บันนี่ ดีไลท์ กาญจนบุรี บ้านกระต่าย ที่แตกต่าง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05080151258&srcday=2015-12-15&search=no

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613

สัตว์เลี้ยงสวยงาม

สุจิต เมืองสุข

บันนี่ ดีไลท์ กาญจนบุรี บ้านกระต่าย ที่แตกต่าง

8 ปีแล้ว สำหรับการก่อตั้ง “บันนี่ ดีไลท์” ฟาร์มกระต่ายสายพันธุ์ฮอลแลนด์ ลอป (Holland Lop) ที่จากการสัมผัสกับเจ้าของฟาร์มและระบบการเลี้ยง ทราบได้ทันทีว่า บันนี่ ดีไลท์ เป็นฟาร์มกระต่ายที่ได้มาตรฐาน มีระบบการดูแลที่รัดกุมและถูกต้องตามหลักการเลี้ยงกระต่ายที่ฟาร์มควรมี แม้จำนวนกระต่ายภายในฟาร์มจะไม่มากมายถึงกับเรียกว่าฟาร์มขนาดใหญ่ได้ แต่ก็เป็นเพราะเจ้าของจำกัดจำนวนไว้ เพื่อให้การดูแลเป็นไปอย่างทั่วถึง

บันนี่ ดีไลท์ มีพื้นที่ที่กว้างขวาง ติดแม่น้ำแม่กลอง แม้จะเข้าเขตอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี แล้ว แต่การเดินทางอยู่ห่างจากอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ไปเพียง 20 นาที ของการเดินทางด้วยรถยนต์ จึงถือว่าเป็นการเดินทางที่สะดวก หากต้องการเยี่ยมชมฟาร์มหรือเลือกซื้อกระต่ายฮอลแลนด์ ลอป มาเลี้ยง ทั้งยังแน่ใจได้ว่า สัตว์เลี้ยงน้องใหม่ที่จะรับเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยกันนั้นสุขภาพแข็งแรง พร้อมที่จะเป็นสมาชิกใหม่อย่างไม่ต้องกังวลใดๆ

พื้นที่ขนาดเกือบ 6 ไร่ ซึ่งพื้นที่เกือบทั้งหมดปลูกไผ่กิมซุ่ง เพราะเป็นพืชทนแล้ง ทนน้ำท่วมขังได้นาน ลำไผ่ หน่อไผ่ และส่วนต่างๆ ของไผ่ สามารถขายนำมาซึ่งรายได้ของเจ้าของผู้ปลูก แต่สำหรับที่นี่ ผลผลิตจากไผ่กิมซุ่งที่ปลูกไว้นาน ไม่ได้ใช้ประโยชน์ใดๆ นอกจากอาศัยร่มเงาและการกักความเย็นจากต้นไผ่ไว้สูดอากาศบริสุทธิ์ภายในไร่ และร่มเงาพร้อมกับอากาศบริสุทธิ์เหล่านั้นช่วยได้ดีในเรื่องของสุขภาพกระต่าย

คุณปิยะลักษณ์ สาริยา เจ้าของฟาร์มบันนี่ ดีไลท์ ฟาร์มกระต่ายสายพันธุ์ฮอลแลนด์ ลอป บรรยายภาพให้เราเห็นถึงช่วงแรกของการก่อตั้งฟาร์มว่า ต้องการปรับปรุงที่ดินที่มีอยู่ให้เป็นสวน แต่เมื่อในใจรักการเลี้ยงสัตว์ จึงมองหาสัตว์ที่ไม่ก่อให้เกิดเสียงรบกวนเพื่อนบ้าน สิ่งที่นึกถึงคือ กระต่าย เมื่อรู้เป้าหมายของตนเอง จึงเริ่มศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับกระต่าย และสนใจสายพันธุ์ฮอลแลนด์ ลอป เพราะเป็นกระต่ายขนาดกะทัดรัด ไม่ใหญ่ ไม่เล็ก หูตก โดยเริ่มซื้อตัวแรกมาเลี้ยงเป็นกระต่ายโต เพศผู้ และตามด้วยกระต่ายโต เพศเมีย

ความสัมพันธ์ระหว่างกระต่ายกับคน คุณปิยะลักษณ์ บอกว่า ไม่เหมือนสุนัข ความแตกต่างคือ สุนัขเปรียบเสมือนผู้ติดตาม แต่สำหรับกระต่ายจะแสดงความเป็นเจ้านายกับคน โดยการแสดงอารมณ์ออกมา และให้เจ้าของปฏิบัติตามอารมณ์ของกระต่าย หากใครคิดจะเลี้ยงกระต่ายแล้วคิดว่าสั่งได้เช่นเดียวกับการออกคำสั่งสุนัขนั้น เป็นความคิดที่ผิด ดังนั้น ก่อนตัดสินใจเลี้ยงควรพิจารณาให้ดี

“เดิมไม่ได้คิดทำฟาร์ม แต่เมื่อซื้อมาเลี้ยงก็ยิ่งหลงรัก ถึงขั้นอยากทำฟาร์ม แต่เป็นฟาร์มที่ผลิตลูกกระต่ายแล้วเลือกคนซื้อ กระต่ายจากฟาร์มเราต้องมีอายุ 2 เดือน ขึ้นไป จึงจะปล่อยขาย เพราะธรรมชาติของลูกกระต่ายจะกินนมแม่นานถึง 2 เดือน ซึ่งลูกกระต่ายจะมีช่วงที่เริ่มปรับเปลี่ยนอาหารจากนมแม่ไปเป็นอาหารเม็ดหรือหญ้า ระหว่างอายุ 45-60 วัน และจะกินอาหารตามที่แม่กระต่ายกินให้เห็น หากลูกค้าซื้อลูกกระต่ายอายุก่อน 2 เดือนไป ระหว่างที่ลูกกระต่ายต้องปรับเปลี่ยนอาหารจากนมไปเป็นอาหารเม็ดหรือหญ้า จะเกิดปัญหาภายในระบบทางเดินอาหาร จึงมีให้เห็นว่า ลูกกระต่ายจำนวนมากตายเพราะท้องเสีย และปัญหารองลงมาที่พบได้ในลูกกระต่ายอายุไม่ถึง 2 เดือน แต่ต้องเปลี่ยนบ้านคือ กระต่ายปรับตัวไม่ทัน ป่วย และเกิดปัญหาสุขภาพจิต”

คุณปิยะลักษณ์ อธิบายระบบการย่อยอาหารในกระต่ายให้ฟังว่า อาหารที่กระต่ายกินเข้าไปจะถูกดูดซึมไปใช้ หากสารอาหารชนิดใดร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้ จะถูกส่งไปที่กระเพาะหมัก ซึ่งที่กระเพาะหมักจะมีจุลชีพ ทำหน้าที่ย่อยอาหาร ซึ่งจุลชีพประกอบด้วยสาร 3 ชนิด คือ ยีสต์ โปรโตซัว และแบคทีเรีย สาร 3 ชนิดนี้จะทำงานโดยการหมักอาหารที่กระต่ายกินเข้าไปและย่อย จากนั้นจะถ่ายออกมาเป็นเม็ดเล็กๆ ติดกัน รูปร่างคล้ายพวงองุ่น เรียกว่า อึพวงองุ่น ซึ่งถ้ากระต่ายกินกลับเข้าไปจะเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์มาก ในกรณีที่เลี้ยงกระต่ายเด็ก ควรนำอึพวงองุ่นมาผสมกับนมให้กระต่ายเด็กกิน ควรเป็นนมแพะหรือนมสำหรับกระต่ายเล็กเท่านั้น การนำอึพวงองุ่นผสมกับนมให้กระต่ายเด็กกินจะช่วยลดอาการท้องเสียได้เป็นอย่างดี

อาหารสำหรับกระต่ายที่เหมาะสมที่สุดคือ หญ้า ในไทยหญ้าที่พบได้ทั่วไปและดีสำหรับกระต่ายคือ หญ้าขน แต่ควรเลือกแหล่งที่พบ ควรหลีกเลี่ยงแหล่งหญ้าขนที่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรม ในเมือง เพราะจะมีสารปนเปื้อนที่ก่อให้เกิดอันตรายกับกระต่ายเมื่อกินเข้าไป ซึ่งหากทำได้ควรเลือกให้กินหญ้าทิมโมธี คือหญ้าที่มีคุณค่าทางอาหารและไฟเบอร์ที่ดีที่สุด ทั้งยังช่วยปรับสมดุลของระบบการย่อยอาหารให้กับกระต่ายด้วย

มีคำถามที่สงสัยในเรื่องความชอบในการให้ผักและผลไม้ของกระต่าย คุณปิยะลักษณ์ ตอบได้ทันทีว่า ชอบมาก เพราะผักและผลไม้มีวิตามินสูง และเป็นวิตามินที่ไม่มีในหญ้าแห้งและอาหารเม็ด แต่ระบบย่อยของกระต่ายจะมีภาวะไวต่อน้ำตาล หากได้รับน้ำตาลที่มากเกินไปจะทำให้ยีสต์โตเร็ว โอกาสกระต่ายจะป่วยด้วยโรคระบบทางเดินอาหารจะมีสูง หากให้กินต้องให้ในปริมาณที่ไม่มาก หรือเลี่ยงไม่ให้เลยจะดีที่สุดสำหรับผลไม้ แต่ผักให้ได้ในบางชนิด และควรเลือกผักที่ปลอดสาร เนื่องจากผักบางชนิดมีปริมาณน้ำที่สูงเกินความต้องการของกระต่าย ตัวอย่างผักที่ไม่ควรให้กระต่ายกิน เช่น ถั่วฝักยาว แตงกวา แตงร้าน กะหล่ำปลี เป็นต้น ผักที่ให้กินได้ควรเป็นพืชใบเขียวแต่กลิ่นไม่ฉุนจนเกินไป เช่น กวางตุ้ง ผักกาดหอม ผักกาดเขียว ผักกาดขาว และผักที่กินแล้วช่วยเสริมธาตุเหล็กให้กับกระต่าย เช่น คะน้า กะเพรา โหระพา เป็นต้น แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรให้ในปริมาณมาก แม้ว่าจะมีแร่ธาตุหรือวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อกระต่ายก็ตาม

“กระต่ายเกือบทุกสายพันธุ์ชอบอากาศเย็น อุณหภูมิประมาณ 18 องศาเซลเซียส แต่ถ้าในประเทศที่สภาพอากาศร้อน ควรเลี้ยงในห้องที่ควบคุมอุณหภูมิระหว่าง 24-27 องศาเซลเซียส เพราะกระต่ายเป็นสัตว์ที่มีพื้นที่ระบายความร้อนออกจากร่างกายเฉพาะบริเวณใบหูเท่านั้น หากอากาศร้อนจะสะบัดขนทิ้ง เพื่อเปิดให้ร่างกายมีพื้นที่ระบายความร้อน สำหรับบันนี่ ดีไลท์ จะเปิดพัดลมให้ภายในโรงเรือนกระต่ายเวลากลางคืน และเปิดแอร์ควบคุมอุณหภูมิให้ในเวลากลางวัน”

การดูแลกระต่ายของคุณปิยะลักษณ์ มองไปถึงความสุขที่กระต่ายควรได้รับ สุขภาพจิตที่ดี ดังนั้น การปล่อยให้กระต่ายมีอิสระในการวิ่งเล่นจึงเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้น ในทุกวัน กระต่ายเพศเมียจะได้รับการปล่อยที่พื้นดินเป็นฝูง ครั้งละ 10-15 นาที ส่วนกระต่ายเพศผู้ จำเป็นต้องปล่อยครั้งละ 1 ตัว ต่อ 10-15 นาที เพราะกระต่ายเพศผู้จะกัดกัน อาจทำให้กระต่ายได้รับอันตรายได้

การผสมพันธุ์ในกระต่าย คุณปิยะลักษณ์ แนะนำว่า ควรรอให้กระต่ายมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจในการผสม โดยควรรอให้อายุกระต่ายอย่างน้อย 10-12 เดือน หากผสมเร็ว ฮอร์โมนในแม่กระต่ายยังไม่เต็มที่ โอกาสไม่เลี้ยงลูก กัดลูกตายมีสูง หรือแม่กระต่ายบางตัวเครียด ทำให้เกิดภาวะดร็อปแคลเซียม ส่งผลต่อเนื่องไปถึงน้ำนมเป็นพิษ เมื่อลูกกระต่ายกินก็จะตาย

การผสมพันธุ์สำหรับบันนี่ ดีไลท์ จะดูสีที่ตลาดกระต่ายต้องการ ในไทยสีที่ต้องการจะเป็นสีอ่อน หรือสีส้ม ที่ถูกมองว่าเป็นสีทอง สีมงคล เพราะหากผสมได้สีเข้มหรือทึบ ซึ่งคนไทยไม่ชอบ จะทำให้ลูกกระต่ายขายยาก เมื่อทราบสีที่ต้องการก็ให้เลือกแม่พันธุ์ โดยเลือกกระต่ายเพศเมียที่เป็นฮีส (ภาวะเป็นสัด) ซึ่งสังเกตจากอวัยวะเพศมีสีเข้ม จากนั้นเลือกวันผสม เพื่อกำหนดวันคลอดให้ตรงกับวันว่างในการทำคลอดแม่กระต่าย

“กระต่ายที่คนไทยชอบและขายออกง่ายที่สุดคือ ขนฟู ตัวเล็ก สีอ่อนหรือสีขาว ตาแดง”

ในการผสมพันธุ์จะปล่อยให้กระต่ายเพศผู้และเมียอยู่ด้วยกัน คอยสังเกตกระต่ายเพศผู้ขึ้นคร่อมทับกระต่ายเพศเมีย ใช้เวลาไม่นาน แสดงว่าผสมได้แล้ว จากนั้นควรปล่อยให้อยู่ด้วยกันอีกสักพัก เพื่อให้กระต่ายเพศผู้ขึ้นคร่อมทับเพศเมียเพื่อผสมอีกครั้ง ให้มั่นใจว่าได้รับการผสมแล้ว

ในกระต่ายเพศเมีย หากได้รับการกระตุ้นโดยกระต่ายเพศผู้หลายครั้ง จะทำให้ได้ไข่หลายใบและได้รับการผสมเป็นลูกกระต่ายหลายตัว โดยเฉลี่ยกระต่ายให้ลูก 2-4 ตัว และควรเลิกผสมสำหรับแม่พันธุ์อายุเกิน 3 ปี เพราะมดลูกของกระต่ายจะทำงานหนัก และลูกกระต่ายที่ได้ไม่แข็งแรง

ระหว่างกระต่ายตั้งท้อง คุณปิยะลักษณ์ บอกว่า ควรให้อาหารตามปกติ ยกเว้นก่อนคลอด 2 วัน ควรให้อาหารเสริมเป็นแคลเซียม โปรตีน และหญ้าอัลฟาฟ่า ซึ่งเป็นหญ้าที่มีโปรตีนและแคลเซียมสูง ก่อนคลอดกระต่ายจะเริ่มกัดขน จะกัดขนออกไปวางสำหรับทำรังคลอด มากหรือน้อยขึ้นกับกระต่ายสามารถหาหญ้าแห้งไปทำรังสำหรับคลอดได้มากแค่ไหน ดังนั้น เมื่อใกล้คลอดให้นำหญ้าแห้งไปวางไว้ แม่กระต่ายจะคาบไปทำรังเตรียมคลอด เมื่อเริ่มคลอดให้คอยสังเกตห่างๆ ปล่อยให้แม่กระต่ายคลอดเองจนเสร็จ จึงเข้าไปสำรวจจำนวนลูกกระต่าย และช่วยเอารกออก กรณีที่แม่กระต่ายกินรกไม่หมด เพราะจะทำให้มดขึ้น เป็นอันตรายต่อตัวกระต่าย

ปัจจุบัน บันนี่ ดีไลท์ มีกระต่ายในความดูแล ประมาณ 50 ตัว เป็นพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ทั้งหมด

คุณปิยะลักษณ์ ให้ข้อมูลด้วยว่า ตลาดกระต่ายสวยงามในประเทศไทย ปัจจุบันยังคงไปได้ดี โดยเฉพาะกระต่ายเพศเมียความต้องการในตลาดมากกว่าเพศผู้ เนื่องจากผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ต้องการให้กระต่ายที่เลี้ยงไว้ตั้งท้องและคลอดลูก ให้ความรู้สึกมีลูกกระต่ายเป็นของตนเอง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความต้องการกระต่ายในตลาดกระต่ายสวยงามมีสูง แต่ราคาซื้อขายกระต่ายไม่ได้สูงตามไปด้วย เนื่องจากกระต่ายเป็นสัตว์ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว การรับประกันสายพันธุ์สามารถทำได้ง่าย จึงทำให้ผู้ขายจำนวนมากทำใบรับประกันสายพันธุ์ขึ้นเอง และจำหน่ายในราคาถูกลง เพื่อตัดราคาแหล่งขายอื่น

บันนี่ ดีไลท์ แม้จะไม่ใช่ฟาร์มขนาดใหญ่ มีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์เพียง 50 ตัว ซึ่งเหตุผลจากการที่คุณปิยะลักษณ์ต้องการจำกัดจำนวนเลี้ยงไว้เพียงเท่านี้ เพื่อการดูแลที่สะดวกและทั่วถึง และหากลูกค้าสนใจกระต่ายของบันนี่ ดีไลท์ คุณปิยะลักษณ์ขอให้ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และหากมีเวลาพอ ขอให้เดินทางมาดูที่ฟาร์มด้วยตนเอง หรือหากอยู่ไกล ไม่สะดวกจริงๆ ก็สามารถพิจารณารายละเอียดของฟาร์มได้ที่เว็บไซต์ http://www.BunnyDelight.com หรือเฟซบุ๊ก BunnyDelight ถ้าต้องการสอบถามก่อน สามารถโทรศัพท์พูดคุยกับคุณปิยะลักษณ์ สาริยา ได้ที่ โทร. (081) 563-5098

รักหนึ่งไม่มีสอง ของ “เลิฟเบิร์ด”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05086011158&srcday=2015-11-01&search=no

วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 610

สัตว์เลี้ยงสวยงาม

สุจิต เมืองสุข

รักหนึ่งไม่มีสอง ของ “เลิฟเบิร์ด”

ผ่านตลาดอุดมสุข ตลาดเล็กๆ ซ้ายมือของการเดินทางขาล่องลงกรุงเทพมหานคร ตามถนนสาย 304 เขตตำบลหนองกี่ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ที่เป็นเพียงตลาดเล็กๆ แต่ครบถ้วนไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เพราะใกล้เขตอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี ซึ่งถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจเล็กๆ ที่มีการจับจ่ายใช้สอยระดับหนึ่ง และจากถนนสาย 304 เข้าไปในตลาดอุดมสุขเพียง 100 เมตร ก็เป็นที่ตั้งของร้านจำหน่ายสัตว์เลี้ยงที่ตามหา

เราพบเฟซบุ๊กชื่อ “บ้านนกกบินทร์บุรี” บอกตำแหน่งที่ตั้งตามที่สอบถามเส้นทางมา คือภายในตลาดอุดมสุขแห่งนี้ และมี คุณพนม ประภัสสร เป็นเจ้าของร้าน หลังพบหน้าคุณพนมให้การต้อนรับอย่างดี และพร้อมตอบคำถามที่เราเตรียมมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

คุณพนม ให้ข้อมูลว่า ภูมิลำเนาเดิมเป็นชาวจังหวัดเชียงใหม่ จบการศึกษาเพียงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ก้าวเข้าสู่การทำงานในโรงงานตามวุฒิการศึกษา ไม่นานนักเกิดวิกฤตฟองสบู่ ทำให้สมัครใจลาออกจากงาน เพราะเบื่อระบบงานแบบนายจ้างลูกจ้าง หันหาอาชีพที่เหมาะกับตัวเอง ในวินาทีนั้นสิ่งที่คิดได้คือ ค้าขาย จึงมุ่งหน้ามาตลาดอุดมสุขตามคำชักชวนของพี่เขย และเริ่มต้นเปิดร้านขายปลาสวยงาม

“ผมเริ่มจากปลาสวยงาม เพราะปลาสวยงามเป็นสัตว์เลี้ยงที่ซื้อง่ายขายคล่อง ราคาไม่สูง 3 ปีหลังจากเปิดร้านจำหน่ายปลาสวยงาม ก็เริ่มเพาะเลี้ยงนกเลิฟเบิร์ด”

เริ่มต้นจากการที่คุณพนม พบนกเลิฟเบิร์ดบินหลงมาเกาะอยู่บนต้นไม้หน้าร้าน เขาจึงนำอาหารนกไปให้ โดยไม่จับตัวนก ซึ่งนกเลิฟเบิร์ดตัวนั้นก็เกาะอยู่กับที่ไม่บินไปไหน กระทั่งไม่กี่วันถัดมาเจ้าของนกเลิฟเบิร์ดมาจับนกไป ในครั้งนั้นทำให้คุณพนมรู้สึกประทับใจในนกเลิฟเบิร์ด ทั้งในเรื่องของสีสันที่สดใสสวยงาม และความเชื่องของนก ที่มั่นใจว่าเกิดจากการฝึกของผู้เลี้ยงที่ทำให้นกเลิฟเบิร์ดเชื่องได้

คุณพนม ติดต่อซื้อนกเลิฟเบิร์ดมาไว้เลี้ยงเล่น จำนวน 2 คู่ ระยะเวลาผ่านไป 3 เดือน นกออกไข่และฟักเป็นตัว การฟักลูกนกในครั้งแรกของการเลี้ยงของคุณพนมไปฟักในถ้วยใส่อาหารของนกในกรง เพราะความไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับการเลี้ยงนกเลิฟเบิร์ดเลย ทำให้ไม่ทราบว่าต้องใช้อุปกรณ์อะไรในการเลี้ยงอย่างไรบ้าง หลังลูกนกฟักเป็นตัว มีลูกค้าที่มาซื้อปลาสวยงามขอซื้อ หลังจากที่ลูกนกกินอาหารได้เอง โดยคุณพนมขายลูกนกเลิฟเบิร์ดไปในราคา 700-800 บาท ต่อตัว ซึ่งถือเป็นราคาตลาดที่ไม่สูงนัก

หลังจากที่เห็นแววทางการตลาดในการซื้อขายนกเลิฟเบิร์ด ว่ามีความต้องการสูง และสามารถจำหน่ายได้ดีในพื้นที่ จึงซื้อนกเลิฟเบิร์ดมาเพิ่มอีก 5 คู่ แต่ครั้งนี้ผิดหวัง เพราะจากการไม่เคยศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับนกเลิฟเบิร์ดแม้แต่น้อย ทำให้เสียรู้ นกจำนวน 5 คู่ ที่ซื้อมาเพิ่มนั้น ไม่ให้ไข่เลย แม้จะปล่อยระยะเวลาการเลี้ยงยาวนานเกิน 1 ปี เมื่อศึกษาดูพบว่า นกที่ซื้อมาเพิ่ม 5 คู่ เป็นนกที่อายุมากเกินกว่าจะผสมพันธุ์ และนกอายุน้อยไม่สามารถให้ไข่ได้ จึงเป็นบทเรียนให้คุณพนมตั้งใจศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับนกเลิฟเบิร์ดอย่างจริงจัง นับจากนั้นเป็นต้นมา

เมื่อเริ่มต้นศึกษาอย่างจริงจัง ทำให้มีพื้นฐานการเลี้ยงนกเลิฟเบิร์ดที่ดีมากขึ้น คุณพนมจึงเริ่มซื้อนกเลิฟเบิร์ดเพิ่ม ซึ่งจากการศึกษาอย่างถ่องแท้ คุณพนมเลือกซื้อนกเลิฟเบิร์ดชนิดขอบตา เลือกสี และเริ่มซื้อนกเกรดบน ในราคาสูงมากขึ้น

“ความสวยงามของนกเลิฟเบิร์ดอยู่ที่ สีสันสดใสที่ตัวของนก ชื่อเรียกแต่ละพันธุ์ของเลิฟเบิร์ดจะเรียกตามสีสันที่เห็นตามลำตัวของนก เช่น Green black mark ส่วนหัวสีดำเข้ม อกหรือคอสีเหลืองสด ลำตัวสีเขียวสด ซึ่ง Green black mark เป็นสียอดนิยมและถือว่าราคาสูงที่สุดในกลุ่มของนกเลิฟเบิร์ดขอบตา นอกจากนี้ นกเลิฟเบิร์ดยังสามารถเลี้ยงให้เชื่องได้ตามแต่ผู้เลี้ยงต้องการ โดยสามารถปล่อยอิสระให้บินได้ ซึ่งนกจะเริ่มหัดบินเมื่ออายุประมาณ 2 เดือน จะเริ่มหัดบินบริเวณเลี้ยง และจะเริ่มขยายอาณาเขตบินกว้างออกไปตามอายุของนกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการปล่อยให้บินบ้าง วันละ 2-3 ชั่วโมง แล้วเรียกกลับมาเข้ากรง โดยการเป่านกหวีด จะเป็นการเลี้ยงปล่อยให้บินอิสระที่ดี ในระยะอายุของนก 5 เดือนแรก ควรใส่สายจูงไว้หากนกไม่อยู่ในกรง และไม่ควรปล่อยนกให้บินตลอดทั้งวัน เพราะจะทำให้นกเพลิดเพลินจนบินหายไป ไม่กลับมาก็ได้”

จุดเด่นของนกเลิฟเบิร์ดอีกประการคือ การรักเดียวใจเดียวในคู่ของตัวเอง และจะเลือกคู่เอง ซึ่งผู้เลี้ยงนกเลิฟเบิร์ดไม่ควรจับนกเข้าคู่กัน ควรปล่อยให้นกเลือกคู่เอง โดยการปล่อยรวมในกรงใหญ่หลายตัว เมื่อนกอายุได้ประมาณ 7 เดือน จะเริ่มจับคู่ จะพบว่านกเริ่มคลอเคลีย ไซ้ขน ป้อนอาหารให้กันและกัน เมื่อถึงเวลานั้นจะทำให้ทราบเพศนกได้อย่างชัดเจน เมื่อนกจับคู่ได้แล้ว ให้แยกกรงเลี้ยงคู่ออกต่างหาก มีรังนอนที่ทำจากไม้อัดหรือลูกมะพร้าวไว้ให้ หลังจากที่นกแยกคู่ออกมาอยู่กรงต่างหากแล้ว ไม่นานจะพบว่านกตั้งท้อง โดยสังเกตจากอุ้งท้องของนกเพศเมียมีลักษณะตุงหรือย้อยลง หมั่นสังเกตว่านกวางไข่หรือยัง เมื่อวางไข่ให้ทำสัญลักษณ์ที่ไข่นกไว้ บันทึกวันเดือนปีเกิด การออกไข่ของนกจะห่างกัน 2 วัน ต่อฟอง ในแม่นก 1 ตัว จะให้ไข่เฉลี่ย 6 ฟอง

ตามธรรมชาติ หลังออกไข่ 21 วัน ลูกนกจะเจาะไข่ออกมาเอง โดยมีแม่นกคอยคาบอาหารไปป้อน ผู้เลี้ยงควรหมั่นสังเกตเมื่อไข่ครบ 21 วัน แล้วยังไม่ฟักเป็นตัว จำเป็นต้องช่วยลูกนกด้วยการนำไข่มาเจาะให้ลูกนกออกจากไข่ได้ แต่เปอร์เซ็นต์การรอดครึ่งเดียวเท่านั้น ส่วนใหญ่ตายในไข่ เพราะเจาะเปลือกไข่ออกมาไม่ได้ เนื่องจากลูกนกไม่แข็งแรง หรือที่เราเรียกว่า ตายโครม กรณีช่วยเจาะไข่ให้ลูกนกรอด ก็ต้องนำลูกนกไปกกไฟให้ความอบอุ่น ป้อนอาหารเหลวให้จนกว่าลูกนกจะสามารถกินอาหารเองได้

“ผมต้องตั้งนาฬิกาทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อป้อนอาหารเหลวให้กับนกเด็กที่เพิ่งฟักจากไข่ ต้องให้อาหารเหลวถี่มาก แต่ถ้านกเริ่มโต การป้อนอาหารเหลวก็จะห่างออกไปตามอายุของนก จากทุก 2-3 ชั่วโมง เป็น 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น และลดเหลือมื้อเดียวคือ มื้อเช้า จากนั้นหัดให้กินอาหารเอง จนนกเริ่มหัดบิน จึงนำเข้ากรงและให้อาหารตามปกติ”

หากลูกนกฟักตามปกติ แม่นกจะเป็นคนป้อนอาหารให้ลูกนก กระทั่งลูกนกอายุประมาณ 1 เดือน จะเริ่มออกจากรัง เริ่มเกาะเดิน และเริ่มหัดบินเมื่ออายุประมาณ 2 เดือน

การเลี้ยงนก 1 คู่ ควรให้อยู่ในกรง ขนาด เบอร์ 1 หรือขนาดประมาณ 20×25 นิ้ว นกจะมีพื้นที่กว้างมากพอบินเล่นภายในกรง เมื่อนกจับคู่และแยกกรงเรียบร้อยแล้ว ควรให้หญ้าขน เพราะเป็นอาหารที่ช่วยกระตุ้นให้นกไข่ได้ไวขึ้น นกจะดูดน้ำจากหญ้าขน และคาบหญ้าขนที่ดูดน้ำหมดแล้วไปทำรังนอน เตรียมไว้สำหรับออกไข่

คุณพนม บอกว่า นกเลิฟเบิร์ด เป็นสัตว์เลี้ยงง่าย แต่ผู้เลี้ยงก็ควรหมั่นสังเกตนก หากพบว่าเกาะคอนนิ่ง ขนพองฟู ไม่ร่าเริง แสดงว่าป่วย ยิ่งหากนกจามเหมือนคนเป็นหวัด ก็ควรให้ยาตามอาการตั้งแต่พบครั้งแรกโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้ป่วยมากไปกว่านี้ คุณพนมยกตัวอย่างการให้ยาสำหรับนกป่วย ควรให้ในปริมาณน้อยมาก เพราะนกตัวเล็ก น้ำหนักน้อย เช่น ปริมาณยาแก้ไข้หวัด 10 ซีซี จะใช้ผสมน้ำ 1.5 ลิตร แล้วแบ่งป้อนให้นกกิน นอกจากนี้ ยังให้วิตามินทุกสัปดาห์ ป้องกันโอกาสป่วยที่จะเกิดขึ้นกับนกด้วย

ความสะอาดภายในกรงเลี้ยงและบริเวณกรงเลี้ยง คุณพนมให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ โดยเน้นที่ตั้งกรงควรอยู่ในที่อากาศถ่ายเทสะดวก เก็บกวาดกรงและถูบริเวณกรงเลี้ยงให้สะอาด รวมถึงการดูดฝุ่นและฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อบริเวณกรงเลี้ยง วันละ 2-3 ครั้ง เป็นอย่างน้อย ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยลดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ และทำให้นกสะอาดอีกด้วย

อาหารสำหรับนกเลิฟเบิร์ดที่ดีคือ อาหารในกลุ่มธัญพืชต่างๆ คุณพนมจะซื้อยกกระสอบในหลายชนิดแล้วนำมารวมกัน เช่น เมล็ดทานตะวัน ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เล่ย์ เมล็ดมิลเล็ต และเสริมด้วยขนมปังโฮลวีทราดด้วยนมสด หรือ นำวิตามินซีมาทาแทนแยม แล้วแบ่งเป็น 4 ส่วน ให้นกคู่ละ 1 ส่วน ของขนมปังที่ตัดแบ่ง คุณพนมเชื่อว่าขนมปังโฮลวีททำมาจากธัญพืช ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับนกเลิฟเบิร์ดเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ยังเสริมด้วยข้าวโพดดิบหักฝักให้นกจิกกินเอง และพืชสมุนไพร เช่น ใบตะไคร้ กะเพรา หญ้าขน เป็นต้น

การดูเพศนกเลิฟเบิร์ด เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก หากไม่มีความชำนาญจริงๆ จะไม่สามารถบอกเพศนกได้ถูกต้อง คุณพนมแนะวิธีดูเพศนกที่แม่นยำและถูกต้องที่สุดคือ การตรวจเลือด โดยทำได้ในนกอายุ 1 ปีขึ้นไป แต่ถ้าต้องการสุ่มดูเพศก็สามารถทำได้ โดยสังเกตที่รูปร่างของนก นกเพศเมียจะตัวใหญ่กว่า นกเพศผู้จะมีรูปร่างลักษณะคล้ายปลีกล้วยและเล็กกว่าเพศเมีย หรือจับเพศบริเวณตะเกียบตรงก้นของนก เพศเมียตะเกียบห่าง เพศผู้ตะเกียบชิด แต่อย่างไรก็ตาม การดูเพศเช่นนี้โอกาสพลาดสูงมาก ซึ่งการปล่อยให้นกจับคู่กันเอง จะเป็นวิธีที่ไม่ต้องเจาะเลือดตรวจและสามารถทราบเพศที่แน่นอนได้

ปัจจุบัน ผู้เลี้ยงนกเลิฟเบิร์ดยังคงหลงใหลกับการเลี้ยงนก โดยเริ่มจากลูกป้อน (ลูกนก อายุไม่ถึง 2 เดือน) เพราะเชื่อว่า จะทำให้นกเชื่อง การเลี้ยงลูกป้อน ผู้เลี้ยงต้องใส่ใจมาก และต้องป้อนอาหารให้ถูกวิธี คุณพนม บอกว่า หากลูกค้าขอซื้อลูกป้อน คุณพนมจะนำร่องป้อนลูกนกให้ก่อนเป็นเวลา 3 วัน จากนั้นจะสอนวิธีป้อนให้กับลูกค้าที่จะซื้อลูกนกไป และให้ลูกค้าป้อนให้ดูว่าสามารถทำได้จริง จึงจะปล่อยขายลูกนกให้กับลูกค้า เพราะเกรงว่าหากป้อนไม่ถูกวิธี จะทำให้ลูกนกตายได้

ระยะเวลาเกือบ 2 ปี ของการเพาะเลี้ยงนกเลิฟเบิร์ด ทำให้คุณพนมมีพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ นกเลิฟเบิร์ดขอบตา รวม 10 คู่ และมีนกเลิฟเบิร์ดจำหน่าย ในราคาตั้งแต่ตัวละ 500 บาท (ลูกป้อน) หรือคู่ละ 2,000 บาท ขึ้นไป (กรณีนกจับคู่แล้ว) และตัวละ 800 บาท ขึ้นไป (นกกินอาหารได้เอง)

ท่านใดต้องการ นกเลิฟเบิร์ด สุขภาพดี ติดต่อขอชมหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณพนม ประภัสสร เลขที่ 379/61 ตลาดอุดมสุข ตำบลหนองกี่ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี หรือเปิดดูหน้าตานกเลิฟเบิร์ดได้ที่ เฟซบุ๊ก บ้านนกกบินทร์บุรี โทรศัพท์ (090) 762-4010

บึ้ง-ทารันทูล่า แมงมุมยักษ์ แสนสวย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05082151058&srcday=2015-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 609

สัตว์เลี้ยงสวยงาม

สุจิต เมืองสุข

บึ้ง-ทารันทูล่า แมงมุมยักษ์ แสนสวย

น่าตื่นเต้นไม่น้อย ถ้าจะบอกว่า โลกเรารวมถึงประเทศไทยมีแมงมุมที่มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคโบราณ กว่า 350 ล้านปีมาแล้ว อาศัยอยู่และยังพบได้ในปัจจุบัน แม้ว่าจะลดจำนวนลงจนแทบไม่พบได้ทั่วไป แต่ก็ยังสามารถพบได้ในจุดที่มนุษย์เข้าถึงได้น้อย ซึ่งอดีตประเทศไทยนำมากินเป็นอาหาร แต่ปัจจุบันเมื่อพบเห็นได้น้อยลง ก็เปลี่ยนสภาพมาเป็นสัตว์เลี้ยง เลี้ยงเพื่ออนุรักษ์ เพื่อการค้า หรือเพราะแค่ชอบก็สุดแล้วแต่

สัตว์ที่ถูกเรียกว่า แมงมุม ดูไม่น่ารักสักเท่าไร แต่ก็มีจำนวนคนไม่น้อยที่ชอบ หลงใหล ทำให้เกิดการสะสมของสายพันธุ์ เพาะและขยายพันธุ์แมงมุม และต่อเนื่องไปถึงการซื้อขาย

แมงมุม ที่มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคโบราณกว่า 350 ล้านปีมาแล้ว ในต่างประเทศเรียกว่า ทารันทูล่า (Tarantula) สำหรับประเทศไทย แมงมุมชนิดนี้เรียกว่า บึ้ง

คุณชวลิต ส่งแสงโชติ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแมงมุมสไปเดอร์แพลนเน็ต (Spiders Planet Research Center) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงทารันทูล่า หรือบึ้ง ในประเทศไทยว่า มีกลุ่มที่สนใจเพาะเลี้ยงบึ้งอยู่ ประมาณ 3,000 คน ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มเฉพาะ ที่แต่ละคนมีวัตถุประสงค์การเลี้ยงที่แตกต่างกัน บางรายเลี้ยงเพื่อต้องการเก็บรักษาพันธุ์ เลี้ยงเพื่อศึกษาค้นคว้า เลี้ยงเพื่อสะสมความสวยงาม หรือเลี้ยงเพื่อความเท่ที่มีสัตว์แปลกไว้เป็นสัตว์เลี้ยง แต่เลี้ยงเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม ผู้เลี้ยงควรทำความเข้าใจกับนิสัยของบึ้งแต่ละชนิดด้วย เพราะป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นจากการถูกกัดของบึ้ง เนื่องจากบึ้งเป็นแมงมุมชนิดหนึ่งที่มีพิษ

แมงมุม เป็นสัตว์ที่มีตา 8 ดวง แต่มองเห็นเพียงลางๆ แมงมุมจะใช้ขนในการรับรู้ความรู้สึกแทนดวงตา

จากการพูดคุย ทำให้ทราบว่า บึ้ง แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ บึ้งดิน และ บึ้งต้นไม้ ซึ่งบึ้งดินจะอาศัยอยู่พื้นราบ ขุดดินลึกลงไปอาศัยใต้ดิน ส่วนบึ้งต้นไม้จะอาศัยโพรงต้นไม้อยู่ ทั้งนี้ บึ้งทั้ง 2 ชนิด ก็ยังแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มอีก คือ กลุ่มบึ้งโลกเก่า คือ บึ้งที่อยู่บนแผ่นดิน หรือทวีปเก่าแก่ เช่น ทวีปเอเชีย ทวีปแอฟริกา บึ้งกลุ่มนี้จะเป็นบึ้งที่มีความดุร้ายมาก อีกกลุ่มคือ กลุ่มบึ้งโลกใหม่ คือบึ้งที่อยู่บนแผ่นดิน หรือทวีปที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น ทวีปอเมริกา ทวีปออสเตรเลีย บึ้งกลุ่มนี้จะมีวิวัฒนาการมากกว่าเดิม มีความดุร้ายน้อยลง บางชนิดไม่ดุร้าย มีขนที่มีลักษณะพิเศษ คล้ายหนามเฉียงลง หนามเฉียงขึ้น ในขนเส้นเดียวกัน และวิวัฒนาการการป้องกันตัวแบบใหม่ของบึ้งโลกใหม่ คือการสลัดขนใส่ศัตรู โดยใช้ขาปัดหลังให้ขนฟุ้งกระจาย ซึ่งเมื่อขนไปติดอยู่ที่ใด จะทำให้เกิดการระคายเคือง อักเสบ คัน เป็นตุ่ม โดยเฉพาะกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หากขนเข้าตาจะแสบมาก และขนบึ้งไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้

“ธรรมชาติของบึ้งจะถอยหนีเมื่อพบศัตรู ยกเว้นกลุ่มที่ดุร้ายจะสู้และกัดคู่ต่อสู้ โดยการฝังเขี้ยวลงไปที่ศัตรูหรือเหยื่อ แล้วปล่อยพิษ พิษของบึ้งจะส่งผลต่อระบบประสาท หลังถูกกัดจะเกิดอาการชา บวม ร้อน บางรายมีอาการของตะคริวร่วมด้วย เนื่องจากระบบประสาทที่ถูกพิษของบึ้งจะเป็นอัมพาตชั่วคราว การรักษา ไม่มีเซรุ่ม แต่รักษาตามอาการ”

สำหรับ คุณชวลิต แรกเริ่มเดิมทีไม่ได้สนใจในบึ้งแม้แต่น้อย ยังรู้สึกขยาดกับแมงมุมด้วยซ้ำ เพราะมีประสบการณ์ในวัยเด็กเกี่ยวกับแมงมุมที่ไม่ดีนัก กระทั่ง 8 ปีก่อน เดินเล่นในตลาดนัดจตุจักร พบหลอดเล็กๆ วางขาย คนขายบอกว่าเป็นแมงมุม ก็รู้สึกสนใจที่แมงมุมมีขนาดเล็กมาก จึงสอบถามและต่อราคาที่คิดว่าพ่อค้าไม่น่าจะขายให้ แต่ที่สุดพ่อค้าก็ตกลงขายในราคาที่จำใจต้องซื้อ เมื่อได้มาคุณชวลิตเองยังกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็พยายามค้นคว้าทางอินเตอร์เน็ตว่า การเลี้ยงแมงมุมทำได้ด้วยวิธีใดบ้าง ระหว่างค้นคว้าศึกษาก็พบว่า แมงมุมชนิดที่ซื้อมาเลี้ยง จัดอยู่ในกลุ่มทารันทูล่า หรือบึ้ง ซึ่งเป็นแมงมุมที่มีขนาดใหญ่ บางชนิดใหญ่ถึง 30 เซนติเมตร และเป็นแมงมุมที่มีสีสันสวยงาม

“บึ้งในบ้านเราจะมีสีไปในโทนสีเดียวกัน คือ น้ำตาล ดำ ที่สวยก็คือ บึ้งสีน้ำเงิน ที่มีสีสันสวยงามมาก ส่วนทารันทูล่าในต่างประเทศ มีความสวยงามมากกว่าของประเทศไทย ผมรู้สึกสนใจ จึงเริ่มค้นคว้าแหล่งซื้อขายทารันทูล่า และศึกษาทุกอย่างที่เกี่ยวกับทารันทูล่า หรือบึ้ง”

คุณชวลิต บอกว่า การเลี้ยงทารันทูล่า หรือบึ้ง มีเคล็ดลับเลี้ยงให้รอด เพียงศึกษาแหล่งที่อยู่อาศัยเดิม สร้างกล่องเลี้ยงให้มีสภาพคล้ายแหล่งที่อยู่อาศัยเดิมให้มากที่สุด เพียงเท่านี้ ทารันทูล่า หรือบึ้ง ก็จะมีชีวิตรอดให้ผู้เลี้ยงได้ชื่นชมความสวยงามจนกว่าจะถึงอายุขัยของมัน

ตามธรรมชาติแล้ว แมงมุม เป็นสัตว์สันโดด จะเกิดการต่อสู้จนตายไปข้างหนึ่ง หากพบกับแมงมุมอีกตัว ทารันทูล่า หรือบึ้ง ก็เช่นกัน เมื่อออกจากไข่ฟักเป็นตัวแล้ว จะอยู่รวมกันได้หลังลอกคราบ 1-2 ครั้ง จากนั้นจะเริ่มกินกันเอง จึงควรแยกใส่กล่องเลี้ยงกล่องละตัว

กล่องเลี้ยง ควรมีขนาดใหญ่กว่าทารันทูล่า หรือบึ้ง 3-4 เท่า ทรงกล่องควรพิจารณาจากชนิดของบึ้ง หากเป็นบึ้งดิน ควรเป็นแนวราบ หรือเป็นทรงสูง แต่ถมดินสูงเกือบถึงด้านบนของกล่อง ส่วนบึ้งต้นไม้ กล่องจะเป็นทรงสูง หรือแนวราบก็ได้ แต่ควรมีขอนไม้ให้บึ้งได้ทำโพรงเข้าไปอยู่อาศัย กล่องเลี้ยงควรมีฝาปิด เพราะทารันทูล่า หรือบึ้ง จะปีนออกได้ มีรูระบายอากาศมากพอ ทำให้อากาศภายในกล่องเลี้ยงถ่ายเทได้สะดวก ภายในกล่องเลี้ยงควรมีภาชนะสำหรับใส่น้ำให้ทารันทูล่า หรือบึ้งไว้กิน ใช้วัสดุรองพื้นที่เหมาะกับถิ่นที่มาของทารันทูล่า หรือบึ้ง เช่น ขุยมะพร้าว ทราย พีทมอสส์ เป็นต้น

กล่องเลี้ยงแต่ละกล่องจะเลี้ยงทารันทูล่า หรือบึ้ง ไว้เพียงกล่องละตัว และเปลี่ยนกล่องเมื่อทารันทูล่า หรือบึ้ง ลอกคราบ เพราะทุกครั้งที่มีการลอกคราบ หมายความว่า ทารันทูล่า หรือบึ้ง จะมีขนาดใหญ่ขึ้น การลอกคราบแต่ละรอบจะนานออกไปทุกครั้ง เช่น ครั้งแรก 1 สัปดาห์ ครั้งถัดไป 3 สัปดาห์ ครั้งถัดไป 8 สัปดาห์ ครั้งถัดไป 20 สัปดาห์ และเพิ่มระยะเวลาแต่ละรอบออกไปเรื่อยๆ บางรอบนานถึง 1 ปี ก็มี

อาหารสำหรับทารันทูล่า หรือบึ้ง คือ แมลง หนอนแวกซ์เวิร์ม หนอนนก หนอนยักษ์ จิ้งหรีดขาว จิ้งหรีดดำ อาหารควรทำให้มีขนาดใกล้เคียงกับขนาดของแมงมุม ถ้ามีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก ควรช่วยตัด หรือหั่นให้ชิ้นเล็กลง

การให้อาหารนั้น ขึ้นอยู่กับผู้เลี้ยงว่ามีจำนวนแมงมุมที่ต้องดูแลมากน้อยแค่ไหน หากมีจำนวนมาก การให้อาหารสัปดาห์ละครั้งก็เพียงพอแล้ว เพราะการให้อาหารควรสังเกตดูทุกครั้งว่า อาหารที่ให้แมงมุมกินหมดหรือไม่ ถ้าหมดก็นำกากอาหารที่เหลือออกไปทิ้ง ถ้าแมงมุมไม่กินอาหาร แสดงว่าแมงมุมตัวนั้นเกิดปัญหาบางอย่าง ซึ่งต้องสังเกตต่อไป สำหรับกากอาหารที่เหลือควรนำออกไปทิ้งหลังจากแมงมุมกินของเหลวในร่างกายเหยื่อ หรืออาหารหมดแล้ว หากไม่นำไปทิ้ง โอกาสเกิดราหรือไรขึ้นที่กากอาหารที่เหลือจะสูง ซึ่งหลังจากราหรือไรกินกากอาหารที่เหลือหมดแล้ว ความเสี่ยงที่ราหรือไรจะลามไปกินแมงมุมจนตายมีสูง

แมงมุม ก่อนลอกคราบและหลังลอกคราบจะหยุดกินอาหาร ดังนั้น ไม่ควรให้อาหาร เพราะเมื่ออาหารเหลือ ปัญหาราและไรที่จะกินอาหาร และลามไปกินแมงมุมจะเกิดขึ้น

การผสมพันธุ์ ทารันทูล่า หรือบึ้ง อายุค่อนข้างยืนยาว นานถึง 20 ปี หรือมากกว่า สามารถผสมพันธุ์ได้เมื่อโตเต็มวัย แมงมุมเพศผู้จะโตเต็มวัยเร็วกว่าเพศเมีย 1 เท่าตัว แต่ละชนิดโตเต็มวัยไม่เท่ากัน บางชนิดอายุไม่กี่เดือนก็โตเต็มวัยแล้ว แต่บางชนิดโตเต็มวัย เมื่ออายุ 2 ปีเศษ

แมงมุมเพศผู้ จะใช้รยางค์คู่หน้าที่ไม่ใช่ขา เรียกว่า เพ้า เพ้าของแมงมุมเพศผู้ที่โตเต็มวัยจะถูกออกแบบให้ใช้ไว้สำหรับผสมพันธุ์ ปลายเพ้าจะมีลักษณะเหมือนปลายนวม มีเข็มสำหรับปล่อยน้ำเชื้อ โดยแมงมุมตัวผู้จะเริ่มเก็บน้ำเชื้อของตัวเองก่อน สร้างใยรองรับ แล้วถ่ายน้ำเชื้อมาไว้ที่ใย ก่อนใช้เพ้าดูดน้ำเชื้อไว้ จากนั้นเมื่อเจอแมงมุมเพศเมีย จะส่งสัญญาณโดยการเคาะเพ้ากับขาหน้าเป็นจังหวะ หากแมงมุมเพศเมียเคาะตอบ แสดงว่ายินยอมให้ผสมพันธุ์ แมงมุมเพศผู้จะเดินเข้าไปหาแล้วใช้ขาหน้ายกแมงมุมเพศเมียขึ้น ใช้เพ้าฉีดเข้าไปที่กระเปาะหน้าท้องของแมงมุมเพศเมีย การฉีดเข้าไปไม่ได้หมายความว่าไข่ได้รับการผสม เพราะแมงมุมเพศเมียจะรอจังหวะให้ไข่สุก แล้วจึงเบ่งไข่ออกมาผสมกับน้ำเชื้อ เมื่อไข่ได้รับการผสม แมงมุมเพศเมียจะชักใยที่พื้นเป็นแอ่งกระทะ จากนั้นขึ้นคร่อมแล้วเบ่งไข่ออกมา ชักใยคลุมไข่ให้หนาขึ้น คาบไข่ไว้

ถุงไข่ที่อยู่ติดหน้าท้องของแมงมุมเพศเมีย มองดูเหมือนแมงมุมเพศเมียอุ้มไว้ แต่ที่จริงใช้ปากคาบไว้ ภายในถุงไข่จะมีไข่แมงมุมที่ยังไม่ฟักเป็นตัว 70-800 ฟอง ภายใน 4-12 สัปดาห์ จะฟักเป็นตัว แล้วแต่ชนิดของแมงมุม

หากแมงมุมเพศเมียไม่ยอมให้ผสม จะไม่ส่งสัญญาณเคาะตอบ ควรนำแมงมุมเพศผู้ออก เพราะจะเกิดการต่อสู้กัน ซึ่งส่วนใหญ่จะสูญเสียแมงมุมเพศผู้ หรือเมื่อแมงมุมผสมพันธุ์กันแล้ว ตามธรรมชาติแมงมุมเพศเมียจะกินแมงมุมเพศผู้ นอกจากนี้ การผสมพันธุ์ที่เกิดขึ้น อาจไม่ได้ลูกแมงมุม หากแมงมุมเพศเมียไม่มีไข่ออกมาผสมกับน้ำเชื้อที่แมงมุมเพศผู้ฉีดเข้าไป

เมื่อแมงมุมเพศเมียถูกฉีดน้ำเชื้อเข้าไปยังกระเปาะหน้าท้องแล้ว ควรนำกล่องแมงมุมเพศเมียไปเก็บไว้ในที่ที่ปลอดการรบกวน เพราะหากถูกรบกวน โอกาสที่แมงมุมเพศเมียจะกินไข่ตัวเองมีสูง

คุณชวลิต เน้นย้ำว่า แมงมุมเป็นสัตว์มีพิษ รวมถึงทารันทูล่า หรือบึ้ง ในบ้านเราด้วย ดังนั้น ผู้เลี้ยงที่สนใจเลี้ยงทารันทูล่า หรือบึ้ง ก็ควรระลึกไว้เสมอว่า เลี้ยงสัตว์มีพิษ ดังนั้น การจับสัตว์มีพิษจึงอาจเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ ซึ่งหากเป็นไปได้ แนะนำไม่ให้จับทารันทูล่า หรือบึ้ง ด้วยมือเปล่า

การจับทารันทูล่า หรือบึ้ง จะเกิดขึ้นเมื่อต้องการเคลื่อนย้ายหรือต้องการเปลี่ยนกล่องที่อยู่อาศัยให้ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือ ใช้กล่องขนาดใหญ่กว่าทารันทูล่า หรือบึ้ง เล็กน้อย ครอบคว่ำลงที่ตัวทารันทูล่า หรือบึ้ง จากนั้นใช้ส่วนฝาช้อนจากพื้นเลื่อนไปปิดที่กล่อง แล้วยกขึ้นไปวางในที่ที่ต้องการเปลี่ยน ในลักษณะคว่ำกล่องเหมือนตอนแรก จากนั้นค่อยๆ เลื่อนฝากล่องออก เมื่อเหลือแต่กล่องที่คว่ำตัวทารันทูล่า หรือบึ้ง จึงยกกล่องที่คว่ำไว้ออกมา

ในทารันทูล่า หรือบึ้ง ที่ไม่มีความดุร้าย หรือมีความดุร้ายน้อย ผู้เลี้ยงส่วนใหญ่นิยมใช้มือแตะเบาๆ หรือขยับไปใกล้ๆ เพื่อให้ทารันทูล่า หรือบึ้ง ขยับตัว เคลื่อนย้าย ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้ทารันทูล่า หรือบึ้ง ตกใจ เมื่อตกใจจะวิ่ง หากวิ่งขึ้นลำตัวคน หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น คนที่ถูกทารันทูล่า หรือบึ้ง วิ่งขึ้นลำตัว จะใช้มือปัดโดยอัตโนมัติ ทำให้ถูกทารันทูล่า หรือบึ้ง กัดได้

“การเพาะแมงมุมในเมืองไทย มีมานานกว่า 20 ปีที่ผ่านมา แต่กลุ่มเพาะเลี้ยงไม่ได้กว้างขึ้น คนเลี้ยงแมงมุมยังคงเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่ชื่นชอบจริงๆ สำหรับผมเลี้ยงมา ประมาณ 8 ปี เท่านั้น เมื่อสนใจจริงจังก็ศึกษา ทำให้ปัจจุบันผมใช้เวลาว่างที่มีอยู่ ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแมงมุมในประเทศไทย เพื่อเก็บข้อมูลเท่าที่ทำได้ ก่อนหน้าที่ผมเริ่มศึกษา ผมเก็บสะสมแมงมุมไว้หลายร้อยชนิด แต่ปัจจุบันเหลือทารันทูล่าไว้ ประมาณ 40 ชนิด และบึ้งไทยอีกหลายร้อยตัว”

แม้ว่ากลุ่มคนสนใจแมงมุมในประเทศไทย เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ แต่ก็มีพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ เป็นกลุ่มทางเฟซบุ๊ก ชื่อ “Thailand Tarantulas Lover” และกลุ่มแลกเปลี่ยนซื้อขายแมงมุม ที่จัดว่าเป็นกลุ่มที่มีการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นทางเฟซบุ๊ก ชื่อ “ตลาดแมงมุม” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ยังคงมีผู้ที่ให้ความสนใจแมงมุม นำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม และซื้อขายผ่านโลกออนไลน์ในราคาหลักพันมากทีเดียว

ผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องราวของทารันทูล่า หรือบึ้ง สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณชวลิต ส่งแสงโชติ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแมงมุมสไปเดอร์แพลนเน็ต (Spiders Planet Research Center) โทรศัพท์ (086) 304-2395

ขอขอบคุณ ภาพประกอบ จาก คุณชวลิต ส่งแสงโชติ

ชนิด และ ความเชื่อ

เกี่ยวกับ ทารันทูล่า หรือ บึ้ง ในประเทศไทย

ปัจจุบัน มีการค้นพบ ทารันทูล่า กว่า 900 ชนิด และยังค้นพบชนิดใหม่ๆ อยู่เรื่อย

ประเทศไทย มีทารันทูล่า ประมาณ 4 ชนิด คือ

1. บึ้งดำ พบได้บ่อยที่สุด มีขนาดใหญ่ที่สุด นิสัยดุร้าย ก้าวร้าว

2. บึ้งสีน้ำเงิน มีขนาดย่อมลงมา สีน้ำเงินเข้มตลอดทั้งตัว มีสีสันสวยงาม นิสัยดุร้าย ก้าวร้าว

3. บึ้งลาย หรือ บึ้งม้าลาย พบได้น้อยที่สุด มีลวดลายตามขา นิสัยดุร้าย ก้าวร้าว แต่น้อยกว่าบึ้งดำ และบึ้งสีน้ำเงิน

4. บึ้งสีน้ำตาล มีสีน้ำตาลอมแดง นิสัยดุร้าย ก้าวร้าว

ในภาคกลาง และภาคอีสาน ของประเทศไทย รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา นิยมจับทารันทูล่ามากิน โดยถือว่าเป็นอาหารพื้นบ้าน นำมาประกอบอาหารด้วยการปิ้ง หรือย่าง รสชาติคล้ายกุ้ง หรือปู หอม มัน แต่ก็ยังมีทารันทูล่าอีกหลายชนิดที่นิยมเลี้ยงในกลุ่มผู้นิยมเลี้ยงสัตว์แปลก

นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อของไทยอีก เช่น ถ้าบึ้งขึ้นบ้านจะถือว่าโชคร้าย คนในบ้านจะเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์ หรือเชื่อว่า หากพบเห็นรูบึ้งหันไปทางทิศตะวันออก จะนำมาซึ่งโชคลาภ เป็นต้น

จากเพาะเล่น สู่ ศูนย์รวมไก่สวยงาม ประสิทธิ์ฟาร์ม บางน้ำเปรี้ยว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05088011058&srcday=2015-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 608

สัตว์เลี้ยงสวยงาม

สุจิต เมืองสุข

จากเพาะเล่น สู่ ศูนย์รวมไก่สวยงาม ประสิทธิ์ฟาร์ม บางน้ำเปรี้ยว

พื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร จัดเป็นอีกพื้นที่ที่มีการเลี้ยงสัตว์ปีกเพื่อความสวยงามไว้จำนวนมาก ส่วนใหญ่ทำเป็นฟาร์มขนาดย่อม เลี้ยงเพื่อขายส่งตลาดนัดจตุจักร แหล่งค้าสัตว์ปีกทั้งเพื่อการบริโภคและเพื่อความสวยงามที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ นอกเหนือจากนั้นก็เป็นตลาดค้าส่งรองลงมา เช่น ตลาดนัดสนามหลวง 2 ย่านทวีวัฒนา หรือตลาดนัดจตุจักร 2 มีนบุรี

อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ตั้งอยู่ไม่ห่างจากกรุงเทพมหานครเท่าใดนัก อึดใจเดียวก็ถึง ที่ต้องพามาถึงสถานที่แห่งนี้ก็เพราะเป็นที่ตั้งของฟาร์มไก่สวยงามเล็กๆ ฟาร์มหนึ่ง แต่มากด้วยคุณภาพของไก่สวยงามและมากชนิดให้เลือกซื้อ

ประสิทธิ์ฟาร์ม ตั้งอยู่ที่ บ้านคลอง 19 ตำบลโยธะกา อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา มี คุณประสิทธิ์ พัดเย็นใจ เป็นเจ้าของ ครั้งแรกที่พบคุณประสิทธิ์ไม่ต้องการให้เรียกสถานที่เพาะเลี้ยงไก่สวยงามว่า ฟาร์ม เพราะระยะเวลาที่ดำเนินการเพาะเลี้ยงไก่สวยงามเพียง 6 ปี และสถานที่เพาะเลี้ยงไม่ได้กว้างขวางมากนัก แต่เพราะคุณภาพของไก่สวยงามที่ออกสู่ท้องตลาด และระบบการจัดการในเรื่องของการคัดคุณภาพไก่ก่อนส่งจำหน่ายให้กับปลายทางเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้เราต้องชื่นชมและให้เกียรติ เรียกว่า “ฟาร์ม”

6 ปีก่อน คุณประสิทธิ์เป็นพนักงานบริษัท ย่านพัทยา ไม่มีความรู้ด้านการเกษตร แต่พอจะมีที่ดินผืนเล็กๆ ที่ซื้อติดตัวไว้ เพราะเล็งเห็นอนาคตข้างหน้าว่าคงไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทรับจ้างกินงินดือนตลอดไป หลังแต่งงาน คุณประสิทธิ์ลาออกจากงานและพาครอบครัวกลับมาปลูกบ้านบนที่ดินผืนเล็กแถวบางน้ำเปรี้ยวที่ซื้อไว้ และคิดหาอาชีพประจำ เมื่อปรึกษากับภรรยาจึงสรุปว่า จะเลี้ยงไก่งวงส่งขายตลาดสัตว์ปีกสวยงาม เพราะไก่งวงมีความสวยงามในตัว จึงเริ่มค้นคว้าหาแหล่งพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ในที่สุดก็เริ่มเลี้ยงจากพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ จำนวน 30 ตัว

เมื่อไม่มีความรู้ด้านการเกษตรอยู่เลย ทำให้ต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ปีกสวยงาม ด้วยการอ่านหนังสือ ค้นคว้าจากอินเตอร์เน็ต ทำให้การเพาะเลี้ยงไก่งวงเป็นไปด้วยดี มีพ่อค้าคนกลางเข้ามาถามหาซื้อลูกไก่งวง กระทั่งผลิตไม่ทันขาย ต้องซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์เพิ่มเพื่อผลิตลูก ซึ่งแหล่งเพาะพันธุ์ไก่งวงส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในจังหวัดภาคอีสาน นอกจากจะวิ่งซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาเพิ่มแล้ว เมื่อลูกไก่งวงผลิตไม่ทันขาย จึงมีแนวคิดรับซื้อจากบ้านเรือนประชาชนในแถบภาคอีสานที่เลี้ยงไก่งวงขาย เพื่อมาส่งให้กับแม่ค้าที่เข้ามารับซื้อจากตนเองด้วย ทำให้แม่ค้าที่ต้องการรับซื้อไก่งวงจากหลายตลาด มุ่งมาซื้อที่คุณประสิทธิ์ เพราะมีลูกไก่งวงขายส่งให้กับแม่ค้าไม่ขาดตลาด

เพราะคุณประสิทธิ์ ไม่เหมือนนักเพาะสัตว์ปีกสวยงามขายรายอื่น เพราะนอกจากจะเพาะไว้เพื่อจำหน่ายแล้ว ยังมีมุมของนักค้าซ่อนอยู่ จากเดิมที่นั่งรอให้แม่ค้าคนกลางเข้ามาซื้อที่ฟาร์ม ก็เริ่มออกตระเวนซื้อตามแหล่งเลี้ยงขนาดเล็ก รวบรวมให้ได้ตามจำนวน แล้วขายต่อให้กับแม่ค้าคนกลางอีกทอด เพียงขวบปีแรกคุณประสิทธิ์ก็เดินเข้าหาแหล่งค้าสัตว์ปีกสวยงามขนาดใหญ่ ที่ตลาดนัดจตุจักร เพื่อส่งไก่งวงขายให้กับแม่ค้าที่ตลาดนัดจตุจักร โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง

เมื่อเข้าถึงตลาดใหญ่ ศูนย์กลางซื้อขายสัตว์นานาชนิด ทำให้คุณประสิทธิ์รู้ว่า ตลาดไก่สวยงามมีมากกว่าไก่งวง ยังมีไก่อีกหลายชนิดที่ตลาดต้องการ และตลาดการค้าไก่สวยงามกว้างมากกว่าที่คิด

“แม่ค้าที่ตลาดนัดจตุจักรหลายราย ถามถึงไก่สวยงามประเภทอื่น เพราะตลาดยังต้องการอีกมาก เช่น ไก่บราม่า ไก่โปแลนด์ ไก่ญี่ปุ่น เป็ดบาบารี ผมจึงกลับมาเริ่มตระเวนหาซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ของสัตว์ปีกสวยงามแต่ละชนิด เพื่อนำมาเพาะขยายพันธุ์เอง เมื่อเข้าถึงแหล่งต้นตอของสายพันธุ์สัตว์ปีกแต่ละชนิดจริงๆ ทำให้ผมได้พ่อพันธุ์แม่พันธุ์แท้นำมาเพาะ มีสัตว์ปีกสวยงามเพิ่มขึ้นในฟาร์มของผมเองอีกมาก”

คุณประสิทธิ์ บอกว่า สัตว์ปีกอย่างไก่สวยงามมีวิธีดูแลที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดของการเพาะเลี้ยงไก่สวยงามคือ การเอาใจใส่อย่างละเอียด และความสะอาด

ในฟาร์มของคุณประสิทธิ์แยกส่วนเพาะเลี้ยงไก่สวยงามออกจากบ้านพัก แบ่งเป็นสัดส่วนของไก่แต่ละชนิด โรงเรือนโปร่ง อากาศถ่ายเท แยกไก่เล็ก ไก่รุ่น พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ เพื่อให้การดูแลทำได้โดยสะดวก ในแต่ละวันคุณประสิทธิ์จะเข้าโรงเรือนตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อทำความสะอาดโรงเรือน ให้อาหาร เก็บไข่ กว่าจะแล้วเสร็จการจัดการภายในโรงเรือนก็ใช้เวลาเกือบทั้งวัน นอกเหนือจากนั้นก็เป็นเวลาของการติดต่อประสานกับแม่ค้าที่มาซื้อไก่สวยงามไปขายอีกทอด

การทำความสะอาดโรงเรือนที่เลี้ยงไก่เป็นเรื่องสำคัญ คุณประสิทธิ์ บอกว่า นอกจากการทำวัคซีนให้กับไก่ ซึ่งเป็นตัวช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคภายในโรงเรือนกับสัตว์ปีกที่เลี้ยงแล้ว ความสะอาดก็เป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ เพราะหากสัตว์ปีกที่เลี้ยงไว้ได้รับวัคซีนครบ แต่การดูแลภายในโรงเรือนสกปรก โอกาสสะสมของเชื้อโรค ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคทุกชนิดก็จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ดังนั้น หากไม่ต้องการให้เกิดโรค ควรให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดโรงเรือน นอกจากนี้ ยังควรหมั่นสังเกตไก่ที่เลี้ยงไว้ หากพบว่ามีอาการเซื่องซึม ไม่กินอาหาร ถ่ายเหลว ควรรีบแยกออกต่างหาก และให้ยารักษาโรคแต่เนิ่นๆ ไม่ควรปล่อยปละละเลย เพราะหากไก่ที่มีอาการป่วย ถูกทิ้งไว้นานโดยไม่รักษา โอกาสที่จะเกิดการสูญเสียก็สูง

การเดินหน้าเข้าหาตลาด ส่งผลให้มีแม่ค้าค้าส่งจากจังหวัดอื่นมาติดต่อซื้อไก่สวยงามจากคุณประสิทธิ์จำนวนมาก ไก่สวยงามจากฟาร์มของคุณประสิทธิ์เอง เป็นผลผลิตหลักที่ป้อนเข้าสู่ตลาด แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดไก่สวยงาม คุณประสิทธิ์จึงมีแนวบริหารจัดการ เพื่อให้มีไก่สวยงามส่งเข้าตลาดได้ในทุกวัน โดยออกตระเวนรับซื้อไก่สวยงามจากฟาร์มต่างๆ ทั่วประเทศ และเปิดช่องทางให้กับชาวบ้านที่ต้องการมีอาชีพเสริมและมีเวลาดูแลไก่สวยงามในจำนวนที่สามารถดูแลได้ รวมถึงชาวบ้านที่ไม่มีทุนซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ไก่สวยงาม แต่ต้องการเพาะไก่สวยงามขาย โดยการเข้าถึงหน่วยงานภาครัฐที่มีพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ 100 เปอร์เซ็นต์ จำหน่ายให้กับเกษตรกร เพื่อซื้อไปให้กับผู้ที่ต้องการเพาะไก่สวยงาม แต่ไม่มีต้นทุน โดยนำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไปให้ จากนั้นรับซื้อลูกไก่สวยงามชนิดนั้นๆ คืน จนกว่าผู้เลี้ยงจะมีเงินทุนมากพอชำระคืนค่าพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มา

ลักษณะการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่สนใจเพาะเลี้ยงไก่สวยงามของคุณประสิทธิ์ คล้ายการกระจายการเลี้ยงให้เกิดลูกฟาร์ม เพราะคุณประสิทธิ์รับซื้อลูกไก่ที่เกษตรกรสนใจเลี้ยง และนำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จากคุณประสิทธิ์ไป ซึ่งคุณประสิทธิ์ บอกว่า เหตุผลที่ทำเช่นนี้ เพราะต้องการให้เกษตรกรมีรายได้ เนื่องจากที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานเข้าไปส่งเสริมให้เพาะเลี้ยง แต่ไม่ได้ส่งเสริมด้านการตลาด ทำให้เกษตรกรจำนวนมากไม่มีตลาด ประสบภาวะขาดทุนและเลิกเลี้ยงไปในที่สุด เมื่อตนเองเข้ามารู้จักกับตลาดไก่สวยงามแล้ว พบว่า ความต้องการไก่สวยงามยังกว้างอีกมาก ในแต่ละวันที่มีแม่ค้ามาติดต่อซื้อมีจำนวนมาก ไก่สวยงามที่ส่งขายทุกวันไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการ การส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงและรับซื้อ ก็เท่ากับเป็นการช่วยเหลือให้เกษตรกรมีรายได้ ทั้งยังมีไก่สวยงามออกสู่ตลาดอย่างพอเพียง ตามความต้องการของลูกค้าอีกด้วย

แต่การรับซื้อไก่สวยงามจากเกษตรกรที่คุณประสิทธิ์ช่วยส่งเสริมให้มีรายได้นั้น คุณประสิทธิ์ เน้นว่า ขอให้เกษตรกรที่สนใจ ควรมีเวลาดูแลไก่อย่างเพียงพอ เพราะไก่สวยงามที่ต้องการนั้น ต้องมีคุณภาพที่ดีก่อนนำส่งไปจำหน่าย แม้จะจำหน่ายผ่านมือพ่อค้าคนกลางอีกทอดก็ตาม

ตลอดเวลา 6 ปี ของการเพาะเลี้ยงไก่สวยงามจำหน่าย คุณประสิทธิ์ ยังไม่ประสบปัญหาใดๆ ยกเว้นแต่เพาะไก่สวยงามส่งตลาดไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อนจัด ไข่จะไม่ฟักตัว แม้จะใช้ตู้ฟักช่วยก็ยังเกิดปัญหา หรือในช่วงที่ไก่ถ่ายขนจะหยุดไข่ ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามสภาพแวดล้อมและสภาวะของไก่

คุณประสิทธิ์ กล่าวถึงความต้องการไก่สวยงามของตลาดในประเทศไทยว่า ผู้เพาะเลี้ยงไก่สวยงามจะสามารถขายไก่ได้ 3 ช่วงวัย คือ ไก่ 1-2 เดือน หรือที่เรียกว่าลูกเจี๊ยบ ไก่ 5-7 เดือน วัยเตรียมพร้อมเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ และวัยโตเต็มวัยเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ได้แล้ว ส่วนไก่ในช่วงวัยอื่นๆ จะเป็นไก่ที่ต้องเลี้ยงไว้รอเวลาขาย

ฟาร์มของคุณประสิทธิ์ ใส่ใจดูแลไก่สวยงามทุกชนิดอย่างละเอียด เลี้ยงแบบปล่อย เพื่อให้ไก่ได้อยู่กับธรรมชาติ และบำรุงไม่ให้แม่พันธุ์โทรมจากการฟักไข่ โดยหลังจากแม่ไก่ออกไข่แล้วจะหมั่นสังเกต หากพบว่าแม่ไก่ออกไข่แล้วโทรม จะเก็บไข่นำไปให้แม่ไก่ครอกอื่นช่วยฟัก ช่วยให้แม่ไก่ไม่โทรม จากนั้นให้วิตามินบำรุงเพื่อให้แม่ไก่ฟื้นตัวเร็ว หลังไข่ฟักตัวเป็นลูกเจี๊ยบแล้ว จะแยกลูกเจี๊ยบออกมาอนุบาลต่างหาก เพื่อให้แม่ไก่แข็งแรงโดยเร็ว

ปัจจุบัน มีออเดอร์สั่งไก่สวยงามอย่างน้อย สัปดาห์ละ 500 ตัว การขายติดต่อผ่านทางโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว หรือ ในพ่อค้าคนกลางที่รู้จักฟาร์มคุณประสิทธิ์ก็จะเข้ามารับไก่สวยงามที่ฟาร์มเองทุกวัน และการส่งไก่สวยงามไปยังปลายทาง จะส่งเฉพาะผู้ซื้อส่งในจำนวนมากและระยะทางไกลเท่านั้น

แม้คุณประสิทธิ์จะเพาะเลี้ยงไก่ที่ฟาร์มของตนเอง กระจายลูกฟาร์มออกไปอีกหลายแห่งแล้วก็ตาม จำนวนไก่สวยงามที่ผลิตได้ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ หากมีผู้สนใจต้องการเพาะเลี้ยงไก่สวยงามเป็นอาชีพ ขอเพียงให้ความสำคัญและใส่ใจดูแลก็สามารถทำได้ คุณประสิทธิ์ยืนยันเป็นตลาดรับซื้อให้อย่างไม่มีข้อแม้ สนใจขอชมการจัดการภายในฟาร์มได้ที่ คุณประสิทธิ์ พัดเย็นใจ บ้านคลอง 19 ตำบลโยธะกา อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา โทรศัพท์ (081) 941-3683

หมูป่าอินทรีย์ สัตว์เลี้ยงกลางสวน ที่ปากพนัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05080010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606

สัตว์เลี้ยงสวยงาม

สุจิต เมืองสุข

หมูป่าอินทรีย์ สัตว์เลี้ยงกลางสวน ที่ปากพนัง

อาจจะเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ ที่มีผู้สนใจนำสัตว์ที่ไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มของสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยงภายในบ้าน เสมือนสัตว์เลี้ยงสวยงามทั่วไป ให้เล่น กิน นอน ไปพร้อมกับเจ้าของผู้เลี้ยง เช่น หมูจิ๋ว แมงมุม กิ้งก่า หรือสัตว์แปลกอื่นๆ ซึ่งแม้จะไม่ได้จัดอยู่ในหมวดสัตว์เลี้ยงก็ตาม แต่ก็สร้างความสุขใจให้กับผู้เลี้ยงเช่นเดียวกัน ดังเช่น สัตว์เลี้ยงที่จะกล่าวถึงในฉบับนี้ อาจไม่เหมาะนักถ้าจะเลี้ยงเล่นภายในบ้าน แต่สามารถปล่อยให้เดินเล่น วิ่งเล่น ในอาณาบริเวณที่ผู้เลี้ยงจัดไว้ให้

หมูป่า เป็นสัตว์ที่เมื่อกล่าวถึง จะนึกถึงเขี้ยวของมันที่โผล่แทงขึ้นจากด้านล่างของมุมปากทั้งสองข้าง และสร้างความน่ากลัวให้กับผู้พบเห็น เพราะด้วยลักษณะผิวที่หยาบกร้าน สีผิวที่ดำคล้ำ ขนของหมูป่าที่ไม่อ่อนนุ่ม สามารถสร้างจินตนาการของผู้ที่ไม่รู้จักอีกมุมของหมูป่าให้ต้องการหลีกไกลจากสัตว์ชนิดนี้

ในที่นี้ ขอกล่าวถึงหมูป่าในอีกมุม ที่คุณอาจไม่เคยรู้จักและพบเห็นภาพน่ารักๆ ของหมูป่า ที่เรียกได้ว่า เป็นสัตว์เลี้ยงกลางสวนอีกชนิดหนึ่ง

คุณประยูร เจริญขุน หรือ พี่บาว ชายหนุ่มวัย 30 เศษ ชาวปากพนังแต่กำเนิด เป็นเจ้าของสวนแก้วมังกรออแกนิกแห่งแรกของประเทศไทย เป็นที่รู้จักกว้างขวางว่า เป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการทำการเกษตรแบบผสมผสาน พอเพียง และไร้สารเคมี ซึ่งในครั้งนี้ขอเอ่ยถึงเฉพาะส่วนของหมูป่าอินทรีย์ที่คุณประยูรเพาะเลี้ยงไว้

กลางสวนผสมผสานที่คุณประยูรปั้นแต่งมากับมือ สายลมโบกสะบัด พัดความเย็นมาปะทะตลอดเวลา ทั้งที่แดดร้อนจ้า ภายในสวนที่พื้นที่ไม่มากนัก เป็นคอกหมูป่า 3 คอก มีบ่อเก็บมูลหมู สำหรับนำไปใช้ทำน้ำหมักชีวภาพ ทำปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งพื้นที่บ่อมีขนาดใหญ่ แต่ไม่ได้กลิ่นของมูลหมูป่าเลย

คุณประยูร เล่าว่า ก่อนหน้านี้ทำเกษตรเฉพาะการปลูกพืชเท่านั้น มีบ่อน้ำกลางสวนก็ปล่อยปลาธรรมชาติไว้ ไม่ได้เพาะเลี้ยงจริงจัง และไม่เคยคิดจะเลี้ยงสัตว์ กระทั่งมีแนวคิดในการลดต้นทุนเรื่องปุ๋ยอินทรีย์ เพราะที่ผ่านมาต้องแสวงหาปุ๋ยอินทรีย์จากแหล่งอื่น ซึ่งจำเป็นต้องควักเงินในกระเป๋าออกจ่าย เพื่อความสมบูรณ์ของพืชภายในสวน ด้วยเหตุนี้ จึงคิดเลี้ยงหมูป่า เพื่อนำมูลของหมูป่ามาเป็นปุ๋ยอินทรีย์

“ที่ต้องเลี้ยงหมูป่า เพราะหมูป่าไม่เหมือนหมูขาวที่ต้องทำวัคซีน ซึ่งการให้วัคซีนก็ถือเป็นการนำสารเข้าร่างกายของสัตว์อย่างหนึ่ง และเมื่อได้มูลมา มูลสัตว์ชนิดนั้นก็มีส่วนของเคมีจากวัคซีนที่ได้ จึงต้องเลือกหมูป่า เพราะเป็นสัตว์ที่มีภูมิต้านทานในร่างกายของตัวมันเองสูง และไม่ต้องทำวัคซีนใดๆ กับกรมปศุสัตว์ ที่เหลือก็เป็นเรื่องของการดูแลการให้อาหาร ที่ไม่ผ่านการแปรรูปหรือปลอดเคมี นอกจากนี้ มูลหมูยังมีธาตุฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูง ซึ่งเป็นธาตุอาหารที่ไม้ผลในไร่ต้องการ”

เมื่อความต้องการให้ปลอดสารลงตัว หมูป่า จึงเป็นปศุสัตว์ที่ตอบโจทย์ที่สุด

คุณประยูร ยอมรับว่า ไม่มีความรู้ในเรื่องของการทำปศุสัตว์แม้แต่น้อย แต่ข้อมูลที่ค้นคว้าศึกษาก่อนเลี้ยงหมูป่า ทำให้ทราบว่า หมูป่าเลี้ยงง่าย กินทุกอย่าง ตายยาก ซึ่งเมื่อนำมาเลี้ยงก็ไม่ผิดหวัง แม้กระทั่งกิ่งแก้วมังกร ไม้ผลที่คุณประยูรปลูกไว้ภายในไร่ หมูป่าก็กินอย่างง่ายดาย ถือเป็นเรื่องดี เพราะกิ่งแก้วมังกรมีสารโพแทสเซียมสูงมาก เมื่อหมูป่ากินเข้าไปและถ่ายออกมา มูลของหมูป่าก็อุดมไปด้วยสารโพแทสเซียม ที่ต้นแก้วมังกรต้องการ

จุดเริ่มต้นของการเลี้ยงหมูป่า คุณประยูร เล่าว่า เมื่อ 5 ปีที่แล้ว หลังสรุปโจทย์ความต้องการลดต้นทุน ด้วยการเลี้ยงหมูป่าเพื่อใช้มูลแทนปุ๋ยอินทรีย์ ก็เริ่มออกหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์หมูป่า โดยตระเวนไปซื้อที่จังหวัดกระบี่ และจังหวัดสุราษฎร์ธานี เลือกซื้อพันธุ์หน้ายาว ซึ่งมีจุดเด่นด้านโครงสร้างใหญ่ ทนโรค ที่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ

การเลี้ยงหมูป่าของคุณประยูร ไม่ใช่เพียงได้พ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาแล้วจะหยุดอยู่เพียงเท่านั้น คุณประยูร คำนึงค่าใช้จ่ายที่ต้องมีต้นทุนของการเลี้ยงหมูป่า จึงคิดขยายพันธุ์ โดยคัดสายพันธุ์ไว้ทุกครั้งที่ผสม เพื่อให้ได้หมูป่าหน้ายาว คุณภาพดี เนื้อเยอะ โครงสร้างใหญ่ ทนทานต่อโรค และเลี้ยงง่าย

ในช่วงแรกที่นำหมูป่ามาเลี้ยง คุณประยูร เลี้ยงปล่อยให้เหมือนสัตว์เลี้ยงทั่วไป แต่ด้วยลักษณะนิสัยของหมูป่า จะไปเรื่อยๆ ไม่หยุดอยู่กับที่ ออกนอกพื้นที่สวนของคุณประยูรไปกินพืชในพื้นที่ของเกษตรกรรายอื่น ก่อให้เกิดปัญหา ทำให้คุณประยูรเลือกปล่อยหมูป่าบางตัวที่เชื่อง ไม่ออกนอกอาณาเขตสวน ให้กินและอยู่อาศัยอย่างอิสระ ส่วนหมูป่าบางตัว จำเป็นต้องเลี้ยงไว้เฉพาะในคอก เพราะออกนอกอาณาเขตบ่อยครั้ง

“5 ปี ที่ผ่านมา ผมคัดหลายรุ่น คัดสายพันธุ์เพื่อนำมาทำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ของตนเอง ซึ่งเมื่อเราเลี้ยงเยอะ มีการขยายพันธุ์ จึงมองไปถึงการเพาะเลี้ยงเพื่อจำหน่าย ซึ่งผมขายทุกแบบที่ลูกค้าต้องการ มีทั้งซื้อไปเลี้ยง ซื้อไปเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ หรือซื้อไปทำเป็นอาหาร”

หมูป่า 3 คอก คุณประยูร แบ่งคอกไว้สำหรับพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ และหมูรุ่น 1 คอก อีก 2 คอกที่เหลือ เป็นคอกที่กั้นไว้อย่างหลวมๆ บนพื้นดิน สำหรับหมูป่าท้อง หมูป่าเล็ก และแม่หมู คอกสำหรับพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ปล่อยรวมทั้งตัวผู้และตัวเมีย ประมาณ 50 ตัว โดยให้สัดส่วนเพศผู้น้อย เนื่องจากธรรมชาติของหมูป่าจะมีจ่าฝูง และแบ่งอาณาเขตการอยู่อาศัย ดังนั้น หากหมูป่าเพศผู้อยู่รวมกันเยอะจะทำให้เกิดการต่อสู้ บางครั้งอาจกัดกันถึงตายได้

การอาบน้ำและล้างคอก คุณประยูร ทำทุกวัน โดยการฉีดน้ำล้างคอก หมูป่าจะเดินมาเล่นน้ำที่ฉีดล้างคอก กระโดดโลดเต้น เพราะชอบเล่นน้ำ อีกทั้งยังเป็นการทำความสะอาดตัวหมูป่าไปด้วย นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องดูแลให้คอกสะอาด โดยการนำจุลินทรีย์ท้องถิ่นที่ทำขึ้นเองจากมูลหมูป่าในสวน นำไปหมักทำจุลินทรีย์ เพื่อนำกลับมาทำความสะอาดคอก

ธรรมชาติของหมูป่า ในอดีตไม่สามารถจับต้องได้ เพราะเป็นสัตว์ดุร้าย แต่ปัจจุบัน คุณประยูร บอกว่า หมูป่าที่เลี้ยงไว้เริ่มคุ้นเคยกับคน ทำให้พฤติกรรมบางอย่างเปลี่ยนไป หมูป่าจะจำเจ้าของได้ หากเห็นหน้าหรือได้กลิ่นทุกวัน จะไม่ทำร้ายแม้จะเข้าใกล้ อุ้มหรือกอด ทั้งยังปล่อยเล่นภายในสวนหรือบริเวณบ้านได้เหมือนกับสัตว์เลี้ยงทั่วไป

ข้อควรระวัง หากต้องการนำหมูป่าไปเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงภายในสวนหรือบริเวณบ้าน คุณประยูร แนะว่า ไม่ควรเข้าใกล้หรือจับตัวหมูป่าขณะหลับ เพราะสัญชาตญาณสัตว์ป่ายังมีอยู่ หากทำให้ตกใจขณะหลับ อาจกัดหรือวิ่งพุ่งชนได้ ดังนั้น เมื่อหมูป่าหลับอยู่ ควรทำให้ตื่นด้วยการส่งเสียงเสียก่อน แล้วจึงเข้าไปเล่นด้วย นอกจากนี้ หมูป่าจะลืมเจ้าของหากไม่เห็นหน้าหรือไม่ได้กลิ่นนานเกิน 3 วัน ดังนั้น เมื่อต้องอยู่ห่างหมูป่านานกว่า 3 วัน ควรเริ่มทำความคุ้นเคย โดยการให้ดมกลิ่นให้หมูป่าคุ้นเคยก่อน แล้วจึงดำเนินกิจกรรมตามปกติ

การให้อาหาร หมูป่าเป็นสัตว์กินง่าย กินได้ทุกอย่าง แต่หมูป่าที่คุณประยูรต้องการให้เป็นคือ หมูป่าอินทรีย์ จึงต้องหาอาหารที่ปลอดสารเคมีหรือผ่านการแปรรูป คุณประยูร เลือกใช้ผักบุ้งตามร่องสวนปาล์ม เพราะเป็นผักบุ้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและปลอดสาร นำผักบุ้งมาหั่นละเอียดผสมรำ เป็นอาหารที่ให้ประจำทุกวัน วันละมื้อในเวลาเย็น ปริมาณรำที่ใช้ 15 กิโลกรัม ต่อวัน ส่วน ผักบุ้ง ปริมาณเต็มรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง นอกจากนี้ ยังให้อาหารเสริมเป็นขี้เค้ก สำหรับให้เป็นอาหารเสริมในตอนเช้าให้กับหมูป่า ด้วยกลิ่นของขี้เค้กหมูป่าจะชอบมาก แต่จะเรียกความสนใจได้เพียง 1-2 วันแรก ที่ให้เป็นอาหารเสริม หลังจากนั้น ต้องนำขี้เค้กไปผสมรวมกับรำ เพื่อเพิ่มกลิ่นให้หมูป่าสนใจกิน

ขี้เค้กปาล์ม เป็นอาหารเสริมที่ดี เพราะมีโปรตีนสูง 7-14 เปอร์เซ็นต์ และมีไขมันไม่ต่ำกว่า 11 เปอร์เซ็นต์ และมีราคาถูก ตันละ 30 บาท ให้เป็นอาหารหมูป่า วันละ 1 ตัน เท่านั้น ดังนั้น ต้นทุนเรื่องของอาหารที่ดูเหมือนจะเป็นส่วนที่มากที่สุดของการเลี้ยงหมูป่า วันละไม่เกิน 120 บาท เท่านั้น

การผสมพันธุ์ การคลอด การเลี้ยงลูกหมู ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของหมูป่า เมื่อลูกหมูป่าอายุได้ 2 เดือน ก็สามารถจำหน่ายได้ ซึ่งผู้ที่สนใจนำไปเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง มักจะซื้อหมูป่าวัยนี้ ด้วยราคา ตัวละ 1,500 บาท ส่วนหมูป่าไซซ์ใหญ่ขึ้นมา คุณประยูร จะขายตามน้ำหนัก โดยคิดราคากิโลกรัมละ 100 บาท สำหรับหมูตัว และหมูชำแหละ ในราคากิโลกรัมละ 150 บาท

ปัจจุบัน สวนท่านขุนเจริญ มีหมูป่าอินทรีย์กว่า 100 ตัว มีจำหน่ายทุกไซซ์ ทุกวัย พร้อมส่งให้ถึงที่ ขึ้นอยู่กับการตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ท่านใดสนใจวิธีการเลี้ยงหมูป่าแบบอินทรีย์และเลี้ยงปล่อยตามธรรมชาติเช่นเดียวกัคุณประยูร เจริญขุน ติดต่อสอบถามหรือขอเข้าชมได้ ที่สวนขุนเจริญ คุณประยูร เจริญขุน 129 หมู่ที่ 9 ตำบลท่าพญา อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช โทรศัพท์ (087) 384-5839