“อภิศักดิ์” คลี่ภารกิจคลัง ระดมมาตรการอุ้มเศรษฐกิจไทยพ้นปากเหว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/596893

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 28 มี.ค. 2559 05:01

 

ต้นปี 2559 ที่ผ่านมา เราต่างตั้งความหวังถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หลัง “ทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลระดมสรรพกำลังออกมาตรการเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 4 ปีที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง

มีการตั้งความหวังกันเอาไว้สูงยิ่ง เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ 4% หรือกรณีเลวร้ายไม่ควรต่ำกว่า 3%

แต่ยังไม่ทันพ้นไตรมาสแรกของปี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็นำร่องปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ลง จากที่ประเมินไว้ช่วงต้นปีที่ 3.5% โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยคงจะขยายตัวได้เพียง 3.1% เท่านั้น เช่นเดียวกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ที่เตรียมจะปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในเดือน เม.ย.นี้เช่นกัน

ฟากฝั่งรัฐบาลเองจึงเตรียมงัด “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ” ก๊อก 2 ก๊อก 3 ออกมาอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนปั่นป่วนอีกครั้ง หลังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มกระท่อนกระแท่น ขณะที่เศรษฐกิจจีนยังต้องต่อสู้กับการชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง

ความหวังในการ “สตาร์ต อัพ” เดินเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังคงสดใสดีอยู่ หรือจ่อเผชิญ “มรสุม” อีกระลอก “ทีมเศรษฐกิจ” หาคำตอบนี้จาก “นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” รมว.คลัง ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมทั้งระยะสั้น ปานกลางและระยะยาว ที่กระทรวงการคลังและรัฐบาลเตรียมผลักดันออกมาเพื่อพยุงและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้ให้เดินไปข้างหน้า

ยันเศรษฐกิจไม่แย่…แต่ “หมดกำลังใจ”

“หากมองผลสำเร็จจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะแรกที่ออกมาต่อเนื่องในช่วงปลายปีที่ผ่านมา (ตามตาราง) เท่าที่เห็นขณะนี้ก็ได้ผลเต็ม 100% แทบทุกมาตรการ แต่หากจะถามว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นไปอย่างใจผมไหม ต้องยอมรับว่ายังไม่ได้อย่างใจ เพราะใจเราไปแล้วไปเต็มที่”รมว.คลังอภิศักดิ์ เล่าสถานการณ์เศรษฐกิจให้ “ทีมเศรษฐกิจ” ฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

นอกจากนั้น ภาพรวมของเศรษฐกิจปีนี้ ยังมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระทบเช่น ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศที่แย่กว่าที่คาด การลงทุนของภาครัฐและเอกชนยังล่าช้ากว่าที่คาดไว้ ซึ่งส่วนนี้ต้องเร่งรัดการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐให้เร็วขึ้น รวมทั้งยังผลกระทบจากภัยแล้งที่เข้ามาซ้ำเติมรุนแรงกว่าที่คาดไว้

“เศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ แม้จะฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจได้บ้าง แต่การแก้ไขสถานการณ์เศรษฐกิจทำได้เพียงประคับประคองเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดต่ำลงไปกว่าเดิม ญี่ปุ่นเองก็ใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) อย่างต่อเนื่องและยังใช้เงินมหาศาลเพื่อผลักดันเศรษฐกิจของตัวเองรอดพ้นจากภาวะเงินฝืด แต่ก็ทำได้เพียงแค่ดีขึ้นในระดับหนึ่งเท่านั้น”

ขณะที่ประเทศจีนได้ประกาศชัดเจนแล้วว่า จะลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจเหลือเพียง 6.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และเน้นใช้นโยบายสร้างความสมดุลให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ เพราะรู้ว่า การพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนนั้น หากไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำและผลักดันให้คนระดับฐานรากขึ้นมาเป็นคนชั้นกลางได้แล้ว โอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคงก็เป็นไปไม่ได้

“ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน เราต้องพยายามสร้างคนชั้นกลางให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนนี้เกี่ยวพันไปถึงการเพิ่มระดับการศึกษาของประเทศ การสร้างโอกาสให้คนที่ยังเข้าไม่ถึงโอกาส ขณะเดียวกันก็ต้องผลักดันการเพิ่มศักยภาพโดยรวมของเศรษฐกิจไทย โดยเร่งรัดให้มีการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนเพิ่มขึ้นจากในขณะนี้”

รมว.คลังยืนยันว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยไม่ได้ย่ำแย่ และไม่ได้อยู่ในสถานะ “ไม่มีกำลังซื้อ”

เห็นได้ชัดจากมาตรการ “ช็อปช่วยชาติ” ที่สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการในวงเงิน 15,000 บาท มาลดหย่อนภาษีได้เมื่อปลายปีที่แล้วต่อเนื่องถึงปีใหม่สามารถเพิ่มยอดขายยอดค้าปลีกได้ถึง 20-30% ต่อเดือนภายในระยะเวลาไม่กี่วัน

อย่างไรก็ตาม รมว.คลังยอมรับว่า ในบางภาค เช่น ภาคเกษตร ซึ่งมีปัญหารายได้ลดลงจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ นั้น ส่วนนั้นไม่มีกำลังซื้อจริง ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมมาตรการที่จะเข้าไปช่วยเหลือไว้แล้ว แต่สำหรับคนชั้นกลาง และผู้มีรายได้สูงนั้น คนกลุ่มนี้ไม่ใช่จะไม่มีกำลังซื้อแต่อยู่สภาวะ “หมดกำลังใจ” มากกว่า จึงต้องมีมาตรการเสริมกำลังใจ

“คนที่ไม่มีเงิน เราก็ต้องใส่เงินเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มรายได้และทำให้เกิดการใช้จ่ายเงิน ส่วนคนมีเงินอยู่แล้ว ก็ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยให้เพิ่มมากขึ้น”

ยังมีโอกาสโตเต็มศักยภาพ 5%

“2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เข้ามาพบผมเพื่อเก็บข้อมูลประจำปี และระบุว่าประเทศไทยเวลานี้อยู่ในโอกาสที่ดีมาก เพราะประเทศอื่นๆ ในโลกส่วนใหญ่ไม่มีกระสุน ขาดนโยบายการคลังที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจเหลืออยู่แล้วและต้องใช้นโยบายอัดฉีดเงินเข้าไป ขณะที่ไทยยังมีโอกาสใช้นโยบายการคลังขับเคลื่อนได้อีกมาก เพราะปัจจุบันหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังอยู่ในระดับต่ำมากที่ 44% ของจีดีพีเท่านั้น”

อย่างไรก็ตาม การใช้นโยบายของรัฐบาลนั้น ก่อนใช้เราต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะเมื่อเราใช้กระสุนไปแล้ว ก็ต้องการให้เอกชนลงทุนตามไปด้วยเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟมองว่า ประเทศไทยสามารถที่จะกลับไปโตเต็มศักยภาพของเศรษฐกิจไทยได้ในอัตรา 4-5% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า หากสามารถปฏิรูปเศรษฐกิจตามที่รัฐบาลวางไว้ใน 4 ด้าน คือ 1.การประคับประคองให้เศรษฐกิจไทยโตได้อย่างยั่งยืน 2. การสร้างกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีสูง รวมทั้งสร้างเศรษฐกิจฐานดิจิตอล 3.การเร่งรัดเพิ่มศักยภาพของประเทศผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและ 4.การลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน

“การกลับมาโต 5% นั้นไอเอ็มเอฟเป็นคนมอง แต่ผมก็เห็นด้วยว่า…เป็นไปได้”

ทั้งนี้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามกระตุ้นการลงทุนผ่านโครงการขนาดใหญ่ๆ ที่เป็น
พื้นฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยในอนาคต โดยปีที่ผ่านมาภาครัฐมีการลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 29% ซึ่งถือว่าสูง แต่การลงทุนในฝั่งเอกชนเพิ่มขึ้นแค่ 2% ทำให้ภาพรวมการลงทุนทั้งประเทศโตขึ้นเพียง 4% ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเมื่อปีที่แล้วขยายตัวได้ 2.8%

ขณะเดียวกัน รมว.คลัง ยืนยันว่าหากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐเดินหน้าได้ตามกำหนดเมื่อไร เศรษฐกิจไทยจะขับเคลื่อนไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ยอมรับว่าในขณะนี้การเบิกจ่ายยังล่าช้า โดยในปีงบประมาณ 59 การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของกระทรวงคมนาคมที่มีการลงนามในสัญญาโครงการไปแล้วประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท แต่สามารถเบิกจ่ายเงินในปีนี้ไปได้เพียง 60,000 ล้านบาท เพราะเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นโครงการ และปีหน้าน่าจะเบิกจ่ายได้อีก 100,000 ล้านบาท

ดังนั้น ในช่วงที่การลงทุนของภาครัฐยังไม่สามารถเดินหน้าได้เต็มที่ จึงทำให้เอกชนไม่ลงทุนเพิ่มเช่นกัน

“ระหว่างรอ “การลงทุนใหม่ และการลงทุนขนาดใหญ่” ซึ่งเป็นมาตรการระยะยาวเข้ามาขับเคลื่อน รัฐบาลยังคงพร้อมที่จะออก “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและระยะปานกลาง” ออกมาเป็นระลอกๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อพยุงเศรษฐกิจไทยเอาไว้ไม่ให้ชะลอตัว”

เปิดก๊อก 2 กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น

สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะต่อไปนั้น รมว.คลังระบุว่า กระทรวงการคลังวางแผนไว้ 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ 1.ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในสังคม และ 2.การเร่งผลักดันให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต (New Engine of Growth) คือ การลงทุนใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และไบโอเทคโนโลยี ซึ่งในส่วนนี้แม้ว่าการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมนวัตกรรมใหม่จะมีอัตราเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังน้อยกว่าที่เราวาดฝันเอาไว้มาก เพราะมาตรการต่างๆ ที่ออกไปต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปีถึงจะเห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน

ดังนั้นในช่วงที่เหลือปีนี้ หากมีความจำเป็นต้องลากยาวไปถึงปีหน้า เราก็พร้อมที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนฐานราก ในขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการบริโภคในกลุ่มคนชั้นกลางและระดับบน ให้มีการจับจ่ายใช้จ่ายมากๆ เพื่อประคับประคองภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ ไม่ทรุดหนักลงไปอีก

เริ่มจากช่วงเทศกาลสงกรานต์ กระทรวงการคลังจะออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ หรือที่เรียกว่า “กิน-เที่ยว” โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการกินข้าวในร้านอาหาร ค่าที่พักและค่าแพ็กเกจทัวร์ ในช่วง 8-9 วันระหว่างวันที่ 10-17 เม.ย.นี้ สามารถนำมาหักค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ 15,000 บาทต่อคน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ

นอกจากนี้ เรากำลังศึกษาความเป็นไปที่จะแจกเงินให้แก่ข้าราชการชั้นผู้น้อย และประชาชนยากจน แต่จะมีรูปแบบและวิธีที่รัดกุม “ในหลักการแล้ว รัฐบาลอยู่ในวิสัย และมีเงินเพียงพอที่จะออกมาตรการใดๆ เพิ่มเติมเพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งล่าสุด เรามีเงินเพิ่มขึ้นมาจากการที่กรมบัญชีกลางได้นำการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) มาใช้ในปีงบประมาณ 2559 มูลค่ารวมกว่า 300,000 ล้านบาท สามารถประหยัดเงินงบประมาณได้มากกว่า 30,000 ล้านบาทนั้น ซึ่งเงินส่วนนี้ก็น่าจะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้”

จ่อซับน้ำตาช่วยผลกระทบภัยแล้ง

รมว.คลังระบุด้วยว่า นอกเหนือจาก 2 มาตรการในก๊อก 2 ข้างต้น ยังมีมาตรการอื่นๆ ที่รัฐบาลได้เตรียมไว้สำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชนอีก โดยเน้นช่วยทุกกลุ่มตามความเหมาะสมและความจำเป็น อย่างเช่นในเวลานี้ ปัญหาเร่งด่วนคือ “ภัยแล้ง” ที่คาดว่าจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น และกลายมาเป็นปัจจัยลบของเศรษฐกิจไทยในอนาคต หากรัฐบาลไม่เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่อยู่ในภาคการเกษตรได้ทันท่วงที

“แม้ว่าผลผลิตจากภาคการเกษตรจะคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% ของมูลค่าจีดีพี และเศรษฐกิจในภาพรวมปัญหาภัยแล้ง จะมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศเพียง 0.15% ก็ตาม แต่หากพิจารณาจำนวนประชากรทั้งประเทศ 65-66 ล้านคน อยู่ในภาคการเกษตรถึง 40% หรือ 26-27 ล้านคน หากเกิดปัญหาที่รุนแรงกับคนกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศ ปัญหาของสังคมก็จะเกิดขึ้นตามมาอีกมากมาย”

ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงมีความพร้อม 100% ที่จะดูแลเกษตรกรให้รอดพ้นจากปัญหาภัยแล้งในปีนี้ ด้วยความหวังที่ว่า หากเราเติมเงินเข้าสู่ระบบไปแล้ว และโชคดีมีฝนตกลงตามฤดูกาล เมื่อผ่านพ้นปัญหาภัยแล้งแล้ว ผลผลิตและราคาสินค้าเกษตรจะดีขึ้น จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรไม่ลำบาก ไม่ตกต่ำไปกว่านี้อีกก็ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตต่อไปได้

รมว.คลังยังชี้ให้เห็นความสำคัญของภาคการเกษตรด้วยว่า “ลำพังการลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว คงไม่เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็ง หากเรามองข้ามคนที่อยู่ในภาคการเกษตร”

ทั้งนี้ นายอภิศักดิ์ยังยืนยันด้วยว่า คลังไม่เป็นห่วงการเพิ่มขึ้นของ “หนี้ครัวเรือน” จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาล เพราะเรามีความมั่นใจว่าสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ เพราะหากพิจารณาในรายละเอียดแล้วจะพบว่า สัดส่วนของหนี้ครัวเรือนกว่า 27% เป็นหนี้ที่เกิดจากการซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นที่คนต้องมีบ้าน และคนที่เป็นหนี้บ้านนั้น ยังดีกว่าการจ่ายค่าเช่าบ้านทุกเดือนไปเรื่อยๆ ขณะที่หนี้จากโครงการรถยนต์คันแรกที่มีสัดส่วนถึง 15.1% เข้าใจว่าปีนี้ส่วนใหญ่จะครบ 5 ปีที่น่าจะผ่อนส่งหมดแล้วทำให้หนี้ส่วนนี้ลดลง

นอกจากนี้ ยังพบว่า “หนี้ครัวเรือน” 17.5% ไม่ได้เกิดจากหนี้สินเพื่อการใช้จ่าย แต่เป็นหนี้เพื่อทำธุรกิจ ที่เจ้าของกู้ส่วนตัว ซึ่งส่วนนี้ หากเป็นการทำการค้าจริงเราไม่น่าห่วง เพราะเป็นเรื่องของการทำมาหากิน ที่ยังมีรายได้กลับคืนมา ซึ่งส่วนนี้ เราไม่ได้แยกหนี้การค้าออกมาจากหนี้ครัวเรือน เพราะคนไทยส่วนใหญ่ประกอบกิจการส่วนตัวกันเยอะมาก และไม่นิยมจดทะเบียนประกอบธุรกิจการค้าให้ถูกต้อง

ท้ายที่สุด เมื่อถามว่า กระทรวงการคลังเป็นห่วงอะไรในขณะนี้ นายอภิศักดิ์ทิ้งท้ายว่า “ไม่ห่วงอะไรแล้ว เป็น รมว.คลังจะบอกว่าเป็นห่วงไม่ได้ บอกได้แต่ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวให้ได้”

“ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลทำงานอย่างหนัก เพื่อทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น รัฐบาลก็พยายามออกไปขายไอเดียให้กับนักลงทุนต่างชาติ เหมือนเซลส์แมนวิ่งขายสินค้าที่หน้าประตูบ้านเพื่อชี้ให้เห็นว่า หากไม่มาลงทุนในประเทศไทยในช่วงเวลานี้แล้วจะสูญเสียโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย และเรารู้ว่าหากนักลงทุนตัดสินใจเลือกประเทศไทยแล้ว
ก็จะไม่ไปลงทุนที่ประเทศอื่นเป็นแห่งที่สองอย่างแน่นอน”.

ทีมเศรษฐกิจ

อวสานโลกสวย…4จี วัดใจ”แจส โมบาย”บนทางสองแพร่งโทรคมนาคม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/590109

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 มี.ค. 2559 05:01

 

เป็นเพราะ “ผิดฝา–ผิดตัว” มาตั้งแต่แรก เส้นทางสู่การรับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม 4 จีบนคลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) ของ 2 ผู้ชนะการประมูลอย่าง บริษัททรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมูนิเคชั่น จำกัด และ บริษัทแจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด จึงเต็มไปด้วย “ขวากหนาม” และ “คำสบประมาท” เป็นรายวัน!

รายแรกนั้น แม้ “คร่ำหวอด” อยู่ในวงการมานาน มีฐานลูกค้าไม่น้อย แต่ตลอดเวลากว่า 26 ปีในการประกอบธุรกิจ กลับยังไม่สามารถทำกำไรได้ และมีภาระหนี้ต่อเนื่องสูงที่สุดเกิน 100,000 ล้านบาท ส่วนรายที่สองถือว่า “ใหม่ถอดด้าม” หวังใช้ใบอนุญาต 4 จีเป็น “ใบเบิกทาง” เข้าสู่ธุรกิจนี้

แต่ข้อจำกัดเหล่านี้ คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของผู้ชนะการประมูลทั้ง 2 รายสักเท่าไร หากราคาประมูล 4 จีไม่พุ่งไปถึง 76,298 ล้านบาท สำหรับใบอนุญาตของทรู และ 75,654 ล้านบาทสำหรับใบอนุญาตของแจส โมบาย

สำหรับทรูนั้น การชนะการประมูลในคลื่น 900 MHz เพิ่มเติมในราคาระดับนี้ หลังมีภาระจากการต้องชำระค่าประมูล 4 จีคลื่น 1800 ก่อนหน้าด้วยราคา 39,792 ล้านบาทนั้น อาจถือเป็นวิบากกรรมด้านการเงินครั้งใหญ่

แต่สำหรับ “แจส โมบาย” มันคือนรกชัดๆ เมื่อพิจารณาถึงต้นทุนที่แจส “ต้องจ่าย” ในการเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ซึ่งราคาประมูลนั้นเป็นแค่ต้นทุนน้ำจิ้มเบื้องต้น ไม่รวมเงินในการลงทุนสร้างโครงข่าย ขยายงานด้านบริการแข่งขันในตลาดที่ผู้ประกอบการรายเดิมทั้ง “โหด ดุ และทั้งเขี้ยวลากดิน” ทั้งสิ้น

ขณะที่ผู้แพ้ประมูลขาใหญ่อย่าง บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส และบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ต่างพร้อมใจออกมาตอกย้ำ “ยอมรับความพ่ายแพ้ เพราะราคาที่สูงลิ่วไม่ตอบโจทย์ทางธุรกิจ” จึงต้องถอดใจนั้น ยิ่งทำให้ผู้ชนะประมูลส่อเผชิญแรงกดดัน

….. แม้วันนี้ “ศุภชัย เจียรวนนท์” ซีอีโอใหญ่แห่ง “ทรู คอร์ปอเรชั่น” จะสามารถผ่าทางตันในการระดมทุนจนสามารถเดินเข้าไปชำระเงินค่าประมูลงวดแรก 8,602 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) และวางแบงก์การันตีตามมูลค่าเงินประมูลที่เหลือ 73,036 ล้านบาทไปได้เรียบร้อย

……แต่สำหรับ “พิชญ์ โพธารามิก” แห่ง “แจส โมบาย” เรายังไม่ได้ยินข่าวคราวความเคลื่อนไหวใดๆจากเขา นอกจากความเคลื่อนไหวทางการเงินตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาทั้งทางลับและทางแจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลายคนยังแอบลุ้นอยู่ว่า ถึงอย่างไรเขาก็ต้อง “สู้ยิบตา”เข้ามาจ่ายเงินเพื่อรับใบอนุญาตในที่สุด เพราะประมูลสู้ราคามาถึงขั้นนี้คงไม่ได้มาเล่นๆ หาไม่เช่นนั้น ชื่อเสียงที่ไม่ค่อยจะมีคงจะป่นปี้ลงไปอีก

แต่หลายคนก็ดูเหมือนจะเชื่อไปแล้วว่า “แจส โมบาย” น่าจะถอดใจทิ้งใบอนุญาตไปแล้ว

วินาทีนี้ถนนทุกสายจึงต่างจับจ้องไปที่น้องใหม่ “แจส โมบาย” กับโค้งสุดท้ายที่ต้องเข้ามาจ่ายเงินค่าธรรมเนียมประมูลก้อนแรกในวันที่21 มีนาคมศกนี้ว่า จะมีเหตุพลิกผัน หรือ “ปาฏิหาริย์” ใดหรือไม่?

“ทีมเศรษฐกิจ” จึงถือโอกาสที่ถนนทุกสายยังเฝ้าลุ้นระทึกอยู่นี้ถอดรหัส 4 จีบนคลื่น 900 MHz ที่กำลังระอุแดดอยู่ในเวลานี้ ดังนี้ :

จาก “แจส ผู้ฆ่ายักษ์” สู่ความอึมครึม

หลังการประมูล 4 จีบนคลื่นความถี่ 900 MHz สิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.58 นายพิชญ์ โพธารามิก ผู้บริหาร “แจส โมบาย” ได้เลือกเอาวันที่ 21 ธ.ค.เปิดแถลงข่าวถึงความสำเร็จในการประมูล 4 จีที่ปาดหน้าเอาชนะยักษ์สื่อสารอย่าง “เอไอเอส–ดีแทค” ในเวลานั้น

โดยระบุว่า การเข้ามารุกตลาดผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ จะส่งผลให้ “แจส โมบาย” มีรายได้เพิ่มในธุรกิจใหม่ โดยตั้งเป้าว่า ภายในปี 2559 นี้จะมีจำนวนลูกค้าจากธุรกิจนี้ 2 ล้านเลขหมาย และเพิ่มเป็น 5 ล้านเลขหมายภายใน 3 ปี พร้อมยืนยัน “แจส โมบาย” จะช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดผู้ให้บริการมือถือให้ได้ร้อยละ 10 ภายใน 3 ปี จากเงินสะพัดในตลาดนี้ของทั้งสามค่ายเดิมที่มีอยู่กว่า 300,000 ล้านบาท

แต่คล้อยหลังการแถลงข่าวของผู้บริหารแจส โมบายไปไม่ทันข้ามวัน กระแสข่าวในอีกฟากฝั่งก็ถาโถมเข้าสู่ธุรกิจนี้ โดยเฉพาะในประเด็นมูลค่าของใบอนุญาต 4 จีที่ 2 บริษัทสื่อสาร “ทรูมูฟ เอช” และ “แจส โมบาย” ชนะประมูลมาว่าแพงเกินกว่าพื้นฐานที่จะนำไปให้บริการหรือไม่?

ยิ่งเมื่อค่ายทรูมูฟถึงกับต้องวิ่งโร่หาแหล่งเงินและสถาบันการเงินที่จะเข้ามาให้การสนับสนุนโครงการ โดยถึงขั้นต้องมีการ “จัดทัพ” โครงสร้างทางการเงินและการลดทุน-เพิ่มทุนขนาดใหญ่ถึง 60,000 ล้าน ก็ยิ่งทำให้สถานะของน้องใหม่ “แจส โมบาย”ถูกจับตาอย่างไม่กระพริบเข้าไปอีก

จนถึงกับมีกระแสข่าวแพร่สะพัด สถาบันการเงินพากันถอยกรูด ขยาดที่จะปล่อยกู้ให้ เพราะเริ่มไม่แน่ใจในอนาคตของธุรกิจจะไปได้หรือไม่ หลัง “แจส โมบาย” ถูก 3 ค่ายยักษ์มือถือเดินเกมต้อนรับน้องใหม่ชนิด “ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต” ที่ทั้งลดแลกแจกแถมอัดสงครามโปรโมชั่นกันจนละลานตา

จนถึงขนาดที่นักวิเคราะห์ฟันธง แม้จะแจกเครื่องฟรีวันนี้ ก็คงยากที่น้องใหม่จะเบียดมือถือ 3 ค่ายเดิมขึ้นมาผงาดได้ โอกาสที่จะระดมเม็ดเงินมาจ่ายค่าประมูลจึงแทบไม่หลงเหลืออยู่ กระแสสะพัดอื้ออึ้งวันนี้ จึงมีแต่ข่าว “แจสโมบาย” ถูกบีบให้ต้องทิ้งใบอนุญาตเป็นรายวัน!

วัดใจ “แจส” ทิ้ง–ไม่ทิ้ง

ท่ามกลางกระแสดังกล่าว “แจส โมบาย” กำลังวิ่งวุ่นกับการหาสถาบันการเงินมาปล่อยสินเชื่อและออกแบงก์การันตี ที่กำหนดต้องนำเงินสดงวดแรกกว่า 8,000 ล้านบาท พร้อมแบงก์การันตีอีกกว่า 70,000 ล้านบาทไปจ่ายให้ กสทช.ในวันที่ 21 มี.ค.นี้

โดยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งแต่เดิมเคยถูกคาดหมายว่าจะเป็นผู้ปล่อยกู้หลักให้ “แจส โมบาย” ออกมาระบุว่า ได้ให้แจสกลับไปทำแผนธุรกิจใหม่มายื่นเรื่องขอกู้ โดยเฉพาะเรื่องการปรับโครงสร้างทุน นอกจากนั้น ธนาคารกรุงเทพเพียงรายเดียวก็ไม่สามารถปล่อยกู้หรือออกแบงก์การันตีให้แจสได้ เพราะวงเงินกู้รวมสูงกว่าเกณฑ์การปล่อยกู้รายใหญ่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือมากกว่า 25% ของเงินกองทุน ซึ่งต้องมีสถาบันการเงินอื่นมาร่วมปล่อยกู้ “ซินดิเคทโลน” ด้วย ขณะที่ยังไม่มีธนาคารติดต่อให้ร่วมปล่อยกู้เช่นกัน

ทางรอดทางเดียวของ “แจส โมบาย” คือรีบเพิ่มทุน โดยหาพันธมิตรนำเงินมาซื้อหุ้นเพิ่มทุน โดยเร็วที่สุด หรืออีกทางคือยอมถอดใจ “ยกธงขาว”เสียค่าปรับ 644 ล้านบาท ทิ้งใบอนุญาต 4 จี

ท่ามกลางความอึมครึม “แจส โมบาย” ยังคงช็อกวงการ!! โดยออกข่าวแจ้งตลาดหลักทรัพย์ ว่า บอร์ดบริษัทมีมติให้ทำโครงการซื้อหุ้นคืน ในวงเงิน 6,000 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นคืนราว 20% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นราคาประมาณ 5 บาท!! สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้กับคนในวงการตลาดหุ้นและวงการโทรคมนาคมให้มึนหัวตึ้บกันอีกครั้ง ว่า “แจส โมบาย”จะมาไม้ไหนกันแน่??

ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่บริษัทต้องเร่งหาเงินมาจ่ายค่าใบอนุญาต ต้องมีเงินเพื่อมาลงทุนทำเครือข่าย ขณะที่การขอสินเชื่อและพันธมิตรต่างชาติก็ยังไม่มีความชัดเจน แต่บริษัทกลับทำสวนทาง โดยปล่อยเงินให้เงินไหลออกจากบริษัท ทั้งการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นก่อนหน้านี้กว่า 2,000 ล้านบาท และล่าสุดยังจะควักเอาเงินก้อนสุดท้ายที่มีอยู่มาซื้อหุ้นในตลาดคืน โดยแทบไม่มีคำชี้แจงหรืิคำอธิบายใดๆ จากผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง “พิชญ์ โพธารามิก”

ส่งผลให้ห้บรรดานักวิเคราะห์สำนักต่างๆคาดเดาถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นของ “แจส โมบาย” ในหลายๆมุมมอง ทั้งการถอดใจทิ้งใบอนุญาต 4 จีและมีโอกาสที่ “แจส โมบาย”จะกลับมาผงาดได้อีกครั้ง

บล.ธนชาต มองว่า การกระทำของ “แจส โมบาย” ว่าสวนทางกับสิ่งที่ต้องทำ คือหาเงินมาจ่ายค่าใบอนุญาต แต่บริษัทกลับทำในสิ่งที่นำเงินออกไปจากบริษัททั้งการซื้อหุ้นคืน และการจ่ายเงินปันผลพิเศษ ซึ่งทำให้เงินออกไปจากบริษัทรวม 8,000 ล้านบาท เท่ากับเงินก้อนแรกที่จะต้องวางให้ กสทช.

ตลาดจึงคาดว่า “แจส โมบาย” ยอมถูกยึดเงินประกัน 644 ล้านบาทและจะไม่ร่วมวงในการประมูลใบอนุญาตอีกแล้ว หรือยอมทิ้งใบอนุญาติที่ชนะมา เพราะการตัดสินใจซื้อหุ้นคืนนั้น จะทำให้แจสไม่สามารถระดมเงินใหม่เข้าบริษัทได้อย่างน้อย 1 ปี ซึ่งไม่ทันแน่นอนกับระยะเวลาที่จะครบกำหนด 21 มี.ค.นี้

จะเห็นว่ามติการซื้อหุ้นคืนของ “แจส โมบาย” ส่งผลให้ราคาหุ้นของผู้เล่นอีก 3 รายในตลาดเพิ่มขึ้นทันที เพราะตลาดตีความว่าจะไม่มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาดอีกแล้ว

ขณะที่ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า หลังซื้อหุ้นคืน มีข้อกำหนดมิให้จําหน่ายหุ้นออกมาภายใน 6 เดือน ทําให้เงินสดลดลง แต่หลังครบกำหนดแล้ว “แจส โมบาย” มีสิทธิดำเนินการดังนี้ 1.ขายคืนภายใน 3 ปี 2.ลดทุนชําระแล้ว โดยกรณีลดทุนจํานวนหุ้นจะลดลง แม้ช่วยให้กําไรต่อหุ้นและมูลค่าพื้นฐานสูงขึ้น แลกกับฐานะการเงินบริษัทที่อ่อนแอลงถาวร ทั้งเงินสดและส่วนของผู้ถือหุ้นที่ลดลงเท่ากับมูลค่าที่ซื้อหุ้นคืน

ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่ “แจส โมบาย” จะไม่จ่ายค่าใบอนุญาต 900 MHz จึงสูงขึ้น ภายใต้แนวโน้มฐานะการเงินที่แย่ลง ซึ่งจะสร้างข้อจํากัดให้ไม่สามารถจ่ายค่าใบอนุญาต 4 จี ที่ประมูลมาแพงมากขึ้น

และหาก “แจส โมบาย” ทิ้งใบอนุญาต ผลประกอบการจะดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดว่าจะขาดทุนจำนวนมากในปีนี้ เพราะไม่มีผลกระทบจากการรุกสู่ธุรกิจมือถือและกลับมาพึ่งพาธุรกิจอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีกำไรปีละ 3,000-4,000 ล้านบาทเช่นเดิม แต่กรณีนี้ยังไม่รวมผลกระทบจากการเรียกร้องค่าเสียหายจาก กสทช.

ด้าน บล.ทรีนีตี้ มองการที่แจสประกาศซื้อหุ้นคืนในสัดส่วนการซื้อหุ้นคืนสูงถึง 20% เป็นไปได้ว่าบริษัทมีแผนในการเพิ่มทุน เพื่อขายให้นักลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) ในภายหลัง เนื่องจากการเพิ่มทุน PP ภายหลัง เพราะไม่ต้องการให้บั่นทอนอำนาจในการควบคุม (Control Dilution) ของ “พิชญ์” ให้ต่ำเกิน 20%

ทรีนีตี้ ยังเชื่อว่าธนาคารกรุงเทพพร้อมให้การสนับสนุน “แจส โมบาย” ในการให้สินเชื่อ 4 จี เพราะในอนาคต Fintech จะเข้ามามีบทบาทและเปลี่ยนอุตสาหกรรมทั้งโทรคมนาคม (Telcom) และธุรกิจสถาบันการเงิน (Banking) และ Any ID จะเป็นจุดเปลี่ยนที่จะรวม Banking กับ Telcom ไว้ด้วยกัน

ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง เชื่อมั่นว่า “แจส โมบาย” จะหาเงินมาจ่ายงวดแรกได้ทัน 21 มี.ค.นี้ โดยการประกาศซื้อหุ้นคืนครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการเพิ่มทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และการขายหุ้นให้นักลงทุนรายใหม่แบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นก่อนการซื้อหุ้นคืน โดยใช้สมมติฐานว่า “แจส โมบาย” มีแนวโน้มใช้ธนาคารต่างชาติเพื่อออกแบงก์การันตีให้ โดยใช้ความสัมพันธ์ที่มีกับพันธมิตรรายใหม่ที่เข้ามา

กสทช.เรียกความมั่นใจ

ด้วยเหตุนี้ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จึงนั่งไม่ติด นายฐากร ตัณฑ-สิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ได้ออกมาเรียกความเชื่อมั่นให้กับวงการโทรคมนาคมและต้องเตรียมมาตรการรองรับ ในกรณีที่ “แจส โมบาย” ถอดใจไม่มาชำระเงินขึ้นมาจริงๆ

“ขณะนี้ “แจส โมบาย” ยังมีสิทธิเป็นผู้ชนะประมูล 4 จี ไปจนถึงวันที่ 21 มี.ค.59 จากนั้นถือว่าหมดสิทธิทันที ซึ่ง กสทช.ต้องทำหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์ของรัฐและผลประโยชน์ของประชาชน ด้วยการยึดหลักประกันการประมูล 644 ล้านบาท และเรียกร้องค่าเสียหายตามกฎหมาย ซึ่งเป็นเงินการจัดการประมูลครั้งที่ผ่านมา 170-180 ล้านบาท”

นอกจากนี้ อาจตรวจสอบคุณสมบัติของการเป็นผู้ประกอบกิจการที่รับใบอนุญาตจาก กสทช.ทั้งกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม รวมถึงลักษณะการถือหุ้นไขว้ หรือการตรวจสอบอื่นๆตามอำนาจหน้าที่ของ กสทช.ที่กฎหมายกำหนดไว้ ตามการตัดสินใจของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ด้วย

“การยึดเงินประกันเป็นเพียงส่วนหนึ่ง และต้องมีการฟ้องเรียกร้องค่าเสียโอกาสของประเทศชาติ และของประชาชนด้วย และต้องกำหนดกรอบให้ชัดเจนเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกในอนาคต คือประมูล 4 คืน 5 วัน แต่ไม่มาชำระเงิน”

ทั้งนี้ กสทช.ต้องเตรียมการเปิดประมูล 4 จี คลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ จำนวน 10 เมกะเฮิรตซ์ ภายใน 4 เดือน หรืออย่างช้าต้องเปิดประมูลในเดือน ก.ค.59 โดยราคาประมูลจะต้องเริ่มต้นที่ราคา 75,654 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่ชนะประมูลครั้งที่แล้ว และต้องเปิดโอกาสให้ผู้ที่ชนะประมูลคราวที่แล้วคือบริษัท ทรูมูฟ เอช มีสิทธิเข้าร่วมประมูลด้วย

แต่หากเปิดประมูลแล้วไม่มีผู้สนใจ กสทช.จะไม่นำคลื่นดังกล่าวมาเปิดประมูลใหม่ทันที แต่จะเก็บไว้ไม่น้อยกว่า 1ปี หรือนำไปประมูลพร้อมคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ที่สัญญาสัมปทานระหว่างบริษัท กสท โทรคมนาคมจำกัด (มหาชน) กับบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค จะสิ้นสุดลง ในปี 2561

เลขาธิการ กสทช. ยังระบุด้วยว่า ทันทีที่รู้ผลว่า “แจส โมบาย” ไม่มาชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตจริงๆ จะเรียกประชุมคณะทำงาน และจะขอให้บอร์ด กสทช.ประชุมด่วน เพื่อรับรองแนวทางการเตรียมการฟ้องร้องและเปิดประมูลใหม่ทันที อีกทั้งต้องทำหนังสือแจ้งให้คณะกรรมการเตรียมความพร้อมด้านดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบถึงกรณีดังกล่าวด้วยตามขั้นตอนของกฎหมาย

*********

สำหรับประชาชนคนไทย ถนนทุกสายคงเฝ้าจับตามองความเคลื่อนไหวของน้องใหม่ “แจส โมบาย”ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนโทรคมนาคมที่สำคัญตาไม่กระพริบ เพราะท้ายที่สุดหาก “แจส โมบาย” ถอดใจ ทิ้งใบอนุญาต 4 จี

ไม่เพียงจะสะท้อนให้เห็นบทอวสานมือถือ 4 จีที่ไม่ได้เป็น Blue Ocean อีกแล้ว ประเทศจะสูญเสียรายได้และโอกาสจากการได้เม็ดเงินค่าธรรมเนียมประมูลกว่า 75,000 ล้านบาท คนไทยยังสูญเสียโอกาสที่จะได้ใช้บริการมือถือระบบ 4 จีบนคลื่น 900เมกะเฮิรตซ์ (MHz) ไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งยังทำให้ตลาดสื่อสารโทรคมนาคมมือถือ สูญเสียโอกาสที่ควรจะมีผู้เล่นใหม่ที่เข้ามาเพิ่มการแข่งขันอีกด้วย.

ทีมเศรษฐกิจ

เปิดผลงานรัฐมนตรีที่ไม่ควรจะถูกลืม วางโครงสร้างปฏิรูปประเทศไทยใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/586778

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 7 มี.ค. 2559 05:01

 

“นิด้าโพล” ทุบเปรี้ยงเข้าไปในใจกลางอกของ “ทีมเศรษฐกิจ” รัฐบาล ที่มี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าทีม เมื่อผลการสำรวจในหัวข้อ “1 ปี 6 เดือน ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี”

ปรากฏชื่อรัฐมนตรีเศรษฐกิจหลายท่านที่ประชาชนไม่ประทับใจในการทำงานและประชาชนไม่รู้จัก ทั้งๆที่บุคคลเหล่านี้ทุ่มเททำงานอย่างหนัก หลังจากเข้ามารับตำแหน่งเมื่อปลายเดือน ส.ค.2558 จนถึงปัจจุบันทำงานไปได้ 6 เดือน

อาจเป็นเพราะมีจุดอ่อนเรื่องการประชาสัมพันธ์ และงานที่ทำไปมุ่งเน้นในเรื่องการปรับโครงสร้างและปฏิรูปประเทศ อีกทั้งรัฐมนตรีเหล่านี้ไม่ใช่คนหวือหวา ไม่ต่อปากต่อคำเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง จนเป็นเหตุทำให้ไม่ดังและประชาชนไม่รู้จัก

ในฐานะหัวหน้าทีม “ดร.สมคิด” ถึงกับเอ่ยเห็นใจรัฐมนตรีของตัวเองว่าทำงานหนัก ทำงานดี ไม่มีคอร์รัปชัน แต่กลับถูกลืม

เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐมนตรีกลุ่มนี้ และให้ประชาชนได้รู้จักพวกเขามากขึ้น “ทีมเศรษฐกิจ” ในฐานะเกาะติดการทำงานของรัฐบาล จึงขอฉายภาพให้เห็นผลการทำงานของ 4 รัฐมนตรีในทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ ว่าพวกเขาเหล่านี้ได้สร้างผลงานใดให้กับเศรษฐกิจของประเทศชาตินี้บ้าง

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม

ตำแหน่ง รมว.คมนาคม เหมือนเป็นเก้าอี้อาถรรพณ์ ใครมานั่งก็มีเรื่องวุ่นๆชวนปวดหัวตลอด ไม่เว้นแม้แต่ “อาคม” ขึ้นชื่อว่าเป็นมือดีมือสะอาด ข้ามห้วยมาจากตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มาเป็น รมช.คมนาคม ก่อนขึ้นเป็น รมว.คมนาคม ก็ยังโดนมรสุมเล่นงานแล้วหลายลูก

กระทรวงคมนาคมจัดเป็นกระทรวงเกรดเอที่นักการเมืองหมายปองเยอะสุด คุมงบประมาณหลายแสนล้าน ภารกิจใหญ่ก็มี 2 ด้าน เรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่นายอาคมต้องแบบภาระ “เมกะโปรเจกต์” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งดัชนีชี้วัดผลงานของทั้งรัฐบาลเดินหน้าให้ได้ตามแผน โดยเขาได้เข็นโครงการมอเตอร์เวย์ 3 เส้นทาง เข้าสู่การอนุมัติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้สำเร็จ เส้นทางพัทยา-มาบตาพุด, บางใหญ่-กาญจนบุรี และบางปะอิน-นครราชสีมา ที่จะเริ่มก่อสร้างได้ในปีนี้

ส่วนรถไฟฟ้าได้เริ่มสร้างสายสีเขียวหมอชิต-คูคต รวมถึงสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี วงเงิน 110,000 ล้านบาท ก็ได้รับไฟเขียวจาก ครม.เช่นกัน เช่นเดียวกับรถไฟทางคู่ทาง 1 เมตร ก็เริ่มทำไปแล้ว 2 ช่วง

จะมีปัญหาก็ตรงโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ที่คนสนใจกันเยอะแต่ดันเจอโรคเลื่อนแล้วเลื่อนอีก เพื่อให้ได้เงื่อนไขที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากที่สุด ซึ่งดีกว่ารีบตกลงแล้วต้องเสียค่าโง่พลาดท่าเหมือนประเทศลาว ที่จีนโฉบเอาพื้นที่สองข้างทางรถไฟไปใช้ประโยชน์ ไล่ที่คนลาว แถมไม่ยอมจ้างงานคนลาว

ส่วนงานอีกหน้าหนึ่งคือด้านบริการ ต้องบอกว่าตั้งแต่นายอาคมมานั่งก็เจอพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกตลอด ตั้งแต่เรื่องมาตรฐานการบินองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอซีเอโอ) ติดธงแดงกรมการบินพลเรือนของประเทศไทย จากการปฏิบัติที่ต่ำกว่ามาตรฐานมาเนิ่นนาน

จนต้องรื้อโครงสร้างการทำงานของกรมการบินพลเรือนใหม่ทั้งหมด แยกผู้กำกับกับการปฏิบัติออกจากกัน จนเกิดหน่วยงานใหม่ คือ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กับกรมท่าอากาศยาน

งานยักษ์อีกชิ้น คือ การผลักดันการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2และเฟส 3 ที่ค้างคามานาน จนล่าสุดถึงขั้นเตรียมเปิดประมูลได้แล้ว ส่วนสนามบินดอนเมืองที่ถูกร้างราการใช้ประโยชน์ทั้งๆมีศักยภาพอยู่ เขาได้เร่งเปิดอาคารผู้โดยสารอาคาร 2 ทำให้รองรับผู้โดยสารได้มากกว่าปีละ 30 ล้านคน

นอกจากนั้น ยังมีแผนขยายสนามบินดอนเมืองเฟส 3 ปรับปรุงอาคารคลังสินค้า รวมถึงการพัฒนาเชิงพาณิชย์ในพื้นที่และทำอาคารเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าสายสีแดง ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างด้วย

ดร.อุตตม สาวนายน รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

กระทรวงไอซีที ภายใต้การกำกับการทำงานของ “ดร.อุตตม” ผลโพลบอกว่า เป็นรัฐมนตรีที่ประชาชนไม่รู้จัก อาจเป็นเพราะการทำงานเน้นงานวางโครงสร้าง ที่ประชาชนอาจจะยังไม่เห็นผลงานในวันนี้

รวมถึงบทบาทของกระทรวงไอซีที เป็นเสมือนคนกลางในการเชื่อมโยงข้อมูลของส่วนงานราชการที่มีอยู่แล้วมาบูรณาการกัน ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ

นับตั้งแต่วันรับตำแหน่งจนถึงวันนี้ ดร.อุตตม และข้าราชการกระทรวงไอซีที ทำงาน
ทุกวันแบบไม่มีวันหยุด ภารกิจช่วงแรกได้ทุ่มเทวันเวลาให้กับการร่างแผนพัฒนาดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 1 โดยไม่จุดพลุประชาสัมพันธ์แต่อย่างใด

อันเนื่องจากเป็นแผนระยะยาวอย่างยั่งยืน เป็นการวางรากฐานด้านโครงสร้างไอซีทีของประเทศ เพื่อมุ่งสู่การปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมของไทยไปสู่ “Digital Thailand” ขณะนี้แผนดังกล่าว ได้ผ่านความเห็นชอบ ครม.แล้วและกำลังระดมสมองถอดรหัสแผนเพื่อนำไปสู่ภาคปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

ประชาชนสามารถสัมผัสและจับต้องได้ ภายใน 3–4 เดือนข้างหน้านี้

สิ่งที่จะเห็นผลงานเป็นรูปเป็นร่างในระยะใกล้นี้ คือ การวางกรอบการสร้างโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมให้เข้าถึงทุกพื้นที่ของประเทศ เพื่อสร้างความเท่าเทียมกันของสังคม ซึ่ง ครม.ได้อนุมัติงบประมาณให้แล้ว 20,000 ล้านบาท

แบ่งวงเงิน 15,000 ล้านบาท เป็นการขยายโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงให้เข้าถึงทุกหมู่บ้านที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตเข้าถึง 30,000 หมู่บ้านจากทั้งหมด 74,890 หมู่บ้าน และทุกหมู่บ้านจะต้องมีจุดบริการอินเตอร์เน็ตไร้สาย (ไวไฟฟรี)

นโยบายนี้จะลงมือปฏิบัติจริงในปลายเดือน มี.ค.นี้ และการขยายช่องทางเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตระหว่างประเทศอีก 5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการใช้อินเตอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งก็ได้เริ่มเจรจากับต่างประเทศแล้ว จะเห็นผลในปี 2560

ส่วนการทำหน้าที่เสมือนคนกลาง เพื่อให้ส่วนงานราชการเชื่อมโยงข้อมูลกัน ขณะนี้ก็เริ่มแล้วทั้งในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ที่กำลังพัฒนาแอพพลิเคชั่น การเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองผ่านโทรศัพท์มือถือ การเรียนผ่านระบบออนไลน์ (E-Learning) เพื่อทำให้ทุกคนได้เรียนรู้ตลอดชีพ

กับกระทรวงสาธารณสุขได้พยายามทำให้ทุกโรงพยาบาลมีข้อมูลที่ครบถ้วนและเชื่อมโยงกันเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้และใช้ประโยชน์ได้ ขณะนี้ได้นำร่องในการบูรณาการข้อมูลทั้งหมดของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ในจังหวัดนครนายก และจะขยายผลไปในอีก 4 จังหวัด ร้อยเอ็ด เพชรบูรณ์ ภูเก็ต และกาญจนบุรี

ส่วนกระทรวงพาณิชย์ ก็ต้องเร่งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) หันมาใช้ไอซีทีในการทำมาค้าขายให้มากขึ้น เพราะนอกจากช่วยประหยัดต้นทุนแล้ว ยังช่วยขยายโอกาสในการหาตลาดได้ ภายใต้ยุคปัจจุบันที่การค้าขายออนไลน์ก็ยังมาแรง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์และไอซีทีกำลังเจรจากับอาลีบาบา และอีกหลายเว็บไซต์ดัง เพื่อให้มีสินค้าไทยวางจำหน่ายด้วย

อภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์

กระทรวงพาณิชย์นั้น แม้ผลโพลจะบอกว่า ทั้งนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.พาณิชย์ มีผลงานไม่น่าประทับใจ แต่ในความเป็นจริง ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ทุกคนทำงานแทบไม่มีวันหยุด แม้กระทั่งวันเสาร์–อาทิตย์ ยังนัดประชุมหารือ

เพื่อเร่งการทำงานให้ทันกับการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนทุกระดับชั้น ไล่ตั้งแต่เกษตรกร ประชาชนผู้บริโภค ไปจนถึงผู้ประกอบการ นักธุรกิจ ผู้ส่งออก จึงอาจทำให้ไม่เห็นหน้า รมว. หรือ รมช.พาณิชย์เดินตลาด เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ราคาสินค้าเหมือนที่ผ่านๆมา

เพราะได้มอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตรวจสอบสถานการณ์แทน

โดยนางอภิรดีนั้น ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ภารกิจส่วนใหญ่เป็นการเดินสายโรดโชว์ต่างประเทศ ร่วมคณะกับ ดร.สมคิดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ และหาลู่ทางการส่งออกสินค้าและบริการไทย รวมถึงการขยายการลงทุนของไทย และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ในหลายประเทศ ทั้งญี่ปุ่น รัสเซีย อิหร่าน ศรีลังกา เป็นต้น

การเดินทางไปในแต่ละครั้งเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาประเทศได้เป็นอย่างดี และยังช่วยขยายลู่ทางการค้า การลงทุนของไทยได้

นอกจากนี้ ยังได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจในหลายเวที ทั้งของอาเซียน และอาเซียนกับคู่เจรจา การโรดโชว์อาเซียนในสหรัฐฯ รวมถึงมีส่วนสำคัญในการผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าของไทยกับประเทศต่างๆ

ส่วนภายในประเทศ ได้กำหนดนโยบายให้เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ หารือร่วมกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ทำแผนเตรียมการรองรับผลผลิตสินค้าเกษตรต่างๆที่จะออกสู่ตลาดในปีนี้ ทั้งทุเรียน มังคุด ลำไย เงาะ มันสำปะหลัง ฯลฯ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำ และกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร

อีกทั้งยังเป็นผู้ผลักดันให้กระทรวงพาณิชย์ประสบความสำเร็จในการแก้ไข พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 ที่มีความพยายามแก้ไขมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และสร้างความเป็นธรรมให้กับภาคธุรกิจทั้งรายเล็ก และรายใหญ่อย่างเท่าเทียมกัน

สำหรับเรื่องการดูแลค่าครองชีพนั้น ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน ขอความร่วมมือกับผู้ผลิตสินค้าให้ปรับลดราคาขายลงให้สอดคล้องกับต้นทุนการขนส่งที่ลดลง เพราะราคาน้ำมันตลาดโลกลดลง จนถึงขณะนี้ได้ปรับลดลงแล้ว 2 ครั้ง คิดเป็นสินค้ากว่าร้อยรายการ

นอกจากนี้ สามารถบริหารจัดการข้าวในสต๊อกรัฐบาลได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศ สามารถระบายข้าวออกจากสต๊อกแล้วกว่า 5 ล้านตัน ลดภาระค่าจัดเก็บเป็นเงินจำนวนมาก รวมถึงยังทำงานตามที่ ดร.สมคิดมอบหมาย เช่น นั่งเป็นประธานคณะทำงานด้านการส่งออกและการลงทุนในต่างประเทศซึ่งเป็น 1 ใน 12 คณะทำงานภายใต้ประชารัฐ

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.พาณิชย์

ส่วน ดร.สุวิทย์ ถือได้ว่าเป็นมือขวาของ ดร.สมคิด เพราะเป็นผู้ร่วมคิด ร่วมกำหนดนโยบายการทำงานต่างๆ ของรัฐบาลชุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการสร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่ (Start up) ทั้งที่ใช้นวัตกรรมในการทำธุรกิจ และไม่ใช้นวัตกรรม

การส่งเสริมและผลักดันให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) และแฟรนไชส์เกิดความเข้มแข็งและสามารถสยายปีกไปทำธุรกิจในต่างประเทศได้ การสร้างความเข้มแข็งในชุมชนโดยการเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว การพัฒนาสินค้าโอทอป การสร้างวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) โดยส่งเสริมให้บริษัทเอกชนร่วมพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง และมีอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ เป็นต้น

นอกจากนี้ ได้กำหนดนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศใหม่ ที่เน้นการรุกตลาดอาเซียน โดยเฉพาะตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) หรือที่เรียกว่า Broadening ASEAN เพราะเศรษฐกิจยังขยายตัวดีกว่าตลาดส่งออกหลักของไทย และมองการเจาะตลาดใหม่ๆที่ไม่ใช่ตลาดเมืองหลวงเท่านั้น เขามองถึงการเจาะตลาดเมืองรอง หรือเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพด้วย

ขณะเดียวกัน เขาเสนอแนวคิดให้มอง CLMV as our home market หรือให้มอง CLMV เป็นตลาดเดียวกับไทย เพื่อให้เกิดการส่งออก การลงทุนในทั้ง 4 ประเทศให้มากขึ้น รวมถึงต้องเจาะตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก แอฟริกา เป็นต้น

ดร.สุวิทย์ ยังเป็นผู้กำหนดนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์ ผลักดันการส่งออกสินค้าบริการให้มากขึ้น เพราะปัจจุบันการค้าโลกเปลี่ยนแปลงไปมาก จากการค้าสินค้าเพียงอย่างเดียว ให้หันมาค้าสินค้าบริการมากขึ้น เช่น ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจการขนส่งทั้งบก และอากาศ

พร้อมระบุให้ไทยต้องหันมาส่งออกสินค้าบริการที่ไทยมีศักยภาพมาก แต่ปัจจุบันยังมีการส่งออกน้อยโดยเน้น 6 สาขา เช่น ดิจิตอลคอนเทนต์ สุขภาพและความงาม การศึกษา การขนส่งและโลจิสติกส์ เกษตรแปรรูป เป็นต้น

นอกเหนือจากนี้ ดร.สุวิทย์ยังทำงานตามที่ ดร.สมคิดมอบหมาย ล่าสุดนั่งเป็นประธานคณะทำงานร่วมภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาในกลุ่มครีเอทีฟ, แอนิเมชั่น และภาพยนตร์ เพื่อเร่งดึงนักลงทุนจากต่างประเทศให้มาลงทุนในไทยให้ตรงตามเป้าหมาย และเป็นประธานคณะทำงานด้านการส่งออก Start up และ SME ซึ่งเป็น 1 ใน 12 คณะทำงานภายใต้ประชารัฐ

เหล่านี้คือผลงานของรัฐมนตรีที่ไม่ควรจะถูกลืม และล้วนแต่เป็นงานปรับโครงสร้างและปฏิรูปประเทศไทยใหม่.

ทีมเศรษฐกิจ

“สนิมเนื้อใน” อุตสาหกรรมการบิน เปิดใจ รมว.คมนาคมสางปมหมักหมมเพื่อชาติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/583494

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 29 ก.พ. 2559 05:01

 

ตลอดช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยได้ตกอยู่ในภวังค์ครั้งใหญ่ ถูกรุมเร้าด้วยสารพัดปัญหารุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติภายในสายการบินแห่งชาติของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “การบินไทย” ที่ขาดทุนบักโกรก

ตามมาด้วย “ปัญหาการกำกับดูแลมาตรฐานการบิน” จนถูกปัก “ธงแดง” จากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศหรือ “ไอซีเอโอ”

กระทั่งปัญหาล่าสุดกับ “สายการบินนกแอร์” ที่ยกเลิกเที่ยวบินไปนับร้อยเที่ยวบิน กลายเป็นแผลใหญ่สะท้อนให้เห็นถึง “สนิมเนื้อใน” ที่กำลังเกาะกินอุตสาหกรรมการบินในประเทศอย่างน่าวิตก!

และคงไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่อุตสาหกรรมการบินเท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการตัดสินใจมาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติด้วย

จากนานาสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้น “ทีมข่าวเศรษฐกิจ” ได้รวบรวมปัญหาในอุตสาหกรรมการบินของไทยมาฉายภาพให้เห็นกันแบบ “ช็อตต่อช็อต” พร้อมสัมภาษณ์พิเศษ “นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.คมนาคม ในฐานะหัวเรือใหญ่ที่กำกับดูแลด้านการบิน เพื่อดูว่าวันนี้รัฐบาลกำลังทำอะไร และการเดินหน้าเพื่อหลุดบ่วงโซ่ที่ขึงพรืดอยู่ จะทำได้มากน้อยแค่ไหนกัน…

การบินหมักหมม–กำกับดูแลขาดสมดุล

“ทีมเศรษฐกิจ” เริ่มบทสนทนาถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมการบินในประเทศ ที่ต้องบอกว่าพอกเป็นระเบิดเวลามาร่วม 10 ปี แต่เพิ่งระเบิดตูมตามเอาเมื่อปี 58 ที่ผ่านมา หลังถูก “องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ” หรือ ไอซีเอโอ เข้ามาตรวจสอบการทำงานของกรมการบินพลเรือน ซึ่งพบปัญหามากมายถึง 33 ข้อ

โดยเฉพาะปัญหาใหญ่เกี่ยวกับการกำกับความปลอดภัยทางการบิน ซึ่งทั่วโลกให้ความสำคัญมาก จนส่งผลให้ไทยถูกลงโทษปัก “ธงแดง” ประจานไปทั่วโลก และตามมาด้วยการถูกอีกหลายประเทศ อย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา ลงโทษจำกัดสิทธิทางการบินของสายการบินไทยจนถึงปัจจุบัน

เรื่องนี้นายอาคม กล่าวยอมรับว่า ผลพวงจากเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากหลายปัจจัยประกอบกัน เพราะตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจในการบินในไทยเติบโตเร็วมาก ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนเปิดสายการบินใหม่ๆ เพิ่มขึ้นจากไม่กี่สายการบินเพิ่มขึ้นมาถึง 40-50 สายการบิน ทำให้มีการสั่งซื้อเครื่องบินใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้น การรับบุคลากรทางการบิน นักบิน พนักงานต้อนรับก็เพิ่มเป็นเงาตามตัว เพื่อรองรับผู้โดยสารที่ใช้บริการเยอะขึ้น ซึ่งข้อมูลล่าสุดปี 2558 มีผู้โดยสารใช้บริการสนามบิน เฉพาะของบริษัทท่าอากาศยานไทย 6 แห่งเกิน 106 ล้านคนไปแล้ว

ทว่า ท่ามกลางการเติบโตแบบ “ก้าวกระโดด” ข้างต้น ก็เกิดปัญหา “ขาดความสมดุล” เพราะหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแล คือกรมการบินพลเรือนในขณะนั้นกลับไม่ได้พัฒนาปริมาณคน และเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลได้อย่างเพียงพอ เรียกว่าขาดแคลนทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เช่น พอมีการสั่งซื้อเครื่องบินใหม่ๆเข้ามาใช้ แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่มีความรู้ที่จะเข้าไปดูแลได้เลย เพราะไม่เคยได้รับการอบรมมาก่อน

ท้ายที่สุดปัญหาหมักหมมที่เกิดจึงระเบิดออกมา ทำให้ไอซีเอโอปักธงแดงไทย “ที่จริงปัญหาเรื่องนี้รัฐบาลก็รู้มาก่อนแล้วว่าขาดแคลน และยังมีปัญหาเรื่องโครงสร้างที่ฝ่ายให้บริการ และฝ่ายกำกับดูแลอยู่ภายในหน่วยงานเดียวกัน ซึ่งบางทีพอใกล้ชิดกันมากๆ ก็เกิดปัญหาการอะลุ่มอล่วยจนทำให้มองว่าขาดมาตรฐานตามมา

และขณะนี้รัฐบาลก็กำลังแก้ไขอยู่ เช่น การผ่าตัดโครงสร้างกรมการบินพลเรือนเป็น 4 หน่วยงาน หรืออนาคตอาจกำหนดเงื่อนไขให้เอกชนที่จะซื้อหรือเช่าเครื่องบินรุ่นใหม่เข้ามา ต้องมีเงื่อนไขให้ผู้ผลิตเครื่องบิน เข้ามาช่วยเหลืออบรมเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ตรวจสอบได้”

การบินไทยมาถูกทางขอเวลาพิสูจน์

ถัดมาที่ “วิกฤติการบินไทย” แม้หลายคนจะมองว่าเป็นเพียงปัญหาภายใน แต่เราจะมองข้ามไม่ได้ เพราะถือเป็นสายการบินแห่งชาติ เป็นหน้าเป็นตาของคนไทยทั้งประเทศ

ต้นตอของปัญหาของการบินไทยอย่างที่รู้ว่าเป็นเรื่องเก่าสะสมมานาน เพราะหากจำกันได้ช่วงหลาย 10 ปีที่ผ่านมาในยุคที่การบินไทยเฟื่องฟูเพราะไม่มีสายการบินอื่นมาแข่งขันการบินไทยได้กลายเป็นรัฐวิสาหกิจหัวแถวของประเทศ จนใครๆก็อยากเข้ามาทำงานจนเกิดปัญหาเด็กเส้นเด็กฝากตามมาจนคนล้นงาน แถมยังบริหารการแบบสุรุ่ยสุร่าย ปรนเปรอสิทธิประโยชน์ให้พนักงานบอร์ดแบบเต็มคราบ

จนกระทั่งเมื่อโลกเปลี่ยนไป เกิดสายการบินใหม่ๆมี “โลว์คอสต์แอร์ไลน์” เกิดขึ้น ทำให้การบินไทยมีคู่แข่ง พอปรับตัวไม่ทัน ก็ต้องเผชิญการขาดทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 2 ปีล่าสุดปี 56 ขาดทุน 12,047 ล้านบาท ปี 57 ทรุดหนักเพิ่มเป็น 15,573 ล้านบาท ขณะที่ปี 58 ก็ยังคงวิกฤติอยู่เพราะแค่ 3 ไตรมาสขาดทุนไปแล้ว 18,000 ล้านบาท แม้แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4 จะดูดีขึ้น แต่ภาพรวมทั้งปี 58 ก็ยังน่าจะขาดทุนเกินหมื่นล้านบาทอยู่ดี ส่งผลให้ต้องถูกลดเกรดจากรัฐวิสาหกิจชั้นนำ กลายเป็น 1 ใน 7 รัฐวิสาหกิจที่กำลังร่อแร่ เข้า “คอร์สฟื้นฟูกิจการ” อย่างเร่งด่วน!

เรื่องนี้นายอาคมชี้แจงว่า ตอนนี้การบินไทยกำลังเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ โดยมี 3 ระยะ ระยะแรก การหดเพื่อขยายตัว ที่เริ่มทำไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ด้วยการตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป และเมื่อสถานการณ์การเงินดีขึ้น ก็เข้าสู่ระยะสอง คือการทำแผนการขยายธุรกิจ และจากนั้นเป็นแผนการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อการแข่งขันในระยะยาว

“ในขวบปีที่ผ่านมาการบินไทยได้เร่งลดค่าใช้จ่ายไปมาก เพราะมีต้นทุนค่าบริหารจัดการค่อนข้างสูง เช่น มีพนักงานจำนวนมาก เปิดออฟฟิศอยู่ทั่วโลก จึงมีการเปิดโครงการเกษียณก่อนกำหนดเพื่อลดพนักงานไปพันกว่าคน การแชร์ใช้เลานจ์ร่วมกับสายการบินพันธมิตร รวมถึงการปิดสำนักงานไปหลายแห่ง”

นอกจากนี้ยังมีการปรับลดสิทธิประโยชน์ตั๋วโดยสารของบอร์ด และการลดวันนอนของลูกเรือในเส้นทางระยะไกลที่ต้องนอนค้างไม่ให้ค้างหลายคืน รวมถึงเรื่องการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน ซึ่งที่ผ่านมายอมรับพอราคาน้ำมันลดลงได้รับผลกระทบขาดทุนไปมาก เพราะการบินไทยทำประกันความเสี่ยงเฉพาะขาขึ้นไว้อย่างเดียว แต่ตั้งแต่ต้นปีนี้เรื่องนี้จะหมดไป

นอกจากนี้การบินไทยยังได้ปิดเส้นทางบินที่ไม่มีกำไรไปหลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น ลอสแอนเจลิส โจฮันเนสเบิร์ก มอสโก เป็นต้น รวมถึงการทำกลยุทธ์ ไทยสมายล์สายการบินลูกของการบินไทยไปวิ่งในบางเส้นทางที่ขาดทุนแทนเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งผลก็ออกมาดีหลายเส้นทางขาดทุนลดลงจากเดิม

ขณะเดียวกันการบินไทยยังได้ปรับรูปแบบช่องทางการจำหน่ายตั๋ว ให้ก้าวทันตามเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น แต่เดิมเน้นขายตั๋วผ่านเอเย่นต์ทำให้เกิดปัญหา เพราะพอการบินไทยตั้งราคาตั๋วแพงเอเย่นต์ก็เลือกขายตั๋วราคาถูกของสายการบินอื่นก่อน เพราะมีกำไรมากกว่าทำให้ตั๋วการบินไทยขายยาก

“ที่แย่กว่านั้นระบบเอเย่นต์ยังมีการ “โฮลด์ซีท” จองที่นั่งไว้ล่วงหน้าด้วย ทำให้เวลาลูกค้าจากที่อื่นมาจองไม่ได้จะเห็นเต็มหมด เสียโอกาสในการขายไป ดังนั้นขณะนี้จึงหันมารุกตลาดการจองซื้อตั๋วผ่านแอพพลิเคชั่นและออนไลน์เพื่อลดการพึ่งพาเอเย่นต์ลง และหันมาทำการตลาด ตั้งราคาให้ยืดหยุ่นได้ตามความต้องการของลูกค้า”

เมื่อห้ามเลือดไปแล้ว แผนระยะต่อไปของการบินไทยคือต้องเริ่มมองการเปิดเส้นทางบินใหม่เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันต่อไป เช่น เส้นทางเดิมอาจกลับมาบินใหม่ได้ อย่างมอสโก รัสเซีย อาจต้องพิจารณาให้ดีเพราะที่ผ่านมาพอเห็นตัวเลขขาดทุนก็ปิดทันที ต่อไปจะต้องดูความต้องการของตลาด หากมีก็ควรปรับแผนทางการตลาดเข้ามาช่วย เหมือนเส้นทางโรมที่ช่วงแรกมีแผนปิดแต่พอมีการปรับแผนการตลาดใหม่ ก็ไม่ต้องปิดและไม่ขาดทุนแล้ว นอกจากนี้ควรมองการขยายเส้นทางบินไปเส้นทางที่มีกำไรเพิ่ม เช่น ตลาดเอเชีย อาเซียน เป็นต้น

“ถ้าถามว่าแผนฟื้นฟูการบินไทยจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ผมคงต้องขอใช้เวลาในการตัดสินอีกนิดหนึ่งว่าดีหรือไม่ แต่ถึงตอนนี้ผมก็ว่ามาถูกทางแล้ว เพราะแผนการลดค่าใช้จ่ายมันเวิร์ก พอลดค่าใช้จ่ายสถานะทางการเงินดีขึ้น ต่อไปก็ควรมองการขยายตลาด เช่นตลาดเอเชียบิน 2–3 ชั่วโมงมีกำไรแน่ๆ”

วิกฤตินกแอร์…ตอกย้ำ “วิกฤติการบิน”

อีกประเด็นร้อนกับปัญหาของ “สายการบินนกแอร์” ซึ่งไม่ใช่มีปัญหาแค่ขาดแคลนนักบินจนต้องหยุดบินอย่างเดียว แต่สะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานสายการบินของไทยว่ากำลัง “เน่าเฟะ” จริงๆ!!

เพราะก่อนหน้านี้ ช่วงที่กรมการบินพลเรือน ถูก “ไอซีเอโอ” ลงโทษปักธงแดง ทุกสายการบินก็ออกมาพูดอย่างพร้อมเพรียงกันว่าเป็นปัญหาของภาครัฐ แต่มาตรฐานของสายการบินดีอยู่แล้ว ที่ไหนได้ ผ่านมาได้ไม่ทันไรแผลที่ปกปิดกันอยู่มันปะทุออกมา

นกแอร์นั้นเป็น 1 ใน 5 ของสายการบินใหญ่ของประเทศ แถมมีการบินไทยถือหุ้นใหญ่แต่กลับมีปัญหานักบินไม่เพียงพอต้องบินเกินเวลา จนในที่สุดต้องประท้วงหยุดบินกันวุ่นวาย ทำลายภาพลักษณ์ประเทศตอกย้ำและสะท้อนให้เห็นถึง “สนิมเนื้อใน” ตามมาตรฐานการบินของไทยที่ถูก “ไอซีเอโอ” ปักธงแดงอย่างชัดเจน!

อย่างไรก็ตาม รมว.คมนาคม ได้แจงถึงเรื่องนี้ว่า ได้แจ้งที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบปัญหาดังกล่าวแล้ว และได้เรียกผู้บริหารสายการบินนกแอร์มาเตือนเพื่อไม่ให้หยุดบินจนกระทบผู้โดยสารอีก และล่าสุดสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้ตรวจสอบชั่วโมงบินนักบินนกแอร์ทุกคน ซึ่งจะตรวจสอบได้เสร็จในสัปดาห์นี้

นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังถือโอกาสเรียก 14 สายการบินมาหารือ เน้นย้ำให้ทุกแห่งจัดทำแผนฉุกเฉินเมื่อเผชิญเหตุให้ชัดเจน ซึ่งต้องครอบคลุมการบริหารความเสี่ยงขององค์กร เช่น กรณีนักบินหยุดบิน ปัญหาภัยธรรมชาติ ปัญหาระบบไอทีและคอมพิวเตอร์ ส่วนปัญหานักบินขาดแคลนได้เร่งรัดให้สถาบันการบินพลเรือน(สบพ.) เร่งจัดทำแผนผลิตบุคลากรให้เพียงพอ

“แต่ปัญหานกแอร์ กระทรวงคมนาคมคงเข้าไปแทรกแซงอะไรเองไม่ได้ เพราะนกแอร์เป็นบริษัทมหาชน แม้การบินไทยจะถือหุ้นอยู่แต่ก็ไม่ได้เกินครึ่งหนึ่งที่จะมีสิทธิเข้าไปบริหาร ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงเป็นหน้าที่ของบอร์ดนกแอร์จะต้องคิดต้องปรับปรุงส่วนฐานะภาครัฐก็ต้องเข้าไปช่วยกำกับดูแลให้มากขึ้น ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน”

ปลดธงแดงไอซีเอโอ….ช้าแต่ชัวร์!

มาถึงคำถามสุดท้ายที่หลายฝ่ายคาใจมาตลอด อนาคตต่อไปอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยจะเดินไปอย่างไร โดยเฉพาะปัญหา “ธงแดงของ ไอซีเอโอ” จะปลดล็อกได้เมื่อไร

เรื่องนี้ “นายอาคม” กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลได้เร่งรัดดำเนินการอยู่แล้ว โดยมีการแยกองค์กรกำกับและการให้บริการออกจากกันแล้ว เป็นกรมท่าอากาศยานสำหรับดูแลการให้บริการสนามบินของรัฐ 28 แห่ง และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยหรือ กพท. เป็นองค์กรอิสระทำหน้าที่กำกับดูแลอุตสาหกรรมการบินทั้งระบบ

ขั้นตอนต่อไป จะมีการเพิ่มบุคลากรใส่เข้าไปให้เพียงพอในการทำหน้าที่กำกับมาตรฐานการบินให้กับประเทศ พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไข กฎระเบียบต้องชัดเจน โดยใช้กฎระเบียบเป็นตัวตั้งมากกว่าการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เช่น การให้ใบอนุญาตการประกอบการเดินอากาศ หรือเอโอแอล (AOL) แม้เป็นอำนาจรัฐมนตรีแต่ไม่สามารถอนุมัติตามอำเภอใจได้ ก็ต้องพิจารณาเหตุผลประกอบกันว่า เส้นทางบินหลัก เส้นทางบินรอง วิเคราะห์อุปทาน อุปสงค์เป็นอย่างไร หรือเรื่องตั้งสายการบิน ไม่ใช่ดูแค่ทุนจดทะเบียน ต้องดูแผนการบินประกอบด้วย ตามมาตรฐานสากล

นอกจากนี้ รัฐกำลังดำเนินการออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่ ทั้ง 28 สายการบินที่ทำการบินระหว่างประเทศ และแนวทางการแก้ไขมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยทางการบิน เบื้องต้นหวังว่าจะแล้วเสร็จและเชิญไอซีเอโอเข้ามาตรวจเพื่อขอปลดล็อกธงแดงได้ในปลายปี 59 นี้หรือต้นปี 60

“แต่เรื่องนี้เราคงจะไม่เร่งรัด หากมองแล้วไทยเรายังไม่พร้อมก็จะเลื่อนออกไปก่อน เพราะถ้าตรวจครั้งนี้ไม่ผ่าน จะถูกแบล็กลิสต์ไม่สามารถขอตรวจได้อีกถึง 5 ปีทันที จึงต้องมั่นใจว่าเราพร้อมแล้วจริงๆ ถึงจะเชิญเขาเข้ามาตรวจสอบ”

ขณะเดียวกันในแผนระยะกลางในเดือน พ.ค.59 นี้ กพท.จะต้องว่าจ้างสำนักงานความปลอดภัยการบินพลเรือนแห่งสหภาพยุโรป (เอียซ่า) เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาการบินร่วมกัน รวมถึงกรมการบินพลเรือนแห่งประเทศญี่ปุ่น (เจแคป) เข้ามาช่วยเหลือทางวิชาการ เพื่อวางแผนตรวจสอบ ส่งผู้เชี่ยวชาญดูเรื่องศูนย์ซ่อมเครื่องบิน และมาตรฐานการบินซึ่ง กพท.จะรายงานให้ไอซีเอโอรับทราบเป็นระยะ

ท้ายที่สุด รมว.คมนาคมกล่าวว่า “การแก้ปัญหาอุตสาหกรรมการบิน ขณะนี้ถือเป็นจังหวะที่รัฐบาลกำลังเข้ามาสางปัญหาเดิมที่หมักหมมมานาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปลดธงแดง การบินไทย นกแอร์ หรือเรื่องอื่น ซึ่งตอนนี้เรากำลังทำใหม่ให้ดีขึ้นให้เป็นสากลและยั่งยืน โดยหัวใจสำคัญคือการสร้างองค์กรกำกับดูแล ให้แข็งแกร่งเป็นที่ยอมรับระดับสากล แต่การไปถึงจุดนั้นได้เราจะต้องสร้างระเบียบกฎเกณฑ์ให้แข็งแกร่ง การออกใบอนุญาตการตรวจสอบต้องชัดเจน ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะระดับเล็กหรือรัฐมนตรีให้เหลือน้อยที่สุด”

“ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องร่วมกันทำงานด้วยความซื่อสัตย์ มีจรรยาบรรณ เพราะอนาคตแม้ทำโครงสร้างดี ระเบียบชัดเจนอย่างไร แต่คนยังไม่ซื่อสัตย์ปัญหาก็จะวนกลับมาอีก เรื่องนี้จึงต้องเป็นหน้าที่ที่ต้องฝากทุกคนให้ช่วยกันเพื่อช่วยนำอุตสาหกรรมการบินให้ผ่านพ้นวิกฤติให้ได้”.

ทีมเศรษฐกิจ

บัญชีเดียว…การเปลี่ยนแปลงระบบภาษีประเทศครั้งใหญ่!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/580358

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 22 ก.พ. 2559 05:01

 

จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าทุกวันนี้มีช่องว่างและความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้คนในประเทศไทยมากมายขนาดไหน

ถ้าใช้ดัชนีชี้วัดจากจำนวนประชากรที่เสียภาษี เราจะพบว่า แม้จะมีประชากรไทยในวัยทำงานอยู่ราว 30-40 ล้านคน แต่เอาเข้าจริง กลับมีคนที่เสียภาษีให้รัฐจริงๆเพียง 10 กว่าล้านคน

นั่นหมายความว่า มีคนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่อุ้มคนกว่า 60-70 ล้านคนทั่วประเทศให้อยู่ได้ภายใต้สวัสดิการต่างๆและความสะดวกสบายที่รัฐหยิบยื่นให้

ขณะที่ผู้ประกอบการบริษัทนิติบุคคลทั่วประเทศประมาณ 450,000 ราย มีอยู่เพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่เสียภาษีให้แก่รัฐครบถ้วน และบริษัทนิติบุคคลที่มีรายได้ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ยังมีอีกจำนวนมากที่เสียภาษีแก่รัฐไม่ครบถ้วนภายใต้การใช้ระบบการทำบัญชีแบบเก่าการทำบัญชีแบบปกปิดรายได้จริง-แจ้งการขาดทุน ทำบัญชี 2 หรือบัญชี 3 เพื่อหลบเลี่ยงการเสียภาษี เป็นต้น

เมื่อถึงเวลาที่รัฐบาลโดยกรมสรรพากร กระทรวงการคลังซึ่งกำกับดูแลนโยบายด้านการคลัง โดยเฉพาะการจัดเก็บรายได้ให้เพียงพอกับรายจ่ายที่รัฐต้องใช้จ่ายออกไปในด้านต่างๆเป็นจำนวนมาก เห็นควรจะต้องปฏิรูปประเทศไทยกันใหม่ในทุกด้าน และด้านการเงินการคลังก็เป็นส่วนสำคัญที่ต้องรื้อรากเหง้าเก่าๆทิ้งให้หมด เพื่อสร้างมาตรฐานการทำบัญชีเพื่อการเสียภาษีที่ชัดเจน ภายใต้มาตรฐานที่เรียกว่า “บัญชีชุดเดียว”

ระบบบัญชีชุดเดียว หรือ One Account นี้ นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ให้สัมภาษณ์กับ ทีมเศรษฐกิจ ว่า นี่เป็นงานสำคัญที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตอกย้ำว่า จะต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบภาษีครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดยความร่วมมือกันของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

แน่นอนว่าไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา…เมื่อผู้คนต้องเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตให้เข้ากับโลกสมัยใหม่ที่ต้องสุจริต ถูกต้อง ตรงไปตรงมา ทุกกระบวนการย่อมต้องถูกจับเข้ากรอบ และมีมาตรฐานเดียวกันหมด

ระบบภาษี อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต

“ในอดีตที่ผ่านมา มีผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอีที่จดทะเบียนบริษัท ห้างหุ้นนิติบุคคลจำนวนมากที่เสียภาษีเอาไว้ไม่ครบถ้วน ด้วยเหตุผลหลายๆประการ เช่น 1.กลัวเสียเงิน 2.กลัวความยุ่งยาก โดยได้ว่าจ้างสำนักงานบัญชีลงบัญชีแทน และ 3.การขาดความรู้และความเข้าใจในการลงบัญชีอย่างถูกต้อง จึงทำให้เกิดความผิดพลาดทั้งที่เจตนาและไม่เจตนา”

ตัวอย่างเช่น เมื่อ 20 ปีก่อนซื้อที่ดินมาหนึ่งแปลงเพื่อนำมาก่อสร้างโรงงาน โดยคิดว่าเป็นธุรกิจของตนเอง ต่อมาธุรกิจมีการเติบโตและขยายกิจการใหญ่มากขึ้น จึงมีความต้องการกู้เงินกับธนาคารก็พบว่าสินทรัพย์ของบริษัทแท้ที่จริงแล้วมีเพียงแค่โรงงานและเครื่องจักรเท่านั้น

ปัญหาที่ตามมาคือ ธนาคารไม่ปล่อยกู้เพราะไม่มีหลักทรัพย์ที่ดีพอในการค้ำประกัน จึงเกิดความจำเป็นที่จะต้องโอนที่ดินแปลงนั้นมาเป็นของบริษัท แต่ก็ทำไม่ได้อีก เพราะอยู่ดีๆบริษัทจะมีที่ดินเพิ่มขึ้นก็ต้องเสียภาษีซื้อ–ขายและภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ให้แก่กรมสรรพากร ทำให้ปัญหาต่างๆเหล่านี้ กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เอสเอ็มอีไม่สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรง

“แต่ปัจจุบันอัตราภาษีที่กรมสรรพากรจัดเก็บบริษัทนิติบุคคลได้ปรับลดลงมาแล้ว จากเดิมอยู่ที่เคยเก็บในอัตรา 30% ของกำไรสุทธิ ก็ปรับลดลงมาเหลือ 25% และ 20% เมื่อปี 2557 และยังมีการเพิ่มค่าใช้จ่ายและลดหย่อนต่างๆอีกมากมาย จึงทำให้อัตราภาษีในปัจจุบันไม่ได้เป็นภาระที่หนักอึ้งของผู้ประกอบการอีกต่อไป”

กรมสรรพากรจึงเสนอรัฐบาลออกกฎหมาย 2 ฉบับเพื่อแก้ไขปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในอดีตคือ 1.พระราชกำหนด การยกเว้นภาษีและสนับสนุนการปฏิบัติ การเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ.2558 และ 2.พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 595) พ.ศ.2558 เมื่อวันที่ 1 ม.ค.2559 ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดของกรมสรรพากรที่จะเปิดทางให้บริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถปรับปรุงบัญชี และงบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพของธุรกิจที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น

สรรพากรยกเว้นภาษีเอสเอ็มอี

วัตถุประสงค์ของกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ จึงมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มแรงจูงใจ เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ดี แต่อาจจะเคยผิดพลาดทางด้านการลงบัญชีในอดีต ไม่ต้องกังวล หรือกลัวว่าความผิดที่เกิดขึ้นในอดีตจะมาหลอกหลอนจนถึงปัจจุบัน โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปี สมัครเข้ามาร่วมโครงการ “บัญชีชุดเดียว” ซึ่งกำลังเปิดรับสมัครอยู่ในเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ระหว่างวันที่ 15 ม.ค. จนถึงวันที่ 15 มี.ค.2559

กรมจะพยายามชี้ให้ผู้ประกอบการเห็นข้อดี-ข้อเสียของการเข้าร่วมโครงการนี้ โดยเฉพาะข้อดีที่กรมสรรพากรหยิบยื่นให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีครั้งนี้ “ผมถือว่าเป็นการปลดล็อกปัญหาในอดีตทั้งหมด คือ 1.การไม่ตรวจสอบภาษีย้อนหลัง 2.ไม่ต้องทำบัญชีใหม่ย้อนหลังไป 10-20 ปีเพียงแค่ทำรายงานทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นลงในกำไรสะสมของปีภาษี 2558 ที่ต้องยื่นภาษีในเดือน พ.ค.2559 นี้”

และ 3.กรณีผู้ประกอบการที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ไม่ถึง 30 ล้านบาทถือว่าเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีตัวจริงก็จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2559 และในปีภาษี 2560 จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีที่มีกำไรสุทธิไม่เกิน 300,000 บาท

ส่วนกำไรสุทธิที่เกินกว่า 300,000 บาท จะเสียภาษีในอัตรา 10% ซึ่งเป็นอัตราภาษีลดลงจากปัจจุบัน ที่จัดเก็บจากผู้ประกอบการเอสเอ็มเอ็ม กรณีรายได้สุทธิไม่เกิน 300,000 บาท ไม่เสียภาษี รายได้เกิน 300,000 บาท แต่ไม่เกิน 3 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 15% และเกินกว่า 3 ล้านบาท จะเสียภาษีในอัตรา 20% ซึ่งเป็นอัตราภาษีในระดับเดียวกับบริษัทนิติบุคคลทั่วไป

“ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท ประมาณ 430,000 รายทั่วประเทศ โดยเราได้ตั้งเป้าหมายว่าจะมีเอสเอ็มอีเข้าร่วมโครงการนี้ จะมีประมาณ 300,000 ราย ซึ่งยอดล่าสุด ณ วันที่ 19 ก.พ.59 มียอดสมัครเข้าร่วมโครงการมากกว่า 143,000 ราย เท่ากับว่าเราได้เดินถึงครึ่งทางของเป้าหมายที่วางเอาไว้แล้ว”

ยืนกรานไม่นิรโทษกรรมคนโกง

ข้อเสียของโครงการนี้ อันดับแรกเลยคือ กรมสรรพากรจะสูญเสียรายได้ไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท แต่ก็ยินดีเพื่อแลกกับความเข้มแข็งของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในอนาคต เพราะการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืนถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล เนื่องจากผู้ประกอบการที่มีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปี มีสัดส่วนสูงถึง 98% ของจำนวนบริษัทนิติบุคคลประมาณ 450,000 ราย

หากพิจารณาเฉพาะผู้ประกอบการที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท รายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี มีสูงถึง 430,000 รายนั้น ทำอย่างไรจึงจะส่งเสริมให้เอสเอ็มอีไทยเหล่านี้ เติบโตขึ้นเป็นบริษัทขนาดใหญ่ 2,000–3,000 บริษัทได้ จากปัจจุบันมีบริษัทขนาดใหญ่มีเพียง 50 รายเท่านั้น

ข้อเสียที่ 2 คือ หากไม่เข้าร่วมโครงการ เมื่อตรวจสอบในภายหลังพบว่า มีการลงบัญชีไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็จะถูกเก็บภาษีย้อนหลัง 3.ระเบียบใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะเริ่มใช้ในปี 2562 กำหนดให้ใช้เอกสารและหลักฐานการเสียภาษีที่ยื่นต่อกรมสรรพากรมาประกอบการพิจารณาสินเชื่อและธุรกรรมทางการเงิน

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังมีการนำระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Payment มาใช้อนาคตอีกด้วย ก็ยิ่งจะทำให้ข้อมูลการใช้จ่ายเงินของบุคคลและบริษัทนิติบุคคลสามารถเชื่อมโยงถึงกรมสรรพากรได้มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้การตรวจสอบภาษีทำได้ง่ายขึ้นและ 4.คือ กฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ ไม่ใช่การนิรโทษกรรมภาษี เพราะคนที่มีความผิดทางภาษีเช่น การโกงภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) การใช้ใบกำกับปลอมที่อยู่ระหว่างการออกหมายเรียก หรือที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นศาลก็ยังอยู่ต่อไปจนกว่าคดีความจะสิ้นสุด

“สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ในขณะนี้ คือการสร้างเกาะคุ้มกันให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เคยลงบัญชีผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วนในอดีต ไม่ให้ถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลังจากกรมสรรพากรอีกต่อไป เพื่อให้ทุกอย่างมีจุดเริ่มต้นที่ดี และยังสามารถก้าวเดินไปได้พร้อมๆกัน โดยเราจะเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง ตั้งแต่ปีภาษี 2558 เป็นต้นไป”
ขยายฐานรายได้ลดภาษีแวต

เป้าหมายสูงสุดของกรมสรรพากรในโครงการนี้ ไม่ได้อยู่ที่ผลทางด้านการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการขยายฐานภาษีให้มีความกว้างและลึกมากขึ้น นั่นก็คือให้มีจำนวนผู้เสียภาษีที่มีปริมาณมากขึ้น จากปัจจุบันประชาชนที่อยู่ในวัยทำงาน 30-40 ล้านคนแต่เสียภาษีให้แก่กรมสรรพากรเพียง 10 กว่าล้านคน หมายความว่าเรามีคนเพียงหยิบมือเดียวที่ต้องอุ้มคนอีกกว่า 50-60 ล้านคนทั่วประเทศ จึงทำให้ภาระภาษีที่เกิดขึ้นในขณะนี้กระจุกตัวอยู่กับคนเพียงไม่กี่คน เพราะการขยายฐานภาษีให้กว้างออกไปยังไม่ทั่วถึงประชาชนในทุกกลุ่มอาชีพ

ขณะที่ผู้ประกอบการบริษัทนิติบุคคลทั่วประเทศประมาณ 450,000 รายนั้น มีเพียงผู้ประกอบการรายใหญ่ๆที่เสียภาษีครบถ้วนมากที่สุด ส่วนที่มีรายได้ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ก็ยังมีอีกจำนวนมากที่เสียภาษีไม่ครบถ้วน ดังนั้น หากคนทั้งประเทศร่วมใจเสียภาษีให้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด

รายได้ของรัฐบาลก็จะจัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย และมีเงินงบประมาณเพื่อนำมาใช้จ่ายและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆเพิ่มขึ้นเพื่อพัฒนาประเทศต่อไปได้อย่างไม่รู้จบ

หลักการจัดเก็บรายได้ของประเทศนั้นตามทฤษฎีแล้ว จะไม่มุ่งเน้นเรื่องของการเพิ่มรายได้เพียงอย่างเดียว เพราะหากรัฐบาลมีรายได้เกินกว่าความต้องการใช้จ่าย ปัญหาที่จะเกิดขึ้นมาก็คือสภาพคล่องหรือเงินสดที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจจะหดหายไป รัฐบาลกลายเป็นคนที่มีเงินมากที่สุด ระบบเศรษฐกิจที่เคยคึกคักก็แห้งขอดไป

“การรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐบาลเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด เพราะหากรัฐบาลเก็บรายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น ผมมั่นใจ 100% เลยว่ารัฐบาลพร้อมจะลดภาษีลงเพื่อให้ประชาชนและบริษัท ห้างร้านต่างๆให้เสียภาษีในอัตราน้อยที่สุด เช่น การลดภาษีแวต ซึ่งก่อนหน้านี้เราพูดถึงแต่เรื่องการขึ้นภาษี แต่จากนี้ไปอีก 10-15 ปีข้างหน้า เมื่อทุกคนเข้ามาอยู่ในระบบแล้ว เราจะพูดแต่เรื่องของการลดภาษี”

การถอนขนห่านของกรมสรรพากรในอดีตนั้น ไม่ใช่ต้องการฆ่าห่านให้ตาย แต่หมายความว่าถอนขนได้โดยห่านไม่ต้องตาย หมายความว่าทำให้กรมสรรพากร ประชาชน และผู้ประกอบการเดินไปด้วยกันได้

“ท้ายที่สุดนี้ ผมอยากให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเล็งเห็นผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากการทำบัญชีชุดเดียวมีผลดีมากกว่าผลเสียแน่นอน ขณะเดียวกันตัวผู้ประกอบการเองก็สามารถพัฒนา และยกระดับความสามารถในการแข่งขันให้แก่ตนเองได้ด้วย เพราะในอนาคตระบบเทคโนโลยีทันสมัยจะเข้ามามีบทบาทในการจัดเก็บภาษีมากขึ้น หากวันนี้ยังไม่แก้ไขให้ถูกต้อง ในวันข้างหน้าเทคโนโลยีก็จะสะกดรอยตามสิ่งที่ผิดพลาดในอดีตเจออย่างแน่นอน” อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวในที่สุด.
ทีมเศรษฐกิจ

ศาสตร์พระราชาในเวทีโลก “ดอยตุงโมเดล” ต้นแบบการพัฒนาที่ยั่งยืน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/577227

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 15 ก.พ. 2559 05:01

 

เมื่อวันที่ 9 ก.พ.59 ที่ผ่านมา “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” เสด็จฯเป็นองค์ประธานการประชุมกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ณ โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย

ประเด็นสำคัญของการประชุมครั้งนี้ ก็คือ มติที่ประชุมที่เห็นชอบการขอต่ออายุการใช้พื้นที่ “โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” หลังปี พ.ศ.2560 ออกไปอีก 30 ปี ภายหลังจากได้ดำเนินโครงการในพื้นที่นี้ด้วย “ศาสตร์พระราชา” และ “ตำราแม่ฟ้าหลวง” ผ่านไปครบ 30 ปี สามารถเปลี่ยน “ดอยตุง” จากพื้นที่ทุรกันดาร ผู้คนซึ่งประกอบด้วยชาวไทยภูเขาและชนกลุ่มน้อย 6 เผ่าที่มีสภาพความเป็นอยู่แร้นแค้น ไม่มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ทั้งถนน น้ำ ไฟฟ้า ทำให้คนในพื้นที่ต้องหาทางรอดด้วยการปลูกฝิ่น ทำไร่หมุนเวียน ค้ายาเสพติด และส่งลูกสาวขายเป็นโสเภณี เป็นแหล่งผลิตยาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น

จากภูเขาหัวโล้น ถูกพัฒนากลายเป็นพื้นที่ป่า การทำไร่หมุนเวียนหมดไป มีป่าอนุรักษ์ ป่าใช้สอย และป่าเศรษฐกิจมาแทนที่ มีคนได้รับสัญชาติไทยมากขึ้น ระดับการศึกษาดีขึ้น รายได้มากขึ้น

สิ่งสำคัญที่สุดครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน ไม่ต้องเข้าไปหางานในเมือง และลูกสาวไม่ถูกขายเป็นโสเภณี ได้ความรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นมนุษย์กลับคืนมา!

แนวทางการทำงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ยังขยายผลไปในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ โดยที่คงมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ไม่เคยรู้ว่า แนวทางที่เป็น “ศาสตร์พระราชา” นั้นมีโครงการที่ขยายผลไปต่างประเทศจนได้รับการยอมรับเป็นศาสตร์ของโลกไปแล้ว

“ทีมเศรษฐกิจ” ได้ลงพื้นที่ดอยตุง พร้อมสัมภาษณ์ “ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล” ประธานกรรมการมูลนิธิฯ ถึงเรื่องที่น่าภาคภูมิใจสำหรับคนไทยที่ “การพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน” ของประเทศไทยได้รับการยอมรับจากเวทีโลกให้เป็น “แบบอย่าง” ให้ประเทศอื่นปฏิบัติตาม ดังนี้ :

จุดกำเนิดโครงการพัฒนาดอยตุง

ม.ร.ว.ดิศนัดดา ที่คนรู้จักมักคุ้นมักเรียกว่า “คุณชาย” ย้อนรอยให้ “ทีมเศรษฐกิจ” ฟังว่า วันที่ 15 ม.ค.2530 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ “สมเด็จย่า” เสด็จมาที่ดอยตุงแห่งนี้ และรับสั่งว่า “ตกลงฉันจะสร้างบ้านที่นี่ แต่ถ้าไม่มีโครงการดอยตุง ฉันไม่มา”

จุดเริ่มต้นของ “โครงการพัฒนาดอยตุง” จึงถือกำเนิดขึ้นนับจากวันนั้น….

“สมัยลงพื้นที่ดอยตุงใหม่ๆ ผมต้องปลอมตัวเป็นนายช่างชลประทาน ชื่อว่านายสมชาย เพื่อให้เหมือนกับที่คนเรียกว่าคุณชาย โดยได้ใช้เวลา 3 ปีสร้างความเข้าใจกับชนกลุ่มน้อยบนพื้นที่ทั้ง 6 เผ่าได้แก่ อาข่า ลาหู่ ไทยใหญ่ ไทยลื้อ ลัวะ และจีน

จนมีการสร้างพระตำหนักดอยตุง หรือ “บ้านที่ดอยตุง” ของสมเด็จย่า มีถนน ไฟฟ้า น้ำ ตามมา ผู้คนก็เริ่มเชื่อ จากนั้นจนครบ 6 ปี ชาวบ้านก็กลายมาเป็นพวกเดียวกัน เพราะสามารถเปลี่ยนชาวไทยภูเขาและชนกลุ่มน้อยที่ยากไร้ มาเป็น “เกษตรกรรับจ้าง” และ “พนักงานของโครงการ” สามารถเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีจากที่เขาเคยได้ 3,772 บาท แต่มาทำงานกับโครงการฯ ให้เงินวันละ 40 บาท หรือปีละ 300 วัน ได้รับเงิน 12,000 บาท

ต่อมาปี 2537-2545 เป็นระยะที่ 2 ทำให้คนอยู่ดีมีสุข มีการศึกษา และสร้างคนเข้ารับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย จนล่วงสู่ระยะที่ 3 จากปี 2546-2560 ตอนนี้ทุกคนมีรายได้อย่างต่ำวันละ300 บาท และหลายคนที่มาทำงานกับโครงการจนเก่ง เชี่ยวชาญ ก็ให้กู้เงินไปทำกิจการของตัวเอง

“ถ้าเปรียบเทียบกับบริษัทต่างๆ เวลาสร้างคนให้เก่งแล้วก็ไม่อยากให้ย้ายไปไหน แต่สำหรับโครงการพัฒนาดอยตุงเราคิดต่างกัน ใครที่เก่งแล้วจะให้โอกาสมีกิจการของตัวเอง”

รุกขยายผล “ดอยตุงโมเดล” ในไทย

โครงการในระยะหลังของ “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ” จะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ, อุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง หอฝิ่น และอุทยานสามเหลี่ยมทองคำ

เมื่อโครงการพัฒนาดอยตุงประสบความสำเร็จ ตาม “ตำราแม่ฟ้าหลวง” คือ “การพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน” โครงการขยายผลในประเทศไทยจึงเกิดขึ้น

เช่น ในปีที่ผ่านมา มูลนิธิฯได้ดำเนินโครงการปลูกป่าสร้างคนบนวิถีพอเพียง รักษาต้นน้ำ บรรเทาอุทกภัย ที่ อ.ท่าวังผา อ.สองแคว และ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน รวมพื้นที่ 250,000 ไร่ เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศป่าไม้ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

โดยนำองค์ความรู้ตามแนวพระราชดำริ คือ “ศาสตร์พระราชา” และ “ตำราแม่ฟ้าหลวง” ในเรื่องการจัดการทรัพยากรป่าไม้ ดิน และน้ำ ไปปรับใช้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และส่งเสริมให้ชุมชนอยู่ร่วมกับป่าอย่างยั่งยืน

ผลการดำเนินงานที่ได้นั้น ได้เพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์จาก 40% ขึ้นเป็น 60% เปลี่ยนพื้นที่การปลูกข้าวโพดบนพื้นที่สูง ไปเป็นป่าเศรษฐกิจ ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการปลูกข้าวโพด และการลดการเกิดไฟป่าจากกว่า 76,000 ไร่ ในปี 2556 เหลือเพียง 89 ไร่ในปี 2558

ทำให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) น้อมนำเอาแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ตาม “ดอยตุงโมเดล” ไปเป็นเป้าหมายของยุทธศาสตร์บูรณาการการจัดการป่าเสื่อมสภาพบนพื้นที่สูงชัน (เขาหัวโล้น) และผลักดันให้พื้นที่โครงการฯ เป็น “พื้นที่นำร่อง” ในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาลภายในปี 2559

และเป็น “ต้นแบบ” ในการขยายผลเพื่อแก้ปัญหาเขาหัวโล้นและเพิ่มพื้นที่ป่าใน 13 จังหวัดภาคเหนือต่อไปอีกด้วย

“สร้างชีวิตยั่งยืน” ในต่างประเทศ

“คุณชาย” ยังกล่าวด้วยว่า “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ” ยังได้นำ “ดอยตุงโมเดล” ไปขยายผลในต่างประเทศได้แก่ โครงการพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ที่หมู่บ้านหย่องข่า รัฐฉาน อ.เยนันชอง ภาคมะกวย จ.ท่าขี้เหล็ก และ จ.เมืองสาด รัฐฉาน

“ดอยตุงโมเดล” ที่ อ.เยนันชอง ภาคมะกวย นั้น ได้พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายในครัวเรือน พัฒนาศักยภาพของชุมชนอย่างยั่งยืน มีการจัดตั้ง “กองทุนเซรุ่มแก้พิษงู” พัฒนาแหล่งน้ำ ทำให้ชุมชนมีน้ำพอใช้เพิ่มขึ้น

ตลอดทั้งปี มีการอบรมสัตวบาล ตั้งกองทุนยา ช่วยลดอัตราการตายของสัตว์ลง จัดตั้งธนาคารแพะ กองทุนเมล็ดพันธุ์ สร้างอาสาสมัครพัฒนาจำนวน 67 คน มีการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่ ได้แก่ ถั่ว งา และน้ำตาลโตนด สร้างเป็นวิสาหกิจชุมชน ภายใต้ชื่อแบรนด์ Happy Owl วางขายตามแหล่งท่องเที่ยว

รวมทั้งยังมีโครงการพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน จ.บัลคห์ สาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน ทำโครงการส่งเสริมปศุสัตว์และพัฒนาวิสาหกิจชุมชน (ธนาคารแกะ) ครอบคลุม 500 ครัวเรือนใน 15 หมู่บ้าน

ขณะที่ “โครงการพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน” จ.อาเจะห์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้เข้าไปในปี 2549 เพื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของชาวอาเจะห์ และเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัด หลังประสบความขัดแย้งภายในประเทศมานานกว่า 3 ทศวรรษ และเผชิญภัยภิบัติ “สึนามิ” เมื่อปี 2549

โดยหนึ่งในกิจกรรมที่ดำเนินการคือ การรักษาและป้องกันโรคมาลาเรียในหมู่บ้านลัมทูบา และหมู่บ้านใกล้เคียง จนได้รับการยอมรับจากกระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซีย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอาเจะห์ให้เป็นต้นแบบแนวทางการจัดการโรคมาลาเรียทั้งอินโดนีเซีย

นอกจากนี้ ยังได้จัดทำโครงการฝึกอบรมทางการแพทย์แห่งอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ที่ประกอบด้วย ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และมณฑลยูนนานและกวางสีในจีนอีกด้วย

“ศาสตร์พระราชา” กระหึ่มเวทีโลก!

นอกจากนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้ร่วมกำหนดนโยบายเรื่องยาเสพติด และการพัฒนาในระดับโลก เป็นการเผยแพร่และขยายผลแนวทางการพัฒนาตาม “ศาสตร์พระราชา” ในเวทีระหว่างประเทศ

โดยช่วง 15 ปีที่ผ่านมา นอกจากมูลนิธิฯจะนำประสบการณ์จากโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ไปขยายผลในพื้นที่ต่างๆทั้งในและต่างประเทศแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่หลักการพัฒนาตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในเวทีระหว่างประเทศ

โดยเฉพาะในเวที “สำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (UNODC)” เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2554 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯได้ร่วมกับรัฐบาลไทย รัฐบาลเปรู และ UNODC จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการและการประชุมระหว่างประเทศ ว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกที่ประเทศไทยจนนำไปสู่การยกร่าง “แนวปฏิบัติสากลว่าด้วยการพัฒนาทางเลือก”

ต่อมาในเดือนธันวาคม 2556 แนวปฏิบัติดังกล่าวได้รับการรับรองโดยที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ณ นครนิวยอร์ก ให้เป็น “หลักปฏิบัติสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือก (UNGPs)”

ถือเป็นเอกสารอ้างอิงสำคัญให้ประเทศทั่วโลกนำ “โครงการพัฒนาทางเลือก” ไปดำเนินการ ซึ่งหลักการสำคัญหลายประการได้รับการพัฒนามาจากประสบการณ์ของไทยและ “ศาสตร์พระราชา”

“การดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในขณะนี้ นานาประเทศประจักษ์มากขึ้นว่า “การพัฒนาทางเลือก” และ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” เป็นเรื่องที่สอดคล้องกัน มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จึงมีบทบาทสำคัญทั้งในเวทีด้าน “การพัฒนาทางเลือก” และ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ของโลกต่อไป”

ถือเป็นความภาคภูมิใจสำหรับประชาชนคนไทยที่มีต่อ “กษัตริย์ของโลก” พระองค์นี้อย่างหาที่สุดมิได้!!!

ม.ร.ว.ดิศนัดดากล่าวว่า หลังจากนี้กำลังจะนำแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนไปใช้ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ มั่นใจว่าจะเห็นผลสำเร็จใน 8 ปี.

ทีมเศรษฐกิจ

รวมกลยุทธ์มหาเศรษฐีเลี่ยงจ่ายภาษีมรดก ประเทศไทยอาจได้ไม่คุ้มเสีย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/573930

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 ก.พ. 2559 05:01

 

นับจากวันที่ 1 ก.พ.2559 ที่ผ่านมา “ภาษีมรดก” ที่บรรดามหาเศรษฐี คนร่ำรวยผวาหวาดกลัวได้มีผลบังคับใช้แล้ว ภายใต้ พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก พ.ศ.2558 และพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 40) พ.ศ.2558

โดยในช่วงระยะเวลา 180 วันก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ กรมสรรพากรได้เตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ทั้งกฎหมายลูกและการออกประกาศเพิ่มเติมเพื่อให้การจัดเก็บภาษีมรดกเป็นไปตามกำหนด และเมื่อวันที่ 12 ม.ค.2559 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เรื่องกฎหมายลำดับรองออกตามความใน พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก และ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 40) พ.ศ.2558

ประกอบด้วย หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการแจ้งการจดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรมเกี่ยวกับการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยทางมรดก และอนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาจำนวน 1 ฉบับ และร่างกฎกระทรวงฯ จำนวน 6 ฉบับ

มูลค่ามรดกที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษี คือ มูลค่าเกินกว่า 100 ล้านบาท อัตราภาษีมี 2 อัตรา โดยบุคคลอื่นที่รับมรดกเสียภาษีในอัตรา 10% กรณีบุพการี และผู้สืบสันดานเสียในอัตรา 5%

ขณะที่ทรัพย์สินเสียภาษีมรดกมี 4 ประเภท อสังหาริมทรัพย์ หลักทรัพย์ เงินฝาก และยานพาหนะที่จดทะเบียนในประเทศไทย โดยอสังหาริมทรัพย์และหลักทรัพย์ให้ใช้ราคาตลาดวันที่ผู้รับมรดกรับโอนทรัพย์สิน และมีข้อกำหนดในหลักการเบื้องต้น ผู้รับมรดกจะต้องเสียภาษีภายใน 150 วันนับจากวันที่รับมรดก

“ทีมเศรษฐกิจ” บอกแล้วว่า ภาษีมรดก เรื่องที่บรรดามหาเศรษฐีหวาดผวา ฉะนั้นก่อนวันที่ภาษีมรดกจะมีผลบังคับใช้ จึงมีการโอนทรัพย์สินให้บรรดาทายาทมากมาย ตามที่เราได้รวบรวมมาให้เห็น ดังนี้

โอนหุ้นก่อนกฎหมายบังคับ

ในช่วงที่ผ่านมา มีผู้บริหารและผู้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวนมาก ได้มีการโอนหุ้นให้ทายาทหรือผู้รับมรดกก่อนที่ภาษีมรดกจะเริ่มมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.เป็นต้นไป เช่น นายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ได้โอนหุ้นบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA จำนวน 16.19% ให้ลูก คือนายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ จำนวน 9.05% และนางสาวปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ 4.76%

ขณะที่นายวิชัย ทองแตง ได้โอนหุ้นบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)หรือ BDMS จำนวน 2.74% ให้ลูกคือ นายอัฐ ทองแตง นายอิทธิ ทองแตง นางสาววิอรทองแตง และนายอติคุณ ทองแตง ภายหลังการโอนเหลือถือหุ้นเพียง 2.65% นอกจากนี้นายวิชัย ยังได้โอนหุ้นบริษัท บลิสเทล จำกัด (มหาชน) หรือ BLISS จำนวน 8.145% และหุ้น บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FORTH รวมทั้งหุ้น บริษัท สยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ถืออยู่ทั้งหมดให้กับลูกทั้ง 4 คน เช่นเดียวกับ นายยืนยง โอภากุล ได้โอนหุ้นบริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) CBG ให้ลูกคือ นางสาวณิชา โอภากุล นางสาวนัชชา โอภากุล นายวรมัน โอภากุล

นายโพธิพงษ์ิ ล่ำซำ ได้โอนหุ้นบริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน ) หรือ MTI ให้ลูกทั้งชายหญิงคือ นางนวลพรรณ ล่ำซำ นางวรวรรณพร พรประภา และนายสาระ ล่ำซำ ส่วนนายธรรศพลฐ์ แบแลเว็ลด์ ได้โอนหุ้นบริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ให้กับภรรยา คือนางศิริธร แบแลเว็ลด์ และลูก คือนางสาวภัทรี แบแลเว็ลด์ เป็นต้น

รวมทั้งนาย สมโภชน์ อาหุนัย ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ (EA) ได้โอนหุ้น EA 16.89% ให้ SOTUS & FAITH #1 LIMITED ซึ่งเป็นกองทุนทรัสต์ที่ตนเองเป็นผู้ถือหุ้น ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารจัดการด้านภาษี ก่อนที่ภาษีมรดกจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.พ.2559 โดยการดำเนินการดังกล่าวเป็นเพียงการทำธุรกรรมเพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนตัวเท่านั้น ปัจจุบันยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับหนึ่ง และพร้อมจะทำงานกับบริษัท EA ต่อไป แม้ว่าจะให้ SOTUS&FAITH#1 LIMITED ถือหุ้นแทน แต่ยังคงมีอำนาจควบคุมในกรณีที่ต้องออกเสียงหรือยกมือโหวตในฐานะผู้ถือหุ้น

“การโอนหุ้นออกครั้งนี้เป็นเพียงเรื่องทางนิตินัยเท่านั้น โดยโอนให้ทรัสตีไปบริหาร เป็นหุ้นที่โอนไปเพื่อให้กับทายาทของผมในอนาคต หุ้นในส่วนนี้ทรัสตีจะทำหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการมรดกให้กับทายาท ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะเพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ และผมว่ากรณีแบบนี้ถือเป็นเรื่องไม่ได้ผิดปกติอะไรเพราะในต่างประเทศก็ทำเช่นเดียวกัน และเป็นการดำเนินการเพื่อสร้างความโปร่งใสในการบริหารธุรกิจ” นายสมโภชน์กล่าว

ตั้งกองทรัสต์ในต่างประเทศ

ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายภาษี เปิดเผยกับ “ทีมเศรษฐกิจ” ว่า นอกจากการโอนหุ้นที่ถืออยู่ในตลาดหลักทรัพย์ให้ทายาทโดยตรง ซึ่งพบว่าเริ่มมีการทำธุรกรรมดังกล่าวมากขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2558 หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างกฎหมายภาษีการรับมรดกและภาษีการรับการให้ และกระบวนการร่างกฎหมายมีความชัดเจนคืบหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ

โดยได้มีการโอนทั้งบ้านและที่ดินตลอดปี 2558 จะเห็นว่ามีเศรษฐีไปโอนบ้าน ที่ดิน คอนโดมิเนียม ให้ทายาททุกวันจนงานล้นกรมที่ดิน

ซึ่งนอกจากการโอนทรัพย์สินให้โดยตรงดังกล่าวแล้ว ยังพบว่ามีเศรษฐีชาวไทยจำนวนมากที่มีทรัพย์สินเป็นหลักพันล้านหรือหมื่นล้านบาท ได้ออกไปตั้งกองทรัสต์ (TRUST) ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในฮ่องกงและสิงคโปร์ เพราะประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับการตั้งทรัสต์โดยโอนทรัพย์สิน เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ ไปอยู่ในกองทรัสต์ เนื่องจากยังไม่ต้องการให้ทรัพย์สินตกทอดหรือเป็นทรัพย์มรดกแก่ทายาทคนใดคนหนึ่ง จึงตั้งทรัสต์ขึ้นมาเพื่อถือครองทรัพย์สินนั้นโดยมีทรัสตีที่เป็นมืออาชีพ เป็นผู้ดูแลหรือบริหารจัดการทรัพย์สินนั้นตามคำสั่งของผู้ก่อตั้งทรัสต์ แม้ผู้ก่อตั้งทรัสต์จะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม

โดยการตั้งกองทรัสต์ถือเป็นเรื่องปกติและเป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ!!อย่างไรก็ตาม การตั้งกองทรัสต์ไม่ใช่เพื่อการหลีกเลี่ยงภาษีมรดก แต่มีประโยชน์มากกว่านั้นเพราะถือเป็นการบริหารจัดการทรัพย์สินเพื่อทายาทระยะยาว เช่น จะมีการระบุคำสั่งให้ทรัสตีจัดการ โดยแม้เจ้าของมรดกจะเสียชีวิตไปแล้วหรือตายไปกี่ชั่วคน แต่กองทรัสต์จะยังอยู่ และดำเนินการตามคำสั่งหรือเจตนารมณ์ของเจ้าของที่ได้กำหนดไว้

เช่น ห้ามขายบริษัทหรือทรัพย์สินชิ้นนี้ หรือให้จ่ายผลประโยชน์หรือผลตอบแทนจากทรัพย์สินในกองทรัสต์ให้ทายาทแต่ละคน เป็นรายปีจนกว่าจะเรียนจบหรือจนกว่าจะอายุเท่าไร เป็นต้น เพราะหากมีการโอนมรดกให้ลูกหลานโดยตรงทันที อาจกลายเป็นเบี้ยหัวแตก ถูกนำไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนหมด หรือมีการขายทรัพย์สินทิ้ง โดยไม่ทำตามเจตนารมณ์ของพ่อแม่หรือเจ้าของ
ทรัพย์สินนั้น

ผุด “โฮลดิ้ง” จัดการทรัพย์สิน

นอกจากนี้ เศรษฐีบางรายที่มีธุรกิจหรือถือหุ้นไว้จำนวนมากหลายบริษัทได้ใช้วิธี จัดการทรัพย์สินโดยตั้งบริษัทขึ้นมา ในลักษณะบริษัทโฮลดิ้งแล้วโอนทรัพย์สินเข้าไป ให้ถือในนามบริษัทโฮลดิ้งนี้ และให้ตนเองและลูกหลานหรือทายาทเป็นผู้ถือหุ้นในโฮลดิ้งอีกชั้นหนึ่งและถือหุ้นในสัดส่วนที่มากกว่าแต่อาจมีการกำหนดลักษณะเป็นหุ้นบุริมสิทธิ (จำกัดสิทธิ์ไว้ชั่วคราว) เช่น ไม่มีสิทธิ์โหวตหรือรับปันผล เพื่อเปิดช่องให้พ่อแม่หรือเจ้าของทรัพย์สินที่ยังมีชีวิตอยู่ยังสามารถบริหารจัดการทรัพย์สินหรือกิจการได้เหมือนเดิม

อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีมรดกที่กำหนดให้ทายาท 5% ในส่วนที่เกิน 100 ล้านบาทนั้น ถือว่าเป็นอัตราที่ไม่สูงมาก การรีบโอนให้ลูกหลานโดยตรง อาจมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เช่น หากเกิดกรณีลูกตายก่อนพ่อ เมื่อต้องโอนมรดกกลับมาให้พ่อแม่ก็ยังต้องเสียภาษีมรดกอยู่ดี หรือหากลูกหลานอาจไปยกทรัพย์นี้ให้บุคคลอื่น เช่น ให้สามี-ภรรยา หรือไปให้บุคคลอื่น ต้องคิดผลดีผลเสียให้รอบคอบซึ่งหากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ควรยอมเสียภาษีตามปกติอาจจะได้ประโยชน์มากกว่า

“ที่ผ่านมาบรรดาเศรษฐีทั้งหลายตื่นตระหนกกับภาษีมรดก เพราะมีจำนวนมากจริงๆ หรือเห็นเศรษฐีคนอื่นเขาเร่งโอนทรัพย์สินออกกันก็ทำบ้าง โดยที่ไม่ได้มีการวางแผนหรือจัดการอย่างรอบคอบเพราะบางคนอาจไม่จำเป็นต้องทำ เช่น มีนักธุรกิจคนหนึ่งมีหุ้นบริษัทที่อยู่นอกตลาดมูลค่าหลายพันล้านบาทมาปรึกษาว่าอยากจะโอนให้ลูกซึ่งอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย หากลูกได้รับไปแล้วเมื่อบรรลุนิติภาวะเขามีสิทธิ์เอาไปขาย เอาไปทำไม่ดี หรือแม่ควบคุมไม่ได้ ก็อาจจะได้ไม่คุ้มเสียกับการทำเพื่อหวังเลี่ยงภาษีมรดก สุดท้ายเมื่อได้คำแนะนำไป เขาก็ไม่โอน”

ขนเงินไปลงทุนต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้มีการวางแผนจัดการเรื่องภาษีมรดก หรือผู้ที่ยังไม่ได้โอนให้ทายาท กฎหมายได้เปิดช่องให้ทำได้ โดยการทยอยโอนทรัพย์สินให้ปีละไม่เกิน 20 ล้านบาท ก็ไม่ต้องเสียภาษีมรดกหรือภาษีการรับ

ขณะที่นักวางแผนทางการเงินและผู้บริหารความมั่งคั่งให้นักลงทุนให้ความเห็นว่า ภาษีมรดกที่ออกมาแทบทำอะไรไม่ได้กับบรรดาเศรษฐีเงินถุงเงินถังหลักหมื่นหลักพันล้านบาท

เพราะในช่วงที่ผ่านมา ที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่และมีปัญหา บรรดาเศรษฐี นักธุรกิจที่มีเงินในประเทศไทย เขาได้บริหารจัดการทรัพย์สินกันไว้เสร็จหมดแล้วแทบไม่มีเหลือให้มาจ่ายภาษีมรดก เพราะเขาได้ออกไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ ทั้งหุ้น อสังหาริมทรัพย์ บ้าน ที่ดินอพาร์ตเมนต์ ภาพเขียน โดยเฉพาะใน 4-5 ปีหลังมานี้

เนื่องจากการออกไปลงทุนในต่างประเทศมีโอกาสได้ผลตอบแทน มากกว่า ทั้งในอังกฤษ อเมริกา และยุโรป คนที่ออกไปลงทุนช่วงก่อนหน้านี้ ปัจจุบันได้ผลตอบแทนสูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เศรษฐีหลายคนได้ออกไปซื้ออสังหาฯเพื่อลงทุนในยุโรปและอังกฤษมูลค่าเป็นหมื่นล้านบาท

“ไม่ได้เป็นการหลีกเลี่ยงภาษีแต่ถือเป็นการกระจายการลงทุน กระจายความเสี่ยง!! ดังนั้นบุคคลเหล่านี้ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีมรดก แต่ยอมรับว่าการมีภาษีมรดกได้มีผลกระตุ้นให้เศรษฐีจำนวนมากนำเงินออก ไปลงทุนในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ถือเป็นการเร่งไล่เงินให้ไหลอออกไปต่างประเทศมากขึ้นและเร็วขึ้นอีกทางหนึ่ง”

ที่ฮ่องกง สิงคโปร์ประเทศคู่แข่งของเรา เงินไหลออกไปอยู่กับประเทศเขามาก เพราะไม่มีภาษีมรดกและธุรกิจทรัสต์เขาก็อู้ฟู่มาก คนไทยต้องไปเสียเงินค่าธรรมเนียมค่าดูแลทรัพย์สินให้เขาจำนวนมาก เพราะประเทศไทยก็ยังไม่มีกฎหมายทรัสต์มารองรับ

หลายคนมองว่าการเก็บภาษีมรดกไม่แฟร์ เนื่องจากตั้งใจทำธุรกิจมาเกือบทั้งชีวิตด้วยความยากลำบาก เงินที่ได้มาเสียภาษีทั้งภาษีบุคคลธรรมดา ในรูปบริษัทก็เสียภาษีนิติบุคคล ใช้จ่ายก็เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ฝากแบงก์ก็เสียภาษีดอกเบี้ย เมื่อตายจะยกเงินให้ลูกหลานยังโดนมาตามเก็บภาษีอีก เมื่อเขามีกำลังที่จะบริหารจัดการภาษีเพื่อไม่ให้เสียในส่วนนี้ได้ก็ต้องทำ

“ภาษีมรดกนี้ล้าสมัยแล้ว คิดว่าได้ไม่คุ้มเสีย เงินที่จะเก็บภาษีได้คงไม่มากเมื่อเทียบกับค่าบริหารจัดการของภาครัฐและเงินที่ไหลออกไปจากกรณีนี้ ซึ่งหลายประเทศยกเลิกกฎหมายภาษีมรดกกันแล้ว”

เสนอออกกฎหมายทรัสต์

นายกิตติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการบริษัท เบเคอร์แอนด์แม็คเค็นซี่ และประธานคณะกรรมการภาษีสภาหอการค้าไทยแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ควรมีกฎหมายอนุญาติให้ตั้งทรัสต์ได้ในประเทศไทย ไม่เช่นนั้นการเก็บภาษีมรดกอาจเป็นการส่งเสริมหรือผลักดันให้มีการไหลออกของความมั่งคั่งทางการเงิน และทรัพย์สินของประชาชนคนไทยที่มีฐานะดีไปยังต่างประเทศ

ขณะที่นายธีระ ภู่ตระกูล นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ยอมรับว่า การเก็บภาษีมรดกอาจได้ไม่คุ้มเสีย เนื่องจากมีเศรษฐีไทยจำนวนมากโอนทรัพย์สิน ทั้งที่ดิน บ้าน คอนโดมิเนียมและหุ้น ให้แก่บุตรหลานเพื่อไม่ต้องเสียภาษีมรดกและมีอีกจำนวนมากที่โอนเงินออกไปต่างประเทศนำไปลงทุนในรูปของทรัสต์ จึงน่าเสียดายที่ไทยจะสูญเสียเงินจากกลุ่มเศรษฐีกลุ่มนี้

ฉะนั้น จึงเสนอให้กระทรวงการคลังออกกฎหมายทรัสต์ควบคู่กับการจัดเก็บภาษีมรดก เพื่อให้เศรษฐีนำเงินมาลงทุนในประเทศมากกว่า เพื่อให้สินทรัพย์ดังกล่าวยังอยู่ในไทย และจากประสบการณ์พบว่า ในหลายประเทศมีการยกเลิกการจัดเก็บภาษีมรดกไปแล้ว

ดังนั้น หากรัฐบาลต้องการเพิ่มรายได้ภาษีควรจัดเก็บจากส่วนอื่นจะคุ้มกว่า.

ทีมเศรษฐกิจ

มหันตภัย “แล้ง2559” ถึงเวลา “รัฐ-ราษฎร์” ร่วมใจฝ่าวิกฤติประเทศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/570658

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 1 ก.พ. 2559 05:01

 

เป็นอีกคำรบที่ประชาชนคนไทยต้องเผชิญกับ “วิกฤติภัยแล้ง”

และนัยว่าวิกฤติภัยแล้งครั้งนี้ จะเป็นวิกฤติครั้งที่ “รุนแรง” หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าครั้งไหนๆ และจ่อจะ “ทอดยาวนาน” เป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว!

ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 ม.ค.2559 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินภัยแล้ง หรือ “พื้นที่ภัยแล้งฉุกเฉิน” แล้ว 14 จังหวัด 71 อำเภอ 371 ตำบล

ลำพัง “วิกฤติเศรษฐกิจ” ที่ประเทศไทยเผชิญอยู่ก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว เมื่อผสมโรงด้วยวิกฤติภัยแล้งซ้ำเติม เศรษฐกิจไทยที่ “เปราะบาง” จมปลักเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ยิ่งข้นแค้นขึ้นเป็นทวีคูณ!

น่าแปลก! ทั้งที่เป็นข้อมูลที่ทุกฝ่ายรับทราบมาโดยตลอด ว่าประเทศไทยเรานั้นมีปริมาณน้ำฝนที่ตกเฉลี่ยในประเทศปีละ 732,975 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) เป็นน้ำที่ระเหยและไหลซึมลงใต้ดิน 519,672 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 71% ส่วนน้ำผิวดินอยู่ที่ 213,303 ล้าน ลบ.ม. แต่…เรากลับมีความสามารถในการกักเก็บน้ำได้เพียง 79,890 ล้าน ลบ.ม. หรือ 10% ของปริมาณฝนที่ตกลงมาเท่านั้น

ถือว่าฉิวเฉียดมากๆเมื่อเทียบกับความต้องการใช้น้ำทั้งประเทศที่มีถึงปีละ 70,249 ล้าน ลบ.ม. จากน้ำที่ใช้เพื่อการเกษตร 53,034 ล้าน ลบ.ม. หรือ 75% ของน้ำรวม เพื่อรักษาระบบนิเวศ 12,359 ล้าน ลบ.ม. หรือ 18% น้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค 2,460 ล้าน ลบ.ม. หรือ 4% และเพื่อภาคอุตสาหกรรมและท่องเที่ยว 2,396 ล้าน ลบ.ม. หรือ 3% รวมทั้งเสี่ยงสูงที่จะไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับความต้องการน้ำที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเมืองและเศรษฐกิจ

และที่สำคัญ ทุกวันนี้เรายังคงยังพึ่งพา “โชคชะตา” ฟ้ากำหนด หากคราใดที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจตกกระหน่ำจนน้ำท่วมทะลัก วิถีชีวิตของผู้คนก็ต้องเผชิญกับวิกฤติน้ำท่วมจนสำลัก แต่เมื่อใดฝนทิ้งช่วงเราต้องเผชิญกับภัยแล้ง

ทำให้อดย้อนถามกลับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ว่า เกิดอะไรกับการบริหารจัดการ “น้ำ” ของประเทศ? ปีนี้น้ำจะเพียงพอบริโภคและใช้ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือไม่? วิถีชีวิตคนไทยต้อง “ยืนอยู่บนเส้นด้าย” อีกกี่ปีกี่ชาติ!!!

“ทีมเศรษฐกิจ” ขอประมวลภาพรวม “วิกฤติภัยแล้ง” ที่กำลังลามเลีย พร้อมสะท้อนมุมมองนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องเพื่อร่วมไขความกระจ่าง “วิกฤติภัยแล้ง”ครั้งนี้ ดังนี้…

วิกฤติแล้งรุนแรงสุดในรอบ 20 ปี

เริ่มต้น “ทีมเศรษฐกิจ” ขอเสนอภาพรวมของสถานการณ์น้ำล่าสุดของประเทศ จากข้อมูลของกรมชลประทานที่ได้เปิดเผยในภารกิจ “รัฐ-ราษฎร์ร่วมใจรับมือภัยแล้ง” ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักของประเทศ ประกอบด้วย เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี และเขื่อนแควน้ำบำรุงแดน จ.พิษณุโลก มีปริมาณน้ำรวมกันน้อยมากอยู่ที่ 3,489 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 19% ของความจุระดับปกติ และต่ำลงเกือบครึ่งหนึ่งเทียบกับต้นปี 2558 ที่อยู่ในระดับ 6,300 ล้าน ลบ.ม.

“เป็นปีที่ภัยแล้งรุนแรงในรอบ 20 ปี ใกล้เคียงกับภัยแล้งในปี 2537 ทำให้กรมชลประทานต้องบริหารจัดการน้ำอย่างเคร่งครัด มีอัตราการระบายน้ำ 4 เขื่อนหลักอยู่ที่ 15.9-18.9 ล้าน ลบ.ม.ต่อวันเท่านั้น” นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ อธิบดีกรมชลประทาน ยอมรับในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน

ทั้งนี้ อธิบดีกรมชลประทาน ได้ย้อนรอยต้นเหตุที่ทำให้สถานการณ์น้ำในไทยพลิกผันมาถึงจุดนี้ว่า ก่อนหน้านี้ในปี 54/55 ลุ่มเจ้าพระยายังมีน้ำใช้การได้ถึง 18,000 ล้าน ลบ.ม. แต่มีการระบายทิ้งไป 14,000 ล้าน ลบ.ม. เนื่องจากในปี 2554 หลังเกิดวิกฤติน้ำท่วมหนักสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม เมื่อย่างเข้าสู่ปี 2555 รัฐบาลจึงเร่งระบายน้ำออกจากเขื่อนอย่างหนัก เพื่อให้มีพื้นที่รองรับน้ำ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน และภาคอุตสาหกรรม

แต่ถือว่า “พลาด” เมื่อปริมาณฝนที่ตกทั่วประเทศในปี 2555 น้อยลง ไม่เป็นไปดั่งที่คาดการณ์ไว้ จึงยังผลให้ “น้ำต้นทุน” หรือปริมาณน้ำใช้ของประเทศอยู่ในภาวะ “หมิ่นเหม่” ยิ่งมาเจอกับการโหมปลูกข้าวนาปรังของชาวนาในช่วงปี 2554/2555 ที่ทะลักขึ้นไปกว่า 11 ล้านไร่จากระดับปกติที่อยู่ในราว 4-6 ล้านไร่ จากผลพวงของนโยบายรับจำนำข้าวในราคาสูงของรัฐบาลขณะนั้น ทำให้ความต้องการใช้น้ำภาคเกษตรดึงน้ำต้นทุนที่เหลือน้อยอยู่แล้วไปใช้มากขึ้น

ขณะที่น้ำต้นทุนจะเหลือน้อยลง แต่ในปีการผลิต 2555/2556 พื้นที่ปลูกข้าวนาปรังยังคงมีถึง 11 ล้านไร่ แม้ปีการผลิต 2556/2557 จะลดลงมาเหลือ 9 ล้านไร่ แต่สถานการณ์น้ำต้นทุนในเวลานั้นเริ่มส่งสัญญาณเข้าสู่จุดวิกฤติแล้ว เพราะมีน้ำใช้เหลืออยู่ที่ 8,153 ล้าน ลบ.ม. เสี่ยงสูงมากที่จะไม่พอใช้!

มาถึงปี 2558 ที่แม้รัฐบาล คสช.จะเพิ่มความเข้มงวดในการงดการทำนาปรัง ออกประกาศงดการจ่ายน้ำในเขตลุ่มเจ้าพระยา 22 จังหวัด แต่ก็ยังมีการลักลอบทำนาปรังกันอย่างรุนแรง จนถึงขั้น “แย่งน้ำ” กันในหลายพื้นที่

ขณะที่ปริมาณน้ำใช้ของประเทศ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.2558 ลดระดับลงมาอยู่ที่ 4,247 ล้าน ลบ.ม. และล่าสุดเมื่อวันที่ 27 ม.ค.59 มีน้ำใช้การได้อยู่ที่ 3,489 ล้าน ลบ.ม. และยังคาดการณ์กันว่าปริมาณใช้การของประเทศในระยะ 4 เดือนข้างหน้า ณ วันที่ 1 พ.ค.59 จะอยู่ที่ 1,590 ล้าน ลบ.ม. สามารถใช้เฉพาะเพื่อการอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศเพื่อป้องกันความเสี่ยงในช่วงรอยต่อไปยังฤดูฝนใหม่ถึงวันที่ 14 ส.ค.59 เท่านั้น

ถึงเวลาคนไทยปันน้ำกิน-น้ำใช้

รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำอันดับต้นๆของประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์กับ “ทีมเศรษฐกิจ” ย้อนรอยต้นตอที่ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤติภัยแล้งอย่างรุนแรงในครั้งนี้ว่า

“เป็นผลมาจากอิทธิพลของปรากฏการณ์ “เอลนินโญ” ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2557 และเพิ่มระดับความรุนแรงเป็น “ซุปเปอร์เอลนินโญ” ปลายปี 2558 ซึ่งนับเป็นความรุนแรงสุดในรอบ 50 ปี”

ส่งผลกระทบให้ปริมาณฝนและปริมาณน้ำเข้าเขื่อนขนาดใหญ่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือน้อยสุดในรอบ 20 ปี กล่าวคือปี 2558 มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์รวมกัน 5,620 ล้าน ลบ.ม. ทั้งที่ปริมาณเฉลี่ยควรจะอยู่ที่ 10,810 ล้าน ลบ.ม. น้อยกว่าค่าเฉลี่ยที่ผ่านมาประมาณเกือบ 50% ดังนั้นปริมาณน้ำต้นทุนในต้นปี 2559 จึงอยู่ที่ประมาณ 3,018 ล้าน ลบ.ม. เทียบกับปี 2558 ซึ่งมีประมาณ 5,638 ล้าน ลบ.ม.

“จากน้ำต้นทุนข้างต้น รัฐบาลได้ขอความร่วมมือเกษตรกรงดทำนาปรัง และหันมาปลูกพืชใช้น้ำน้อย พืชอายุสั้น รวมทั้งผลักดัน 8 มาตรการช่วยเหลือ” (รายละเอียดในหน้า 9) และผลจากการดำเนินการเชิงรุกของรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมชลประทานและผู้นำชุมชนต่างๆ ซึ่งลดพื้นที่เพาะปลูกนาปรังลงไปได้กว่า 70% จากฤดูนาปรังปี 2556-57 และ 40% จากฤดูนาปรังปี 2557-58”

ตัวเลขพื้นที่ทำนาปรังในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาต้นปี 2559 มีประมาณ 1.8 ล้านไร่ เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2557 และ 2558 ที่มีประมาณ 5.7 ล้านไร่ และ 2.9 ล้านไร่ตามลำดับ ส่งผลให้ใช้น้ำลดลงอย่างน้อย 2,500 ล้าน ลบ.ม. ลดความเสี่ยงผลผลิตที่จะเสียหาย และลดการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในหลายชุมชนลงได้ในทางตรงกันข้าม แม้พื้นที่ปลูกนาปรังจะลดลงเหลือ 1.8 ล้านไร่ แต่ยังต้องใช้น้ำเพาะปลูก 1,000 ล้าน ลบ.ม. ทั้งๆที่ตามแผนของรัฐบาล คือ “การงดปลูกนาปรัง” ดังนั้น ปริมาณน้ำ 1,000 ล้าน ลบ.ม.นี้จึงไม่ได้อยู่ในโควตาจัดสรรน้ำ นาปรังเหล่านี้จึงสุ่มเสี่ยงเสียหาย ยกเว้นพื้นที่ที่มีน้ำของตัวเองจากบ่อบาดาล บ่อน้ำ หรือสระน้ำ เป็นต้น นอกจากนี้ ต้องไม่ลืมว่าเกษตรกรที่ให้ความร่วมมืองดเพาะปลูกนาปรัง จะมีความคาดหวังกับการทำนาปี ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือน พ.ค.นี้ แต่ความคาดหวังดังกล่าวยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องของปริมาณฝนฤดูกาลใหม่ หากฤดูฝนล่าช้า หรือ “ฝนทิ้งช่วง” ไปอีก ก็จะเกิดความเสียหายต่อผลผลิตได้

แต่จากการคาดการณ์ฝนระหว่างเดือน พ.ค.-ก.ค. ปีนี้จะมีปริมาณน้อยกว่าปกติ การทำงานเชิงรุก การให้ข้อมูลข่าวสารกับเกษตรกรเกี่ยวกับการเริ่มต้นฤดูเพาะปลูกนาปีจึงมีความจำเป็น และต้องจัดสรรน้ำให้เหมาะสม

“หากทุกภาคส่วนขาดวินัยในการใช้น้ำ ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพรวม ตัวอย่างคือพื้นที่เพาะปลูกนาปรัง 1.8 ล้านไร่นี้ หากมีการดึงน้ำในโควตาภาคส่วนอื่นๆไปใช้ ก็จะส่งผลกระทบกับปริมาณน้ำอุปโภคและบริโภค รวมทั้งป้องกันน้ำเค็มรุกล้ำได้ โดยเฉพาะในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.ซึ่งเป็นช่วงที่ข้าวมีความต้องการน้ำมาก”

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะเผชิญเหตุการณ์น้ำแล้งมากกว่าน้ำท่วม จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่อย่างจำกัด การลดการใช้น้ำทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมที่ใช้น้ำกว่า 75% การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ (Reuse Recycle) และมีประสิทธิผลจึงมีความจำเป็น

สงกรานต์ปีวอกอาจไม่มีน้ำสาด!

นายชวลิต จันทรรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายต่างประเทศ บริษัททีม กรุ๊ป ออฟคัมปานีส์จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ ในฐานะภาคีร่วมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในนาม “คณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปรอ.) รุ่น 2550” รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่า

ปัญหาภัยแล้งในปีนี้หนักหนาสาหัสกว่าปี 2558 มาก เนื่องเพราะน้ำในเขื่อนใหญ่ๆมีเหลือน้อยกว่าปีที่แล้วเพียงครึ่งเดียว กล่าวคือ จาก 8,000 ล้าน ลบ.ม. แต่ปีนี้ในกลางเดือน ม.ค. มีน้ำเหลือในเขื่อนเพียง 3,800 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น

“ขณะนี้มีหมู่บ้านมากกว่า 10,000 แห่งขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคและทำการเกษตรแล้ว หลายจังหวัดต้องประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ ปีที่แล้วเราได้เห็นภาพเกษตรกรรายย่อยรวมตัวกันตั้งเครื่องสูบน้ำเรียงรายกันหลายเครื่องเพื่อแย่งน้ำ ทั้งยังมีการรวมตัวกันปิดคลองเพื่อสูบน้ำเข้านาข้าวกัน ปีนี้เราอาจเห็นภาพดังกล่าวซ้ำรอยอีก”

ขณะที่สภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวน กรมอุตุนิยมวิทยาเองได้คาดการณ์ว่า ตั้งแต่เดือน ม.ค.ไปจนถึงเดือน มิ.ย.ปีนี้ จะไม่มีฝนตกลงเขื่อนอีกเลยเมื่อไม่มีฝนตก รัฐบาลจำเป็นจะต้องประกาศมาตรการชัดเจนเกี่ยวกับการใช้น้ำของประชาชน โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ หลังจากที่มีการประกาศห้ามเกษตรกรในลุ่มเจ้าพระยางดปลูกข้าวแล้ว

“กลุ่มเราได้เสนอให้รัฐบาลประกาศเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ ภายใต้หลักการประหยัดน้ำของกลุ่มต่างๆที่ใช้น้ำเริ่มจากประชาชนชาวกรุงเทพฯ หากรณรงค์ให้คนกรุงลดการใช้น้ำลง 20% จะประหยัดน้ำได้ถึงวันละ 1 ล้าน ลบ.ม. จากน้ำที่คนกรุงใช้กันวันละ 5 ล้าน ลบ.ม. เพื่อให้มีน้ำเพียงพอจะดันน้ำทะเลออกไป ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องใช้หลัก 3 R คือ Reduce หรือใช้น้ำลดลงเท่าที่จำเป็น, Reuse คือใช้ซ้ำ และ Recycle บำบัดและนำกลับมาใช้ใหม่

นายชวลิตกล่าวด้วยว่า นับแต่เดือน ก.พ.จะเริ่มเห็นคุณภาพน้ำจืดค่อยๆกลายเป็นน้ำกร่อย และเราอาจมีน้ำจืดไม่พอไล่น้ำทะเลที่หนุนขึ้นมา และในเดือน มี.ค.-เม.ย.คนกรุงเทพฯจะได้รับผลกระทบจากน้ำกิน-น้ำใช้หนักกว่าปีที่แล้ว จึงจำเป็นต้องเตรียมสำรองน้ำดื่มสะอาดและมีคุณภาพไว้

ส่วนที่มีผู้เสนอให้รัฐบาลประกาศว่า สงกรานต์ปีนี้ขอให้งดการเล่นน้ำนั้น อาจต้องใช้การออกข่าวดู เพื่อให้ประชาชนมองเห็นว่าประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤติขาดแคลนน้ำอย่างหนัก ส่วนข้อเสนอนี้จะเป็นเรื่องที่รัฐบาลและประชาชนคนไทยยอมรับได้หรือไม่ อาจต้องฟังความเห็นหลายฝ่าย

“บางทีความพยายามจะรักษาจำนวนนักท่องเที่ยวมากเกินไป หรือเห็นแก่นักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาเล่นสงกรานต์มากเกินไปโดยไม่พิจารณาความเป็นจริง และปัญหาที่ประชาชนประสบอยู่ ก็อาจจะสร้างความยากลำบากให้แก่เกษตรกร และคนในประเทศต้องได้รับความเดือดร้อน”

นายชวลิตกล่าวว่า ถ้าเรายังใช้น้ำกันโดยไม่คิดถึงอนาคต ที่สุดการประปาอาจต้องส่งหยุดน้ำ เพราะปัจจุบันปริมาณน้ำในเขื่อนใหญ่ๆทั้ง 5 แห่งมีน้ำเหลืออยู่เพียง 3,400 ล้าน ลบ.ม.เศษๆเท่านั้น!!!

อุตสาหกรรมร่วมปันน้ำชุมชน!

ด้านบวร วงศ์สินอุม รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานสถาบันน้ำเพื่อความยั่งยืน กล่าวถึงวิกฤติภัยแล้งที่กำลังลามเลียอยู่ในขณะนี้ว่า สืบเนื่องจากปัญหาวิกฤติภัยแล้งที่ทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบมาตั้งแต่ปี 2558 โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี 2559 นี้ประเทศไทยจะยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง

โดยการแก้ไขปัญหาภัยแล้งนั้น ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการเกษตร และภาคประชาชน เพราะปัญหานี้เป็นปัญหา “ระดับชาติ” ซึ่งภาครัฐได้ขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันประหยัดน้ำ จนถึงภาคเกษตรที่ภาครัฐจำเป็นต้องลดปริมาณการส่งน้ำ เนื่องจากต้องเก็บน้ำเอาไว้สำหรับการอุปโภคบริโภคเป็นสำคัญ ทำให้ทุกภาคส่วนต้องใช้น้ำให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าสูงสุด

สำหรับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้ตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น และต้องการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทั้งการรณรงค์และส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้ใช้น้ำอย่างประหยัดและคุ้มค่า รวมถึงการให้ความสำคัญกับชุมชนรอบข้าง โดยยึดหลักการมีธรรมาภิบาลที่ดีสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

ส.อ.ท.จึงได้เตรียมความพร้อมรับมือกับวิกฤติภัยแล้ง ทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการ โดยมาตรการเร่งด่วนที่จะนำมาใช้คือ 1.สื่อสารข้อมูลไปยังสมาชิกผู้ประกอบการเพื่อให้ทราบถึงสถานการณ์และเตรียมรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น โดยใช้กลไกของ War room น้ำใน 4 ภูมิภาค กลุ่มอุตสาหกรรม และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ

2. การดำเนินงาน CSR ด้านน้ำแบ่งปันน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค ลักษณะเดียวกับ “โครงการ ส.อ.ท.ปันน้ำใจช่วยภัยแล้ง” ร่วมกับโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อแบ่งปันน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคกับชุมชนรอบข้าง และนำน้ำบาดาลที่เหลือใช้แบ่งให้กับชุมชนใกล้เคียง โดยในปีนี้มีโรงงานที่แสดงเจตนารมณ์ช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้ง หรือการสนับสนุนน้ำดื่มให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ประสบปัญหา เช่น กลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บจก. เอสซีจี เคมิคอลส์, บจก. ไทยน้ำทิพย์, บมจ. จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก, สมาคมฟอกย้อมตกแต่งและพิมพ์สิ่งทอไทย

3.ผลักดันให้โรงงานอุตสาหกรรมนำน้ำบาดาลมาใช้ร่วมกับน้ำผิวดินในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น4.เร่งสร้างต้นแบบโรงงานที่มีการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพทุกภูมิภาคจำนวน 90 แห่ง ผ่าน “โครงการสร้างต้นแบบและขยายเครือข่ายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบาดาลอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรมฯ” ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาน้ำบาดาล โดยจะคัดเลือกโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพตามหลักการ 3Rs จำนวน 15 โรงงาน จาก 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อเป็นโรงงานต้นแบบด้านการบริหารจัดการน้ำ

5.ผลักดันให้ภาครัฐพิจารณาอนุญาตให้สามารถนำน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ผ่านการบำบัดตามมาตรฐานวิชาการ ไปใช้ประโยชน์ใหม่ให้มากยิ่งขึ้น 6. ส่งเสริมการทำ Water Footprint ในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อประเมินปริมาณการใช้น้ำของโรงงานอุตสาหกรรม และ 7.การหาแหล่งเงินทุนเพื่อสนับสนุนโรงงานอุตสาหกรรมในการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรและเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสีย เช่น ESCO Fund ที่จะเพิ่มงบประมาณในส่วนของโครงการที่สามารถช่วยอนุรักษ์น้ำและพลังงานได้

เมื่อ “รัฐ-ราษฎร์-เอกชน” ร่วมใจ เชื่อว่าฝ่าวิกฤติภัยแล้งไปได้ด้วยกัน!

เปิด 8 แผนงานรัฐบาลหนุนเกษตรกรรับวิกฤติภัยแล้ง

ฟากฝั่ง “รัฐบาล” ยังมั่นใจ ยังมีโอกาสฝ่าวิกฤติภัยแล้งปี 2559 ไปได้ แต่จำเป็นต้อง “ปรับใหม่ทั้งระบบ” บริหารจัดการน้ำอย่างเคร่งครัด ขณะที่เตรียม 8 แผนงานช่วยเหลือเกษตรกรรับมือ “วิกฤติภัยแล้งครั้งหฤโหดในรอบ 20 ปี”

นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ข้อมูลเพื่อการฟันฝ่า “วิกฤติภัยแล้ง” ในปีนี้ โดยระบุว่า เรายังมีโอกาสที่จะผ่านพ้นวิกฤติภัยแล้งครั้งนี้ไปได้ โดยหากพิจารณาสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง 481 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งรวมปริมาณน้ำ 4 เขื่อนหลัก เรายังมีปริมาณน้ำใช้การได้ 16,870 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 33% ของความจุปกติ

ขณะที่ยังมีแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทานทั้งประเทศอีกจำนวน 352,528 บ่อ มีปริมาตรน้ำ 182.10 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 52% ของความจุทั้งหมดและอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กทั้งประเทศ 4,789 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม 1,072.55 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 59% ของความจุทั้งหมด

แต่ทั้งหลายทั้งปวง หากต้องการผ่านพ้นภัยแล้งปีนี้ไปได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังจำเป็นต้องบริหารจัดการน้ำอย่างเคร่งครัด!

ขณะที่มาตรการรับมือวิกฤติภัยแล้งที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็น “เจ้าภาพหลัก” ในการดำเนินการนั้น ครม.ได้อนุมัติแผนการดำเนินงาน 8 มาตรการ ภายใต้ “โครงการบูรณาการมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี 2558/2559” ดังนี้

มาตรการที่ 1 ส่งเสริมความรู้และสนับสนุนปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการสร้างรายได้จากการปลูกพืชใช้น้ำน้อย ปศุสัตว์ ประมง และปรับปรุงดิน วงเงิน 1,009.07 ล้านบาท ซึ่ง ครม.เห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 24 พ.ย.2558 ในวงเงินเบื้องต้น 971.98 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายดำเนินการ 386,809 ราย ซึ่งข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือน ม.ค.59 ได้มอบปัจจัยการผลิตแล้ว 58,129 ราย คิดเป็น 15% ที่เหลือคาดจะแล้วเสร็จภายในเดือน ก.พ.59

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลดค่าครองชีพภายใต้โครงการ “ธงฟ้า ช่วยภัยแล้ง” มีผลการจัดจำหน่ายสินค้าตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.58 ที่ผ่านมา จำนวน 199 ครั้ง ในพื้นที่ 20 จังหวัด มีมูลค่าการจำหน่ายรวม 21.51 ล้านบาทและลดภาระค่าครองชีพ 14.34 ล้านบาท และมีประชาชนเข้าร่วมงานกว่า 71,684 คน

มาตรการที่ 2 ชะลอหรือขยายเวลาชำระหนี้ ได้แก่ การลดค่าเช่าที่ดิน ค่าเช่าซื้อที่ดิน และขยายระยะเวลาการชำระหนี้ในเขตปฏิรูปที่ดิน ซึ่งดำเนินการไปแล้ว 22,613 ราย วงเงิน 60.23 ล้านบาท รวมทั้งการให้สินเชื่อเกษตรกร 61,369 ราย วงเงิน 1,213.02 ล้านบาท การให้สินเชื่อกับประชาชน 10,078 ราย วงเงิน 818.38 ล้านบาท ลดภาระดอกเบี้ยให้เกษตรกรและประชาชน 630 ราย วงเงิน 109.25 ล้านบาท โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน

มาตรการที่ 3 การจ้างงานทดแทนการทำเกษตร โดยมีการจ้างแรงงานแล้ว 237,855 ราย แบ่งเป็นจ้างแรงงานชลประทาน 68,025 คน การจ้างแรงงาน เร่งด่วน 7,869 คน และจ้างงานจากเงินทดรองราชการของจังหวัด 161,961 คน นอกจากนี้ มติ ครม.เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.58 ได้อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินโครงการอบรมเพื่อเพิ่มผลิตภาพการผลิตของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี 2558/59 ซึ่งอยู่ระหว่างคัดเลือกเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ

มาตรการที่ 4 การเสนอโครงการพัฒนาอาชีพตามความต้องการของชุมชน ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.58 และ 15 ธ.ค.58 ได้อนุมัติกรอบวงเงินโครงการฯระยะที่ 1 กรณีการปลูกพืชใช้น้ำน้อย วงเงิน 167.56 ล้านบาท ซึ่งทางจังหวัดได้โอนเงินให้ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล (ศบกต.) แล้ว 155 โครงการ วงเงิน 151.94 ล้านบาท

นอกจากนั้นยังมีมติคณะกรรมการอำนวยการบูรณาการแก้ไขปัญหาวิกฤติภัยแล้ง เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 59 ได้เห็นชอบโครงการตามแผนพัฒนาชุมชนฯ ระยะที่ 2 ครั้งที่ 1 ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีจำนวน 3,135 โครงการ วงเงิน 1,614.0439 ล้านบาท คาดว่าจะมีเกษตรกรได้รับประ– โยชน์ 740,184 ราย

มาตรการที่ 5 การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกข้าว โดยวิธีเปียกสลับแห้งเพื่อการประหยัดน้ำ ได้จัดทำแปลงสาธิตแล้วจำนวน 37 แปลง ในพื้นที่ 9 ศูนย์ทดลอง คิดเป็น 37% ของแปลงสาธิตเป้าหมายทั้งหมด

มาตรการที่ 6 การเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน ได้แก่ การปฏิบัติการฝนหลวง จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วจังหวัดนครสวรรค์ มีการขึ้นปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.58 จำนวน 66 เที่ยวบิน มีรายงานฝนตกรวม 11 จังหวัด การขุดเจาะบ่อบาดาล ดำเนินการเสร็จแล้ว 1,257 บ่อ และการทำแก้มลิง 30 แห่ง ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ นครพนม มุกดาหาร หนองคาย บึงกาฬ และเลย

ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มความจุน้ำเก็บกักได้ 12.77 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่รับประโยชน์ 14,680 ไร่ เกษตรกร 6,030 ครัวเรือน

มาตรการที่ 7 การเสริมสร้างสุขภาพและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยกระทรวงสาธารณสุขออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และเจ้าหน้าที่สายตรวจลงพื้นที่ 30,488 ครั้ง

มาตรการที่ 8 การสนับสนุนอื่นๆ เช่น ธ.ก.ส.ให้สินเชื่อแก่วิสาหกิจชุมชน 11 กลุ่ม วงเงิน 9.30 ล้านบาท และกองทุนพัฒนาสหกรณ์ให้สินเชื่อปลอดดอกเบี้ยระยะเวลา 6 เดือน จำนวน 45 สหกรณ์ วงเงิน 83.82 ล้านบาท

ทั้งหมดนี้เป็นมาตรการระยะสั้นๆ เพื่อฟันฝ่าภัยแล้งปีนี้ไปให้ได้ ขณะเดียวกันพวกเราทั้งประเทศกำลังรอคอย “มาตรการระยะยาว” เพื่อให้คนไทยรับมือกับ “ความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ” ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกทีได้อย่างยั่งยืน.
ทีมเศรษฐกิจ

นับถอยหลังอี-เพย์เม้นท์ จุดเปลี่ยนวิถีชีวิตคนไทย ใช้จ่ายไม่ต้องพึ่ง “เงินสด”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/563912

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 18 ม.ค. 2559 05:01

 

คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.58 ที่ผ่านมาได้เห็นชอบหลักการแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของโครงงานที่ “นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” รมว.คลัง ฝันจะให้เกิดขึ้นให้ได้ในประเทศไทย

เพราะการพัฒนาระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว ไม่เพียงจะก่อให้เกิดการปฏิรูปแบบ “พลิกโฉม” ระบบการชำระเงินที่ดีที่สุดในโลกอีกระบบหนึ่งที่คิดค้นโดยคนไทย ยังจะเปลี่ยนวิถีการใช้เงินของคนไทยจากที่ต้องพกพาเงินสดเป็นฟ่อนๆไปซื้อสินค้าไปตลอดกาล!

ทั้งยังจะช่วยให้พัฒนาฐานภาษีของประเทศให้ใกล้เคียงความจริงมากขึ้น รวมทั้งช่วยให้รัฐบาลสามารถแยกแยะ “ผู้มีรายได้น้อย” ตัวจริงออกจาก “ตัวปลอม” เพื่อส่งความช่วยเหลือไปให้อย่างถูกฝาถูกตัวอีกด้วย

โฉมหน้าและเค้าโครงระบบการชำระเงินแบบใหม่ที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์และเศรษฐกิจฐานดิจิตอลเป็นอย่างไรนั้น “ทีมเศรษฐกิจ” ได้สัมภาษณ์ “นายระเฑียร ศรีมงคล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
“เคทีซี” หรือบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะ “ประธานคณะทำงานการพัฒนาระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ” ดังนี้ :

เผยโฉมชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์

“การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบชำระเงินของประเทศ โดยนำระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของคนไทยอย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่การโอนเงิน การรับจ่ายเงินระหว่างประชาชน รวมไปถึงการใช้จ่ายของภาคเอกชนและรัฐบาล” นายระเฑียร เริ่มต้นบทสนทนากับ “ทีมเศรษฐกิจ” ถึงการนำประเทศไทยไปสู่การใช้ “เงินอิเล็กทรอนิกส์” แทน “เงินสด”

โดยจะมีการนำเอาระบบชำระเงินซึ่งเป็นพื้นฐานใหม่ที่เรียกว่า Any ID ขึ้นมา ซึ่งจะสามารถนำข้อมูลตัวบุคคล (Identification) ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขโทรศัพท์มือถือ “อีเมล” หรือหมายเลขบ้าน มาเป็นรหัสผ่านในการชำระเงิน หรือโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยจ่ายจากบัญชีธนาคารที่ผูกไว้ สร้างความสะดวกให้กับประชาชนมากขึ้น จากเดิมที่ต้องใช้เฉพาะบัญชีธนาคาร

นอกจากนั้น ยังช่วยอำนวยความสะดวกในช่องทางการชำระเงินในอนาคต เช่น การชำระเงินผ่านระบบโทรศัพท์มือถือ ขณะที่การขยายการใช้บัตรแทนเงินสด โดยติดตั้งเครื่องรับชำระเงินหรือ Electronic Data Capture : EDC ตามร้านค้าทุกร้านทั่วประเทศ และการรับชำระเงินผ่านบัตรของหน่วยงานราชการ จะทำให้คนหันมาใช้บัตรแทนเงินสดมากขึ้น

ท้ายที่สุดเงินสดจะลดลง และจะเหลือบัตร 2 ประเภท คือ บัตรแตะ หรือ “บัตรเติมเงิน” ประเภทต่างๆ และ “บัตรรูด” เช่น บัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต ซึ่งสามารถใช้จ่ายแทนเงินสดได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งมวลชน ชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสาธารณูปโภค ใช้จ่ายตามร้านค้า หรือการติดต่อชำระเงินกับทางราชการ

ภายใต้โครงการนี้ คณะทำงานวางเป้าหมายยุทธศาสตร์ไว้ทั้งหมด 5 ด้าน ประกอบด้วย 1.การสร้างโครงสร้างระบบชำระเงินแบบ Any ID 2.โครงการขยายการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด 3.ระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 4.ระบบ e-Payment ของภาครัฐ และ 5. การให้ความรู้และส่งเสริมการใช้ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์

“โครงการนำร่องจะเริ่มเห็นภายในกลางปีนี้ และคาดว่าต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนาระบบและสร้างโครงการพื้นฐานของระบบชำระเงินใหม่ทั้งหมด อีกประมาณหนึ่งปีเศษถึงจะเห็นระบบการชำระเงินตามที่วางแผนไว้อย่างเป็นรูปธรรม และหลังจากนั้นอีกประมาณ 6 เดือนหรือประมาณต้นปี 2560 ก็จะเริ่มมองเห็นภาพของการเชื่อมโยงระหว่าง National e-Payment กับนโยบาย Digital Economy ของรัฐบาล”

โดยขณะนี้ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กำลังอยู่ระหว่างการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆให้สอดคล้องระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ของกระทรวงการคลัง พร้อมๆกับบูรณาการกับกระทรวง
อื่นๆ เช่น กระทรวงคมนาคมในการทำตั๋วร่วมที่ใช้บัตรเพียงใบเดียวในการขึ้นรถเมล์ ลงเรือ ต่อรถไฟทั้งบนดินและใต้ดิน

“สิ่งที่เรากำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้คือ การปฏิรูประบบเงินของประเทศขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ดังนั้นภาพที่ปรากฏในตอนนี้จึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากๆ เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเราไม่เคยมีสิ่งนี้มาก่อนเลย เรามีแต่พูดคุยกันอยู่บนกระดาษ และผมมีความเชื่อมั่นรัฐบาลที่ทำจริงจังกับทุกเรื่อง โดยเฉพาะนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลังและนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่มีนโยบายและให้การสนับสนุนเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจ”

โดยหลังจากโครงการนี้ดำเนินการสำเร็จ ประเทศไทยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนใน 2 เรื่องคือ 1.ปฏิรูปโครงสร้างภาษี และ 2.ปฏิรูปภาคการเงินโดยใช้ e-Payment

e-Payment เปลี่ยนชีวิตคนไทย

เมื่อจุดเริ่มต้นของโครงการนี้ คือการมุ่งไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ของระบบชำระเงินเป็นอันดับแรก โครงการแรกจึงจะเริ่มจากการสร้าง Any ID ขึ้น ซึ่งประชาชนจะแจ้ง Any ID ที่ต้องการผูกกับบัญชีธนาคารของตัวเอง เช่น หมายเลขโทรศัพท์กับบัญชีธนาคารผูกไว้ด้วยกัน หลังจากนั้นเราจะใช้หมายเลขโทรศัพท์แทนเบอร์บัญชีธนาคารได้ทันที

“ประเด็นนี้ถือเป็นหัวใจของระบบชำระเงินทั้งหมด เพราะคนที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงเท่านั้น ที่จะรู้ว่า Any ID ของตัวเองคืออะไร แม้ว่าประชาชนทั่วไปอาจเปิดบัญชีไว้หลายธนาคาร หรือมีโทรศัพท์มือถือหลายเครื่องก็ตาม แต่เมื่อมีการผูกบัญชีเอาไว้กับ Any ID ที่ต้องการไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมีการสั่งโอนเงินจากที่ไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วก็จะไหลเข้าสู่บัญชีของตัวผู้รับเงินแท้จริงเท่านั้น”

“วิธีการนี้เหมือนกับ กสทช.ที่มี Mobile Number Portability การคงสิทธิหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือย้ายค่ายเบอร์เดิม ที่จะเป็นจุดศูนย์รวมของระบบบัญชีหมายเลขโทรศัพท์ของประเทศ โดยนำเบอร์โทร.
ที่ต้องการมาผูกไว้กับบัญชีธนาคารซึ่งจะส่งผลให้คนไทยทั้งประเทศก็มีโอกาสเข้าถึงระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์” นายระเฑียรกล่าว

ขณะที่แนวทางที่ 2 คือ การขยายการใช้บัตรแทนเงินสดให้มากขึ้น ซึ่งเรื่องที่ยุ่งยากที่สุดคือ จุดรับชำระเงิน เนื่องจากต้องมีการติดตั้งเครื่อง EDC เพื่อใช้สำหรับการรูดบัตรเพิ่มมากขึ้น โดยในปัจจุบันมีการประเมินกันว่า ร้านค้าทั่วประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 2 ล้านร้านค้า เพิ่งติดตั้ง EDC ไปได้เพียง 300,000 เครื่อง ยังเหลืออีก 1.7-1.8 ล้านร้านค้าที่ยังไม่มีเครื่องดังกล่าว โดยส่วนใหญ่เป็นร้านค้าขนาดเล็ก หรือห้องแถว แผงลอย ที่มียอดขายสินค้าน้อยทำให้เกิดความไม่คุ้มค่าในการลงทุนของสถาบันการเงิน เนื่องจาก EDC มีราคาแพง เครื่องละ 3,000-4,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราทำข้อตกลงระหว่างสถาบันการเงินว่า เมื่อลงทุนเองไม่คุ้มค่า ก็ควรมีการจัดตั้งเป็นบริษัทร่วมค้า (Consortium) พูลเครื่อง EDC ระหว่างกันเพื่อให้ระบบชำระเงินมีความสมบูรณ์มากที่สุด โดยตั้งหน่วยงานกลางเพื่อสร้างระบบเคลียร์ริ่ง หรือระบบชำระเงินระหว่างสถาบันการเงินขึ้นมาใหม่ จากเดิมที่สถาบันการเงินแต่ละแห่งจะมีเครื่อง EDC เป็นของตนเอง และใช้บัตรของตัวเองในการรูดซื้อสินค้า ก็จะเปลี่ยนเป็นเครื่องที่สามารถรูดได้ทุกบัตรและทุกสถาบันการเงิน

นอกจากนี้ ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เองก็กำลังพัฒนาเรื่องการชำระดุลระหว่างบัตรอิเล็กทรอนิกส์ภายในประเทศ (Local Switching) เพื่อลดต้นทุนให้กับระบบชำระเงินภายในประเทศ โดยคาดว่าภายในปีนี้ จะสามารถนำมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ขณะเดียวกัน ภาครัฐเองจะต้องพัฒนาระบบ e-Payment ของภาครัฐควบคู่กันไป เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ระบบโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ และบัตรอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเติมเงิน บัตรเครดิต เดบิต เพื่อติดต่อชำระเงินกับหน่วยงานราชการได้สะดวกและรวดเร็ว

nสะดวกทั้งคนใกล้-คนไกล-คนรวย-คนจน

“ระหว่างนี้ทีมงานต้องวางแผนประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต หากการวางแผนและการพัฒนา e-Payment สำเร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าถึงระบบที่เราวางเอาไว้ โดยเฉพาะสร้างความเข้าใจให้คนที่อยู่ในชนบทที่ห่างไกล รวมทั้งคนชรา มีความสะดวกสบายมากขึ้น เช่น การรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล หรือเงินโอนจากลูกหลานที่อยู่ในเมืองที่ส่งถึงมือโดยตรง ไม่ต้องผ่านคนอื่น

ขณะที่ยังช่วยในเรื่องความปลอดภัย ไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมาก เพราะเพียงแค่มีบัตรใบเดียวก็สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาล ชำระค่าสินค้าและอื่นๆได้อีกมากมาย”

หลายคนอาจมีคำถามว่า ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์เลือกซื้อสินค้าตามร้านค้าทั่วไป แค่ซื้อของเล็กๆน้อยๆ เขาจะรับหรือไม่ ในขั้นตอนนี้เราได้กำหนดเอาไว้ว่า วงเงินขั้นต่ำที่เริ่มใช้บัตรได้ควรจะอยู่ที่ 10-20 บาทต่อการรูดซื้อสินค้า เนื่องจากประชาชนทั้งประเทศมีฐานะทางด้านการเงินที่แตกต่างกัน

และจากตรงจุดนี้เอง ประเภทของสินค้าที่ซื้อ และยอดเงินในการชำระเงินผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ จะทำให้รัฐบาลสามารถแยกแยะผู้มีรายได้สูง-ต่ำ ซึ่งจะช่วยทำให้ภาครัฐสามารถที่จะให้ความช่วยเหลือหรือออกมาตรการต่างๆ เพื่อคนรายได้น้อยได้อย่างตรงจุด และสามารถทบทวนมาตรการความช่วยเหลือแบบเหวี่ยงแหในอดีต เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค รถเมล์ รถไฟฟรี ที่คนไทยมีสิทธิเท่าเทียมกันทุกคน และทุกฝ่ายจะเริ่มมองเห็นภาพความแตกต่างที่ชัดเจน คนที่ใช้จ่ายเงินจำนวนมากก็จะมีเงินอยู่ในบัตรมาก อาจไม่ควรได้สิทธิจะขึ้นรถเมล์ รถไฟฟรีจากมาตรการของรัฐบาลอีกต่อไป

ส่วนคนที่มีรายได้น้อย หรือคนจนที่สมควรได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐบาลอย่างเต็มที่ เมื่อรัฐบาลรู้ว่าคนนี้เป็นคนที่มีรายได้น้อย การออกมาตรการของรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ เช่น การบรรเทา
ภาระค่าครองชีพ ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่ารถโดยสารฟรี หรือค่ารักษาพยาบาล ซึ่งเป็นมาตรการระยะยาว ก็สามารถเจาะกลุ่มลงไปโดยตรง และจะช่วยลดงบประมาณของรัฐในส่วนที่ไม่ควรเสียได้อีกทางหนึ่งด้วย

อุดรูรั่วภาษี-เพิ่มรายได้รัฐ

“เมื่อรัฐบาลรู้ว่า คนรวยอยู่ไหน และใครคือคนจน แผนการต่อไปของระบบ e–Payment คือ การมุ่งไปสู่การเชื่อมโยงระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์เข้ากับกรมสรรพากร เพื่อให้กรมสรรพากรนำข้อมูลที่ได้รับไปรวบรวมเป็นหลักฐานการใช้จ่ายของประชาชนและร้านทั่วประเทศ” นายระเฑียรกล่าวและชี้แจงเพิ่มเติมว่า

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา กรมสรรพากรได้พยายามขยายฐานภาษีเพิ่มมากขึ้น แต่ยังคงเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ 10 ล้านคน จากจำนวนประชากร 65 ล้านคน และเก็บภาษีจากร้านค้าประเภทนิติบุคคลได้เพียง 400,000 แห่ง จากจำนวนบริษัทมากกว่า 2 ล้านแห่งทั่วประเทศ หมายความว่า ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังไม่เคยเสียภาษี และมีร้านค้าอีกนับแสนๆรายที่ไม่เข้าระบบภาษีของประเทศ

ระบบ “e-Payment” จึงถูกออกแบบให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลการใช้จ่ายเงินของบุคคลผ่านบัตรไปถึงร้านค้า และจากสถาบันการเงินไปถึงกรมสรรพากร ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างฐานข้อมูลของประเทศไทยขึ้นมาใหม่ทั้งหมด

เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กรมสรรพากรไม่เคยสามารถเชื่อมโยงข้อมูลส่วนบุคคลที่แท้จริงเข้าสู่ระบบการเสียภาษีที่ถูกต้องได้อย่าง 100% แต่หากมีการนำระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์เข้าใช้แล้ว บทบาทในการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรก็จะมีมากขึ้น

คนรวยที่ไม่เคยเสียภาษี หรือเสียภาษีแต่ก็น้อยมากๆ หรือภาษีที่เคยหลบเลี่ยง หรือไม่เคยเสียเลย เพราะอ้างว่ามีรายได้เพียงเล็กๆน้อยๆ แต่หากยอดการใช้จ่ายเงินมาก ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่แสดงเอาไว้กับกรมสรรพากร ข้อมูลเหล่านี้ก็จะปรากฏขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน ทำให้กรมสรรพากรรู้ตัวทันที

เช่นเดียวกับร้านค้าที่เคยแสดงผลดำเนินงานขาดทุนมาโดยตลอด แต่กลับมียอดขายพุ่งสูงลิ่วจากยอดการรับบัตรผ่าน e-Payment กรมสรรพากรก็จะมีหลักฐานใหม่ๆเกิดขึ้น และเข้าไปตรวจสอบภาษีได้ทันที ซึ่งประเด็นนี้ รมว.คลัง เคยระบุในที่ประชุมว่า หากระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ทำได้สำเร็จ กรมสรรพากรจะมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 100,000 ล้านบาท โดยไม่มีความจำเป็นต้องขึ้นภาษีใดๆในอนาคต

ดังนั้น ภายใต้โครงการนี้ ผลดีจะเกิดขึ้นกับประชาชนมากที่สุด เพราะ e-Payment จะทำให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้ได้เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ประเทศสวีเดนที่ได้ประกาศยกเลิกใช้เงินสดเมื่อปีที่แล้ว ผลปรากฏว่า รายได้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และส่งผลให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นภาษี แต่ยังลดอัตราภาษีลงมาได้ เพราะเมื่อลดภาษีแล้วรายได้รัฐบาลที่ขาดหายไป ก็ไม่รู้ว่าจะหารายได้จากแหล่งใดมาชดเชย เช่นเดียวกับค่าธรรมเนียมการโอนเงินของระบบธนาคารซึ่งควรจะลดลงได้จากปัจจุบัน เมื่อธุรกรรมเกิดมากขึ้น

ขณะเดียวกัน การเดินหน้าสู่สังคมเงินอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด จะช่วยลดต้นทุนทางเศรษฐกิจ ที่เคยต้องเสียไปการใช้กระดาษ การใช้เช็ค การบริหารจัดการเงินสด และอื่นๆได้จำนวนมหาศาล ซึ่งเงินส่วนนี้จะกลับมาหมุนเวียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อีกหลายรอบ.

ทีมเศรษฐกิจ

เจ้าพ่อ คิง เพาเวอร์ ตอบคำถามเรื่อง ดิวตี้ฟรี ไม่ใช่ “สัมปทานผูกขาด”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/560588

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 11 ม.ค. 2559 05:01

 

อีกครั้งที่เจ้าของห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของประเทศลุกขึ้นมาทุบโต๊ะกับกระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬา ให้รัฐบาลและกระทรวงการคลัง ต้องปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะสินค้าประเภทแบรนด์เนมลงเหลือ 0%

โดยอ้างว่าจะทำให้การท่องเที่ยวไทยคึกคัก เพราะจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมเพิ่มมากขึ้นในยามที่เศรษฐกิจประเทศกำลังถดถอยเช่นที่เป็นอยู่

ข้อเรียกร้องนี้ ยังกล่าวพาดพิงธุรกิจร้านค้าปลอดอากรของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จำกัด ที่มีนายวิชัย ศรีวัฒนประภา เป็นประธาน ด้วยว่าได้ใบอนุญาตสัมปทานมาโดยวิธีพิเศษ ผูกขาดสัมปทาน ร้านค้าปลอดอากรเพียงรายเดียวโดยเฉพาะในสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง

ทำให้เกิดข้อเรียกร้องอื่นๆตามมาอีก เช่น ขอแบ่งพื้นที่สัมปทานให้เจ้าของห้างสรรพสินค้าอื่นๆบ้าง ทั้งนี้ให้รวมถึงร้านค้าปลอดอากรของเกาหลีใต้ หรือไต้หวันที่ถูกดึงเข้ามาร่วมทุนในประเทศไทยด้วย ขณะที่การขออนุญาต ตั้งร้านค้าปลอดอากรเป็นสิ่งที่รัฐบาลเปิดเสรีมานานแล้ว และนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ได้รับการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7%อยู่แล้ว หากซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้าในประเทศไทยกลับไป

ที่ฟังดูเป็นเรื่องน่าตลกกว่าก็คือ ขอให้เจ้ากระทรวงคมนาคมคนก่อน ซึ่งปัจจุบันเป็นรองนายกฯกำกับดูแลงานของกระทรวงนี้ และท่าอากาศยานต่างๆ เปิดพื้นที่รับสินค้าปลอดอากรเสรีเพื่อให้เจ้าของห้างสรรพสินค้าต่างๆก็ดี ร้านค้าปลอดอากรรายอื่นก็ดี และสาขาร้านค้าปลอดอากรของชาติอื่นก็ดี

มีสิทธิ์ให้ลูกค้าของพวกเขาไปรับสินค้าในพื้นที่ที่ว่านี้ได้ แม้จะรู้ชัดเจนว่า บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. (AOT) เปิดประมูลสัมปทานร้านค้าปลอดอากรควบคู่เป็นแพ็กเกจเดียวกันไปกับเคาน์เตอร์รับสินค้า (Pickup counter) ก็ตาม

ทีมเศรษฐกิจ ขอสัมภาษณ์พิเศษ วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกลุ่มบริษัทในเครือ คิง เพาเวอร์ จำกัด อีกครั้ง หลังมีกระแสข่าวการรุกไล่ให้รัฐบาลลดภาษีนำเข้า และการเปิดฉากโจมตีกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เพื่อขอแบ่งพื้นที่ เมื่อนักท่องเที่ยวจากจีนยกทัพเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเกือบ 8 ล้านคนในปีที่ผ่านมา

ว่าแต่นักท่องเที่ยวทั้งหมดแทบไม่ได้ซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้าในประเทศไทยที่แม้จะลงทุนสร้างแข่งกันขึ้นมามากตลอดถนนสายสำคัญๆทางเศรษฐกิจของกรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่ๆก็ตามที

จุดเริ่มต้น-การเติบโตที่รวดเร็วของ คิง เพาเวอร์

เราเริ่มร้านค้าปลอดอากรเล็กๆในเมืองที่อาคารมหาทุนพลาซ่า มีพนักงาน 100 กว่าคน มียอดจำหน่ายปีละ 100 กว่าล้าน จุดเปลี่ยนจริงๆเริ่มขึ้นเมื่อมีโอกาสเข้าไปประมูลสัมปทานต่างๆภายในท่าอากาศยาน ตอนนั้นก็ยังเป็นดอนเมืองอยู่ เราได้สัมปทานขายสินค้าและของที่ระลึก จากนั้นก็ได้รับสัมปทานประกอบกิจการร้านค้าปลอดอากรในสนามบินดอนเมือง แต่ขณะนั้นแบ่งเป็น 2 ราย

กระทั่งอีกรายทำไม่สำเร็จ ทอท.จึงปรับเปลี่ยนให้ร้านค้าปลอดอากรมีรายเดียวเพื่อมิให้มีข้อแตกต่างด้านสินค้า ราคา และการบริการ เราจึงได้รับการพิจารณา

จุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกอย่างก็คือ เราได้รับความกรุณาจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ในการเช่าพื้นที่บริเวณถนนรางน้ำ เพื่อพัฒนาเป็นร้านค้าปลอดอากรในเมืองที่ค่อนข้างใหญ่ มีพื้นที่รวมเกือบ 20,000 ตารางเมตร บนเนื้อที่ 33 ไร่ เราสร้างอาคารสำนักงาน ร้านอาหาร โรงละครที่นี่

ร้านค้าปลอดอากรที่ถนนรางน้ำเป็นโครงการที่วางแผนรองรับการท่องเที่ยวในอนาคต ที่จะส่งต่อนักท่องเที่ยวจากสนามบินสุวรรณภูมิเข้ามา หลังจากที่ คิง เพาเวอร์ ชนะการประมูลสัมปทานให้เป็นผู้บริหารโครงการเชิงพาณิชย์ทั้งหมดภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งครอบคลุมถึงร้านขายของที่ระลึก ร้านจัดจำหน่ายอาหาร การให้บริการต่างๆ และจุดส่งมอบสินค้าปลอดอากรซึ่งอยู่ภายใต้โครงการเชิงพาณิชย์ทั้งหมด

“ครั้งนั้นมีผู้เข้าประมูล 5 รายด้วยกัน บริษัทใหญ่หลักๆที่เข้าประมูลก็เช่น กลุ่มเซ็นทรัล และดิวตี้ฟรีจากต่างประเทศ แต่ในที่สุด เราก็ชนะด้วยข้อเสนอด้านเทคนิคและราคาที่ดีกว่า จะเห็นได้ว่าบางโครงการเราได้รับมาจากการเข้าร่วมประมูล และบางโครงการก็จะเกิดขึ้นจากการเสนอตัวเข้ารับอนุญาต ซึ่งก็ทำกันอย่างเปิดเผยมาโดยตลอด ตั้งแต่ที่ยังไม่มีใครสนใจเรื่องร้านค้าปลอดอากร”

ข้อควรรู้เรื่องร้านค้าปลอดอากร

เมื่อกลับมาเปิดใช้ดอนเมืองอีกครั้ง นายวิชัย กล่าวว่า เขาได้ไปยื่นซองประมูลร้านค้าปลอดอากร และจุดส่งมอบสินค้าที่สนามบินด้วย และต้องยอมรับว่ามีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเซ็นทรัล กลุ่มเดอะมอลล์ที่จับมือกับกลุ่มชิลล่าดิวตี้ฟรีของเกาหลีใต้ หรือล็อตเต้ ซึ่งมาจากประเทศเดียวกัน แม้กระทั่งกลุ่มสยามฟิวเจอร์ก็จับมือกับล็อตเต้ของเกาหลีเข้าร่วมประมูลร้านค้าปลอดอากรที่ดอนเมืองด้วย

ครั้งนี้เราก็ชนะการประมูลมาด้วยราคาค่าตอบแทนที่สูงกว่าทุกราย และยังสูงกว่ารายที่ 2 คือกลุ่มเซ็นทรัลที่เสนอ 40 กว่าล้านบาทต่อเดือนด้วย ขณะที่เราเสนอกว่า 60 ล้านบาทต่อเดือน เราจึงได้รับคัดเลือก ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า การได้มาซึ่งสัญญาหรือสัมปทานต่างๆเราจ่ายเต็มที่ และเสนอสูงกว่ารายอื่นๆ จึงเป็นผลให้เราชนะการประมูล

การชนะประมูลสัมปทานพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ และร้านค้าปลอดอากรในสนามบินสุวรรณภูมิ กับการได้รับอนุญาตเข้าพัฒนาพื้นที่บนถนนรางน้ำจากสำนักงานทรัพย์สินฯเป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ที่ทำให้เราเติบโตขึ้นตามลำดับ ยอดจำหน่ายจนถึงปีที่ผ่านมาสูงราวปีละ 68,000 ล้านบาท การเติบโตของเราเป็นไปตามการขยายตัวของการท่องเที่ยวที่บูมขึ้นอีกครั้งเมื่อทัพนักท่องเที่ยวจากจีนแห่เข้ามาในประเทศไทย เมื่อจีนเริ่มเปิดประเทศ 4 -5 ปีก่อน และบริษัทได้วางแผนรองรับการเปิดประเทศของจีนไว้นานแล้ว จากการลงทุนบุกเบิกตลาดไว้ล่วงหน้า

เราต้องใช้กำลังคน และเงินทุนไปมากจนมีบุคลากรที่พูดภาษาจีน หรือแม้แต่การออกไปทำตลาดในจีนร่วมกับการท่องเที่ยว หรือหน่วยงานในทุกๆมณฑล ทุกๆเมืองใหญ่ๆ ทั้งเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กวางเจา ตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ถ้าไม่มีตลาดจีนเพิ่มมากขึ้น รายได้ต่อปีก็อาจไม่ถึงขนาดนี้ ขณะนี้รายได้ที่เราได้รับจากลูกค้าจีนมีมากกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี ถ้าตลาดจีนไม่เติบโตเหมือนวันนี้ เราคงมีรายได้ปีละแค่ไม่กี่พันล้าน ตลาดจีนจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเรา การกำหนด Direction ที่ชัดเจน และลงมือสร้างความพร้อมก่อนออกไปบุกตลาด ทำให้เราไม่พลาดเป้าหมาย และไม่ใช่ คิง เพาเวอร์ เท่านั้นที่มีรายรับเพิ่มแต่ยังเกิดรายได้กับทุกธุรกิจบริการอย่างมากด้วย

ถนัด ซื่อสัตย์ สัมพันธ์ที่ดี…ต้องไปด้วยกัน

ความถนัดของเราคือ ทำธุรกิจที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นหลัก และที่ถนัดจริงๆก็คือทำร้านค้าปลอดอากรที่สั่งสมจากประสบการณ์มาตลอด 26 ปี

การฝึกฝน และลองผิดลองถูก ทำให้เรามีความชำนาญในธุรกิจมากขึ้น ที่สำคัญก็คือ ผู้ผลิต หรือ Supplier ต่างก็ให้ความไว้วางใจเราตลอด 26 ปีที่ทำธุรกิจร่วมกันมา เพราะเราตรงไปตรงมา ไม่เอาสินค้าของ Supplier ไปลักลอบขาย ความเป็นมืออาชีพของเรา ทำให้ Supplier แบรนด์ใหญ่ๆ ยอมให้เอาสินค้าแบรนด์ของเขาเข้ามาจำหน่ายภายในร้านค้าเรา ทั้งนี้เพราะเรามีประวัติที่ดี มี Portfolio ที่ดี หลายๆสิ่งเหล่านี้ ทำให้เราได้รับความร่วมมือจาก Supplier ทุกๆแบรนด์ค่อนข้างมาก เห็นได้จากการที่ร้านค้าของเรามี Brand ใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่ตลอด

ส่วนความสัมพันธ์กับบริษัททัวร์ เราได้ใช้ระยะเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดสร้างความสัมพันธ์อันดีกับบริษัททัวร์ โดยเฉพาะตลาดจีนที่ต่างก็ให้การสนับสนุนและอนุเคราะห์เราเต็มที่ “ในมุมของภาครัฐ ผมยืนยันว่า เราทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน เราชำระค่าสัมปทาน และผลตอบแทนให้รัฐครบทุกบาททุกสตางค์ตามกติกา และสัญญาที่มี”

นายวิชัย ตอกย้ำว่า การที่จะทำให้หน่วยงานรัฐไว้วางใจ ต้องมีความซื่อสัตย์ และทำทุกอย่างตามกฎกติกา ข้อตกลง ข้อสัญญา รวมทั้งต้องทุ่มเททำงานทุกอย่างให้รัฐได้รับประโยชน์สูงสุด พร้อมกับรักษาภาพลักษณ์อันดีของหน่วยงานรัฐที่เป็นผู้ให้ใบอนุญาตด้วย

“การได้รับความไว้วางใจจากรัฐสำคัญกับอนาคตของเรามากเกินกว่าที่จะคิดไปหลอกลวง หรือโกหกรัฐ มันไม่คุ้มกับการที่จะเอาอนาคตที่ยังหวังที่จะทำงาน และได้รับโอกาสจากรัฐมาเสี่ยง”

เรื่องการยุ่งเกี่ยวกับรัฐ หรือสัมปทานรัฐ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะสนามบินเป็นของรัฐ และจะจัดตั้งร้านค้าทัณฑ์บนก็ต้องขอใบอนุญาตจากรัฐอยู่ดี ก็เหมือนเปิดห้างสรรพสินค้านั่นแหละ อย่างไรเสียก็ต้องขอใบอนุญาตจากรัฐอยู่ดี

คิง เพาเวอร์ จ่ายค่าสัมปทานแก่รัฐไปแล้วเท่าไหร่?

ตลอด 26 ปีที่ผ่านมา เราจ่ายค่าตอบแทนให้หน่วยงานรัฐต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บมจ. ทอท.การท่องเที่ยวฯ หรือกรมศุลกากร สิริรวมกว่า 59,000 ล้านบาท และจ่ายภาษีอื่นๆที่เกี่ยวข้องกันไปกว่า 18,000 ล้านบาท รวมกว่า 78,000 ล้านบาท จากยอดจำหน่ายกว่า 400,000 ล้านบาท และกว่า 80% เป็นยอดจำหน่ายให้คนต่างชาติ นั่นย่อมหมายถึงบริษัทมีส่วนในการนำเงินตราเข้าประเทศไทยแล้วกว่า 300,000 ล้านบาท

นี่ยังไม่นับมูลค่ารวมที่เราทำการตลาดเพื่อเรียกคนจีนให้เข้ามาใช้เงินในประเทศไทยหลายแสนล้านบาทต่อปีด้วย จริงๆตัวเลขนี้น่าจะตอบชัดว่า รัฐได้อะไรจาก คิง เพาเวอร์บ้าง?!

มีคนถามว่าเอาหลักการอะไรมาคำนวณผลตอบแทนให้รัฐในการประมูล ผมตอบว่ามาจาก 2 สิ่งด้วยกันคือ 1.คำนวณจากการคาดการณ์เรื่องการตลาดในมุมมองของเราล้วนๆ สำหรับคนอื่นอาจมีความเสี่ยงมาก ถ้าไม่ใช่อย่างที่เราคิด หรือเกิดการผันผวนของตลาดโลก โยงกับการเมืองในประเทศ เราก็เจ๊ง!!

2.สิ่งที่รัฐยื่นข้อเสนอให้กับเรา ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลา จำนวนพื้นที่ และเงื่อนไขพิเศษอื่นๆ อาทิ จุดส่งมอบสินค้า (Pickup Counter) ทุกอย่างล้วนมีผลต่อการคำนวณรายรับ เพื่อคิดผลตอบแทนคืนกลับภาครัฐทั้งสิ้น

“เรื่องพวกนี้ผมไม่ได้จับมือรัฐบาลไทยเซ็นนะครับ รัฐบาลคิดข้อเสนอขึ้นมาเอง เพื่อเรียกเอกชนมารับเงื่อนไขยื่นซองประมูล แต่มาวันนี้จุดส่งมอบสินค้าที่สนามบินกลายเป็นประเด็นว่าผมผูกขาด จะให้เอาคืน ผมถามจริงๆนะครับ ถ้าเป็นรายอื่นได้ไป เขาจะคืนไหมครับ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของหลักการกับเงื่อนไขการจ่ายเงินให้รัฐ ถ้าผมบอกว่าปีไหนมีจลาจล ไม่มีนักท่องเที่ยวมา หรือเศรษฐกิจโลกตกต่ำ คนประหยัดค่าใช้จ่าย ผมขอเงินคืนได้ไหมครับ”

ต้องเรียนตามตรงๆว่าทุกอย่างที่เราได้มา มาจากการพิจารณาของหน่วยรัฐไม่ว่าจะโดยการอนุญาต หรือการประมูล ซึ่งเราจะต้องชนะทั้งด้านความรู้ความชำนาญ ประสบการณ์ ข้อเสนอด้านเทคนิคต่างๆ รวมถึงเราต้องเสนอ ค่าตอบแทนให้รัฐสูงกว่ารายอื่นๆ และเมื่อรวมทั้ง 2 ประเด็นนี้แล้ว เรายังต้องมีคะแนนที่รัฐเป็นผู้ประเมินที่สูงกว่ารายอื่นๆด้วย เราจึงจะเป็นผู้ได้รับอนุญาต

โดยส่วนใหญ่แล้วสัมปทานที่ได้มา เป็นการชนะที่ราคาค่าตอบแทนที่เสนอ ยกตัวอย่างการประมูลร้านค้าปลอดอากร และจุดส่งมอบสินค้าที่ดอนเมือง ที่มีทั้งกลุ่มเซ็นทรัล เดอะมอลล์ รวมถึง ชิลล่า และล็อตเต้ จากเกาหลี และอีกหลายกลุ่มทั้งในและต่างประเทศเข้าประมูลด้วย แต่ที่สุดที่เราชนะ ก็ชนะกันที่ค่าตอบแทน เพราะว่าทุกรายที่เข้าเสนอตัว ผ่านคุณสมบัติทางเทคนิค ก่อนจะมาแข่งขันกันที่ราคาค่าตอบแทน

การชนะกันที่ตัวเลขค่าตอบแทนที่สูงกว่า ไม่ใช่การผูกขาดอย่างที่ใครต่อใครกล่าวหา!!

ถามว่ารัฐได้ประโยชน์คุ้มค่าจากการประมูลหรือไม่ ตัวอย่างการประมูลร้านค้าปลอดอากรที่ดอนเมืองทำให้ ทอท. ได้รับค่าตอบแทนสูงกว่ารายที่ 2 ถึงกว่า 20 ล้านบาทต่อเดือน นั่นย่อมหมายถึง ทอท. ได้รับค่าตอบแทนที่สูงสุด และสูงกว่าที่รายอื่นเสนอ อย่างนี้ย่อมเรียกว่า รัฐได้ประโยชน์สูงสุดจากเราไปใช่ไหมครับ

แต่แปลกก็ตรงที่ส่วนใหญ่คนมองว่า เราได้มาเพราะว่าเรามีคอนเนกชั่น ถ้าเรามีคอนเนกชั่นจริงเราคงไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงขนาดนั้น แต่นี่เห็นกันชัดๆว่าตัวเลขที่เสนอสูงกว่ารายอื่น และสูงกว่ามากด้วย

“แน่นอนครับการทำธุรกิจมา 26 ปี จะบอกว่าไม่รู้จักใครเลย มันคงแปลก แต่การรู้จักกันนั้นเอื้อประโยชน์ให้เราหรือไม่ ก็เรียนตามตรงว่า ทุกอย่างมันต้องตรงไปตรงมา และการได้มาซึ่งใบอนุญาตต่างๆก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าดีและเหมาะสมกว่ารายอื่นจริง อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่สุวรรณภูมิ ถ้าจำไม่ผิดเราเสนอค่าตอบแทนให้ ทอท. ในปีที่ 1 มากกว่ารายที่ 2 ถึง 200 ล้านบาทต่อปี ทอท. ย่อมได้ค่าตอบแทนที่สูงสุดเช่นกันใช่ไหม”

การกดดันให้รัฐลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% กระทบไหม?

ผลการศึกษาของสถาบันการศึกษา และหน่วยงานต่างๆมากมาย มีทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วยรัฐคงต้องไปคิดเรื่องนี้ให้ตกตะกอนก่อนว่ามีผลดีผลเสียเป็นอย่างไร? ผลกระทบคืออะไร? แต่สำหรับผม ผมมองว่าส่งผลกระทบแน่นอน ประเด็นแรก คือ จะทำให้ราคาสินค้านำเข้ากับสินค้าที่ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะสินค้าที่มาจากชาวบ้านหรือ SME พวกนี้ มีข้อแตกต่างด้านราคาน้อยลง

ถ้าเป็นอย่างนี้ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อของนำเข้า หรือซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศก็ต้องพิจารณากันให้รอบคอบ ประเด็นที่สอง มั่นใจไหมว่า พฤติกรรมผู้บริโภคจะไม่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ถึงแม้ในขณะนี้ภาษียังไม่เป็น 0% กลุ่มเหล่านี้ก็มีพฤติกรรมบริโภคการสินค้านำเข้าแบรนด์เนมกันอยู่แล้ว เรากำลังทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศ โดยเฉพาะวัยรุ่นที่เป็นลูกหลานเรา เป็นอนาคต และเสาหลักของชาติ หันมานิยมสินค้าต่างชาติมากขึ้นหรือไม่

ที่สำคัญ คือ เรากำลังทำให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่สนับสนุนสินค้าไทย แต่ไปสนับสนุนสินค้าต่างประเทศหรือไม่ประการใด?

การเป็นรัฐบาล สามารถจะออกมาตรการอะไรก็ได้ ขออย่างเดียวอย่ากระทบ ชาวบ้าน อย่าไปทำร้ายอุตสาหกรรมในประเทศ และอย่าไปทำให้พฤติกรรมการบริโภคในประเทศเปลี่ยนไป จริงๆแล้วช่องทางสำหรับผู้บริโภคที่ต้อง การบริโภคสินค้านำเข้าโดยไม่ต้องเสียภาษีมีอยู่แล้ว คือ ร้านค้าปลอดอากร แต่ผู้บริโภคจะได้รับสิทธิก็ต่อเมื่อเป็นผู้เดินทาง หรือท่องเที่ยวระหว่างประเทศเท่านั้น

การจะเป็นผู้ประกอบการที่จำหน่ายสินค้าประเภทไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าก็มีอยู่แล้ว คือ การเป็นผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากร แต่คุณต้องยอมที่จะจ่ายค่าตอบแทนให้รัฐเพื่อแลกกับมันมา ทุกวันนี้อย่างที่สนามบินสุวรรณภูมิ เราจ่ายค่าตอบแทนให้รัฐ 18% ของยอดขาย และจะปรับเป็น 20% ใน 2 ปีข้างหน้า

ค่าตอบแทนนี้ จ่ายออนท็อป (On Top) บนอัตราภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย ถ้าขายนาฬิกาได้ ต้องจ่ายค่าตอบแทนรัฐ 18%+ภาษีนำเข้า 5% แต่ถ้าเป็นพวกกระเป๋าแบรนด์เนม ต้องจ่าย 18% บนอัตราภาษีนำเข้า 30%

หากเปรียบเทียบค่าตอบแทนดังกล่าวจากต้นทุนคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์? ในทางกลับกันยกตัวอย่างภาษีนำเข้านาฬิกาที่ต้องจ่ายเพียง 5% จากต้นทุน แค่นี้ก็แตกต่างกันมหาศาลแล้ว ต่อให้รวม VAT 7% เข้าไปก็ยังไม่ถึง 18% จากยอดขายที่เราจ่ายให้รัฐเลย ดังนั้นหากอยากเป็นผู้ประกอบการที่จำหน่ายสินค้าที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ผมแนะนำให้ไปเปิดร้านค้าปลอดอากร ไปร่วมประมูล และไปจ่ายค่าตอบแทนให้รัฐตามกฎกติกาที่ตั้งไว้ และตรงนี้ก็จะไม่เป็นการทำลายธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม หรือ SME ภายในประเทศ

รวมถึงไม่เป็นการทำลายภาคผลิตโดยเฉพาะเครื่องหนัง เสื้อผ้า ไม่เป็นการทำลายพฤติกรรมผู้บริโภค เพราะผู้มีสิทธิซื้อเป็นตลาดของผู้เดินทางเท่านั้น ต่างกับการจะลดภาษีนำเข้าเป็น 0% ซึ่งใครที่อยู่ภายในประเทศก็จะซื้อหาได้อย่างสะดวก กระทบต่อคนทั้งประเทศ และผู้ผลิต สินค้าไทยที่หวังจำหน่ายสินค้าภายในประเทศทุกๆราย

ถ้าลดภาษีนำเข้าแบรนด์เนมแล้ว นักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นไหม?

ยังไม่มีข้อพิสูจน์หรอกครับว่า การลดภาษีนำเข้าเป็น 0% จะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทยมากขึ้นหรือไม่ประการใด โดยพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาส่วนใหญ่อยากมาเที่ยวประเทศไทยเพราะมีความอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งธรรมชาติ มีวัฒนธรรม โบราณสถานต่างๆ ที่สวยงาม มีอาหารการกินที่เป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก มีคนในชาติที่เป็นมิตรรักการให้บริการ

เขามาเที่ยวเมืองไทยเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นหลักมากกว่า การจับจ่ายสินค้าถือเป็นเรื่องรองยิ่งเป็นการจับจ่ายสินค้านำเข้าแล้ว ไม่ใช่เป้าหมายหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจมาเมืองไทยแน่นอน ดังนั้นความเห็นที่ว่า หากลดภาษีนำเข้า 0% แล้วจะจูงใจนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น ต้องพิจารณาให้รอบคอบ แต่ที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ หากภาษีนำเข้าสินค้าเป็น 0% แล้ว ก็เหมือนอย่างที่บอกไปแล้วคือ ข้อแตกต่างระหว่างราคาสินค้าที่นำเข้า กับสินค้าที่ผลิต และจำหน่ายในประเทศจะลดน้อยลงทันที อันนี้พิสูจน์ได้เลย เพราะมันเป็นคณิตศาสตร์ และสิ่งที่จะตามมาก็คือ พฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยจะเปลี่ยนไปนิยมสินค้านำเข้ามากขึ้น “ผมทำสำรวจว่าคนไทยไปญี่ปุ่นเพราะอะไรมาแล้วครับ คำตอบคือ 1.เพราะไม่ต้องทำวีซ่า 2.อยากไปเห็นบ้านเมืองวัฒนธรรมญี่ปุ่น 3.ไป ซื้อสินค้าญี่ปุ่นที่ไม่เหมือนใคร ผมตอบได้เลยว่า ญี่ปุ่นใช้เวลาและงบประมาณกับการสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้แตกต่าง ทำให้ทั้งคนญี่ปุ่นเองและนักท่องเที่ยวไปซื้อของท้องถิ่น สร้างเงินเข้าประเทศมากมาย ไม่ใช่มัวแต่คิดนโยบายที่ทำให้เงินไหลออก”

ถามต่อไปทำไมไปเกาหลี คำตอบเดียวกัน ไม่ต้องมีวีซ่า ไปทำไมกัน ไปดูโรงถ่ายหนัง อยากเห็นบ้านเมือง วัฒนธรรม ถ้าผู้บริหารด้านนี้ของประเทศ นำคำตอบพวกนี้มาเป็นแนวคิดเพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศไทยเราดีไหมครับ เพราะเรามีดีกว่าใครๆในเอเชีย ทั้งวัฒนธรรม อาหาร สินค้าท้องถิ่น โบราณสถาน

ผมเห็นว่า ยังต้องมีข้อพิจารณาอีกมากมายที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่า นโยบายนี้จะทำร้ายเราคนไทยกันเองหรือไม่ ประการใด

อีกอย่างที่ผมขอให้ข้อมูลในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจดิวตี้ฟรีมายาวนานที่สุดในประเทศไทยที่หลายท่านคงไม่ทราบ คือ ในธุรกิจแบรนด์เนมนั้น บริษัทแม่จะแบ่งแยกแผนกดิวตี้ฟรีออกมาโดยเฉพาะ และดำเนินกลยุทธ์เหมือนกันทุกแบรนด์คือ สร้างความแตกต่างเรื่องราคา ให้ราคาร้านค้าทั่วไปสูงกว่าราคาสินค้าที่สนามบิน เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อต่อกลุ่มผู้บริโภค

นักเดินทางมักซื้อของเพราะใช้สิทธิซื้อของที่ราคาต่ำกว่า ทั้งที่ความเป็นจริง เขาอาจยังไม่จำเป็นต้องซื้อก็ได้ นี่คือหลักการที่ทำยอดขายให้สูงขึ้นของบริษัทใหญ่ ดังนั้นบริษัทแบรนด์ชั้นสูงคงไม่เห็นด้วยกับนโยบายปรับราคาและการทำธุรกิจของแบรนด์ใหญ่ระดับโลก การปรับกลยุทธ์ไม่ใช่เรื่องที่บ้านเราคิดกันเอง ถ้าเราลดภาษีนำเข้า เขาไม่ลดราคาลงแน่ และส่วนต่างที่เกิดขึ้นเขาก็คงยิ้มรับไป เพราะเขาย่อมมีรายได้เพิ่มขึ้น

ผมว่าเราหากลยุทธ์ที่พึ่งพาตัวเองกันดีกว่าไหมครับ นโยบายที่ช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของชาติ โดยภาค SME ไม่เดือดร้อน คิดแบบนั้นไม่ดีกว่าหรือครับ?! อะไรที่เป็นอุปสรรคให้นักท่องเที่ยวเข้ามาไม่มากเท่าที่ควร ก็ลดลงดีไหม หรือทำให้เขาได้รับความสะดวกจากการเดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้น อาจเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น และขายของในประเทศได้มากขึ้น

ส่วนที่จะมาขอให้รัฐแบ่งพื้นที่ในสนามบินไปบริหารเชิงพาณิชย์ หรือขอแจมจุดส่งมอบสินค้าด้วย ผมว่าไม่แฟร์กับผมหรอกครับ เพราะผมจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนรัฐเป็นแพ็กเกจอย่างที่บอกไปแล้ว.

ทีมเศรษฐกิจ