ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/596893
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 28 มี.ค. 2559 05:01

ต้นปี 2559 ที่ผ่านมา เราต่างตั้งความหวังถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หลัง “ทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลระดมสรรพกำลังออกมาตรการเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 4 ปีที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง
มีการตั้งความหวังกันเอาไว้สูงยิ่ง เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ 4% หรือกรณีเลวร้ายไม่ควรต่ำกว่า 3%
แต่ยังไม่ทันพ้นไตรมาสแรกของปี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็นำร่องปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ลง จากที่ประเมินไว้ช่วงต้นปีที่ 3.5% โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยคงจะขยายตัวได้เพียง 3.1% เท่านั้น เช่นเดียวกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ที่เตรียมจะปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในเดือน เม.ย.นี้เช่นกัน
ฟากฝั่งรัฐบาลเองจึงเตรียมงัด “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ” ก๊อก 2 ก๊อก 3 ออกมาอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนปั่นป่วนอีกครั้ง หลังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มกระท่อนกระแท่น ขณะที่เศรษฐกิจจีนยังต้องต่อสู้กับการชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
ความหวังในการ “สตาร์ต อัพ” เดินเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังคงสดใสดีอยู่ หรือจ่อเผชิญ “มรสุม” อีกระลอก “ทีมเศรษฐกิจ” หาคำตอบนี้จาก “นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” รมว.คลัง ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมทั้งระยะสั้น ปานกลางและระยะยาว ที่กระทรวงการคลังและรัฐบาลเตรียมผลักดันออกมาเพื่อพยุงและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้ให้เดินไปข้างหน้า
ยันเศรษฐกิจไม่แย่…แต่ “หมดกำลังใจ”
“หากมองผลสำเร็จจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะแรกที่ออกมาต่อเนื่องในช่วงปลายปีที่ผ่านมา (ตามตาราง) เท่าที่เห็นขณะนี้ก็ได้ผลเต็ม 100% แทบทุกมาตรการ แต่หากจะถามว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นไปอย่างใจผมไหม ต้องยอมรับว่ายังไม่ได้อย่างใจ เพราะใจเราไปแล้วไปเต็มที่”รมว.คลังอภิศักดิ์ เล่าสถานการณ์เศรษฐกิจให้ “ทีมเศรษฐกิจ” ฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
นอกจากนั้น ภาพรวมของเศรษฐกิจปีนี้ ยังมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระทบเช่น ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศที่แย่กว่าที่คาด การลงทุนของภาครัฐและเอกชนยังล่าช้ากว่าที่คาดไว้ ซึ่งส่วนนี้ต้องเร่งรัดการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐให้เร็วขึ้น รวมทั้งยังผลกระทบจากภัยแล้งที่เข้ามาซ้ำเติมรุนแรงกว่าที่คาดไว้
“เศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ แม้จะฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจได้บ้าง แต่การแก้ไขสถานการณ์เศรษฐกิจทำได้เพียงประคับประคองเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดต่ำลงไปกว่าเดิม ญี่ปุ่นเองก็ใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) อย่างต่อเนื่องและยังใช้เงินมหาศาลเพื่อผลักดันเศรษฐกิจของตัวเองรอดพ้นจากภาวะเงินฝืด แต่ก็ทำได้เพียงแค่ดีขึ้นในระดับหนึ่งเท่านั้น”
ขณะที่ประเทศจีนได้ประกาศชัดเจนแล้วว่า จะลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจเหลือเพียง 6.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และเน้นใช้นโยบายสร้างความสมดุลให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ เพราะรู้ว่า การพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนนั้น หากไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำและผลักดันให้คนระดับฐานรากขึ้นมาเป็นคนชั้นกลางได้แล้ว โอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคงก็เป็นไปไม่ได้
“ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน เราต้องพยายามสร้างคนชั้นกลางให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนนี้เกี่ยวพันไปถึงการเพิ่มระดับการศึกษาของประเทศ การสร้างโอกาสให้คนที่ยังเข้าไม่ถึงโอกาส ขณะเดียวกันก็ต้องผลักดันการเพิ่มศักยภาพโดยรวมของเศรษฐกิจไทย โดยเร่งรัดให้มีการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนเพิ่มขึ้นจากในขณะนี้”
รมว.คลังยืนยันว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยไม่ได้ย่ำแย่ และไม่ได้อยู่ในสถานะ “ไม่มีกำลังซื้อ”
เห็นได้ชัดจากมาตรการ “ช็อปช่วยชาติ” ที่สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการในวงเงิน 15,000 บาท มาลดหย่อนภาษีได้เมื่อปลายปีที่แล้วต่อเนื่องถึงปีใหม่สามารถเพิ่มยอดขายยอดค้าปลีกได้ถึง 20-30% ต่อเดือนภายในระยะเวลาไม่กี่วัน
อย่างไรก็ตาม รมว.คลังยอมรับว่า ในบางภาค เช่น ภาคเกษตร ซึ่งมีปัญหารายได้ลดลงจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ นั้น ส่วนนั้นไม่มีกำลังซื้อจริง ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมมาตรการที่จะเข้าไปช่วยเหลือไว้แล้ว แต่สำหรับคนชั้นกลาง และผู้มีรายได้สูงนั้น คนกลุ่มนี้ไม่ใช่จะไม่มีกำลังซื้อแต่อยู่สภาวะ “หมดกำลังใจ” มากกว่า จึงต้องมีมาตรการเสริมกำลังใจ
“คนที่ไม่มีเงิน เราก็ต้องใส่เงินเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มรายได้และทำให้เกิดการใช้จ่ายเงิน ส่วนคนมีเงินอยู่แล้ว ก็ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยให้เพิ่มมากขึ้น”
ยังมีโอกาสโตเต็มศักยภาพ 5%
“2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เข้ามาพบผมเพื่อเก็บข้อมูลประจำปี และระบุว่าประเทศไทยเวลานี้อยู่ในโอกาสที่ดีมาก เพราะประเทศอื่นๆ ในโลกส่วนใหญ่ไม่มีกระสุน ขาดนโยบายการคลังที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจเหลืออยู่แล้วและต้องใช้นโยบายอัดฉีดเงินเข้าไป ขณะที่ไทยยังมีโอกาสใช้นโยบายการคลังขับเคลื่อนได้อีกมาก เพราะปัจจุบันหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังอยู่ในระดับต่ำมากที่ 44% ของจีดีพีเท่านั้น”
อย่างไรก็ตาม การใช้นโยบายของรัฐบาลนั้น ก่อนใช้เราต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะเมื่อเราใช้กระสุนไปแล้ว ก็ต้องการให้เอกชนลงทุนตามไปด้วยเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟมองว่า ประเทศไทยสามารถที่จะกลับไปโตเต็มศักยภาพของเศรษฐกิจไทยได้ในอัตรา 4-5% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า หากสามารถปฏิรูปเศรษฐกิจตามที่รัฐบาลวางไว้ใน 4 ด้าน คือ 1.การประคับประคองให้เศรษฐกิจไทยโตได้อย่างยั่งยืน 2. การสร้างกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีสูง รวมทั้งสร้างเศรษฐกิจฐานดิจิตอล 3.การเร่งรัดเพิ่มศักยภาพของประเทศผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและ 4.การลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน
“การกลับมาโต 5% นั้นไอเอ็มเอฟเป็นคนมอง แต่ผมก็เห็นด้วยว่า…เป็นไปได้”
ทั้งนี้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามกระตุ้นการลงทุนผ่านโครงการขนาดใหญ่ๆ ที่เป็น
พื้นฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยในอนาคต โดยปีที่ผ่านมาภาครัฐมีการลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 29% ซึ่งถือว่าสูง แต่การลงทุนในฝั่งเอกชนเพิ่มขึ้นแค่ 2% ทำให้ภาพรวมการลงทุนทั้งประเทศโตขึ้นเพียง 4% ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเมื่อปีที่แล้วขยายตัวได้ 2.8%
ขณะเดียวกัน รมว.คลัง ยืนยันว่าหากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐเดินหน้าได้ตามกำหนดเมื่อไร เศรษฐกิจไทยจะขับเคลื่อนไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ยอมรับว่าในขณะนี้การเบิกจ่ายยังล่าช้า โดยในปีงบประมาณ 59 การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของกระทรวงคมนาคมที่มีการลงนามในสัญญาโครงการไปแล้วประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท แต่สามารถเบิกจ่ายเงินในปีนี้ไปได้เพียง 60,000 ล้านบาท เพราะเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นโครงการ และปีหน้าน่าจะเบิกจ่ายได้อีก 100,000 ล้านบาท
ดังนั้น ในช่วงที่การลงทุนของภาครัฐยังไม่สามารถเดินหน้าได้เต็มที่ จึงทำให้เอกชนไม่ลงทุนเพิ่มเช่นกัน
“ระหว่างรอ “การลงทุนใหม่ และการลงทุนขนาดใหญ่” ซึ่งเป็นมาตรการระยะยาวเข้ามาขับเคลื่อน รัฐบาลยังคงพร้อมที่จะออก “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและระยะปานกลาง” ออกมาเป็นระลอกๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อพยุงเศรษฐกิจไทยเอาไว้ไม่ให้ชะลอตัว”
เปิดก๊อก 2 กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น
สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะต่อไปนั้น รมว.คลังระบุว่า กระทรวงการคลังวางแผนไว้ 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ 1.ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในสังคม และ 2.การเร่งผลักดันให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต (New Engine of Growth) คือ การลงทุนใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และไบโอเทคโนโลยี ซึ่งในส่วนนี้แม้ว่าการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมนวัตกรรมใหม่จะมีอัตราเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังน้อยกว่าที่เราวาดฝันเอาไว้มาก เพราะมาตรการต่างๆ ที่ออกไปต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปีถึงจะเห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน
ดังนั้นในช่วงที่เหลือปีนี้ หากมีความจำเป็นต้องลากยาวไปถึงปีหน้า เราก็พร้อมที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนฐานราก ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการบริโภคในกลุ่มคนชั้นกลางและระดับบน ให้มีการจับจ่ายใช้จ่ายมากๆ เพื่อประคับประคองภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ ไม่ทรุดหนักลงไปอีก
เริ่มจากช่วงเทศกาลสงกรานต์ กระทรวงการคลังจะออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ หรือที่เรียกว่า “กิน-เที่ยว” โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการกินข้าวในร้านอาหาร ค่าที่พักและค่าแพ็กเกจทัวร์ ในช่วง 8-9 วันระหว่างวันที่ 10-17 เม.ย.นี้ สามารถนำมาหักค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ 15,000 บาทต่อคน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ
นอกจากนี้ เรากำลังศึกษาความเป็นไปที่จะแจกเงินให้แก่ข้าราชการชั้นผู้น้อย และประชาชนยากจน แต่จะมีรูปแบบและวิธีที่รัดกุม “ในหลักการแล้ว รัฐบาลอยู่ในวิสัย และมีเงินเพียงพอที่จะออกมาตรการใดๆ เพิ่มเติมเพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งล่าสุด เรามีเงินเพิ่มขึ้นมาจากการที่กรมบัญชีกลางได้นำการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) มาใช้ในปีงบประมาณ 2559 มูลค่ารวมกว่า 300,000 ล้านบาท สามารถประหยัดเงินงบประมาณได้มากกว่า 30,000 ล้านบาทนั้น ซึ่งเงินส่วนนี้ก็น่าจะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้”
จ่อซับน้ำตาช่วยผลกระทบภัยแล้ง
รมว.คลังระบุด้วยว่า นอกเหนือจาก 2 มาตรการในก๊อก 2 ข้างต้น ยังมีมาตรการอื่นๆ ที่รัฐบาลได้เตรียมไว้สำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชนอีก โดยเน้นช่วยทุกกลุ่มตามความเหมาะสมและความจำเป็น อย่างเช่นในเวลานี้ ปัญหาเร่งด่วนคือ “ภัยแล้ง” ที่คาดว่าจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น และกลายมาเป็นปัจจัยลบของเศรษฐกิจไทยในอนาคต หากรัฐบาลไม่เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่อยู่ในภาคการเกษตรได้ทันท่วงที
“แม้ว่าผลผลิตจากภาคการเกษตรจะคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% ของมูลค่าจีดีพี และเศรษฐกิจในภาพรวมปัญหาภัยแล้ง จะมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศเพียง 0.15% ก็ตาม แต่หากพิจารณาจำนวนประชากรทั้งประเทศ 65-66 ล้านคน อยู่ในภาคการเกษตรถึง 40% หรือ 26-27 ล้านคน หากเกิดปัญหาที่รุนแรงกับคนกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศ ปัญหาของสังคมก็จะเกิดขึ้นตามมาอีกมากมาย”
ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงมีความพร้อม 100% ที่จะดูแลเกษตรกรให้รอดพ้นจากปัญหาภัยแล้งในปีนี้ ด้วยความหวังที่ว่า หากเราเติมเงินเข้าสู่ระบบไปแล้ว และโชคดีมีฝนตกลงตามฤดูกาล เมื่อผ่านพ้นปัญหาภัยแล้งแล้ว ผลผลิตและราคาสินค้าเกษตรจะดีขึ้น จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรไม่ลำบาก ไม่ตกต่ำไปกว่านี้อีกก็ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตต่อไปได้
รมว.คลังยังชี้ให้เห็นความสำคัญของภาคการเกษตรด้วยว่า “ลำพังการลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว คงไม่เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็ง หากเรามองข้ามคนที่อยู่ในภาคการเกษตร”
ทั้งนี้ นายอภิศักดิ์ยังยืนยันด้วยว่า คลังไม่เป็นห่วงการเพิ่มขึ้นของ “หนี้ครัวเรือน” จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาล เพราะเรามีความมั่นใจว่าสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ เพราะหากพิจารณาในรายละเอียดแล้วจะพบว่า สัดส่วนของหนี้ครัวเรือนกว่า 27% เป็นหนี้ที่เกิดจากการซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นที่คนต้องมีบ้าน และคนที่เป็นหนี้บ้านนั้น ยังดีกว่าการจ่ายค่าเช่าบ้านทุกเดือนไปเรื่อยๆ ขณะที่หนี้จากโครงการรถยนต์คันแรกที่มีสัดส่วนถึง 15.1% เข้าใจว่าปีนี้ส่วนใหญ่จะครบ 5 ปีที่น่าจะผ่อนส่งหมดแล้วทำให้หนี้ส่วนนี้ลดลง
นอกจากนี้ ยังพบว่า “หนี้ครัวเรือน” 17.5% ไม่ได้เกิดจากหนี้สินเพื่อการใช้จ่าย แต่เป็นหนี้เพื่อทำธุรกิจ ที่เจ้าของกู้ส่วนตัว ซึ่งส่วนนี้ หากเป็นการทำการค้าจริงเราไม่น่าห่วง เพราะเป็นเรื่องของการทำมาหากิน ที่ยังมีรายได้กลับคืนมา ซึ่งส่วนนี้ เราไม่ได้แยกหนี้การค้าออกมาจากหนี้ครัวเรือน เพราะคนไทยส่วนใหญ่ประกอบกิจการส่วนตัวกันเยอะมาก และไม่นิยมจดทะเบียนประกอบธุรกิจการค้าให้ถูกต้อง
ท้ายที่สุด เมื่อถามว่า กระทรวงการคลังเป็นห่วงอะไรในขณะนี้ นายอภิศักดิ์ทิ้งท้ายว่า “ไม่ห่วงอะไรแล้ว เป็น รมว.คลังจะบอกว่าเป็นห่วงไม่ได้ บอกได้แต่ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวให้ได้”
“ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลทำงานอย่างหนัก เพื่อทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น รัฐบาลก็พยายามออกไปขายไอเดียให้กับนักลงทุนต่างชาติ เหมือนเซลส์แมนวิ่งขายสินค้าที่หน้าประตูบ้านเพื่อชี้ให้เห็นว่า หากไม่มาลงทุนในประเทศไทยในช่วงเวลานี้แล้วจะสูญเสียโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย และเรารู้ว่าหากนักลงทุนตัดสินใจเลือกประเทศไทยแล้ว
ก็จะไม่ไปลงทุนที่ประเทศอื่นเป็นแห่งที่สองอย่างแน่นอน”.
ทีมเศรษฐกิจ



















