อัพเกรดประเทศไทย “ดิจิตอล อีโคโนมี” เป้าหมายสู่ “ศูนย์กลางไอซีที”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/627674

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 30 พ.ค. 2559 05:01

 

คิกออฟนโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล (ดิจิตอล อีโคโนมี) ครบ 2 ปีเต็ม มาถึงวันนี้ แรงทุ่มเทของรัฐบาลเริ่มผลิดอกออกผลให้เห็นชัดเจน โดยเฉพาะในช่วง 2–3 เดือนที่ผ่านมา เมื่อทัพนักลงทุนต่างชาติ ยักษ์ใหญ่ด้านไอทีจากทั่วโลก กำลังพาเหรดเข้ามาแสดงความสนใจ และเห็นประเทศไทยอยู่ในสายตาเป็นครั้งแรกๆ

เริ่มจากบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ระดับโลกจากประเทศจีน ที่ได้ตัดสินใจเปิดสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (International Headquater-IHQ) ขึ้นในไทย พร้อมๆกันกับการเปิดศูนย์นวัตกรรมและการเรียนรู้ (Customer Solution Innovation and Integration Experience Center)

เช่นเดียวกับยักษ์ใหญ่ไอทีฝั่งสหรัฐอเมริกา บริษัทไอบีเอ็ม ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่งบรรลุข้อตกลงกับบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในการร่วมกันก่อตั้งศูนย์พัฒนานวัตกรรม หรือ True IBM Innovation Studio@Bangkok ขึ้น มีกำหนดเปิดภายในสิ้นปีนี้

รวมถึงการเดินทางมาเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรกของนายสัตยา นาเดลลา ซีอีโอของไมโครซอฟท์ ในทริปเยี่ยมเยียน 6 ประเทศเอเชีย อันมีนัยสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ที่ซีอีโอไมโครซอฟท์ยอมมาปรากฏกายในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ยังมีอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในระดับสูง

สิ่งที่บริษัทยักษ์ ใหญ่เหล่านี้เห็นเหมือนกันก็คือ ศักยภาพสู่การเป็นศูนย์กลางด้านไอซีทีของไทยในภูมิภาค ที่เพิ่มขึ้นจากการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมของรัฐบาล ความตื่นตัวจากภาคเอกชน และความพร้อมของภาคประชาชน

ครั้งนี้…เราจะหวังได้เต็ม 100% หรือไม่ ว่าประเทศไทยจะสามารถหลุดพ้นจากการเป็นประเทศรับจ้างผลิต “ทำมากได้น้อย” ไปสู่ประเทศ “ทำน้อยได้มาก” เน้นความคิดสร้างสรรค์ มีนวัตกรรมใหม่ๆ

และเดินหน้าสู่โมเดลทางเศรษฐกิจ “ประเทศไทย 4.0” ตามนโยบายของรัฐบาล ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เน้นขับเคลื่อนด้วยภาคอุตสาหกรรม ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมหรือ Value-Based Economy ผ่านเครื่องมือต่างๆ ที่รัฐบาลพยายามหยิบยื่นให้

“ดร.อุตตม สาวนายน”รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที จะมายืนยันให้ฟังว่า หากทำสำเร็จ อาจไม่ใช่แค่คนไทยทั้งประเทศจะหลุดพ้นจากกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงขึ้นเท่านั้น แต่โอกาสที่ประเทศไทยจะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านไอซีทีของภูมิภาค ก็อาจไม่ไกลเกินเอื้อม…

“2 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่คนไทยเริ่มรับรู้แล้วว่า เราต้องตื่นตัว จะปล่อยตามธรรมชาติไม่ได้แล้ว เป็นเวลาที่รัฐบาลส่งสัญญาณให้เห็นชัดเจนว่าเอาจริง มีแผนแม่บทเศรษฐกิจและสังคมดิจิตอล แผนปฏิบัติการ ซึ่งไม่ว่าการเมืองจะเปลี่ยนอย่างไร หากยึดตามแผนนี้ เราจะเดินหน้าต่อไปได้”

เขาบอกว่า นโยบายเศรษฐกิจและสังคมดิจิตอล ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เดินหน้ามาตั้งแต่ปลายปี 2557 ซึ่งตลอด 2 ปี ได้ดำเนินการร่างกฎหมายใหม่ ปรับปรุงกฎหมายเดิม รวม 12 ฉบับ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

และยังได้จัดทำแผนแม่บทเศรษฐกิจและสังคมดิจิตอล แผนปฏิบัติการ ถือเป็นการปูพื้นฐานไปสู่ยุคดิจิตอล ขณะนี้ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คาดว่ากฎหมายก็จะมีผลบังคับใช้ปลายปีนี้ทุกอย่างถือว่าเป็นไปตามแผนในระดับหนึ่ง

ในส่วนของการปฏิบัติ เราต้องเตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมที่แข็งแกร่งให้ได้ก่อน โดยรัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการลงทุนสร้างโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงให้เข้าถึงทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ ราว 72,400 หมู่บ้าน ด้วยเม็ดเงินลงทุน 15,000 ล้านบาท จะเริ่มดำเนินการในเดือน มิ.ย.2559 แล้วเสร็จในเดือน มิ.ย.2560

รวมทั้งการขยายเส้นทางเคเบิลใต้น้ำ เพื่อเชื่อมต่อวงจรอินเตอร์เน็ตระหว่างประเทศ จากปัจจุบันมีเพียง 7 เส้นทาง ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเส้นทาง โดยมีเงินทุนเบื้องต้น 5,000 ล้านบาท เพราะการจะเติบโตด้านไอซีที จำเป็นต้องมีโครงสร้างที่รองรับการใช้งานให้ได้จำนวนมหาศาล

สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการสร้างตลาด สร้างโอกาส เมื่อคนในทุกพื้นที่ของประเทศเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้หมด ทุกคนก็จะมีโอกาส ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นการเพิ่มตลาดค้าขายบนโลกออนไลน์ให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น

หากเป็นไปตามแผน ไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ไทยจะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิตอลได้อย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นทางด้านภูมิศาสตร์ และจำนวนประชากรของไทยมีมากถึง 67 ล้านคน

“จากการที่เราได้จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิตอล รวมทั้งการจัดเปิดประมูล 4 จี 2 สิ่งนี้ทำให้ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาด้านไอซีทีที่มีความก้าวหน้าที่รวดเร็วมากที่สุด”

โดยเมื่อปี 2558 ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 74 จาก 164 ประเทศ เป็นการไต่ขึ้นถึง 18 อันดับที่รวดเร็วในรอบ 5 ปี จากที่ปี 2553 อยู่ในอันดับที่ 92 ทำให้ถูกจัดอันดับอย่างเป็นทางการว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ก้าวกระโดดเร็วเป็นลำดับที่ 1 ของเอเชียแปซิฟิก

นอกจากอันดับด้านไอซีทีที่ดีขึ้น โครงสร้างพื้นฐานทางโทรคมนาคมที่แข็งแกร่ง เข้าถึงทุกพื้นที่ของประเทศ ยังนำไปสู่การสร้างสังคมอุดมปัญญา ด้วยการใช้อินเตอร์เน็ตในการเสาะแสวงหาความรู้ ข้อมูลต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลก มาประกอบความคิด จุดประกายให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมในการกระบวนการผลิตสินค้า เพื่อตอบสนองตลาด ทำให้เพิ่มมูลค่าสินค้าด้วย

“ประเทศไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก คนไทยมีไอเดียดี มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ขาดการสนับสนุนต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มเท่านั้น ที่เราต้องการคือห่วงโซ่ทั้งหมด ที่ผ่านมาเหมือนโซ่มันขาดไป เราทำได้แค่รับจ้างผลิต ผลิตสินค้าได้เพียงบางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด แต่นับจากนี้เราจะใช้สิ่งที่มีอยู่มาเชื่อมต่อห่วงโซ่ทุกห่วง”

ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมาประเทศไทยเป็นเพียงผู้รับจ้างผลิตเท่านั้น แต่เมื่อรัฐบาลเดินหน้าปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ นำเทคโนโลยีดิจิตอลมาใช้ในกระบวนการผลิต เชื่อว่าจะมีส่วนสร้างมูลค่าเพิ่มให้อุตสาหกรรมต่างๆ ของไทยอย่างแน่นอน

การสนับสนุนให้เกิดความคิดสร้างสรรค์นั้น อยู่ภายใต้โครงการสนับสนุนให้เกิดสตาร์ทอัพ (Start up) หรือผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยความคิดสร้างสรรค์เป็นสำคัญการสนับสนุนให้เกิดสตาร์ทอัพมากๆ ก็คือการสนับสนุนให้เกิดความคิดสร้างสรรค์

สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดฟองสบู่ เพราะความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นได้ไม่จบสิ้นและธรรมชาติของสตาร์ทอัพ หากความคิดนั้นดีจริง แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้จริง ก็จะได้รับความสนใจมีการอัดฉีดเงินเข้าร่วมลงทุน แต่หากความคิดนั้นไม่ดีพอ ไม่ตอบโจทย์ ก็อาจต้องปรับให้มันดี หรือคิดใหม่

มันเป็นธุรกิจใหม่ ที่เน้นความคิดสร้างสรรค์ ไม่เหมือนกับการลงทุนในหุ้น ที่เป็นการทุ่มเม็ดเงินลงไป เมื่อขาดทุนก็เจ๊งกันไป

การมีสตาร์ทอัพ 100 ราย ประสบความสำเร็จ 10 ราย ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว โดยกลุ่มคนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ก็สามารถกลับเข้ามาเรียนรู้ โดยรัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์บ่มเพาะดิจิตอลสตาร์ทอัพของกระทรวงไอซีทีขึ้น เพื่อคอยเป็นพี่เลี้ยง เป็นทางลัดให้สตาร์ทอัพเหล่านี้ ล้มเหลวก็เริ่มใหม่ได้ เพราะกระบวนการความคิด การสร้างความรู้ หมุนเวียนไม่จบไม่สิ้น
โดยขณะนี้มีบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ให้ความสำคัญกับผลิตสตาร์ทอัพมาก ทั้งซัมซุง ไอบีเอ็ม หัวเว่ย ดีแทค เอไอเอส ทรู

โดยล่าสุด หัวเว่ยจะเปิดศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ในประเทศไทย โดยจะเปิดกว้างให้กลุ่มสตาร์ทอัพสามารถนำสิ่งที่คิดค้น ไปทดลองและทดสอบหัวเว่ยได้ หากหัวเว่ยสนใจ ก็สามารถซื้อลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของคนไทย ไปผลิตต่อยอด

แต่หากจะมองไปถึงกลุ่มผู้ประกอบการที่ไม่ใช่สตาร์ทอัพ เป็นเอสเอ็มอี โอทอป รวมทั้งเกษตรกรในพื้นที่ต่างจังหวัด สิ่งที่จะทำให้พวกเขาเหล่านี้ลืมตาอ้าปาก มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็คือการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามาช่วย

“ขอยกตัวอย่างเกษตรกรบุรีรัมย์ ที่ได้ไปเข้าอบรมจากศูนย์ดิจิตอลชุมชน เดิมคือศูนย์การเรียนรู้ไอซีทีชุมชน โดยเกษตรกรได้มาเรียนรู้การใช้อินเตอร์เน็ต การค้าขายออนไลน์ ทำให้การขายปุ๋ยจากเดือนละ 10,000 บาท เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 300,000 บาท นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้น เชื่อว่ายังมีเกษตรกรอีกหลายคนที่ประสบความสำเร็จ มีรายได้ต่อคนดีขึ้น เชื่อว่าทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรดีขึ้น”

ดังนั้น ศูนย์ดิจิตอลชุมชนราว 2,000 แห่ง ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ จะเป็นศูนย์ที่ช่วยให้ความรู้เกษตรกรและชุมชน ช่วยให้เกษตรกรและชุมชนสามารถค้าขายออนไลน์ได้ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน

“ปัจจุบันมีแอพพลิเคชั่นมากมาย ที่จะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ควรนำแอพพลิเคชั่นนั้น มาช่วยจัดระบบบัญชี ระบบบริหารสินค้าคงคลัง หรือบริหารสต๊อกสินค้า ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ เมื่อต้นทุนลดลง และยังสามารถขายได้มากขึ้น รายได้ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว และท้ายสุดก็ต้องทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นด้วย”

นอกจากนี้ ยังต้องเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับระบบสาธารณสุขภายในประเทศ เพื่อยกระดับการรักษาพยาบาล การดูแลสุขภาพของประชาชน ถือเป็นการสร้างสังคมคุณภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล ด้านสาธารณสุข การแพทย์ สามารถรักษาพยาบาลผ่านระบบออนไลน์

สิ่งเหล่านี้เป็นการดำเนินการภายใต้ 6 ยุทธศาสตร์ อันประกอบด้วย 1.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิตอล ประสิทธิภาพสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศ คนไทยทั่วประเทศเข้าถึงอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 2.ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล ค้าขายออนไลน์ เชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ 3.สร้างสังคมคุณภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล การศึกษา สาธารณสุข การแพทย์ ออนไลน์ 4.ปรับเปลี่ยนภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิตอล อำนวยความสะดวกประชาชน เชื่อมโยงหน่วยงาน 5.พัฒนากำลังคนให้พร้อม เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิตอล คนไทยมีทักษะ เข้าใจ ใช้เป็น รู้ทันเทคโนโลยี 6.สร้างความเชื่อมั่นในการใช้เทคโนโลยีดิจิตอล มีมาตรการค้าขายผ่านอินเตอร์เน็ต มีกฎหมายทันสมัย

โดยภายใน 2 ปีจากนี้ รัฐบาลจะต้องทำให้ประชาชนสัมผัส จับต้องได้ และเห็นประโยชน์จากการใช้ดิจิตอล เมื่อเห็นประโยชน์ ก็จะมีความเชื่อมั่น พร้อมจะปรับเปลี่ยนและร่วมกันขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิตอลของประเทศ

ภายใน 5 ปีข้างหน้า คนไทยจะต้องมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิตอล ตามแนวทางประชารัฐ และไม่เกิน 10 ปี ประเทศไทยควรก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิตอล เทียบเท่าประเทศระดับแนวหน้า เทียบเท่าหรือแซงหน้าสิงคโปร์ได้ เพราะมีจุดเด่น ทั้งตลาดขนาดใหญ่ และทำเลที่ตั้งของประเทศ โครงข่ายโทรคมนาคมที่เอื้ออำนวยต่อการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิตอลได้

ต้องจำไว้เสมอว่า การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การเข้าสู่ยุคดิจิตอล ใครรับการเปลี่ยนแปลง ได้เร็ว ก็ได้เปรียบ เพราะเศรษฐกิจดิจิตอลช่วยให้หลายประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดดมาแล้ว.

ทีมเศรษฐกิจ

ย้อนรอยมหากาพย์ท่อก๊าซปตท. ผลประโยชน์ชาติบนความปั่นป่วนไร้จุดจบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/623908

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 23 พ.ค. 2559 05:01

 

มหากาพย์ “ท่อก๊าซ ปตท.” ถูกจุดพลุขึ้นมาเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์” อีกหน!

หลังประธานคณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เปิดแถลงมติ คตง.ที่ให้ชี้มูลความผิดอดีต รมว.คลัง (นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) พร้อมข้าราชการและอดีตผู้บริหารบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) รวม 6 คน

โดยระบุว่า กระทำการฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2550 กรณีแบ่งแยกทรัพย์สินและคืนท่อก๊าซบริษัท ปตท.ที่ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) และคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2550 ยังผลให้รัฐเกิดความเสียหายกว่า 32,613.45 ล้านบาท ก่อนส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.และรัฐบาลดำเนินการฟ้องร้องเอาผิดผู้เกี่ยวข้องต่อไป

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก! ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 4 เม.ย.2559 ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินก็ออกโรงแถลงมติคณะกรรมการตรวจการแผ่นดินที่ให้ยื่นเรื่องฟ้องกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ต่อศาลปกครอง โดยระบุว่าส่งมอบท่อก๊าซที่ว่านี้ไม่ครบตามคำพิพากษาของศาลมาแล้ว จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันชดใช้คืนเงินแผ่นดินวงเงินกว่า 52,393 ล้านบาท

ยังมีเครือข่ายปฏิรูปพลังงาน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายเอ็นจีโอที่ออกโรงยื่นฟ้องศาลปกครองและศาลปกครองสูงสุดเพื่อให้บริษัท ปตท.ส่งคืนท่อก๊าซในส่วนที่อ้างว่ายังแบ่งแยกและส่งคืนให้แก่รัฐไม่ครบถ้วน ไม่เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด

จนก่อให้เกิดคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับ “ท่อก๊าซ ปตท.” ทำไมกรณีการแบ่งแยกทรัพย์สินส่งคืนท่อก๊าซ ปตท.ที่ดำเนินการไปนับ 10 ปี ถึงยังคาราคาซังไม่สะเด็ดน้ำเสียที!

“ทีมเศรษฐกิจ” ขอย้อนรอยมหากาพย์ท่อก๊าซ ปตท.ที่ว่านี้ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ร่วมกันวิเคราะห์ แน่นอนว่า หาก ปตท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงมีรายการ “หมกเม็ด” ไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามมติ ครม.และคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดจนยังผลให้รัฐเสียหาย ก็สมควรที่ทุกฝ่ายจะไล่เบี้ยทวงคืนผลประโยชน์ของแผ่นดินคืนมา

แต่หากรัฐวิสาหกิจแห่งนี้ได้ดำเนินการไปอย่างครบถ้วนแล้ว ก็สมควรที่ประชาชนคนไทยจะได้ร่วมปกป้องและส่งกำลังใจให้รัฐกับองค์กร ปตท.ได้ลุกขึ้นมาฟ้องไล่เบี้ยเอากับเครือข่ายเหล่านี้อย่าง “สาสม” จะได้ไม่เที่ยวไปขุดเอาเผือกร้อนนี้ไป “แบล็กเมล์” ใครต่อใครกันได้อีก!

********

ย้อนรอยมหากาพย์ท่อก๊าซ ปตท.

วิกฤตการณ์น้ำมันโลกครั้งที่ 1 เมื่อปี 2516 ทำให้รัฐบาลต้องมองหาแหล่งพลังงานภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศจนกระทั่งประเทศไทยสำรวจพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย จึงมีการลงทุนวาง “ท่อส่งก๊าซปิโตรเลียม” จากแหล่งผลิตมายังชายฝั่งทะเลตะวันออก และกรุงเทพฯ

รัฐบาลได้จัดตั้ง “การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย” ขึ้นเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2521 เพื่อรับผิดชอบการบริหารจัดการด้านพลังงานของประเทศทำหน้าที่ดูแลเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิง การจัดหาและนำเข้าพลังงานตลอดจนเป็นเครื่องมือของรัฐในการดูแลเสถียรภาพด้านพลังงานประเทศ

ก่อนที่รัฐจะดำเนินการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (Privatization) การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็น “บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)” และนำกิจการเข้าจดทะเบียนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2544 และถือเป็นรัฐวิสาหกิจลำดับต้นๆของประเทศที่มีการแปรรูปนำกิจการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นอย่างจริงจัง!

อย่างไรก็ตาม ช่วงที่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ปตท.นั้น เครือข่ายภาคประชาชนและโดยเฉพาะ “มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค” ได้ออกโรงคัดค้านกระบวนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจนี้อย่างถึงพริกถึงขิง ด้วยนัยว่าเป็นการ “ขายชาติ” เปิดให้ทุนการเมือง หรือนอมินีต่างชาติเข้ามา “ชุบมือเปิบ” ทั้งยังได้ยื่นฟ้องรัฐบาลต่อศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอนการแปรรูป และนำทรัพย์สินท่อก๊าซที่ว่ากลับมาเป็นสมบัติของแผ่นดิน

กระทั่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาที่ ฟ 35/2550 (คดีแปรรูป ปตท.) ลงวันที่ 14 ธ.ค.2550 ให้ยกคำฟ้องกรณีเพิกถอนการแปรรูป ปตท.จำกัด (มหาชน) แต่ให้คณะรัฐมนตรี นายกฯ กระทรวงพลังงานคลัง และ ปตท.ดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินกลับมาเป็นของรัฐ

หลังคำพิพากษา คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน และกระทรวงการคลังดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินดังกล่าว โดยให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้อง และหากมีข้อโต้แย้งด้านกฎหมายก็ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณา

แม้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงานและบริษัท ปตท.จะดำเนินการแบ่งแยกและโอนทรัพย์สินท่อก๊าซ ปตท.กลับมาเป็นของรัฐตามคำพิพากษาของศาล จนกระทั่งศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งลงวันที่ 26 ธ.ค.2551 ยืนยันว่า “ปตท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเรียบร้อยแล้ว”

อย่างไรก็ตาม หลังศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งรับรองการส่งมอบท่อก๊าซปตท.ข้างต้นไปเพียงขวบเดือน กลับปรากฏว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้มีหนังสือไปถึงสำนักงานศาลปกครอง กระทรวงการคลัง พลังงานและบริษัท ปตท.เพื่อแจ้งว่า ปตท.ยังส่งมอบทรัพย์สินให้กระทรวงการคลังไม่ครบถ้วน

เป็นจุดกำเนิดของ “มหากาพย์ท่อก๊าซ ปตท.” ที่ยังคงมีการตามล้างตามเช็ดมาจนกระทั่งปัจจุบัน!!!

จุดพลุคืนท่อก๊าซ ปตท.ย้อนแย้งศาล?

ในทันทีที่ สตง.“จุดพลุ” ประเด็นการส่งคืนท่อก๊าซ ปตท. มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคและเครือข่ายเอ็นจีโอที่ต่อสู้กับกระบวนการแปรรูป ปตท.มาก่อนหน้า ก็ยื่นฟ้อง ปตท.ต่อศาลปกครองในทันที (3 มี.ค.2552)

และแม้ศาลปกครองจะมีคำพิพากษาให้ “ยกคำร้อง” และยืนยันว่า ปตท.ได้ดำเนินการคืนท่อครบถ้วนแล้ว แต่กระนั้นมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคและเครือข่ายก็ยังคงเดินหน้ายื่นฟ้องศาลปกครองอีกเพื่อให้ ปตท.แบ่งแยกและคืนท่อก๊าซฯตามมาอีกหลายต่อหลายครั้ง

มีการเปิดประเด็นใหม่ๆ ขึ้นร้องต่อศาลไม่หยุดหย่อน และเมื่อศาลไม่รับฟ้องทางกลุ่มก็จะยื่นอุทธรณ์ เมื่อศาลไม่รับอุทธรณ์ กลุ่มจะยื่นเรื่องให้เพิกถอนคำพิพากษาตามมาอีก วนเวียนอยู่เช่นนี้ถึง 5 รอบ จนกระทั่งวันที่ 16 ก.พ.2558 ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 ในคดีที่มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคกับพวกรวม 1,455 คน ร่วมกันอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองกรณีแบ่งแยกทรัพย์และส่งคืนท่อก๊าซ ปตท. ที่ว่านี้

โดยศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนยันตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง “ไม่รับคำฟ้องอุทธรณ์” ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบ เนื่องจาก ปตท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาในคดีแปรรูป ปตท. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แม้จะมีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดสั่งไม่รับคำฟ้องอุทธรณ์และให้จำหน่ายคดี แต่เครือข่ายภาคประชาชนกลุ่มนี้ก็ยังคงเดินหน้าร้องสิบทิศ และถึงขั้นยื่นเรื่องร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบคำวินิจฉัยของศาลปกครอง
สูงสุด และตุลาการศาลปกครองว่าเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ มีการกระทำทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่อีก!

ก่อนที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) จะออกโรงตอกย้ำประเด็นการแบ่งแยกและส่งคืนท่อก๊าซ ปตท.ที่ว่านี้ในห้วงขวบเดือนที่ผ่านมา ที่ทำเอาใครต่อใคร “นั่งไม่ติด”

คลัง–ปตท.ยันทำตามคำพิพากษาครบถ้วน!

นายชวลิต พันธ์ทอง ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและบริหารความยั่งยืน ปตท. กล่าวกับ “ทีมเศรษฐกิจ” ว่า ขอยืนยันว่าปตท.ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด และมติ ครม.ครบถ้วนแล้ว พร้อมทั้งได้นำเสนอข้อมูลทรัพย์สินของ ปตท.ทั้งก่อนและหลังการแปรรูปต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อประกอบการพิจารณามาโดยตลอด ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษา “ถึงที่สุด” ให้การรับรองเมื่อปลายปี 2551

ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 เม.ย.2559 ศาลปกครองสูงสุดก็ได้มีคำสั่งให้ยกคำร้องของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2551 อีกครั้ง

กับประเด็นที่ คตง. และ สตง. ยังคงมีความเห็นว่า ปตท.มิได้รอความเห็นของ สตง.ก่อนยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อปี 2551 นั้น ปตท.ยืนยันว่า ได้นำส่งข้อมูลบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดให้ สตง.พิจารณาแล้ว ตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.2551 ซึ่ง สตง.เองก็ไม่ได้มีความเห็นใดกลับมายัง ปตท. “ที่มีการกล่าวอ้างว่า สตง.ได้ส่งรายงานแจ้งแก่ ปตท.ว่า ยังส่งคืนท่อก๊าซฯไม่ครบนั้น เป็นเพียงเอกสารแนบท้ายหนังสือของ สตง. ลงวันที่ 26 ธ.ค.2551 ที่ สตง.นำส่งให้แก่ศาลปกครองสูงสุด ปตท.และหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่ศาลได้มีคำสั่งไปแล้ว”

ส่วนหนังสือที่ ปตท.ได้รับจาก สตง.นั้น เป็นหนังสือฉบับลงวันที่ 20 ก.พ.2552 ที่แจ้งว่า ปตท.ยังส่งคืนทรัพย์สินให้กระทรวงการคลังไม่ครบถ้วน แต่ก็ได้ลงท้ายหนังสือไว้ด้วยว่า ทั้งนี้ การดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินจะครบถ้วนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของศาลเป็นสำคัญ “ ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่ออกมาย่อมถือเป็นยุติ และประเด็นดังกล่าวสำนักงานศาลปกครองสูงสุดก็ได้มีหนังสือลงวันที่ 10 มี.ค.2552 ตอบกลับไปยัง สตง.และ ปตท.แล้วว่า ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาข้อมูลของ สตง.แล้ว และเห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

ยังสำทับด้วยคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 ที่มีต่อประเด็นนี้ โดยศาลได้ระบุชัดเจนว่า ข้อกล่าวอ้างที่ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของมติ ครม.เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2550 (เรื่องที่ให้ สตง.รับรอง) ไม่ใช่เหตุที่จะกล่าวอ้างว่า การดำเนินการตามคำพิพากษายังไม่ถูกต้องสมบูรณ์

“ทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริงที่ยืนยันได้ว่าการแบ่งแยกทรัพย์สินเป็นไปตามคำพิพากษาและหลักเกณฑ์ที่ ครม.กำหนดและคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ย่อมถือเป็นยุติ ไม่อาจมีบุคคลหรือหน่วยงานอื่นใดจะมีอำนาจกลับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดได้”

เช่นเดียวกับ นายอำนวย ปรีมนวงศ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ที่ออกมาโต้แย้งมติ คตง.-สตง.ต่อกรณีการแบ่งแยกทรัพย์สินและส่งคืนท่อก๊าซ ปตท.ที่ว่านี้ว่า ประเด็นที่ คตง.-สตง.และเครือข่ายยังคงติดใจในเรื่องของทรัพย์สินท่อก๊าซ “ในทะเล” ที่ไม่ได้นำมารวมด้วยนั้น ประเด็นนี้ คตง.และ สตง.ได้ส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค.2557 จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการตีความลงมา

“แต่ไม่ว่าจะอย่างไรหากยึดตามหลักการก็ต้องยึด “คำพิพากษาของศาลปกครอง” เป็นหลัก และถือเป็นที่สุดอยู่แล้ว ไม่ใช่ยึดตามผลการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา”

ที่สำคัญในการตรวจสอบและรับรองงบการเงินประจำปีของบริษัท ปตท.โดย สตง.ก็รับรองแบบไม่มีเงื่อนไขมาโดยตลอด หากสิ่งที่ สตง.ลุกขึ้นมาโต้แย้งว่า ปตท.ยังคงส่งมอบทรัพย์สินท่อก๊าซไม่ครบถ้วน ถ้าเป็นเช่นนั้นเท่ากับว่า สตง.ให้ข้อมูลที่เป็นเท็จต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และผู้ถือหุ้นของบริษัท ปตท.มาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ?!!!

“การที่ คตง. และ สตง.หารือไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาและจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เป็นที่ยุติ แต่กลับมาสรุปเองว่า การแบ่งแยกทรัพย์สินไม่ครบถ้วนและกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้น พฤติกรรมของ คตง. และ สตง.จึงเป็นการบั่นทอนขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานโดยสุจริต”

บทสรุป :

สำหรับ “ทีมเศรษฐกิจ” แล้ว ข้ออ้างของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ว่าการแบ่งแยกทรัพย์สินเพื่อส่งคืนท่อก๊าซ ปตท.ที่กระทรวงการคลังและ ปตท.ดำเนินการไปก่อนหน้า มีการรวบรัดขั้นตอนโดยไม่มีการส่งเรื่องให้ สตง.ตรวจรับรองความถูกต้องก่อนรายงานคณะรัฐมนตรี (ครม.) และศาลปกครองสูงสุด รวมไปถึงไม่ได้ส่งร่างบันทึกการแบ่งแยกทรัพย์สินให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาก่อนนั้น

ท้ายที่สุดก็อย่างที่ศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาลงมา ประเด็นดังกล่าวหาใช่เหตุที่จะทำให้การดำเนินการแบ่ง แยกทรัพย์สิน–ท่อก๊าซ ปตท.ขาดความสมบูรณ์จนเป็นเหตุให้ศาลต้องมาพิพากษาในเรื่องที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษา “ถึงที่สุด” ไปแล้ว

ที่สำคัญคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 ที่สั่งไม่รับอุทธรณ์คดีนี้และสั่งให้จำหน่ายคดีออกไปจากสารบบนั้น ได้ระบุชัดเจนว่า การจะให้ศาลมีคำพิพากษาในสิ่งที่ศาลปกครองสูงสุดได้ชี้ขาดเป็นที่ยุติไปแล้วนั้นถือเป็นการ “ต้องห้าม”

และหากในที่สุดแล้ว เกิดมีองค์กรอิสระใดหรือศาลอื่นใดมีคำพิพากษาในคดีนี้ที่ผิดแผกแตกต่างไปจากคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ก็คงจะกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่อาจทำให้หน่วยงานรัฐปั่นป่วนขึ้นไปอีก เพราะไม่รู้ว่าต่อไปจะยึดถือเอาคำพิพากษาศาลใดเป็นเกณฑ์ปฏิบัติกันได้อีก…

เหนือสิ่งอื่นใด หากคำพิพากษาของ “ศาลปกครองสูงสุด” ยังไม่เป็นที่สุดหรือที่ยุติแล้ว เรายังจะเชื่อถือองค์กรใดในประเทศไทยนี้ได้อีก?!!!

ทีมเศรษฐกิจ

สตาร์ทอัพเกรด A “ตัวจริง รวยจริง” ลายแทงสู่ความมั่งคั่งด้วยลำแข้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/606824

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 18 เม.ย. 2559 05:01

 

“สตาร์ทอัพ” (Startup) เป็น 2 คำที่มีความหมายในช่วงขวบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลประกาศเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจดิจิตอล และหนึ่งในมาตรการสำคัญคือการสนับสนุนสตาร์ทอัพสัญชาติไทย ให้ก่อร่างสร้างตัวได้อย่างแข็งแกร่ง

ตัวอย่างความสำเร็จของธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่ถือเป็นกรณีศึกษาทั่วโลก หนีไม่พ้น “เฟซบุ๊ก” ซึ่ง “มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก” เริ่มต้นก่อตั้งขึ้นในขณะมีอายุเพียง 17 ปี สิ่งที่เขามีคือไอเดียและการต่อยอด ทำให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริง ตอบโจทย์คนทั่วโลก จนถึงวันนี้ “เฟซบุ๊ก” ทำให้มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก กลายเป็นมหาเศรษฐีโลกไปเรียบร้อย

แม้ธรรมชาติของธุรกิจ “สตาร์ทอัพ” จะเริ่มต้นได้โดยง่าย ต้นทุนต่ำ อาศัยความคิดเป็นหลัก เริ่มได้จากคนเพียงคนเดียว แต่การเป็นสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ รายที่อู้ฟู่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นแบบอย่าง แต่ที่คว้าน้ำเหลว ล้มหายตายจากไปอย่างเงียบๆ มีมากมายกว่านัก

และแม้จะยากเย็นราวกับงมเข็มในมหาสมุทร สัปดาห์นี้ “ทีมเศรษฐกิจ” ก็ได้ไปเสาะแสวงหาสตาร์ทอัพ เกรด A สัญชาติไทยแท้ มาบอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จและเส้นทางแห่งความมั่งคั่งของพวกเขาให้พวกเราได้อิจฉา…

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทวงใน มีเดีย จำกัด

นักชิมยุคใหม่ ส่วนใหญ่น่าจะคุ้นเคยกับชื่อเสียงของ “วงใน” เว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นรีวิวร้านอาหาร ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานหรือสมาชิกอยู่ถึง 2.2 ล้านคน

ย้อนหลังไปเมื่อปี 2553 “ยอด ชินสุภัคกุล” บัณฑิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวัย 27 ซึ่งกำลังศึกษาปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา มองเห็นลู่ทางในการเริ่มต้นธุรกิจในฐานะสตาร์ทอัพ ซึ่งเขาเห็นตัวอย่างความสำเร็จหลากหลาย ในช่วงกว่า 2 ปีที่ศึกษาอยู่ในสหรัฐอเมริกา

เขาบอกว่าสมัยนั้นชอบใช้บริการเว็บไซต์ Yelp.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์รีวิวร้านอาหารทำให้ปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่า น่าจะมีเว็บไซต์ในแบบเดียวกันนี้ในประเทศไทย

เรียนจบกลับมาในเดือน ก.ค.2553 วงใน (Wongnai) ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเรียบร้อย ใช้เวลาเพียง 6 เดือนนับตั้งแต่วันแรก จากการร่วมแรงร่วมใจของเขาและเพื่อนผู้ร่วมก่อตั้งอีก 2 คน

“คำว่าวงใน สื่อตรงตัวตามความหมาย เพราะการรีวิวของเราเป็นข้อมูลในเชิงลึกคนอื่นไม่รู้”

6 เดือนต่อมา วงในก็ขยายบริการสู่ตลาดแอพพลิเคชั่น เพราะมองว่าตลาดสมาร์ทโฟนกำลังจะเติบโต แต่ช่วง 2 ปีแรก ธุรกิจยังไปได้ไม่ดีนัก เว็บไซต์รีวิวร้านอาหารถือเป็นเรื่องใหม่ จำนวนคนใช้ยังอยู่ในระดับต่ำหลัก 30,000 คน ขณะที่หุ้นส่วนควักเงินตัวเองลงทุนไปแล้วรวมกันถึง 5 ล้านบาท

“ยุคนั้นคนยังไม่รู้จักสตาร์ทอัพกันสักเท่าไร การจะหาคนเข้ามาลงทุน ทั้งในรูปแบบของเวนเจอร์ แคปปิตอล (VC) หรือแองเจิล (Angel-นักลงทุนอิสระ รายเล็ก) ยังเป็นเรื่องยาก เราจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากใช้เงินตัวเอง”

โชคดีที่สถานการณ์เริ่มพลิกฟื้น หลังการเปิดให้บริการ 3 จี ซึ่งทำให้ยอดใช้สมาร์ทโฟนเติบโตขึ้นมาก โดยจุดเปลี่ยนของวงในอยู่ในช่วงสงกรานต์ปี 2555 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่แอพพลิเคชั่นวงใน ติดอันดับท็อป 25 ของแอพพลิเคชั่นฟรี ที่มีการดาวน์โหลดผ่านแอพสโตร์สูงสุด ยอดผู้ใช้ขยับขึ้นเป็น 300,000 คน

หลังฐานผู้ใช้เติบโตก้าวกระโดด วงในก็เริ่มได้รับการติดต่อจากนักลงทุน 5-10 ราย และที่สุดในเดือน พ.ค.2556 ก็ตัดสินใจจับมือกับ Recruit Group จากประเทศญี่ปุ่น ขณะนั้นได้เงินเข้ามาระดับ 500,000-1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำมาใช้ขยายการลงทุนเพิ่มเติม

ให้หลังราว 1 ปี ในเดือน พ.ค.2557 Recruit Group ก็อัดฉีดเงินเข้ามาเพิ่ม ในขณะที่วงในมีผู้ใช้สู่ 1 ล้านราย เงินลงทุนใหม่ในครั้งนี้ถูกนำมาใช้ในการเพิ่มฐานสมาชิก จ้างพนักงานเพิ่ม โดยขณะนี้มีพนักงานทั้งสิ้น 80 คน การขยายธุรกิจในครั้งนั้นทำให้รายได้ของวงในในปี 2558 ขยายตัวจากปี 2557 ถึง 2.5 เท่า

“6 เดือนที่ผ่านมา เราบรรลุจุดคุ้มทุน (break even) แล้ว และสามารถทำกำไรได้ในปีนี้หากต้องการ เพียงแต่เราอาจเลือกที่จะลงทุนต่อเพื่อขยายธุรกิจ เนื่องจากมีแผนเข้ากระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯภายใน 2–3 ปีข้างหน้า ซึ่งเมื่อนั้นค่อยโชว์ผลกำไร”

ปัจจุบัน วงในมีรายได้จากค่าโฆษณา ซึ่งแยกชัดเจนจากการรีวิวสินค้าและบริการ การรีวิวจะทำโดยสมาชิก ส่วนพื้นที่โฆษณาจะถูกระบุชัดเจนว่าเป็นโฆษณา ทั้งในรูปแบบของบทความรีวิวจากทีมงาน การโฆษณาผ่านระบบการค้นหา รวมทั้งแบนเนอร์ ในอนาคตอันใกล้ มีแผนขยายธุรกิจออกต่างจังหวัดมากขึ้น รวมทั้งการขยายรีวิวสู่บริการอื่นเพิ่มเติม เช่น สปา โรงแรม ตลอดจนการเพิ่มโมเดลธุรกิจ ให้ครอบคลุมการรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วย

“ยอด” ฝากไปถึงสตาร์ทอัพรุ่นลูกรุ่นหลานว่า อยากเป็นสตาร์ทอัพต้องอดทน ถ้าถอดใจจะไปไม่ถึงจุดที่เราสามารถเจริญเติบโต คนยุคนี้มีโอกาสมากขึ้น แต่คู่แข่งก็มากขึ้นตามไปด้วย กุญแจสำคัญอยู่ที่ผลิตภัณฑ์ที่ดี ทีมงานที่ดี นอกจากนั้นคือขยันและเก่ง.

วัชระ เอมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท คอมพิวเตอร์โลจี จำกัด

คอมพิวเตอร์โลจี ถือเป็นหนึ่งเดียวของสตาร์ทอัพขวัญใจทีมข่าวเศรษฐกิจในครั้งนี้ ที่ขายสินค้าและบริการในลักษณะบีทูบี หรือ business to business และยังเป็นรายเดียวที่ขายหุ้นเกิน 50% ของมูลค่าที่ถือไว้เรียบร้อยนับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญและเป็นเป้าหมายของสตาร์ทอัพทั่วโลก ที่จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจที่ก่อตั้งและขายทำกำไรได้ในที่สุด

ปัจจุบัน “วัชระ เอมวัฒน์” ในฐานะซีอีโอ ยังคงถือหุ้นในคอมพิวเตอร์โลจีอยู่ 30% โดยเป็นการถือหุ้นร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน ที่เหลือเป็นหุ้นในมือของ Yello Mobile บริษัทสตาร์ทอัพขนาดใหญ่สัญชาติเกาหลี ซึ่งเพิ่งเข้ามาเป็นพันธมิตรเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

เขาเล่าให้ฟังว่า ข้อตกลงทางธุรกิจในครั้งนี้ ทำให้เขามีรายได้กลับคืน ในฐานะผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นจำนวนหนึ่ง นอกเหนือจากข้อตกลงในการแลกหุ้น ทำให้ได้สิทธิในการถือหุ้น
Yello Moblie อีกส่วนหนึ่ง และเมื่อ Yello มีแผนเข้า ตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ในอนาคต โอกาสของเขาก็จะเพิ่มมากขึ้น

Yello Mobile ไม่ใช่นักลงทุนรายแรกที่เข้ามาถือหุ้นคอมพิวเตอร์โลจี ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2556 กลุ่มอินทัช หรือบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เคยเข้ามา ถือหุ้นคอมพิวเตอร์โลจีในสัดส่วน 25% โดยอัดฉีดเงินเข้ามาลงทุนในฐานะ VC จำนวน 28.9 ล้านบาท ขณะนั้นบริษัทมีมูลค่าอยู่ที่ 120 ล้านบาท จาก 1 ล้านบาทในช่วงปี 2553 ปีแรกของการก่อตั้ง

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอินทัชขายหุ้นในสัดส่วนที่เคยถืออยู่ ให้กับ Yello Mobile ไปแล้ว ในมูลค่าที่เพิ่มมากกว่าตอนที่ซื้อประมาณ 2เท่า

“วัชระ” ซึ่งขณะนี้อายุ 36 ปี จบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ หลังจากนั้นเดินทางไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจที่ออสเตรเลีย ควบคู่ไปกับการทำงานด้านไอที ซัพพอร์ตให้กับบริษัทในออสเตรเลียด้วย เมื่อเรียนจบ เขายังกลับมาทำงานด้านคอมพิวเตอร์ ไอทีตามที่ถนัดอีกสักพัก ก่อนคิดที่จะมีบริษัทของตัวเอง ภายใต้ความฝันที่อยากจะพัฒนาซอฟต์แวร์สัญชาติไทยออกขายทั่วโลก

เขาจึงร่วมกับเพื่อนอีก 2 คนก่อตั้งบริษัทขึ้นมาในปี 2553 ช่วงเริ่มต้นมีคนทำงานทั้งสิ้น 6 คน โดยที่ 3 ใน 6 คือผู้ก่อตั้ง สินค้าแรกของบริษัทคือเว็บไซต์ Travel.in.th ซึ่งเป็นเว็บไซต์รวบรวมข้อเสนอดีๆ เปรียบเทียบราคาห้องพักโรงแรม แต่เนื่องจากประเมินรายได้ผิดพลาด ทำให้ธุรกิจล่มไม่เป็นท่า เงินลงทุน 1 ล้านบาทสูญหมด

จุดพลิกผันของคอมพิวเตอร์โลจี อยู่ในปี 2555 เมื่อตัดสินใจสมัครเข้าโครงการ Facebook Preferred Marketing Developer และได้รับการคัดเลือกเป็นบริษัทไทยรายแรกและรายเดียว ซึ่งความสำเร็จ ในครั้งนั้น ทำให้คอมพิวเตอร์โลจีค้นพบความถนัดและสั่งสมชื่อเสียงได้ไม่น้อย

3 เดือนต่อมา พวกเขาจึงได้เปิดตัวบริการใหม่ เป็นระบบบริหารจัดการโซเชียลมีเดีย (Social Media Management System) ที่ช่วยให้องค์กรบริหารจัดการและใช้โซเชียลมีเดียได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่นานจากนั้นกลุ่มอินทัช ก็สนใจเข้ามาถือหุ้น อัดฉีดเงินเข้ามาลงทุน ทำให้ขยายธุรกิจไปได้อีกมาก เพิ่มพนักงานจาก 12 คน เป็น 42 คน ในจำนวนนั้นเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Developer) ถึง 33 คน และมีเป้าหมายเพิ่มเป็น 70 คนในปีนี้

อินทัชเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งไม่เท่าไร บริษัทก็สามารถเปิดตัวบริการใหม่ในปี 2557 ใช้ชื่อว่า Th3re เป็น Social Listening หรือซอฟต์แวร์ที่ช่วยบริหารข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย ให้กับองค์กร เช่น มีการกล่าวถึงแบรนด์อย่างไรบนโซเชียลมีเดีย จนในที่สุด ความเชี่ยวชาญด้านระบบบริหารจัดการบนโซเชียลมีเดียนี้เอง ที่ทำให้คอมพิวเตอร์โลจีได้รับความสนใจจาก Yello Mobile

“ผมได้รับเงินจริง นำเงินออกมาจากบริษัทจริง แต่มันยังเป็นการเดินทางแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ความฝันที่จะผลักดันซอฟต์แวร์ไทยไปสู่ตลาดโลกยังมีอยู่ ด้วยเป้าหมายที่ใกล้ขึ้น การมีพันธมิตรอย่าง Yello จะทำให้คอมพิวเตอร์โลจีไปถึงจุดนั้นได้ เรากำลังเริ่มเข้าไปในตลาดเกาหลี อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ขยายบริการจากที่ครอบคลุมด้านการขาย การตลาด เป็นการโฆษณาด้วย เน้นโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งในไทยยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญมากนัก ความเชี่ยวชาญส่วนใหญ่ยังอยู่ฝั่งอเมริกาหรือญี่ปุ่น”

“วัชระ” พูดถึงความสำเร็จของเขาว่า มาจากความเชี่ยวชาญ ความรู้จริง และใช้ความเชี่ยวชาญนั้นแก้ปัญหาที่มีอยู่ได้จริง.

ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ไพรซ์ซ่า จำกัด

สำหรับไพรซ์ซ่า วงเงินลงทุนจาก VC อาจไม่ใช่ตัววัดความสำเร็จในฐานะสตาร์ทอัพแถวหน้าเพียงปัจจัยเดียว เมื่อพิจารณาจำนวนผู้ใช้งานผ่านเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่น Priceza ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่เฉลี่ยเดือนละ 11 ล้านคน แบ่งเป็นในไทย 6.5 ล้านคน และอินโดนีเซีย 4.2 ล้านคน

“เราบรรลุจุดคุ้มทุนตั้งแต่ปีที่ 2 จากนั้นก็เริ่มทำกำไร เรามีเงินลงทุนขยายธุรกิจของเราเอง ไม่ได้จำเป็นต้องอาศัยเงินจาก VC นั่นเป็นเหตุที่ทำให้เรายังไม่ได้ขวนขวายหานักลงทุนเข้ามาเพิ่มเติม แต่อีกไม่นานเราน่าจะมีความคืบหน้าในเรื่องนี้แน่ โดยตลอด 6 ปีที่ทำธุรกิจมา มูลค่าของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นกว่า 200 เท่าจากจุดเริ่มต้น”

“ธนาวัฒน์” ก่อตั้งไพรซ์ซ่าขึ้นเมื่อปี 2552 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท โจทย์ของเขาคือการเสนอบริการให้กับคนซื้อสินค้าออนไลน์ ที่ต้องการเปรียบเทียบราคา หาเงื่อนไขที่ดีที่สุด เขาจึงสร้างแพลทฟอร์มขึ้นมา เก็บรวบรวมราคาสินค้าในโลกออนไลน์ แล้วนำมาเปรียบเทียบกันว่าสินค้าที่ไหนราคาถูกที่สุด มีข้อเสนอดีที่สุด เริ่มต้นจากเว็บไซต์ในปี 2553 ใช้เวลาแค่ปีเดียว ฐานผู้ใช้ก็ขึ้นไปที่ 1 ล้านคน และถัดมาในปี 2555 ด้วยจำนวนผู้ใช้ 2 ล้านคน

“ผมเริ่มธุรกิจกับเพื่อนอีก 2 คนตอนอายุ 26 ตอนนั้นยังไม่มีสตาร์ทอัพด้วยซ้ำ แต่ผมเห็นธุรกิจอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ในต่างประเทศประสบความสำเร็จ ก็คิดอยากทำบ้าง ช่วงนั้นอี–คอมเมิร์ซเพิ่งเริ่ม ผมมองว่าในอนาคตมันต้องโตได้อีกเยอะ อย่างไรก็ต้องมาแน่ เมื่อเชื่ออย่างนั้นก็ต้องเริ่ม”

“ธนาวัฒน์” จึงเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขึ้นมา มีหน้าที่เก็บข้อมูล เทียบราคาสินค้าที่ปรากฏบนเว็บไซต์ ช่วยลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่ราคาดีที่สุด จากนั้นความนิยมของไพรซ์ซ่าก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

จนในปี 2556 ไพรซ์ซ่าตัดสินใจเปิดรับนักลงทุน โดยขายหุ้นให้ Cyber Agent VC สัญชาติญี่ปุ่นในสัดส่วน 10% ได้เงินมาประมาณ 550,000 เหรียญสหรัฐฯ

สาเหตุหลักในการเปิดรับนักลงทุนไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของ Know-How ทักษะและความเชี่ยวชาญของพันธมิตรมากกว่า โดยในปีนั้น ไพรซ์ซ่าก็ได้ออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก เปิดให้บริการในอินโดนีเซีย

เช่นเดียวกับผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพอีก 2 ราย “ธนาวัฒน์” จบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ เขาเรียนเอกคอมพิวเตอร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และต่อปริญญาโทมาร์เกตติ้ง หลักสูตรอินเตอร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การเขียนโปรแกรมให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ จึงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงสำหรับเขา แค่ต้องหาโจทย์ให้เจอ และตอบโจทย์ให้ทะลุ

ปัจจุบันไพรซ์ซ่าเปิดให้บริการอยู่ในหลายประเทศอาเซียน เริ่มตั้งแต่ไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยใน 4 ประเทศหลัง มีฐานผู้ใช้อยู่ในหลัก 150,000-300,000 คน บริการของไพรซ์ซ่าครอบคลุมการเปรียบเทียบราคาสินค้า โปรโมชั่นที่มีอยู่บนโลกออนไลน์ทั้งหมด ในอนาคตอันใกล้มองไปถึงการขยายบริการไปสู่การเปรียบเทียบเงื่อนไขบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล แผนประกันชีวิตประกันภัย โปรโมชั่นมือถือ รวมทั้งมีแผนที่จะขยายธุรกิจ สู่การเปรียบเทียบสินค้าออฟไลน์ที่วางจำหน่ายผ่านช่องทางร้านค้าปกติด้วย ส่วนรายได้นั้นมาจากโฆษณา ซึ่งมีตั้งแต่คอนเทนต์ที่เป็นเนื้อหาประชาสัมพันธ์ ไปจนถึงแบนเนอร์

เขายังให้แง่คิดฝากถึงสตาร์ทอัพยุคใหม่ๆ ว่า อย่าเพิ่งคิดเรื่องการระดมทุนหรือหาเงินเป็นหลัก การคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาที่มีอยู่จริงและใหญ่พอ ถือเป็นโจทย์สำคัญที่สุด ต้องทำรายได้ให้ได้ก่อน แล้วจะมีนักลงทุนสนใจเอง.

ทีมเศรษฐกิจ

“นันทวัลย์” แจงสี่เบี้ย ละเมิด “ทรัพย์สินทางปัญญา” “แบรนด์นอก” ฮุบสิทธิ์ “แบรนด์ไทย”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/606090

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 16 เม.ย. 2559 05:01

 

กลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์” บนโลกโซเชียลมีเดีย รวมทั้งวงการแฟชั่นเมืองไทยต่อเนื่องในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

หลังจากสินค้าแบรนด์เนมดังระดับโลก “Balenciaga” ทำฮือฮา! ด้วยการนำเอากระเป๋าคอลเลกชั่นใหม่ที่คล้ายกันอย่างยิ่งกับ “กระเป๋าสายรุ้ง” หรือถุงกระสอบที่พ่อค้าแม่ค้าของไทยใส่ของไปเดินเฉิดฉายเปิดตัวในโชว์ Balenciaga Fall Winter 2016 Show ที่จัดแสดงในงาน Paris Fashion Week เมื่อต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาเช่นเดียวกับ “รองเท้ายาง” รุ่นใหม่ของแบรนด์รองเท้ากีฬาระดับโลกไนกี้ “Nike Solarsoft Thong II” ที่ออกมาเกือบจะเหมือนแตะหูคีบ ยี่ห้อ “ช้างดาว” ของบ้านเราแทบแยกไม่ออก

แตกต่างกันที่ “กระเป๋าสายรุ้ง” บ้านเราราคาอยู่ที่หลักไม่กี่สิบ แต่ “กระเป๋าสายรุ้ง” แบรนด์ Balenciaga ราคาเฉียดๆหลักแสน เช่นเดียวกับ “รองเท้าแตะ” ที่แปะยี่ห้อไนกี้ ขายได้ข้างละ 450 บาท หรือคู่ละ 900 บาท

เกิดคำถามขึ้นมากมายในสังคมไทยว่า แบรนด์ดังระดับโลกเหล่านี้ก๊อบปี้แบรนด์ไทยหรือไม่

“แรงบันดาลใจ” แตกต่างกันอย่างไรกับ “ละเมิด ทรัพย์สินทางปัญญา”

และนอกเหนือจาก 2 กรณีนี้ ในข้อเท็จจริงสินค้าไทยถูกต่างชาติละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบ้างหรือไม่ หรือมีแต่ข้อหาที่ว่าคนไทยละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของต่างชาติเพียงฝ่ายเดียว

“ทีมเศรษฐกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์ “นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค” อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อไขข้อข้องใจทุกประเด็นร้อนของเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาว่า “แบรนด์ไทย” ควรทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการถูกละเมิด รวมทั้งเปิดเผยความคืบหน้าการเร่งรัด “แก้ปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์” ในประเทศไทย และการปลดบัญชีดำ “ประเทศที่ถูกจับตามองพิเศษ” ด้านทรัพย์สินทางปัญญาภายในปีนี้

ต่างชาติต่อยอด “กึ๋น” คนไทยไม่ผิด

อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาชี้แจงกรณีที่แบรนด์ดังระดับโลกนำไอเดีย หรือสินค้าของคนไทยไปต่อยอดผลิตเป็นสินค้าใหม่ๆ ออกขาย ว่า ไม่ถือเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ของไทย เพราะสินค้าไทยมักไม่จดทะเบียน

ที่สำคัญ การต่อยอดคือการนำเอาไอเดีย ของคนไทยไปพัฒนาต่อแล้วผลิตเป็นสินค้าตัวใหม่ ไม่ใช่เป็นการผลิตสินค้าเลียนแบบ หรือทำซ้ำ (Copy) จึงไม่ใช่การละเมิด!!

อย่าง “กระเป๋าสายรุ้ง” ที่แบรนด์ดังนำไอเดีย ไปต่อยอดผลิตสินค้า ก็ไม่ถือว่าละเมิดคนไทย เพราะกระเป๋าสายรุ้ง แม้จะใช้มานาน แต่ไม่รู้ใครผลิตรายแรก ไม่มีเจ้าของแบรนด์ และมีขายในอาเซียนด้วย จึงไม่ใช่ทรัพย์สินทางปัญญาไทย และไม่ถือว่าไทยละเมิดแบรนด์ดัง เพราะลักษณะกระเป๋า วัสดุที่ใช้ต่างกัน คนไทยยังใช้กระเป๋านี้ได้เหมือนเดิม

“ทั่วโลกก๊อบปี้ไอเดียของกันและกันทั้งนั้น เพื่อหาไอเดียใหม่ๆ ต่อยอดผลิตสินค้าใหม่ แต่คนไทย เมื่อผลิตสินค้าแล้วมักไม่จดทะเบียน อยากให้มาจดกันมากๆ เมื่อเกิดปัญหาจะได้เอาผิดกับคนละเมิด และธุรกิจไม่เสียหาย”

อย่างไรก็ตาม กรมฯได้จัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ให้รู้จักปกป้อง คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของตน และนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เช่น เมื่อออกแบบ และผลิตสินค้าได้ ต้องจดทะเบียนในประเทศก่อน แล้วจึงจดในประเทศที่จะส่งสินค้าไปขาย ไม่เช่นนั้นอาจเสียหายทางธุรกิจโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยสินค้า 1 ชิ้นจดทะเบียนรับความคุ้มครองได้หลายอย่าง เช่น สิทธิบัตรการประดิษฐ์ สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ เครื่องหมายการค้า

“บริษัทใหญ่ๆมีฝ่ายทรัพย์สินทางปัญญา จึงเข้าใจเรื่องนี้ดี แต่รายเล็กๆ ยังไม่มี และอาจยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ กรมฯต้องให้ความรู้เพื่อให้คนเหล่านี้รู้จัก และตระหนักถึงการปกป้อง คุ้มครอง การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ให้มากขึ้น”

สินค้าไทยถูกละเมิดในต่างแดนอื้อ

อย่างไรก็ตาม แม้ไทยถูกสำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) จัดสถานะอยู่ในกลุ่มประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษด้านทรัพย์สินทางปัญญา (PWL) ตามกฎหมายการค้า มาตรา 301 พิเศษ (Special 301) มาแล้ว 8ปี

เนื่องจากไทยละเมิดสหรัฐฯมาก โดยเฉพาะลิขสิทธิ์ภาพยนตร์เพลง ตำราเรียน ซอฟต์แวร์ เช่น มีการแอบถ่ายภาพยนตร์ในโรงแล้วนำมาบันทึกลงแผ่นซีดีแล้วก๊อบปี้ขาย หรือดาวน์โหลดภาพยนตร์จากอินเตอร์เน็ตแล้วก๊อบปี้ลงแผ่นขาย หรือดาวน์โหลดมาดูฟรี ก๊อบปี้ซอฟต์แวร์มาใช้เป็นซอฟต์แวร์เถื่อน ฯลฯ

ส่งผลให้เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาเสียหายมหาศาล เพราะคนไทยไม่ซื้อ ไม่ใช้สินค้าลิขสิทธิ์ แต่ใช้ของปลอมแทน!! และปีนี้กำลังลุ้นว่าจะหลุดจากบัญชีนี้หรือไม่ โดย USTR จะประกาศผลสิ้นเดือน เม.ย.นี้ เราอยากให้หลุด เพราะแก้ปัญหาต่างๆมากกว่าที่สหรัฐฯร้องขอด้วยซ้ำแต่ถ้าไม่หลุด คงไม่ประท้วง แต่จะถือว่าได้แก้ปัญหาให้ภาพพจน์ของประเทศดีขึ้น นักลงทุนเชื่อมั่นเข้ามาลงทุนมากขึ้น

“แม้สหรัฐฯมองว่าไทยละเมิดมาก แต่สินค้าไทยถูกหลายประเทศละเมิดเช่นกัน เพราะสินค้าไทยได้รับความนิยมและขายดี จึงมีคนแสวงหาผลประโยชน์ สินค้าที่ถูกละเมิดมาก เช่น อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ส่วนใหญ่ละเมิดเครื่องหมายการค้าที่เป็นโลโก้ หรือยี่ห้อ หรือแบรนด์ของสินค้า”

ลักษณะการละเมิด มีทั้งทำ “เลียนแบบ” หรือทำ “ปลอม” เครื่องหมายการค้า และปลอมสินค้า โดยผู้นำเข้าหรือตัวแทนจำหน่ายสินค้าไทยในประเทศนั้นๆ ทำให้สินค้าเสียหาย ทั้งภาพลักษณ์และยอดขาย เพราะสินค้าปลอมอาจไม่มีคุณภาพ เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ทำให้ไม่กล้าซื้อใช้ ยอดขายตก สุดท้ายเจ้าของแบรนด์ที่แท้จริงเสียหายมาก

“การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาไทย โดยต่างชาติ มักเกิดจากการร่วมทุนกับคู่ค้า และไม่ได้ทำสัญญาเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาอย่างชัดเจน ทำให้นำทรัพย์สินทางปัญญาไปจดทะเบียน หรือใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต”

แนะจดทะเบียนคุ้มครองก่อนขาย

นอกจากนี้ยังนำเอาเครื่องหมายการค้าไทยไปจดทะเบียนเป็นของตนเอง ซึ่งเกิดขึ้นกับเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนในประเทศที่ส่งสินค้าไปขาย กรณีนี้ร้ายแรงมาก เพราะเมื่อเครื่องหมายการค้าได้รับการจดทะเบียนในประเทศนั้นๆแล้ว เจ้าของสิทธิ์ที่แท้จริงจะใช้ประโยชน์หรือนำไปค้าขายในประเทศนั้นๆไม่ได้อีก เพราะจะละเมิดผู้ขอจดทันที ทำให้ต้องใช้เครื่องหมายการค้าอื่น หรือ “ซื้อคืน” เครื่องหมายการค้าของตนเอง

ประเทศที่ละเมิดสินค้าไทยมากที่สุด คือ อาเซียน และจีน โดยจีนละเมิดเครื่องหมายการค้าน้ำผลไม้ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง น้ำมันน้ำพริกเผา น้ำมันพืช บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เครื่องสำอาง ฯลฯ ในอาเซียนอย่างอินโดนีเซียละเมิดปูนซีเมนต์ผสม หมวกกันน็อก เครื่องสำอาง, กัมพูชาละเมิดน้ำปลา ปูนซีเมนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า, มาเลเซียละเมิดน้ำพริกเผา, เมียนมาละเมิดรองเท้าแตะ, ฟิลิปปินส์ละเมิดหมวกกันน็อก เครื่องสำอาง, สิงคโปร์ละเมิดไม้สนุ้กเกอร์, เวียดนามละเมิดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ปูนซีเมนต์ เครื่องแกงสำเร็จรูป เป็นต้น

ในการแก้ปัญหานี้ กรมฯได้ประสานงานกับหน่วยงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศต่างๆ ให้แก้ไข เช่น ยกเลิกการจดทะเบียน ตรวจสอบจับกุมผู้ละเมิด เป็นต้น และแนะนำให้ผู้ประกอบการไทยจดทะเบียนในทุกตลาดที่ส่งสินค้าไปขาย และเร็วๆนี้ ไทยจะเข้าเป็นสมาชิกพิธีสารแมดริด ทำให้ผู้ประกอบการ ยื่นขอจดเครื่องหมายการค้าได้ที่กรมฯ แต่ขอรับความคุ้มครองได้ใน 97 ประเทศสมาชิกในคราวเดียว โดยไม่ต้องเดินทางไปขอจดในต่างประเทศ

“ถ้าผู้ประกอบการไทยจดทะเบียนเพื่อขอรับความคุ้มครองทั้งในประเทศและต่างประเทศ กรณีเกิดการละเมิดขึ้น จะสามารถดำเนินคดีกับผู้ละเมิดได้ แต่ถ้าไม่ได้จดทะเบียนไว้ก่อน บางครั้งเจ้าของคนไทยตัวจริง อาจสู้คดีไม่ได้ ทำให้ต้องสูญเสียแบรนด์ของตนเอง และเสียหายทางธุรกิจ”

สถานการณ์ค้าของเถื่อนลดต่อเนื่อง

อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาบอกว่า เมื่อให้ความรู้ผู้ประกอบการจดทะเบียนก่อนผลิตสินค้าออกขาย ทั้งในและต่างประเทศมากขึ้นแล้ว เชื่อว่าคนไทยจะปกป้อง คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตนเองมากขึ้น และปัญหาคนต่างชาติละเมิดสินค้าไทยน่าจะลดลง

แต่การละเมิดในประเทศแม้ไทยยังอยู่ในบัญชี PWL และต่างชาติมองว่าไทยเป็นแหล่งผลิตและจำหน่ายสินค้าละเมิด แต่การละเมิดลดความรุนแรงลงมาก เพราะแหล่งผลิตสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้า และลิขสิทธิ์อยู่ในต่างประเทศ ในไทยไม่มีแล้ว เพราะต้นทุนการผลิตไทยสูงกว่า และทางการไทยปราบปรามอย่างหนัก

แม้จะเห็นสินค้าปลอมวางขายอยู่ แต่เป็นสินค้าละเมิดที่นำเข้าทั้งสิ้น!!

นอกจากนี้ กรมศุลกากรได้ปราบสินค้าละเมิด ณ จุดนำเข้า-ส่งออก และชายแดนอย่างเข้มงวด ส่วนกรุงเทพฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้สืบสวนจับกุมผู้ละเมิดรายใหญ่ต่อเนื่อง ทำให้สินค้าลดลงกว่าครึ่ง ขณะเดียวกัน ตำรวจท้องที่และกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) ได้ตรวจสอบและจับกุมผู้ค้ารายย่อย ร้านค้า แผงลอยด้วย

จากการดำเนินการดังกล่าว ส่งผลให้ในปี 58 กรมศุลกากรจับกุมผู้กระทำผิดและดำเนินคดี 846 คดี ยึดของกลางที่ 2.22 ล้านชิ้น จากปี 57 ที่จับกุมได้ 809 คดี และยึดของกลาง 341,907 ชิ้น ส่วน DSI จับกุมได้ 38 คดี ยึดของกลางได้ 713,165 ชิ้น จากปี 57 ที่จับกุมได้ 14 คดี ยึดของกลางได้ 147,835 ชิ้น และ สตช.จับกุมได้ 6,553 คดี ยึดของกลางได้ 910,516 ชิ้น จากปี 57 ที่จับกุมได้ 9,924 คดี ยึดของกลาง 1.04 ล้านชิ้น

แต่เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการละเมิดมีประสิทธิภาพมากขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน มีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย เพื่อกำหนดแผนปราบปรามให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

และเมื่อเร็วๆนี้ กรมฯได้เชิญกรมศุลกากร DSI สตช. และ ปอศ. มาประชุมกำหนดแผนทำงานให้ชัดเจน โดยจะเร่งปราบการละเมิดในตลาดต่างๆ ที่ขายสินค้าละเมิดมากทั่วประเทศ หรือ Notorious Markets ทั้ง 11 แห่ง ตามข้อมูลของ USTR ได้แก่ หาดกะรน และหาดป่าตอง จ.ภูเก็ต, พัทยา จ.ชลบุรี, ตลาดโรงเกลือ จ.สระแก้ว, ห้างพันธุ์ทิพย์, คลองถม, บ้านหม้อ, ห้างมาบุญครอง, ริมถนนสุขุมวิท, พัฒน์พงศ์ และตลาดนัดจตุจักร ส่วนอีก 2 แห่งคือ สะพานเหล็กถูกรื้อถอนไปแล้ว และตลาดนัดถนนสุขุมวิทถูกทางการทลายไปแล้ว

“ถ้าจับกุมผู้ค้ารายใหญ่ได้ นอกจากมีความผิดตามกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว ต้องส่งให้กรมสรรพากร ตรวจสอบการเสียภาษีย้อนหลัง ส่งคณะกรรมการป้องกันการฟอกเงิน (ปปง.) ยึดทรัพย์ ถ้าเป็นต่างชาติส่งเรื่องให้ สตช. ขึ้นบัญชีดำ ไม่ให้กลับเข้ามาอีก และทำหนังสือถึงเจ้าของอาคารสถานที่ที่ขายสินค้าละเมิด ไม่ต่อสัญญากับผู้ขายสินค้าละเมิดด้วย”

ส่วนการละเมิดบนอินเตอร์เน็ต แม้มีมากขึ้น เช่น การโพสต์ขายสินค้าปลอมบน Facebook หรือ IG หรือการดาวน์โหลดภาพยนตร์ และเพลงต่างประเทศจากเว็บไซต์ฟรี ฯลฯ แต่ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ฉบับแก้ไขใหม่ ปรับปรุงให้การคุ้มครองครอบคลุมถึงการป้องกันบนอินเตอร์เน็ตแล้ว โดยผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP) สามารถปิดกั้นเว็บไซต์ที่ละเมิดได้ตามคำสั่งศาล

โรดแม็ปปฏิรูปทรัพย์สินทางปัญญา

นอกจากการระดมทุกหน่วยงานปราบปรามการละเมิดอย่างต่อเนื่องแล้ว กรมฯยังจัดทำโรดแม็ปการปฏิรูปทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อให้การแก้ปัญหาเกิดความยั่งยืน ครอบคลุม 4 ด้านคือ 1.ส่งเสริมให้คนไทยสร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา 2.ปกป้องคุ้มครอง 3.ปราบปรามการละเมิด และ 4.สร้างจิตสำนึกให้คนไทยไม่ละเมิด และใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์

“โรดแม็ปเสร็จแล้ว จะเวียนให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ จากนั้นจะเสนอให้ รมว.พาณิชย์ เห็นชอบก่อนเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาน่าจะทำให้ไทยจะมีประสิทธิภาพในการปกป้อง คุ้มครองมากขึ้น คนไทยลดการละเมิดลง มีจิตสำนึกไม่ใช้ของปลอม และสร้างสรรค์ผลงานตนเองมากขึ้น”

ในโรดแม็ปนั้น กรมฯจะปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ลดเวลาและขั้นตอนการจดทะเบียน เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อให้การจดทะเบียนเร็วขึ้น ปรับปรุงการยื่นขอจดทะเบียนทางออนไลน์ (e-Filing) เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ขอจด ซึ่งจะช่วยให้คนไทยสร้างสรรค์ผลงาน และจดทะเบียนมากขึ้น ส่วนการสร้างจิตสำนึกจะเพิ่มเนื้อหาทรัพย์สินทางปัญญาในหลักสูตรการศึกษา เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีความรู้ ไม่ซื้อ ไม่ใช้ของปลอม ให้ความรู้ผู้ค้า เลิกขายสินค้าละเมิด แล้วขายสินค้าโอทอป หรือสินค้าแบรนด์คนไทย

ในการส่งเสริมให้ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ จะให้ความรู้ผู้ประกอบการ สร้างเครื่องหมายการค้าของตนเอง หรือให้ความรู้แนวโน้มของเทคโนโลยีที่จะผลิตสินค้า แนวโน้มของสินค้าในอนาคต เพื่อให้ผู้ประกอบการประดิษฐ์ หรือสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ ผลิตสินค้าให้ตรงกับต้องการของตลาดมากที่สุด

“กรมฯจะซื้อลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ใหม่ ที่รวบรวมสิทธิบัตรการประดิษฐ์ทั่วโลก เพื่อให้ผู้ประกอบการค้นหา trend การผลิตสินค้าของโลก เช่น ค้นได้ว่า มีสิทธิบัตรเกี่ยวกับอะไรมากที่สุด ซึ่งจะบอกได้ถึงแนวโน้มความ ต้องการของสินค้า หรือถ้าต้องการผลิตสินค้า 1 อย่าง จะต่อยอดจากสิทธิบัตรของคนอื่นได้หรือไม่ โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่”

ในด้านปราบปราม จะร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปราบปรามการละเมิดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเน้นพื้นที่สีแดงทั่วประเทศ ที่ขายสินค้าละเมิดทั้ง 29 แห่ง เช่น มาบุญครอง พันธุ์ทิพย์ พัฒน์พงศ์ ถนนสีลม ถนนสุขุมวิท บ้านหม้อ คลองถม เชียงใหม่ ภูเก็ต ตลาดโรงเกลือ เป็นต้น

ทีมเศรษฐกิจ

ม.44 ปลดล็อก “อีไอเอ” สางพงหนามเมกะโปรเจกต์ขับเคลื่อนประเทศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/605728

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 15 เม.ย. 2559 05:01

 

ประเด็นสุดฮอตที่ยังคงเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” ตลอดห้วงขวบเดือนที่ผ่านมา กับเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตาม ม.44 แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ออกคำสั่ง คสช.ที่ 9/2559 ให้เดินหน้าโครงการเมกะโปรเจกต์คู่ขนานไปกับการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม “EIA–EHIA” โดยไม่ต้องรอให้ผลศึกษาผ่านเสียก่อน

ทำเอารัฐบาล คสช.งานเข้า ถูกเครือข่ายเอ็นจีโอ และภาคประชาชนรุมกระหน่ำเป็นรายวัน พร้อมออกโรงเรียกร้องให้รัฐบาลได้ทบทวนยกเลิกคำสั่งดังกล่าว โดยเฉพาะขาประจำอย่าง นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ถึงขนาดออกโรงระบุว่า

คำสั่ง คสช.ดังกล่าวเป็นการทำลายหลักการป้องกันล่วงหน้าและเป็นรายการคืนความสุขให้กลุ่มทุน ที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของมาตรา 4 และ 5 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ประกอบ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 2535 โดยชัดแจ้งขณะที่ภาครัฐก็ดาหน้าออกมายืนยันสาระของคำสั่ง คสช.ที่ 9/2559 ซึ่งบัญญัติข้อความเพิ่มในวรรค 4 ของมาตรา 47 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535

“ในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อประโยชน์ในการดำเนินโครงการหรือกิจการด้านการคมนาคมขนส่ง การชลประทาน การป้องกันสาธารณภัย โรงพยาบาล หรือที่อยู่อาศัย ในระหว่างที่รอผลการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามวรรคหนึ่ง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการหรือกิจการนั้น อาจเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการ เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกชนผู้รับดำเนินการตามโครงการ หรือกิจการไปพลางก่อนได้ แต่จะลงนามผูกพันในสัญญาหรือให้สิทธิกับเอกชนผู้รับดำเนินการตามโครงการหรือกิจการไม่ได้”

เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่ารัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะปลดล็อกการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคมขนส่ง อาทิ ขนส่งระบบราง รถไฟความเร็วสูง ทางด่วน หรือท่าเรือ เป็นต้น โครงการด้านชลประทาน การก่อสร้างเขื่อน ขนาดใหญ่ ซึ่งมักประสบปัญหาในเรื่องของการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการถูกต่อต้านจากชุมชน ท้องถิ่นและเครือข่ายเอ็นจีโอ เครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด

เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ “ทีมเศรษฐกิจ” จึงได้ย้อนรอยที่มาที่ไปของคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 9/2559 ต่อการ “ปลดล็อก” รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA-EHIA ในการดำเนินโครงการเมกะโปรเจกต์ครั้งนี้ เป็นไปเพื่อเอื้อต่อนายทุน หรือเป็นไปเพื่อขจัดอุปสรรคในการลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์อย่างไร ดังนี้ :

ถอดบทเรียนอีไอเอ “แก่งเสือเต้น-แม่วงก์”

ปัญหา “กลัดหนอง” ของการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชน EIA-EHIA ที่ทำให้การดำเนินโครงการเมกะโปรเจกต์หลายต่อหลายโครงการต้องล้มลุกคลุกคลาน บางโครงการต้องกลับไปเกิดใหม่นั้น แม้แกนนำเครือข่ายเอ็นจีโอ หรือแกนนำในภาคประชาชนจะออกมาระบุว่า มาจากการจัดทำรายงานที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้ต้องมีการปรับแก้ หรือศึกษาเพิ่มเติมหลายรอบ

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาดังกล่าวได้ทำให้การดำเนินโครงการเมกะโปรเจกต์หลายต่อหลายโครงการต้องล้มลุกคลุกคลาน หรือถึงขั้น “ปิดประตูลั่นดาล” ลงไปเลยก็มี

บทเรียนของ 2 โครงการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่ดำเนินการมานับสิบปีและยังคงคาราคาซังมากระทั่งปัจจุบันคือเขื่อน “แก่งเสือเต้น” และ “เขื่อนแม่วงก์” น่าจะเป็นคำตอบที่ดีว่า เหตุใดรัฐบาลจึงจำเป็นต้องงัด ม.44 ผ่าทางตันปัญหาการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชนที่ว่านี้

โดยโครงการ “แก่งเสือเต้น” ที่ผลักดันมาตั้งแต่ปี 2532 และได้รับอนุมัติให้ก่อสร้างในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ แต่ถูกชาวบ้านในพื้นที่คัดค้าน และแม้จะมีการทำการทบทวนผลสำรวจผลกระทบสิ่งแวดล้อมหลายต่อหลายครั้งก็ยังไม่สะเด็ดน้ำ กระทั่งปัจจุบันที่ผ่านมากว่า 20ปี โครงการนี้ก็ยังคงไม่สามารถก่อสร้างได้

ขณะที่เขื่อนแม่วงก์นั้น กรมชลประทานได้ดําเนินการศึกษาความเหมาะสมโครงการมาตั้งแต่ปี 2529 ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และศึกษาเพิ่มเติมมาตรการรายงานแผนแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIMP) แล้วเสร็จในปี 2537 แต่เมื่อส่งให้สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พิจารณาก็กลับเผชิญปัญหาความไม่สมบูรณ์ที่ทำให้ต้องแก้ไขกันมาเป็นสิบรอบ จนกระทั่งปัจจุบัน

นอกเหนือจากโครงการข้างต้น นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดีฝ่ายวิชาการ กรมชลประทาน กล่าวกับ “ทีมเศรษฐกิจ” ว่า กรมชลประทานมีโครงการที่อยู่ในระหว่างขั้นตอนพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) รวม 7 โครงการได้แก่ 1.โครงการวังหีบ จ.นครศรีธรรมราช วงเงิน 1,600 ล้านบาท ปริมาณน้ำกักเก็บ 20.1 ล้าน ลบ.ม. ใช้พื้นที่ชลประทาน 13,014 ไร่ 2.อ่างเก็บน้ำแม่ถันน้อย จ.สุโขทัย วงเงิน 213 ล้านบาท ปริมาณน้ำกักเก็บ 4.15 ล้าน ลบ.ม. ใช้พื้นที่ชลประทาน 11,800 ไร่ 3.อ่างเก็บน้ำแม่ก๋อน จ.แพร่ วงเงิน 582 ล้านบาท ปริมาณน้ำกักเก็บ 11.47 ล้าน ลบ.ม. ใช้พื้นที่ชลประทาน 11,800 ไร่

4.อ่างเก็บน้ำหนองตาตั้ง จ.ราชบุรี วงเงิน 200 ล้านบาท ปริมาณน้ำกักเก็บ 21.74 ล้าน ลบ.ม. ใช้พื้นที่ชลประทาน 9,000 ไร่ 5.อ่างเก็บน้ำน้ำญวน จ.พะเยา วงเงิน 900 ล้านบาท ปริมาณน้ำกักเก็บ 36 ล้าน ลบ.ม. ใช้พื้นที่ชลประทาน 20,910 ไร่ 6.อ่างเก็บน้ำห้วยกะแหล่ง จ.ชัยภูมิ วงเงิน 500 ล้านบาท ปริมาณน้ำกักเก็บ 4.99 ล้าน ลบ.ม. ใช้พื้นที่ชลประทาน 3,100 ไร่ 7.อ่างเก็บน้ำห้วยตาเปอะ จ.มุกดาหาร วงเงิน 431 ล้านบาท ปริมาณน้ำกักเก็บ 18.89 ล้าน ลบ.ม. ใช้พื้นที่ชลประทาน 10,969 ไร่

โครงการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นโครงการที่มีความจำเป็นต่อการบริหารจัดการน้ำ และแก้ไขวิกฤติน้ำของประเทศ แต่เมื่อต้องดำเนินการตามกรอบของการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมทุกกระเบียดนิ้วก็ทำให้เส้นทางการดำเนินโครงการเป็นไปด้วยความล่าช้า คำสั่งของหัวหน้า คสช.ที่ 9/2559 จึงเป็นการปลดล็อกเงื่อนไขที่จะทำให้โครงการเหล่านี้เดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น

อานิสงส์โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน

ในฟากฝั่งกระทรวงพลังงานนั้น นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า หัวใจสำคัญของคำสั่ง คสช.ที่ 4/2559 เป็นการเปิดช่องระบายอากาศเพื่อผลักดันให้แผนการจัดหาแหล่งพลังงานของประเทศไทย ในอนาคตมีความคล่องตัวมากขึ้น เป็นการปูทางไปสู่ความมั่นคงทางพลังงาน เพราะเป็นการปลดล็อกปัญหาของกฎหมายผังเมือง ซึ่งผู้ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากคำสั่งฉบับนี้ก็คือ โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ไม่ใช่โรงไฟฟ้าทุกประเภท อย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจกัน

โดยคำสั่ง คสช.ที่ 4/2559 ได้ยกเว้นการใช้กฎหมายผังเมืองใน 5 กิจการประกอบด้วย 1.โรงไฟฟ้า 2.โรงไฟฟ้าก๊าซซึ่งไม่ใช่ก๊าซธรรมชาติส่งหรือจำหน่วยหน่วยก๊าซ 3.โรงงานปรับปรุงคุณภาพของรวม (โรงบำบัดน้ำเสีย/เตาเผาขยะ) 4.โรงงานคัดแยกและฝังกลบ และ 5.โรงงานเพื่อการรีไซเคิล

ทั้งนี้ ปัจจุบันเทคโนโลยีของโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนได้รับการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับสมาร์ทโฟนที่ผู้ผลิตเพิ่มคุณภาพตลอดเวลา และทุกวันนี้โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนก็อยู่ใกล้กับทุกคนมากขึ้น เช่นแผงโซลาร์เซลล์ที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน พลังงานกังหันลมบนภูเขา หรือตามสถานที่ที่มีลมพัดตลอดทั้งปี

อย่างไรก็ตาม หากตีความตามกฎหมายผังเมืองเดิม โรงไฟฟ้าเหล่านี้จะไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะกฎหมายถือว่า ทั้งหมดนี้คือกิจการประเภทโรงงานอุตสาหกรรมไม่สามารถตั้งในชุมชนได้ แม้แต่การผลิตไฟฟ้าจากระบบชีวมวล ก๊าซชีวภาพ หรือการผลิตไฟฟ้าจากแกลบ ขยะ วัสดุเหลือใช้จากการเกษตร ซึ่งในข้อเท็จจริงควรตั้งอยู่ติดกับพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อสะดวกในการขนย้ายวัตถุดิบ เช่น โรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพก็ควรตั้งอยู่ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ แต่ปัญหาที่ผ่านมาคือ ติดปัญหาผังเมืองที่มีการใช้งานมานานหลายสิบปี จึงควรมีการแก้ไขในบางประเด็น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้”

“คำสั่งฉบับนี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือเอื้อประโยชน์ให้กับโรงไฟฟ้ากระบี่ และโรงไฟฟ้าเทพา ที่จังหวัดสงขลา ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะโรงไฟฟ้ากระบี่ต่อให้มีการปลดล็อกจากผังเมืองไปแล้ว แต่หากคณะกรรมการไตรภาคีที่รัฐบาลตั้งขึ้นมีมติไม่ให้มีการก่อสร้างก็ก่อสร้างไม่ได้”

สำหรับโรงไฟฟ้าเทพานั้น ในขณะนี้ยังไม่มีการประกาศผังเมืองรวม มีเพียงร่างผังเมือง ซึ่งพื้นที่ที่จะมีการสร้างโรงไฟฟ้าก็อยู่ในเขตที่ได้รับการยกเว้นอยู่แล้ว ทำให้แม้ไม่มีคำสั่งฉบับนี้ก็ยังก่อสร้างได้ แต่สุดท้ายก็ต้องฟังเสียงของประชาชนในพื้นที่ด้วย

นอกจากนี้ คำสั่ง คสช. ฉบับนี้ยังได้กำหนดมาตรฐานการควบคุมกฎเกณฑ์ของโรงไฟฟ้ารวมถึงคลังน้ำมันไว้อย่างชัดเจนอีกว่า โครงการลงทุนในกิจการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นโครงการใด จะต้องเป็นโครงการที่อยู่ในแผนการลงทุนของรัฐบาล โดยเฉพาะหากเป็นโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ๆ หรือโรงไฟฟ้าที่จะมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติม หรือเพิ่มหน่วยการผลิตไฟฟ้าทดแทนหน่วยการผลิตไฟฟ้าที่ต้องปลดระวางลง จะต้องเป็นโรงไฟฟ้าที่อยู่ภายใต้แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (พีดีพี) ปี 2558-2579 เท่านั้น

“ที่สำคัญโรงไฟฟ้าทุกแห่งยังต้องจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือรายงานผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (EHIA) ตามขั้นตอนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่”

ดังนั้น การปลดล็อกของคำสั่ง คสช.ที่ 4/2559 ทำให้กระทรวงพลังงาน ตั้งเป้าหมายว่า ในปีสุดท้ายของแผนพีดีพี จะเป็นการจัดสมดุลการใช้เชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าใหม่ โดยลดสัดส่วนจากก๊าซธรรมชาติที่ในขณะนี้มีสัดส่วน 70% ให้เหลือ 40% เพิ่มสัดส่วนการใช้ถ่านหินจาก 20% เป็น 25% พลังงานทดแทนจาก 5% เพิ่มขึ้นเป็น 20% และการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศจาก 5% เพิ่มเป็น 15% เพื่อให้เกิดความหลากหลายในการใช้เชื้อเพลิง และลดปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติลง

ขานรับขับเคลื่อน “เมกะโปรเจกต์”

ขณะที่ในส่วนกระทรวงคมนาคม ที่ได้ “อานิสงส์” จากดาบอาญาสิทธิ์ ม.44 มากที่สุด นั้น “นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.คมนาคม ได้ฉายภาพให้เห็นว่า “คำสั่งใน ม.44 ค่อน ข้างชัดเจนอยู่แล้วว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นของรัฐบาลที่ ใช้เงินงบประมาณโดยตรง เช่น การก่อสร้างถนน ท่าเรือ หรือโครงการรัฐวิสาหกิจที่ต้องกู้ยืมเพื่อลงทุน อย่างโครงการรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง จะต้องดำเนินงานตามเดิมทุกขั้นตอน ไม่มีการข้ามขั้นตอนการศึกษาผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม”

เพียงแต่ต้องปรับเงื่อนเวลาบางขั้นตอน เช่น การอนุมัติหลักการจาก ครม.ให้สามารถทำได้เร็วขึ้น ดังนั้น ไม่ต้องกลัวว่าการใช้มาตรา 44 จะเกิดความเสียหายทุก ขั้นตอนยังต้องทำเหมือนเดิมก่อน โครงการถึงเดินหน้าได้

เหตุผลที่จำเป็นต้องนำ ม.44 มาใช้ เพราะรัฐบาลต้องการให้โครงการเดินหน้าได้รวดเร็ว เนื่องจากการดำเนินโครงการตามปกติที่ต้องเริ่มต้น จากการให้หน่วยงานเจ้าของโครงการทำการศึกษา ความเหมาะสมโครงการ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ประโยชน์ที่ได้รับ รวมถึงการใช้งบประมาณ ซึ่งใช้ระยะเวลา 1-2 ปี หลังจากผ่านการศึกษาความ เหมาะสมแล้ว ต้องนำผลศึกษาเสนอให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือบางโครงการหากกระทบต่อสุขภาพด้วย ก็ต้องศึกษา EHIA ตามมาด้วย

“ขั้นตอนนี้นับว่าสำคัญมาก โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ เมื่อรับเรื่องไปแล้วจะมีการตั้งคณะทำงานผู้ชำนาญการขึ้นมาเพื่อศึกษาผลกระทบอย่างละเอียด ทั้งผลกระทบต่อคน สัตว์ สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นชอบกับเรื่องที่เสนอไป 100% ต้องมีการถามขอข้อมูลเพิ่มเติมกลับมา บางโครงการใช้เวลาเร็วหน่อยก็ 1-2 ปี แต่ถ้ายาก เช่น เข้าไปศึกษาในพื้นที่ลุ่มน้ำ หรือพื้นที่ป่าชายเลน ต้องขออนุญาตเจ้าของพื้นที่ก่อน หรือบางโครงการ เช่น การนับจำนวนนกไซบีเรียที่เคยบินผ่านมา 1 ปีมีครั้งเดียว การศึกษาก็ต้องรอให้ครบ 1 ปีก่อนถึงจะนับนกได้ ถ้านกบินผ่านน้อยลงแสดงว่ามีผลกระทบต่อระบบนิเวศแล้ว ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมจะต้องนำเรื่องส่งกลับไปให้หน่วยงานเจ้าของโครงการแก้ไข ระหว่างนี้อาจส่งกลับไปกลับมาหลายรอบใช้เวลากันเป็นปี ที่เคยเห็นนานสุด 5 ปี”

หากโครงการผ่านการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปแล้ว ขั้นตอนต่อไปถึงจะนำเสนอให้ ครม.พิจารณาอนุมัติหลักการได้ ถ้าอนุมัติสำเร็จถึงจะให้เจ้าของหน่วยงานกลับไปออกแบบรายละเอียดโครงการใช้เวลาอีก 1-2 ปี รวมถึงกำหนดเงื่อนไขการประกวดราคาอื่นๆ ซึ่งโดยรวมแล้วอาจใช้เวลานานมากถึง 5-9 ปีเลยทีเดียว

ดังนั้น จุดประสงค์ของการใช้ ม.44 จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้จากเดิมการทำงานจะเดินเป็นเส้นตรงเส้นเดียว หากถึงขั้นการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมหน่วยงานเจ้าของโครงการทำได้แต่นั่งรอเฉยๆ ทำอะไรไม่ได้เลยจนกว่าจะแล้วเสร็จ

แต่เมื่อมีคำสั่ง ม.44 ก็สามารถขยับโครงการส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ก่อน ถ้าผลการศึกษาความเหมาะสมผ่านแล้ว แม้ว่าโครงการจะอยู่ระหว่างศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ถ้า ครม.อนุมัติ เจ้าของโครงการก็สามารถกลับไปออกแบบรายละเอียด ทำทีโออาร์เปิดประมูลหาผู้รับเหมาโครงการ ทำคู่ขนานไปกับการศึกษาสิ่งแวดล้อมได้เลย โดยไม่ต้องเสียเวลารออีไอเอเพียงอย่างเดียว “การใช้มาตรา 44 นี้คาดว่าจะย่นระยะเวลาลงไปได้ 1-2 ปีเลยทีเดียว และช่วยให้การเดินหน้าโครงการเป็นรูปธรรมมากขึ้น”

ส่วนความกังวลกรณีถ้าการประมูลเสร็จแล้ว แต่การศึกษาอีไอเอไม่เสร็จ หรือเสร็จล่าช้า นั้น ผู้รับเหมาก็ต้องยอมรับไป เพราะจะมีการกำหนดในเงื่อนไขของสัญญาก่อนประมูลไว้ว่า 1.เมื่อผู้รับเหมาชนะการประมูลแล้ว จะยังลงนามไม่ได้ ต้องรอจนกว่าอีไอเอทำจบก่อน และ 2.เรื่องการยืนยันราคา ผู้รับเหมาจะต้องยืนยันราคา ณ วันที่ประกวดราคา หากอีไอเอเสร็จหลังจากนั้น 1 ปี ผู้ชนะประมูลก็ต้องยอมรับราคาเดิมที่ชนะไว้แม้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นก็ตาม

“ขอย้ำว่า ขั้นตอนการพิจารณาโครงการยังมีครบเหมือนเดิม เพียงแต่มีการดึงงานส่วนหลังขึ้นมาทำก่อนเพื่อประหยัดเวลา แต่ถ้าโครงการไหนทำเสร็จแล้ว แต่อีไอเอไม่ผ่าน โครงการนั้นก็ต้องพับยกเลิกไป และยืนยันว่าการใช้มาตรา 44 ไม่ได้เป็นการกดดันคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้เร่งทำงานจนต้องผ่าน เพราะมีสิทธิพิจารณาได้ตามปกติเหมือนเดิม”

สำหรับโครงการของกระทรวงคมนาคมที่เข้าข่ายต้องใช้ ม.44 ประกอบด้วย 7 โครงการวงเงินรวม 634,966 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการรถไฟฟ้าสีม่วงใต้ เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ และช่วงต่อขยายไปอีก 5 กิโลเมตร-ทุ่งครุ วงเงิน 131,003 ล้านบาท ซึ่งในส่วนที่ขยายอีก 5 กิโลเมตรนี้อยู่ในขั้นตอนของอีไอเอ 2.โครงการรถไฟทางคู่ นครปฐม-หัวหิน วงเงิน 20,036 ล้านบาท 3.โครงการรถไฟทางคู่ ลพบุรี-นครสวรรค์ วงเงิน 7,860 ล้านบาท 4.โครงการรถไฟไทยจีนช่วง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา วงเงิน 170,000 ล้านบาท

5. โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หัวหิน วงเงิน 94,673 ล้านบาท 6.โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-ระยอง วงเงิน 155,774 ล้านบาท 7.ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หรือมอเตอร์เวย์ บางใหญ่-บ้านโป่ง วงเงิน 55,620 ล้านบาท ล่าสุดโครงการนี้อยู่ระหว่างปรับข้อมูลโครงการให้มีความสอดคล้องกับปัจจุบัน เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการศึกษาโครงการมานานแล้ว

“ผมยืนยันการใช้คำสั่งมาตรา 44 ของนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นการลดขั้นตอน เพียงแต่มองว่าถ้าเราเดินไปตามขั้นตอนปกติ กระบวนการต่างๆจะใช้เวลา 5-9 ปี ซึ่งหากเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและจำเป็นจริงๆ ถ้าไม่ทำในตอนนี้ ต้นทุนอาจเพิ่มขึ้นหรือมีปัจจัยแวดล้อมอื่นมากระทบจนทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสได้”.
ทีมเศรษฐกิจ

แอพพลิเคชั่น “เงินออนไลน์” ในยุค 4 จี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/605300

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 เม.ย. 2559 05:02

 

เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย “เศรษฐกิจดิจิตอล” และอินเทรนด์ ไปกับ “โลกการเงินยุค 4 จี” ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค และการเข้าถึงการให้บริการทางการเงินของคนไทย ให้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างทั่วถึง “ทุกที่ ทุกเวลา และอุปกรณ์ Anywhere Anytime Any device”

“ทีมเศรษฐกิจ” ชวนคนไทยทุกพื้นที่ทั่วประเทศ มาร่วมกันทำความเข้าใจกับ “แอพพลิเคชั่น” ทางการเงิน ที่จะเปลี่ยนให้โทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา กลายเป็น “กระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์” สามารถใช้โอน จ่าย ซื้อสินค้าและบริการ แทนที่จะต้องพกเงินสดเป็นฟ่อนๆ

โดยในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์แทบทุกแห่ง ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แอพพลิเคชั่นสังคมออนไลน์ รวมทั้งผู้ให้บริการอี-คอมเมิร์ซ หลายต่อหลายแห่งแข่งกันพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้บริการลูกค้า เพื่อความสะดวกต่อการทำธุรกรรมทางการเงิน การลงทุน และการซื้อสินค้าและบริการ

วันนี้เราได้เลือกบางส่วนมาแนะนำให้ผู้อ่านที่สนใจจะท่องไปใน “โลกการชำระเงินยุคใหม่” ทำความเข้าใจกัน

อย่าคิดว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก หรือไกลตัว เพราะทุกคนในประเทศไทยควรจะเข้าถึงบริการทางการเงินที่เหมาะสมได้ ไม่ว่าจะเป็นคนเมือง หรือคนในพื้นที่ห่างไกล แล้วอาจจะรู้ว่า “เงินอิเล็กทรอนิกส์” กระเป๋าเงินออนไลน์ สะดวกสบาย และไม่ได้ยากอย่างที่คิด!!!

K–MOBILE BANKING PLUS

ธนาคารกสิกรไทย พัฒนาแอพพลิเคชั่น “K–MOBILE BANKING PLUS” จบทุกความต้องการด้านการเงินได้บนสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว

K–MOBILE BANKING PLUS ระบบรักษาความปลอดภัยทางข้อมูลขั้นสูงในระดับมาตรฐานโลกด้วย Triple Lock Security ที่มีระบบป้องกันถึง 3 ชั้น ผ่านระบบการจดจำ

เมื่อเข้าใช้งาน (User Protection) 1.ล็อกเครื่อง-ระบบจะจดจำเครื่องและรุ่นของมือถือที่ใช้งาน 2.ล็อกเบอร์-เป็นเบอร์มือถือที่ใช้สมัครบริการไว้เท่านั้น และ 3.ล็อกด้วยพาสเวิร์ด 6 หลัก-ยืนยันรหัสการเข้าใช้งานด้วยตัวเองทุกครั้ง

ตลอดไตรมาสแรกปีนี้ ธนาคารได้ทยอยออกฟีเจอร์ใหม่ของ K-MOBILE BANKING PLUS ได้แก่ การขออนุมัติสินเชื่อบุคคล (K-Personal Loan) โดยลูกค้าสามารถเลือกวงเงินกู้และระยะเวลาผ่อนชำระได้ตามความต้องการด้วยดอกเบี้ยพิเศษ พร้อมทั้งการปรับเปลี่ยนวงเงินโอนและวงเงินถอนต่อวันของบัตรเดบิตได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องโทร.ไปที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (K-Contact Center) และสามารถอายัดบัตรได้ทันทีกรณีบัตรหายหรือถูกขโมย อีกทั้งยังสามารถดูรายการเดินบัญชีย้อนหลัง.

UP2ME

ธนาคารไทยพาณิชย์ ออกแอพพลิเคชั่น “UP2ME” จ่ายครบ จบในแอพเดียว ผู้ใช้งานสามารถ “จ่ายตังค์แบบไม่ต้องพกตังค์” ไม่ว่าจะเป็นช็อปปิ้งกับร้านค้า

UP2ME ถือเป็นแอพพลิเคชั่นเดียวจากธนาคารไทยที่ให้คุณสามารถจ่ายเงินร้านค้า จริงๆ ได้โดยไม่ต้องใช้เงินสด ไม่ต้องกังวลเรื่องพกเงินไม่พอ เงินทอนเต็มกระเป๋า หรือเงินปลอมอีกต่อไป สามารถจ่ายเงินให้ร้านค้าได้ ทันทีจากโทรศัพท์มือถือของคุณ เพียงสแกน QR และใส่ PIN ของคุณ ก็ช็อปปิ้งได้แบบไม่ต้องใช้เงินสดทั้งห้างสรรพสินค้าและร้านค้า ร้านอาหาร ร้านค้าออนไลน์ หรือจ่ายค่าแท็กซี่ได้ทันที

จ่ายบิลง่ายๆ เพียงสแกนบาร์โค้ดหรือ QR Code บนบิล ก็จ่ายได้ทันที เติมเงิน ทั้ง โทรศัพท์มือถือและบัตรทางด่วน Easy Pass เพียงเลือกผู้ให้บริการที่ต้องการเติม กรอกหมาย เลขโทรศัพท์หรือหมายเลข Easy Pass ที่ต้อง การจะเติม และยืนยันการเติมเงินด้วยรหัส PIN 4 หลัก

นอกจากการจ่ายแล้ว อีกหนึ่งฟังก์ชันที่ไม่เหมือนใครคือ “การทวงตังค์แบบไม่ต้องป๊ะหน้ากัน” ที่ผู้ใช้งานสามารถเรียกเก็บเงินเพื่อนได้ผ่าน แอพพลิเคชั่น ส่วนผู้ที่ได้รับข้อความทวงก็สามารถคลิกยืนยันเพื่อจ่ายเงินคืนผ่านแอพได้แบบสบายๆ.

Bualuang mBanking

ธนาคารกรุงเทพ พัฒนาแอพพลิเคชั่นภายใต้ชื่อ Bualuang mBanking “ให้เงินเดินทาง ให้ชีวิตเดินไป” สะดวกทันใจ ทุกที่ทุกเวลา

Bualuang mBanking ช่องทางใหม่ในการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านสมาร์ทโฟน และไอแพด จากธนาคารกรุงเทพ ให้คุณโอนเงินตรวจสอบยอดเงินและรายการเคลื่อนไหวทางบัญชี ชำระค่าสินค้าและบริการ รวมถึงการค้นหาที่ตั้งสาขาและเครื่องเอทีเอ็มของธนาคารได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง

โอนเงิน โดยใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถือจาก contact list โอนเงินเข้าบัญชีตัวเอง โอนเงินเลือกจากรายชื่อที่บันทึกไว้ในบริการบัวหลวงไอแบงก์กิ้ง โอนเงินด้วยการระบุเลขที่บัญชีผู้รับ ทั้งบัญชีธนาคารกรุงเทพและธนาคารอื่นๆ เรียก ดูประวัติการโอนเงิน เช็กยอดเงินได้ทันที เมื่อเปิดแอพพลิเคชั่น

ล่าสุด Bualuang mBanking เปิดให้บริการฟังก์ชันใหม่รายการแจ้งเตือน m alert ที่ให้บริการแจ้ง ความเคลื่อนไหวของบัญชี (Account AlertPlus) โดยผู้ใช้จะรับรู้ความเคลื่อนไหวในบัญชีและบริหารจัดการการเงินได้สะดวกยิ่งขึ้น บริการแจ้งเตือน การชำระเงิน (Pay ment alerts) ผู้ใช้บริการสามารถเลือกรับข้อ ความแจ้งเตือนได้ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ application, sms และอีเมล.

KTB netbank

ธนาคารกรุงไทย พัฒนา แอพพลิเคชั่น “KTB net bank” ธนาคารออนไลน์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทางการเงินที่ มากกว่า สามารถทำธุรกรรม ทางการเงินต่างๆได้เสมือนลูกค้าทำการด้วยตนเองที่สาขา ผ่านระบบออนไลน์ที่ทั้งสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ตลอด 24 ชั่วโมง

KTB netbank มีฟังก์ชันเพื่อการทำธุรกรรมทางการเงินที่หลาก หลาย ทั้งการโอนเงิน การชำระค่าสินค้าและบริการ การซื้อจองสลาก กินแบ่งรัฐบาล บริการเติมเงิน M-Pass การตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยน เงินตราต่างประเทศ เสมือนมีธนาคาร ส่วนตัว

ทางเลือกของการโอนเงิน ลูกค้า สามารถวางแผนการทำธุรกรรมทาง การเงินล่วงหน้าได้ ผ่านทุกรูปแบบของการโอนเงิน เช่น โอนทันที โอนภายในวันเดียวกัน โอนภายในสองวันทำการ (ORFT, SMART, BAHTNET) โอนต่างบัญชี โอนต่างธนาคาร

ทำธุรกรรมปลอดภัย มั่นใจกับระบบรักษาความปลอดภัยทุกครั้งที่ใช้งาน โดย KTB netbank จะแจ้งเจ้าของบัญชีทุกครั้งที่มีการเข้าสู่ระบบ รวมทั้งมีบริการ SMS Alert เมื่อการโอนเงินเข้า-ออกผ่าน KTB netbank.

Krungsri Mobile

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น “Krung sri Mobile” จัดการเรื่องเงินแบบง่ายๆด้วย “my portfolio” ทำให้สามารถจัดการบริหารเงินของคุณได้อย่างดี เพราะเรารวมทั้งรายรับ-รายจ่ายไว้ในหน้าเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นบัญชีเงินฝากกองทุน ค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต หรือสินเชื่อต่างๆของธนาคารกรุงศรี ทำให้คุณสามารถวางแผนการเงินได้ด้วย ตนเอง

Krungsri Mobile บริการบัตรเครดิตที่ตรวจดูทุกราย การใช้จ่ายผ่านบัตร ทั้งรอบบัญชีปัจจุบันและย้อนหลัง อีกทั้งยังสามารถแลกของรางวัล หรือเปลี่ยนวงเงินบัตรเครดิตให้กลายมาเป็นเงิน ในบัญชี (Cash Advance) จบเสร็จในแอพพลิเคชั่น บริการสินเชื่อรถยนต์ ที่ลูกค้าสามารถตรวจสอบยอดจ่ายค่า งวด หรือต่อทะเบียนและภาษีรถ ได้ตลอดเวลาผ่านมือถือ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

การออกแบบการใช้งาน ฟีเจอร์ต่างๆ ให้ครบวงจร ไปจนถึงอุปกรณ์ที่ลูกค้าใช้งาน Krungsri mobile เป็นจุดที่เราลงทุน และให้ความสำคัญกับการออกแบบเพื่อผู้ใช้งาน (Human Centric Design) ซื้อ ขาย สับเปลี่ยนกองทุน เปิด, RMF, LTF หรือดูผลงานของกองทุนย้อนหลังได้ผ่านมือถือ ที่ช่วยให้ลูกค้าจัดการการลงทุนได้อย่างใจต้องการ.

TMB TOUCH

ธนาคารทหารไทย หรือทีเอ็มบีแบงก์ พัฒนาแอพพลิเคชั่น “TMB TOUCH” ช่วยจัดการธุรกรรมทางการเงินได้ง่าย ทุกที่ ทุกเวลา ให้คุณทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือได้ง่ายๆ สะดวกและปลอดภัย ในยุคดิจิตอล

TMB TOUCH (Mo-bile Application) และ TMB Direct (Internet Banking) นอกจากหลักๆ จะเป็นแอพพลิเคชั่นที่ใช้ทำธุรกรรมโอนเงิน เติมเงินค่าโทรศัพท์ หรือค่าทางด่วน Easy pass รวมถึงสามารถจ่ายบิลค่าสาธารณูปโภคต่างๆ และยังมีจุดเด่น คือสามารถเปิดบัญชี ออนไลน์ ทั้งบัญชีเงินฝากเพื่อใช้ หรือบัญชีเงินฝากเพื่อออม สามารถ บริหารทั้ง 2 บัญชีด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ผ่าน TMB TOUCH รวมถึงมีปฏิทินสรุปการทำธุรกรรมให้ดูง่ายในแต่ละเดือน

นอกจากนี้ ยังสามารถเพิ่ม TMB TOUCH ลงบนอุปกรณ์มือถือ และแท็บเล็ตได้ถึง 5 เครื่อง ให้เลือกใช้ได้ตามใจ หรือหากเดินทางไปต่างประเทศก็ยังคงทำธุรกรรมได้ไม่สะดุด เพราะ TMB TOUCH รองรับทั้งสัญญาณ 3G และ wifi ที่มาพร้อมกับความปลอดภัยสูงสุด 2 ชั้น ด้วยรหัสก่อนเข้าใช้งานและรหัสลับทำธุรกรรม.

AIS mPAY

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส พัฒนาแอพพลิเคชั่น “AIS mPAY” ด้วยแนวคิด Digital Money for Everyone รับทุกคน รับทุกค่าย ง่ายจริง แค่ตั้ง PIN ก็ใช้งานได้ทันที!

AIS mPAY เปิดให้บริการกับทุกคน ไม่จำกัดอายุ รองรับผู้ใช้มือถือทุกค่าย ลูกค้าทุกบัญชีธนาคาร หรือแม้แต่ไม่มีบัญชีธนาคาร ก็สามารถใช้งานได้ง่ายๆ มีช่องทางเติมเงินเข้ากระเป๋า mPAY มากที่สุด กว่า 50,000 จุดทั่วประเทศ และฟรี! ค่าธรรมเนียมการเติมเงิน 10 รายการต่อเดือน เติมเงินผ่านตู้ ATM ได้มากถึง 9 ธนาคาร ส่วนลูกค้าที่ไม่มีบัญชีธนาคาร สามารถเติมเงินได้ที่ตู้อัตโนมัติที่ AIS shop, ร้าน Telewiz, ตู้บุญเติม หรือจุดชำระเงิน mPAY STATION

ตอบโจทย์ทุก ไลฟ์สไตล์การจ่ายบิลผ่านแอพพลิ-เคชั่น ทั้งค่ามือถือ ค่าสาธารณูปโภค ค่าบัตรเครดิต สินเชื่อ ประกันภัย เติมเงินเกม เติมเงิน AIS mPAY Rabbit รวมมากกว่า 200 ร้านค้า รวมถึง โอนเงิน ถอนเงิน และซื้อสินค้าบริการจากทุกร้านค้าออนไลน์ที่รับบัตร MasterCard ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

เป็นดิจิตอลมันนี่ รายเดียวที่ให้ผล ประโยชน์เป็นดอก-เบี้ย เพียงลูกค้าเปิด บัญชี Beat Savings ของธนาคาร CIMB ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป และรับดอกเบี้ยได้ทุกเดือน.

TrueMoney Wallet

บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด ในเครือบริษัท ทรู คอร์ปอเร-ชั่น จำกัด (มหาชน) พัฒนาแอพพลิเคชั่น “True Money Wallet” เปลี่ยนมือถือของคุณ เป็นกระเป๋าเงินออนไลน์

ดาวน์โหลด TrueMoney Wallet จาก Google Play หรือ App Store ลงทะเบียนโดยใช้ชื่ออีเมล เลขที่บัตรประชาชน และเบอร์โทรศัพท์มือถือ (ได้ทุกค่ายมือถือ) เติมเงินเข้ากระเป๋า TrueMoney Wallet ผ่านตู้ ATM ธนาคารไทยพาณิชย์ กรุงศรีอยุธยา กรุงไทย กรุงเทพ ธนชาต ซีไอเอ็มบี และทหารไทย เติมเงินผ่านตู้ทรูมันนี่, True Shop และร้านค้าสะดวกซื้อทั่วไป

TrueMoney Wallet ใช้จ่ายบิล เติมเงินมือถือ ซื้อรหัสบัตรเงินสดทรูมันนี่ เพื่อซื้อไอเทมเกมออนไลน์ โอนเงิน ซื้อบัตร Alipay Purchase Card เพื่อซื้อสินค้าใน Taobao และ Tmall

นอกจากนี้ ฟังก์ชันบัตร We Card ซื้อแอพพลิเคชั่นใน Google Play และ App Store ซื้อสติกเกอร์ไลน์ ใช้แทนบัตรเครดิตในการผูก บัญชี Pay Pal ซื้อของออนไลน์ และใช้ We Card แบบ Physical (บัตรพลาสติก) ซื้อของตามร้านค้าที่รับบัตรเครดิต Master card.

Jaew Wallet

บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) พัฒนาแอพพลิเคชั่น “Jaew Wallet” แอพเดียวจบ ครบทุกเรื่องเงิน

Jaew Wallet โอนเงิน จ่ายบิล เติมเงิน เติมเกม และเตือนชำระเงิน เพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้าสามารถจ่ายบิลหรือค่าบริการ

ดีแทคบนมือถือได้แล้ว ฟรีค่าธรรมเนียม ไม่เสีย เวลาต่อคิว สะดวกสบาย จ่ายที่ไหนก็ได้ และยังสามารถใช้โอนเงินข้ามค่ายได้โดยไม่ต้องมีบัญชี ธนาคาร เพียงใช้เบอร์มือถือในการโอนเงิน กรอกจำนวนเงิน และสั่งโอนเงินได้ทันที ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมเพียง 5 บาทต่อครั้งเท่านั้น

ง่ายๆ เพียงดาวน์โหลดฟรีแอพพลิเคชั่น Jaew wallet ได้ทุกระบบปฏิบัติการที่ App Store และ Google play store และเตรียมพบประสบการณ์ Jaew wallet เต็มรูปแบบได้ภายในเดือน ก.ค.นี้.

ทีมเศรษฐกิจ

เปิด “โลกการเงินใหม่” สะดวกสบายในยุคดิจิตอล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/605291

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 เม.ย. 2559 05:01

 

นับตั้งแต่ “อินเตอร์เน็ต” ไร้สาย และ “สมาร์ทโฟน” ได้ก้าวเข้ามาในชีวิตคนไทยอะไรๆ ก็ดูเหมือนจะง่ายขึ้น

การติดต่อสื่อสาร ทำธุรกิจการงาน พบปะพูดคุยกับเพื่อนฝูง ทั้งเพื่อนใหม่ หรือเพื่อนเก่าที่ห่างหายไปนาน รวมถึงการหาความรู้ใหม่ๆ ก็สามารถทำได้ผ่าน “โลกออนไลน์” ที่ไร้เส้นกั้นพรมแดน

“โลกการเงิน” ก็เช่นกัน ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา บัตรอิเล็กทรอนิกส์เช่น บัตรเติมเงิน บัตรเงินสด หรือบัตรแตะยี่ห้ออื่นๆ ที่ใช้ซื้อสินค้าและบริการแทนเงินสด รวมถึงการโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม และเคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อ ถือเป็นพัฒนาการของการชำระเงินไทยที่สร้างความสะดวกสบายให้กับคนไทยมากยิ่งขึ้น

และในยุคที่รัฐบาลไทยกำลังเดินหน้ายกระดับ “โครงสร้างเศรษฐกิจไทย สู่ประเทศเศรษฐกิจดิจิตอล ในอีก 20 ปีข้างหน้า” ตั้งเป้าหมายให้ทุกหมู่บ้านในประเทศได้ใช้ “อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง” ใน 5 ปี รวมถึงการเปิดให้บริการเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย 4 จี อย่างเต็มรูปแบบ และแนวโน้มข้างหน้าที่ “สมาร์ทโฟน” ราคาถูกจะเข้ามายึดหัวหาดบ้านเรามากขึ้น ระบบการเงินไทยก็กำลังเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

ความฝันของภาคการเงิน คือ การรื้อ โละ ยกเลิก “ระบบเงินสด บัญชีเงินฝาก และการให้บริการหน้าเคาน์เตอร์ธนาคาร” ที่แสนจะยุ่งยาก และค่าใช้จ่ายสูง มาสู่ “เงินอิเล็กทรอนิกส์” และก้าวหน้าไปถึงการใช้ “บัตรประชาชน” แทนบัตรเงินสด ขณะที่การชำระเงินผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ ทำให้ “สมาร์ทโฟน” ของเรากลายเป็น “กระเป๋าสตางค์เคลื่อนที่”

กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เจ้าภาพหลักของระบบการเงินไทย ตั้งเป้าหมายที่จะทำ “ฝันนี้ให้เป็นจริง” ใน 5 ปีข้างหน้า ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) ร่างกฎหมายระบบการชําระเงิน (Payment Systems Act) และแผนพัฒนาระบบการชำระเงินของ ธปท.ฉบับที่ 3 และฉบับที่ 4 โดยลอตแรกจะเห็นผลชัดเจนในช่วง 1 ปี 6 เดือน หรือในเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้

“ทีมเศรษฐกิจ” ติดตามความคืบหน้า “พัฒนาการการชำระเงินยุค 4 จี” ยุคที่เรากำลังเปลี่ยนผ่านสู่ “โลกการเงินดิจิตอล” และการใช้เงินแบบ “แตะ กด รูดปื๊ด” เพื่อก้าว สู่ยุค “ดิจิตอลไทยแลนด์” และ “ดิจิตอล มันนี่” ไปพร้อมๆ กัน

สร้างตัวตนการเงินใหม่ “Any ID”

ทั้งนี้ ภายใต้ยุทธศาสตร์ National e-Payment หรือการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ซึ่งผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปเมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา จะประกอบด้วยงานที่ต้องเร่งดำเนินการ 5 ด้าน

1.ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน 2.การขยายการใช้บัตรแทนเงินสด 3.ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ 4.ระบบ e-Payment ของภาครัฐ และ 5.การส่งเสริมและประชาสัมพันธ์การให้ความรู้ด้าน e-Payment แก่คนในประเทศ

โดยส่วนที่สัมพันธ์กับ “โลกการเงิน” จะเป็น 2 เรื่องแรก คือ การวางโครงสร้างพื้นฐานของระบบชำระเงิน สร้าง Any ID หรือตัวแทนของบัญชีเงินฝาก 4 ประเภท คือ Any ID ที่มาจากเลขที่บัตรประชาชน Any ID ที่มาจากหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ Any ID ที่มาจาก e-Wallet ID หรือเลขที่บัตรเงินสด และ Any ID ที่มาจากอีเมล แอดเดรส

อย่างไรก็ตาม 1 หมายเลขของ Any ID จะผูก หรือแทนเลขที่บัญชีเงินฝากของประชาชนได้ 1 บัญชีเท่านั้น ซึ่งหลังจากประชาชนไปแจ้งลงทะเบียนกับธนาคารพาณิชย์ที่เรามีบัญชีเงินฝากอยู่ เพื่อสร้างฐานข้อมูลกลางของระบบแล้ว เราจะสามารถใช้ Any ID ของเราแทนหมายเลขบัญชีเงินฝากในการฝาก ถอน โอนเงิน ชำระค่าสินค้าและบริการ รวมถึงทำธุรกรรมทางการเงินอื่นๆ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการชำระค่าสินค้าและบริการออนไลน์ ผ่านระบบอี-คอมเมิร์ซ และอี-บิสซิเนส ให้สะดวกมากขึ้น และช่วยเร่งกำลังของการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมากขึ้นด้วย

โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างการสร้างฐานบัญชี Any ID กลางเพื่อเชื่อมโยงทุกระบบเข้าด้วยกัน ซึ่งรัฐบาลคาดว่าในเดือน ก.ค.ที่จะถึงนี้ จะสามารถเปิดให้คนไทยลงทะเบียน ผู้มีบัญชีเงินฝากกับหมายเลข Any ID เป็นครั้งแรก

กระเป๋าเงินยุคใหม่ “บัตรประชาชน–มือถือ”

หลังจากนั้น เป้าหมายในระยะต่อไป คือ วางโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการใช้ “บัตรประชาชน” และ “สมาร์ทโฟน” แทนเงินสดในการใช้จ่ายซื้อข้าวของ บริการ รวมทั้งชำระค่าสาธารณูปโภค และติดต่อกับภาครัฐ แบบเดียวกับบัตรเงินสด หรือบัตรเดบิต โดยไม่ต้องมีบัญชีเงินฝาก

เพียงแค่ใช้วิธีโอนเงิน หรือเติมเงินเข้าไปในบัตรประชาชน ผ่านระบบธนาคาร หรือเคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งจะทำให้คนไทยทั่วประเทศสามารถนำบัตรประชาชนไปใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการในร้านค้าที่รับบัตรดังกล่าวในการชำระเงินได้ทันที ทำให้แม้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล และที่ผ่านมาไม่สามารถเข้าถึงบริการจากธนาคารพาณิชย์ “ใช้บัตรแทนเงิน ไม่ต้องพกเงินสด สะดวกปลอดภัยไม่ต่างจากคนเมือง”

ขณะที่ด้าน “สมาร์ทโฟน” อินเตอร์เน็ต เอ็ม แบงก์กิ้ง และอินเตอร์เน็ต แบงก์กิ้ง ขณะนี้มีการพัฒนาแอพพลิเคชั่น ทั้งของธนาคารพาณิชย์ ผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือ และเครือข่ายออนไลน์จำนวนมาก ที่พร้อมจะอำนวยความสะดวก เปลี่ยนสมาร์ทโฟนของเราให้เป็น “กระเป๋าสตางค์ หรือบัตรเงินสด” ในการซื้อสินค้าและบริการ รวมทั้งการใช้ระบบ “คิวอาร์โค้ด” ในการชำระเงิน

ทั้งนี้ ตามแผนพัฒนาระบบชำระเงิน ฉบับที่ 3 ของ ธปท.แนวทางการพัฒนาบริการระบบการชำระเงินและโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงิน มุ่งเน้นการส่งเสริมและพัฒนาบริการการชำระเงินเพื่อสนับสนุนการเข้าสู่ยุคดิจิตอลในทุกภาคส่วน ส่งเสริมให้ประชาชน ภาคธุรกิจและภาครัฐใช้ประโยชน์จาก e-Payment อย่างแพร่หลาย

ประชาชนจะได้รับบริการการชําระเงิน เช่น โอนเงินชําระเงิน จ่ายบิล ในลักษณะ “Anywhere Anytime Any device : ทําธุรกรรมได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกอุปกรณ์” ตอบสนองไลฟ์สไตล์สังคมดิจิตอล ขณะที่ร้านค้าและกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่สามารถขยายช่องทางการค้า การชำระเงินออนไลน์ทั้งในประเทศ และการซื้อขายลงทุนกับต่างประเทศ

“20 บาท” จ่ายได้ทุกที่ ทุกเวลา

อย่างไรก็ตาม “บัตรเงินสด หรือกระเป๋าสตางค์ออนไลน์” จะไม่มีความหมายใดๆ หาก ไม่มี “ผู้รับชำระเงิน” โดย ธปท.มีแผนที่จะขยายจุดรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ภายใน 1–2 ปีนี้

โดยมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนเครื่องรับบัตรในภาพรวม Electronic Data Capture (EDC) และ Mobile Point of Sale (MPOS) จะเพิ่มจาก 300,000-400,000 เครื่อง ในปัจจุบัน เป็น 700,000-900,000 เครื่อง ในอนาคต

ขณะที่พัฒนาให้เครื่องรับบัตรสามารถรองรับ Any ID ได้ทุกประเภท เจาะร้านค้าตั้งแต่รายเล็ก รายน้อยในอำเภอ ไปจนถึงธุรกิจรายใหญ่ โดยคณะกรรมการขับเคลื่อนตาม แผนยุทธศาสตร์ e-Payment ตั้งเป้าหมายให้สามารถใช้บัตรชำระแทนเงินสดได้สำหรับสินค้าราคาตั้งแต่ 20 บาทเป็นต้นไป

ดังนั้น ในอนาคตข้างหน้า เมื่อระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ของรัฐบาลทำงานอย่างเต็มรูปแบบแล้ว หากคนชรา หรือคนพิการ ผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล หรือในชนบท ได้รับโอนเงินสวัสดิการจากภาครัฐ เข้าสู่บัตรประชาชน ก็สามารถที่จะนำบัตรประชาชนดังกล่าว ไปรูด แตะ กด ชำระสินค้าและบริการได้ในร้านค้าในพื้นที่ที่ติดตั้งเครื่องรับชำระเงิน เพิ่มความสะดวกได้เท่ากับคนเมือง

ขณะเดียวกัน ธปท.ได้ผลักดันศูนย์กลางการชำระดุลอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้เครือข่ายภายในประเทศ (Local Switching) ซึ่งมีต้นทุนการให้บริการที่ถูกลงกว่าในปัจจุบันที่ใช้เครือข่าย ชำระดุลบัญชีระหว่างประเทศค่อนข้างมาก ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเดบิต และเงินอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ สามารถถูกลงได้อีกในอนาคต

สำหรับ Mobile Application หรือแอพพลิเคชั่นทางการเงินบนมือถือ และการให้ บริการประเภท In-App Purchases ซึ่งพัฒนาโดยผู้ให้บริการอี-คอมเมิร์ซ ที่ให้บริการชำระเงินออนไลน์ ธปท.กำลังยกร่างแนวปฏิบัติการใช้คิวอาร์ โค้ด สำหรับการชำระเงิน ซึ่งใกล้เคียงกับการสแกนบาร์โค้ด รวมทั้งร่างแนวนโยบายเสริมสร้างความเชื่อมั่นการชำระเงินโดยใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ ภายใต้แผนพัฒนาระบบการชำระเงิน ฉบับที่ 3 ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2559 นี้

คาดว่าเมื่อการชำระเงินด้วย “สมาร์ทโฟน” สะดวก ง่าย และมีผู้รับชำระมากขึ้น ผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามจำนวนเบอร์โทรศัพท์มือถือ ซึ่งประเทศไทยใช้กันอยู่ขณะนี้แตะ 100 ล้านเบอร์ทีเดียว

สังคมไร้ “เงินสด” ลดคอร์รัปชัน

มาที่แผนยุทธศาสตร์การชำระเงินของภาครัฐ ทั้งระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และการสร้างระบบ e–Payment ของภาครัฐ ซึ่งแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับ “เงิน” โดยตรง แต่ก็จะช่วยสร้างความสะดวกสบายในการจ่ายเงินที่ต้องติดต่อกับภาครัฐ

โดยระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์นั้น จะทำให้คนจ่ายภาษีสะดวกสบายมากขึ้น ขยายฐานภาษีให้กับภาครัฐมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สามารถลดการหลีกเลี่ยงภาษีได้มากขึ้นด้วย นอกจากนั้น ข้อมูลการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบภาษียังช่วยให้ภาครัฐแยกแยะ ผู้มีรายได้สูง และผู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งต้องได้รับการเยียวยาเป็นกรณีพิเศษได้ดีมากขึ้น สามารถจ่ายเงินตรงไปยังผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ลดการทุจริตคอร์รัปชันของประเทศอีกทางหนึ่ง

ขณะที่การก้าวสู่ e-Payment ของ หน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ทุกหน่วยงานจะทำให้งานเอกสาร งานติดต่อกับราชการ รวมทั้งการชำระเงินได้โดยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แทนเงิน ง่ายสำหรับประชาชนและภาคธุรกิจมากขึ้น และลดเวลาธุรกรรมลง ส่งผลดีต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในอนาคต

ทั้งนี้ “เป้าหมายของเศรษฐกิจดิจิตอล” คือ การยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจ ไทยในทุกด้าน ทั้งภาครัฐ และภาคธุรกิจสู่ฐานเศรษฐกิจดิจิตอลชั้นนำของโลกภายใน 20 ปี โดยใช้ความสะดวกสบายของนวัตกรรม ของโลก ดิจิตอลเพิ่มมูลค่าของเศรษฐกิจไทยให้สูงขึ้น 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จากวันนี้

ขณะที่ “เป้าหมายของโลกการเงินยุคใหม่ คือ การเข้าสู่สังคมไร้เงินสด” และทำให้ผู้อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือด้อยโอกาสทางการเงิน เข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่าย และเท่าเทียมกับคนเมือง

“ความสบาย” ที่มาพร้อมภัยใกล้ตัว

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการพัฒนาของผลิตภัณฑ์ทางการเงินในประเทศ เรายังมีความสะดวกสบายของโลกการเงินยุคใหม่ที่มาจาก “นวัตกรรมทางการเงิน” ที่ข้ามพรมแดนมาจากต่างประเทศ และกำลังเข้ามาตีตลาดการเงินของไทยเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ผลิตภัณฑ์ การให้บริการสินเชื่อ และรับเป็นที่ปรึกษาทางการ เงินด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ” ที่บนโลกออนไลน์ หรือเรียกกันว่า Fintech ซึ่งมาจากคำว่า Finance กับคำว่า Technology ที่จะเน้นการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารออนไลน์มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจการเงิน การธนาคาร และการลงทุน

ง่ายๆที่สุด เช่น ระบบการซื้อขายหุ้น ขายกองทุนออนไลน์ รวมทั้งการให้คำปรึกษาทางการเงินในการทำธุรกิจอย่างครบวงจรตั้งแต่เริ่มต้นจนประสบความสำเร็จ และในระดับต่อไป คือ การเป็นแหล่งเงิน โดยธุรกิจที่เริ่มต้นกิจการจะสามารถระดมทุน หรือหาแหล่งเงินทุนได้ จากบริการออนไลน์ที่ทำหน้าที่จับคู่ผู้ที่สนใจนำเงินมาลงทุนให้กู้ กับผู้ให้กู้โดยตรง โดยจ่ายตามผลตอบแทนที่ตกลงกันออนไลน์ ไม่ต้องผ่านระบบธนาคารพาณิชย์

แต่อย่างไรก็ตาม เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ เพราะภายใต้ “ความสะดวกสบาย” ของการแตะ กด รูด ใช้จ่ายเงินผ่านระบบบัตรเงินอิเล็กทรอนิกส์ การใช้ Any ID หรือ แอพพลิเคชั่นกระเป๋าสตางค์ดิจิตอล รวมไปถึง Fintech ก็เป็นช่องทางให้ “ภัยทางการเงิน” ก็คืบคลานเข้ามาใกล้ตัวด้วยเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นภัยจากการเจาะระบบฐานข้อมูลการเงิน เช่น ฐานข้อมูล Any ID ระบบคอมพิวเตอร์ภาครัฐ และข้อมูลส่วนบุคคล ขณะที่การหลอกลวงทางการเงินใหม่ๆ ที่มาทั้งจากการหลอกลวง ฉ้อโกงโดยตรง และการใช้โลกออนไลน์เป็นสื่อ “มิจฉาชีพ” ยังคงหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ามาหาประโยชน์จากพวกเราอย่างต่อเนื่อง

แต่ถ้าเรามัวแต่กลัว ไม่รับความทันสมัย และไม่เริ่มในวันนี้ ประเทศไทยจะล้าหลังโลกไปเรื่อยๆ ดังนั้น จากนี้จึงเป็นเวลาที่คนไทยต้องเปิดใจเรียนรู้นวัตกรรมการเงินใหม่ๆ ก้าวไปสู่ระบบเงินอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้เราใช้ และประโยชน์ ความสะดวกสบายจาก “โลกการเงินยุคใหม่” แต่ไม่กลายเป็นเหยื่อ หรือเสียเปรียบใครโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์.

ทีมเศรษฐกิจ

จับชีพจรการค้า “จตุจักร” จาก Local สู่ Global

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/604914

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 13 เม.ย. 2559 05:01

 

เมื่อพูดถึงตลาดนัดสวนจตุจักร หรือ JJ Market เชื่อว่าแทบไม่มีคนไทยคนไหนที่จะไม่รู้จักตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีชื่อเสียงระดับโลกที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกที่มีโอกาสมาเที่ยวประเทศไทยและกรุงเทพมหานคร พลาดไม่ได้ที่จะต้องมาเยือน!!

ตลาดนัดจตุจักรถือเป็นแห่งท่องเที่ยวและเป็นสวรรค์ของนักช็อป ที่พร้อมต้อนรับผู้คนจากทั่วโลก ด้วยมีสินค้าที่หลากหลายจากร้านค้ามากกว่า 10,000 ร้านค้า ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน ของสะสม ของเก่า งานศิลปหัตถกรรม เฟอร์นิเจอร์ หนังสือเก่า และสินค้าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ อีกมากมาย

ที่สำคัญตลาดแห่งนี้ถือเป็นโชว์รูมแสดงสินค้าที่เป็นประตูนำไปสู่การส่งออกสินค้าไทยไปทั่วโลก!!

ในแต่ละสัปดาห์มีเงินสะพัดซื้อขายกันเป็นหลักร้อยล้านบาท!! ที่นี่จึงเป็นโอกาสของผู้ที่มีสินค้าที่มีความโดดเด่น มีเอกลักษณ์ และเป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติ!!

“ทีมเศรษฐกิจ” ได้ออกเดินทางสำรวจตรวจชีพจรตลาดนัดจตุจักรพบว่าที่แห่งนี้ยังเป็นสวรรค์สำหรับนักช็อปทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมทั้งพ่อค้าแม่ขาย เราเฉพาะเจาะจงไปร้านค้าที่มีสินค้าเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติก็พบว่ามีหลายร้านค้าน่าสนใจ เราจึงขอเข้าไปพูดคุยสัมภาษณ์ว่าอะไรเป็นจุดเด่นและจุดขายของผู้ค้าเหล่านี้!!!

Be fine BANGKOK

เราเดินมาสะดุดตากับกระเป๋าสะพายไหล่ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ที่มีเอกลักษณ์และจุดขายเป็นผ้าลูกไม้ สีสวยหวานน่ารัก “Be fine BANGKOK”

และได้พบกับคู่รักนักศึกษา “น้องไปป์และน้องสบาย” จตุรงค์ ศิริรัตน์ และพรรณทิชา กิตติรัตนาโชติ ว่าที่บัณฑิตจากคณะนวตกรรม สื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตรวัยเพียง 23 ปี

ที่โชคชะตาและความมุมานะพยายามนำพาให้ไปพบกับโอกาสของการนำสินค้าธรรมดาๆ แต่มีเอกลักษณ์สู่ตลาดโลกผ่านตลาดนัดจตุจักร ที่ถือเป็นประตูสำคัญที่สุด

น้องทั้ง 2 คนเล่าว่า ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 ได้ช่วยกันหารายได้พิเศษโดยไปเช่าร้านขาย เสื้อเชิ้ต และเสื้อยืดสกรีนที่ห้างยูเนี่ยนมอลล์ ระหว่างนั้นน้องสบายมีงานอดิเรกเย็บกระเป๋าผ้าใช้เองและให้เป็นของขวัญแฟนและเพื่อนในโอกาสต่างๆ และนำไปลองวางขายที่ร้านด้วย ปรากฏว่าขายได้ดีทีเดียว เธอจึงเริ่มไปเรียนตัดเย็บและเริ่มพัฒนารูปแบบของกระเป๋าให้มีความหลากหลายขึ้น

และเมื่อทั้งคู่เรียนปี 4 เรียนหนักเพราะต้องทำรายงานนิพนธ์ ทำให้ไม่สามารถไปเปิดร้านขายของได้ทุกวัน จึงตัดสินใจปิดร้านที่ยูเนี่ยนมอลล์ และเช่าร้านที่จตุจักร เพื่อลดเวลาขายเหลือแค่วันเสาร์-อาทิตย์

“ตอนแรกก็จับทางไม่ถูก เสื้อสกรีนก็มีร้านคู่แข่งในจตุจักรจำนวนมาก กระเป๋าผ้าที่พอขายได้ แต่ก็ไม่โดด เด่นพอ” น้องสบายเล่าให้ฟัง

เธอคิดว่าด้วยค่าเช่าที่แสนแพง ถ้าจะอยู่รอดได้ สินค้าต้องมีเอกลักษณ์และมีความโดดเด่น เพราะลูกค้าที่เข้ามาดูสินค้าในร้านส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ!!

โชคดีที่ช่วงนั้นเทรนด์แฟชั่นเสื้อผ้าแบรนด์ต่างๆทั้งในและต่างประเทศ ต่างใช้ผ้าลูกไม้เป็นส่วนประกอบ และนี่คือตัวจุดประกายให้เธอได้ไอเดียนำผ้าลูกไม้มาทำกระเป๋า เริ่มทดลองตลาดด้วยผ้าลูกไม้ 5-6 สี ปรากฏว่า มีลูกค้าจากญี่ปุ่นมาสั่งออเดอร์ 200 ใบทันที!!

ทั้งคู่จึงไม่รอช้า เริ่มหาวัตถุดิบผ้าลูกไม้ลายใหม่ๆ และสีสันที่หลากหลายขึ้น สินค้าของเธอได้รับการตอบรับที่ดีขึ้นเรื่อยๆ มีลูกค้าหลากหลายเชื้อชาติมีคำสั่งซื้อเข้ามามากขึ้น

ด้วยความมุมานะ ไฟแรงและไม่หยุดนิ่ง ทั้งคู่ได้ขยายไลน์สินค้าเพิ่มขึ้น ทั้งกระเป๋าผู้หญิงสะพายไหล่ cross body กระเป๋าช็อปปิ้ง กระเป๋าเครื่องสำอาง กระเป๋าใส่เศษสตางค์ และล่าสุดคือรองเท้าบุผ้าลูกไม้ลายเดียวกับกระเป๋า ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีไม่แพ้กระเป๋าเลย!!

เธอบอกว่ากำลังคิดพัฒนาและแตกไลน์ผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้สินค้าเดิมมีฐานที่แน่นและมั่งคงไปด้วย และด้วยกระแสออนไลน์ทำให้ทั้งคู่เริ่มมารุกเปิดตลาดออนไลน์มากขึ้นแต่ลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงเป็นลูกค้าที่ walk in เข้ามาที่จตุจักร เมื่อซื้อสินค้าไปแล้วก็จะกลับมาสั่งสินค้าเพิ่มผ่านทางออนไลน์

ถามว่าลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาติไหน เธอบอกว่า 70-80% เป็นต่างชาติ มีทั้งจีน ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน และปีนี้เริ่มมีออเดอร์จากอิสราเอล

น้องสบายยังเล่าให้ฟังว่า ทุกวันนี้ใช้ชื่อแบรนด์ว่า Be fine BANGKOK แต่ขณะนี้กำลังทำเรื่องขอจดลิขสิทธิ์แบรนด์สินค้ากับกรมทรัพย์สินทางปัญญา

เธอย้ำว่า ธุรกิจจะ ประสบความสำเร็จ นอก จากตัวสินค้าต้องมีเอกลักษณ์และจุดขายแล้วทำเลยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จตุจักรถือเป็นทำเลที่ดี แต่หากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือต่างชาติก็ต้องพยายามไปตั้งในทำเลที่ต่างชาติเดินมากที่สุด ซึ่งเธอได้ทำสำเร็จแล้ว จากตอนแรกที่ตั้งร้านอยู่ในซอยลึกข้างใน แต่ด้วยความพยายามของทั้ง 2 ที่ช่วยกันเสาะหาจนในที่สุด สินค้าของ Be fine BANGKOK 3 สาขาในจตุจักร ได้ตั้งอยู่ใน 3 ทำเลที่นักช็อปต่างชาติหนาแน่นที่สุด!!

ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นจริงๆ คำนี้ใช้ได้ดีเสมอ!!

พบกับความน่ารักของกระเป๋าและรองเท้าสวยๆได้ที่ จตุจักรโครงการ 14 ห้อง 268 หรือเข้าไปดูผ่านโลกออนไลน์ได้ที่ http://www.facebook.com/ BEFINEBANGKOK/ และ IG: BEFINEBANGKOK ส่วน LINE : BeFinebangkok

VANILLA GATE–GALA / Family&Friend

หากใครเดินช็อปปิ้งตลาดนัดจตุจักรโครงการ 3 ซอย 42/2 ซอยที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าวัยรุ่นและของตกแต่งบ้านไอเดียเก๋ ต้องสะดุดตากับไดโนเสาร์ T-REX พันธุ์ดุ หน้าตาประหลาด แต่น่ารักน่าเอ็นดูสีชมพูสดใส ที่ยืนเป็นแก๊งต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านเสื้อ t-shirt สีขาวที่สกรีนรูปเจ้าไดโนเสาร์หลากสีสดตัวเดียวกับที่ยืนเป็นฝูงหน้าร้าน!!

ภายในร้านคลาคล่ำไปด้วยหนุ่มสาวชายหญิง ทั้งชาวไทยและต่างชาติหลากหลายภาษาที่เดินเข้าออกซื้อขาย t-shirt ไดโนเสาร์หน้าแปลกตลอดทั้งวัน

เราเข้าไปถามหาเจ้าของร้าน เพื่อจะถามว่าอะไรดลใจให้ทำเสื้อไดโนเสาร์แล้วโดนใจผู้คนได้มากมายขนาดนี้

สุดท้ายได้พบกับ “คุณเกด” หญิงสาวผู้มีบุคลิกเฉพาะตัวที่โดดเด่นไม่มีใครเหมือน กำลังส่งภาษากับลูกค้าต่างชาติอยู่ที่ร้าน VANILLA GATE–GALA ร้านเสื้อผ้า t–shirt สีขรึมตัวใหญ่โคร่ง กับลายสกรีนและการเพนต์ที่ผสมเทคนิคต่างๆด้วยดีไซน์ที่แปลกตา รวมทั้งกางเกงและผ้าพันคอ!!

ลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าร้านนี้ เกือบทั้ง 100 เป็นชาวต่างชาติ!!

“คุณเกด” เล่าให้ฟังว่า หลังจบจากคณะสังคมศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เธอก็ทำงานเป็นพนักงานบริษัทเหมือนเด็กจบใหม่ทั่วไป และด้วยความที่เป็นคนช่างแต่งตัว และมีสไตล์เป็นของตัวเอง จึงไม่ค่อยเจอเสื้อผ้าที่ถูกใจตามท้องตลาดทั่วไป

จึงตัดสินใจทำเสื้อผ้าใส่เอง โดยเป็นการทำมือทั้งหมด และส่วนหนึ่งก็นำไปขาย ปรากฏว่าได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด

เธอจึงตัดสินใจออกจากงานประจำและมาเปิดร้านที่ตลาดนัดจตุจักรถึงวันนี้ทำได้ 6-7 ปีแล้วเธอบอกว่า เธอสนุกกับงานที่ทำ สินค้าทุกตัวในร้าน VANILLA GATE-GALA เป็นสินค้าที่เธอออกแบบดีไซน์และผลิตเองกับมือทุกตัว เธอทำมันด้วยหัวใจและความรัก!!

เธอย้ำว่า เธอต้องการผลิตงานที่ทำให้ลูกค้าที่สวมใส่เสื้อผ้าของเธอดูดี ดูเท่ มีคาแรกเตอร์ และมีความเป็นปัจเจกบุคคล “เราขายงาน ดีไซส์เสื้อบางลวดลายขายมา 7 ปีแล้ว ก็ยังคงขายได้อยู่ เพราะดีไซน์ไม่ได้ตามกระแสหรือไม่ได้อิงตลาด”

เธอยอมรับว่า ลูกค้าของเธอเป็นลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ที่ชอบสไตล์ที่ไม่เหมือนใครและลูกค้ากลุ่มนี้ได้กลายเป็นลูกค้าประจำที่จะกลับมาซื้อสินค้าคอลเลกชั่นที่ออกใหม่ทุกครั้งโดยเป็นลูกค้าที่มาจากทุกชาติ ทั้งอังกฤษ ยุโรป ฝรั่งเศส อิตาลี

ช่วงหลังนี้ลูกค้าเอเชียเริ่มมีมากขึ้น ทั้งไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์

ลูกค้าเหล่านี้เมื่อมาเป็นลูกค้าประจำแล้ว ก็จะติดตามคอลเลกชั่นใหม่ๆจาก FB และ IG โดยบางคนจะบินมาประเทศไทยทุก 3-6 เดือน ก่อนมาก็จะโทร.มานัดล่วงหน้า ว่าแล้วเธอก็เปิดให้ดูรูปลูกค้าจากฮ่องกง ที่โทร.มาขอให้เธอเปิดร้านให้เลือกสินค้าในวันศุกร์ก่อนตลาดนัดเปิดเพราะต้องการความเป็นส่วนตัว ลูกค้าเหล่านี้จะซื้อทีเป็น 10 ตัวและเธอจะเตรียมสินค้าที่เหมาะสำหรับคาแรกเตอร์ของลูกค้าแต่ละคน!!!

“เคยมีลูกค้าประจำบางรายมาเหมาซื้อทั้งคอลเลกชั่นเพื่อนำไปใส่ทั้งปี ลูกค้าคนไทยก็มี แต่อย่างที่บอก เป็นลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่มีรสนิยมใกล้เคียงกัน”

จากการสำรวจราคาเสื้อผ้าในร้านของเธอเราพบว่าด้วยดีไซน์ที่แตกต่างและมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์นี้ สามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าได้อย่างดีทีเดียว

เมื่อเราย้อนกลับไปถามถึงเจ้าไดโนเสาร์หน้าประหลาด เธอบอกว่ามันเคยเป็นส่วนหนึ่งของ VANILLA GATE- GALA เธอออกแบบ และลงมือเพนต์มันออกมาด้วยตัวเอง เห็นว่าน่ารักดี นำมาสกรีนลงเสื้อปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างดีเมื่อเจ้าไดโนเสาร์ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงตัดสินใจแยกพื้นที่ร้านออกไปต่างหาก โดยเสื้อไดโนเสาร์นี้เน้นใส่ได้ทั้งครอบครัวเพราะทำทั้งไซส์เด็กและผู้ใหญ่ เรียกว่าสนุกกันได้ทั้งครอบครัวและคู่รักอยู่ภายใต้แบรนด์ Family& Friend แถมตั้งชื่อว่า เจ้า FAM ที่มาจากคำว่า Famous และ Family

เราจบบทสนทนาจากเธอ และค้นพบว่าไอเดีย ความสร้างสรรค์ และการสร้างความต่างคือจุดขายที่เป็นเสน่ห์ของเธออย่างแท้จริง!!

ไปอุดหนุนสินค้าของเธอทางออนไลน์ได้ที่ FB : VanillaGateGalaThailand , IG : Vanillagategala

“Dream tree ต้นไม้แห่งความฝัน”

“จิตรา” ศิลปินสาวสวย เจ้าของผลงานที่ทำให้เราสะดุดตากับต้นไม้สีทอง ที่ปิดด้วยแผ่นทองคำบริสุทธิ์ ภายใต้กรอบและพื้นสีดำทองให้ความรู้สึกสง่างาม สวย สงบ!!

สินค้าตกแต่งบ้าน ที่มีความเป็น Uniqe และโดดเด่นที่สุดสะกดใจให้เราต้องเดินเข้าไปยลความงามใกล้ๆและขอสัมภาษณ์เธอหลังตะลึงกับผลงานศิลปะของเธอ

เมื่อเข้าไปก็พบว่า เธอกำลังรับออเดอร์กับลูกค้านักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ชาวไต้หวันที่บินมาซื้องานของเธอไปตกแต่งประดับโครงการแทบทุกปี

ยังไม่ทันที่ลูกค้าชาวไต้หวันจะเสร็จสิ้น ก็มีลูกค้าจากฮ่องกง ที่ติดตามงานของคอลเลกชั่นเธอจาก FB เข้ามาเพื่อจะขอซื้อสินค้าที่โชว์อยู่ แต่เธอไม่สามารถขายให้ได้ เพราะสินค้าของเธอต้องสั่งทำล่วงหน้า!!

“จิตรา” บอกกับเราว่า เธอจบด้านบริหารจากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ กรุงเทพ แต่มีความสนใจศิลปะเป็นพิเศษ จึงไปเข้าครอสเรียนศิลปะการออก แบบ ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร และหลงไหลงานศิลปะจนถอนตัวไม่ขึ้น

งานของเธอทุกชิ้น ไม่เพียงแค่เป็นงานแฮนด์เมดเท่านั้น แต่มีจิตวิญญาณที่สวยงามของเธออยู่ในนั้นด้วย อย่างภาพต้นไม้สีทอง ของเธอที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าทั่วโลก ชื่อว่า “Dream tree ต้นไม้แห่งความฝัน” เธอบอกว่า คนเราต้องมีความฝันและสร้างแรงผลักดันทำความฝันให้สำเร็จ และต้องสร้างความฝันใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ เพื่อให้ชีวิตมีเป้าหมาย

เธอเล่าว่าด้วยความภาคภูมิใจว่า ชิ้นงานศิลปะของเธอถูกนำไปจัดวาง ตกแต่งในรีสอร์ตหรู ที่โซโลมอน หรือมัลดีฟ และโรงแรมในฝรั่งเศส

รวมทั้งหอศิลป์ที่อิตาลี ก็สั่งสินค้าของเธอไปวางขาย!!

และลูกค้าส่วนใหญ่ของเธอ ที่เคยซื้อสินค้าไปแล้ว มักจะกลับมาซื้อและเลือกคอลเลกชั่นใหม่ๆของเธอเสมอ รวมทั้งยังได้แนะนำกันปากต่อปากด้วย

“เธอว่าจุดเด่นของงานเธอนอกจากความประณีตงดงามแล้ว คือความเป็น Uniqe ที่ไม่เหมือนใคร โดยงานทุกชิ้นได้รับการจดลิขสิทธิ์กับกรมทรัพย์สินทางปัญหาไว้ทั้งหมด!!

เธอว่าเธอหลงใหลและรักศิลปะ และสามารถที่จะผลิตงานที่ได้รับการยอมรับจากผู้ที่รักงานศิลปะจากทั่วโลกได้ วันนี้เธอถือว่าเธอมีความสุขกับงานที่รักและยังมีแรงบันดาลใจจากชีวิตผู้คนมากมายที่จะผลิตงานออกมาได้อีกมากมาย

ตลาดนัดสวนจตุจักรแห่งนี้ ถือเป็นประตูที่เปิดให้งานศิลปะของเธอออกไปสู่สายตาของนักท่องเที่ยวที่มาจากทั่วโลก!!

Casehouseshop

“หนุ่มสาวออฟฟิศ” วัย 28 ปี ใหม่และนุ้ย “ไพโรจน์ เย็นเยือก และภัทรา ภัทราภัตร์” ที่ลาออกจากบริษัท ในตำแหน่งอินทีเรียดีไซน์ ตามสายงานที่ร่ำเรียนมาจากคณะออกแบบตกแต่งภายในจากมหาวิทยาลัยราชมงคล ธัญบุรี

 

เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ระหว่างรองานช่วยกันหารายได้พิเศษระหว่างรองานใหม่ ไปขายถุงเท้าแฮนด์เมด ตามตลาดนัดแฮนด์เมดต่างๆ

และคิดจะทำสินค้าของตัวเอง ซึ่งมาลงตัวที่เคสโทรศัพท์มือถือที่เป็นที่นิยมของวัยรุ่นทั่วไปและมีกำไรมากกว่าเดิมที่ก็รับสินค้ามาจากศูนย์การค้าสนามเสือป่า แหล่งรวมอุปกรณ์ไอที

หลังจากนั้นก็คิดหาต้นทุนให้ต่ำลง โดยดีไซน์และออกแบบเพิ่มเติมเพื่อให้สินค้ามีความแตกต่างและน่าสนใจมากขึ้น

ซึ่งก็ไม่ยากนัก สำหรับผู้ที่เรียนมาทางสายนี้ ซึ่งมีหัวที่มีความเป็นศิลปะ

ซึ่งสินค้าที่ออกมาก็ได้รับความนิยมมาก ตอนแรกยังคงขายตามตลาดอินดี้ ที่เน้นขายงานแฮนด์เมดเล็กๆ หลังจากนั้นทั้ง 2 ก็คิดการใหญ่ อยากมีร้านประจำเป็นของตนเอง หลังเห็นว่าสินค้าที่ออกแบบมานี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากวัยรุ่น

จตุจักรจึงเป็นจุด หมายของเขาทั้ง 2 แต่เขาไม่หยุดเพียงเท่านี้ ยังคงเดินหน้าหาตลาดใหม่ๆเพื่อเข้าให้ถึงตัวลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

โดยไปออกอีเวนต์เปิดร้านตามงานต่างๆ และออกบูธตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีงานประจำออกร้านทุกวัน

และอีกช่องทางหนึ่งที่สร้างหน้าตาโชว์สินค้าและยอดขายให้กับทั้ง 2 คือ การขายออนไลน์ ผ่านทาง IG : case houseshop

และด้วยสินค้าที่มีความสวยงามโดดเด่นทำให้มีผู้ที่ติดต่อนำไปขายอีกต่อ ซึ่งมีทั้งคนไทยและต่างชาติ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น และตะวันออกกลาง

ล่าสุด 2 หนุ่มสาวกำลังคิดจะผลิตเองทั้งหมด เพื่อขายส่งและส่งออกมากยิ่งขึ้น ตามความ ต้องการของลูกค้า โดยกำลังมองหาโรงงานและแรงงานเข้ามาช่วย!!

M Collection

“คุณมุก” กรกมล วิรติกุล สาวใหญ่อีกคน ที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวด้วยการทำดอกไม้ประดิษฐ์ที่เมื่อสมัย 10–20 ปีที่แล้ว ถือเป็นสินค้าส่งออกที่ได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศอย่างมาก

แต่ภายหลังมีโรงงานดอกไม้ประดิษฐ์ผุดขึ้นจำนวนมาก ที่สำคัญมีสินค้าจากจีนเข้ามาแย่งตลาด!!

ทำให้เธอต้องพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์เพื่อหนีคู่แข่ง เธอเริ่มทำดอกไม้ประดิษฐ์ใส่กระถาง และใส่กรอบสวยๆ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะดอกกุหลาบสีสวยๆใส่กรอบไม้สีขาวปิดด้วยกระจกใส ถูกนำไปเป็นของขวัญ ของตกแต่งบ้านที่ขายดีที่สุด!! แต่สุดท้ายก็มีสินค้าลักษณะคล้ายกันนี้ออกมาเป็นจำนวนมาก

“คุณมุก” ซึ่งพยายามคิดดีไซน์พัฒนา ต่อยอดผลิตภัณฑ์อย่างไม่หยุดหย่อน ภายใต้สินค้าที่เป็น Deco– ration frame หรือ Shadow box หรือ Field frame ที่มีจุดขายคือความเป็นสินค้า “ทำมือ” หรือ “แฮนด์เมด”

โดยสินค้าที่กำลังทำตลาดตอนนี้คือ wooder handcut คือการนำไม้มาฉลุลายต้นไม้ ใบไม้ ผีเสื้อ นก หรือ ธรรมชาติอื่นๆ และตกแต่งด้วยกระดาษสีสันสดใสโดยทำเป็น 3 มิติ ในเฟรมกรอบไม้สีขาว ซึ่งโดนใจผู้ที่รักการตกแต่งบ้านทั้งชาวไทยและต่างชาติ!!

“คุณมุก” บอกว่า แม้ภาพรวมตลาดขณะนี้ ออเดอร์ส่งออกจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก ทำให้หันมาเน้นขายตลาดในประเทศมากขึ้นจากเดิมทำเพื่อส่งออกเกือบหมด

แต่การมาเปิดร้านในสวนจตุจักร ถือเป็นการเปิดประตูที่ทำให้สินค้าของเธอ นอกจากจะได้ลูกค้าคนไทยแล้ว ยังได้ลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มาจากนานาชาติทั่วโลกอีกด้วย ทั้งซื้อไปเป็นของขวัญและสั่งออเดอร์ออกไปขายต่างประเทศด้วย

ทุกวันนี้ ยอดขายสินค้าจึงเป็นขายในประเทศ 50% และส่งออกอีก 50% โดยส่งออกไปทั้งสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ยุโรป และ ตะวันออกกลาง

“วัสดุหรือวัตถุดิบที่เรานำมาประกอบเป็นผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นนั้น ล้วนเป็นของที่หาง่าย เพียงเรามาจัดเรียงให้สวยงามมีคอนเซปต์และมีดีไซน์ที่เกิดจากไอเดียล้วนๆ ก็ทำให้สินค้านั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาได้มาก แต่ราคาที่ขายก็ถือว่าเป็นราคาที่ไม่สูงเกินไป สามารถจับต้องได้ ใครก็ซื้อสินค้าของเราได้”

“คุณมุก” ปิดท้ายด้วยว่า จุดเด่นหรือจุดขายของผลิตภัณฑ์เราคือ ความไม่เหมือนใคร ที่เราจะต้องออกไอเดียและดีไซน์สินค้าใหม่ๆที่มีคุณภาพและความสวยงามออกมา ที่นอกจากเป็นสินค้า “ทำมือ” ที่ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาแล้ว ยังต้องมีความแตกต่างด้วย คนเห็นต้องรู้สึกประทับใจและอยากได้ของเราไปโชว์ไปตกแต่งบ้าน เห็นแล้วมีความสุข

ตอนนี้จีนพยายามเลียนแบบทำกรอบไม้ฉลุลายเหมือนของเราออกมา แต่ไม่ได้สวยงาม หรือมีความละเอียดอ่อนช้อยเท่า อย่างไรก็ตาม เราคงต้องเดินหน้าพัฒนาและดีไซน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆให้โดนใจลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ส่วนดีไซน์เก่าที่ยังติดตลาดและขายได้เรื่อยๆก็ยังคงทำอยู่ โดยขณะนี้ “คุณมุก” เริ่มบุกทำตลาดออนไลน์ โดยสามารถเข้าไปดูและสั่งซื้อสินค้า M COLLECTION ได้ที่ IG : mcollectionart Line ID : mcol– lectionart และ FB : Mcollectionart หรือไปจับต้องเห็นของจริงได้ที่ตลาดนัดจตุจักร โครงการ 4 ซอย 52/1.

BKK ORIGINAL

ร้านค้าในจตุจักรอีกร้านที่หนาแน่นไปด้วยลูกค้าหนุ่มสาวต่างชาติ ที่หลายคนเดินเข้ามาในร้านพร้อมเปิดรูปในโทรศัพท์มือถือ เพื่อแจ้งความจำนงในการซื้อกระเป๋าหลากหลายรูปแบบละลานตา ที่พนักงานบอกกับเราว่า กระเป๋าในร้านมีมาก กว่า 300 ลาย!!

BKK ORIGINAL คือแบรนด์กระเป๋าแฟชั่นสัญชาติไทย ที่ก่อตั้งและเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 2 ปีที่แล้วโดย 2 ผู้ก่อตั้ง ที่อยากให้เราเรียกเขาว่า “พี่ทรายและพี่ร็อค”

“พี่ทราย” หญิงสาววัยเพียง 27 ปี เล่าว่า ก่อนที่จะมาทำกระเป๋าแฟชั่นขายนี้ เขาทั้งคู่เป็น แม่ค้าพ่อค้าธรรมดาในตลาดนัดจตุจักรที่ขายสินค้ามาหลากหลายทั้ง เสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้า เรื่อยมาแม้กระทั่งน้ำแข็งไส

ก่อนที่จะหยุดทุกอย่างและมุ่งมาที่การผลิตและขายกระเป๋าเพียงอย่างเดียวโดยเริ่มต้นจากจักรเย็บผ้าเพียงตัวเดียว จากเดิมที่เริ่มต้นผลิตเพียง 100 ใบต่อสัปดาห์ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ปัจจุบัน ต้องเพิ่มกำลังผลิตเป็นสัปดาห์ละกว่า 10,000 ใบ หลังกระเป๋าของ BKK ORIGINAL ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงและไต้หวัน ด้วยรูปทรงและลวดลายของกระเป๋าที่โดดเด่น

ทำให้ต้องขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างรวด เร็ว เป็น 6 สาขาในไทยและ 2 สาขาในไต้หวัน เพราะทนเสียงเรียกร้องจากชาวไต้หวันไม่ไหว ว่ากันว่า หนุ่มสาวและนักท่องเที่ยวไต้หวันที่มาเมืองไทยต้องมาซื้อกระเป๋า BKK ORIGINAL กลับไปทุกรายทั้งใช้เองและเป็นของฝาก หรือมีคนฝากซื้อ

เรียกว่า BKK ORIGINAL เป็น “แลนด์มาร์ก” แห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวไต้หวันเลยทีเดียว และไม่เพียงแค่ไต้หวันหรือฮ่องกงเท่านั้น ขณะนี้กระเป๋าของ BKK ORIGINAL กำลังเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายทั้งในมาเลเซีย จีน มาเก๊า สิงคโปร์ ทำให้มีแผนออกไปเปิดสาขาในมาเลเซียเร็วๆนี้ โดยตั้งเป้าจะเปิดสาขาเพิ่มเติมในอีก 5 ประเทศ

ไม่นับรวมกับปัจจุบันที่ได้ส่งออกกระเป๋าไปหลายประเทศทั่วโลก ทั้งสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ฝรั่งเศส สเปน ชิลี จาเมกา ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

ตั้งเป้าเพิ่มการผลิตกระเป๋าเป็นกว่า 30,000 ใบต่อสัปดาห์ ภายใน 5 ปีนี้ เพื่อรองรับความ ต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน เขาทั้ง 2 คนก็ต้องเร่งพัฒนาและสร้างงานและสร้างแรงงานฝีมือเพิ่มขึ้นด้วย โดยกระเป๋าของ BKK ORIGINAL ทุกใบตัดด้วยมือและเย็บด้วยจักร โดยทำจากวัสดุทั้งผ้า พีวีซี พลาสติกและหนังเทียม

“พี่ทราย” เล่าว่า เดิมที่คิดเพียงว่าจะทำกระเป๋าที่มีลวด ลายและรูปแบบที่หลาก หลายในราคาไม่แพงทุกคนสามารถจับต้องได้ ราคาเริ่มต้นที่ใบละ 120 บาท สำหรับกระเป๋าสะพาย ส่วนกระเป๋าสะพายยอดนิยม เริ่มต้นที่ 200 บาท

“พี่ทราย” ทิ้งท้ายว่า BKK ORIGINAL ตั้งเป้าหมายการเป็น The bags that everyone can buy หมายถึง ทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกประเทศ ทุกวัฒนธรรม ทุกๆคนจะต้องสามารถเข้าถึงเราได้!!

ไม่เกินจริงเลยที่จะบอกว่าความสำเร็จของเขาทั้ง 2 และทีมงานมีจุดเริ่มต้นที่ตลาดนัดจตุจักร ตลาดโลคอลที่ผงาดไปสู่โกลบอลอย่างแท้จริง!!

ทีมเศรษฐกิจ

แล้งนี้จะอยู่กันอย่างไร?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/603919

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 11 เม.ย. 2559 05:01

 

หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 มี.ค.2559 ได้ทำคลอดแนวทางและมาตรการรณรงค์การใช้น้ำอย่างรู้คุณค่าเนื่องในประเพณีสงกรานต์ประจำปี 2559 โดยกำหนดแนวทางและมาตรการรณรงค์ การใช้น้ำในประเพณีสงกรานต์ ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์แบบไทยใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า”

โดยได้ขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันสืบสานประเพณี สงกรานต์แบบไทยให้คงไว้ เช่น การไปทำบุญตักบาตร การสรงน้ำพระพุทธรูป การสรงน้ำพระสงฆ์ การรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ ควรใช้น้ำสะอาดเล่นน้ำอย่างสุภาพ แต่งกายด้วยผ้าไทย และแต่งกายให้เหมาะสมในเทศกาลสงกรานต์

รวมทั้งขอความร่วมมือจากประชาชนไม่ใช้น้ำอย่างฟุ่มเฟือย เช่น ไม่นำน้ำใส่รถกระบะเล่นสาดน้ำกัน หรือใช้สายยางฉีดน้ำใส่กันบริเวณท้องถนนหรือบริเวณจัดงานต่างๆ เพื่อให้การจัดกิจกรรมงานสงกรานต์มีการใช้น้ำอย่างประหยัด

ถือเป็นการพลิกผันรูปแบบของ “เทศกาลสงกรานต์” อย่างชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน!

ทุกคนเริ่มตระหนักแล้วว่า “วิกฤติภัยแล้ง” ของไทยปีนี้เดินมาถึง “จุดอันตราย” อย่างแน่นอน เพราะทุกคนยอมรู้ว่า รายได้หลักของเศรษฐกิจไทยทางหนึ่งในวันนี้ มาจากภาคการท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวในเทศกาลสงกรานต์เป็นหนึ่งใน “เทศกาลยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ”

ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา “ทีมเศรษฐกิจ” ได้เคยประมวลสถานการณ์ “น้ำ” ของประเทศและสะท้อน “วิกฤติภัยแล้ง” ที่กำลังถั่งโถมเข้าใส่ระบบเศรษฐกิจ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยทุกหย่อมหญ้าผ่านมุมมองนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำของประเทศ

พบว่าวิกฤติภัยแล้งครั้งนี้ คาดว่าจะมีความรุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปีและถึงขั้นที่ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำของประเทศอย่าง รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิตถึงกับระบุว่า วิกฤติภัยแล้งที่เกิดขึ้นในเวลานี้อาจถึงขั้นทำให้
ประชาชนคนไทยต้องปันน้ำกิน-น้ำใช้กันแล้ว

ขณะที่ นายชวลิต จันทรรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายต่างประเทศ บริษัททีม กรุ๊ป ออฟคัมปานีส์ จำกัด นั้นได้เสนอให้รัฐบาลประกาศมาตรการที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้น้ำของประชาชนให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ภายใต้หลักการประหยัดน้ำของกลุ่มต่างๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อทอดสายตามองไปข้างหน้า เรายังมองไม่ออกเลยว่า สถานการณ์น้ำและวิกฤติภัยแล้งที่กำลังลามเลียอยู่จะคลี่คลายลงไปอย่างไร จนทำให้หลายฝ่ายเริ่มหวาดวิตก จากนี้ไปกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของผู้คนจะดำเนินไปอย่างไร เราจะ “ก้าวข้าม” วิกฤติภัยแล้งครั้งประวัติศาสตร์นี้กันไปได้อย่างไร

ประเทศไทยจะต้องเข้าสู่ยุคปันน้ำกิน–น้ำใช้กันจริงหรือ?

“ทีมเศรษฐกิจ” จึงประมวลภาพกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งภาคการท่องเที่ยว การเกษตร อุตสาหกรรม รวมทั้งหน่วยงานที่สำคัญต่อน้ำกินน้ำใช้ของประเทศอย่าง การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาคต้องปรับตัวขนานใหญ่เพื่อ “รับมือ” กับวิกฤติภัยแล้งที่เกิดขึ้น ดังนี้ :

**********

ททท.ชู “สงกรานต์วิถีไทย”

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ได้รับนโยบายรัฐบาลในการรณรงค์เล่นสงกรานต์เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยชูแคมเปญ “สงกรานต์วิถีไทย ร่วมใจประหยัดน้ำ” สร้างการสืบทอดประเพณีอย่างไทย ทำบุญ ตักบาตร รดน้ำขอพรจากญาติผู้ใหญ่ และประพรมน้ำแทนการสาด พร้อมทั้งส่งเสริมการแต่งกายอย่างสุภาพ ด้วยผ้าไทยท้องถิ่น

ขณะที่ภายใต้ “เทศกาลเย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ ปี 2559” นี้ททท. ได้ส่งเสริมการจัดงานในพื้นที่ต่างๆ กระจายไปทั่วประเทศ โดยมีทั้งหมด 13 พื้นที่ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 10-24 เม.ย.2559 และมีพิธีเปิดเทศกาลฯ วันที่ 10 เม.ย.2559 ณ ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์

อีกทั้งได้จัดกิจกรรมสงกรานต์วัดโพธิ์ ตั้งแต่วันที่ 10-12 เม.ย.2559 ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร มุ่งเสนอขายนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ และสร้างการรับรู้ประเพณีสงกรานต์อย่างไทยที่มีเอกลักษณ์ (Thainess) ซึ่ง 13 พื้นที่ที่ ททท.ส่งเสริมการเล่นสงกรานต์อย่างไทย

พร้อมกันนี้ ททท. ภายใต้แคมเปญ “สงกรานต์ วิถีไทย ร่วมใจประหยัดน้ำ”ททท.ส่งเสริมการสืบสานสงกรานต์ตามขนบประเพณีไทยท้องถิ่นได้แก่ การทำบุญตักบาตร เข้าวัดฟังเทศน์ในวันขึ้นปีใหม่ไทย สรงน้ำพระพุทธรูป รดน้ำขอพรจากญาติผู้ใหญ่ การประพรมน้ำให้กันอย่างสุภาพด้วยน้ำอบ ไม่สาดน้ำหรือใช้อุปกรณ์ฉีดน้ำความดันสูง พร้อมทั้งส่งเสริมการแต่งกายด้วยผ้าไทยท้องถิ่น อาทิ ผ้าหม้อห้อม ผ้าขาวม้า ผ้าลายดอก ผ้าฝ้าย เป็นต้น

โดย ททท.ยังคาดหวังว่าสงกรานต์ในปีนี้จะประทับใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ และนักท่องเที่ยวไทยได้เช่นเดิม

กนอ.ผุด “วอร์รูม” เฝ้าภัยแล้ง

ฟากฝั่งกระทรวงอุตสาหกรรมก็ได้มีการเตรียมพร้อมรับมือภัยแล้งครั้งนี้ โดย นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวกับ “ทีมเศรษฐกิจ” ว่า กนอ.ได้กำหนดมาตรการเฝ้าระวังปัญหาภัยแล้งตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านศูนย์ปฏิบัติการของ กนอ. เพื่อลดความเสียหายจากกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ในความดูแล โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา ภาคตะวันออก กรุงเทพฯปริมณฑล ภาคใต้ ภาคเหนือ

โดยศูนย์เฝ้าระวังภัยแล้งจะทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์ ข่าวสารปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ ปริมาณน้ำในลุ่มเจ้าพระยาจากกรมชลประทาน ปริมาณน้ำฝนและการคาดการณ์ปริมาณฝนที่จะตกลงมาจากกรมอุตุนิยมวิทยา โดยล่าสุด พบว่า ปัจจุบันวิกฤติภัยแล้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม เพื่อความไม่ประมาท กนอ.ได้แจ้งให้ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมทราบถึงสถานการณ์น้ำเป็นระยะๆ เพื่อให้เตรียมการตามลำดับคือ ลดปริมาณการใช้น้ำ และใช้น้ำอย่างประหยัด การรีไซเคิลน้ำจากกระบวนการผลิตมาบำบัดเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ เตรียมหาน้ำสำรอง พิจารณาใช้น้ำจากแหล่งน้ำสำรองของตนเอง

ล่าสุดความต้องการใช้น้ำของนิคมอุตสาหกรรมทั้งที่เป็นนิคมฯในสังกัด กนอ.และนิคมฯของเอกชน ณ ขณะนี้ มีจำนวน 700,000 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน โดยมีแหล่งที่มาหลักจากบริษัทอีสวอเตอร์ จำกัด 60% น้ำบาดาล 1% การประปานครหลวง 10% การประปาส่วนภูมิภาค 2% และจากแหล่งน้ำผิวดินอีกราว 27%

นายเจริญ ภัสระ
ประธานกรรมการ การประปานครหลวง (กปน.)

หลังจากที่หลายหน่วยงานได้ร่วมมือกันเพื่อบรรเทาภาวะแห้งแล้งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จนถึงต้นปีนี้ เพื่อเตรียมการสำรองแหล่งน้ำดิบต่างๆใช้แทนแหล่งน้ำตามธรรมชาติ และในเขื่อนใหญ่ๆที่ปริมาณน้ำในปีนี้จัดว่าวิกฤติกว่าปีก่อนมาก โดยเฉพาะเมื่อน้ำในเขื่อนหลักๆขนาดใหญ่ของประเทศมีปริมาณน้ำลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งของปีก่อน สถานการณ์ต่างๆก็เริ่มดีขึ้น

“เราเริ่มช่วยเหลือและวางแผนกันมาตั้งแต่เดือน ต.ค.ปีที่แล้ว เพราะเห็นว่าช่วงเดือน มี.ค.–เม.ย.ปี 2558 เกิดสภาวการณ์แห้งแล้งอย่างหนัก น้ำในเขื่อนใหญ่ๆมีปริมาณรวมกันเพียง 8,000 กว่าล้าน ลบ.ม. ทำให้รัฐต้องออกประกาศห้ามชาวนาชาวไร่ในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาทำการเกษตร เนื่องจากปริมาณน้ำมีไม่เพียงพอ และเมื่อปลายปี เราเริ่มมองเห็นสภาพดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน คือ เราเจอทั้งสภาวะเอลนิญโญและลานิญญา การเตรียมการจึงต้องเพิ่มความเข้มข้นกว่าเดิม”

นายเจริญกล่าวด้วยว่า ปีที่แล้วน้ำมีไม่เพียงพอจะไล่น้ำทะเลที่หนุนเข้ามาด้วย นั่นทำให้เกิดสภาวะที่ประชาชนต้องเจอกับการอุปโภค-บริโภคน้ำกร่อยด้วยปีนี้การประปาจึงทำงานกับกรมชลประทานกันอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดสภาพการณ์เช่นเดียวกับปีก่อนอีก

“ผ่านเดือนมีนาคมมาได้ พวกเราก็รู้สึกคลายความวิตกกังวลไปได้ในระดับหนึ่ง และขณะนี้เราเริ่มเคาต์ดาวน์แล้วว่า วิกฤติน้ำแล้งกำลังจะหมดไป หลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ปลายเดือนพฤษภาคมนี้ ฝนจะเริ่มมาแล้ว แต่กระนั้นก็ตาม เราก็ไม่อยู่ในความประมาทนะ เพราะฝนอาจไม่มาตามที่คาดคิดก็ได้เมื่อสภาพดินฟ้าเกิดความผันผวนเช่นที่เห็น”

ประธานกรรมการ กปน.กล่าวว่า กปน.หันไปใช้แหล่งน้ำจากแม่กลองผ่านกระบวนการผลิตน้ำที่สามเสน บางเขน และธนบุรี ส่วนทางตะวันตก เราก็มีคลองมหาสวัสดิ์ เป็นกำลังเสริมเข้ามาเพื่อจะสำรองไว้ไล่น้ำเค็มที่สะพานพระนั่งเกล้า กับอีกหลายจุดที่อาจมีน้ำเค็มไหลเล็ดลอดเข้ามาได้ และผลของการป้องกันอย่างละเอียดในทุกจุดทำให้ไม่มีน้ำทะเลดันเข้ามาได้เลย ก็จัดว่าได้ผลดีมาก

“กลับกลายเป็นว่า การเตรียมการที่เราทำมาต่อเนื่อง ทำให้สภาพการณ์ปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วมาก แม้ว่าปริมาณน้ำจะเหลือน้อยนิดเดียวก็ตามที กระนั้นก็ตามที ผมคิดว่า พวกเราคนไทยโชคดีเพราะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชดำริให้สร้างเขื่อนป่าสักไว้ เพราะตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปี 2559 ซึ่งนับว่าเป็นปีที่หนักที่สุดกลับพบว่า ปีนี้น้ำในเขื่อนป่าสักมีมากถึง 300–500 ล้าน ลบ.ม.จากปีก่อนที่มีเพียง 50 ล้าน ลบ.ม.”

กรณีดังกล่าว ทำให้ผู้คนโดยทั่วไปไม่รู้สึกว่าเขาได้รับแรงกดดันจากสภาวะแห้งแล้งที่เกิดขึ้นในขณะที่ กปน.ค่อยๆปรับลดแรงดัน และสูบจ่ายน้ำลง 10% ในช่วงกลางคืนลง นั่นทำให้ กปน.สามารถประหยัดการใช้น้ำลงได้มาก และทำให้น้ำต้นทุนมีเพียงพอจะสูบจ่ายให้ประชาชนในช่วงเวลาทำการปกติได้

ในเวลาเดียวกัน กปน.ยังขอให้หน่วยงานและองค์กรต่างๆร่วมมือกันลดการใช้น้ำลงด้วย โดยมีรางวัลสำหรับผู้ร่วมประหยัดการใช้น้ำ คือถ้าลดการใช้น้ำอุปโภค-บริโภคได้ 10% เราจะลดราคาน้ำประปาให้

“ผมอยากให้เกษตรกรเราสามารถกลับมาทำการเพาะปลูกได้ตามปกติ ไม่เช่นนั้นเขาจะได้รับความเดือดร้อนหนักมาก ยิ่งกลับมาเพาะปลูกได้เร็วเท่าใดก็ยิ่งเป็นการดีต่อประเทศชาติ ประชาชนทั่วไปก็อยากให้ช่วยกันประหยัดการใช้น้ำด้วย เพราะที่ผ่านมา เรามีบทเรียนที่แย่ๆมาแล้ว และจากนี้ไปก็ต้องเตรียมการสำหรับการสำรองปริมาณน้ำให้มีเพียงพอ”

นายเจริญกล่าวด้วยว่า การเตรียมการเพื่อรับมือกับภาวะน้ำแล้งของปีนี้ สามารถจะรองรับสถานการณ์ความแห้งแล้งไปได้จนถึงเดือนกรกฎาคมได้เลย หากฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล

ต่อกรณีที่มีหลายฝ่ายเสนอให้ลดการใช้น้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ให้มากเป็นพิเศษนั้น นายเจริญกล่าวว่า สงกรานต์ของคนไทยเป็นไปตามประเพณีที่มีมานาน ฉะนั้นจึงไม่สามารถไปห้ามปรามไม่ให้มีการเล่นน้ำได้ ก็คงให้เป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษา
ความสงบแห่งชาติ (คสช.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้ให้ไว้ว่า อย่าเล่นน้ำกันจนเลยเถิดไป

“ปีที่ผ่านมา ผมก็เห็นเขาจัดระเบียบการเล่นน้ำสงกรานต์กันได้ดี คือ ไม่ได้อนุญาตให้ใช้ถังน้ำขึ้นไปวางบนรถจนอาจเกิดอันตรายปีนี้ก็คิดว่าคงจะจัดระเบียบการเล่นสงกรานต์ได้ดีพอๆกัน คือ ไม่ปล่อยให้เล่นกันเลยเถิดไป สำหรับผม ผมก็ขอแต่เพียงว่า ช่วยลดการเล่นน้ำสงกรานต์ลงสักนิด คือเล่นแต่พอดี ไม่ต้องใช้น้ำมากเกินไป เพราะเราก็อยากเห็นเกษตรกรกลับมาเพาะปลูกพืชได้เหมือนเดิมโดยเร็ว”

นายเจริญยังกล่าวด้วยว่า กปน.ร่วมกับกรมชลประทาน และอีกหลายหน่วยงานจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในจังหวัดต่างๆเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนและเกษตรกรชาวไร่ชาวนาอย่างแข็งขันด้วย.

เศรษฐกิจไทยยุคขาดน้ำ

ทั้งนี้ ปริมาณความต้องการใช้น้ำของนิคมฯที่ กนอ.ดำเนินการจาก 11 แห่ง รวมพื้นที่ 29,652 ไร่ มีความต้องการใช้น้ำรวมกันวันละ 139,676 ลบ.เมตร โดยนิคมฯที่ต้องเฝ้าระวังและวางแผนรับมือภัยแล้งที่สำคัญๆ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลำพูน ที่มีความต้องการใช้น้ำวันละ 20,000 ลบ.เมตร กนอ.ได้ทำการขุดเจาะน้ำบาดาลบ่อแรกเพื่อสูบน้ำขึ้นมาใช้ได้แล้ววันละ 1,600 ลบ.เมตร และล่าสุดได้ขุดเจาะเพิ่มอีก 2 บ่อ สามารถสูบน้ำได้รวมกันวันละ 6,400 ลบ.เมตร และได้เตรียมซื้อน้ำจากบริษัทเอกชนอีกจำนวนหนึ่ง หากน้ำจากบ่อบาดาลไม่เพียงพอ

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนิคมฯที่ กนอ.ไปร่วมลงทุนอีก 18 แห่ง ที่มีพื้นที่รวมกัน 72,748 ไร่ ที่มีความต้องการน้ำในกระบวนการผลิตรวมกันวันละ 225,844 ลบ.เมตร ยังไม่มีปัญหาการขาดแคลนน้ำแต่อย่างใด ซึ่งกนอ.ก็ได้จัดทำแผนรองรับหากเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ อาทิ นิคมฯบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เตรียมเปิดเส้นทางน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยามายังคลองวัว เพื่อให้สามารถรับน้ำยังสถานีสูบน้ำได้ในช่วงวิกฤติ เป็นต้น
ปัดฝุ่นเหมืองเก่าสู่แหล่งกักเก็บน้ำ

ด้านกระทรวงอุตสาหกรรมนั้น ได้เตรียมมาตรการรับมือภัยแล้งในระยะยาว โดย นายสมชาย หาญหิรัญ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมีแผนรับมือภัยแล้ง โดยการนำพื้นที่ขุมเหมืองที่หมดอายุสัมปทานไปแล้วมาพัฒนาให้เป็นแหล่งเก็บน้ำ

โดยจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าน้ำขุมเหมืองในอดีตที่ได้มีการนำไปใช้เพื่อบริโภคอุปโภค หรือเป็นน้ำต้นทุนในการผลิตน้ำประปาที่จังหวัดภูเก็ต ระนอง พังงา และยังมีพื้นที่เหมืองแร่ที่สามารถใช้เป็นแหล่งน้ำได้รวม 105 เหมือง มีปริมาณน้ำรวม 166,019,100 ลบ.เมตร และยังพบว่า มีพื้นที่เหมืองแร่จำนวน 10 บ่อเหมือง ในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ได้มีการพัฒนาเป็นแหล่งน้ำบริโภคอุปโภคและเพื่อเกษตรกรรม มีปริมาณน้ำรวม 33,429,600 ลบ.เมตร ที่สามารถนำมาใช้งานแล้วในปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ยังได้สำรวจพื้นที่ขุมเหมืองเพิ่มเติมในภาคเหนืออีก 3 จังหวัด รวม 22 บ่อเหมือง และในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด รวม 43 บ่อเหมือง ซึ่งสรุปได้ว่า มีขุมเหมืองที่ได้รับการพัฒนาและสามารถนำน้ำไปใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค และเกษตรกรรม ณ เดือน เม.ย.นี้ รวมทั้งสิ้น 33 บ่อเหมือง ปริมาณน้ำรวม 45,160,160 ลบ.เมตร ประกอบด้วยภาคเหนือ 12 บ่อเหมือง ปริมาณน้ำ 30,256,160 ลบ.เมตร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 17 บ่อเหมืองปริมาณน้ำ 11,064,000 ลบ.เมตร ภาคกลาง 1 บ่อเหมือง ปริมาณน้ำ 60,000 ลบ.เมตร ภาคตะวันตก 3 บ่อเหมือง ปริมาณน้ำ 3,240,000 ลบ.เมตร เพื่อแจกจ่ายให้กับพื้นที่เกษตรกรรมได้ 60,000 ไร่

เกษตรเข็น 45 โครงการฝ่าวิกฤติภัยแล้ง

สำหรับภาคการเกษตร ซึ่งเป็นภาคที่ได้รับผลจากภัยแล้งมากที่สุดนั้น ข้อมูลปริมาณน้ำในเขื่อนหลัก 4 แห่งล่าสุด ได้แก่ ภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยฯ ป่าสักชลสิทธิ์ (9 เม.ย.59) มีปริมาตรน้ำในอ่างฯ 8,902 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 36% และน้ำใช้การได้ 2,206 ล้าน ลบ.เมตร คิดเป็น 12% โดยมีปริมาณน้ำไหลลงอ่างฯ จำนวน 1.30 ล้าน ลบ.เมตร ปริมาณน้ำระบาย 18.29 ล้าน ลบ.เมตร โดยสามารถรับน้ำเพิ่มได้อีก 15,969 ล้าน ลบ.เมตร

ทั้งนี้ นายสุรพงษ์ เจียสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่เผชิญกับวิกฤติภัยแล้งจนไม่สามารถทำการเกษตรได้นั้นว่า จากการติดตามของศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำรวจพบความเสียหายครอบคลุมพื้นที่ 2.87 ล้านไร่ (ข้อมูล ณ 17 มีนาคม 2559) เกษตรกรได้รับผลกระทบ 272,743 ราย

ทั้งนี้ พื้นที่ที่เสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในปี 2558 แบ่งเป็นช่วง ม.ค.-เม.ย. เกษตรกรได้รับผลกระทบ 1,034 ราย ข้าว 78.25 ไร่ พืชไร่ 7,955 ไร่ พืชสวน 1,849 ไร่ รวมทั้งสิ้น 9,883 ไร่ เดือน พ.ค.-ก.ย. เกษตรกรได้รับผลกระทบ 98,971 ราย ข้าว 36,863 ไร่ พืชไร่ 836,535 ไร่ พืชสวน 3,479 ไร่ รวมทั้งสิ้น 1,208,646 ไร่ และเดือน ต.ค.ถึงปัจจุบัน เกษตรกรได้รับผลกระทบ 172,738 ราย ข้าว 1,631,932 ไร่ พืชไร่ 18,136 ไร่ พืชสวน 20 ไร่ รวมทั้งสิ้น 1,650,089 ไร่

จากสถานการณ์ดังกล่าว ศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รายงานพื้นที่ที่เข้าหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 กรณีพื้นที่ทำการเพาะปลูกมีพืชตายหรือเสียหายโดยสิ้นเชิง โดยช่วยเหลือตามพื้นที่เพาะปลูกที่เสียหายจริง ไม่เกินรายละ 30 ไร่ ในอัตรา ดังนี้ ข้าวไร่ละ 1,113 บาท พืชไร่ ไร่ละ 1,148 บาท และพืชสวนและอื่นๆ ไร่ละ 1,690 บาท

ซึ่งสำรวจพบความเสียหายแล้วคิดเป็นปริมาณผลผลิตที่เสียหาย 6.10 ล้านตัน มูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 15,514 ล้านบาท วงเงินช่วยเหลือทั้งสิ้น 3,226 ล้านบาท โดยข้าว มีพื้นที่เสียหาย 2,000,641 ไร่ ปริมาณผลผลิต 1,116,667 ตัน เสียหาย 8,578 ล้านบาท วงเงินช่วยเหลือ 2,226 ล้านบาท, พืชไร่มีพื้นที่เสียหาย 862,628 ไร่ ปริมาณผลผลิต 4,981,781 ตัน เสียหาย 6,892 ล้านบาท วงเงินช่วยเหลือ 990 ล้านบาท, พืชสวนมีพื้นที่เสียหาย 5,348 ไร่ ปริมาณผลผลิต 2,601 ตัน เสียหาย 44.35 ล้านบาท วงเงินช่วยเหลือ 9.04 ล้านบาท

สำหรับการช่วยเหลือเกษตรกร กรณีพื้นที่ทำการเพาะปลูกมีพืชตายหรือเสียหายโดยสิ้นเชิงดังกล่าว กรณีแยกตามภูมิภาค พบว่าภาคเหนือได้รับผลกระทบมากที่สุด มูลค่าความเสียหาย 6,955 ล้านบาท คิดเป็น 45% ของมูลค่าความเสียหายรวม รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มูลค่าความเสียหาย 6,240 ล้านบาท คิดเป็น 40% ของมูลค่าความเสียหายรวม

ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงมีนโยบายให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตผ่านวิกฤติภัยแล้งไปได้ โดยคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบโครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบภัยแล้งปี 2558/59 จำนวน 8 มาตรการ 45 โครงการ ซึ่งมีหลายหน่วยงานขับเคลื่อนการดำเนินงานผ่านศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาวิกฤติภัยแล้ง ปี 2558/59 ระดับชาติ (ศก.กช.) โดยมีงบประมาณรวมทั้งสิ้น 32,384 ล้านบาท เพื่อดำเนินงานทั้ง 8 มาตรการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ 18 มีนาคม 2559) มีผลการเบิกจ่ายงบประมาณแล้วจำนวน 11,272 ล้านบาท สามารถช่วยเหลือเกษตรกรในแต่ละกิจกรรมรวมทั้งสิ้น 1.48 ล้านราย

ทั้งนี้ หากแยกเฉพาะมาตรการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบ สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ 601,775 ราย จากกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ สนับสนุนปัจจัยการผลิต ยกเว้นค่าเช่าที่ดิน ส.ป.ก. ชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้สหกรณ์ จ้างงานของกรมชลประทาน การช่วยเหลือของสหกรณ์ และอบรมเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบภัยแล้งปี 2558/59 และจากปัญหาราคาสินค้าเกษตรที่ ได้รับอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ในแต่ละมาตรการ ยังคงมีกิจกรรมหรือโครงการที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณางบประมาณ ที่จะช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถผ่านพ้นวิกฤติภัยแล้งไปได้

ทั้งหมดเป็นบทสรุปมาตรการรับมือภัยแล้งที่หน่วยงานและภาคส่วนต่างๆ ได้สะท้อนกันออกมา.

นายจีระชัย มูลทองโร่ย
รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค (บอร์ด กปภ.)

 

การสำรองน้ำและการจัดน้ำสำหรับช่วงสงกรานต์ในเดือน เม.ย. ซึ่งมีสถิติการใช้น้ำมากนั้น จากสถานการณ์ในปีนี้มาตรการของรัฐบาลให้ใช้น้ำอย่างประหยัด ทั้งนี้ กปภ.ได้เตรียมการมาตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2559 หรือเดือนตุลาคม 2558 โดยให้มีการสำรวจว่ามีพื้นที่ตรงไหนบ้างที่เป็นพื้นที่เสี่ยง ซึ่งสถิติในปี 2558 พบว่า มีพื้นที่เสี่ยงที่จะประสบภัยแล้งในพื้นที่ 20 จังหวัด ซึ่งอยู่ในพื้นที่ 33 สาขาของ กปภ.

แต่ในปี 2559 พบว่า พื้นที่เสี่ยงมีเพิ่มขึ้นถึง 32 จังหวัดใน 51 สาขาของ กปภ. การแก้ไขสำหรับปีนี้ได้มีการเตรียมงบประมาณไว้ 2,096 ล้านบาท และจะไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะได้การสั่งการให้ทุกสาขาของ กปภ.ต้องจัดหาแหล่งน้ำดิบในพื้นที่เพื่อเป็นน้ำสำรองไว้สำหรับการผลิตน้ำประปา จากเดิมที่จะพึ่งน้ำจากคลองชลประทานและขุดบ่อบาดาล ดังนั้นต่อไปจะมีการต่อท่อจากแหล่งน้ำดิบใหม่มายังสถานีสูบน้ำ หรือบางจุดจะมีการสร้างสถานีผลิตน้ำชั่วคราวเพื่อผลิตน้ำประปาเลย ซึ่งเป็นการเพิ่มแนวทางแก้ปัญหาจากเดิมที่จะใช้เฉพาะการขุดเจาะบ่อบาดาลเท่านั้น

“การมอบหมายให้แต่ละสาขาของ กปภ.ออกไปเสาะหาแหล่งน้ำดิบในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นสระน้ำ อ่างเก็บน้ำ เช่น ที่จังหวัดพะเยา แต่เดิมจะใช้น้ำจากกว๊านพะเยา เพื่อใช้ผลิตประปาเป็นหลัก แต่ตอนนี้จากการเสาะหาแหล่งน้ำดิบใหม่ พบอ่างเก็บน้ำแม่ต๋ำซึ่งสามารถนำน้ำมาเพิ่มให้กับกว๊านพะเยาได้ครั้งละ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อนำมาผลิตประปา

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งจุดคือหนองขวาง ที่สามารถแบ่งน้ำมาช่วยอีก 1 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งตรงจุดนี้ กปภ.จะไปสร้าง mobile plant หรือสถานีผลิตน้ำประปาชั่วคราวที่นั่นเลย และจะส่งผ่านทางท่อเมนมาเสริมหรือที่อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งติดบัญชีภัยแล้งมาตลอด 3 ปี เนื่องจากขาดแคลนน้ำดิบ แต่พอทางสาขาได้ไปหาแหล่งน้ำดิบใหม่พบว่าที่ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ มีสระน้ำที่นำมาใช้ได้ 12 ล้าน ลบ.ม. โดยวิธีการเช่นนี้ เดิมไม่เคยใช้และไม่เคยไปหาแหล่งน้ำดิบเพิ่มเติมมาก่อน

“เมื่อปีใดมีปัญหาน้ำน้อย ก็จะเกิดปัญหาขึ้นทันที แต่ต่อไปนี้ทุกสาขาต้องไปหาแหล่งน้ำดิบเพิ่มเติม ดังตัวอย่างข้างต้น หรือมีตัวอย่างที่อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้พบแหล่งน้ำดิบเป็นสระน้ำขนาด 85 ไร่ สามารถนำน้ำโดยมาผ่านกระบวนการผลิตได้โดยไม่ต้องขุดบ่อบาดาล เนื่องจากบางครั้งการไม่หาแหล่งน้ำดิบเพิ่ม วิธีการแก้ไขก็ใช้วิธีขุดบ่อบาดาลซึ่งต้องขุดลงไปลึกถึง 38 เมตร เพื่อนำน้ำบาดาลที่เป็นน้ำดีและน้ำใสเหมือนในขวดเอามาผ่านกระบวนการกรองเติมคลอรีน ตามกรรมวิธีผลิตน้ำประปาตามปกติ ซึ่งก่อนการผลิตจะมีการทดสอบคุณภาพน้ำให้เรียบร้อยก่อน ไม่ว่าจะเป็นน้ำดิบที่หาจากแหล่งใหม่ๆหรือน้ำบาดาลจะต้องผ่านการทดสอบว่าได้เกณฑ์มาตรฐานเบื้องต้น”

 

นายจีระชัยกล่าวสรุปว่า “ในพื้นที่ 51 สาขา มีทั้งที่เป็นพื้นที่เสี่ยงสูง และพื้นที่เฝ้าระวัง กปภ.ทุกสาขาในพื้นที่นี้มีหน้าที่ต้องไปหาแหล่งน้ำดิบใหม่เพื่อนำมาผลิตน้ำประปาให้ได้ จึงมั่นใจว่าจะสามารถแก้ปัญหาการขาดประปาได้ทุกพื้นที่”

อย่างไรก็ตาม กปภ.ยังวางแผนที่จะสรุปสถานการณ์ในแต่ละวันในทุกช่วงบ่ายของวันจันทร์ รวมทั้งจะมีการสรุปสถานการณ์แต่ละสัปดาห์ที่ผ่านมาและวางแผนคาดการณ์อีก 7 วันข้างหน้าว่ามีพื้นที่ไหนที่น้ำดิบจะไม่เพียงพอบ้าง เพราะฉะนั้น น้ำดิบถือเป็นหัวใจสำคัญหลักอันหนึ่ง
ขณะนี้ยังมั่นใจว่ายังเพียงพอ และสามารถเตรียมการตรงนี้ได้

ประธานบอร์ด กปภ.กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ในแต่ละวันมีลักษณะคือ 1.ไม่มีการหยุดจ่ายน้ำ 2.มีการจ่ายน้ำเป็นเวลา เช่น แหล่งน้ำเป็นโซนซ้ายมือในวันปฏิทินเลขคี่และโซนขวามือในวันปฏิทินเลขคู่หรือเปิดใจน้ำช่วงเช้าและเย็นเท่านั้น 3.มีวิธีการลดแรงดันของการจ่ายน้ำและ 4.บางพื้นที่มีน้ำเค็มรุกเข้ามา เช่นที่ บางคล้า ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี และตะกั่วป่า แต่ทั้งหมดนี้ยังอยู่ภายใต้การบริหารจัดการให้ชาวบ้านมีน้ำใช้ทุกวัน ยังไม่มีการหยุดจ่ายน้ำ แต่จะใช้วิธียืดอายุการใช้งานให้ยาวที่สุดจนถึงเดือนมิถุนายน

ส่วนแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ตามเกาะต่างๆก็มีแผนในการปฏิบัติการ เช่น หาแหล่งผลิตน้ำประปาชั่วคราว การนำน้ำทะเลมาผลิตเป็นน้ำประปาและนำน้ำจืดมาผลิตเป็นน้ำประปา เช่นที่เกาะสมุย ขณะที่เกาะพะงันกำลังเริ่มมีการผลิตประปาจากน้ำจืดและน้ำเค็ม ถือว่าไม่ขาดแคลนส่วนเกาะเสม็ดกำลังมีแผนต่อท่อจากฝั่งไปยังเกาะเสม็ดระยะทาง 4 กิโลเมตร

ส่วนการบริหารจัดการน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีการบริการประชาชนเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือการบริการลูกค้าผู้ใช้น้ำ และส่วนที่ 2 คือให้บริการในพื้นที่ที่ไม่ใช่ลูกค้าโดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละแห่งมารับน้ำตามสาขาของ กปภ.ได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายรวมทั้งจะมีการร่วมมือกับการประปานครหลวง (กปน.) ในฐานะที่อยู่ภายใต้กระทรวงมหาดไทยช่วยกันให้ดูแลชาวบ้านนอกเขตการใช้น้ำเพื่อช่วยประชาชนในยามที่เกิดภัยแล้งในครั้งนี้ด้วย.

ทีมเศรษฐกิจ

รถไฟฟ้า(ยัง)มาหานะเธอ ก้าวใหม่ที่ใหญ่กว่าของ “คีรี กาญจนพาสน์”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/600487

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 4 เม.ย. 2559 05:01

 

เป็นเวลา 17 ปีแล้วที่รถไฟฟ้าบีทีเอส (Bangkok Mass Transit System : BTS) รถไฟฟ้าสายแรก ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ภายใต้สัมปทานของ กรุงเทพมหานคร เปิดให้บริการแก่ผู้คนที่อยู่อาศัยในย่านใจกลางเมือง–ชานเมืองกรุงเทพฯ ให้ได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางโดยไม่ต้องไปเสียเวลากับการจราจรที่นับวันจะยิ่งคับคั่งมากขึ้นเรื่อยๆเพราะ จำนวนรถยนต์มีมากกว่าพื้นผิวจราจร 7–8 เท่าตัว

แม้ระยะหลังๆจะมีรถไฟใต้ดินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และแอร์พอร์ตลิงค์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เข้ามาเป็นตัวช่วยอีกทาง

แต่รถไฟฟ้าบีทีเอสก็ยังคงเป็นเส้นเลือดใหญ่ และหัวใจสำคัญของการเดินทางในเมืองหลวงที่มีผู้คนใช้บริการมากกว่าวันละ 700,000–800,000 คน และเคยมีตัวเลขการใช้สูงสุดในช่วงวิกฤติกรุงเทพฯถูกปิดมากถึงวันละ 900,000 กว่าคน

ถึงแม้ในช่วงเริ่มต้นโครงการก่อสร้าง จะมีผู้คนจำนวนมากลุกขึ้นมาคัดค้านต่อต้าน ขณะเดียวกันยังต้องใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะได้รับการยอมรับ และอนุมัติให้ก่อสร้างเส้นทางส่วนต่อขยายต่างๆได้ แต่จนถึงวันนี้ บีทีเอสได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่นั้นมีความจำเป็น และสำคัญเพียงใดต่อมหานครที่มีอัตราการเติบโตของประชากรสูง เช่นเดียวกับมหานครใหญ่ๆของโลก

อีกครั้งที่ ทีมเศรษฐกิจ ขอสัมภาษณ์ นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการรถไฟฟ้าบีทีเอส ในวันที่บริษัทซึ่งเขาลงทุนเอง 100% กำลังเดินมาถึงเป้าหมายใหม่ที่ใหญ่กว่า หลังจากที่วางแผนระดมทุนเพื่อก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ที่จะเชื่อมโยงเข้ากับระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสที่ได้รับการต่อสัญญาสัมปทานเดินรถไปอีก 15 ปี พร้อมๆกับสัญญาว่าจ้างให้บริหารกิจการเดินรถในส่วนต่อขยายที่เจ้าของสัมปทานเป็นผู้ลงทุนเองอีก 20 ปี

นับจากสิ้นปีนี้ไปอีก 3-5 ปี ตามวิสัยทัศน์ ความเก๋าและภารกิจของเขา คนกรุงเทพฯ และคนที่เข้ามาแสวงหาโอกาสทำงานในเมืองหลวง จะได้เป็นเจ้าของระบบขนส่งมวลชนที่ให้ความสะดวกสบายอย่างแท้จริง เมื่อโครงข่ายรถไฟฟ้า 10 สาย รวมถึงเส้นทางในสายที่บีทีเอสร่วมลงทุนและบริหารด้วย วิ่งมาบรรจบกัน

“นับตั้งแต่เปิดเดินรถไฟฟ้าแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก 17 ปีที่แล้ว ผมทำธุรกิจนี้มา ไม่ใช่ว่าจะรวยไม่รู้เรื่อง ไม่ถึงขนาดนั้น เห็นคนขึ้นรถไฟฟ้าแน่นทุกวันนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรวย แต่ยอมรับว่ามันมีความมั่นคงขึ้น และ 3 ปีจากนี้ บีทีเอสก็พร้อมแล้วที่จะก้าวสู่วัฏจักรการลงทุนครั้งใหม่ รองรับการเดินหน้าโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งมวลชนของรัฐบาล”

เขาย้ำเตือนว่า การลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานนั้นต้องใช้เวลา จนถึงขณะนี้บีทีเอสลงทุนไปแล้วทั้งสิ้นมากกว่า 50,000 ล้านบาท วันแรกที่เปิดบริการมีผู้โดยสารแค่ 150,000 คน เทียบกับจำนวนผู้โดยสารเป้าหมายที่จะตอบโจทย์ทางธุรกิจที่วันละ 500,000 คน ช่วง 5 ปีแรก จึงค่อนข้างล้มลุกคลุกคลาน เพราะธุรกิจนี้รายได้หลักมาจากค่าโดยสารเท่านั้น ธุรกิจโฆษณาหาได้มากเท่าไร ก็แค่เอามาช่วยสนับสนุน หลักๆคือต้องมีผู้โดยสารจึงจะอยู่ได้

นั่นเป็นเหตุให้พอถึงปี 2549 บีทีเอสก็ตัดสินใจเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ เพื่อความอยู่รอด ซึ่งถือเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจพลิกฟื้นขึ้นมาได้ เมื่อปลอดภาระดอกเบี้ย ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น จนขณะนี้เรามีผู้โดยสารเฉลี่ยวันละ 800,000 คน ช่วงพีคๆเคยขึ้นไปถึง 1 ล้านคนต่อวัน

ผมอยากฝากบอกไปถึงรัฐบาล ซึ่งกำลังเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งมวลชนทั่วประเทศว่า สิ่งนี้คือการลงทุนเพื่อเศรษฐกิจ แม้จะต้องขาดทุนด้านเงินลงทุน แต่เป็นกำไรทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลระยะยาวต่อการพัฒนาประเทศ รถไฟไปถึงไหน จะนำพาความเจริญความสะดวกสบายไปถึงที่นั่น ดังนั้นหากจะให้เอกชนเข้ามาช่วยลงทุน ก็ต้องช่วยเหลือ

“เมืองไทยนี่ผมว่าแปลก กลัวว่าเอกชนจะเอาเปรียบ กลัวเขาจะรวย กลัวเขาจะได้ แต่ในทางธุรกิจ หากไม่ได้อะไรเลย ใครเขาจะมาลงทุน ดูให้ดีว่าเขาไม่ใช่นักฉวยโอกาส ไม่ได้โบรกเกอร์หรือตัวแทน แต่ทำธุรกิจจริง มีเงินลงทุนจริงก็น่าจะเพียงพอแล้ว ที่สำคัญต้องให้เงื่อนไขการลงทุนที่
พอทำได้ ไม่เสี่ยงเกินไป ถ้าไม่ตอบโจทย์ทางการเงิน การทำธุรกิจเลย เอกชนก็ไม่อยากเอาด้วย”

ทั้งนี้ภายใน 3 ปีข้างหน้า ถือเป็นช่วงเวลาในการลงทุนอีกครั้งของบีทีเอสนับจากเริ่มให้บริการเมื่อ 17 ปีก่อน ถือเป็นวัฏจักรใหม่ ที่จะนำไปสู่การเติบโตในอนาคต เพื่อรองรับโครงการขนส่งมวลชนระบบรางของรัฐบาล วงเงินไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย–มีนบุรี) ระยะทาง 34.5 กม. วงเงิน 56,691 ล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว–สำโรง) ระยะทาง 30.4 กม.วงเงิน 54,644 ล้านบาท เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail)

ซึ่งทั้ง 2 โครงการดังกล่าว เป็นโครงการที่เปิดให้เอกชนเข้าลงทุนกับภาครัฐหรือพีพีพี ในรูปแบบ Net Cost คือเอกชนลงทุนเองทั้งหมด โดยเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านจำนวนผู้โดยสาร คาดว่าจะเปิดให้ยื่นซองภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า

นอกจากนั้น ยังมีโครงการรถไฟฟ้าของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ประกอบด้วย รถไฟฟ้ารางคู่ขนาดเบา (LRT) สายบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่า 20,000 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีเทา เส้นทางวัชรพล-พระโขนง-พระราม 9- ท่าพระ มูลค่า 24,000 ล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน ส่วนต่อขยายบางหว้า-ตลิ่งชัน (7 กม.) มูลค่าราว 10,000 ล้านบาทเศษ

รวมทั้งการให้บริการรับเดินรถ ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวใต้ เส้นทางแบริ่ง-สมุทรปราการ-สำโรง และสายสีเขียวเหนือ เส้นทางหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ซึ่งล่าสุดการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยหรือ รฟม.ได้ตกลงให้กรุงเทพมหานคร เป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารจัดการเดินรถ เพื่อให้ระบบมีความต่อเนื่องกับเส้นทางที่บีทีเอสให้บริการอยู่ และคาดว่าจะทยอยเปิดบริการได้ภายในปีนี้

ด้วยศักยภาพที่มี บีทีเอสสามารถลงทุนในทุกโครงการตามที่กล่าวมาทั้งหมด เพราะมีการเตรียมความพร้อมมาตลอดในช่วง 3–4 ปีย้อนหลัง นอกจากสภาพคล่องปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 20,000 ล้านบาท

“เรามีเครื่องมือในการระดมทุนที่หลากหลาย ถือว่ามีความพร้อม โดยเฉพาะหลังจากที่ได้จัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง (บีทีเอสโกรท) ไว้รองรับก่อนหน้านี้ ความจริงเราคาดหวังว่าโครงการต่างๆของรัฐบาล จะเดินหน้าได้เร็วกว่านี้ ถือว่ารอนานกว่าที่คิด และแม้ใน 5 ปีข้างหน้า จะเป็นปีแห่งการลงทุนครั้งใหญ่ เพื่อการเติบโตในอีกรอบของบีทีเอส แต่บริษัทก็จะยังคงนโยบายเดิมนั่นคือการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น”

โดยสำหรับการให้บริการจัดการเดินรถสายสีเขียวใต้และเขียวเหนือนั้น ได้เตรียมพร้อมสั่งซื้อขบวนรถเพิ่มเติมอีก 46 ขบวน ภายใต้วงเงินลงทุน 10,000 ล้านบาท โดยจะให้บริการเส้นทางแบริ่ง–สำโรงประมาณ 16 ขบวน เส้นทางหมอชิต–คูคตประมาณ 21 ขบวน ที่เหลือจะใช้เสริมเส้นทางที่ให้บริการในปัจจุบัน ที่มีความหนาแน่น

ส่วนโครงการลงทุนสายสีชมพูและเหลืองนั้น โดยรูปแบบเอกชนต้องลงทุนเองทั้งหมดและเป็นเส้นทางสายรองไม่ใช่สายหลัก จึงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนเพราะถือว่ามีความเสี่ยงมาก ต้องดูเงื่อนไขว่ารัฐบาลจะช่วยเหลืออย่างไรบ้าง

เอกชนนั้นก็มีความรักชาติ แต่รักชาติแล้วต้องทำธุรกิจไหวด้วย ถ้าไม่ไหวก็ทำไม่ได้ เช่นเดียวกับการให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุน หากเอกชนในประเทศยังไม่อยากทำ แล้วต่างประเทศจะอยากทำหรือ เขาก็ต้องต่อรองให้ได้มากที่สุด

“การคุ้มทุนของรถไฟฟ้าต้องดูจากผู้โดยสารเป็นหลัก ดูง่ายๆ หากรถไฟฟ้าวิ่งผ่านพื้นที่ที่มีตึกสูง โอกาสคุ้มทุนจะมีมาก ขณะนี้เส้นทางที่ทำเงินของเราจึงอยู่ที่สุขุมวิทเป็นหลัก ที่ไหนที่เริ่มมีตึกสูง ผู้คนก็จะคึกคัก เส้นสาทรก็เริ่มดีเพราะตึกมากขึ้น”

“นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้รถไฟฟ้าในฮ่องกงและสิงคโปร์ ประสบความสำเร็จดี เพราะแล่นไปทางไหนก็มีแต่ตึก ส่วนเส้นทางที่วิ่งไปมีแต่บ้าน อสังหาริมทรัพย์ทรงราบ โอกาสทางธุรกิจจะน้อยหน่อย อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าที่ไหนมีรถไฟฟ้า ความเจริญก็จะตามมา การลงทุนจึงถือเป็นกำไรทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งต้องวัดกันในระยะยาว”

ส่วนโครงการรถไฟฟ้าในส่วนของ กทม.นั้น มีความมั่นใจว่าบีทีเอสมีโอกาสสูง เนื่องจากถือเป็นเอกชนที่ได้รับสัมปทานจาก กทม.มาเป็นระยะเวลานาน

นอกจากนั้น บีทีเอสยังมีความสนใจที่จะลงทุนในโครงการรถไฟรางคู่ทั่วประเทศ ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทยหรือ ร.ฟ.ท.มีดำริจะให้เอกชนเข้ามาเสนอราคาก่อสร้างด้วย ซึ่งกำลังดูเงื่อนไข

ส่วนการลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงนั้น เป้าหมายอยู่ที่การรับบริหารจัดการเดินรถมากกว่า เนื่องจากรถไฟความเร็วสูงเป็นการลงทุนในสเกลใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ห่างไกล โอกาสคุ้มทุนยาก

ปัจจุบัน ธุรกิจในกลุ่มของบีทีเอสยังคงอยู่ใน 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ ธุรกิจระบบขนส่งมวลชน คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 42% ธุรกิจโฆษณา 35% ธุรกิจบริการ 12% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 11% รายได้รวมทั้งกลุ่มตกอยู่ที่ประมาณปีละ 10,000 ล้านบาท

โดยสำหรับธุรกิจที่ทำเงินในสัดส่วนรองลงมา คือธุรกิจโฆษณา ภายใต้บริษัท วี จี ไอโกลบอล มีเดีย จำกัด ในฐานะบริษัทลูก เริ่มต้นจากการโฆษณาบนรถไฟฟ้าบีทีเอสจนมาถึงปัจจุบัน ล่าสุดได้ลงทุนในบริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) หรือ MACO จนเป็นผู้ถือหุ้นหลัก เพื่อเสริมความแข็งแกร่งสื่อโฆษณานอกบ้านให้ครอบคลุมทุกประเภท ทุกพื้นที่ และรองรับความต้องการของตลาดโฆษณา

โดยจะเน้นให้เข้ากับยุคออนไลน์ 4 จีให้มากขึ้น ล่าสุดมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคสมัยใหม่ เช่น iBeacon เป็นเทคโนโลยีบอกพิกัด ส่งข้อมูลและตำแหน่งภายในอาคารและกลางแจ้งผ่านบลูทูธ ในสมาร์ทโฟนที่รองรับ iBeacon ประยุกต์ใช้กับป้าย
โฆษณาแบบอินเตอร์แอคทีฟ ในการส่งข้อมูลโปรโมชั่นหรือตำแหน่งของสินค้าต่างๆไปให้กับผู้ใช้งานที่เปิดมือถือถือเป็นรูปแบบการโฆษณาใหม่ๆ

ส่วนธุรกิจบริการ ซึ่งรวมตั้งแต่ธุรกิจบริหารโรงแรม ภายใต้แบรนด์อิสตินและยู, ธุรกิจอาหาร นำโดยห้องอาหารจีนเชฟแมน และล่าสุดธุรกิจบัตรแรบบิท เป็นบัตรพรีเพด เพื่อชำระค่าบริการรถไฟฟ้าบีทีเอสและชำระสินค้าในร้านค้าปลีก

โดยสำหรับบัตรแรบบิท ล่าสุดร่วมลงทุนกับ LINE Pay แพลทฟอร์มชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟนของแอพพลิเคชั่นสนทนายอดนิยม LINE โดย LINE Pay ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Rabbit LINE Pay เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นการรวมพลังกันระหว่างแพลทฟอร์มการชำระเงินออฟไลน์(แรบบิท) และออนไลน์ (LINE) เข้าด้วยกัน ในสัดส่วนการลงทุน 50 : 50 และจะทำให้กลุ่มบีทีเอสมีโอกาสเข้าไปกินส่วนแบ่งในตลาดธุรกรรมการเงินออนไลน์มากขึ้น

จากฐานลูกค้าของบัตรแรบบิท มีผู้ใช้บริการกว่า 5 ล้านในสำหรับชำระค่ารถไฟฟ้าบีทีเอสและชำระเงินค่าสินค้า ปัจจุบันมีจุดรับบัตรกว่า 4,000 จุดทั่วประเทศ และสมาชิกของ LINE ที่มีผู้ใช้บริการในไทยถึง 33 ล้านคน ขณะที่ LINE Pay มีสมาชิกจำนวน 1.5 ล้านราย

“ดีลธุรกิจนี้ ใช้เวลาเจรจาเพียงแค่ 4 เดือนก็ตกลงเซ็นสัญญา เพราะความลงตัวหลายๆด้านที่เอื้อให้กัน และพร้อมจะเปิดให้บริการเต็มตัวในพื้นที่ กทม.ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้”

ส่วนธุรกิจอาหาร ซึ่งถือเป็นธุรกิจในกลุ่มบริการ ก็ไม่ได้ทำเล่นๆ อีกต่อไป หลังห้องอาหารเชฟแมน ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยมีการลงทุนตั้งโรงงานเพื่อป้อนให้ร้านอาหารในเครือ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตที่จะขยายสาขาอีกมาก

โดยห้องอาหารเชฟแมน เป็นภัตตาคารอาหารจีน ปัจจุบันมี 3 สาขาที่โรงแรมแกรนด์อิสติน, ราชดำริ และธนาซิตี้ ส่วนห้องอาหารแมนคิทเช่น พรีเมี่ยมบุฟเฟ่ต์ บายเชฟแมน ปัจจุบันเปิดที่สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีแผนขยายสาขาตามอาคารสำนักงานอีกหลายสาขา โดยโรงงานผลิตอาหารนอกจากจะผลิตป้อนห้องอาหารในเครือแล้ว ยังจะบุกตลาดอาหารอื่นๆด้วยในอนาคตอันใกล้ เช่น ขนมไหว้พระจันทร์

ด้านธุรกิจบริหารโรงแรม ปัจจุบันมี 2 แบรนด์คือ อิสตินและยู ที่เข้าไปบริหารแล้วกว่า 5,000 ห้อง จะเพิ่มอีก 3,000 ห้องในเร็วๆ นี้ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศคืออินโดนีเซีย, เวียดนาม, อินเดียและจีน

ขณะที่ธุรกิจอสังริมทรัพย์ ซึ่งเน้นลงทุนโครงการตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้านั้น หลังเปิดตัวไป 3 โครงการเมื่อปีที่ผ่านมา ทั้งที่ ราชเทวี จตุจักร และสุขุมวิท 71 รวม 1,300 ยูนิตนั้น ทุกโครงการจองหมดภายในวันแรก ส่วนปีนี้มีแผนเปิดอีก 6 โครงการมูลค่ารวม 23,000ล้านบาท

“บีทีเอสถือว่ามีความได้เปรียบในเรื่องทำเลแนวรถไฟฟ้าอยู่แล้ว จุดขายของเราคือโครงการต้องอยู่ไม่เกิน 500 เมตรจากแนวรถไฟฟ้า ปัจจุบันเรายังมีที่เหลืออยู่ 14-15 แปลง ซึ่งรอการพัฒนาร่วมกับพันธมิตร เพราะเราต้องหาความเชี่ยวชาญกับธุรกิจที่เราไม่มีความเชี่ยวชาญ ถือว่าช่วยกัน แต่การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ก็ต้องดูว่าภาวะเศรษฐกิจจะเอื้ออำนวยหรือไม่ด้วย”

ทีมเศรษฐกิจ