วิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชน : เครื่องลดความชื้นข้าวเปลือก… ระดับเกษตรกร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/242293

วันอาทิตย์ ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

“ข้าว” เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย มูลค่าการส่งออกข้าวของไทยโดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 2554-2557) มีปริมาณการส่งออกรวมทั้งสิ้น 35,027,959 ล้านตัน มีมูลค่ารวม 645,526 ล้านบาท สำหรับปี 2557 ที่ผ่านมา มีการส่งออกข้าวสูงถึง 10,969,360 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 65% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2556และมีมูลค่าการส่งออกรวม 174,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้น30.6% อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญประการหนึ่งของข้าวไทย คือข้าวเปลือกมีความชื้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวนาปรังที่เก็บเกี่ยวในช่วงฤดูฝน ส่งผลให้ข้าวเสื่อมคุณภาพเร็ว เมล็ดเกิดรอยร้าวภายในก่อนสี ทำให้คุณภาพการสีต่ำ การเกิดกลิ่นสาบ เมล็ดมีสีเหลืองคล้ำ แมลงที่ติดมากับเมล็ดเจริญเติบโตและขยายพันธุ์รวดเร็ว กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ประสบความสำเร็จในการออกแบบและพัฒนา “เครื่องลดความชื้นข้าวเปลือก…ระดับเกษตรกร” เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการลดความชื้นข้าวเปลือกช่วงฤดูฝน โดยใช้หลักการออกแบบง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อน ประหยัดพลังงาน มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ได้ข้าวเปลือกที่มีคุณภาพ เครื่องลดความชื้นข้าวเปลือก…ระดับเกษตรกร วว. ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 3 ส่วน คือ 1.ชุดกระจายลมร้อนติดตั้งอยู่บริเวณส่วนล่าง ออกแบบโดยใช้หลักการของไซโคลน ทำให้เกิดกระแส ลมหมุนวน ส่งผลให้ลมร้อนที่ไหลออกจากห้องกระจายลม มีความสมํ่าเสมอ 2.ถังบรรจุข้าวเปลือกติดตั้งอยู่บริเวณส่วนบน มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก บริเวณส่วนล่างติดตั้ง ตะแกรงทำหน้าที่รองรับข้าวเปลือก และปล่อยให้ลมร้อนไหลผ่านชั้นข้าวเปลือก 3.ชุดใบกวน ทำหน้าที่กลับกองข้าวเปลือก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดความชื้นข้าวเปลือก ขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 1 แรงม้า หลักการทำงานของเครื่อง เครื่องลดความชื้นข้าวเปลือก…ระดับเกษตรกร ออกแบบให้สามารถใช้งานง่ายและสะดวก โดยการบรรจุข้าวเปลือกลงในถังบรรจุ ซึ่งสามารถได้สูงสุด 500 กิโลกรัมต่อครั้ง จากนั้นเปิดชุดกระจายลมร้อนและชุดใบกวนตามลำดับ โดยเครื่องลดความชื้นข้าวเปลือก ระดับเกษตรกร มีความสามารถในการลดความชื้นข้าวเปลือก จากค่าความชื้นเริ่มต้น 20 เปอร์เซ็นต์ ลดลงเหลือ 14 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้ระยะเวลาเพียง 3 ชั่วโมง มีกำลังการผลิตสูงสุด 2 ตันต่อวัน ใช้พลังงานความร้อนจากแก๊สแอลพีจี และสามารถนำไปใช้อบ ลดความชื้นธัญพืชหรือสมุนไพรอื่นๆ ได้หลากหลาย เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ข้าวโพด กาแฟ ขิง ข่า ขมิ้น เป็นต้น

กองประชาสัมพันธ์

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

วิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชน : กระดังงาไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/227008

วันอาทิตย์ ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

กระดังงาไทย จัดเป็นพืชสมุนไพร และเป็นไม้ดอกไม้ประดับชนิดหนึ่ง ซึ่งนอกจากเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมแล้วยังมีประโยชน์อีกมากมายที่ควรรู้ กระดังงาไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ Cananga odorata Hook. f. & Th. จัดอยู่ในวงศ์ Annonaceae มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Kenanga, Ylang Ylang, llang llang, Perfume tree ชื่อเรียกตามท้องถิ่นว่า กระดังงา (ตรัง ยะลา) กระดังงาใบใหญ่ กระดังงาใหญ่ (กลาง) สะบันงาต้น (เหนือ)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูงประมาณ 15-20 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว สีเขียวอ่อน เรียงสลับกัน ดอกออกรวมกัน 3-6 ดอก ดอกอ่อนมีสีเขียว ดอกแก่จัดมีสีเหลืองอมเขียว มี 6 กลีบ ห้อยลง มีกลิ่นหอม ผลยาวรีอยู่รวมกันเป็นพวง 5-14 ผล สีเขียวเข้ม เมื่อสุกมีสีดำ

การใช้ในเครื่องสำอางและสรรพคุณทางยา

สุวคนธบำบัด (การบำบัดรักษาด้วยกลิ่นหอม) น้ำมันหอมระเหยจากดอกแก่จัดเรียก Ylang-Ylang oil ได้จากการนำดอกสดมากลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation) น้ำมันหอมระเหยมีสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอมเย้ายวน ช่วยให้ผ่อนคลายจากความตึงเครียด ทำให้สงบ ลดอาการซึมเศร้าบำรุงหัวใจ เมื่อใช้นวดตัวจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต นอกจากนี้ น้ำมันหอมระเหยจากดอกกระดังงายังใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอาง น้ำอบ น้ำหอม

วิธีการใช้โดยการเติมน้ำมันหอมระเหย 4-6 หยดลงในอ่างอาบน้ำ หรือใช้น้ำมันหอมระเหย 4 หยด ในน้ำมันถั่วเหลือง 2 ช้อนโต๊ะ ใช้แทนน้ำหอมหรือเติมน้ำมันหอมระเหย 3-4 หยดลงในแชมพู 60 ซีซี

แต่งกลิ่นอาหาร

นำดอกที่แก่จัดรมควันเทียนหรือเปลวไฟจากเทียนเพื่อให้ต่อมน้ำหอมในกลีบดอกแตก และส่งกลิ่นหอมออกมาแล้วนำไปเสียบไม้ ลอยน้ำในภาชนะปิด 1 คืน เก็บดอกทิ้งตอนเช้า นำน้ำไปคั้นกะทิหรือปรุงอาหารอื่นๆ

ปรุงยาหอม

ดอกแก่จัดใช้ปรุงยาหอม เป็นยาบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต บำรุงธาตุ แก้ลมวิงเวียง ชูกำลังทำให้ชุมชื่น

บำรุงเส้นผมและบรรเทาอาการแมลงสัตว์กัดต่อย

ในสมัยโบราณใช้ดอกผสมกับน้ำมันมะพร้าวทาบำรุงเส้นผม และบริเวณที่แมลงสัตว์กัดต่อย

ยาขับปัสสาวะ

ใช้ใบและเนื้อไม้ต้มน้ำรับประทาน

สารสำคัญ

ใน Ylang-Ylang oil มีสารสำคัญคือ linalool, linalylbenzoate, linalylacetate, cardinen, geraniol, cresol, -pinen, caryophyllene, eugenol, isoeugenol, cresylmethylether, safrol, methylbenzoate, salicylate, nerol, farnesol

ข้อควรระวัง

ในการบำบัดรักษาด้วยน้ำมันหอมระเหย มีข้อห้ามคือ

1.ห้ามรับประทาน

2.ห้ามสูดดมหรือสัมผัสผิวหนังโดยตรง เว้นแต่ได้ทำให้เจือจางแล้ว

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

วิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชน : สะเดาบ้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/215747

วันอาทิตย์ ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ถ้าเอ่ยชื่อผักที่มีรสขม เชื่อได้เลยว่า ทุกคนจะนึกถึง “สะเดา” เป็นอันดับต้นๆ สะเดาเป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านที่คนไทยเรานิยมบริโภคกันมาช้านาน ส่วนใหญ่มักจะบริโภคยอดและดอกสะเดาในช่วงต้นฤดูหนาว เพราะเชื่อว่า การบริโภคสะเดาก่อนเป็นไข้ ช่วยป้องกันไข้ได้ หรือบริโภคสะเดาเมื่อเป็นไข้แล้ว ก็รักษาให้หายไข้ได้ ถือเป็นพืชสารพัดประโยชน์ที่ทุกครัวเรือนควรมีไว้ ต้นสะเดาถือเป็นต้นไม้แห่งยา เพราะทุกส่วนของสะเดาล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งสิ้น สะเดาในประเทศไทยมี 3 ชนิดคือ สะเดาอินเดีย สะเดาช้าง และสะเดาไทยหรือสะเดาบ้าน คุณสมบัติของสะเดาทั้ง 3 ชนิด คล้ายคลึงกันนำมาใช้แทนกันได้ในที่นี้จะขอพูดถึงสะเดาบ้าน

สะเดาบ้าน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Azadirachta indica A. Juss. var. siamensis Veleton จัดอยู่ในวงศ์ Lythraceae มีชื่อภาษาอังกฤษ Siamese neem tree. ชื่อเรียกท้องถิ่น สะเดา (กลาง) สะเลียม (เหนือ) กะเดา (ใต้) จะตัง (ส่วย)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้น สูง 5-10 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับใบย่อยรูปใบหอก ขอบใบหยักฟันเลื่อยฐานใบไม่เท่ากัน ใบย่อยกว้าง 2-2.5 เซนติเมตร ยาว 3-4.5 เซนติเมตร ยอดอ่อนมีสีน้ำตาลแดง ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง จะออกดอกเมื่อใบแก่ร่วงไป กลีบดอกสีขาวมีกลิ่นหอม ผลเป็นผลสดรูปรี กลม ใน 1 ผล มี 1 เมล็ด

การใช้ในเครื่องสำอางและสรรพคุณทางยา

สะเดาเป็นพืชที่คนไทยรู้จักกันมานาน ใช้เป็นอาหาร ยารักษาโรคและยาฆ่าแมลงตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น นอกจากทุกส่วนของสะเดาจะมีรสขม ยอดใบสะเดาใช้เป็นผักจิ้มได้ เปลือกต้นใช้เป็นยาขมเจริญอาหาร ยาฝาดสมาน ใบใช้เป็นยารักษาไข้มาลาเรีย น้ำมันจากเมล็ดใช้รักษาโรคผิวหนัง ผสมเป็นยาทาแก้โรครูมาติซั่มและใช้เป็นยาขับพยาธิ กากเมล็ดนำไปแช่น้ำใช้เป็นยาฆ่าแมลงได้

ทำให้ฟันแข็งแรงขาวสะอาดเป็นเงางาม คนท้องถิ่นอินเดียใช้สะเดาสีฟันมานาน ตื่นเช้าขึ้นมาก็จะเดินมาหักกิ่งสะเดาแล้วก็สีฟัน กิ่งสะเดานอกจากช่วยทำความสะอาดแล้วยังช่วยบำรุงรักษาฟันและเหงือกให้แข็งแรงด้วย กิ่งสะเดามีรสขม จึงควรเลือกกิ่งเล็กๆ กัดทีละนิดให้รสขมออกมาทีละน้อย ใช้กิ่งยาวขนาดเท่านิ้วชี้ ใช้ฟันขบปลายข้างใดข้างหนึ่งให้แบน แตกเป็นเส้นเล็กๆ คล้ายแปรงนำมาถูฟัน ถูไปถูมาจนขนแปรงหลุดแล้วขบใหม่ นอกจากกิ่งสะเดาแล้วเปลือกต้นสะเดาก็ทำแปรงสีฟันได้ โดยใช้เปลือกสะเดายาว 2-3 นิ้วขูดเอาเปลือกนอกดำๆ ออก ทุบปลายให้แตกใช้ส่วนปลายอ่อนๆ ถูฟัน ใช้แล้วฟันจะแข็งแรงขาวสะอาดเป็นเงางาม

สาระสำคัญ

ใบ มี quercetin และสารพวก limonoid ได้แก่ nimbolide และ nimbic acid ในเมล็ดมี Azadirachtin ประมาณ 0.4-1% เปลือกต้นมีสาร nimbin และ desacetylnimbin

ข้อควรระวัง

  1. ห้ามใช้กับคนที่มีความดันโลหิตต่ำ เนื่องจากสะเดาจะไปลดความดันให้ต่ำลงมาอีก ทำให้หน้ามืดเป็นลม
  2. สะเดามีรสขม จึงเป็นยาเย็น บางคนอาจไม่ถูกกับยาเย็น ทำให้ท้องอืดเกิดลมในกระเพาะ
  3. ห้ามใช้กับหญิงที่ให้นมบุตร เพราะจะทำให้น้ำนมไม่มี

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

วิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชน : ‘จำปีสิรินธร’ พรรณไม้ในพระนามสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/213806

วันอาทิตย์ ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

จำปีสิรินธร (Magnolia sirindhorniae Noot & Chalermglin) พรรณไม้ชนิดนี้จัดว่าเป็นไม้ยืนต้นชนิดใหม่ของโลกในวงศ์จำปี-จำปา (Magnoliaceae family) ค้นพบครั้งแรกในเมืองไทย ณ ต.ซับจำปา อ.ท่าหลวง จ.ลพบุรี โดย ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เป็นพืชในกลุ่มจำปีชนิดเดียวที่สามารถเจริญเติบโตในป่าพรุ (ผืนป่าที่มีน้ำขังแฉะ) อีกทั้งจัดว่าเป็นพืชเฉพาะถิ่นของไทย (Endemic to Thailand) สำหรับพรรณไม้ชนิดนี้ได้รับพระราชทานนามจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2543 และได้รายงานในวารสารจำแนกพรรณไม้นานาชาติ BLUMEA ในปีพ.ศ.2543 ในชื่อของ Magnolia Sirindhorniae Noot.& Chalermglin โดยมีชื่อภาษาไทยว่า “จำปีสิรินธร”

จำปีสิรินธร จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลำต้นสูงประมาณ 20-30 เมตร ในธรรมชาติพบต้นใหญ่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางต้นมากกว่า 1 เมตร เปลือกต้น เมื่อลำต้นยังเล็กมีลักษณะผิวเรียบ แต่เมื่อเติบโตเต็มที่ผิวเปลือกจะแตกเป็นร่องลึก เนื้อไม้สีขาวนวล จำปีสิรินธรมีระบบรากแข็งแรงดีการกระจายตัวของรากฝอยมาก เพื่อช่วยค้ำจุนลำต้นและดูดซับน้ำในแหล่งน้ำ (ป่าพรุ) และกักเก็บน้ำในแหล่งธรรมชาติสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับผืนป่า

ใบเดี่ยวมีขนาดใหญ่และหนากว่าจำปีทั่วไป สีเขียวเข้มเป็นมัน กลิ่นฉุนเฉพาะตัว ขนาดใบกว้าง 10-20 เซนติเมตร ยาว 30-40 เซนติเมตร เมื่อสัมผัสหรือมอง จะเห็นเส้นใบเด่นชัด

ดอก เป็นดอกเดี่ยว ดอกตูมจะมีกาบหุ้มดอกมักออกบริเวณซอกใบหรือปลายยอด เมื่อใกล้บานกาบหุ้มเหล่านั้นจะหลุดออก แรกบานดอกจะมีสีขาวนวล และเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อใกล้โรย กลีบดอกมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 12-15 กลีบ ในธรรมชาติมักออกดอกตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงกรกฎาคม เมื่อดอกโรยแล้วจะมีผลรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม ซึ่งผลจะเริ่มแก่ประมาณ 3 เดือน (หลังจากดอกบาน) ช่วงเดือนตุลาคม ถึงเดือนพฤศจิกายน ภายในผลมีเมล็ดที่ถูกห่อหุ้มด้วยเปลือกสีแดงสด

ปัจจุบันจำปีสิรินธรถูกนำมาขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และทาบกิ่ง เพื่อปลูกเลี้ยงนอกถิ่นกำเนิดตามหน่วยงาน สถานที่ราชการ รวมทั้งสวนหย่อมตามบ้าน แต่เนื่องด้วยเทคนิคในการขยายพันธุ์รวมทั้งวิธีการปลูกเลี้ยง อาจทำให้จำปีสิรินธรมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างจากต้นเดิมซึ่งขึ้นและเจริญเติบโตตามป่าพรุในแหล่งธรรมชาติ เช่น “การออกดอก” บางต้นอาจผลิดอกออกผลง่ายเนื่องจากขยายพันธุ์ด้วยวิธีการต่อกิ่งหรือทาบกิ่งจากต้นที่เคยออกดอกมาแล้ว และนำมาปลูกในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ ทำให้สามารถออกดอกได้ง่าย ในขณะที่ต้นซึ่งปลูกจากเมล็ดจะมีความแข็งแรง และลำต้นสมบูรณ์ แต่จะออกดอกได้ช้า และลำต้นจะมีขนาดใหญ่ การออกดอกประมาณ 7-8 ปี

อย่างไรก็ตาม จำปีสิรินธร ถูกจัดว่าเป็นพรรณไม้ยืนต้นที่มีขนาดใหญ่ สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับผืนป่าธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเป็นพรรณไม้คู่พระบารมีในสมเด็จพระเทพรัตราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งทรงนำไปปลูกเลี้ยงในสถานที่ต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ประจำพระองค์ในการเสด็จเยี่ยมเยือนในสถานที่นั้นๆ อีกทั้งประชาชนส่วนหนึ่งได้นำไปปลูกเลี้ยงเพื่อเป็นมิ่งขวัญ สิริมงคล ทั้งในบ้านและตามสวนหย่อมทั่วไป

อนันต์ พิริยะภัทรกิจ

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย