ดนตรีและสมอง : ร้องเพลงห่วย….เกิดได้ยังไง? (ตอนที่ 1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/583264

โดย หมอดื้อ 28 ก.พ. 2559 05:01

 

บทนี้น่าจะเป็นข้ออ้างของพวกเราหลายๆคนนะครับว่า ที่ร้องเพี้ยน หลง โหยหวน เกิดจากสายใยสมองเรายังไม่สามัคคีกันนัก ไม่ใช่อ่อนซ้อมหรือดำน้ำ หมอและคุณหมอจิตสุภา ตรีทิพย์สถิต สรุปและเรียบเรียงจากเว็บของ New York Academy of Science

ภาวะความบกพร่องของการสำเหนียกระดับเสียง (tone deafness) หรือแนวโน้มที่จะร้องเพลงเสียงหลง (tendency to sing out-of-tune)

สาเหตุที่ทำให้คนทั่วไปร้อง เพลงเสียงหลง อาจสรุปได้ว่าไม่ได้มาจากความผิดปกติเพียงด้านใดด้านหนึ่ง (monolithic defect) เท่านั้น

แต่น่าจะเกิดจากความหลากหลายในรูปแบบของการร้องเพลงในมนุษย์ ซึ่งคนบางกลุ่มในลักษณะที่หลากหลายเหล่านี้อาจมีปัญหาความบกพร่องทางการรับรู้ (impaired perceptual abilities) ความบกพร่องในการแยกแยะและออกเสียงตามระดับเสียงต่างๆตั้งแต่กำเนิด (congenital amusia) พบได้ประมาณ 2-4% ของประชากร ในขณะที่บางส่วนที่เหลือไม่พบความผิดปกติเหล่านี้

การทดสอบร้องเพลงโดยไม่มีดนตรีประกอบ ถือเป็นวิธีการทดสอบความสามารถในการร้องเพลงในคนทั่วไปที่น่าเชื่อถือและปราศจากอคติส่วนบุคคล ซึ่งวิธีการดังกล่าวสามารถบอกความแม่นยำในด้านระดับเสียง (pitch accuracy) และการเว้นช่วงของจังหวะ (temporal accuracy) ได้เป็นอย่างดี

กลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนทั่วไปและกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักดนตรีร้องเพลงที่เป็นที่รู้จักกันดี เช่น เพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ พบว่าโดยรวมไม่มีความแตกต่าง แต่อาจมีบางคนร้องแย่ ซึ่งอาจมีหรือไม่มีความผิดปกติทางด้านการรับรู้ร่วมด้วยก็ได้

การร้องเพลงแย่ (out-of tune singing) นั้นเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้จากความบกพร่องทางการรับรู้ (perceptual deficits) หรือความบกพร่องทางการประสานการควบคุมการเคลื่อนไหวในการออก เสียงร้อง (motor deficits) อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว

โดยพบว่า ในกลุ่มคนทั่วไปที่ร้องเพลงแย่นั้นไม่สามารถเลียนเสียง (imitative vocalization) ได้ แม้ว่าจะไม่มีความผิดปกติทางด้านการรับรู้และแยกแยะระดับเสียง (pitch discrimination) ก็ตาม

จากข้อมูลดังกล่าว นำไปสู่สมมติฐานที่ว่า การที่คนทั่วไปร้องเพลงแย่นั้นมีสาเหตุมาจากความบกพร่องของการทำงานที่ประสานกันระหว่างกระบวนการรับรู้และกระบวนการที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหว (sensorimotor deficit) กล่าวคือ ในกลุ่มคนที่ร้องเพลงแย่นั้นอาจมีกระบวนการแปลงสัญญาณ (mistranslation) ที่ผิดพลาดระหว่างกระบวนการแยกแยะระดับเสียงและการส่งต่อสัญญาณดังกล่าวไปยังสมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการออกเสียง

การศึกษาด้วยเครื่องมือ fMRI ในการศึกษาการทำงานของสมองในกลุ่มที่ร้องเพลงไม่เพี้ยน (accurate singers) และในกลุ่มที่ร้องเพี้ยน (poor pitch (tone–deaf) singers) ในขณะที่กำลังทำการเลียนเสียงที่กำหนด (vocal imitation)

เมื่อทำการวิเคราะห์ผลการศึกษาที่ได้พบว่า กลุ่มเพี้ยน ยังคงมีการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการได้ยิน (auditory areas) ในระดับปกติ ในขณะที่สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว (motor areas) กลับมีลักษณะการทำงานที่ลดลงหรือผิดปกติไป ซึ่งในที่นี้รวมถึงสมองส่วนที่ควบคุมการทำงานของกล่องเสียง (larynx motor cortex, posterior cerebellum และ supplementary motor area)

ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ว่า การร้องเพลงแย่นั้นมีสาเหตุมาจากความผิดปกติบางประการในกระบวนการเชื่อมโยงประสานงานระหว่างสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินซึ่งเป็นปกติและสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวเพื่อการออกเสียงของกล้ามเนื้อกล่องเสียง

จากการวิจัยร้องเพี้ยนนำไปขยายผลต่อยอดเพื่อการศึกษากระบวนการรับรู้ (cognition) ที่เกิดภายในสมองของมนุษย์อย่างแพร่หลาย เนื่องจาก ดนตรีนั้นสัมพันธ์กับการทำงานของสมองในหลายๆ ส่วนที่มีหน้าที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ (perception และ cognition), การเคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรมต่างๆ (action), อารมณ์ (emotion), การเรียนรู้ (learning) และการเกิดความจำ (memory)

ในปัจจุบันพบว่า มีข้อมูลการศึกษาและค้นพบใหม่ๆในสาขาวิชาซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำดนตรีมาใช้เพื่อบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพของสมองที่น่าสนใจเป็นจำนวนมาก.

หมอดื้อ

กำเนิดสมองซีกขวาและซีกซ้าย (ตอน 3)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/580069

โดย หมอดื้อ 21 ก.พ. 2559 05:01

 

ทั้งมนุษย์และลิง สามารถแปลการแสดงออกทางอารมณ์ ผ่านสีหน้าได้แม่นยำกว่า ด้วยสมองซีกขวา จึงสรุปได้ว่า ความสามารถในพัฒนาการจากบรรพบุรุษของสมองซีกขวา เพื่อที่จะบ่งชี้เอกลักษณ์ และความคุ้นเคย เพื่อที่จะตัดสินว่า สิ่งกระตุ้นในขณะนั้นเคยได้เห็นหรือพบเจอมาก่อนหรือไม่

การแบ่งแยกขั้นพื้นฐาน ระหว่างบทบาทของสมองซีกซ้าย ในด้านปฏิกิริยาปกติ กับบทบาทของสมองซีกขวา ในด้านสถานการณ์พิเศษแล้ว ยังมีรายละเอียดที่สมองซีกขวาของมนุษย์จะดูภาพรวมทั้งหมดมากกว่าที่จะดูเป็นจุดย่อยๆ ความสามารถนี้ทำให้เกิดผลดีในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ของสิ่งต่างๆ ด้านตำแหน่งและขนาด ความทรงจำที่เก็บในสมองซีกขวามีแนวโน้มที่จะเป็นระบบ และเรียกออกมาใช้เป็นแบบแผน มากกว่าที่จะเป็นสิ่งย่อยๆ ในทางตรงกันข้าม สมองซีกซ้ายกลับมีแนวโน้มที่จะสนใจเฉพาะจุดของสิ่งแวดล้อมนั้นๆ หลักฐานที่เด่นในเรื่องการแบ่งเป็นภาพรวม หรือเฉพาะส่วนนี้ได้ถูกแสดงให้เห็นชัด เมื่อให้คนไข้ที่สมองถูกทำลายมาลอกภาพซึ่งถูกเขียนด้วยอักษรพิมพ์ใหญ่ตัว A ขนาดเล็กๆหลายตัวอย่างเป็นรูปแบบ ก่อให้เป็นรูปร่างของตัวอักษร H ขนาดใหญ่ คนไข้ที่สมองซีกซ้ายถูกทำลายจะเขียนเส้นรวมๆของรูปตัว H โดยไม่มีอักษร A ขนาดเล็กเลย ในขณะที่คนไข้ที่สมองซีกขวาถูกทำลาย จะเขียนเฉพาะตัว A อย่างไม่มีรูปแบบไปทั่วกระดาษ

การแบ่งแยกแบบนี้พบในไก่เช่นกัน เป็นการบอกถึงเรื่องวิวัฒนาการ ไก่บ้าน มีความสนใจ ในด้านความสัมพันธ์ของสิ่งของในด้านขนาด และตำแหน่ง โดยใช้สมองซีกขวา นอกเหนือจากนั้น ไก่ที่ถูกปิดตาขวา จะสนใจในสิ่งกระตุ้นที่หลากหลาย เป็นการบอกถึงภาพรวม ในขณะที่ไก่ที่ถูกปิดตาซ้ายเท่านั้นที่จะสามารถพุ่งความสนใจไปเฉพาะส่วนที่เด่นชัด

แล้วทำไมสมองต้องแบ่งออกเป็นสองซีก นั่นก็คือ เพื่อประเมินสิ่ง กระตุ้นที่เข้ามา สิ่งมีชีวิตจำเป็นจะต้องมีการวิเคราะห์สองชนิด โดยสิ่งกระตุ้นที่แปลกใหม่และต้องการการตอบสนองแบบฉุกเฉิน ซึ่งใช้สมองซีกขวาหรือสิ่งกระตุ้นนั้นจัดเข้าได้กับ กลุ่มสิ่งที่คุ้นเคยอยู่ก่อนแล้วหรือไม่ เพื่อที่จะได้ตอบสนองแบบที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดีแล้วได้ ซึ่งใช้สมองซีกซ้าย เพื่อที่จะกระตุ้นสิ่งแปลกใหม่ สิ่งมีชีวิตจำเป็นต้องสนใจลักษณะจำเพาะการรับรู้ด้านขนาดและตำแหน่ง มีความจำเป็นอย่างมากในการรับรู้นี้ ซึ่งก็คือหน้าที่ของสมองซีกขวาในทางกลับกัน ในการจัดกลุ่มประสบการณ์ สิ่งมีชีวิตต้องจดจำได้ว่า สิ่งไหนที่เกิดขึ้นซ้ำๆ และแยกกลุ่ม ของสิ่งจำเพาะ หรือแปลกจากกลุ่มออกไป ผลลัพธ์ก็คือ การสนใจเฉพาะสิ่งที่สำคัญและมีคุณค่า ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษที่สำคัญที่สุดของสมอง และนั่นก็คือหน้าที่ของสมองซีกซ้าย การมีความจำเพาะของสมองสองซีก ทำให้งานมีประสิทธิภาพมากกว่าการไม่มีการแยก เนื่องจากข้อมูลทั้งสองชนิด จะผ่านสมองในเวลาเดียวกัน มีการเปรียบเทียบความสามารถของสัตว์ที่มีความจำเพาะของสมองสองซีกกับสัตว์ที่ไม่มีความจำเพาะของสมอง

โดยนำตัวอ่อน (Embryo) ของไก่บ้านมาแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรก จะได้รับแสง โดยก่อนที่จะฟักตัว หัวของตัวอ่อนของไก่ได้หมุนเข้าไปทำให้ตาซ้ายถูกปิดไว้ด้วยลำตัว มีแต่ตาขวาที่ได้รับการกระตุ้นจากแสงที่ส่องผ่านเปลือกไข่ แสงจะกระตุ้นให้การมองเห็นพัฒนาขึ้น ส่วนกลุ่มที่สอง จะให้ไข่ ฟักตัวในที่มืด จะสามารถทำให้ไม่เกิด ความจำเพาะในสมองสองซีก และไม่พัฒนาสมองซีกซ้ายซึ่งจะช่วยเรื่อง ความสามารถพิเศษ ในการแยกธัญพืช ออกจากก้อนหินเล็กๆ และยังลดการทำงานของสมองซีกขวาที่จะตอบสนองทางด้านซ้ายต่อผู้ล่าด้วย เพื่อทดสอบไก่สองชนิดนี้ โดยไก่จะต้องหาธัญพืชที่ปะปนกับก้อนหินเล็กๆ ในขณะที่ต้องคอยระวังผู้ล่าที่อยู่ด้านบนด้วย พบว่าไก่ที่ฟักตัวโดยการกระตุ้นด้วยแสง สามารถทำได้อย่างดี ในขณะนี้ไก่ที่ฟักตัวในความมืดไม่สามารถทำได้ จึงเป็นการเน้นย้ำความสำคัญ ในเรื่องความจำเพาะของสมองสองซีก

ความไม่สมดุลทางสังคม กระบวนการที่สามารถแบ่งแยกและสอดคล้องกันไปของสมองทั้งสองซีกนั้น อาจทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง แต่ยังมีคำถามอีกมากมายที่ยังต้องการคำตอบ เช่น ในแต่ละสายพันธ์ุนั้นสมองซีกไหนเด่นกว่า ทำไมตาซ้ายและสมองซีกขวาในสัตว์ส่วนใหญ่ จึงดีกว่าในการระวังภัยจากผู้ล่า และทำไมความถนัดในการใช้มือถึงมีสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน แบบครึ่งต่อครึ่ง จากมุมมองทางวิวัฒนาการ ความไม่สมดุลที่มีความถนัดด้านใดด้านหนึ่งนั้น อาจเป็นข้อเสียทางพฤติกรรมต่อการถูกล่า เพราะว่าผู้ล่าสามารถเรียนรู้ที่จะเข้ามาทางที่เหยื่อไม่ถนัด ทำให้มีโอกาสระวังภัยลดลง

ในสัตว์สังคมนั้น ข้อดีของพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกันทำให้สามารถคาดได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสัตว์ในสายพันธุ์เดียวกัน ในทางคณิตศาสตร์นั้น ประชากรที่ถนัดขวา หรือถนัดซ้ายสามารถก่อให้เกิดสิ่งที่ต้องเสียไปและสิ่งที่ได้รับ นอกจากนี้ก็ยังสัมพันธ์กับความกดดันทางด้านสังคมอีกด้วย ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ ปลาที่อยู่รวมกันเป็นฝูง ก็จำเป็นจะต้องมีการเลี้ยวด้านที่ถนัดไปในทางเดียวกัน จึงว่ายรวมกัน เป็นฝูงได้ ในทางตรงกันข้าม ปลาที่อยู่ตัวเดียวก็อาจจะเลี้ยวอย่างไม่เป็นแบบแผน เพราะว่าไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงตัวอื่น ด้วยความตระหนักว่าความ จำเพาะของสมองสองซีกไม่ได้มีเฉพาะในมนุษย์ คำถามใหม่ๆเกี่ยวข้องกับหน้าที่ของสมองมนุษย์ก็ได้เกิดขึ้น เช่น อะไรคือบทบาทของสมองซีกขวาและซ้าย ในด้านความรู้ตัว สติและความเห็นใจ หรือความสามารถในการรู้จักตัวตนภายใน เรารู้เรื่องเหล่านี้น้อยมาก

แต่การค้นพบอย่างละเอียดทำให้บอกได้ว่า หน้าที่เหล่านี้จะ สามารถเข้าใจได้ในรูปแบบของการประยุกต์ เรื่องคุณสมบัติในสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาก่อนมนุษย์ ซึ่งคล้ายกับปรากฏการณ์อื่นๆที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น.

หมอดื้อ

กำเนิดสมองซีกขวาและซีกซ้าย (ตอน 2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/576954

โดย หมอดื้อ 14 ก.พ. 2559 05:01

 

จึงน่าจะเป็นไปได้ว่า…การประนีประนอมทั้งสองทฤษฎี กล่าวคือ “สมองสองซีก”…ที่มีหน้าที่จำเพาะเกิดมาแต่เก่าก่อนรวมทั้งการพัฒนาอีกระดับมาเกิดในยุคมีมนุษย์ อาจจะอธิบายสมองสองซีกในคนได้ดียิ่งขึ้น

การสื่อสารกับ “สมองซีกซ้าย”…มาจากมรดกทางวิวัฒนาการของการใช้มือขวา ผ่านทางการปรับพฤติกรรมเรื่องอาหารของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชั้นสูง อย่างไรก็ตาม แม้แต่ “สมองภาษา (the language brain)” ที่จำเพาะของสมองซีกซ้าย เช่น การสื่อสารทั้งภาษาพูด และภาษากาย ความสามารถในการสื่อสารเหล่านั้นไม่ได้เริ่มเกิดขึ้นในมนุษย์

สมองด้านซ้าย…ควบคุมการร้องเพลงในนก ส่วนในสิงโตทะเล สุนัขและลิงนั้น สมองซีกซ้ายคุมการรับรู้ของการร้องเรียกของสัตว์ในสายพันธุ์เดียวกัน ลิงมาร์โมเสทจะเปิดปากร้องเรียกเพื่อนโดยเปิดข้างขวากว้างกว่าข้างซ้าย มนุษย์เราก็ทำแบบเดียวกันในขณะพูด ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นของหน้าทางด้านขวามากกว่า โดยสมองซีกซ้ายนั่นเอง ในสัตว์บางประเภทการตอบสนองด้วยเสียงในสถานการณ์ที่มีอารมณ์ร่วมมาก ก็พบว่ามีสัมพันธ์กับสมองซีกซ้ายด้วย ถึงแม้ว่าบางคนจะคิดว่าน่าจะเป็นซีกขวาก็ตาม

ตัวอย่างเช่น เมื่อกบตัวผู้โดนล้อมด้วยคู่ต่อสู้ มันจะส่งเสียงร้องจากการควบคุมด้วยสมองซีกซ้าย เช่นเดียวกันกับในหนู ที่หนูแรกเกิดจะส่งเสียงขอความช่วยเหลือ หรือหนูเกอบิลจะร้องเรียกในเวลาหาคู่ ซึ่งกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่ยกเว้น ในมนุษย์ ลิง และสัตว์ส่วนใหญ่ สมองซีกขวาต่างหากที่เป็นตัวควบคุม เสียงในสถานการณ์ที่มีอารมณ์ร่วมมาก ในขณะที่สมองซีกซ้ายก็ติดอยู่กับงานที่ทำประจำ การสื่อสารทางกายในมนุษย์ก็มีวิวัฒนาการมาเหมือนกัน ลิงชิมแปนซีไม่เพียงแต่ใช้มือขวาจับของ แต่ยังใช้แสดงท่าทางด้วย เช่นเดียวกับกอริลลา ที่จะใช้มือในการสื่อสารร่วมกับศีรษะและปากของมัน การสื่อสารของลิงบาบูนใช้ด้วยการตบพื้น

ความสำคัญของวิวัฒนาการชัดเจนขึ้นเมื่อพบว่า มนุษย์ก็แสดงออกทางภาษากายโดยใช้มือขวามากกว่าเช่นกัน พฤติกรรมเกี่ยวเนื่องกับความถนัดของมือพบตั้งแต่บรรพบุรุษมนุษย์ที่คล้ายลิง ซึ่งเกิดก่อนมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น อาจจะตั้งแต่ 40 ล้านปีก่อน

วิวัฒนาการทางภาษายังคงยากที่จะตอบคำถามพื้นฐานที่ว่า พฤติกรรมด้านการหาอาหาร การออกเสียง การสื่อสารโดยใช้มือขวา ที่ถูกควบคุมโดยสมองซีกซ้ายนี้ ได้พัฒนามาสู่การใช้ภาษาได้อย่างไร มีสมมติฐานว่า เริ่มจากพยางค์ ซึ่งประกอบด้วยพยัญชนะและสระ ซึ่งพัฒนามาจากการขยับกรามส่วนล่าง ซึ่งใช้ในการเคี้ยว การดูดน้ำ และการเลียอาหาร ซึ่งทำให้เกิดการขมุบขมิบปาก ซึ่งกลายเป็นสัญญาณในการสื่อสารขั้นพื้นฐาน ต่อมาการออกเสียงจากหลอดเสียงก็มาผสมผสานกับการขยับปากให้เป็นพยางค์ที่ออกเสียงได้ พยางค์อาจจะใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในความหมายเฉพาะตัวแล้วก็สร้างมาเป็นคำ สุดท้ายก็เป็นความสามารถในการสร้างประโยค ซึ่งก็เป็นการรวมอย่างน้อย “ประธาน” กับ “กริยา” ซึ่งก็พัฒนาการมาเป็นภาษานั่นเอง

“สมองซีกขวา”…เพื่อพิสูจน์สมมติฐานในส่วนหลัง จึงจำเป็นต้องดูว่าหลักฐานน่าเชื่อถือเพียงไร ที่กล่าวว่าในสัตว์มีกระดูกสันหลังยุคแรกมีวิวัฒนาการโดยสมองซีกขวาสำคัญในด้านการตรวจ และตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นเหนือความคาดหมาย และความจำเพาะของสมองซีกขวามีวิวัฒนาการ และเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปด้วยวิธีใด การค้นพบที่สนับสนุนทฤษฎีนี้มาจากการศึกษาปฏิกิริยาของผู้ล่าในสัตว์หลายประเภท

โดยรวมเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายมากที่สุดในสิ่งแวดล้อมของสัตว์มีกระดูกสันหลังยุคโบราณก็คือ การปรากฏตัวของผู้ล่าที่อาจทำให้สัตว์เหล่านั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต

ในปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์ปีก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จะตอบสนองด้วยการหลีกเลี่ยงผู้ล่า ซึ่งมองเห็นจากทางซ้ายของลานสายตา ซึ่งหมายถึงด้านขวาของสมอง หลักฐานในมนุษย์มาจากการศึกษาภาพถ่ายทางสมอง มนุษย์ได้มีกระบวนการทางสมองในด้านระบบเตือนภัยในสมองซีกขวา ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับตัวกระตุ้นที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมที่เหนือความคาดหมาย

กล่าวง่ายๆก็คือ สิ่งกระตุ้นที่บอกว่าอันตรายอยู่ข้างหน้า การมีระบบเตือนภัยช่วยให้มนุษย์เรามีเหตุผลในพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะอธิบายได้ยากในห้องปฏิบัติการ คนที่ถนัดขวาจะตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นเหนือความคาดหมายได้เร็วกว่าคนที่ถนัดซ้าย

แม้แต่ในเหตุการณ์ที่ไม่ก่ออันตราย สัตว์มีกระดูกสันหลังหลายชนิดก็เฝ้าระวังผู้ล่าด้วยตาซ้าย พฤติกรรมที่สมองซีกขวาจำเพาะต่อการระวังภัยนี้ขยายไปยังพฤติกรรมที่ก้าวร้าวรุนแรงด้วย สัตว์พวกคางคก กิ้งก่าชามิเลียน ไก่ และลิงบาบูน มีแนวโน้มที่จะทำอันตรายสัตว์ตัวอื่นในสายพันธุ์เดียวกัน โดยใช้ด้านซ้ายมากกว่า

ในมนุษย์นั้น พฤติกรรมระวังภัย และหลบหลีกนี้ได้พัฒนามาสู่อารมณ์ทางลบหลายประการ แพทย์ในศตวรรษที่ 19 ได้สังเกตผู้ป่วยที่มาพบด้วยอาการอ่อนแรงของแขนขา ที่สัมพันธ์กับอารมณ์ (hysterical limb paralysis) เป็นมากในด้านซ้ายมากกว่าด้านขวา มีหลักฐานที่แสดงออกว่าการควบคุมสมองซีกขวาในการตะโกน หรือกรีดร้องด้วยอารมณ์นั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเสียงที่ออกมาตามปกติที่ควบคุมโดยสมองซีกซ้าย นอกจากนี้คนที่มักมีอารมณ์ซึมเศร้าจะพบมากหลังจากที่สมองซีกซ้ายถูกทำลายมากกว่าซีกขวา โดยที่คนที่มีอารมณ์ซึมเศร้าเรื้อรังนั้น สมองซีกขวาจะทำงานมากกว่าสมองซีกซ้าย การจดจำผู้อื่นในสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง สัตว์มีกระดูกสันหลังยุคแรกต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วทั้งในการอยู่ร่วมกันกับพวกของมันเอง และการปรากฏตัวของผู้ล่า สมองซีกขวาของปลา และนกจะรับรู้ และคอยตรวจสอบพฤติกรรมสัตว์ตัวอื่นที่อาศัยร่วมกัน ซึ่งอาจจะต้องใช้ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ดังนั้นหน้าที่ของสมองซีกขวาในการรับรู้หน้าตาก็ได้รับการถ่ายทอดจากสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต้นนั่นเอง

ตัวอย่างเช่น มีแค่ปลาไม่กี่สายพันธุ์ในสัตว์มีกระดูกสันหลังยุคแรก ที่สามารถจดจำ ปลาตัวอื่นๆได้ แต่นกโดยทั่วไปสามารถใช้ความสามารถของสมองซีกขวาในการจดจำนกตัวอื่นได้ แกะสามารถจดจำหน้าตาของตัวอื่นๆรวมทั้งมนุษย์ โดยสมองซีกขวามีส่วนสำคัญมาก พฤติกรรมที่คล้ายคลึงกันนี้พบได้ชัดในลิง ความพิเศษของสมองซีกขวาในการจดจำหน้าของคน เมื่อผิดปกติเรียกว่า “Prosopagnosia”.

หมอดื้อ

กำเนิดสมองซีกขวาและซีกซ้าย (ตอน 1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/573618

โดย หมอดื้อ 7 ก.พ. 2559 05:01

 

สมองขวาและซ้าย ถูกกำหนดบทบาทตามความเชื่อ เหมือนขวาสตรีสุนทรีย์ ซ้ายบุรุษ แต่ความจริงไม่ถึงกับตรงไปตรงมาขนาดนั้นศาสตร์ทางสมองเกี่ยวกับเรื่อง พุทธิปัญญา (cognitive neuroscience) เริ่มจะเบ่งบานเป็นที่รู้จักในวงกว้างเท่าที่ติดตามมาน่าจะประมาณ ปี 2008 โดยดูว่าหน้าที่แต่ละอย่างถูกควบคุมจากสมองตำแหน่งใดและมีการประสานกันกับส่วนอื่นอย่างไร บทความนี้ช่วยกันแปลและเรียบเรียงจากนิตยสาร Scientific American 2009 กับคุณหมอรพีพรรณ รัตนวงศ์นรา ซึ่งน่าจะง่ายที่สุดและเป็นพื้นในเรื่องที่จะตามต่อๆมา

การแบ่งงานของสมองเป็นซีกซ้ายและซีกขวา เคยถูกคิดว่าเป็นคุณสมบัติจำเพาะของมนุษย์ มีความแตกต่างกันในหน้าที่ ทั้งด้านการพูด การใช้มือขวา การจดจำหน้าตา และกระบวนการคิดเรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ด้านตำแหน่งและขนาด…

อย่างไรก็ตาม สมองสองซีกกำเนิดมาตั้งแต่สัตว์มีกระดูกสันหลังขั้นต้น ซึ่งเกิดขึ้นมากว่าห้าร้อยล้านปีก่อน สมองซีกซ้ายจะเน้นในด้านการควบคุมพฤติกรรมที่มีแบบแผนการทำงานที่สร้างมาอย่างดี ในขณะที่สมองซีกขวาเชี่ยวชาญในการค้นพบและตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นที่ไม่คาดหมายในคน ทั้งการพูดและการใช้มือขวา อาจมีพัฒนาการมาจากความเชี่ยวชาญในการ ควบคุมพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ส่วนการจดจำหน้าตาและการคิดเรื่องความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ด้านตำแหน่งและขนาด อาจจะเป็นคุณสมบัติที่ตกทอดมา ที่จำเป็นสำหรับการรับรู้อันตรายได้อย่างรวดเร็วในการหลบหลีก ตอบโต้

สมองซีกซ้ายของมนุษย์ยังควบคุมภาษา คุณสมบัติทางความคิดที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ สมองซีกขวาเด่นในด้านการควบคุมความรู้สึกว่าสิ่งของต่างๆสัมพันธ์กันอย่างไร เชื่อกันว่าการใช้มือขวาและความเชี่ยวชาญของสมองด้านเดียวในการคิดความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ด้านตำแหน่งและขนาดนี้ ความเชื่อในลักษณะชี้บ่งว่าเกิดในมนุษย์เท่านั้น เข้าได้กับความคิดเรื่องวิวัฒนาการที่การใช้มือข้างขวามีตั้งแต่ที่บรรพบุรุษของเรา สร้างเครื่องมือประมาณ 2.5 ล้านปีก่อน และเป็นพื้นฐานของการใช้มือด้วย เป็นไปได้ว่า สมองซีกซ้าย เพียงเติมภาษาสัญลักษณ์ให้กับแบบแผนของการกระทำต่างๆ แล้วแปลงออกมาเป็นภาษาที่ใช้อยู่

หรืออาจเป็นได้ว่าความสามารถของสมองซีกซ้ายที่ควบคุมการกระทำ ได้เพิ่มเติมหน้าที่ในการควบคุมการออกเสียงด้วย ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม การพูดและภาษาได้วิวัฒนาการมาจากความสามารถในการผลิต เครื่องมือนั่นเอง

ข้อคัดค้านของการเกิดสมองทั้งสองซีกที่มีหน้าที่จำเพาะในมนุษย์ว่าน่าจะมีจุดเริ่มจากมนุษย์เอง อยู่ที่ความจำเพาะของสมองสองด้านนั้นมีในสัตว์มีกระดูกสันหลังกว่า 500 ร้อยล้านปีก่อน สอดคล้องกับทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน ที่ว่าคุณสมบัติต่างๆของสิ่งมีชีวิตรุ่นหลังเกิดจากความเปลี่ยนแปลง ความสามารถในการปรับตัว โดยสมองซีกซ้ายสำคัญในการควบคุมพฤติกรรม ที่เป็นแบบแผนภายใต้ภาวะที่คุ้นเคย ส่วนสมองซีกขวาเป็นส่วนหลักของการกระตุ้นทางอารมณ์เพื่อตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นที่ไม่คาดหมายในสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต้น การแบ่งอาจเริ่มจากแนวโน้มที่จะคุมสถานการณ์ต่างๆ เริ่มจากสมองซีกขวามีหน้าที่ควบคุมสิ่งที่อาจเป็นอันตราย ที่เรียกว่าการตอบสนองแบบฉับพลัน อย่างเช่น การตอบสนองต่อผู้ล่าแล้วส่งไปยังสมองซีกซ้าย

โดยสรุปก็คือ ส่วนสมองซีกซ้ายจะควบคุมพฤติกรรมที่เป็นการตอบสนองของความกระตุ้นภายในตนเองซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ที่เรียกว่าการควบคุมจากบนลงล่าง ส่วนสมองซีกขวาจะ ควบคุมพฤติกรรมที่เป็นการตอบสนองต่อการกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม หรือเรียกว่าการควบคุมจากล่างขึ้นบน กระบวนการที่ต้องการความชำนาญได้แก่ ภาษา การใช้มือขวา การคิดความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ด้านตำแหน่งและขนาด และการจดจำหน้าตา เป็นลักษณะที่เกิดจากพื้นฐานนี้

หลักฐานส่วนใหญ่ที่สนับสนุนนั้นเกิดจากการศึกษาการควบคุมด้านใด ด้านหนึ่งของร่างกายมากกว่าที่จะศึกษาโดยตรงกับสมอง เนื่องจากในระบบประสาท ของสัตว์มีกระดูกสันหลังนี้ มีการเชื่อมโยงของระบบสมองกับร่างกายด้านตรงข้าม ผ่านทางเส้นใยประสาท หลักฐานในส่วนแรกของทฤษฎีที่ว่า สมองซีกซ้ายของสัตว์มีกระดูกสันหลัง มีหน้าที่ด้านการควบคุมพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำจากแรงกระตุ้นภายใน

จากตัวอย่างง่ายๆ เช่น การหาอาหารในปลา สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ ครึ่งบกครึ่งน้ำ มีแนวโน้มที่จะตะครุบเหยื่อทางด้านขวา โดยใช้ตาขวาและการควบคุมของสมองซีกซ้าย ในสัตว์ปีกก็เช่นเดียวกัน ตาขวาเป็นตัวหลักในการจิกอาหารและจับเหยื่อ การที่มีความจำเพาะของสมองนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคภายนอกด้วย ตัวอย่างเช่น จงอยปากของนกหัวโต พันธุ์นิวซีแลนด์ (New Zealand wry-billed plover) จะโค้งด้านขวามากกว่า เนื่องจากใช้ตาขวามองหาอาหารที่อยู่ระหว่างแก่งหิน

สำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ปลาวาฬหลังโหนก มีการศึกษาใน Seattle ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ทำการศึกษาในปลาวาฬ 75 ตัว พบว่า พวกมันมีแผลถลอกเฉพาะบริเวณเขี้ยวด้านขวา ขณะที่เพียง 15 ตัวเท่านั้นที่มีแผลด้านซ้าย การพบนี้เป็นหลักฐานว่า ปลาวาฬเลือกที่จะใช้เขี้ยวด้านเดียว ที่จะหาอาหารจากทางด้านเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นด้านขวา โดยสรุปแล้ว สัตว์มีกระดูกสันหลังเท่านั้นมีแนวโน้มที่จะใช้ลักษณะที่ได้รับถ่ายทอดจากบรรพบุรุษในการใช้ด้านขวาที่ทำพฤติกรรมประจำ อย่างเช่น การหาอาหาร

ข้อโต้แย้งว่าการใช้มือขวาไม่ได้เกิดจากวิวัฒนาการ แต่มีพัฒนาการมาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชั้นสูงโดยตรง พบได้ในลิงหลายชนิด ได้แก่ ลิงบาบูน ลิงเซบัส และลิงรีซัส เช่นเดียวกับลิงเอป และลิงชิมแปนซี เรื่องความถนัดขวา โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทั้งสองมือประสานกัน และการเอื้อมไปเอาอาหารที่สูงกว่าระดับที่ยืน ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ทดลองวางอาหารโปรดของลิงเอป คือน้ำผึ้ง ไว้ในหลอดพลาสติกแล้วส่งให้ เพื่อที่จะได้น้ำผึ้งมันจะต้องจับหลอดพลาสติกด้วยมือข้างหนึ่ง และ ขูดเอาน้ำผึ้งด้วยนิ้วเดียวของมืออีกข้าง ลิงเอปนิยมใช้นิ้วของมือขวาในการขูดน้ำผึ้งมากกว่าถึงสองเท่า

การศึกษานี้ได้ข้อสังเกตว่า ในขณะที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชั้นสูงในยุคแรกๆ ทำงานที่ยากขึ้น และใช้ทักษะสูงมากขึ้นในการหาอาหาร เรื่องการใช้มือที่ถนัดก็จะปรากฏขึ้น ชัดเจนขึ้นด้วย จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า การทำงานที่ซับซ้อนนั้นจำเป็นต้องส่งระบบสัญญาณควบคุมจากสมอง และผ่านไปยังมือที่ใช้ที่คล่องมากกว่า

ดังนั้นเส้นทางตรงที่สุดของสมองซีกซ้ายส่งผ่านมาทางร่างกายทางระบบใยประสาทส่วนปลาย ก็จะทำให้มือขวามีแนวโน้มที่จะถูกใช้ในงานชั้นสูงกว่า แม้ว่าจะเป็นงานประจำก็ตาม.

หมอดื้อ

หมาและไข่หมา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/570387

โดย หมอดื้อ 31 ม.ค. 2559 05:01

 

หมอต้องขออนุญาตผู้อ่าน ลัดเลาะมายังเรื่องของสุนัขหรือหมาทั้งที่หลายๆท่านคงจะงงว่ามันเกี่ยวอย่างไรกับคอลัมน์สุขภาพ

หมอยังคงเป็นหมอรักษาคนเหมือนเดิมนะครับ แต่ที่เราต้องทำงานสนิทแนบแน่นกับคุณหมอสัตวแพทย์ เนื่องจากโรคที่เกิดในคนมากต่อมาก ที่สำคัญคือ โรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคที่นำโดยสุนัข และการที่เรามัวแต่รับมือแก้แต่ปลายเหตุ ซึ่งแก้ก็ไม่ได้เพราะถ้าคนไข้มีอาการจะเสียชีวิต

ยาฉีดไข่ (อัณฑะ) หมาตัวผู้ โดยทำให้เป็นหมันตลอดชีวิตใช้เวลาเพียง 2 นาที ไม่ต้องฉีดยาซึมหรือให้ยาสลบ ไม่ต้องกักขังหลังฉีด และได้ผลในเวลาประมาณ 1 เดือนครึ่ง หรือ 2 เดือน โดยไม่ผลิตอสุจิ แต่ยังคงความเป็นชายชาตรี

แม้จะลดความก้าวร้าวไปบ้าง และก็ไม่เสียรูปทรง ไม่อ้วนตุ๊อย่างเช่นการผ่าตัดตัดไข่ทิ้งทั้ง 2 ลูก

การที่เรามีหมายั้วเยี้ยตามถนนหนทาง วัด ตลาด ที่ชุมชน ดังที่เห็นในปัจจุบัน เป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เพราะถ้ามีหมาเพียงตัวเดียว มีเชื้อพิษสุนัขบ้าก็จะแพร่โดยการกัดเพื่อนหมาด้วยกันไปหมด ทั้งนี้ โอกาสหมาที่ถูกกัดจะกลายเป็นบ้าตามกันมีสูงอาจถึงครึ่งต่อครึ่ง โดยแต่ละตัวจะแสดงอาการ “บ้า” วิ่งกัดไปทั่ว ระยะเวลาไม่จำเป็นต้องตรงกัน เช่น บางตัวแสดงอาการใน 1 เดือน ในขณะที่ตัวอื่นๆ 2-3-4 เดือนก็ได้ และเป็นที่มาว่าหมาบ้าไม่จำเป็นต้องพบในหน้าร้อน หน้าฝน-หนาว ก็เป็นบ้าได้หมด

การที่เราจะไปฉีดยาป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้ครอบคลุมครบ 70% ของประชากรสุนัขทั้งที่มีและไม่มีเจ้าของ จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้โดยเฉพาะในกลุ่มหมาชุมชน

ทั้งนี้ เนื่องจากประชากรหมาเหล่านี้จะเพิ่มพูนขึ้นปีละ 2 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 4 ตัว การที่จะตามฉีดยากันหมาบ้าให้หมดคงเป็นไปได้ยาก พวกเราที่รักและเมตตา หมาชุมชน เหล่านี้ต้องช่วยกัน โดย เราผู้ที่หมาเหล่านี้เชื่อใจ เพราะให้ข้าว-น้ำทุกวันจะต้องเป็นคนพาหมาเหล่านี้ให้มารวมในสถานที่ที่เตรียมไว้เพื่อให้คุณหมอได้ทำหมัน ฉีดวัคซีนได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของการทำหมันก็คือขณะนี้ต้องใช้การผ่าตัดโดยในตัวผู้ตัดไข่ทิ้ง 2 ข้าง ไม่ใช่ทำแบบคนที่ผูกท่อน้ำเชื้อ และในตัวเมียตัดมดลูกทิ้ง ซึ่งต้องให้ยาซึม/สลบ มีการเลือดตกยางออก และต้องเฝ้าดูแลเขาต่ออีก 3-4 วัน และค่าใช้จ่ายยังสูงอีกเป็นเงินหลายพันบาท

10 ปีที่แล้ว คณะของเราโดยการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (สวทช.) ในการศึกษาการทำหมัน ได้พัฒนาต่อยอดวิธีการ “ฉีดไข่แบบการุณย์” ทั้งนี้ โดยที่ตัวยาแท้จริงเป็นของบริษัทสหรัฐฯ ได้รับการรับรองการใช้และจำหน่ายจาก อย.สหรัฐฯในปี 2003

ทางคณะเรา โดยคุณหมอเฮนรี่ ไวลด์ น.สพ.วีระ เทพสุเมธานนท์ และ น.สพ.บุญเลิศ ล้ำเลิศเดชา ได้ติดต่อไปปรากฏว่าบริษัทดังกล่าวไม่สนใจที่จะนำมาเผยแพร่ในไทย เนื่องจากใช้ในหมาจรจัด ไม่คุ้ม แต่ผลิตภัณฑ์ไม่มีสิทธิบัตรในไทย ทางหมอและคณะจึงได้ติดต่อบริษัท M&H ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยาคนช่วยวิเคราะห์ส่วนประกอบของตัวยานี้ ซึ่งขายหลอดละ 50 เหรียญสหรัฐฯ หลังจากวิเคราะห์แล้ว จึงได้สังเคราะห์และผลิตตัวยาดังกล่าวโดยราคาถูกลงมหาศาล และคุณหมอวีระ และบุญเลิศ ได้นำมาศึกษาในหมาที่มีการ ติดตามดูแลอย่างดีตลอด 1 เดือน ดูอาการ วัดไข้ การกินอาหารรวมทั้งการอักเสบที่ลูกอัณฑะ ซึ่งการอักเสบนี้ถือเป็นปฏิกิริยาปกติที่จะหายไปภายใน 2 สัปดาห์หลังการฉีด โดยการอักเสบที่เกิดขึ้นจะทำลายเนื้อเยื่อที่ผลิตอสุจิ และเนื้อเยื่อบางส่วนที่สร้างฮอร์โมนชาย อย่างไร ก็ตามการฉีดที่ถูกต้องประณีตเป็นเรื่องสำคัญ การฝึกอบรมการฉีดใช้เวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้นและต้องใช้ปริมาณยาที่เหมาะสมกับขนาดของอัณฑะ

การศึกษาต่อยอดของเราพบว่า ยานี้สามารถใช้ได้ในหมาตัวผู้ ไม่จำกัดอายุ กล่าวคือ อายุแก่กว่า 1 ขวบปีก็ยังใช้ได้ หลังจากที่พบว่ายาปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เราได้ขยายการใช้งานลงในพื้นที่ที่ตำบลสวนส้มจังหวัดสมุทรสาคร จากการทำหมันฉีดอัณฑะสุนัข 98 ตัว ได้มีการตรวจสอบติดตามสุขภาพหลังการฉีด ที่แม้หมาชุมชน 2 ตัว จะมีการอักเสบมาก ก็ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

ความสำเร็จและการยอมรับของชุมชนสวนส้ม ได้ขยายผลต่อโดยคุณหมอ ส.พญ.นัยนา อภิชาติพันธุ์ สัตวแพทย์ประจำเทศบาลนครสมุทรปราการ ขยายผลการทำหมันด้วยวิธีนี้ไปสู่หมาไม่ต่ำกว่า 3,000 ตัวจนถึงปัจจุบัน และได้รับการติดต่อจากอำเภอ และอีกหลายจังหวัด

การฉีดไข่ทำหมันวิธีนี้ ควรจะได้รับการยอมรับใช้ให้แพร่หลาย ทางคณะได้พยายามผลักดันมาตลอด 10 ปี แต่ทางกรมปศุสัตว์ไม่เห็นด้วย แม้จะแสดงให้คณะผู้เชี่ยวชาญได้ชมถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย โดยให้เหตุผลว่า “หมามันร้อง เวลาถูกฉีด” เท่านั้น

ถึงจุดนี้แล้ว ขอให้พวกเรานึกถึงว่าหมาไม่ได้อยากอยู่อย่างยากจนข้นแค้น แย่งอาหารจากเศษอาหารกันกิน อยู่อย่างอดอยาก และไม่มีหมาตัวใดอยากตายจากโรคพิษสุนัขบ้า ถ้าเราสามารถคุมประชากรเขาให้พอเหมาะ ไม่ต้องแย่งชิง ต่อสู้อาหาร ไม่เป็นโรค สามารถฉีดยา ได้ทั่วถึง เราก็จะอยู่กันอย่างเป็นสุข มีเมตตาธรรม ไม่ต้องฆ่าสุนัขจรจัด ฝากผู้กุมนโยบายและ อย. ด้วยนะครับ พวกเราที่ทำมาทั้งหมดจนถึงจุดนี้ ไม่มีใครได้ประโยชน์แม้แต่บาทเดียวครับ.

หมอดื้อ

เชื้อแบคทีเรียเข้าสมองและก่อโรคได้อย่างไร?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/566925

โดย หมอดื้อ 24 ม.ค. 2559 05:01

 

“เชื้อแบคทีเรีย”…สามารถก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ตามมาด้วยเส้นเลือดในสมองอักเสบ อุดตันก่อให้เกิดอัมพาต อัมพฤกษ์ หรือเกิดฝีในสมอง การเกิดโรคดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ จำต้องมีสภาวะเกื้อหนุน ได้แก่ ตัวเชื้อเอง ซึ่งมีคุณสมบัติทะลุทะลวงเข้าในเยื่อหุ้มสมอง ปัจจัยเอื้ออำนวยให้เชื้อรุกล้ำเข้าในสมองได้ง่ายขึ้นและขึ้นกับผู้ป่วยว่ามีระบบป้องกันต่อสู้เชื้อโรคดีหรือไม่เพียงใด

โดยปกติโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดได้ทุกอายุ โดยที่ชนิดของเชื้อในต่างกลุ่มอายุจะต่างกันออกไปบ้าง ตั้งแต่ในช่วงทารกจนถึง 1-3 เดือน ในเด็กโต ผู้ใหญ่และคนแก่ที่มีอายุมากกว่า 50-60 ปี

เชื้อตัวการที่พบบ่อย คือ Streptococcus pneumoniae, Hemophilus influenzae, Neisseria meningitidis ทั้งนี้จะมี “กลุ่มพิเศษ” ที่จะมีเชื้อพิเศษที่แตกต่างออกไปและจะลุกลามได้มาก คือ เด็กทารก คนแก่ และมารดาที่คลอดบุตรใหม่ๆ รวมทั้งผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจากเชื้อ HIV มีตับแข็ง ติดสุราเรื้อรัง จากที่เป็นมะเร็ง หรือได้รับสารกดภูมิคุ้มกัน หรือมีโรคแพ้ภูมิตนเอง

ปัจจัยเอื้ออำนวยอื่นๆให้เชื้อรุกล้ำเข้าในสมองได้ง่ายขึ้น เช่น การที่มีกะโหลกศีรษะแตกร้าว (เช่น จากอุบัติเหตุ) ทำให้เยื่อหุ้มสมองฉีกขาด และมีช่องทางติดต่อระหว่างโครงสร้างภายนอกสมอง เช่น โพรงจมูก รูหู กับเยื่อ หุ้มสมอง คนที่มีหูน้ำหนวก มีโพรงไซนัสอักเสบเป็นหนอง รากฟันติดเชื้อ มีหนองเหล่านี้ จะเป็นโอกาสเฉพาะทำให้เชื้อรุกล้ำเข้าโดยตรงหรือเอื้ออำนวยให้เชื้อเข้าได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อที่เกิดทั่วไปมักจะเกิดจากการที่มีเชื้อกองกระจุกอยู่ในโพรงจมูกส่วนหลัง โดยได้เชื้อมาจากการถูกไอ จามรด แต่เชื้อต้องมีคุณสมบัติพิเศษในการหลบหลีก กระบวนการขจัดเชื้อของร่างกาย ในขณะเดียวกันก็เสริมสร้างประสิทธิภาพเขี้ยวเล็บของตัวเอง จนกระทั่งสามารถลุกลามเข้ากระแสเลือด โดยที่ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการไข้ปวดเมื่อย และเมื่อรุกล้ำเข้าหลอดเลือดในสมองได้ก็จะเข้าไปในน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังก่อให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

การอักเสบที่เกิดขึ้นเกิดจากทั้งตัวเชื้อเองและกลไกการต่อสู้ของร่างกาย ถ้าเยื่อหุ้มสมองอักเสบไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีจะเสียชีวิตหรือถ้าได้รับการรักษาช้าไป แม้ไม่ตายก็จะเกิดภาวะแทรกซ้อนคือเส้น เลือดดำและแดงในสมองอักเสบ อุดตัน เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตมีความดันสูงในสมอง ซึ่งจะมีความพิการตลอดชีวิต

เชื้อบางชนิดนอกจากกลวิธีดังกล่าว ยังอาจเข้าร่างกายจากทางการกิน เช่น เชื้อ Listeria monocytogenes มีท้องเสียก่อน และเกิด “ก้านสมอง” อักเสบ โคม่า หรือเกิดฝีในบริเวณใต้ผิวสมอง (subcortical abscess) แต่เชื้อนี้โดยปกติชอบ “กลุ่มพิเศษ” มากกว่าที่จะเกิดในคนปกติ

เชื้อที่ชอบ “กลุ่มพิเศษ” อีกตัวคือ Streptococcus agalactiae (Streptococcus group B) โดยมีคุณสมบัติคือ มีความสามารถเกาะติดกับเส้นเลือดในสมองตั้งแต่แรก เกิดการอักเสบ เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตตั้งแต่ต้น (โดยที่เชื้ออื่นๆมักเกิดในระยะหลัง) พร้อมกับเลือดเป็นพิษและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เชื้อแบคทีเรียอีกชนิดที่อาจเข้าร่างกายทางการกินอาหารที่ไม่สุก หรือสัมผัสกับเนื้อหมูที่มีเชื้อขณะชำแหละ ได้แก่ Streptococcus suis

เชื้อนี้จะทำให้มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อแม้กระทั่งเกิดข้ออักเสบ และก่อให้เกิดโลหิตเป็นพิษอย่างเฉียบพลันได้ แต่ก็อาจเกิดอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบแบบค่อยเป็นค่อยไป แบบเชื้อวัณโรค และเกิดเส้นประสาทหูอักเสบทำให้เกิดหูดับได้มากกว่าเชื้ออื่นๆบ้าง

นอกจากนั้นเชื้อบางชนิดยังอาศัยตัวกลางก่อนเข้าสมองหรือเยื่อหุ้มสมอง เช่น เกิดการติดเชื้อในลิ้นหัวใจและเกิดก้อนอักเสบที่มีเชื้อภายในหลุดลอยไปยังเส้นเลือดในสมองเกิดเส้นเลือดอักเสบ ฝีในสมอง เส้นเลือดตันหรือพองจนแตก เกิดอัมพาต ในกรณีอื่นๆเชื้ออาจจะไม่ได้ชอบสมองตั้งแต่ต้น แต่เข้าไปติดเชื้อในปอดหรือไตเกิดปอดบวม ไตอักเสบ ถ้าแก้ไม่ทันค่อยเข้าสมองตามหลัง

การรักษาต้องได้รับการวินิจฉัยทันท่วงทีตั้งแต่ต้น มิฉะนั้นจะมีความพิการหรือถึงแก่ชีวิต และประเมินตัวผู้ป่วยว่าเป็นกลุ่มพิเศษหรือไม่ ซึ่งมีโอกาสได้รับเชื้อที่ต่างจากคนปกติหรือผู้ป่วยนั้นๆมีภาวะปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้เชื้อลุกลาม เข้าสมองโดยตรงจากภายนอก เช่น มีหูน้ำหนวก ไซนัสมีหนองกะโหลกร้าว เยื่อหุ้มสมองฉีกขาด และเมื่อได้ตัวเชื้อแล้วต้องประเมินว่าดื้อต่อยาที่ให้หรือไม่ และนอกจากรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบแล้วก็ต้องรักษาภาวะแทรกซ้อน เช่น เมื่อเชื้อทะลุทะลวงเข้าหลอดเลือด หรือมีความดันสูง ในสมอง

หลักปฏิบัติที่ควรทำในคนทั่วไปคือรักษาสุขอนามัย ออกกำลังสม่ำเสมอ ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าออกกำลังกายมากเกินไปทำให้เกิดโรคติดเชื้อหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

รับประทานอาหารสะอาด ปรุงสุก ผักผลไม้สดต้องล้างสะอาด ถ้ามีไอ จาม ต้องหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายเชื้อจากตัวเองสู่คนอื่นโดยการปิดปากปิดจมูก และคนปกติต้องหลีกเลี่ยงที่แออัด เลี่ยงจากคนที่มีอาการไอ จาม หรือมีอาการป่วย รับประทานอาหารควรมีช้อนกลางคนที่มีเชื้อซ่อนเป็นพาหะควรป้องกันการแพร่เชื้อไปยังคนอื่นๆ โรงฆ่าชำแหละสัตว์และสุกรต้องมีการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด…

สุราในปริมาณเหมาะสมแม้จะช่วยป้องกันโรคหัวใจ สมอง แต่ที่ปฏิบัติกันกลับดื่มจนเมามาย และเกิดตับแข็ง และภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ.

หมอดื้อ

การรักษาด้วยคีเลชั่นคืออะไร รักษาเส้นเลือดหัวใจตีบได้หรือไม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/563621

โดย หมอดื้อ 17 ม.ค. 2559 05:01

 

การรักษาคีเลชั่น (chelation) เป็นการรักษาทางเลือกนอกแบบ ที่พิสูจน์ชัดเจน คือ การขจัดโลหะหนักที่เป็นพิษออกจากร่างกาย โดยเปลี่ยนทำให้ละลายน้ำได้ ขับออกทางไตและตับ โดยมีประวัติตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อรักษาผู้ถูกก๊าซพิษที่มีสารหนู (arsenic) ออก

หลังจากนั้นมียาคีเลชั่นหลายชนิดเพื่อใช้รักษาโรคที่เกิดจากการสะสมของธาตุเหล็ก (ในโรคเลือดกรรมพันธุ์ธาลัสซีเมีย) ปรอท ตะกั่ว ยูเรเนียม พลูโตเนียม ในเวลาต่อมา มีผู้ผันแปรเจตนาเดิมมาใช้ในการรักษาโรคหัวใจที่มีเส้นเลือดตีบ แม้กระทั่งโรคออทิสติก โดยอ้างว่าโรคออทิสติกเกิดจากสารปรอทที่ปนเปื้อนในวัคซีน (thiomerosal) ซึ่งไม่เป็นความจริง…ในสหรัฐฯมีปัญหาเกี่ยวกับการรักษาทางเลือกใหม่ เลยจัดตั้งให้มีหน่วยงานและสถาบันของรัฐการแพทย์ทางเลือก ทำหน้าที่ในการค้นหาหลักฐานข้อมูลความเป็นจริงว่ามีประโยชน์ประสิทธิภาพดีจริงหรือไม่ และมีข้อเสียที่ต้องระวังหรือไม่ รวมทั้งถ้าพิสูจน์ไม่ได้ตามที่กล่าวอ้าง ก็จะประกาศทั่วกัน

EDTA ซึ่งเป็นที่นิยมใช้ในการรักษาทางเลือกใหม่เป็นกรดอะมิโน ซึ่งสามารถจับกับตะกั่ว, แมกนีเซียม, สังกะสี, แคลเซียม, ทองแดง โดยการใช้ EDTA หวังว่าจะไปจับกับแคลเซียมที่คล้ายเป็นตะกรัน ในหลอดเลือดที่ตีบ เช่น ในหัวใจ ในสมอง โดยเชื่อว่ามีกลไกทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำก่อน จะได้ไปดึงแคลเซียมที่เกาะอยู่ตามเส้นเลือดออก โดยที่ความเชื่อนี้ไม่มีการพิสูจน์ทางกระบวนการวิทยาศาสตร์ใดๆ

นอกจากนั้นยังเชื่ออีกว่าเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระและยังลดการสะสมของธาตุเหล็กในตัว ทำให้เส้นเลือดขยายตัวยืดตัวได้ดี และอื่นๆอีกมากมาย

รายงานที่ผ่านมาของการให้ EDTA คีเลชั่น เป็นการรายงานที่ไม่รัดกุมดีพอ ประกอบกับคนไข้รู้สึกดีขึ้นกระชุ่มกระชวยเองจากจิตใจ การศึกษาที่มีระเบียบรัดกุม ในผู้ป่วยเส้นเลือดตีบที่ขาปี 1994 ในวารสารหลอดเลือด (Circulation) ไม่พบว่าก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ

การศึกษา ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์ของสหรัฐฯ (JAMA) 2002 คนไข้มีเส้นเลือดหัวใจตีบ 2 กลุ่ม กลุ่มละ 40 ราย โดยกลุ่มแรกให้การรักษา ด้วย EDTA คีเลชั่น และอีกกลุ่มให้ยาหลอกสัปดาห์ละ 2 ครั้งไปนาน 15 สัปดาห์ และต่อด้วยเดือนละครั้งไปนานอีก 3 เดือน รวม 33 ครั้ง ปรากฏว่าไม่มีผลแตกต่างกัน

ในสหรัฐฯเองมีการใช้ EDTA คีเลชั่น โดยไม่ได้รับการรับรองจาก อย.สหรัฐฯ และในเดือนแรกต้องทำคีเลชั่นตั้งแต่ 5-30 ครั้ง โดยเดือนต่อมาทำเดือนละครั้ง ตัวสาร EDTA ก็ไม่ได้ถูกรับรองให้เป็นยามาตรฐานในการรักษาโรคของเส้นเลือด มีคนทำคีเลชั่นเฉลี่ยประมาณ 111,000 รายต่อปี ในช่วงปี 2002 ถึง 2007

ทั้งนี้ ทั่วในสหรัฐฯหรือในประเทศยุโรป บริษัทประกันจะไม่รับผิดชอบในการเบิกจ่าย รวมทั้งไม่รับผิดชอบถ้าเกิดผลแทรกซ้อนจากการทำคีเลชั่น ผลแทรกซ้อนที่พบได้มีตั้งแต่เกิดไตวาย มีการกดการทำงานของไขกระดูก ความดันเลือดตกจนถึงช็อก มีลมบ้าหมู เกิดการเต้นผิดปกติของหัวใจหรือมีปฏิกิริยาแพ้จนไม่หายใจ

สำหรับเหตุการณ์เสียชีวิตจาก EDTA คีเลชั่นที่ทำให้ระดับแคลเซียมต่ำ มีตัวอย่างผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ รัฐเท็กซัส เพนซิลเวเนีย และโอเรกอน ระหว่างปี 2003-2005 (Mortality and Morbidity Weekly Report 2006) มีเด็กชายอายุ 5 ขวบ ในเดือนสิงหาคม 2005 เป็นโรคออทิสติกและ ได้รับการรักษาด้วย EDTA คีเลชั่น โดยแท้ที่จริงแล้ว โรคนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความผิดปกติของสมองที่เกิดจากการสะสมของปรอทเลย หลังได้คีเลชั่น เด็กหัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตในที่สุด จากการที่ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำลง ซึ่งเป็นผลจากคีเลชั่น

ในเดือนสิงหาคม 2003 สตรีอายุ 53 ปี ซึ่งไม่ได้มีโรคเส้นเลือดหัวใจหรือโรคอื่นๆ ได้รับการคีเลชั่นจากคลินิกบำบัดธรรมชาติ เพื่อขจัดโลหะหนักในร่างกาย โดยความเชื่อว่าจะทำให้สุขภาพดีขึ้น หลังทำการบำบัดได้ประมาณ 10-15 นาที ไม่รู้สึกตัวและเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งผลการชันสูตรพบว่า เกิดจากการที่หัวใจเต้นผิดปกติ อันเป็นผลจากการที่แคลเซียมต่ำจากการให้คีเลชั่น และระดับต่ำลงถึง 3.8 มก.เดซิลิตร (ค่าปกติ 4.5-5.3) แม้ว่าจะได้รับการฉีดแคลเซียมระหว่างนำส่งโรงพยาบาล และขณะทำการปั๊มหัวใจช่วยชีวิตที่ห้องฉุกเฉินก็ตาม

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2005 เด็กหญิงวัย 2 ขวบ ได้รับการรักษาด้วย EDTA คีเลชั่น เนื่องจากตรวจพบว่าน่าจะมีตะกั่วสะสมในตัวจนเกิดโลหิตจาง หลังจากได้คีเลชั่น เด็กหัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตในที่สุดจากแคลเซียมต่ำ…ไม่ใช่แต่เพียงสมาคมโรคหัวใจในสหรัฐอเมริกาทั้งสองสมาคมเท่านั้นที่ไม่ยอมรับวิธีการรักษาด้วย EDTA คีเลชั่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) สหรัฐฯ สมาคมแพทย์สหรัฐฯ สถาบันสุขภาพ หัวใจ ปอด และเลือด ต่างก็ไม่เห็นด้วยกับการรักษาคีเลชั่นที่ไม่ได้ถูกรับรองเช่นนี้
ถึงกระนั้นก็ตาม เนื่องจากมีการใช้อย่างแพร่หลายในสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม 2002 สถาบันสุขภาพสหรัฐฯ โดยศูนย์การรักษาทางเลือกและ สถาบันโรคหัวใจ ปอด และเลือด ได้ประกาศทำการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยด้วยการรักษา EDTA คีเลชั่นในโรคหัวใจขาดเลือด ในผู้ป่วยที่อายุ 50 ปีขึ้นไปและเคยมีหัวใจวาย ทั้งนี้ โดยที่มีสถาบันหรือโรงพยาบาลในการศึกษานี้ทั่วประเทศ การศึกษาดังกล่าวเริ่มตั้งแต่เดือน มีนาคม 2003 และเสร็จสิ้นในปี 2010 ผลการศึกษาที่เริ่มทยอยรายงานตั้งแต่ปี 2013 จนปัจจุบัน มีคนอยู่ในการศึกษาท้ายสุดจำนวน 1,708 ราย พบว่าได้ผลเฉพาะในคนที่มีเบาหวานและมีโรคหัวใจเท่านั้น

โดยกลุ่มนี้จะมีอยู่ประมาณหนึ่งในสาม โดยที่ลดความเสี่ยงลงได้ 40% จากการมรณะจากโรคหัวใจ จากการเกิดอัมพฤกษ์ และลดการเกิดซ้ำของหัวใจล้มเหลวได้ 52% และลดการมรณะจากเหตุใดๆได้ 43% ทั้งนี้ การให้ร่วมกับวิตามินขนาดสูงและเกลือแร่จะได้ผลดีขึ้น

อย่างไรก็ดี กระบวนการในการให้ ไม่ว่าจะเป็นคีเลชั่นจริง หรือหลอกซึ่งต้องมีการให้สารละลายทางเส้นเลือดมีผลแทรกซ้อนข้างเคียง โดย 16% ที่ได้จริงและ 15% ที่ได้หลอก ต้องหยุดให้กลางคัน และรุนแรง 2 ราย ในแต่ละกลุ่ม (รวม 4 ราย) 1 รายในแต่ละกลุ่มเสียชีวิต อาการข้างเคียงที่เกิดได้มีตั้งแต่แสบร้อนบริเวณที่ให้ทางเส้นเลือด ไข้ ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน ที่รุนแรงขึ้นคือ หัวใจวาย ช็อก แคลเซียมต่ำ หัวใจหยุดเต้น ไตวาย

ทั้งนี้ ย้ำจากการศึกษานี้ที่มีผู้เชี่ยวชาญเฝ้าดูแลอย่างรัดกุม การทำคีเลชั่น ต้องระมัดระวังสูงสุด ถึงตายได้ถ้าการทำไม่มีความชำนาญไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่จะแก้ไขผลแทรกซ้อนวิกฤติ ขณะทำ หรือหลังทำ และคนที่เป็นเบาหวานเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ โดยอธิบายกลไกไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร.

หมอดื้อ

ถึงเวลาต้องเอาวิตามินบีรวม กลับมากินใหม่มั้ย?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/560317

โดย หมอดื้อ 10 ม.ค. 2559 05:01

 

วิตามินบี เช่น บี 1–6–12 แต่ก่อนจะให้ทานกันเป็นประจำทั่วไป ในเด็ก ผู้ใหญ่ และคนป่วยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ในระยะเวลาที่ผ่านมาไม่กี่ปี ปรากฏว่ามีการถอดวิตามินบีออกจากรายการยาที่ไม่เสียเงินที่จ่ายแก่คนป่วยและประชาชนทั่วไป และต้องระบุสาเหตุที่ต้องเบิกจ่าย

ทั้งนี้นัยว่า ในคนไทยอาหารการกิน ผักผลไม้ก็ยังอุดมสมบูรณ์พอควร และเป็นไปไม่ได้ที่จะขาดวิตามินจนเกิดโรค อีกทั้งความเชื่อที่ว่า วิตามินบี 12 และวิตามินโฟลิค (บี 9) สามารถป้องกันเส้นเลือดตีบได้ (ปี 2000) ก็ถูกหลักฐานโต้แย้ง รวมทั้งการที่อาการชาจากเส้นประสาทผิดปกติ เช่น จากเบาหวาน วิตามินไม่สามารถรักษาได้

ที่กล่าวมานั้นถูกต้อง จนหมอมาเจอคนป่วยแขนขาชา อัมพาต อ่อนแรง หัวใจวาย จากการขาดวิตามินบี 1 ในปีนี้เอง (อ่านหมอดื้อ ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 8 พ.ย.2558) ทำให้ต้องคิดใหม่ว่า การกินอาหารของเราในปัจจุบัน บิดเบี้ยวไปจนเกิดเป็นโรคที่เกิดจากการขาดวิตามินได้จริงๆและโยงย้อนกลับไปยังวิตามินบี 12 ที่เกี่ยวกับโรคสมองเสื่อม

โรคสมองเสื่อมอันมีอัลไซเมอร์เป็นพระเอกสำคัญ เป็นโรคน่ากลัว

ทั้งนี้ทั้งนั้น เนื่องจากป้องกันก็ไม่ได้ เมื่อเป็นไปแล้วอาการจะค่อยๆเลวร้ายลงเรื่อยๆ กล่าวคือเริ่มจากความจำสั้นเรื่อยไปจนถึงความผิดปกติทางความคิด ความอ่าน การใช้ภาษา การตัดสินใจ จนช่วยตัวเองไม่ได้ แม้แต่กระทั่งแต่งตัว ทานข้าว เข้าห้องน้ำ และมีอาการผิดปกติของการเคลื่อนไหวและอารมณ์แปรปรวน

ยาต่างๆนานาที่มีในขณะนี้ล้วนแล้วแต่เป็นยาช่วยทางอ้อม ในการกระตุ้นสมองให้กระชุ่มกระชวย ไม่ได้ช่วยแก้ไขสาเหตุ ทั้งนี้ โดยหวังว่าจะทำให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันต่างๆและช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้นและจะสามารถบรรเทาอาการที่เกี่ยวกับจิต อารมณ์แปรปรวนได้ ซึ่งทำให้ลดภาระของผู้ดูแลได้

ยาที่ใช้กันทั่วโลกในขณะนี้อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า Cholinesterase Inhibitor ซึ่งทำให้สาร Acetylcholine เพิ่มในสมอง และเป็นยาที่ถูกยอมรับให้ใช้ทั่วโลก ปรากฏว่า ยาในกลุ่มนี้ไม่มีผลต่อการชะลอการดำเนินของโรคสู่ระยะที่ต้องการคนช่วยตลอดเวลาในการทำกิจวัตรประจำวัน หรือช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายจากเตียงหรือเก้าอี้ได้ไม่มาก

ทั้งนี้ไม่รวมถึงผลข้างเคียงจากตัวยาเอง ซึ่งอาจทำให้บางรายมีความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นผิดปกติ หกล้ม กระดูกหัก และบางรายแทนที่จะช่วยบรรเทาอาการทางจิตอารมณ์ กลับมีลักษณะแปรปรวนมากขึ้น หรือมีภาพหลอน ทำให้กลับต้องใช้ยาโรคจิต ซึ่งมีผลข้างเคียงคือเกิดอาการเคลื่อนไหวผิดปกติ สั่น แข็งเกร็งของกล้ามเนื้อ หรือมีอาการของโรคพาร์กินสัน อัตราที่ผู้ป่วยต้องเข้าสถานพักฟื้นคนชรา

ในต่างประเทศ (วารสาร Archives of Internal Medicine 2009 และ Lancet 2004) หลังจากที่ใช้ยาไป 3 ปี เท่ากับกลุ่มที่ไม่ได้รับยา และอาการทางพฤติกรรม จิต อารมณ์ ก็ไม่ได้ดูดีกว่ากลุ่มที่ใช้ยา จากที่กล่าวทั้งหมด จะเห็นได้ว่าทั้งคนไข้และหมอเองไม่มีทางเลือกมาก

รายงานของผู้วิจัยมหาวิทยาลัย Oxford โครงการชื่อ “VITACOG” (วารสาร PLoS One 2010) ซึ่งมีการติดตามผู้สูงอายุปกติที่แข็งแรงดี อายุมากกว่า 70 ปี จำนวน 271 คน และแบ่งเป็นกลุ่มได้วิตามิน B รวมและมี B12 ขนาดสูงมากกว่าปริมาณตามปกติ 300 เท่า (B12 ขนาด 0.5 มก./วัน; B6 ขนาด 20 มก./วัน และ Folic acid 0.8 มก./วัน) และกลุ่มที่ได้ยาหลอก (Placebo) โดยไม่มีใครทราบว่าคนไหนได้วิตามินหรือได้ยาหลอก และทำการติดตามใน 2 ปี ทำการตรวจคอมพิวเตอร์สมองแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) อย่างละเอียดด้วย

โดยวิเคราะห์ปริมาณของเนื้อสมองเป็นระยะใน 85 รายที่ได้วิตามินจริงและ 83 รายที่ได้ยาหลอก อัตราเฉลี่ยของเนื้อสมองฝ่อต่อปีในกลุ่มได้วิตามินมีค่าเท่ากับ 0.76% (0.63–0.90) เทียบกับ 1.06% (0.94–1.22) ในกลุ่มได้ยาหลอก

และเนื่องจากการได้วิตามินจะทำให้ของเสียในเลือดที่ชื่อว่าสารโฮ–โมซิสเทอีน (homocysteine) ต่ำลงด้วย เมื่อทำการวิเคราะห์ผลของการชะลอหรือป้องกันสมองฝ่อในกลุ่มที่มีปริมาณของเสียที่มากในเลือด (มากกว่า 13μ mol/L) จะพบว่าวิตามินยิ่งแสดงประโยชน์มากขึ้น โดยมีอัตราสมองฝ่อน้อยกว่ากลุ่มไม่ได้วิตามินถึง 53% การทดสอบประสิทธิภาพความเฉลียวฉลาด (Neuropsychological testing) ในด้านต่างๆ ทั้งความจำ สมาธิและการปฏิบัติ (episodic และ semantic memory, executive function และ selective attention) ปรากฏผลพ้องต้องกันกับปริมาตรสมองที่ฝ่อ กล่าวคือ กลุ่มได้วิตามิน ความเฉลียวฉลาดไม่ได้เลวลง หลังจาก 2 ปีไปแล้ว ในขณะที่กลุ่มไม่ได้วิตามิน สติปัญญาเลวลงอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ ความเสื่อมถดถอยของปัญญาไม่ได้ขึ้นกับอายุ เพศ ระดับการศึกษา หรือพันธุกรรม ที่จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอัลไซเมอร์ (Apo-lipo protein E ε4) และผลดีของวิตามินต่อสติปัญญาจะเห็นได้ชัดในกลุ่มที่มีสารพิษมากในเลือด โครงการ VITACOG ได้รายงานซ้ำในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences (USA) (2013) ยังยืนยันผลดีเช่นเดิม

การศึกษาก่อนหน้านี้ชื่อ NORVIT ไม่พบผลดีในการป้องกันสติปัญญาที่จะเสื่อมลงเมื่ออายุมากขึ้น (วารสาร นิวอิงแลนด์ 2006) และในปี 2014 มีรายงานจากคนละคณะของมหาวิทยาลัย Oxford (American Journal of Clinical Nutrition) ว่าไม่มีผล ซึ่งได้มีการโต้แย้งในหลักฐานจากคณะวิจัยก่อนหน้า ตีพิมพ์ในปี 2015

ในอนาคต วิตามินจะดีจริง ออกหัว ออกก้อย อย่างไรก็ตาม ราคาค่างวดแน่นอนถูกกว่ายาสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ที่กล่าวข้างต้น ซึ่งตกอย่างน้อย 5,000–9,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ วิตามินขนาดสูงมีผลิตในประเทศไทยมีราคาประมาณ 2–3 บาทต่อวันเท่านั้น.

หมอดื้อ

อาหารเสริม มุ่งสู่ ทอร์ เส้นทางสู่อมตะ (ตอนที่ 2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/557246

โดย หมอดื้อ 3 ม.ค. 2559 05:01

 

ต่อจากตอนที่แล้ว ยีน TOR เป้าหมายของอายุยืน อยู่ดี มีสุข

นอกจาก TOR จะปฏิบัติตัวเป็นผู้ควบคุมกระบวนการของเซลล์สนองต่อสภาวะของการได้รับอาหาร TOR ยังเป็นตัวรับสัญญาณ (sensor) ต่อความเครียดอื่นๆ เช่น ในภาวะที่ระดับออกซิเจนลดต่ำลง และภาวะที่มี DNA ถูกทำลาย TOR เมื่อสำเหนียกถึงอันตรายก็จะลดบทบาทและสวิตช์เซลล์ให้อยู่ในภาวะพอเพียง กบดานและซ่อมแซม DNA ที่เสียหาย การศึกษาใน fruit flies พบว่าเมื่ออยู่ในสภาวะอันตราย การสร้างโปรตีนจะอยู่ในโหมดจำเพาะเจาะจงที่โปรตีนไมโตคอนเดรียบางตัวเท่านั้น

สภาพจำศีลของเซลล์เมื่ออยู่ในภาวะอดอยาก ความจริงเป็นที่สังเกตมาตั้งแต่ ค.ศ.1935 โดย Clive McCay นักโภชนวิทยา ณ มหาวิทยาลัยคอร์แนล (Cornell) โดยพบว่าหนูที่ปล่อยให้อยู่ในสภาพอดอยากขาดอาหารจะโตช้า แต่ตายยาก มีอายุยืนเป็นพิเศษ ปรากฏการณ์นี้พบได้ตั้งแต่ยีสต์ แมงมุม หมา รวมทั้งลิง

โดยที่ถ้าจำกัดพลังงาน (calorie intake) ลง 30% ตั้งแต่อายุน้อยๆจะทำให้อายุยืนยาวต่อไปอีก 30-40% มิหนำซ้ำลิงที่ถูกจำกัดพลังงานให้อดอยาก กลับมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์เป็นเลิศ และดูอ่อนกว่าวัยด้วยซ้ำ จากข้อมูลหลักฐานนี้เองเป็นที่มาให้นักวิทยาศาสตร์สนใจที่จะยืดชีวิตมนุษย์ โดยที่ยังดูหนุ่มสาวอยู่ตลอดโดยไม่ต้องอดอาหาร ผอมหัวโต (แต่หล่อสวย) และไม่ต้องทรมานกับความหิวโหย

เริ่มในปี 2000 เป็นต้นมา นักวิจัยเริ่มยอมรับว่าการลดการทำงานของ TOR จะก่อให้เกิดผลต่อเซลล์เสมือนที่ได้จากภาวะจำกัดพลังงาน ในปี ค.ศ.2003 นักวิจัยฮังกาเรียน Tibor Vellai ซึ่งมาทำงาน ณ มหาวิทยาลัย Freiburg สวิตเซอร์แลนด์ ได้ดัดแปลงพันธุกรรมของไส้เดือน โดยยับยั้งการสร้าง TOR เป็นผลให้ไส้เดือนมีอายุยืนเป็น 2 เท่า

ในปีต่อมา Pankaj Kapahi แห่ง California Institute of Technology (ขณะนี้ย้ายมาอยู่ที่ Buck Institute for Research on Aging, Novato, California) ได้ทำการพิสูจน์เช่นกัน โดยการกดการทำงานของ TOR ใน fruit flies ซึ่งผลยังช่วยป้องกันผลร้ายที่เกิดจากการให้อาหารมากเกินพอดี และในปี 2005 Brian Kennedy และคณะ (University of Washington) พิสูจน์ผลจากการลดการทำงานของ TOR ในเซลล์ยีสต์

จากผลของการศึกษาที่กล่าวมา ยังชี้ถึงประเด็นที่น่าจะมียีนควบคุมความแก่ (Gerontogenes) ด้วย ทั้งนี้โดยที่ “ยีนแก่” ตัวแรกพบในไส้เดือนตัวกลม โดยที่ไส้เดือนจะอายุยาวเป็น 2 เท่า ถ้ายับยั้งยีนดังกล่าว และเกี่ยวพันกับการทำงานของอินซูลิน หลังจากไส้เดือนมีการค้นพบยีนแก่หลายตัวในหนู ในช่วงปลายทศวรรษของ 1990 จนต้นทศวรรษนี้ สุดยอดของผลการค้นพบที่เกี่ยวกับอินซูลิน (Insulinlike Growth Factor 1) ในปี 2003 นำไปสู่หนู อายุยืนได้ถึงเกือบ 5 ปี ทั้งๆที่ปกติอยู่ได้เพียง 30 เดือน

อุปสรรคสำคัญในการใช้ Rapamycin ที่จะยืดอายุ อยู่ที่ความเป็นพิษและการที่มีผลในการกดภูมิคุ้มกัน (ดังที่กล่าวในตอนที่แล้ว) แม้กระนั้นในปี 2009 ห้องปฏิบัติการ 3 แห่ง (Randy Strong จาก Barshot Institute, University of Texas Health Science Center at San Antonio; David E. Harrison จาก Jackson Laboratory; และ Richard A. Miller จาก University of Michigan at Ann Arbor) ต่างก็สามารถยืดอายุของหนูเพศเมียได้ 14 เปอร์เซ็นต์และเพศผู้ได้ 9 เปอร์เซ็นต์ จากการใช้ Rapamycin ไม่นานต่อมาผู้วิจัยจาก University College London ได้ขัดขวางการทำงานของยีน S6K1 ซึ่งควบคุมการสร้างโปรตีนของยีน TOR ยังผลให้หนูเพศเมียอายุยืน โดยปราศจากโรคภัยจากความชรา มิหนำซ้ำ Rapamycin ยังคงประสิทธิภาพ แม้เมื่อให้ในหนูเด็ก อายุ 9 เดือน หรือเริ่มแก่ อายุ 20 เดือน

แม้ว่า TOR จะเสมือนเป็นประตูเปิด-ปิดความชรา แต่ก็ยังมีกลยุทธ์ที่จะเข้าถึงประตูแห่งความสำเร็จ โดยใช้วิธีทางอื่นๆผ่านอินซูลินและโปรตีน FoxO รวมทั้ง Sirtuins ซึ่งน่าจะร่วมในกระบวนการยับยั้ง TOR (อ่านบทของไวน์แดง Resveratrol)

ความที่ยีน TOR กำหนดชีวิตของเซลล์ โดยเกี่ยวข้องกับการกำจัดขยะหรือของเสียที่อยู่ในเซลล์ (cytoplasm) โดยการนำไปทำลายทิ้ง (macroatutophagy) โดยที่ความชราจะมีการกำจัดขยะลดลง และยิ่งมีความแปรปรวนอย่างมากในโรคสมองเสื่อม แมลงหวี่ที่ปรับแต่งพันธุกรรมให้มีตัวรับฮอร์โมนเพศชายของคน (human androgen receptor) และมีรหัส glutamine repeats เพิ่มขึ้น (เหมือนกับโรค Kennedy ในคนที่มีเซลล์กล้ามเนื้อในไขสันหลังและสมองพิการ) เมื่อได้รับฮอร์โมน DHT (dihydrotertosterene) ซึ่งจะกระตุ้น receptor ดังกล่าว จะทำให้เส้นประสาทตาพิการ โดยมีการกดการทำงาน macroautophagy และจะทำให้โรคเลวลงไปอีก

ในขณะที่ถ้าการทำงาน macroautophagy นี้เพิ่มขึ้น ความพิการจะลดลง ดังนั้นการลดการกำจัดขยะ (หรือการที่ TOR ทำงานมาก) อาจมีผลร้ายมากขึ้น โดยทำให้มีการเบ่งบานเพิ่มจำนวนทวีคูณของเซลล์ และในขณะเดียวกันทำให้เซลล์ตายเร็วขึ้น

วงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์จะประสบความสำเร็จหรือไม่ในการยืดชีวิตผ่านทางประตูต่างๆ เช่น TOR การกระตุ้นผ่านยีน Sirtuin โดย Resveratrol เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าธรรมชาติกำหนดมนุษย์ให้ผ่านความเยาว์วัยสดใสของเด็ก-หนุ่มสาว และให้เติบโตจวบจนถึงอายุที่สมควร ยีนต่างๆจะกำหนดให้มนุษย์มีการพัฒนาจนจุดหนึ่งที่มีการเสื่อม โดยจำกัดให้มีพฤติกรรมสมวัย

แม้ในอนาคตมนุษย์จะมีอายุยืนกว่า 100 ไม่มีโรคภัยร้ายแรง แต่ก็คงงกๆเงิ่นๆอยู่ดี เพราะ ฉะนั้นเราควรเผชิญความตายอย่างสมศักดิ์ศรี และตลอดเวลาที่อยู่ไม่สร้างภาระให้ใครน่าจะดีกว่านะครับ.

หมอดื้อ

อาหารเสริม ทอร์ เส้นทางสู่อมตะ (ตอนที่ 1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/554566

โดย หมอดื้อ 27 ธ.ค. 2558 05:01

 

จากตอนที่แล้ว เส้นทางสู่อมตะผ่านยีน Sirtuins ซึ่งมีสาร Resveratrol ทำหน้าที่ในการควบคุมให้ร่างกาย รวมทั้งสมองแข็งแรง โดยที่แม้จะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากพอสมควร สามารถลดของเสีย สารพิษอัลไซเมอร์ในคนป่วยได้

แต่หลักใหญ่ใจความ ต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกาย พักผ่อน อาหารหลักเป็นผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว ปลา

ถ้ามีโรคประจำตัวให้คุมด้วยยามาตรฐานให้ถึงขีดสุด และอาหารเสริมควรนึกถึงเป็นตัวช่วยเท่านั้น ในเรื่องของอายุยืนอย่างมีคุณภาพ Resveratrol แม้จะช่วยระงับผลร้ายไปบ้างที่ทำให้อายุในหนูที่เลี้ยงด้วยอาหารไขมันสูงยาวลง แต่ในหนูปกติกลับไม่ช่วยยืดอายุนัก

แต่กระนั้น อนาคตของความเป็นอมตะเริ่มสดใสอีกครั้ง เมื่อมีการประกาศจากห้องปฏิบัติการพร้อมกัน 3 แห่ง ซึ่งได้รับทุนวิจัยจากสถาบันศึกษาธรรมชาติของอายุขัยและศึกษากระบวนยืดอายุชราอย่างมีคุณภาพ (National Institute of Aging, http://www.nia. nih.gov) ว่า Rapamycin ยืดชีวิตออกไปได้

Rapamycin ถูกค้นพบตั้งแต่ปี 1972 มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา โดยทั้งนี้เป็นผลผลิตจากแบคทีเรีย ซึ่งนำมาศึกษาจากเกาะ Easter (ภาษาพื้นเมือง Rapa Nui) ในมหาสมุทรแปซิฟิกห่างจากชิลี 2,200 ไมล์ ตั้งแต่ปี 1964 Rapamycin ยืดชีวิตของหนูออกไปได้อีก 12 เปอร์เซ็นต์ และยังได้ผลกับหนูที่ชราแล้ว

ทั้งๆที่เครื่องใน อวัยวะต่างๆน่าจะเสื่อมไปแล้ว

เป้าหมายของ Rapamycin มีการตั้งชื่อว่า “โปรตีนทอร์” (TOR, Target of Rapamycin) ซึ่งพบได้ทั้งในสัตว์และคน โดยยังมีฤทธิ์ในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่มาพร้อมอายุขัยที่มากขึ้น ซึ่งรวมถึงมะเร็ง โรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ พาร์กินสัน กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม เบาหวานในผู้ใหญ่ (ชนิดที่ 2) กระดูกผุบาง และจอประสาทตาเสื่อม

ความเป็นมาของ Rapamycin นับแต่ห้องปฏิบัติการในมอนทรีออล (Montreal) ชื่อ Ayerst พบสรรพคุณในการยับยั้งเชื้อรา และก็ยังได้ทำการศึกษาต่อจนพบว่า Rapamycin ยังมีฤทธิ์กดระบบภูมิคุ้มกัน และสามารถนำไปใช้ป้องกัน ปฏิกิริยาต่อต้านอวัยวะที่ปลูกถ่ายใหม่ โดยในปี ค.ศ.1999 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯขึ้นทะเบียน Rapamycin ให้ใช้ได้ในผู้ป่วยปลูกถ่ายไต และในปี 2007 บริษัทยา Pfizer ได้ขึ้น ทะเบียนยา Temsirolimus และบริษัทยา Novartis ได้ขึ้นทะเบียนยา Everolimus เป็นยารักษามะเร็งหลายชนิด

บนเส้นทางคู่ขนานกับการค้นพบสรรพคุณในการรักษามะเร็ง ความที่ Rapamycin สามารถคุมและกดการทำงานของยีน ซึ่งมีผลในการเติบโตของเซลล์ทั้งจำนวนและขนาดในช่วงที่กำลังแบ่งตัว โดยยีนนี้มีทั้งในยีสต์จนถึงมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ Michael N.Hall และคณะที่มหาวิทยาลัย Basel สวิตเซอร์แลนด์ ในปี ค.ศ.1991 ค้นพบยีนเป้าหมาย 2 ตัว ของ Rapamycin ในยีสต์และตั้งชื่อว่า TOR1 และ TOR2

หลังจากนั้น 3 ปี Stuart Schriber แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และ David Sabatini แห่งสถาบัน White Head Institute for Biochemical Research มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ต่างค้นพบยีน TOR ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้พร้อมกัน และเป็นที่รู้กันในระยะไม่นานนี้ว่ายีน TOR เป็นยีนดึกดำบรรพ์ที่ควบคุมการเติบโตของทั้งในไส้เดือน แมลง และพืช ความรู้ในเวลาต่อมาคือ ยีน TOR สร้างเอนไซม์ (catalytic protein) ภายในเซลล์ในส่วน cytoplasm และโปรตีนนี้จะรวมกันกับโปรตีนอีกหลายชนิดเกิดเป็น TORC1 ทำหน้าที่คุมการโตของเซลล์นั้นๆ Rapamycin มีฤทธิ์ต่อ TORC1 ด้วย (TORC2 ยังไม่ทราบหน้าที่การทำงานชัดเจน)

โปรตีน TOR ทำงานสัมพันธ์กับภาวะของความอุดมสมบูรณ์ของอาหาร เมื่อใดก็ตามที่มีอาหารเหลือเฟือ TOR จะทำงานเยอะขึ้น ก่อให้เกิดการสร้างโปรตีนเพิ่มในเซลล์และการเกิดการเพิ่มจำนวนเซลล์ เมื่ออาหารขาดแคลน TOR จะลดบทบาทและเกิดภาวะประหยัด ลดการสร้างโปรตีนและลดการแบ่งตัวลง แต่จะอาศัยขบวนการที่เรียกว่า autophagy ในการป้อนพลังงานให้เซลล์

ทั้งนี้โดยหันไปใช้โปรตีนเสียและขยะเหลือทิ้งจากโรงงานไมโตคอนเดรียในเซลล์เป็นวัตถุดิบ ลักษณะของปรากฏการณ์ไม้กระดกเช่นนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา แปรผันตามความพอเพียงของอาหาร (อาหารน้อย TOR ลดบทบาท autophagy เข้าสวมรอยผลิตพลังงานแทน)

TOR ยังมีบทบาทเกี่ยวพันกับอินซูลิน (insulin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนจากตับอ่อน ทำหน้าที่ในการดูดซึมกลูโคสจากเลือดเข้ากล้ามเนื้อและเซลล์ และอินซูลินยังเป็นตัวร่วมในการกำหนดให้เซลล์โตและเพิ่มจำนวนเมื่อมีอาหารพอเพียง โดยทำงานร่วมกับ TOR แต่เมื่อมีภาวะอาหารเกินเหลือ เฟือซ้ำซาก อ้วนก็จะนำไปสู่การกระตุ้น TOR อย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อนั้น TOR จะทำให้เซลล์ไม่ตอบสนองต่ออินซูลินและเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินในโรคเบาหวาน และจุดชนวนให้เกิดโรคแทรกตามมารวมทั้งโรคหัวใจ เมื่อมีอายุมากขึ้นหรือโรคไม่ได้ควบคุมเป็นเวลานานๆ.

หมอดื้อ