โรคไบโพลาร์ (ตอนที่ 2) อาการของโรค

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/549396

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 25 ธ.ค. 2558 05:30

 

ศุกร์สุขภาพที่ผ่านมาได้กล่าวถึงสาเหตุของการเกิดโรคไบโพลาร์กันแล้ว สำหรับศุกร์นี้จะได้รู้เกี่ยวกับอาการของผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์ ติดตามไปพร้อมๆ กันเลยนะครับ

ในทางจิตเวชจัดว่าโรคไบโพลาร์เป็นโรคทางอารมณ์ ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการหลงผิด ประสาทหลอน แต่พบไม่บ่อยและเป็นไม่นาน ลักษณะของอาการสามารถจำแนกได้เป็น 2 ระยะ ดังนี้

1. ระยะซึมเศร้า ผู้ป่วยจะรู้สึกเบื่อหน่ายไปหมด จากเดิมชอบอ่านหนังสือพิมพ์ ติดละครหรือดูข่าวก็จะไม่สนใจติดตาม บางคนจะซึมเศร้า อ่อนไหว ร้องไห้บ่อย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ความจำแย่ลง หลงๆ ลืมๆ ใจลอย ไม่มั่นใจในตนเอง จะมองสิ่งต่างๆ ในแง่ลบไปหมด คิดว่าตัวเองเป็นภาระของคนอื่น ไม่มีใครสนใจตนเอง บางครั้งอาจคิดถึงเรื่องการตาย

2. ระยะเมเนีย ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ดีเกินกว่าปกติ รู้สึกมั่นใจในตัวเองมาก มองว่าตนเองเก่ง มีความคิดมากมาย คิดเร็ว พูดมาก พูดเก่ง คล่องแคล่ว มนุษยสัมพันธ์ดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น ในระยะนี้ ผู้ป่วยมักใช้เงินเก่ง ใช้จ่ายเกินตัว ขยันขันแข็ง อยากทำโน่นทำนี่ นอนดึกตื่นเช้า เพราะมีเรื่องให้ทำเยอะแยะไปหมด และด้วยความที่ตัวผู้ป่วยเองสนใจสิ่งต่างๆ มากมาย ทำให้เกิดอาการวอกแวกมาก ไม่สามารถอดทนทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานๆ สิ่งที่ตามมาก็คือ ความยับยั้งชั่งใจของผู้ป่วยจะมีน้อยมาก เช่น นึกอยากจะทำอะไรต้องทำทันที หากมีใครมาห้ามจะโกรธอย่างรุนแรง หากเป็นมากๆ อาจถึงขั้นอาละวาดได้

ลองประเมินตัวเองและคนรอบข้างซิครับ ว่าเข้าข่ายอย่างที่กล่าวมาหรือไม่ หรือว่าคิดมาก คิดเยอะเกินไป หากท่านไม่มั่นใจว่าเราเข้าข่ายโรคไบโพลาร์หรือไม่ ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อการวินิจฉัย และการแนะนำที่ถูกต้องก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้นะครับ

รองศาสตราจารย์นายแพทย์มาโนช หล่อตระกูล
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

โรคไบโพลาร์ (ตอนที่ 1) รู้จักโรคไบโพลาร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/549394

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 18 ธ.ค. 2558 05:31

 

มีคำถามมากมายว่าโรคไบโพลาร์คืออะไร ลักษณะอาการเป็นอย่างไร ตัวเองมีโอกาสเป็นโรคที่ว่านี้ได้หรือไม่ ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนแต่มีโอกาสน้อยมาก ไปทำความรู้จัก โรคไบโพลาร์พร้อมๆ กันเลย

โรคไบโพลาร์ หรือ Bipolar Disorder คือ โรคที่มีความผิดปกติทางอารมณ์ ผู้ที่เป็นจะมีอารมณ์ และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ลักษณะอารมณ์และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปมีสองแบบ แบบแรกมี ลักษณะอารมณ์และพฤติกรรมแบบซึมเศร้า แบบที่สองมีลักษณะคึกคัก พลุ่งพล่าน ซึ่งเรียกว่า เมเนีย (mania) โดยสามารถอธิบายได้จากภาพกราฟอารมณ์จากการตรวจของแพทย์ ซึ่งจะแสดงการเปลี่ยนแปลง ของอารมณ์เป็นช่วงๆ คือ ช่วงซึมเศร้าแล้วตามด้วยช่วงเวลาที่เป็นปกติดี จากนั้นอาจเกิดอาการแบบเมเนียขึ้นมา หรือบางคนอาจเริ่มด้วยอาการแบบเมเนียก่อนก็ได้ และไม่จำเป็นต้องตามด้วยอาการด้านตรงข้ามเสมอไป เช่น อาจมีอาการแบบซึมเศร้า-ปกติ-ซึมเศร้า-เมเนีย สลับกันไป

สาเหตุของโรค ไม่ได้เกิดจากผู้ป่วยมีจิตใจอ่อนแอหรือคิดมาก แต่เกิดจากความผิดปกติทางสมอง ผู้ป่วยจะมีการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทในสมอง และสารเคมีในสมองแปรปรวนไป ผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์ มักมีประวัติญาติเป็นโรคทางอารมณ์ ทำให้บุตรที่เกิดมามีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไปถึง 8 เท่า สำหรับผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรค หากพบเหตุกดดันทางจิตใจ เช่น ตกงาน ญาติเสียชีวิต หรือมีการเสพยาต่างๆ ก็มีแนวโน้มไปกระตุ้นให้แสดงอาการออกมา อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางคนก็เป็นโรคนี้โดยไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์ เช่นเดียวกับโรคความดันหรือโรคเบาหวาน ที่บางครั้งก็เกิดจากกรรมพันธุ์แต่บางครั้งก็ไม่ใช่ ทางการแพทย์จึงไม่ถือว่าโรคนี้เป็นโรคทางกรรมพันธุ์

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้รับรู้ถึงการเกิดโรคไบโพลาร์อย่างคร่าวๆ คงจะพอมีแนวทางการสังเกต เพื่อเตรียมการเฝ้าระวังโรคดังกล่าวได้ไม่ยาก อย่าลืมติดตามอาการของโรคนี้ในศุกร์สุขภาพสัปดาห์หน้ากันนะครับ

รองศาตราจารย์นายแพทย์มาโนช หล่อตระกูล
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

โบท็อกซ์ (ตอนที่ 3) เหมาะสมและไม่เหมาะสมกับใครบ้าง?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/541635

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 11 ธ.ค. 2558 05:30

 

“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” ก็คงไม่มีใครเถียง หากแต่ต้องได้รับการชี้แนะจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น จึงจะเชื่อถือได้อย่างไร้กังวล สำหรับศุกร์นี้มาศึกษาถึงสารดังกล่าวกันว่า เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับใครบ้าง

การฉีดสารโบทูลินุ่มท็อกซิน เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยที่เกิดจากการขยับโดยเฉพาะ รอยบริเวณใบหน้าส่วนบน เช่น รอยย่นหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว รอยหางตา ผู้ที่มีกล้ามเนื้อบริเวณกรามใหญ่จนทำให้ใบหน้าใหญ่ รวมทั้งผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมาก เช่น เหงื่อออกใต้วงแขนหรือฝ่ามือ จนเสียบุคลิก และผู้ที่กำลังมองหาการรักษาริ้วรอย ชนิดที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และเห็นผลเร็ว

ส่วนผู้ที่ไม่เหมาะสมที่จะได้รับการรักษาด้วยสารโบทูลินุ่มท็อกซิน ได้แก่ ผู้ที่มีโรคความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อประสาท รวมถึงผู้ที่ได้รับยาบางชนิดที่อาจทำให้การออกฤทธิ์ของสารผิดแผกไป

สำหรับสารโบทูลินุ่มท็อกซินสามารถใช้ได้ทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัย 80-90 ปี ปัญหาที่พบบ่อยในกลุ่มวัยรุ่น ได้แก่ กล้ามเนื้อมัดใหญ่บริเวณกราม ทำให้ใบหน้ากว้าง ส่วนวัยที่อายุมากมักมีปัญหาเรื่องริ้วรอย อย่างไรก็ตาม ปัญหาบางอย่างอาจต้องทำการรักษาควบคู่กับวิธีอื่น เช่น การใช้เลเซอร์ การใช้เครื่องยกกระชับใบหน้า ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความคาดหวังของผู้ป่วยในแต่ละรายว่าต้องการมากน้อยเพียงใด

ข้อมูลและสาระที่เป็นประโยชน์อย่างนี้ ติดตามได้ในศุกร์สุขภาพเป็นประจำทุกวันศุกร์ ติดตามและพบกันในศุกร์หน้านะคะ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์วาสนภ วชิรมน
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

โบท็อกซ์ (ตอนที่ 2) ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/541634

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 4 ธ.ค. 2558 05:30

 

ศุกร์สุขภาพอาทิตย์ที่ผ่านมาได้เสนอความรู้ทั่วไปสำหรับโบท๊อกซ์ไปแล้ว สำหรับศุกร์นี้ขอนำเสนอถึงผลการรักษา และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากใช้โบทูลินุ่มท็อกซิน

หากเป็นการรักษาริ้วรอย จะเริ่มเห็นผลการรักษาภายใน 1–2 สัปดาห์ โดยกล้ามเนื้อจะค่อยๆ คลายตัวออก ริ้วรอยจะหายไป ผู้ที่เข้ารับการรักษาสามารถไปทำงานได้เลย ไม่ต้องพักฟื้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม สารชนิดนี้ไม่คงทนถาวร ต้องทำการฉีดซ้ำทุก 4–6 เดือน เพื่อให้คงสภาพผลของการรักษา สำหรับผลข้างเคียงของการรักษาด้วยสารโบทูลินุ่มท็อกซินนั้นมีน้อยมาก หากเลือกชนิดของสารที่เหมาะสม และฉีดถูกต้องตามหลักการ อาจมีอาการเจ็บเพียงเล็กน้อย และพบเป็นจุดจ้ำเลือด ออกขนาดเล็กบริเวณที่ฉีด

ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอันตรายของสารโบทูลินุ่มท็อกซิน

มีหลายท่านเข้าใจว่าสารโบทูลินุ่มท็อกซินเป็นสารอันตราย และกังวลว่าจะตกค้างในร่างกาย แต่ความจริงแล้ว สารโบทูลินุ่มท็อกซินไม่ตกค้างภายหลังฉีด ประมาณ 2 ชั่วโมง ยาจะถูกซึมเข้าไปในกล้ามเนื้อ และเริ่มออกฤทธิ์ ซึ่งฤทธิ์จะหมดไป ภายใน 4–6 เดือน ดังนั้น จึงไม่มีทางเกิดเป็นก้อนในระยะยาวแน่นอน ที่สำคัญ องค์การอาหารและยาของทั้งสหรัฐอเมริกาและไทย ได้รับรองถึงประสิทธิภาพ และความปลอดภัยในระยะยาวแล้ว หากใช้ฉีดตามข้อบ่งชี้ และฉีดถูกต้องตามหลักการ จึงมั่นใจได้ว่าไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน

บางท่านสับสนกับการฉีดสารกลุ่มซิลิโคนที่เป็นที่นิยมในการใช้เสริมความงาม ในสมัยก่อน หากเป็นสารกลุ่มนั้นจริงจะถือว่าเป็นอันตราย เนื่องจากจะทำให้เกิดก้อนใต้ผิวหนังในอนาคตได้ ดังนั้นองค์การอาหารและยาจึงไม่รับรองถึงประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของสารกลุ่มซิลิโคน

ท่านผู้อ่านคงได้ทราบถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ในการใช้สารโบทูลินุ่มกันแล้วว่า มีความปลอดภัยแค่ไหน แต่อย่างไรก็ตาม ควรเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น เพื่อลดความกังวล และเพื่อความสบายใจในอนาคต

ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์วาสนภ วชิรมน
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

โบท็อกซ์ (ตอนที่ 1) สารลดริ้วรอยยอดนิยม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/541633

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 27 พ.ย. 2558 05:30

 

เมื่อเอ่ยถึงโบท็อกซ์หลายคนคงเคยได้ยินชื่อกันมาบ้างแล้ว บางท่านอาจจะเคยได้รับการรักษาด้วยสารชนิดนี้มาก่อน ขณะที่บางท่านต้องการรักษาแต่ยังลังเล และกลัวอันตราย บางท่านมีความคิดว่ายังไงก็จะไม่ฉีดสารชนิดนี้ในชีวิตอย่างแน่นอน เราลองมาทำความรู้จักและศึกษาหาความรู้ไปพร้อมๆ กันเลย

สารชนิดนี้มีชื่อสามัญทางการแพทย์ว่าโบทูลินุ่มท็อกซิน ซึ่งปัจจุบันในท้อง ตลาดมีโบทูลินุ่มท็อกซินหลายยี่ห้อ โบท็อกซ์ก็เป็นหนึ่งในยี่ห้อเหล่านั้น สารชนิดนี้ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อ 40 ปีกว่าปีที่แล้ว และถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 โดยนำมาใช้กันอย่างกว้างขวางสำหรับการรักษาโรคหรือภาวะที่กล้ามเนื้อทำงานมากเกินไป

ออกฤทธิ์อย่างไร

สารชนิดนี้จะไปลดการหลั่งสารที่ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว ทำให้กล้ามเนื้อจะ คลายตัวออก และเนื่องจากสารชนิดนี้จะไปจับอยู่กับโปรตีน จึงมีโอกาสที่ร่างกายจะดื้อยาได้ในอนาคต หากเลือกใช้สารที่มีโปรตีนโมเลกุลใหญ่

โรคที่สามารถใช้สารโบทูลินุ่มท็อกซินในการรักษา

โรคและความผิดปกติที่สามารถรักษาได้ด้วยโบทูลินุ่มท็อกซิน เช่น โรคความ ผิดปกติของกล้ามเนื้อตาหรือตาเข โรคตากระตุก โรคกล้ามเนื้อเกร็งกระตุกจากตัว กล้ามเนื้อเองหรือความผิดปกติของสมอง ภาวะปวดศีรษะจากไมเกรน ความผิดปกติของกล้ามเนื้อทางเดินปัสสาวะและทางเดินอาหาร สำหรับผิวหนังสามารถนำมาใช้รักษาในผู้ที่มีเหงื่อออกมากและใช้ลดริ้วรอยเพื่อเสริมความงามได้

โบทูลินุ่มท็อกซินกับความงาม

โบทูลินุ่มท็อกซิน ได้ถูกค้นพบโดยบังเอิญว่าสามารถลดริ้วรอยบนใบหน้าได้ โดยสังเกตจากการรักษาผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้อตากระตุกแล้วพบว่าริ้วรอยบริเวณหางตา หายไปด้วย จึงทำให้มีการนำสารโบทูลินุ่มท็อกซินมาใช้กับปัญหาความงามโดยเฉพาะปัญหาริ้วรอย ซึ่งรอยย่นที่ใช้แล้วได้ผล ได้แก่ รอยย่นที่เกิดจากการขยับตัวของกล้ามเนื้อ เช่น รอยย่นหน้าผาก รอยขมวดคิ้ว รอยบริเวณหางตา นอกจากนี้ยังนิยม นำมาใช้ปรับรูปหน้า หากฉีดเข้าบริเวณกล้ามเนื้อบริเวณกราม จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณกรามคลายตัว ผลที่ได้คือใบหน้าเรียวเล็กลง

ปัจจุบันโบทูลินุ่มท็อกซินกลายเป็นสารยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมความ งาม จากสถิติของสมาคมศัลยศาสตร์ความงามแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า โบทูลินุ่มท็อกซินจัดเป็นหัตถการที่มีผู้นิยมใช้ติดอันดับ 1 ใน 5 ของหัตถการเพื่อความงามทั้งหมด

ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์วาสนภ วชิรมน
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

อัลตราซาวนด์ยกกระชับผิว ตอนที่ 3

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/537126

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 20 พ.ย. 2558 07:01

 

การยกกระชับผิวหน้าด้วยอัลตราซาวนด์เป็นวิธีที่ง่ายและไม่ยุ่งยาก ผู้ที่ทำการรักษาไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ วิธีการคือแพทย์จะทายาชาบริเวณที่จะทำ เมื่อผิวหนังเริ่มชา แพทย์จึงเริ่มทำการรักษา โดยระยะเวลาขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำด้วย หากทำบริเวณตาจะใช้เวลา 15 นาที หากทำทั่วใบหน้าและลำคอจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ภายหลังการทำจะมีผิวแดงชมพูเพียงเล็กน้อย ซึ่งมักจะหายได้เองใน 1 ชั่วโมง ผู้ทำการรักษาสามารถกลับบ้านได้ทันที โดยไม่ต้องพักฟื้น ผลที่ได้จะค่อยๆ เห็นชัดใน 2–3 เดือน ผลการรักษาจะอยู่ได้นานประมาณ 1–2 ปี ต่อการรักษา 1 ครั้ง

ข้อห้ามสำหรับผู้ที่จะทำการรักษา ได้แก่ ผู้ที่มีสิวอักเสบ ผู้ที่มีแผลเปิดบริเวณที่จะทำ และผู้ที่มีสิ่งแปลกปลอมใต้ผิวหนัง ไม่ควรทำการรักษา หากต้องทำการรักษา ให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเสียก่อน

ดังนั้นการทำอัลตราซาวนด์ยกกระชับผิวจึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยที่กำลังมองหาวิธียกกระชับผิวโดยเห็นผลได้นาน ไม่ต้องทำบ่อย ไม่มีบาดแผลภายนอก ไม่ต้องพักฟื้นและไม่ต้องการมีของแปลกปลอมใต้ผิวหนัง เทคโนโลยีนี้ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกาและประเทศไทยแล้ว จึงมั่นใจได้ในประสิทธิภาพและความปลอดภัย

อย่าลืมนะคะ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกหรือทำอะไรลงไปบนใบหน้าและเรือนร่างของเรา ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้แน่ใจและมั่นใจเสียก่อน ผลได้ผลเสียที่เกิดขึ้นจะคุ้มค่าหรือไม่ ต้องคิดและพิจารณาเลือกให้เหมาะสม “เกิดเป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวย”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์วาสนภ วชิรมน
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

อัลตราซาวนด์ยกกระชับผิว ตอนที่ 2

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/537124

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 13 พ.ย. 2558 07:01

 

ศุกร์สุขภาพที่ผ่านมาได้นำเสนอเกี่ยวกับการหย่อนคล้อยของผิวหนังเมื่อเข้าสู่เลข 4 กันไปแล้ว สำหรับศุกร์นี้จะนำเสนอ “อัลตราซาวนด์ยกกระชับผิว” โดยไม่ต้องทำการผ่าตัด

อัลตราซาวนด์ คือ คลื่นเสียงชนิดหนึ่งที่มีความถี่สูงมาก จนคนเราไม่สามารถได้ยินเสียง ซึ่งถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์มานานแล้ว เช่น ใช้ดูบริเวณช่องท้อง มดลูก หรืออวัยวะภายในร่างกาย อัลตราซาวนด์ชนิดนี้จัดเป็นอัลตราซาวนด์ที่มีความถี่ต่ำและพลังงานต่ำ ใช้เพื่อการวินิจฉัยโรคแต่ไม่สามารถใช้เพื่อรักษาโรคได้

สำหรับอัลตราซาวนด์ยกกระชับผิวจะมีพลังงานและความถี่ที่สูงกว่า โดยจะมีความถี่ประมาณ 4–7 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งความถี่ดังกล่าวจะทำให้พลังงานอัลตราซาวนด์ลงไปถึงผิวระดับชั้นหนังแท้ ชั้นไขมัน และเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ เกิดเป็นความร้อนใต้ผิวหนังชั้นลึก ทำให้ผิวยกกระชับขึ้นและตึงตัว ผิวที่เคยตกจะกลับยกตัวขึ้นมาใหม่ วิธีนี้คล้ายกับการผ่าตัดดึงหน้าที่ต้องยกชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ เพียงแต่ไม่มีแผลผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้นเหมือนการผ่าตัดทั่วไป พลังงานความร้อนจากเครื่องอัลตราซาวนด์ จะถูกส่งไปในผิวหนังชั้นลึกกว่าการใช้เลเซอร์และคลื่นวิทยุทั่วไป ดังนั้นโอกาสที่ผิวชั้นบนจะถูกกระทบจึงมีน้อยมาก ผู้ที่รับการรักษาด้วยวิธีนี้จึงไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดผิวไหม้หรือรอยดำในภายหลัง

ความสวยความงามของสุภาพสตรีเป็นอะไรที่ยอมกันไม่ได้ เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสามารถเนรมิตเรือนร่างและหน้าตาของเราได้ไม่ยากนัก อย่างไรก็ตามจะต้องศึกษาปัจจัยในหลายๆ ด้าน เพื่อตอบโจทย์ความสวยงามในแบบที่ต้องการอย่างแท้จริง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์วาสนภ วชิรมน
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

อัลตราซาวนด์ยกกระชับผิว ตอนที่ 1

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/537121

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 6 พ.ย. 2558 07:01

 

เมื่ออายุเข้าสู่เลข 4 ความหย่อนคล้อยของผิวหนังก็เริ่มจะถามหา บริเวณที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ร่องแก้มและเนื้อบริเวณข้างใบหน้า ทำให้รูปหน้าจากเดิมที่เป็นรูปไข่กลายเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม หนังตาและคิ้วก็เริ่มตก ใต้ตาเริ่มเป็นถุง ผิวหนังใต้ลำคอเริ่มหย่อนเป็นเนื้อนิ่มๆ ใต้คอ อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าผิวหนังเริ่มมีอายุมากขึ้น

โดยปกติแล้ว ผิวหนังของคนเราจะมีเนื้อเยื่อและเส้นใยเป็นตัวพยุงค้ำผิวไว้ เมื่ออายุมากขึ้นโครงเหล่านี้จะไม่แข็งแรงทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย เราสามารถแก้ไขได้โดยการยกระชับผิวซึ่งมีหลายวิธี เช่นการใช้เลเซอร์ ใช้คลื่นวิทยุ หรืออาร์เอฟ การร้อยไหม การผ่าตัด เป็นต้น

แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป บางวิธีเห็นผลเร็วแต่คงอยู่ได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ ทำให้เสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น บางวิธีมีประสิทธิภาพดี อยู่ได้นานแต่ต้องพักฟื้นหลังการรักษา บางวิธีต้องใส่เครื่องมือหรือวัสดุแปลกปลอมเข้าไปใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องการติดเชื้อ หรือเกิดก้อนเนื้อตามมาในภายหลังได้

ด้วยข้อจำกัดต่างๆ เหล่านี้เอง ทำให้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว จึงขอแนะนำเทคโนโลยีการยกกระชับผิวอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในต่างประเทศรวมทั้งในบ้านเรา นั่นคือ “การใช้อัลตราซาวนด์ยกกระชับผิว”

ติดตามข้อมูลการใช้อัลตราซาวนด์ยกกระชับผิวในสัปดาห์หน้า เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการพิจารณาว่าตัวของเราเหมาะสมกับวิธีไหน เครื่องมือชนิดใดอีก

ทั้งงบประมาณในการเตรียมตัวเพื่อความสวยความงาม ดังสุภาษิตที่ว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์วาสนภ วชิรมน
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

โรคข้อเข่าเสื่อม (ตอนที่ 2) แนวทางการรักษา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/533857

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 30 ต.ค. 2558 05:30

 

การรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อม สามารถทำได้ ดังนี้

1. การปรับอิริยาบถในชีวิตประจำวัน เช่น หลีกเลี่ยงการนั่งพับเพียบ คุกเข่า ขัดสมาธิ การขึ้น-ลงบันไดโดยไม่จำเป็น การยกของหนัก การควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กล้ามเนื้อรอบข้อแข็งแรง ในระยะที่มีอาการปวด ควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่ต้องกระโดด เช่น วิ่ง หรือเล่นเทนนิส เป็นต้น การออกกำลังกายที่แนะนำ ได้แก่ ว่ายน้ำ เดิน เป็นต้น

2. การใช้ยาบรรเทาอาการข้อเสื่อม เพื่อลดอาการปวดและอักเสบภายในข้อ ได้แก่ ยาแก้ปวด พาราเซตามอล ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาพยุงหรือลดความเสื่อม เป็นต้น ซึ่งการกินยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ส่วนการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อนั้น สามารถลดอาการปวดในช่วงสั้นๆ 2–3 สัปดาห์ ซึ่งต้องอยู่ในการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ แต่ไม่ควรฉีดเป็นประจำเนื่องจากจะทำลายกระดูกอ่อน ข้อต่อได้

3. การรักษาโดยการผ่าตัด มีวิธีการผ่าตัดชนิดต่างๆ ได้แก่

– การส่องกล้องภายในเข่า เพื่อตรวจสภาพและล้างภายในข้อ ใช้ใน กรณีที่มีเศษกระดูกอ่อนมาขวางการเคลื่อนไหวของเข่าและเป็นข้อเข่าเสื่อม ในระยะแรก

– การผ่าตัดปรับแนวข้อ ทำในกรณีที่มีการผิดรูปของข้อ โดยแก้ไข แนวแรงให้กระจายไปยังจุดที่ผิวข้อยังดีอยู่

– การผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียม ซึ่งเป็นวิธีการรักษาภาวะข้อเข่า เสื่อมในระยะปานกลางถึงรุนแรงที่ให้ผลการรักษาดีที่สุด นั่นคือจะทำให้หายปวดเข่า ข้อเข่ากลับมาเคลื่อนไหวได้ดีดังเดิม ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดพึงพอใจต่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นภายหลังการผ่าตัด

ศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์วิโรจน์ กวินวงศ์โกวิท
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

โรคข้อเข่าเสื่อม (ตอนที่ 1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/533855

โดย คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี 23 ต.ค. 2558 05:30

 

โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นปัญหาสำคัญที่พบมากในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมมาก ถ้าไม่ได้รับการรักษาหรือไม่ปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดความเจ็บปวด ข้อเข่าผิดรูปเดินไม่ปกติ ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆ ไม่สะดวก ทำให้มีความทุกข์ทรมานทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ

โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของกระดูกอ่อนผิว ข้อ ทั้งทางด้านรูปร่าง โครงสร้างการทำงานของกระดูกข้อ และกระดูก บริเวณใกล้ข้อ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิม และอาจมีความเสื่อมรุนแรงขึ้นตามลำดับ

ข้อเข่าเสื่อมแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ตามลักษณะการเกิดคือ

1.ความเสื่อมแบบปฐมภูมิ หรือ แบบไม่ทราบสาเหตุ เป็นภาวะที่เกิด จากการเสื่อมสภาพของผิวกระดูกอ่อนตามวัย ซึ่งสัมพันธ์กับอายุที่มากขึ้น น้ำหนักตัว เพศ และกรรมพันธุ์

2.ความเสื่อมแบบทุติยภูมิ เป็นความเสื่อมที่ทราบสาเหตุ เช่น เคยประสบอุบัติเหตุ มีการบาดเจ็บที่ข้อและเส้นเอ็น การบาดเจ็บเรื้อรัง ที่บริเวณข้อเข่าจากการทำงานหรือการเล่นกีฬา โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เกาต์ ข้ออักเสบติดเชื้อ โรคของต่อมไร้ท่อ เป็นต้น

อาการในระยะแรก คือ จะเริ่มปวดเข่าเวลามีการเคลื่อนไหว เช่น เดินขึ้น-ลงบันไดหรือพับเข่า แต่อาการจะดีขึ้นเมื่อหยุดพักการใช้ ข้อ และมีอาการข้อฝืดขัด โดยเฉพาะเมื่อมีการหยุดเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน เมื่อเริ่มขยับข้อจะรู้สึกถึงการเสียดสีของกระดูกหรือมี เสียงดังในข้อ เมื่อมีภาวะข้อเสื่อมรุนแรง อาการปวดจะรุนแรงมากขึ้น เหยียดหรืองอข้อเข่าได้ไม่สุด กล้ามเนื้อต้นขาลีบ ข้อเข่าโก่ง หลวม หรือบิดเบี้ยวผิดรูป ทำให้การเดินและการใช้ชีวิตประจำวัน ลำบาก เพราะะมีอาการปวดเวลาเดินหรือขยับ

การวินิจฉัยสามารถทำได้จากการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์ ร่วมกับภาพถ่ายรังสี ซึ่งสามารถบอกความรุนแรงของโรคได้

ศาสตราจารย์คลินิกนายแพทย์วิโรจน์ กวินวงศ์โกวิท
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี