อาหารเสริม จากไวน์ สู่เส้นทางอมตะ ตอนที่ 2

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/551251

โดย หมอดื้อ 20 ธ.ค. 2558 05:01

 

ตอนที่แล้ว เป็นการบรรยายถึงกลไกในการควบคุมอายุให้ยืนยาวและแข็งแรงโดยผ่านยีนต่างๆ บทความในวารสาร Scientific American 2012 จนนิตยสารไทม์ 2015 ในเส้นทางสู่การมีอายุยืน และในวารสาร Nature 2015 พบว่าสารสกัดจากองุ่น ไวน์ คือ Resveratrol สามารถสร้างเซลล์สมองใหม่ได้ในหนู

ล่าสุด ในวารสารทางสมองของสหรัฐฯ Neurology 2015 ศึกษาในคนไข้อัลไซเมอร์มากกว่า 100 ราย และตรวจน้ำไขสันหลังเป็นระยะ ตลอด 1 ปีพบว่าสารพิษตัวการ ApoE และ Amyloid ลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน แต่ปริมาณที่ใช้ต้องมากถึง 2,000 มก.ต่อวัน เนื่องจากการดูดซึมจากลำไส้เข้าร่างกายไม่ดีนัก

จากกลไกการยืดอายุให้ยืนยาว จะเห็นได้ว่าระดับ NAD+ ที่สูงขึ้นเป็นแกนกลางสำคัญ โดยจะเพิ่มปริมาณและการทำงานของยีน SIRT1 ส่งผลควบคุม ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ PARP (Poly-ATP-Ribosome Poly merase) ซึ่งเป็นตัวสำคัญในกลไกที่ทำให้เซลล์ตาย หรือในทางกลับกันมีการซ่อมแซมของเซลล์

เพราะฉะนั้นในหนูที่ขาดพลังงานจากกลูโคส แม้ได้รับไขมันเพิ่มก็ตาม กลับผอมเพรียวขึ้น และไม่มีความเสี่ยงในการเกิดเบาหวาน โดยในเซลล์จะมีจำนวนไมโตคอนเดรียเพิ่มขึ้นและตัวใหญ่ขึ้น เป็นการใช้พลังงานในเซลล์อย่างฉลาด สมเหตุสมผล และมลพิษในเซลล์น้อยลง กำจัดขยะได้ง่ายขึ้น

ในการศึกษาต่อมายังพบว่า SIRT1 ยังมีบทบาทแม้แต่ในภาวะที่อาหารเหลือเฟือ และการที่มี SIRT1 มากขึ้น ยังช่วยบรรเทาอาการของหนู ที่เป็นโรคพาร์กินสัน อัลไซเมอร์ และโรคสมองเสื่อมที่มีการเคลื่อนไหวและสติปัญญาบกพร่อง คือ โรค Huntington ตัว SIRT1 ยังมีผลต่อรูปร่างความผิดปกติของตัวอสุจิ (sperm)

ทั้งนี้ ถ้าปรับพันธุกรรมของหนูให้เซลล์อัณฑะขาด SIRT1 ตัวอสุจิจะผิดปกติ นอกจาก SIRT1 ยังมี SIRT3 ซึ่งปรับระดับของออกซิเจนพิษในเซลล์และเมตาบอลิซึมในกรดไขมัน ซึ่งมีผลในโรคที่เกิดจากความผิดปกติของไขมัน เบาหวาน อ้วน เป็นต้น รวมทั้งจากการที่ SIRT3 เป็น Sirtuin หลักที่อยู่ในไมโตคอนเดรีย ดังนั้น SIRT3 จะสามารถควบคุมมะเร็งทั้งขนาดและการกระจายโดยผ่านโมเลกุลออกซิเจนพิษ

จนถึงตรงนี้อาจยังนึกภาพไม่ออกว่าอาหารเสริมจะช่วยอะไร Resveratrol มีความเกี่ยวพันกับ Sirtuin ต่างๆ และระดับของ NAD+ ซึ่งเป็นตัวตั้งต้นของกระบวนการปรับความสมดุลของพลังงาน คงความมั่นคงแข็งแรงของโรงงานในเซลล์ คือ ไมโตคอนเดรีย ปรับสภาพเซลล์ให้คงทนอยู่ได้ และซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย และส่งผลในการบรรเทาโรคที่เกี่ยวข้องกับเมตาบอลิซึมทั้งหลาย รวมทั้งเบาหวาน โรคไขมันสูง เป็นต้น

โลกได้รับทราบสรรพคุณของไวน์ที่มีผลต่อสุขภาพจากรายงานของฝรั่งเศสในปี 1992 ในไวน์มีระดับแอลกอฮอล์ 11-14% และมีสารประกอบ Polyphenols ซึ่งตัวเสริมสุขภาพในไวน์นั้นได้จากทั้งแอลกอฮอล์ (ดังที่ดื่มวิสกี้ วอดก้า บรั่นดี ไวน์ขาว ในปริมาณชาย 2 หญิง 1 แก้ว ก็ดีทั้งนั้น) และได้จากสาร Polyphenols Resveratrol อยู่ในเปลือกขององุ่น (ในไวน์แดง) และผลไม้นานาชนิด เช่น Cranberry, Mulberry, Lingonberry, Bilberry, Partridgeberry, Sparkleberry, Blueberry, Jackfruit, Peanut

แม้กระทั่งใบและดอกของต้นไม้หลายชนิด Resveratrol ที่เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ในปัจจุบันเตรียมจากรากแห้งของ Polygonum Cuspidatum ในญี่ปุ่นและจีน โดยที่สมุนไพรที่สกัดจาก Polygonum ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อรา โรคผิวหนัง โรคตับ และโรคหัวใจมาแต่โบราณกาล ในส่วนที่เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น ถัดจากกลไกระดับในเซลล์ออกมา คือ Resveratrol ยับยั้งกระบวนการ LDL (ไขมันเสีย) Peroxidation ซึ่งนำสู่เส้นเลือดตีบ และเพิ่มไขมันดี HDL และกระตุ้นให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่น ขยายขนาดได้มากขึ้น โดยผ่านทาง nitric oxide ยับยั้ง Endothelin

ซึ่งทำให้เส้นเลือดหดตัว และอาจมีผลทำให้เลือดไม่หนืด และการล้นทะลักของเลือดกลับเข้ามามากเกินไป มายังเนื้อเยื่อที่ขาดเลือด และปรับสภาพการทำงานของหัวใจ (Pre-Condi tioning) ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการปกป้องหัวใจจากโรค ในส่วนของสมองและระบบประสาท Resveratrol ยังสามารถซึมผ่านเข้าสมอง ทั้งๆที่สมองจะมีระบบป้องกันเข้มงวดจากผนังปราการที่หลอดเลือด (Blood Brain Barrier) และส่งผลปรับการทำงานของเซลล์ Astrocyte ซึ่งเกี่ยวข้องกับ Glutamate และการอักเสบที่เกี่ยวพันกับโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน นอกจากนั้น ยังมีผลต่อการฟื้นฟูสภาพ และการปรับเพิ่มพูนประสิทธิภาพของระบบประสาท และการหลั่งของสารสำคัญคือ trophic factor S100B

ที่กล่าวมายืดยาว เป็นเครื่องแสดงว่าการคัดสรรอาหารเสริมไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และต้องท่องขึ้นใจว่าอาหารเสริมไม่ถึงกับเป็นของวิเศษ ไม่เป็นยา อาจช่วยใช้รักษาโรค ป้องกันโรค เป็นของเสริม ตราบใดที่ไม่สามารถมีข้อมูลชัดเจนถึงประสิทธิภาพการรักษาว่าลดการเจ็บป่วย การตายได้เพียงใด ป้องกันการเกิดโรคได้กี่เปอร์เซ็นต์ จะใช้ขนาดเท่าใดจึงจะเริ่มเห็นประสิทธิภาพ มีผลข้างเคียงระดับใด ก็ยังจัดเป็นยาไม่ได้ อาจจะใช้เป็นของ “บำรุง” ได้

และถึงแม้ Resveratrol จะดู “เก่ง” เพียงใด แต่ในทางสู่อมตะ แม้ว่าจะมีผลในการยืดอายุของหนูที่ให้อาหารไขมันสูงก็ตาม แต่ในหนูที่ได้อาหารปกติกลับอายุไม่ยืนกว่าเดิมตามที่คาด แม้ว่ากลไกในการปกป้องเซลล์จะคงมีอยู่ก็ตาม เพราะฉะนั้นตอนต่อไปเตรียมตัวพบเส้นทางอมตะเส้นใหม่ ชื่อว่า TOR นะครับ.
หมอดื้อ

อาหารเสริมจากไวน์ สู่เส้นทางอมตะ ตอนที่ 1

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/548089

โดย หมอดื้อ 13 ธ.ค. 2558 05:01

 

เวลาเที่ยงพักกินข้าวเป็นเวลาที่ผู้เขียนมีความสุขมาก นอกจากกินข้าวกล่องที่ซื้อจากโรงอาหาร ก็จะเป็นเวลาที่ได้อ่านและรับชม-ฟัง นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ หรือผู้ได้รับรางวัลโนเบลมาพูดให้ฟังโดยผ่านทางอินเตอร์เน็ต สถาบันที่ผู้เขียนเป็นสมาชิกมากว่า 20 ปี คือ New York Academy of Science (www.nyas.org) ซึ่งเราสามารถ รับรู้ข้อมูล และดูวีดิโอการบรรยายได้เหมือนกับไปนั่งฟังจริงๆ

ที่ทึ่งมากเป็นพิเศษและเป็นที่มาของบทความนี้ คือการเสนอผลงานค้นคว้าเกี่ยวกับสาร ซึ่งมีใน “ไวน์แดง” ที่มีชื่อว่า Resveratrol และตีพิมพ์ในเดือนมกราคม 2011 และหลังจากนั้นมีการประชุมเป็นระยะทุกปี จนถึงปี 2015 และมีบทความในวารสาร Scientific American 2012 จนนิตยสาร ไทม์ 2015 ในเส้นทางสู่การมีอายุยืน และในวารสาร Nature 2015 พบว่าสร้างเซลล์สมองใหม่ได้ในหนู

ล่าสุด ในวารสารทางสมองของสหรัฐฯ Neurology 2015 ศึกษาในคนไข้อัลไซเมอร์ มากกว่า 100 ราย และตรวจน้ำไขสันหลังเป็นระยะ ตลอด 1 ปี พบว่าสารพิษ ApoE และ Amyloid ลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และปริมาณที่ใช้ต้องมากถึง 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน เนื่องจากการดูดซึมจากลำไส้เข้าร่างกายไม่ดีนัก

ความเป็นอมตะ คือมีชีวิตยืนยาวสุขภาพดีสมองไม่เสื่อม ไม่มีโรคเกี่ยวเนื่องกับอายุขัย เป็นสิ่งที่มนุษย์ (โดยเฉพาะตั้งแต่เลข 4 ขึ้นไป) แสวงหากลไกที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดที่ทำให้อายุยืนยาวแต่ไม่มีใครทำคือทำให้ตกอยู่ในภาวะอดอาหาร โดยเฉพาะขาดกลูโคสหรือน้ำตาล (Starvation และ Caloric Restriction) ซึ่งพิสูจน์ได้ในสัตว์ทดลองเช่นหนู ตั้งแต่ 80 ปีมาแล้วโดย Clive McCay และ Mary Crowell จากมหาวิทยาลัย Cornell และเป็นจริงในลิงเช่นกัน ในราวปี 1950 เป็นต้นมา Denham Harman ที่มหาวิทยาลัย California, Berkley ได้พัฒนาความรู้โดยเชื่อมโยงกับกระบวนการเกิดออกซิเจนพิษ (oxygen free radical species) ในร่างกาย

ซึ่งในปัจจุบันก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งในกลไกทั้งหมดเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ทั้งหลายทั้งปวงดูจะมุ่งไปสู่ Sirtuins ซึ่งเป็นโปรตีนควบคุมกระบวนการในร่างกาย ซึ่งโดยปกติจะนิ่งเงียบกบดานอยู่ (silent information regulator หรือ SIR) และพบได้ตั้งแต่ในยีสต์ถึงมนุษย์ โดยกลุ่มของ Leonard Guarente และได้ตีพิมพ์ผลงานในปี 1995 ในวารสาร Cell

และพบว่า SIRT 4 มีบทบาทในการยืดอายุของยีสต์

ในช่วงเวลา 10 ปี จากปี 2000-2011 มีงานวิจัยเกี่ยวกับ SIR และเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องเกือบ 1,200 ฉบับ โดยการประชุมซึ่งจัดโดย NYAS มีนักวิทยาศาสตร์จาก Weill Cornell Medical College จาก Ecole Polytechnique Federale Lausanne จาก MIT และจาก Gladstone Institute (UCSF) รวมทั้งจาก Harvard Medical School

นอกจากที่ Sirtuins จะเกี่ยวพันถึงกระบวนการอดอาหาร (ให้อายุยืน แข็งแรง) ยังเชื่อมโยงไปถึงโมเลกุลขนาดเล็กที่ชื่อว่า Resveratrol ในระบบการรับรู้ของเซลล์ ในการปรับผันการใช้น้ำตาล

กลูโคสหรือไกลโคเจน (Glycogen) เมื่ออยู่ในภาวะอดอาหาร ขาดพลังงาน และหันไปใช้กรดไขมันเป็นแหล่งพลังงานแทน ทั้งนี้จะผ่านทางเอนไซม์หลัก 3 ตัว คือ AMPK (AMP-activated protein kinase) จะตอบสนองต่อ AMP และ ATP ในขณะที่ SIRT1 ต้องการ NAD+/NADH และ GCN5 จะตอบสนองต่อ Acetyl-CoA ทั้ง 3 ตัวหลักจะมีผลต่อการทำงานของ PGC-1α

ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นหรือควบคุมการทำงานของโรงงานของเซลล์ คือ ไมโตคอนเดรีย (mitochondria)

ทั้งนี้ SIRT1 จะกระตุ้น PGC-1α ในบทบาทของเอนไซม์ deacetylase และ acetylase จะยับยั้ง PGC-1α Resveratrol เกี่ยวกับโรงงานของเซลล์ โดยผ่านทาง AMPK ซึ่งทำให้ระดับของ NAD+เพิ่มขึ้น และทำให้เกิดการกระตุ้น SIRT1 ส่งผลควบคุม PGC-1α (ร่วมกับ GCN5 และ SRC3) และ SIRT1 ยังมีผลต่อ FOXO (Foxhead Box Transcription Factor Type 0)

ทั้งหมดนี้จะควบคุมการทำงานของไมโตคอนเดรียและความสมดุลของพลังงานระดับเซลล์ [กระบวนการซับซ้อนสามารถเปิดอ่านและดูแผนภูมิประกอบได้ในเว็บไซต์ของเราครับ www.cueid.org ในหมวด Articles วันที่ 19 ธันวาคม 2011 เรื่อง Sirtuins, Longevity and Adaptations to Nutrient Availability]

ตอนนี้เป็นวิชาการมากเหลือเกินครับ อย่าเพิ่งต่อว่า แต่อยากให้ทราบที่มาที่ไปของการเลือกกินเลือกใช้อาหารเสริมแต่ละชนิด ต้องหนักแน่นในวิชาการพอควร ตอนต่อไปจะเป็นเรื่องต้นตอของไวน์และองุ่นแล้วครับ.

หมอดื้อ

อาหารเสริม……..น้ำมันปลา (ตอนที่ 2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/544917

โดย หมอดื้อ 6 ธ.ค. 2558 05:01

 

ที่เรียกว่า “น้ำมันปลา” นั้น ความจริงหมายถึงแหล่งที่ให้กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (polyunsaturated fatty acid) ซึ่งมีทั้งชนิด n–6 และ n–3 (ชื่อเรียกตามจำนวนของโครงสร้าง double bond ใน aliphatic chain และตำแหน่ง)
โดยที่จะมีคุณสมบัติทางกายภาพและทางชีววิทยาแตกต่างกันออกไป โดยที่น้ำมันปลาจะมี n-3 อยู่มาก ในคนรวมทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะไม่มีความสามารถในการสังเคราะห์ขึ้นมาเอง จึงต้องใช้กรด linoleic และ alpha-linoleic (ALA) เป็นตัวตั้งต้น
ทั้งนี้ถือเป็นกรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ถ้าขาดกรดไขมันจำเป็นอาจเป็นสาเหตุของการเกิดมีผื่นหลุดลอกตามผิวหนังหรือผิวหนาตัว อาการดังกล่าวอาจเกิดจากการขาดวิตามิน A หรือมีพิษสะสมจากสารหนู (arsenic) ก็ได้ ความจริงในพืชประเภทถั่ว ธัญพืช เต้าหู้ flaxseed linseed rape seed (canola) และถั่ว walnut ก็มี ALA เช่นกัน จากนั้นเซลล์ของคนจะทำการเปลี่ยน linoleic และ ALA จนกลายเป็น EPA (20:5 n-3) และ DHA (22:6 n-3) ตามกระบวนการสุดท้ายคือ Sprecher’s shunt

ทั้ง EPA และ DHA เป็นตัวออกฤทธิ์ที่สำคัญที่สุดในบรรดากรดไขมันไม่อิ่มตัว โดยจะสะสมตัวที่เนื้อเยื่อโดยเฉพาะที่หัวใจและเส้นเลือดในสมองและระบบประสาท และในจอประสาทตา โดยจะช่วยให้ทำหน้าที่ได้เป็นปกติ

การที่ปลามี EPA และ DHA เนื่องจากการที่มีกรดไขมันนี้อยู่ในแพลงตอนที่สังเคราะห์แสงและถูกกินโดยปลา แมวน้ำ ปลาวาฬ แม้กระทั่งปลาแมคเคอเรล (mackerel) เทร้าท์ (trout) แซลมอน (salmon) เฮอร์ริง (herring) และซาร์ดีน (sardines) ในขณะที่เนื้อสัตว์ไม่ได้มีกรดไขมัน n-3 แต่มี n-6 แทน ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรค อย่างไรก็ตามการศึกษาโดยให้คนบริโภคกรดไขมัน n-6 ลดลง กลับไม่ได้ประโยชน์มากเท่าที่ควรเฉกเช่นจาก n-3

หลังจากบริโภค EDA และ DHA (กรดไขมัน n-3) แม้จะยังไม่ทันแทรกตัวเข้าไปในเปลือกหรือผิวเซลล์ (cell membrane) ก็ตาม ก็มีผลโดยตรงผ่านทางรูเปิด-ปิด ควบคุมการไหลผ่านเข้าออกของเกลือแร่ บนผิวเซลล์ ทั้งโซเดียม โปแตสเซียมและแคลเซียม และควบคุมไม่ให้หัวใจเต้นผิดปกติ (แต่อย่างไรก็ตาม การศึกษาในเชิงระบาดวิทยาและเชิงคลินิกไม่ยืนยันประสิทธิภาพนี้)

หลังจากที่แทรกเข้าในผิวเซลล์ จะมีผลในการต่อต้านการอักเสบ และแทรกแซงการทำงานของยีน ซึ่งกระตุ้นให้มีการอักเสบในหลอดเลือด อันเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดเส้นเลือดตีบ ผลต่อผิวหรือเปลือกของเซลล์ ยังกว้างขวางครอบคลุมถึงการออกฤทธิ์ของฮอร์โมน และการสร้างโปรตีนต่างๆ

โดยลดการสังเคราะห์โมเลกุลของออกซิเจนพิษ (reactive oxygen species) และระบบ nuclearfactor-kappa B และส่งสัญญาณผ่านตัวจับ G-Protein-Coupled Receptor 120 ซึ่งควบคุมฤทธิ์ในการเกิดปฏิกิริยาอักเสบและความไวต่อฮอร์โมนอินซูลินในเม็ดเลือดขาว (monocytes) และเซลล์ macrophage

ในคนซึ่งบริโภค EPA และ DHA จะพบว่าระดับไขมันในเลือดชนิดไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) (ไม่ใช่โคเรสเตอรอล) ต่ำลงได้ และเมื่อวิเคราะห์ดัชนีทางชีวภาพ (biomarker) จะพบว่ามีระดับของ cytokines IL-1β และ TNF α ต่ำลง อาจมีผลทำให้ความดันโลหิตต่ำลงเล็กน้อย โดยไม่มีผลทางการรักษา และทำให้การทำงานของหัวใจดีขึ้น และปรับระดับการควบคุมของระบบประสาทอัตโนมัติที่มีผลในการเต้นของหัวใจ (heart-rate variability) อีกทั้งทำให้เซลล์ของเส้นเลือดยืดหยุ่นขึ้น และมีการเกาะจับตัวของตะกรันเส้นเลือดน้อยลง

การที่จะได้ EPA และ DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว n–3 อาจไม่จำเป็นต้องซื้อปลาแซลมอนมากินทุกวัน ในช่วงระยะเวลา 10 ปี เริ่มมีผลิตภัณฑ์บริสุทธิ์ของ EPA และ DHA จากหลายบริษัท และอาจมีส่วนช่วยอธิบายว่าทำไมผลการศึกษาในคนในช่วงระยะก่อนหน้า 10 ปีนี้ มีผลที่ได้ไม่ตรงกัน และเกิดความสับสนในหลักฐานทางวิชาการ

ถึงตอนนี้ทราบแล้วนะครับว่า หมอเองถ้าจะให้ตัวเองเชื่อและแนะนำให้คนไข้ซึ่งมีโรคประจำตัวมากมายต้องกินแล้ว น่าจะมีข้อมูลที่เชื่อถือได้เช่นข้างต้น ในบ้านเราพบว่ามีอาหารเสริม EPA และ DHA นับสิบๆอาจเป็นร้อยยี่ห้อ คงต้องระวังความบริสุทธิ์ในการเตรียม และเลือกชนิดที่ไม่มีวิตามิน เกลือแร่จิปาถะอีก 20 ชนิด ปนลงไปด้วย คราวหน้าหมอมีตัวที่ 2 อีกนะครับ.
หมอดื้อ

อาหารเสริม….น้ำมันปลา (ตอนที่ 1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/542554

โดย หมอดื้อ 29 พ.ย. 2558 05:01

 

บทความที่หมอเขียนตอกย้ำถึงความไม่ดีงามของอาหารเสริมและการขาดสรรพคุณที่น่าเชื่อถือ ซึ่งอาหารเสริมเกือบทั้งหมดจะตกอยู่ในประเภทนั้น และทำให้คนที่เป็นโรคจริงๆ ซึ่งต้องการการรักษาที่ถูกต้องเสียโอกาส

เพราะหลงเชื่อตามคำโฆษณายุยง อาหารเสริมในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเสริมจริงๆในส่วนที่ขาด เช่น ในเด็กทารก คนชรา ทานอาหารไม่ได้ มีการดูดซึมอาหาร และเกลือแร่ผิดปกติ

แต่หมายถึงเสริมเพื่อให้ตายช้า หมายถึงยืดอายุให้ยืนนาน ไม่แก่เฒ่า หน้าตาสวย หล่อตลอดกาล แข็งแรงเตะปี๊บดัง 60 หรือกระทั่ง 90 ยังแจ๋ว หัวใจกระชุ่มกระชวย สมรรถภาพทางเพศฟิตปั๋ง

ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ที่กินเงินชาวบ้านไปนักต่อนัก จะอาศัยวิธีการทุ่มโฆษณา ใช้พรีเซ็นเตอร์ (Presenter) สวย หล่อ หรือแก่แล้วย้อมผมดำขลับ ทำท่าเดินเหิน ออกกำลังกาย กระฉับกระเฉง เอาด็อกเตอร์จากที่ไหนมาไม่ทราบ มาอธิบายศัพท์แสงทางวิชาการ ซึ่งเมื่อฟังแล้วทึ่ง (แต่คนรู้เรื่องต้องหัวร่องอหาย) หรือเอาฝรั่งมาบรรยายว่าค้นพบผลิตภัณฑ์ในหมู่บ้านเทือกเขาสูง ซึ่งประดาคนในหมู่บ้านไม่มีใครแก่เฒ่า ตลอดจนเอาคนที่หายจากมะเร็ง มายืนยัน โดยที่อาจไม่เป็นมะเร็งจริง เป็นแต่ชนิดเศษๆ รักษาด้วยวิธีการที่มีอยู่ในปัจจุบันก็มีสิทธิหายได้

อย่างไรตาม ก็คงต้องมีเข็มในมหาสมุทรบ้างที่อุตสาหะก็จะงมเจอได้สักเล่มสองเล่ม เช่นเดียวกับการพิสูจน์ความแน่ด้วยกระบวนการที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพที่จะทำให้เราเชื่อมั่นว่าได้ผลมากกว่าไม่ได้กิน ว่าสามารถเยียวยารักษาหรือป้องกันกระบวนการของการเกิดโรค ที่อาหารเสริมทั้งหลายมักออกมาอวดอ้าง ทั้งๆที่โรคนั้นๆยังไม่มีใครทราบชัดเจนว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรด้วยซ้ำ

ตัวเองจะเชื่อแม้ว่าเป็นยาแผนปัจจุบันต่อเมื่อมีข้อมูลเชิงประจักษ์จากกระบวนการนั้นต้องมีการนำไปใช้ในการทดสอบระดับเซลล์ หรือเนื้อเยื่อ พบมีกลไกซึ่งเจ๋ง ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ อันดับต่อไปคือทดสอบในสัตว์ทดลอง และในมนุษย์ที่มีโรคเกิดขึ้นแล้ว

ทั้งนี้โดยผ่านขั้นตอนความปลอดภัยก่อน และการทดสอบต้องพยายามจำกัดอิทธิพลของกำลังใจ (placebo effect) ซึ่งพิสูจน์แล้ว ว่ากำลังใจที่ดีหรือศรัทธาก็ทำให้เกิดการชะลอโรคที่เป็น หรือทำให้มีอาการที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนได้ การทดสอบที่ดีดังกล่าวคือทั้งผู้รับผลิตภัณฑ์ และผู้ทดสอบต่างก็ไม่มีใครทราบว่าผลิตภัณฑ์คืออะไร

เมื่อทำการศึกษาในกลุ่มทดสอบที่มีขนาดเหมาะสม ค่อยประเมินผลที่ได้รับ และเปิดโค้ดลับดูว่าผลที่เกิดขึ้นเป็นกลุ่มคนที่ได้รับเป็นผลิตภัณฑ์นั้นๆหรือได้รับยาหลอก กระบวนการที่เข้มงวดยิ่งกว่านั้นไปอีกคือ ทำการทดสอบในกลุ่มที่มีปัจจัยส่งเสริมในการเกิดโรคดังกล่าวเพียบ ทั้งภาวะทางพันธุกรรมว่า เกิดขึ้นชัวร์มากกว่าคนอื่นๆในครอบครัวอื่นๆหรือมีปัจจัยส่งเสริมที่สนับสนุนการเกิดโรค

ทั้งที่ผ่านทางกลไกทางพันธุกรรมหรือเหนือขอบข่ายของพันธุกรรม (epigenetics) และนอกจากนั้นตัวออกฤทธิ์หลังจากที่ได้รับหรือบริโภคไปแล้วมีการผ่านกระบวนการในเลือด ในตับ จะสามารถซึมผ่านเข้าไปในอวัยวะที่ต้องการให้เกิดผลได้ เช่น ในสมองซึ่งเป็นระบบพิเศษที่ปกป้องไม่ให้สารหรือยาผ่านเข้าไปโดยง่าย นอกจากนั้นเป็นการตามศึกษาทางระบาดวิทยาเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร แม้จะไม่ทราบกลไกการออกฤทธิ์ที่แน่นอนชัดเจน ก็อาจจะได้ข้อมูลว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเมื่อบริโภคไปแล้ว ตายมากตายน้อย หรือเกิดโรคต่างกันหรือไม่

หมอเอง “เข้ม” มากพอสมควรกับการให้คะแนนผลิตภัณฑ์หรือยา แต่ในที่สุดเหนือฟ้ายังมีฟ้า ใจอ่อนกับตัวที่หนึ่ง ตั้งแต่มีบทความในวารสารนิวอิงแลนด์ 2011 คือ “น้ำมันปลา”

แม้ว่าจะมีบทความพิเคราะห์ข้อมูลของน้ำมันปลา ตีพิมพ์ในวารสารทาง การแพทย์ของอังกฤษ 2008 ก็ตาม ว่าน้ำมันปลาไม่มีผลในการลดอัตราตายจากสาเหตุทั้งหมด แม้ว่าจะมีผลบ้างในโรคหัวใจขาดเลือด (จากการรวม 12 การศึกษา ผู้ป่วย 32,779 คน) และไม่มีผลในการป้องกันหัวใจเต้นผิดปกติ

ข้อมูลจากวารสารนิวอิงแลนด์ เป็นการเจาะถึงผลการศึกษา 25 รายการรวม 280,000 ราย ในเชิงระบาดวิทยา พบประโยชน์ในการป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจ จากการกินปลาหรือ n-3 fatty acid และในการศึกษาทางคลินิก ซึ่งมีการติดตามผู้ป่วยอย่างเข้มงวดที่เกิดมีเส้นเลือดหัวใจตีบไปแล้ว พบว่าการปรับพฤติกรรมการกินอาหารที่ถูกต้องรวมทั้งกินปลาหรือเสริมด้วยกรดไขมัน n-3 หรือด้วยการใช้ EPA กับ DHA ให้ประโยชน์ในการป้องกันไม่ให้เกิดโรคใหม่ ในขณะที่วิตามิน E ไม่มีผล เป็นการศึกษาทั้งในคนเอเชียคือญี่ปุ่น และฝรั่งในยุโรปหรือสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำมันปลายังมีข้อพิสูจน์ไม่ชัดเจนในการป้องกันหัวใจเต้นผิดปกติ มีข้อมูลมหาศาล ขอต่อคราวหน้าอีกตอนครับ.

หมอดื้อ

ทำสงครามกับความอร่อย…เนื้อ แฮม เบคอน ไส้กรอก กับมะเร็ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/540934

โดย หมอดื้อ 22 พ.ย. 2558 05:01

 

ทำสงครามในที่นี้คือ ต้องทนกับความเย้ายวนของเนื้อทั้งหลาย อันเนื่องจากคำประกาศขององค์การอนามัยโลกเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2015 ถึงอันตรายอันจะได้จากการบริโภคเนื้อ

จากการจัดอันดับ กลุ่มก่อมะเร็งเบอร์หนึ่ง (group 1) โดยที่มีหลักฐานแน่นหนาว่าเกี่ยวโยงกับการเกิดมะเร็งคือ เนื้อที่ผ่านกระบวนการกรรมวิธีเพื่อให้เก็บได้นาน หรืออร่อยขึ้น รวมถึงการหมักทั้งด้วยเกลือ ด้วยไนไตรท์- ไนเตรท รมควันหรือวิธีใดๆก็ตามเพื่อรสชาติ

ตัวอย่างเช่น ฮอตดอก ไส้กรอก คอร์นบีฟ แพ็กเกจด์เตอร์กี (packaged turkey) ไส้กรอกเปปเปอโรนี (ซาลามี) (จากเนื้อวัว) เนื้อกระป๋อง เนื้อเส้น

ชิคเก้นนักเก็ต (ไก่) ไส้กรอกโบโลนญา (จากวัว) เบคอน (จากหมู) กลุ่มก่อมะเร็งเบอร์สอง-เอ (group 2 A) ได้แก่ อาหารหรือสารที่อาจจะเกิดมะเร็ง หมายรวมยาฆ่าวัชพืช ดีดีที ยาฆ่าแมลง มาลาไธออน และเนื้อแดง

คำว่าเนื้อแดงคือ เนื้อทุกชนิดที่ได้จากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม วัว หมู ลูกวัว แกะ แพะ ม้า โดยที่ กลุ่ม 2B กลุ่ม 3 และ 4 ยังอาจไม่เกี่ยวโยงกับมะเร็งนัก

เบื้องหลังการศึกษามาจากคณะทำงานขององค์การอนามัยโลก สำนักวิจัยมะเร็งนานาชาติ (IARC) ซึ่งมีความเห็นตรงกันในเรื่องของเนื้อที่ผ่านกระบวนการต่างๆ เป็นกลุ่มเบอร์หนึ่ง รายงานของ IARC ได้จากการวิเคราะห์หลักฐานเชิงประจักษ์ของรายงานมากกว่า 800 ชิ้น โดยมีผู้เชี่ยวชาญ 22 คน จาก 10 ประเทศ

ที่ดุเดือดมากคือ การบริโภคเนื้อที่ผ่านกระบวนการเพียง 50 กรัมต่อวัน เช่น ฮอตด็อก 1 อัน หรือ เบคอน 6 ชิ้น หรือ แฮม 2 ชิ้น หรือซาลามี 5 ชิ้น หรือ คาเนเดียนเบคอน 2 ชิ้น มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งสำไส้ใหญ่และทวารสูงขึ้นเป็น 18% และทั้งเนื้อแดงและเนื้อผ่านกรรมวิธียังเกี่ยวโยงไปกับมะเร็ง กระเพาะอาหาร ต่อมลูกหมาก ตับอ่อน อีกด้วย

คำเตือนเกี่ยวกับการกินเนื้อความจริงมีมานานแล้ว และเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2007 (American Institute for Cancer Research และ World Cancer Research Fund) จนถึงปี 2009 สถาบันสุขภาพสหรัฐฯ (NIH) ชี้ถึงความสุ่มเสี่ยงต่อโรคหัวใจ มะเร็ง และในปี 2011 และ 2013 ก็ได้ข้อมูลตรงกันจากคณะ World Cancer Research Fund และจากคณะผู้เชี่ยวชาญ 47 คนในยุโรป

กลไกในการเกิดมะเร็งเป็นได้ตั้งแต่การปิ้ง ทอด ย่างเนื้อที่ความร้อนจัดทำให้เกิดสาร PAH (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons) และ HCA (Heterocyclic Amines) ทั้ง 2 ตัวก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเสียหายใน DNA ของมนุษย์และแปรไปในทางการเกิดเนื้อร้าย

กรณีของเนื้อที่ผ่านกรรมวิธีต่างๆ ตัวสำคัญคือ เกลือ โซเดียมไนเตรทซึ่งช่วยคงสภาพเนื้อ และเมื่อกินเข้าไปจะเปลี่ยนเป็นไนโตรซามีน (Nitrosamines) ทั้งนี้แม้แต่เนื้อที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีกระบวนการยังเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็งได้ (ไทยรัฐ หมอดื้อ 12 กรกฎาคม 2558) อธิบายจากการที่จุลินทรีย์ใน

ลำไส้เปลี่ยนเนื้อหรือสารแอลคานิทีนให้เป็น TMAO ก่อให้เกิดโรคหัวใจและเปลี่ยนเนื้อเป็นไนโตรซามีน

ถ้าจะเลี่ยงไนเตรทไนไตรท์ไปกินเนื้อที่ติดป้ายปลอดสารพวกนี้ ก็จะไปเจอกับกรรมวิธีผ่าน Celery juice ซึ่งก็มีไนเตรทเยอะเช่นกัน ความจริงพืช ผัก ผลไม้ มีไนเตรทอยู่แล้ว แต่ความที่มีวิตามินซีจะยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน

อีกหนึ่งกลไกคือ การที่เนื้อมีธาตุเหล็กชนิดฮีม (heme iron) ซึ่งจับกับโมเลกุลโปรโตพอร์ไฟริน (protoporphyrin)

ในพืชผักมีแต่ธาตุเหล็กที่ไม่ใช่ฮีม (non heme) ในอาหารแบบตะวันตก heme iron จะเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยถึง 10-15% และเป็นตัวการที่สำคัญอีกตัวของมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวาร ประมาณกันว่าโอกาสที่จะเป็นมะเร็งแบบนี้ตลอดชีวิตมีประมาณ 5% แต่ถ้ากินฮอตด็อกวันละอันจะเพิ่มเป็น 18%

เรื่องของเนื้อๆทั้งหลายซึ่งอย่าลืมนะครับ ไม่ใช่แต่เนื้อวัวที่เรียกว่าเนื้อแดง เนื้อหมู เนื้อทุกชนิดที่มาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็เช่นกัน คงยังมีข้อขัดแย้งอีกมากมายจากสมาคมค้าเนื้อและหมูของอเมริกาเอง และแม้แต่ อย.สหรัฐฯก็ยังไม่ให้น้ำหนักในเรื่องนี้มากนัก แต่ทางฝั่งอังกฤษแนะนำให้กินเนื้อและเนื้อที่ผ่านกรรมวิธีลดลงจากวันละ 90 กรัม เป็น 70 กรัม

เรื่องของเนื้อกับโรคหัวใจและมะเร็งคงต้องพิจารณาอีกหลายปัจจัย เช่น ถ้ากินร่วมกับการกินผัก ผลไม้ กากใย หรือร่วมการออกกำลังกาย การใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข จะต้านกลไกของมะเร็งและโรคเส้นเลือดหัวใจสมองตีบได้แค่ไหน และหนำซ้ำยังขึ้นกับดวง (ยีนหรือพันธุกรรม)

เล่าเรื่องนี้ให้หมู่เพื่อนฟัง…(โดยที่เรื่องนี้เรียบเรียงจากนิตยสารไทม์ฉบับวันที่ 9 พฤศจิกายน 2015) เพื่อนๆ ร้องเพลง “My Way” กันอย่างพร้อมเพรียง แปลว่า “เรื่องของกู (จะกินซะอย่าง)”.

หมอดื้อ

บุหรี่มีอะไรเลวร้าย,,,,,มากกว่าที่คุณคิด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/539373

โดย หมอดื้อ 15 พ.ย. 2558 05:01

 

“สารกัมมันตรังสี” มีในบุหรี่จริงและจะเข้าไปกับควันที่อัดเข้าไปในปอด ฟังดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ก่อนจะอัดมวนต่อไปนะครับ แต่ละอึกจะได้สารกัมมันตรังสี Polonium 210 ไปด้วย พร้อมกับสารพิษก่อมะเร็งอีกมากมาย ประมาณว่าถ้าสูบวันละ 30 ตัวต่อวัน จะได้ขนาดรังสีเท่ากับไปเอกซเรย์ปอด 300 ครั้งต่อปี (วารสาร Scientific American 2011) รายละเอียดได้นำไปเป็นหลักฐานให้สมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ความจริงบริษัทบุหรี่ทราบเกี่ยวกับ Polonium 210 มาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่เก็บเป็นความลับมาตลอด

นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบ Polonium ในบุหรี่ครั้งแรก คือ Vilma R. Hunt และคณะที่ Harvard ซึ่งได้พัฒนาเทคนิคในการตรวจจับ Radium และ Polonium (สารทั้ง 2 ชนิดค้นพบโดย Pierre และ Marie Curie ในปี 1898) โดยในปี 1964 เธอได้ค้นพบโดยบังเอิญในเถ้าบุหรี่ของเพื่อนในที่ทำงาน โดย Polonium จะสลายรวมอยู่ในควันบุหรี่ Hunt และ Edward P. Radford ได้ตีพิมพ์เผยแพร่การค้นพบ Polonium ในควันบุหรี่ ในวารสาร Science

อย่างไรก็ตาม การที่จะพิสูจน์ว่ามี Polonium ตกค้างในทางเดินหายใจของคนสูบบุหรี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อเสียชีวิตและทำการตรวจศพ ผนังเยื่อบุของปอดและหลอดลมจะสลายไปในเวลา 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น อย่างไรก็ตามเป็นที่โชคดีที่สามารถตรวจจับได้ว่ามีสาร Polonium ตกค้างหนาแน่น อยู่บริเวณหลอดลมใหญ่ที่จะแยกไปยังปอดทั้ง 2 ข้าง โดยจะปลดปล่อยอนุภาคอัลฟาออกมา

ในช่วงระยะเวลาอีก 10 ปีต่อมา ถึงได้ค้นพบว่า Polonium 210 เป็นผลจากการย่อยสลายของ Lead 210 ตรงกับที่ Radford และ Hunt ได้ตั้งสมมติฐานไว้ว่า Polonium เป็นไอโซโทป (Isotope) จาก Radon 222 และ Lead 210 จากบรรยากาศและจะสะสมอยู่ที่ใบยาสูบ อีกวิธีเกิดจากการที่ต้นยาสูบดูดซึม Lead 210 จากในดินที่อุดมด้วยปุ๋ยเร่งการเติบโตที่มี Uranium ปะปนอยู่ ในปี 1966 คณะนักวิจัยจากกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ และคณะกรรมการ Atomic Energy ได้ทดสอบปุ๋ย 2 ชนิด ชนิดแรกเป็น “ซุปเปอร์ฟอสเฟต” (Superphosphate) ที่ขายทั่วไป และอีกชนิดที่เตรียมพิเศษ โดยมีแต่แคลเซียมฟอสเฟตบริสุทธิ์ ผลที่ได้ พบว่าปุ๋ยที่ขายทั่วไปมี Radium 226 มากกว่าถึง 13 เท่า

และเมื่อนำไปให้ต้นยาสูบจะพบว่า ในยาสูบจะมี Polonium มากกว่าถึง 7 เท่า และจากการที่ในดินอุดมไปด้วยปุ๋ยที่มี Uranium phosphate (Uranium 238) จะทำให้เกิดการปลดปล่อย Radon 222 เข้าไปในชั้นบรรยากาศ (Edward Martell แห่ง National Center for Atmospheric Research in Boulder, Colorado, 1974) และ Radon จะสลายเป็น Lead 210 ซึ่งจะสะสมในใบยาสูบโดยผ่านการเกาะติดที่ขนเล็กๆ (trichomes) ที่ใบยาสูบ

ผลจากการค้นคว้าศึกษาทำให้เกิดความกังวลถึงอันตรายที่ Polonium จะก่อให้เกิดมะเร็งทั้งในปอดและในที่ต่างๆ เนื่องจากได้รับสารกัมมันตรังสีต่อเนื่องเป็นเวลานานเป็นปีๆจากการสูบบุหรี่ แม้ว่า Polonium จะมีในบุหรี่แต่ละตัวไม่มากก็ตาม ในปี 1974 เป็นที่ยืนยันในสัตว์ทดลอง โดยที่ 94% ของตัวหนู hamster ที่ได้รับ Polonium เข้าในทางเดินหายใจจะเกิดเนื้องอกในปอด ทั้งนี้ปริมาณของ Polonium ที่ได้รับอยู่ในเกณฑ์ไม่มากนักโดยไม่ก่อให้มีการอักเสบของเนื้อเยื่อด้วยซ้ำ

หลังจากปี 1974 เป็นต้นมา ได้มีการค้นพบสารก่อมะเร็งต่างๆในบุหรี่ อาทิ Polycyclic aromatic hydrocarbons และ Nitrosamines แต่เป็นที่ประมาณการณ์ว่า Polonium 210 เป็นตัวการทำให้เกิดมะเร็งปอดอย่างน้อย 2% และเป็นไปได้ที่ทั้ง Polonium และสารก่อมะเร็งตัวอื่นๆ อาจจะเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกันอีกด้วย ทำให้เกิดเป็นมะเร็งในอัตราที่สูงขึ้นไปอีก

ความร้ายแรงและพิษของบุหรี่เหล่านี้ เป็นที่รับทราบเป็นอย่างดีของบริษัทบุหรี่ ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยในสังกัด ความเพิกเฉยของบริษัทมาถูกเปิดโปง ตั้งแต่ต้นปี 1990 เป็นต้นมา ที่มีกฎหมายในสหรัฐฯบังคับให้บริษัททั้งหลายใน 46 รัฐ ยอมรับว่าการสูบบุหรี่เป็นอันตรายและเป็นสิ่งเสพติด และในขณะเดียวกันบริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลที่ตนเองรู้ต่อสาธารณะ

ในข้อมูลเป็นล้านชิ้นมีอยู่หลายพันรายการที่แสดงว่า Polonium เป็นหัวข้อที่บริษัทบุหรี่ให้ความสำคัญในอันดับต้นๆ โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 1964 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นวันสำคัญที่บริษัทต้องติดคำเตือนบนซองบุหรี่ และในโฆษณาว่าการสูบบุหรี่เป็นภัยต่อสุขภาพ โดยเฉพาะหลังจากที่ Radford และ Hunt ตีพิมพ์รายงานเกี่ยวกับ Polonium ในเดือนมกราคมปีเดียวกัน ทำให้บริษัทถึงกับต้องมีการวิจัยเกี่ยวกับ Polonium เป็นล่ำเป็นสัน รายงานภายในของบริษัท Philip Morris ตั้งแต่ปลายปี 1970 ตลอดจนถึงทศวรรษ 1980 ระบุถึงผลการศึกษาซึ่งตอกย้ำถึงภัยของ Polonium นักวิทยาศาสตร์ของบริษัทเองพยายามจะตีพิมพ์รายงานดังกล่าวในวารสาร Science แต่ถูกระงับไปในกลางเดือนกรกฎาคม 1978

นอกจากนั้นบริษัทบุหรี่ในสหรัฐฯยังคงศึกษาต่อถึงกระบวนการที่จะกำจัด Polonium อาทิ ใส่สารบางอย่างในยาสูบซึ่งจะทำปฏิกิริยากับตะกั่ว และ Polonium เพื่อกันไม่ให้แพร่เข้าไปในควันบุหรี่ หรือมีตัวกรอง Polonium ในควันบุหรี่ หรือการล้างใบยาสูบด้วย hydrogen peroxide และการใช้ปุ๋ยซึ่งมีปริมาณของ Uranium 238 น้อยลงหรือการกำจัดขนซึ่งจับ Lead ที่ผิวของใบยาสูบ ทั้งนี้เป็นข้อมูลจากการให้ปากคำของ William A. Farone อดีตผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของบริษัท Philip Morris และเป็นผู้เปิดเผยเงื่อนงำต่างๆแก่สาธารณชน ในปัจจุบัน Farone เป็นที่ปรึกษาให้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ในปี 1975 นักวิทยาศาสตร์ของกระทรวงสาธารณสุข T.C. Tso ได้เสนอว่า Polonium จะสามารถถูกขจัดไปโดยกระบวนการเริ่มแรกที่ตัวปุ๋ยเองซึ่งจะลดปริมาณได้ถึง 30-50% และการล้างใบยาสูบจะยังสามารถขจัดได้อีก 25% ซึ่งถ้าร่วมกับตัวกรองก้นบุหรี่ ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพในการลดปริมาณของ Polonium มากยิ่งขึ้น บันทึกของ R.J. Reynolds ผู้บริหารบริษัทบุหรี่ระบุว่า กระบวนการขจัด Polonium เหล่านี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางรายได้ และเป็นผลทำให้ไม่มีการดำเนินการใดๆ

การปิดเงื่อนงำอันตรายของบุหรี่ การปฏิเสธที่จะทำการขจัดสารพิษ Polonium จากบุหรี่ แสดงให้เห็นถึงความชั่วร้ายของบริษัทบุหรี่ต่อสาธารณชน การที่ประธานาธิบดี Obama ของสหรัฐฯเสนอกฎหมายในการป้องกันและควบคุมบุหรี่และผ่านสภาในเดือนมิถุนายน 2009 (Family smoking prevention and tobacco control act) เปิดโอกาสให้สมาคมมะเร็งของสหรัฐฯสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับ พิษในบุหรี่จากบริษัทบุหรี่ได้มากยิ่งขึ้น ในทางปฏิบัติแล้ว Polonium น่าจะเป็นพิษที่สามารถถูกกำจัดได้ง่ายที่สุดเมื่อเทียบกับพิษตัวอื่นๆ เช่น Tar หรือ Carbon monoxide และสารก่อมะเร็งตัวอื่นๆ

งานวิจัยของบริษัทบุหรี่ในระยะมากกว่า 40 ปีที่ผ่านมา ควรจะถูกนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์และกระบวนการขจัดไม่ได้มีผลต่อ Polonium ตัวเดียว ยังสามารถขจัด Lead Arsenic และ Cadmium ออกไปได้ด้วย

ถึงแม้ในอนาคตเราจะสามารถขจัด Polonium ได้แล้ว แต่แน่นอนสารก่อมะเร็งมากหลายยังอยู่ในบุหรี่ เลิกดูดเถอะครับ อาจยังไม่สาย.

หมอดื้อ

เหลือเชื่อ ยังมีคนไทยขาดวิตามินบี แขนขาอัมพาต หัวใจวาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/537764

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 พ.ย. 2558 05:01

 

โรคขาดวิตามินบี ที่ว่านี้ เจาะจงที่บี 1 โดยเฉพาะ ซึ่งหมอสมัยนี้เห็นเป็นโรคดึกดำบรรพ์ เนื่องจากไม่มีคนไข้มาให้เห็นด้วยแขนขาอัมพาต บวม หัวใจวาย มาเป็นสิบๆปี จะมีก็ตื่นเต้นกันทั้งบาง…ตัวหมอเองเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วเคยได้ไปสืบสวนหาสาเหตุคนอพยพจากประเทศเพื่อนบ้าน 100 กว่าคน มีแขน ขาชา อ่อนแรงในค่ายอพยพ และควรเกิดจากการขาดบี 1 จากภาวะพร่องโภชนาการซึ่งน่าจะต่างกับสภาพที่คนไทยมีขณะนี้อย่างลิบลับ

จนกระทั่งปลายปี 2557 ต่อจนถึงต้นปี 2558 มีผู้ต้องขังที่จังหวัดบึงกาฬจำนวนมากกว่า 80 ราย เมื่อถูกคุมขังในเวลาไม่กี่สัปดาห์พากันมีแขนขาชา อ่อนแรง รุนแรงจนเดินแทบไม่ได้ เท้าลาก แขนยกไม่ไหว มือเท้าลีบภายในเวลารวดเร็ว เป็นวันถึงสัปดาห์ ทั้งนี้จำนวนหลายรายมีอาการบวมขาแข้งร่วมด้วยและเกือบครึ่งมีไข้นำมาก่อน ซึ่งมักคล้ายหวัดหรือไข้หวัดไม่ใหญ่นัก และหายเอง ตามด้วยอาการดังกล่าว

คุณหมอที่จังหวัด นพ.กมล แซ่ปึง เป็นผู้เฝ้าสังเกตและสืบสวนอย่างใกล้ชิด และสงสัยว่าเป็นภาวะขาดบี 1 แต่อธิบายที่มาไม่ได้ เพราะล้วนเป็นชายฉกรรจ์ ถึงมีอายุก็ดูไม่ได้ผอมแห้งแรงน้อยขาดอาหารโดยเฉพาะมีคนไข้หนึ่งรายที่มีอาการขาชาก่อนหลังจากเป็นหวัด แต่หายเองจนอีกหนึ่งเดือนมีอาการคล้ายหวัดอีก คราวนี้หัวใจวาย น้ำท่วมปอด ต้องใส่ท่อใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่หลังจากที่ได้วิตามินบี 1 ฉีด มีปัสสาวะออกทันที 4,200 ซีซี จนอาการดีขึ้นถอดเครื่องช่วยหายใจได้…การสืบสวนระดับถัดมาเป็นการทำงานร่วมกับคุณหมอกมล และในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง คุณหมอทางระบบประสาทจากโรงพยาบาลขอนแก่น สถาบันประสาท หนองคาย และหมอเอง รวมทั้งคุณหมอโรม บัวทองและทีมจากสำนักระบาด กระทรวงสาธารณสุข แม้จะเชื่อว่าการขาดบี 1 เป็นตัวการ แต่ที่ละเลยไม่ได้ คือมีเชื้อโรคอะไรที่ทำให้เกิดเส้นประสาทและไขสันหลังอักเสบและหัวใจวายได้

โดยเฉพาะไวรัส ซึ่งตัวอย่างอุจจาระ เลือด น้ำไขสันหลัง ส่งตรวจทั้งที่กรมวิทยาศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข และที่ศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมองโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จากการตรวจไวรัสใน 8-9 ตระกูลใหญ่รวมไวรัสเป็นพันธุ์ชนิดไม่ปรากฏว่ามีเชื้อพิเศษทั้งที่เคยมีหรือไม่มีรายงานมาก่อน แต่เจอไวรัสธรรมดาหรือเชื้อแบคทีเรียปกติ ซึ่งโน้มนำให้ผู้ป่วยเหล่านี้ขาดพร่องบี 1 ประเด็นสำคัญคือ ด้วยภาวะโภชนาการขณะนี้ในเมืองไทยหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เลวร้ายถึงขนาดที่เจ็บนิดเป็นไข้หน่อย บี 1ขาดหายจากร่างกายจนเป็นอัมพาตได้อย่างไร…การพิสูจน์ว่าคนป่วยขาดบี 1 ได้จากการตรวจระดับ และการเปลี่ยนแปลงของค่าเอนไซม์ ETKA และของ Thiamine pyrophosphate ก่อนและหลังการให้วิตามินบี 1 ไม่ใช่วัดค่าครั้งเดียวโดยไม่ให้บี 1 ตาม และประเมินอีกครั้งว่ามีการเปลี่ยนระดับหรือไม่

ที่น่าตกใจคือ คนป่วยขาดวิตามินบี 1 จริง รวมทั้งผู้ต้องขังจำนวนมากที่ไม่ป่วย ผู้คุมเจ้าหน้าที่ก็มีภาวะขาดด้วยถึงแม้ไม่ทุกคน นั่นคืออย่างน้อยภาวะขาดบี 1 เป็นปรากฏการณ์ซ่อนตัวในภูมิภาคนี้ (หรืออาจทั้งประเทศ?) และจำเป็นต้องถือเป็นวาระสำคัญที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ถ้าเกิดมีโรคติดเชื้อถึงไม่รุนแรงก็จะเกิดหัวใจวายอัมพาตไปตามๆกัน แม้เชื้อด้วยตัวเองไม่รุนแรงจริง…ในคนปกติจะมีวิตามินบี 1 สะสมในร่างกายโดยเฉพาะในกล้ามเนื้อมีบ้างในสมอง หัวใจ ตับ ไต ถ้าเกิดภาวะขาดวิตามิน ตัวที่สะสมไว้จะหมดไปภายใน 1 เดือนและเริ่มมีอาการ วิตามินบี 1 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำถูกดูดซึมผ่านลำไส้เล็กส่วนกลางสร้างขึ้นเองไม่ได้ การที่เกิดโรคขาดบี 1 เกิดได้ทั้งจากได้บี 1 น้อย จากการกินอาการที่วิตามินไม่พอ ดื่มเหล้าจัด ลำไส้ดูดซึมไม่ได้ ผ่าตัดรัดกระเพาะ ลดความอ้วน ล้างไตผ่านช่องท้อง…ฟอกทางเลือด จากท้องเสียเรื้อรัง โรคของลำไส้ และจากการที่มีการใช้บี 1 ไปอย่างรวดเร็ว เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ ตั้งครรภ์ขาดวิตามินโฟเลท กำลังให้นมลูก มีไข้โดยเฉพาะจากการติดเชื้อ มีโรคตับรุนแรงอยู่

อาหารที่มีบี 1 คือ อาหารธัญพืชเต็มเมล็ด เยื่อหุ้มเนื้อเมล็ด จมูกข้าว ข้าวกล้อง ข้าวที่ไม่ขัดสี ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ลูกเดือย ขนมปังโฮลวีต ซีเรียล เนื้อ ปลา ไก่ ไข่ นม ผักใบเขียว มันฝรั่ง ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเหลือง ส้ม มะเขือเทศ อาหารหลายชนิดจะมีตัวขจัดบี 1 ทิ้งเช่น ข้าวขัดสี กุ้ง หอยแมลงภู่ หอยกาบ ปลาร้า และปลาหอยดิบ กุ้งดิบ เนื้อสัตว์ดิบ ถั่ว และมันสำปะหลังซึ่ง เมื่อเอามากินเป็นอาหารหลัก แม้จะมีบี 1 อยู่บ้างแต่ที่มีแป้งอยู่มากจะทำให้มีการใช้บี 1 เพิ่มเพื่อเอาแป้งมาใช้เป็นพลังงาน

ด้วยลักษณะดังกล่าว คนที่จะเป็นโรคขาดบี 1อาจไม่ต้องเป็นคนผอมแห้งแรงน้อย หุ่นเป็นนักกีฬาก็ได้ แต่กินข้าวขาว แป้งเป็นหลักโดยที่เป็นข้าวขัดสี และยิ่งเมื่อมีอาหารที่คอยทำลายบี 1 มีการเพิ่มการใช้บี 1 เช่น ออกกำลังกายอย่างรุนแรง มีภาวะติดเชื้อ มีไข้ คนที่ขาดอยู่แล้วคลังสะสมไข้ไปหมดแล้วก็จะเกิดโรคทันที อาการทางระบบประสาทเป็นในรูปของเส้นประสาทพัง มือ เท้า แขน ขาชา อ่อนแรง รวมทั้งมีอาการทางสมอง ตากระตุก ตาเหล่ เดินเซ อาเจียน จนมีอาการซึม ถ้ารักษาไม่ทันแม้ฟื้นขึ้นได้จะมีอาการหลงลืมถาวร แบบอัลไซเมอร์ คือ จำอะไรไม่ได้ ที่พูด ที่ทำ ที่ฟังเมื่อเร็วๆนี้หรือเสียความจำปัจจุบันไป อาการที่ออกทางหัวใจเริ่มจากเส้นเลือดขยายทั้งตัว จนหัวใจต้องบีบเลือดมากขึ้นทดแทน จนทำให้ต้องเก็บน้ำและเกลือไว้มากจนเกินควร หัวใจเมื่อทำงานหนักเกินจะมีหัวใจวายเจ็บหน้าอก จนระยะถัดมาแยกจากคนเป็นโรคหัวใจทั่วไปจากเส้นเลือดตันลำบาก

อาการทางหัวใจอาจเกิดได้อย่างรวดเร็วฉับพลันไม่เป็นขั้นเป็นตอนแบบนี้ โดยไม่บวมมากแต่แขน-ขา มือเขียวเรียกว่า “โชชิน” (Shoshin beriberi) ผู้ป่วยแบบฉับพลันนี้ การให้วิตามินบี 1 กลับเป็นการเร่งให้หัวใจวายมากขึ้น ทั้งๆที่ต้นเหตุเกิดจากการขาดบี 1 ทั้งนี้เนื่องจากโชชินหัวใจวายจะข้ามขั้นตอนเส้นเลือดขยายเป็นเส้นเลือดหดตัว การให้บี 1 กลับจะทำให้เส้นเลือดหดเข้าไปอีก ต้องประคับประคองหัวใจ จนเริ่มฟื้นจึงทดแทนบี 1…ความจริงยังมีผู้ป่วยอีก 2 รายในกลุ่มระบาดนี้ที่มีอาการทางหัวใจวายเสียชีวิต แม้ว่าจะมีสาเหตุร่วมคือการติดเชื้อรุนแรงก็ตาม แต่การที่มีหัวใจวายอาจจะมีสาเหตุส่งเสริมจากการขาดบี 1 ได้…เรื่องที่เล่าเรื่องนี้เป็นความสำเร็จที่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของกระทรวง สถาบัน โรงพยาบาลในพื้นที่จนได้คำตอบ ผู้ป่วยและผู้ไม่ป่วย บุคลากรที่ทำงานต่างได้รับวิตามินบีเสริมเป็นล่ำเป็นสัน โดยผู้ป่วยทั้งหมดมีอาการดีขึ้นหรือเกือบเป็นปกติ ที่อาการเลวจนอัมพาตก็ดีขึ้น ยกเว้นมีบางรายที่เป็นมากมีความพิการหลงเหลือ

ที่ต้องรณรงค์ คือการต้องกินข้าวซ้อมมือ ไม่ขัดสี ให้ความรู้ เลี่ยงหรือลดการกินอาหารที่ทำลายบี 1 อย่าลืมคิดถึงบี 1 ซึ่งอาจช่วยชีวิตคนป่วยได้…คนที่ชอบอาหารโก้เก๋ที่กินขณะนี้ตามฝรั่งเป็นตัวขาดบี 1 ทั้งสิ้น และอ้วนซึ่งเมื่อออกกำลังมากมีภาวะเครียดติดเชื้อจะเกิดอาการได้ เพราะอาหารหนักไปทางแป้ง หวานไม่นับพวกดื่มเหล้าจัด โรคตับ ล้างไตและอื่นๆที่กล่าวแล้ว ส่วนกลุ่มที่ไม่มีอะไรจะกินต้องเกิดได้อยู่แล้ว

หมอได้รับทุนวิจัยจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ สำนักงานส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่องเช่นนี้กระทรวงจะช่วยอะไรได้บ้างจากกระทรวงเองและร่วมกับกระทรวงอื่น ให้งานสืบสวนวิจัยขยายผลได้ ให้คนไทยปลอดภัยครับ.

หมอดื้อ

ยา “เออร์กอท” ใช้ไม่ถูก เส้นเลือด หัวใจ สมอง แขน ขาตัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/536118

โดย หมอดื้อ 1 พ.ย. 2558 05:01

 

ยา “เออร์กอท” (Ergot) เป็นยาโบราณสกัดจากเชื้อราตั้งแต่ ศตวรรษที่ 16

และเนื่องจากมีคุณสมบัติเฉพาะในการบรรเทาอาการปวดศีรษะ ไมเกรน จึงมีการใช้มาหลายสิบปี ในชื่อทางการค้าที่รู้จักกันทั่วโลก คือ คาเฟอกอท

ซึ่งมีเออร์กอทในปริมาณ 1 มก. ร่วมกับคาเฟอีน 100 มก. นัยว่าคาเฟอีนช่วยให้กระเพาะอาหาร ลำไส้ ซึ่งสงบนิ่งขณะปวดไมเกรนจะได้มีการเคลื่อนตัว และยาดูดซึมเร็วขึ้น แต่มียาอีกหลายยี่ห้อที่มีสูตรของเออร์กอทในประเทศไทย

เออร์กอทมีลักษณะพิเศษ คือ ประการที่หนึ่ง ชอบสันโดษ คือถ้าจะใช้ คนนั้นไม่ควรมียาอื่นๆที่ใช้ร่วมกัน เนื่องจากยาจะไปเพิ่มพลังให้ตัวอื่นกลายเป็นผลข้างเคียงรุนแรงของตัวอื่นเพิ่มขึ้น หรือตัวยาอื่นๆมาเพิ่มพลังให้เออร์กอท ทั้งนี้โดยที่ยามีระบบการถูกขจัดผ่านทางตับด้วยเอ็นไซม์ “ซิป” (cytochrome P 450 3A4 หรือ CYP 3A4)

ถ้ายาอื่นมาขัดขวางกลไกการขจัดยา ก็จะเกิดผลข้างเคียงตั้งแต่น้อยถึงขั้นรุนแรงถึงชีวิตได้

ประการที่สอง ยาชอบคนที่ไม่มีโรคประจำตัว นอกจากไมเกรน โดยที่ยามีผลทำให้เส้นเลือด สปาสซั่มหรือหดตัว ฉะนั้นคนที่มีโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ เบาหวาน ความดัน ไขมัน อ้วน สูบบุหรี่ หรือเส้นเลือดที่เท้าตีบอยู่แล้ว จะยิ่งเสี่ยงต่อเส้นเลือดตันแม้ว่าไม่ได้ทานยาตัวอื่นๆร่วมก็ตาม

ประการที่สาม เออร์กอทจัดเป็น ยาเฉพาะกิจ นั่นคือใช้ในช่วงสั้นๆ บรรเทาอาการปวดไมเกรน ทานวันละไม่ควรเกิน 2 เม็ด ถ้าเม็ดแรกไม่ดีขึ้นอาจตามได้อีกเม็ดในครึ่งชั่วโมง ไม่ควรเชื่อเด็ดขาดในข้อมูลบางแห่งที่ให้ทานถึงวันละ 6-8 เม็ด มีความสุ่มเสี่ยงมหาศาล

ประการที่สี่ ยานี้ ไม่ควรใช้ต่อเนื่องทุกวัน แม้ว่าจะมีขนาดวันละ 2 เม็ดก็ตาม เพราะยานี้ไม่ใช่ยาป้องกันไมเกรน เป็นยาแก้ปวด การใช้ติดต่อกัน ถ้าวันหนึ่งไปทานยาที่เพิ่มพลังยาเออร์กอท อาจถึงตายได้

นอกจากนั้นการที่ทานยาบ่อยๆเกิน 3 เม็ดต่อสัปดาห์ กลับทำให้ไมเกรนกลับเป็นบ่อยๆ เป็นหนักขึ้นจากเดิม เช่น เคยปวดเดือนละ 2 ครั้ง กลายเป็น 4 เป็น 8 จนเป็นทุกวัน และรักษายากมากโดยที่ยาถอนพิษหลายตัวสามารถเพิ่มพลังให้เออร์กอทได้ เวลาถอนพิษด้วยการใช้ยาป้องกันไม่ให้ปวด ต้องงดยาแก้ปวดที่เป็นเออร์กอทเด็ดขาด ใช้ยาแก้ปวดตัวอื่นๆแทน

ความที่เออร์กอทมีฤทธิ์เดชต่อเส้นเลือดให้หดขนาดลง ยังมีผลต่อสารสื่อประสาท ดังนั้นเมื่อเกิดอาการข้างเคียงอาจไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ทางเส้นเลือดอย่างเดียว มือเท้าเขียว เย็น จับชีพจรไม่ได้

โดยถ้าให้ยาขยายหลอดเลือดไม่ทัน ถึงกับเนื้อตาย ต้องตัดแขน ขา หรือเส้นเลือดหัวใจ สมองตัน หัวใจวาย เป็นอัมพาต ยังเป็นอาการทางสมองซึ่งเป็นอาการเด่นทางผลข้างเคียงของยาตัวอื่นๆที่ใช้ร่วมกันได้ด้วย

เออร์กอทเมื่อเพิ่มพลังของยาต้านซึมเศร้า ยาแก้ไอ dextrometho phan ยาแก้ปวด tramadol pentazocine meperidine ยาบรรเทาอาการพาร์กินสันที่เป็นเออร์กอทด้วยกัน เกิดอาการของซีโรโทนินเพิ่ม (serotonin syndrome) โดยมีอาการใจสั่น หนาวสั่น กระวนกระวาย จนถึงซึม ไม่รู้ตัว ชัก กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง และสามารถเสริมฤทธิ์กับยาคัดจมูก ไซนัส เช่น pseudoephedrine จนใจสั่นเต้นผิดปกติ และยาลดความดัน ยาหัวใจ เช่น propranolol จนมีเส้นเลือดตีบ

ยาอื่นๆที่เพิ่มพลังให้เออร์กอทโดยการยับยั้ง CYP 3A4 ทำให้ระดับเออร์กอทพุ่งพรวดจนเสียชีวิต โดยเฉพาะคือยาในกลุ่ม ยารักษาโรคเอดส์ ยาฆ่าเชื้อรา ยาฆ่าเชื้อโรค macrolide ยาต้านซึมเศร้า ยาหัวใจบางชนิด

โดยที่เร็วๆนี้มีผู้หญิงทานยาเออร์กอทวันละ 2 เม็ดเป็นประจำทุกวันอยู่เป็นปี เนื่องจากไมเกรน วันหนึ่งพบตกขาวในช่องคลอด ได้ยาฆ่าเชื้อรา เกิดอาการมือ เท้าเขียว ไม่มีชีพจร แต่เคราะห์ดีที่ให้ยาขยายเส้นเลือดตันในไอซียู

หรืออีกกรณีที่มีชายหนุ่มเสียชีวิต (เดือนกันยายน 2558) จากการกินยาชุดที่มีทั้ง ยาแก้ปวด ibuprofen tranmadol และเออร์กอท ในกรณีนี้อาจจะอธิบายจากการเพิ่มเสริมพลังและส่งผลมายังหัวใจ และอีกหลายรายที่ทานยารักษาโรคเอดส์และร่างกายแข็งแรงดีเสียชีวิต หรือต้องตัดแขน ขา เมื่อได้ยาเออร์กอท เพียง 1 หรือ 2 เม็ดเท่านั้น

มียาอย่างน้อย 572 ตัวที่สามารถเสริมเพิ่มพลังซึ่งกันและกันกับยาเออร์กอท โดยที่เกิดผลข้างเคียงมาก 106 ตัว ขนาดปานกลาง 434 ตัว และแบบน้อย 32 ตัว

(www.drugs.com วันที่ 19 ตุลาคม 2558) ก่อนสั่ง ก่อนใช้ ต้องรอบคอบ ทานยาอะไรอยู่ มีโรคประจำตัวอะไร ต้องบอกคุณหมอ เภสัชกร ก่อนได้ยา เนื่องจากมียาเสริมเพิ่มพลังเป็นร้อยตัว ถ้าไม่ใช้ได้จะเป็นการดี หรือถ้าใช้ต้องเป็นระยะสั้น ปริมาณน้อยที่สุด…

ถ้าปวดไมเกรนบ่อยถี่ ต้องได้ยาป้องกันไม่ให้ปวดนะครับ อย่าลืมเป็นไมเกรน ไม่ตาย ไม่พิการครับ.

หมอดื้อ

โรคหมาบ้ายังอยู่…ระวัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/534489

โดย หมอดื้อ 25 ต.ค. 2558 05:01

 

“แม่จ๋า…..ช่วยหนูด้วย….หนูปวดเหลือเกิน” เป็นประโยคที่หนูเพ็ญ (นามสมมติ) อายุ 9 ขวบ ร้องคร่ำครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับแม่และคนรอบข้าง จนกระทั่งเธอเริ่มซึมจากยานอนหลับที่ให้ เพื่อบรรเทาอาการปวดทรมาน และในที่สุด เธอก็ไม่รู้สึกตัวและเสียชีวิตในที่สุด โดยที่ไม่มีใครช่วยได้

หนูเพ็ญเป็นเหยื่อของโรคพิษสุนัขบ้า (rabies) ซึ่งใครๆก็คิดว่าไม่มีปัญหาในประเทศไทย และก็ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่ เพ็ญเป็นเด็กรักสัตว์ เธอชอบเล่นกับหมา แมว ข้างถนน หาข้าวให้หมาที่ไม่มีเจ้าของ แน่นอน ไม่เคยมีใครทราบว่าเธอถูกหมางับบ้าง ข่วนบ้าง บ่อยๆ

ไม่เคยมีใครบอกว่าหมา แมว สามารถปล่อยเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าออกมาในน้ำลายได้ไม่ต่ำกว่า 10 วัน ก่อนที่เขาจะเริ่มแสดงอาการ โดยที่ในขณะนั้นเขาอาจจะดูเป็นหมา แมวปกติ และที่กัดก็เป็นเพราะเหตุบังเอิญ หยอกเล่นกัน แม้แต่รอยข่วนจากเล็บของหมา แมว ก็สามารถทำให้ติดเชื้อได้ จากไวรัสที่ค้างติดอยู่ที่เล็บ

7 วัน ก่อนที่หนูเพ็ญจะเสียชีวิต เธอเริ่มบ่นครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อย มีไอแห้งๆ และเจ็บคอ ยังพอทานน้ำ ทานข้าวต้มได้ พ่อ แม่หนูเพ็ญ พาเธอไปหาแพทย์ที่โรงพยาบาล 2-3 แห่ง แต่ไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ชัดเจน เนื่องจากอาการเช่นนี้จะไม่มีลักษณะพิเศษใดๆ ซึ่งในโรคพิษสุนัขบ้า เรียกว่า อาการนำ

ผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้าที่ได้ไวรัสจากหมา แมว (dog variant, genotype 1) บางราย (ประมาณ 30%) จะมีอาการปวดแสบ ร้อน คัน บริเวณแผลที่ถูกกัด ซึ่งอาจจะเป็นลักษณะทำให้แพทย์สงสัยว่าเป็นอาการเริ่มของโรคพิษสุนัขบ้าได้ อาการแสบคันดังกล่าว เกิดจากการที่ไวรัสเคลื่อนตัวจากแผลไปตามแกนของเส้นประสาท เข้าไขสันหลังและวกกลับออกไปถึงปมประสาทเกิดอักเสบ เกิดอาการแสบร้อน

“โรคพิษสุนัขบ้า” มีลักษณะเฉพาะตัวอีกประการ คือ ไวรัสจะสามารถสงบตัวอยู่บริเวณแผลที่ถูกกัดได้เป็นเดือน-ปี โดยไม่แสดงอาการใดๆทั้งสิ้น แต่เมื่อมันเริ่มแสดงอาการขึ้นแล้ว ผู้ป่วยจะเสียชีวิตหมดภายใน 5-11 วัน แต่อาจมีชีวิตอยู่ได้นานถึงเดือน ถ้าได้รับการดูแลใน ICU อย่างเต็มที่ ตามข้อมูลที่หมอรวบรวมผู้ป่วยมากกว่า 130 ราย ในช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ.1985 ( J Neurovirol 2005 และ Lancet Neurology 2013)

ประมาณ 4 วัน หลังจากเริ่มมีอาการ หนูเพ็ญจึงได้มาที่โรงพยาบาล โดยที่เพ็ญเริ่มเข้าสู่ระยะแสดงอาการทางระบบประสาทที่ผิดปกติชัดเจนขึ้น โดยมีอาการกระสับกระส่าย กระวนกระวาย ไวต่อการกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงดังๆ แสงจ้า ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นเป็นพักๆ สลับกับการที่กลับมาดูเหมือนเป็นปกติ ภายใน 6 ชั่วโมง อาการกระวนกระวาย ลุกลี้ลุกลนรุนแรงขึ้น และมีอาการกลืนน้ำ กลืนอาหารลำบาก เพียงแต่เห็นแก้วน้ำหรือได้ยินเสียงน้ำก๊อกไหล ก็มีอาการเกร็งกระตุกอย่างรุนแรงของลำคอและกล้ามเนื้อที่ต้นคอ พร้อมกันกับการกระตุกของกระบังลมในท้อง ซึ่งอาการเหล่านี้ก่อให้เกิดความเจ็บปวดทรมานเพิ่มขึ้นไปอีก

และเป็นที่มาของคำว่า “กลัวน้ำ”

นอกจากนั้นเพ็ญยัง “กลัวลม” โดยที่เพียงถูกลมพัดเป่าเบาๆ ก็จะมีการกระตุกดังกล่าว นอกจากนั้น มีอาการขนลุกเป็นพักๆ ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นของระบบประสาทอัตโนมัติ และเริ่มมีน้ำลายมาก จากการที่ต่อมน้ำลายมีการติดเชื้อร่วมด้วย เมื่อส่องไฟฉายตรวจรูม่านตา พบว่าบางครั้งเบิกกว้าง หรือ ตีบลง และไม่มีปฏิกิริยาต่อแสงเป็นพักๆ มีหัวใจเต้นเร็ว-ช้าสลับกัน เพ็ญทนทรมานกับอาการดังกล่าว จนหมอต้องให้ยาสงบประสาทให้เคลิ้มลงไปบ้าง

ในวันแรกที่เพ็ญอยู่กับเรา เราได้ตรวจ RNA ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมของไวรัสพิษสุนัขบ้าในน้ำลาย ปัสสาวะ น้ำไขสันหลัง และปมรากผม (โดยถอนผมให้ติดปมด้วยประมาณ 20 เส้น)

ภายใน 3 ชั่วโมงถัดมา เราพบ RNA ของไวรัสในน้ำลาย ปัสสาวะ และปมรากผม แต่ไม่พบในน้ำไขสันหลัง การที่เราไม่เจอ RNA ในทุกตัวอย่างที่ตรวจก็เนื่องจากการที่ไวรัสไม่หลุดออกมาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการที่ไม่เจอตัวในการตรวจจะต้องตรวจเพิ่มเติมในวันถัดไปเสมอ

เมื่อหมอทราบผลชัดเจนแล้ว ได้แจ้งให้ครอบครัว พ่อ แม่ และญาติทราบ ตลอดชีวิตที่ทำงานทั้งหมอและเพื่อนร่วมงาน ไม่เคยมีใครดีใจแม้แต่น้อยที่ตรวจเจอไวรัสในผู้ป่วย เพราะการที่ต้องบอกครอบครัวเป็นเสมือนการตัดสินประหารชีวิต และไม่มีอะไรที่จะช่วยได้ โดยทุกรายเสียชีวิตทั้งหมดในเวลาต่อมา เราช่วยได้แต่เพียงบรรเทาอาการทรมาน เราได้แต่เสียใจไปด้วยกับครอบครัว ทรมานไปกับเพ็ญ

ทุกครั้งที่เข้าไปตรวจและเฝ้าดูอาการ ได้แต่ดูเธอเข้าใกล้ระยะสุดท้าย โดยไม่มีปัญญาช่วยเหลือ เหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้นเช่นนี้ แท้จริงเกิดจาก “คน” ทั้งสิ้น คนซึ่งรักสัตว์ รักหมา แมว เอาเศษข้าว อาหารไปเลี้ยงเป็นประจำ โดยคิดว่าเป็นการทำบุญ

หมาตัวเมียหนึ่งตัวออกลูกครอกหนึ่งไม่ต่ำกว่า 4 ตัว หมามีฤดูติดสัดอย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี นี่เป็นเหตุผลที่เราเห็นหมาข้างถนนในตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ความเป็นจริงก็คือในเมืองไทยเราแทบไม่มี “หมาจรจัด” จริงๆมีแต่ “หมาชุมชน” หมาเหล่านี้ไม่มีใครแสดงตัวเป็นเจ้าของ แต่ทุกๆวันจะมีคนเดิมๆเอาข้าวมาให้

สำหรับคนใจบุญ หมอขอร้องให้ช่วยทำอะไรเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย หมาเหล่านี้จะเชื่องกับคนที่ให้อาหารประจำ โดยผู้คุ้นเคยกับหมาจะค่อยๆล่อหมาทีละตัวมารวมกักในที่เหมาะสม และค่อยๆปฏิบัติทำหมันฉีดวัคซีน โดยมีสัตวแพทย์ช่วยพร้อมกันหลายคน และจะทำให้หมาชุมชนเหล่านี้มีจำนวนคงที่และจะไม่แย่งกันหาอาหาร อารมณ์ไม่เสียไปกัดคน อีกทั้งยังไม่ไปกัดกันเอง ซึ่งเป็นการแพร่ไวรัสจากตัวหนึ่งไปสู่ตัวอื่นๆในกลุ่มเดียวกัน

เมื่อหมาได้รับเชื้อแล้วแต่ละตัวจะไม่มีระยะฟักตัวเท่ากัน เพราะฉะนั้นในทุกฤดูไม่ใช่เฉพาะแต่หน้าร้อนเราจะพบสุนัขบ้าได้เสมอ สำหรับหมาบ้านเป็นหน้าที่ที่ต้องทำอยู่แล้ว (ฉีดวัคซีน ทำหมัน) โดยถือเป็นสมาชิกในครอบครัว การที่หมาตัวเองออกลูกมา 5 ตัว แล้วนำไปปล่อยวัดเท่ากับทำบาปให้เจ้าอาวาสแน่นอน.
หมอดื้อ