : โดย…ธนชัย แสงจันทร์)

Lกฮ Is Not The Answer ‘ดื่มนม ชมบอล’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20150927/214082.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2558
Lกฮ Is Not The Answer 'ดื่มนม ชมบอล'

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : Lกฮ Is Not The Answer ‘ดื่มนม ชมบอล’ กิจกรรมสร้างสรรค์ เพิ่มพื้นที่สีขาวให้คอบอลพันธุ์โจ๋ : โดย…ธีรภัทร์ คหะวงศ์

                      ผ่านพ้นไปเมื่อไม่นาน สำหรับกิจกรรมดีๆ ที่สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) จับมือ 10 สถาบันการศึกษา ปลุกกระแสสร้างพื้นที่สีขาวในการเชียร์บอลให้สนุกได้ประโยชน์และปลอดภัย ด้วยกิจกรรมสุดชิค “ดื่มนม ชมบอล” ระหว่างชมฟุตบอลนัดสำคัญระหว่างทีมชาติไทยกับทีมชาติอิรัก
                      แต่ควันหลงที่น่าสนใจ ธีระ วัชรปราณี ผู้จัดการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวว่า สคล.เรายังคงทำหน้าที่ส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์ หรือพื้นที่สีขาวในการเชียร์บอล ปลอดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ด้วยกิจกรรมรณรงค์ในโครงการ Lกฮ Is Not The Answer ตอน “ดื่มนม-ชมบอล” ด้วยเหตุผลที่ว่า การรุกหนักของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เพิ่มกลยุทธ์ส่งเสริมการขายไปยังกลุ่มเยาวชน และอีกหลายปัจจัยที่ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยนโยบายของรัฐ
                      โดยเฉพาะร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งยังไม่กล้าประกาศ ห้ามขาย 300 เมตร รอบสถานศึกษา ให้เด็ดขาด ยังมีปัญหาในทางปฏิบัติ ร้านนั่งดื่ม ร้านอาหาร คาราโอเกะ ผับบาร์ และร้านที่ซื้อกลับไปดื่ม เช่น ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของชำ เป็นต้น ล้วนเป็นปัจจัยส่งผลต่อการดื่มของเยาวชนและสร้างนักดื่มหน้าใหม่มากขึ้น ทั้งในแง่การดื่มและการขายที่มีความสะดวก ราคา การโฆษณา โปรโมชั่น ที่มุ่งสู่กลุ่มลูกค้าที่เป็นนักศึกษา ส่งผลให้เยาวชนเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อเกิดผลกระทบต่อสังคมเกิดขึ้นได้ง่าย
                      ธีระ ระบุว่า ร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รอบสถานศึกษา มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น ข้อมูลจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) พบว่า ในกรุงเทพฯ มีการขยายตัวของร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถึง 72% ในรอบ 5 ปี (2552-2557) เฉลี่ยเท่ากับ 14% ในแต่ละปี และในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ พบการเติบโตเฉพาะรอบมหาวิทยาลัย คิดเป็น 186% ในรอบ 3 ปี (2554-2557)
                      นโยบายหนึ่งที่จะสามารถสนับสนุนกฎหมายที่มีอยู่แล้วและปกป้องเยาวชนได้ คือการไม่อนุญาตให้มีร้านที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรัศมีรอบสถานศึกษา การควบคุมดังกล่าว เป็นการปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมทางการดื่มของเยาวชน ทำให้เยาวชนที่ต้องการดื่มมีต้นทุนในการดื่มที่สูงขึ้น จนอาจดื่มน้อยลง และลดทอนผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งกับตัวเยาวชนเองและสังคมได้ในที่สุด แต่เมื่อไม่ระบุให้ชัดเจนว่า รัศมีเท่าไหร่ จะมีปัญหาถกเถียงกันในทางปฏิบัติ
                      “สำหรับกิจกรรมรณรงค์ในโครงการ Alcohol Is Not The Answer “ตอน ดื่มนม ชมบอล” ดำเนินโครงการโดยสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าทั้ง 10 ภาค ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยปลอดเหล้า สถาบันการศึกษานำร่อง 10 แห่ง ภายใต้แนวคิดที่อยากเห็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สู่การเปลี่ยนแปลงเป็นพลังขับเคลื่อน มุ่งเปิดพื้นที่กิจกรรมสร้างสรรค์ดำเนินชีวิตในรั้วสถาบันการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเราต้องการปลุกกระแสการดื่มนมตลอดจนเครื่องดื่มทางเลือกอื่นๆ ทดแทนการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในการชมการแข่งขันฟุตบอลที่เป็นกีฬายอดนิยมของเยาวชนและคนไทย ซึ่งโดยทั่วไป มักจะนิยมชมการแข่งขันฟุตบอลในสถานบันเทิง ร้านอาหาร และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปด้วย โดยเชื่อว่าการชมฟุตบอลจะมีอรรถรส จนกลายเป็นค่านิยมของวัยรุ่นไปแล้ว”
                      ธีระ กล่าวย้ำว่า ในปี 2556 ประเทศไทยติดอันดับ 5 ของโลกที่ประชากรดื่มเหล้ามากที่สุด แต่ในปี 2557 กลับมีคนไทยดื่มนมเพียง 14 ลิตรต่อปีต่อคนเท่านั้น ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียกลับดื่มนมเฉลี่ย 60 ลิตรต่อปีต่อคน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องส่งเสริมกิจกรรมที่สร้างสรรค์ เพื่อให้เยาวชนได้มีพื้นที่สีขาวในการเชียร์บอลมากขึ้น ซึ่งกิจกรรม “ดื่มนม-ชมบอล” ช่วยให้เยาวชนได้รับประโยชน์ในทุกๆด้าน คือ มีกิจกรรมเชียร์บอลกับเพื่อนๆ ที่ปลอดภัย และได้ประโยชน์จากการดื่มนม หรือเครื่องดื่มชนิดอื่นที่ไม่ใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
                      ด้าน พงศ์ภัค มงคลชัยพาณิชย์ หรือ “เจมส์” ผู้ประสานงานโครงการ Lกฮ Is Not The Answer ตอน “ดื่มนม-ชมบอล” มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ มองว่า ถือเป็นกิจกรรมที่ดีมากๆ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักศึกษา ซึ่งนักศึกษาที่เข้าร่วมต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นกิจกรรมที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน ที่เน้นให้ผู้เข้าร่วมเชียร์บอลหันมาดื่มนมแทนที่จะไปดื่มเหล้าตามร้านอาหาร จากที่มีนักศึกษามาลงทะเบียนเข้าร่วมงานเพียง 400 คน แต่พอวันจริง มีนักศึกษามาร่วมงานมากกว่า 1,000 คน ภายในงานนอกจากจะมีกิจกรรมเชียร์บอลแล้ว ยังมีการแสดงของวงดนตรี และการประกวดพรีเซ็นเตอร์ของกิจกรรมดังกล่าว
                      “ข้อดีของโครงการนี้คือ มีความปลอดภัย เนื่องจากว่าหากการไปดื่มกินที่ร้านอาหาร เมื่อเกมฟุตบอลเปลี่ยน อารมณ์ของคนเชียร์อาจเปลี่ยนไปเพราะฤทธิ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทั้งค่าเหล้า ค่าเบียร์ มิกเซอร์ แต่ถ้าเราหันมาดื่มนมหรือเครื่องดื่มอื่นแทน นอกจากจะทำให้เรามีสติในการเชียร์บอลแล้ว ยังประหยัดเงินและปลอดภัยได้ หลังจากจัดกิจกรรมครั้งนี้ไปแล้ว ปรากฏว่าในโลกโซเชียลของมรภ.ศรีสะเกษ ได้รับคำชมมากมาย”
                      หรรษกร แปลกสันเที๊ยะ นายกสโมสร คณะสาธารณสุขศาสตร์และสิ่งแวดล้อม และประธานจัดงานกิจกรรมดื่มนมชมบอล มหาวิทยาลัยปทุมธานี กล่าวว่า งานครั้งนี้ถือว่ามีความตั้งใจมาก โดยเป็นความร่วมมือของนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมครั้งแรกแต่กลับได้รับความสนใจและตอบรับเกินคาดถึง 90% นอกจากนี้ทางคณะอาจารย์และท่านอธิการบดี มีความเห็นว่า เป็นกิจกรรมที่ดี มีประโยชน์ และให้การสนับสนุน ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าต่างๆ ร้านนม ที่มาร่วมออกบูธ โดยปราศจากการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
                      “สำหรับรูปแบบ คือ คณะจัดงานเราได้ขอความร่วมมือจากนักศึกษา ร้านค้าโดยรอบ อีกทั้งภาคการปกครองท้องถิ่น ที่ให้การสนับสนุน รวมทั้งพี่ๆ ตำรวจที่มาช่วยดูแลความเรียบร้อย ในส่วนของการประชาสัมพันธ์ เราออกรณรงค์เชิญชวน ในมหาวิทยาลัยโดยรอบ ร้านค้า หอพักนักศึกษา และเทศบาลข้างเคียงก่อนล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม กิจกรรมครั้งนี้ได้ผลดีเกินคาด ทำให้คณะอาจารย์และผู้จัดงานได้ลงมติว่า ในการแข่งขันฟุตบอลรอบต่อๆ ไปจะมีกิจกรรมดื่มนม ชมบอล เนื่องจากทำให้เพื่อนนักศึกษาได้รวมตัวกันทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ โชว์ความสามารถ”
                      เรียกได้ว่าโครงการ Lกฮ Is Not The Answer “ตอน ดื่มนม ชมบอล” จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการดีๆ ที่สร้างสรรค์พื้นที่สีขาวปลอดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่เยาวชน ได้มีพื้นที่เชียร์บอลที่สนุก สร้างสรรค์ ปลอดภัยไร้แอลกอฮอล์ และเป็นตัวอย่างที่ดีให้หน่วยงานต่างๆ ได้!!!
———————
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : Lกฮ Is Not The Answer ‘ดื่มนม ชมบอล’ กิจกรรมสร้างสรรค์ เพิ่มพื้นที่สีขาวให้คอบอลพันธุ์โจ๋ : โดย…ธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่)

ทางออกปัญหาเขตอนุรักษ์ กับสิทธิในที่ทำกินของ ‘ชาวเล’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20150920/213676.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2558
ทางออกปัญหาเขตอนุรักษ์ กับสิทธิในที่ทำกินของ 'ชาวเล'

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ทางออกปัญหาเขตอนุรักษ์ กับสิทธิในที่ทำกินของ ‘ชาวเล’ : โดย…ปรีดา คงแป้น มูลนิธิชุมชนไท / วิโชติ ไกรเทพ และชาญวิทย์ สายวัน … ภาพ

                     กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล มอแกน มอแกลน อูรักราโวย เป็นชนพื้นเมืองที่อาศัยในอยู่แถบอันดามันมายาวนานกว่า 300 ปี ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าชายฝั่งทะเลอันดามัน มีชนพื้นเมืองกลุ่มนี้อาศัยอยู่
                     ชาวเล เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่รักสงบ อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่นิยมมีเรื่องกับใคร พอเพียง เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในท้องทะเล หาอยู่หากินในทะเล ริมหาด ชายฝั่งและป่าแถบนั้น โดยใช้เครื่องมือประมงแบบดั้งเดิมที่ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ไร้มลพิษ เพราะพวกเขาต้องพึ่งพาอยู่กับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์ ทั้งๆ ที่ผ่านมาหลายร้อยปี
                     ช่วงเกิดสึนามิ ชาวเลเป็นกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบ จากการสำรวจพบว่ามีปัญหาความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัย เพราะที่ดินที่อยู่มานานไม่ได้มีการออกเอกสารสิทธิ และถูกคนนอกมาออกเอกสารสิทธิทับชุมชนชาวเล ได้ทำการฟ้องขับไล่ชาวเล
                     จากข้อมูลพบว่า มีชาวเล 43 ชุมชน ไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัยถึง 28 ชุมชน ในจำนวนนี้มีทั้งอาศัยในที่ดินรัฐ เช่น ป่าชายเลน กรมเจ้าท่า ป่าสงวน อุทยาน ฯลฯ และมีที่ดินชุมชนชาวเลที่เอกชนอ้างสิทธิ์ อย่างน้อย 5 แห่ง
                     ขณะเดียวกันนโยบายการท่องเที่ยวในอันดามัน ที่มีรายได้เข้าประเทศจำนวนกว่าแสนล้านบาทต่อปี ก็ส่งผลกระทบต่อการแย่งชิงทรัพยากรทั้งที่อยู่อาศัย ชายหาดและทรัพยากรทางทะเล เพราะทุกพื้นที่มีการกว้านซื้อและกันไว้ให้นักท่องเที่ยว เช่น การห้ามผู้หญิงชาวเลหาหอยติบตามโขดหินริมหาดที่มีโรงแรม รีสอร์ท ห้ามดำน้ำหาปลาในเขตที่มีนักท่องเที่ยวเล่นน้ำ เป็นต้น
                     นอกจากนี้ยังมีปัญหาเขตหากินดั้งเดิมในทะเล ถูกรัฐประกาศเป็นเขตสงวนหวงห้าม เป็นเขตอุทยาน ฯ ซึ่งจากข้อมูลศึกษาวิจัยพบว่า มีแหล่งหากินดั้งเดิมของชาวเลตามเกาะแก่งต่างๆ ตลอด 6 จังหวัดอันดามันมากกว่า 27 แหล่ง แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 2 แหล่ง จึงส่งผลให้ชาวเลต้องออกหากินไกลขึ้น ต้องดำน้ำลึกขึ้น ทำให้เกิดโรคน้ำหนีบ (อัมพาตจากการดำน้ำ) ไม่สามารถออกทะเลได้ ชีวิตต้องเป็นหนี้เป็นสิน ประกอบกับปัญหาอื่นๆ อีกรอบด้าน ทำให้ชาวเลยากจนลง คุณภาพชีวิตตกต่ำ
                     กระบวนการพัฒนาในพื้นที่อันดามันตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา มุ่งพัฒนาการท่องเที่ยวละเลยชนพื้นเมืองและชาวบ้านที่เป็นกลุ่มประมงพื้นบ้าน พบว่าหลังจากเกิดสึนามิปี 2547 มีชุมชนทั้งที่เป็นชาวเลและไม่ใช่ชาวเลมีปัญหาที่ดินถึง 122 ชุมชน ซึ่งแสดงว่าปัญหาที่ดินมีมานานแล้ว ชุมชนที่ประสบภัยได้รวมกลุ่มกัน เป็น “เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิและสิทธิชุมชน” ผลักดันให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหาที่ดินในพื้นที่ธรณีพิบัติ องค์กรต่างๆ เช่น สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และมูลนิธิชุมชนไท เสนอให้มีการคุ้มครองทางวัฒนธรรมแก่กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล
                     จึงเกิดมติคณะรัฐมนตรีในการฟื้นฟูวิถีชาวเล เมื่อปี 2553 ที่ครอบคลุมทั้งเรื่องการแก้ปัญหาที่ดินที่ทำกิน พื้นที่ทางจิตวิญญาณ การพัฒนาคุณภาพชีวิต สิทธิพื้นฐาน การฟื้นฟูทางวัฒนธรรมและการศึกษาของชาวเล โดยให้มีการตั้งคณะกรรมการอำนวยการบูรณาการเพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเลขึ้น
                     หลังมติคณะรัฐมนตรี เครือข่ายชาวเล มีความพยายามในการพัฒนาระบบการดำเนินงานของตนเอง โดยมีการประชุมสัมมนา การอบรม การจัดทำข้อมูล จัดทำแผนที่ การจัดงานวันรวมญาติชาติพันธุ์ชาวเลทุกปี เพื่อสื่อสารเผยแพร่และผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาในระดับนโยบายอย่างจริงจัง แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัญหาเกิดขึ้นกับชาวเลในพื้นที่ต่างๆ เป็นระยะ เช่น ชาวเลบ้านราไวย์ ภูเก็ต ถูกฟ้องขับไล่ออกจากพื้นที่กว่า 100 ครอบครัว ชาวเลเกาะหลีเป๊ะ เกาะอาดัง เกาะราวี ถูกอุทยานแห่งชาติประกาศทับที่ และถูกเอกชนฟ้องขับไล่ออกจากพื้นที่ ไม่มีความมั่นคงในการอยู่อาศัยมากกว่า 200 ครัวเรือน ชาวเลที่ออกหาปลาในทะเลถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติจับกุม ถูกยึดเรือและเครื่องมือประมง ต้องขึ้นศาลนานนับปี ทำให้เป็นหนี้และต้องยอมความเพราะไม่มีเงินไปศาล รวมทั้งในหลายพื้นที่ไม่มีระบบให้ชาวเลเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการท่องเที่ยวทางทะเล เป็นต้น
                     ผ่านมา 5 ปี หลังมติคณะรัฐมนตรี กระบวนการแก้ปัญหาซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการ เครือข่ายชาวเลและภาคีที่เกี่ยวข้อง มีพัฒนาการที่เป็นรูปธรรมขึ้น เมื่อสำนักนายกรัฐมนตรีมีการแต่งตั้งคณะกรรมการแบบมีส่วนร่วมจากหลายฝ่ายทั้งชาวเล นักวิชาการ นักพัฒนา ภาครัฐ ฯลฯ โดยมี พล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง เป็นประธานคณะกรรมการแก้ปัญหาที่ดินที่ทำกินและพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชุมชนชาวเล เพื่อให้เกิดการคลี่คลายปัญหาความขัดแย้ง ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการประกอบอาชีพประมงของชุมชนชาวเล โดย นายสนิท องศารา ผู้อำนวยการส่วนอุทยานแห่งชาติ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 เป็นประธานอนุกรรมการ
                     มีการประชุมปรึกษาหารือในระดับพื้นที่ระหว่างภาคีที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนชาวเล และหัวหน้าอุทยานแห่งชาติในพื้นที่ต่างๆ ประเด็นที่น่าสนใจของการปรึกษาหารือคือ การที่ใช้ข้อเท็จจริงในพื้นที่จากชาวเลบนหลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันอย่างเหมาะสม เช่น การใช้เครื่องมือประมงแบบดั้งเดิมของชาวเลและไม่กระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ การกำหนดฤดูกาลหรือช่วงระยะเวลาในการผ่อนปรนทำประมง ตลอดจนการขึ้นทะเบียนชาวเลที่ทำอาชีพประมง โดยที่ประชุมมอบหมายให้วัฒนธรรมจังหวัดและผู้แทนชาวเลแต่ละจังหวัด ทำการสำรวจรายชื่อของชาวเลที่ยังคงออกทะเล เพื่อออกบัตรประจำตัวในการทำประมงของชาวเลให้ชัดเจนต่อไป
                     จะเห็นได้ว่า ปัญหาของชนพื้นเมือง อย่างกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลอันดามัน ที่ได้รับผลกระทบจากโยบายการท่องเที่ยว การประกาศเขตอนุรักษ์ของรัฐ หรือแผนพัฒนาต่างๆ ที่จะตามมาในอนาคต เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกิดจากนโยบายการพัฒนาที่ไม่สมดุล มุ่งพัฒนาการหารายได้เข้าประเทศ จนละเลยและเบียดขับคนดั้งเดิมที่เป็นเจ้าของอันดามันอย่างแท้จริง ซึ่ง นพ.ประเวศ วะสี เคยกล่าวไว้ว่า ปัญหาเชิงโครงสร้าง เป็นความรุนแรงอีกชนิดหนึ่งของสังคมไทย องค์กรใดองค์กรหนึ่งจะแก้ไขโดยลำพังไม่ได้เพราะมันยากและละเอียดอ่อน ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย
                     กรณีความพยายามในการแก้ไขปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล โดยภาคีที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ทั้งศูนย์บริการประชาชน สำนักนายกรัฐมนตรี กรมอุทยานแห่งชาติ เครือข่ายชาวเล เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ มูลนิธิชุมชนไท สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ ฯลฯ ในการหาแนวทางคลี่คลายปัญหา
                     มติ ครม.การฟื้นฟูวิถีชีวิตของชาวเลผ่านไป 5 ปี จึงพบทางออกที่จะนำสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เป็นการรักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรมของท้องทะเลอันดามัน ซึ่งหมายถึงการออกจากความขัดแย้งและสร้างความร่มเย็นเป็นสุข ที่ทั่วโลกแสวงหา ดั่งที่ นายสนิท องศารา ผู้อำนวยการส่วนอุทยานแห่งชาติ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 กล่าวว่า “เมื่ออุทยานและชาวเลจับมือกัน หาหนทางให้ชาวเลหากินได้ สามารถอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้ และทำการท่องเที่ยวได้ งานนี้ถือว่าทุกฝ่ายมีเกียรติร่วมกัน”
———————-
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ทางออกปัญหาเขตอนุรักษ์ กับสิทธิในที่ทำกินของ ‘ชาวเล’ : โดย…ปรีดา คงแป้น มูลนิธิชุมชนไท / วิโชติ ไกรเทพ และชาญวิทย์ สายวัน … ภาพ)

ชาวท่าหินปรับตัวรับมือภัยพิบัติ เพื่อคงวิถี ‘โหนด นา เล’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20150913/213247.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2558
ชาวท่าหินปรับตัวรับมือภัยพิบัติ เพื่อคงวิถี 'โหนด นา เล'

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ชาวท่าหินปรับตัวรับมือภัยพิบัติ เพื่อคงวิถี ‘โหนด นา เล’ : โดย…ปรีดา คงแป้น

                      ชีวิตที่ว่าก่อร่างสร้างตัวยากลำบากแล้ว การฟื้นตัวจากวิกฤติชีวิตยิ่งยากลำบากกว่าหลายเท่า แต่พวกเขาก็ไม่เคยย่อท้อ นั่นคือคนท่าหิน แห่งคาบสมุทรสทิงพระ จ.สงขลา
                      ต.ท่าหิน คาบสมุทรสทิงพระ จ.สงขลา เป็นพื้นที่ริมทะเลสาบที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เป็นพื้นที่พิเศษที่มีความมั่นคงทางอาหาร ชาวบ้านแทบจะไม่ต้องใช้เงินไปซื้ออาหาร เพราะในนามีข้าว ในทะเลมีกุ้ง หอย ปู ปลาที่สมบูรณ์
                      ตาลโตนดเป็นพืชสารพัดประโยชน์ สามารถทำผลผลิตได้ทั้งปี ใช้ได้ทุกอย่าง ต้นโตนดใช้ทำบ้าน ใบใช้มุงหลังคา ทำหมวก น้ำหวานจากต้นตาล ทำน้ำตาล น้ำส้มหมัก น้ำหวาก (เหล้าพื้นบ้าน) ลูกตาลอ่อนรับประทานสดๆกับน้ำเชื่อมกะทิ ทำวุ้นกรอบ ลูกตาลสุกใช้ทำขนมตาล ทำสบู่ ทำแชมพู หมักทำน้ำยาล้างจานและปุ๋ย หัวลูกตาลอ่อนใช้แกงและยำ เปลือกใช้เป็นอาหารวัว รวมทั้งปลาในทะเลสาบเป็นปลาที่มันและไม่คาว กุ้งตัวโตขนาด 2-3 ตัวต่อกิโลกรัม ฯลฯ จึงได้ชื่อว่ามีวิถีโหนด นา เล
                      ในปี 2553 เกิดภัยพิบัติน้ำท่วมและพายุในคราวเดียวกัน ทำให้บ้านเรือนไร่นาเสียหายจำนวนมาก โดยเฉพาะนาข้าวเกิดความเสียหายจนชาวบ้านไม่อยากทำนาอีกต่อไป โครงการเสริมพลังความร่วมมือในการจัดการภัยพิบัติของเครือข่ายชุมชน ภายใต้ความร่วมมือของ สสส.และมูลนิธิชุมชนไทย ซึ่งลงพื้นที่ทำงานกับชาวบ้านตั้งแต่เริ่มประสบภัย หลังประสบภัยจึงสนับสนุนให้มีเวทีถอดบทเรียนร่วมกันของชาวบ้านใน ต.ท่าหิน ทำให้เกิดบทเรียนที่นำไปสู่การปรับตัวและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
                      เช่น การตั้งทีมสำรวจข้อมูลและทำแผนร่วมกัน โดยมีทั้งแกนนำชุมชน ผู้นำในท้องถิ่น กลุ่มเยาวชน และนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยมาหนุนช่วย ทำให้ชาว ต.ท่าหิน มีข้อมูลที่ชัดเจนและรอบด้าน ทั้งข้อมูลประชากร ข้อมูลการทำนา พันธุ์ข้าว ข้อมูลจำนวนต้นตาลโตนดและประโยชน์ที่ได้ ข้อมูลการประมงพื้นบ้าน การเลี้ยงสัตว์ ทั้งสัตว์น้ำ หมู เป็ด ไก่ วัวควาย ฯลฯ
                      นอกจากนี้ยังมีข้อมูลและแผนที่เกี่ยวกับประชากรกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงวัย ผู้เจ็บป่วยเรื้อรัง ผู้พิการ ฯลฯ ข้อมูลพื้นที่ปลอดภัย และพาหนะที่มี ซึ่งข้อมูลต่างๆ ได้นำมาสู่การทำแผนเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
                      การสร้างระบบวิทยุสื่อสาร มีการฝึกอบรมและประยุกต์ใช้งานวิทยุสื่อสารเครื่องแดงตามทักษะ โดยมี 1.สถานีแม่ข่ายทำหน้าที่รับข้อมูลข่าวสารจากทุกด้านและประมวลข้อมูลข่าวสารส่งกลับสถานีย่อยและเครือข่ายสถานีแม่ข่ายต่างพื้นที่ 2.สถานีย่อยทำหน้าที่รับข่าวจากพื้นที่และแลกเปลี่ยนไปยังสถานีแม่ข่ายรวมทั้งแจ้งข่าวกลุ่มเสี่ยงภัยในพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตและภัยพิบัติในด้านต่างๆ คือ ด้านการประมง ด้านความมั่นคง ด้านภัยพิบัติและเพื่อการประสานงาน
                      โดย ด้านภัยพิบัติ มีการใช้วิทยุเครื่องแดงเป็นช่องทางการสื่อสารการเตรียมความพร้อมติดตามสถานการณ์การ รายงานแจ้งเตือนภัย แจ้งอพยพ ขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดภัย ด้านความมั่นคง มีการใช้วิทยุเครื่องแดงในการติดต่อสื่อสารเพื่อความมั่นคงในการรักษาความสงบเรียบร้อยทั้งการตั้งด่านตรวจในชุมชน สกัดจับ ตรวจค้นผู้ต้องสงสัยที่เข้ามาในพื้นที่ชุมชน
                      ด้านการประมง มีการประยุกต์ใช้วิทยุเครื่องแดงเพื่อสนับสนุนอำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยการติดต่อสื่อสารกันของชาวประมงในพื้นที่ขณะออกทำการในทะเลสาบ โดยเฉพาะเรื่องกระแสน้ำ ระดับน้ำขึ้นลง และวาตภัยในทะเลสาบ และ ด้านประสานงาน เพื่อสร้างเครือข่ายภายนอก มีการนำวิทยุเครื่องแดงมาใช้เป็นช่องทางการติดต่อเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารและสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกับเครือข่ายภายนอก โดยเฉพาะสถานีแม่ข่ายพื้นที่ต้นน้ำและหน่วยอาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัยต่างๆ
                      การปรับตัวในการทำนา หลังจากมีการถอดบทเรียนร่วมกัน พบว่ามีการทำนาข้าวเป็นอาชีพหลัก ซึ่งพื้นที่เฉลี่ยไม่ต่ำกว่าครัวเรือนละ 7 ไร่ แต่ดั้งเดิมชาวท่าหินทำนาแบบพึ่งตนเอง ตั้งแต่การไถด้วยวัว การใส่ปุ๋ยจากมูลสัตว์หรือขี้เถ้าจากเตาเคี่ยวน้ำตาล มีพันธุ์ข้าวพื้นบ้านจำนวนมาก เช่น ข้าวสาหรี่ ข้าวนางฝ้าย ข้าวนางหมุ่ยดอกแฝก ข้าวลูกปลา ข้าวหัวนา ฯลฯ ข้าวเหล่านี้ล้วนทนน้ำ ทนลม และทนต่อการเกิดภัยพิบัติ แต่เมื่อปี 2510 มีการปลูกข้าว กข.13 โดยราชการมาส่งเสริม ทำให้ข้าวพื้นบ้านขายไม่ได้เพราะพ่อค้าไม่รับซื้อ จึงหันมาปลูกข้าว กข.13 กันจนเกือบหมด ทำให้ต้องซื้อ ปุ๋ย ยา จากภายนอกและขาดทุนมาเป็นระยะ
                      หลังจากมีการทบทวนแล้วว่า เพราะพึ่งพิงภายนอก ละเลยวิถีดั้งเดิมและไม่รู้จักปรับตัว จึงมีการรวมกลุ่มทำนา ทำปุ๋ยหมัก ทำน้ำหมักจากลูกตาลโตนด คัดแยกเมล็ดพันธุ์ข้าว วัดและจดบันทึกค่าดิน พร้อมศึกษาพันธุ์ข้าวและแลกเปลี่ยนกับตำบลใกล้เคียง คือ ต.บ่อแดง ต.บางเขียด ต.ชะแล้ ต.วัดจันทน์ เป็นเครือข่ายการทำนาข้าวเพื่อการปรับตัวต่อภัยพิบัติ
                      เบญจวรรณ ศรีสุวรรณ เล่าว่า “เมื่อเกิดภัยพิบัติได้รับความเสียหาย คนไม่อยากทำนา ทิ้งร้าง จึงเริ่มวางแผนทำนาใหม่ในพื้นที่ 1 ไร่ ทำปุ๋ยเอง ทำน้ำหมักเอง ต้นทุนอยู่ที่ 1,700 บาท ได้ข้าวไรซ์เบอร์รี่ถึง 11 กระสอบ ราคาประมาณ 2 หมื่นบาท มีการเปลี่ยนแปลงคือ สภาพดินดีขึ้น มีไส้เดือน มีสัตว์น้ำในนา ข้าวกอโตมาก”
                      นอกจากนี้ ต.ท่าหิน มีการทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายและขยายสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกันทั้งระดับพื้นที่ ระดับชุมชน ระดับตำบล ระดับอำเภอ ระดับลุ่มน้ำ ครอบคลุมด้านข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ งบประมาณ บุคลากร เครื่องมือ ทั้งสภาวะปกติ และสภาวะฉุกเฉินขณะเกิดภัยพิบัติ และ มีการเรียนรู้การอ่านแผนที่ภูมิอากาศ โดย ดร.สมพร ช่วยอารีย์ จาก ม.อ.ปัตตานี ช่วยฝึกอบรมจนชาวบ้านสามารถอ่านเองได้
                      ดังนั้นชาว ต.ท่าหิน จึงใช้การบูรณาการของภูมิปัญญาประสบการณ์จริงในพื้นที่และแนวคิดทฤษฎีองค์ความรู้สมัยใหม่จากหน่วยงานภายนอกต่างๆมาปรับใช้ร่วมกัน เป็นนวัตกรรมการจัดการภัยพิบัติที่เหมาะสมสอดคล้องกับชุมชน จนนำมาสู่การเปิดเป็นศูนย์เรียนรู้วิถีโหนด นา เล และศูนย์เรียนรู้ภัยพิบัติตำบลท่าหิน โดยมีพิธีเปิดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2558 มีทั้งภาคีความร่วมมือจากภาครัฐ นักวิชาการ และเพื่อนเครือข่ายชุมชนที่เคยประสบภัย  เช่น บ้านน้ำเค็ม จ.พังงา อ.เขาพนม จ.กระบี่ ต.ขอนคลาน จ.สตูล และจ.ภูเก็ต เข้าร่วมเรียนรู้ด้วย
                      ภัยพิบัติทุกชนิดไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้ แต่ประสบการณ์คือต้นทุนที่สำคัญในการนำไปสู่การวางแผนป้องกันให้ชุมชนอยู่คู่กับวิถีของท้องถิ่นได้ ซึ่งชาวท่าหินทำให้เห็นเป็นประจักษ์แล้ว
——————–
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : ชาวท่าหินปรับตัวรับมือภัยพิบัติ เพื่อคงวิถี ‘โหนด นา เล’ : โดย…ปรีดา คงแป้น)

เหมือนได้สามีใหม่ เพราะสามีเลิกเหล้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20150906/212847.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2558
เหมือนได้สามีใหม่ เพราะสามีเลิกเหล้า

รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : เหมือนได้สามีใหม่ เพราะสามีเลิกเหล้า : โดย…จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล

                        กล่าวได้ว่า ปัญหาครอบครัวในสังคมไทยปัจจุบัน นับวันยิ่งทวีความรุนแรงและมีแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก สำหรับปัจจัยกระตุ้นที่เราไม่อาจปฏิเสธได้คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นชนวนเชื่อมโยงนำไปสู่ความแตกแยก ทนทุกข์ หนี้สิน อาชญากรรม อุบัติเหตุ และยังต้องเผชิญกับผลกระทบอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย สะท้อนได้จากเวทีเสวนาล่าสุดที่มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรมรณรงค์งดเหล้าครบพรรษา ภายใต้แคมเปญ “เหมือนได้สามีใหม่ เพราะสามีเลิกเหล้า”
                        ภายในงานมีการบรรยายถึงสถานการณ์หัวอกภรรยากับสามีนักดื่มและความทุกข์ที่ก้าวผ่าน โดย น.ส.นุจรีย์ ศรีสวัสดิ์ ฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นกลุ่มผู้หญิงที่แต่งงานแล้วหรือกลุ่มคู่รัก จำนวน 1,300 ตัวอย่าง ต่อกรณีปัญหาผลกระทบจากสามีคนรักที่เป็นนักดื่ม ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ช่วงเดือนกรกฎาคม 2558 พบว่า สามีหรือคนรัก ต่างมีพฤติกรรมดื่มเหล้าสูงถึง 71.6% อีก 22.8% เคยดื่มแต่เลิกแล้ว มีเพียง 5.6% เท่านั้นที่ไม่เคยดื่มเหล้าเลย นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ต้องเผชิญปัญหาที่สามีหรือคนรักดื่มเหล้าทั้งความรุนแรงในครอบครัวด้านร่างกายและจิตใจ ปัญหาส่วนใหญ่ ได้แก่ ดื่มเหล้าเที่ยวกลางคืนกลับบ้านดึก 54.6% มีปัญหาหนี้สิน 47.5% ชวนเพื่อนตั้งวงดื่มส่งเสียงดัง 47.3% ขี้โมโหก้าวร้าว 45.2% แต่ที่น่าห่วงคือ 27.6% ต้องเผชิญปัญหาเมาแล้วทำร้ายร่างกาย และกว่า 18.3% ถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์
                        น.ส.นุจรีย์ กล่าวต่อว่า กลุ่มตัวอย่างเกินครึ่ง หรือ 59.3% วิตกกังวล เครียดที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มเหล้า ที่สามีหรือคนรักมีปัญหาสุขภาพ ขาดสติ และ 1 ใน 3 ควบคุมตัวเองไม่ได้ ติดเพื่อน ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว เกิดอุบัติเหตุ
                        สำหรับวิธีแก้ปัญหาผู้ตอบแบบสอบถาม 23.5% เลือกที่จะอดทนเพื่อลูกเพื่อครอบครัว รองลงมา 20.8% เปิดใจคุยให้สามีเลิกเหล้า นอกนั้นหาคนพูดคุยเพื่อระบายทุกข์ ใช้ศาสนาเป็นที่พึ่ง ขณะเดียวกันยังมีอีก 8.4% เลือกใช้วิธีดื่มเหล้าประชด และ 5.6% ใช้วิธีการโต้กลับด้วยความรุนแรง ทั้งนี้จะเห็นว่า ความคาดหวังของผู้หญิงต่างอยากให้สามีปรับพฤติกรรม ด้วยการเลิกดื่มเหล้าตลอดไปถึง 26.9% หันมารับผิดชอบครอบครัว 22.4% งดเหล้าเข้าพรรษา 18.3% มีเวลาให้ลูก-เมีย 18.2% และช่วยงานบ้าน 14.2%
                        “การดื่มเหล้าของสามีหรือคนรัก ส่งผลกระทบเกิดความรุนแรงในครอบครัวทั้งด้านจิตใจ ร่างกาย จนถึงการบังคับมีเพศสัมพันธ์ พฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนระบบชายเป็นใหญ่ ทั้งการทำลายข้าวของ โวยวาย ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่กล้าโต้ตอบ ด้วยความรู้สึกว่าสามีเป็นผู้นำครอบครัว และการที่ผู้ชายนิยมดื่มเหล้าก็มาจากการถูกหล่อหลอม ถูกชักชวนจากสื่อโฆษณาต่างๆ ทำให้มีทัศนคติว่าผู้ชายกับการดื่มเหล้าถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม ภรรยาส่วนใหญ่คาดหวังอยากให้สามีเลิกเหล้า แล้วหันมาดูแลรับผิดชอบครอบครัว ช่วยงานบ้าน ไม่มองว่าเรื่องการดูแลครอบครัวเป็นเรื่องของภรรยาฝ่ายเดียว ซึ่งก็มีสามีหลายคนที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ ทำให้ภรรยารู้สึกดีใจและสะท้อนว่า “เหมือนได้สามีใหม่” เป็นคนที่รับผิดชอบครอบครัว ไม่ใช้ความรุนแรง ให้เกียรติภรรยา ช่วยงานบ้าน ช่วยดูแลลูก นอกจากนี้ภรรยาเองควรปรับพฤติกรรม เน้นให้กำลังใจสามี ไม่พูดประชดประชันเสียดสี และไม่ตอกย้ำอดีตที่ผิดพลาด เพราะถือเป็นการใช้ความรุนแรงทางวาจาเช่นเดียวกัน ควรเชื่อมั่นว่าพฤติกรรมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชายก็ไม่ควรใช้ความรุนแรงต่อกันทั้งระดับจิตใจ ร่างกาย แต่ควรให้เกียรติซึ่งกันและกัน” น.ส.นุจรีย์ กล่าว
                        ขณะที่ นางจรรยา ธิตา อายุ 53 ปี ชาวชุมชนฟ้าใหม่ จ.เชียงใหม่ กล่าวถึงช่วงชีวิตที่สามีติดสุราอย่างหนักจนเกือบทำให้ครอบครัวต้องแตกแยกว่า อยู่กินกับสามีมาตั้งแต่ปี 2525 หลังเลิกงานเราทั้งคู่จะตั้งวงดื่มเหล้าเป็นประจำกับเพื่อนร่วมงาน แต่เมื่อตั้งท้องก็ต้องหยุดงานไปเลี้ยงลูกที่บ้านเกิด ส่วนสามีก็เริ่มดื่มหนักขึ้น เริ่มเที่ยวเตร่ เล่นการพนัน ไม่ส่งเงินช่วยเลี้ยงดู พอคลอดลูกจึงฝากให้พี่สาวเลี้ยง เพราะต้องช่วยสามีทำงาน ซึ่งตอนนั้นสามีไม่มีท่าทีจะหยุดดื่มเหล้า เงินที่ได้มาไม่เหลือเก็บ มีหนี้สิน มรดกที่ได้ 2 แสนบาทต้องหมดไปกับวงเหล้า หนำซ้ำยังต้องเสียประวัติเพราะคดียาเสพติด และชอบใช้ความรุนแรง โมโหร้าย ทุบตี ไม่นานก็เริ่มมีปัญหาสุขภาพ ป่วยเป็นโรคตับเพราะดื่มสุราหนัก
                        “สาเหตุที่สามีหยุดดื่มเหล้าได้ เพราะสุขภาพย่ำแย่และอยากทำเพื่อลูก2คน ขณะที่ไปเข้าค่ายครอบครัวกับทางมูลนิธิก็ได้เรียนรู้และทำกิจกรรมจนเลิกดื่มได้ถาวร ส่วนตนก็คอยให้กำลังใจ และอดทน ไม่ซ้ำเติมไม่พูดเรื่องเก่าๆ รวมถึงชุมชนก็เห็นความตั้งใจสนับสนุนให้กลับมาประกอบอาชีพ ใช้หนี้สินจนหมด สร้างบ้านใหม่ คุณภาพชีวิตเริ่มดีขึ้น ครอบครัวเราไม่ใช่ครอบครัวเก่า แต่เป็นครอบครัวใหม่ที่มีความสุข สามีคนเก่าก็ไม่มี แต่เป็นสามีใหม่ ลูกก็ได้พ่อใหม่ ที่เปลี่ยนเป็นคนละคน ช่วยดูแลลูก ช่วยทำงานบ้าน” นางจรรยา ระบุ
                        นางวชิราวรรณ ปั้นทอง อายุ 48 ปี บ้านคำกลาง ต.โนนหนามแท่ง จ.อำนาจเจริญ เธอเล่าว่า เมื่อก่อนสามีติดเหล้ามาก ชาวบ้านเรียกว่าไอ้ขี้เมา ชอบไปเมากับกลุ่มเพื่อนเที่ยวคาเฟ่เที่ยวผู้หญิง ไม่กลับบ้านสองสามวันก็มี ชอบอาละวาด ถ้าไม่พอใจหรือไม่ตามใจก็ทำร้ายร่างกาย ทำลายข้าวของในบ้าน ไม่มีเงินให้ลูกเพราะเอาไปลงกับเหล้าหมด พอช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 รายได้น้อยลงมาก ตนเองก็ท้องลูกคนที่ 2 เลยตัดสินใจกลับบ้านมาทำนา ตอนนั้นสามีก็ยังดื่ม เริ่มมีปัญหาสุขภาพ เป็นเบาหวาน ความดัน เนื่องจากติดเหล้ามานาน ต้องกู้ยืมเงินมารักษา แต่ยังไม่เลิกดื่ม
                        “จุดเปลี่ยนของสามีเพราะได้เริ่มทำงานร่วมกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เข้าโครงการลดละเลิกเหล้าลดความรุนแรง เมื่อเห็นถึงผลกระทบและทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามีหันมาสนใจครอบครัวมากขึ้น ช่วยกันทำมาหากิน มีเงินเก็บ หลีกเลี่ยงเพื่อนที่ชวนไปดื่มเหล้า จนสามารถเป็นตัวอย่างให้คนในชุมชนและเป็นนักรณรงค์ลดละเลิกเหล้าได้ในที่สุด อีกทั้งยังรณรงค์ไม่ให้ผู้ชายใช้ความรุนแรงในครอบครัวร่วมกับเครือข่ายชุมชน พร้อมทั้งเปิดศูนย์อาสาช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าวด้วย ส่วนตนก็คอยให้กำลังใจชื่นชม และภูมิใจในตัวสามีที่ปรับปรุงตัวเองได้ ปัจจุบันครอบครัวมีความสุข เหมือนได้สามีคนใหม่เลยทีเดียว” นางวชิราวรรณ กล่าว
                        นางมณี เอกศรี อายุ 49 ปี อาชีพพนักงานโรงงาน ย่านอ้อมน้อย-อ้อมใหญ่ จ.นครปฐม กล่าวว่า ก่อนแต่งงานสามีเป็นคนขยันทำมาหากิน ไม่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ กระทั่งเกิดปัญหาถูกโกงเงินจากแชร์ที่เล่น ทำให้ผิดหวังเสียใจหันไปหาเหล้า ตั้งวงดื่มกับเพื่อนหลังเลิกงานทุกวัน เริ่มออกไปดื่มนอกบ้านและเปลี่ยนสถานที่สังสรรค์ไม่ยอมกลับบ้าน ลูกเมียไม่สนใจ กู้หนี้ยืมสินมากินเหล้า บ่อยครั้งเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุ หนักสุดกระดูกหักนอนโรงพยาบาล เคยเข็นรถตกสะพานทั้งคนทั้งรถเพราะเมา เคยทะเลาะตบตีเป็นประจำ ที่สามีทำร้ายร่างกายรุนแรงที่สุดคือใช้ของมีคมเลื่อยใบหูจนเลือดอาบ ใช้ของแข็งตีเย็บ 3-4 เข็ม
                        “ชีวิตช่วงนั้นลำบาก ต้องเลี้ยงลูก 2 คน ต้องคอยตามแก้ปัญหาให้สามี เวลาสามีไปเมาเกิดอุบัติเหตุ ต้องเป็นคนไปจ่ายค่าเสียหาย เวลาไปทำงานก็อายเพื่อนมองหน้าใครไม่ติด เพราะถูกทวงหนี้ที่สามีไปยืนมา ต้องอดทนหารายได้เสริมด้วยการขายก๋วยเตี๋ยวหลังเลิกงานจนถึงตีสาม โชคดีที่ลูกตั้งใจเรียนไม่เพิ่มปัญหาให้ จนกระทั่งญาติๆ ทนพฤติกรรมไม่ไหวพาไปบำบัดด้วยสมุนไพรช่วยเลิกเหล้าและฟังธรรมให้พระเทศน์สอน จึงได้สติและลดละเลิกเหล้าไม่แตะต้องมันอีกเลย ครอบครัวเราตอนนี้ดีมีความสุขมาก สามีเปลี่ยนไปกลับมาทำงานเก็บเงิน ได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้า รู้สึกดีใจ และภูมิใจ” นางมณี กล่าวทิ้งท้าย
                        หากแต่เพียงคนในครอบครัวเข้าใจและใส่ใจกัน รู้ว่าอะไรที่ไม่ดีไม่งามก็ไม่นำเข้ามาในบ้าน ที่สำคัญต้องไม่สร้างปัญหาที่กระทบต่อร่างกายจิตใจ ดูแลกันและกันให้ดีพอ เพียงเท่านี้ความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัวก็จะกลับมายั่งยืนยาวนาน
———————–
(รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม : เหมือนได้สามีใหม่ เพราะสามีเลิกเหล้า : โดย…จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล)