พุทธคยา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 4 สังเวชนียสถาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05076011058&srcday=2015-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 608

หมอเกษตร ทองกวาว

พุทธคยา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 4 สังเวชนียสถาน

เรียน ท่านผู้อ่านที่เคารพ

ผมขอเล่าเรื่องอินเดียอีกหนึ่งปักษ์ สลับกันไปกับคอลัมน์ตอบ ถาม ปัญหาตามปกติ สำหรับปักษ์นี้ขอเล่าถึงสังเวชนียสถาน ลำดับที่ 2 สถานที่ตรัสรู้ของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือที่ พุทธคยา ตั้งอยู่ที่เมือง กายา หรือ Gaya ห่างจาก โกลกัตตา อดีตเมืองหลวงของอินเดีย 500 กิโลเมตร ขึ้นกับรัฐพิหาร ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ในสมัยพุทธกาล เรียกที่แห่งนี้ว่า อุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ

สิ่งสำคัญในสังเวชนียสถานแห่งนี้มีอยู่หลายสิ่ง คือ ต้นพระศรีมหาโพธิ ที่เป็นสหชาติกับพระพุทธเจ้า หมายถึง ต้นโพธิต้นนี้ เกิดพร้อมกับพระประสูติกาลของเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร ปัจจุบันนี้ ต้นพระศรีมหาโพธิเป็นต้นชั่วที่ 4 ต้นแรกที่พระองค์ประทับนั่งใต้ร่มเงา จนตรัสรู้ (หมายถึง รู้แจ้ง รู้จริง ด้วยพระองค์เอง) ถูกทำลายด้วยน้ำมือพระชายาของพระเจ้าอโศกมหาราช ที่เอาใจใส่หมั่นเสด็จมากราบไหว้บูชาเป็นประจำ แม้นว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จสู่ปรินิพพานไปแล้วเกือบ 300 ปี ก็ตาม ทำให้พระนางเกิดความไม่พอใจ จึงให้ข้าทาส นำน้ำร้อนมารดที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ พร้อมโค่นจนล้มลง แต่ด้วยความเคารพศรัทธาของพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์เพียรพยายามนำน้ำนมจากแม่วัวนับร้อยตัว มาราดลงที่รากใหญ่ของต้นพระศรีมหาโพธิ ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ เฝ้าฟูมฟักอยู่พักใหญ่ ในที่สุด ต้นอ่อนได้งอกออกมาจากรากที่ทอดยาวไปตามพื้นธรณี แล้วพัฒนาเป็นต้นพระศรีมหาโพธิต้นใหม่ เป็นต้นที่ 2 สมดังพระประสงค์ (ลักษณะการเกิดของต้นโพธิดังกล่าว เป็นไปตามธรรมชาติของพืชในวงศ์นี้) ต้นที่ 2 มีอายุยืนยาวต่ออีก 871-891 ต่อมาก็ถูกโค่นทำลายลงด้วยน้ำมือของพระเจ้าศศางกา ราชาฮินดู แห่งแคว้นเบงกอล ด้วยไม่ประสงค์จะให้พุทธศาสนิกชนได้มากราบไหว้บูชา เป็นการสกัดกั้นการเจริญเติบโตของศาสนาพุทธอย่างเข้มงวด แต่ยังมีกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง ที่ศรัทธาในพุทธศาสนา ได้ปลูกต้นโพธิ ต้นที่ 3 ขึ้นด้วยวิธีเดียวกับการปลูกต้นที่ 2 มีพระนามว่า ปูรณวรมา กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เมารยะ ต้นพระศรีมหาโพธิต้นที่ 3 อายุยืนยาวมานานถึง 1,250 ปี แล้วตายลงตามอายุไขของต้นไม้เอง สำหรับต้นที่ 4 ใช้เชื้อพันธุ์เดิมปลูก โดย นายพล เซอร์ อเล็กเซนเดอร์ คันนิงแฮม ข้าหลวงใหญ่ชาวอังกฤษ ที่ปกครองอินเดีย เมื่อปี พ.ศ. 2423 นับถึงปัจจุบันได้ 135 ปี พอดี

พระมหาโพธิเจดีย์ หรือ เจดีย์พุทธคยา สร้างขึ้นโดย พระเจ้าหุวัชกะ เพื่อเป็นพุทธบูชา เมื่อปี พ.ศ. 692 ตั้งตระหง่าน ประชิดอยู่กับต้นพระศรีมหาโพธิ เพื่อให้เป็นสถานที่สำหรับสักการะบูชาของพุทธศาสนิกชน เดิมทีน่าจะมีขนาดเล็กกว่าปัจจุบัน ต่อมามีการบูรณะซ่อมแซม และปรับปรุงใหม่ ตามที่เห็นในปัจจุบัน มีรูปทรงสี่เหลี่ยม สูง 40 เมตร วัดรอบฐานได้ 121 เมตร ภายในเจดีย์เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธเมตตา เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย แกะสลักด้วยหินแกรนิตสีดำ ลงรักปิดทองสีเหลืองอร่าม มีพระพักตร์อิ่มเอิบ สวยงาม เป็นสง่า อมยิ้มเล็กน้อย มีวงรัศมีสีทองเป็นวงกลม คล้ายดอกไม้ ยิ่งเน้นให้เห็นความงดงามยิ่งขององค์พระ หากผู้ใดมาประสบพบเห็น จะมีความสุขใจกันทุกคน แม้แต่ชาวฮินดูเองก็อดมิได้ที่จะเดินทางเข้ามากราบไหว้บูชา นับอายุแล้ว พระพุทธเมตตา สิริรวมอายุของท่านไม่น้อยกว่า 1,400 ปี พระพุทธเมตตาองค์นี้ เกือบถูกทุบทำลายจากน้ำมือของคนนอกศาสนา แต่ก็รอดพ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยผู้มีอำนาจ สั่งให้ขุนทหารมาทุบทำลาย ครั้นขุนทหารผู้นั้นได้เห็นพระพุทธรูปที่สวยงาม เป็นสง่าน่าเลื่อมใส เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ก็กลับทำร้ายไม่ลง แต่ครั้นจะไม่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เปลี่ยนแปลงไป ย่อมถูกผู้มีอำนาจลงโทษสถานหนักอย่างแน่นอน จึงออกอุบายให้ไพร่พลที่ไว้ใจได้ ก่อกำแพงกั้นไว้ พร้อมกับนำเทพที่ตนเคารพบูชามาประดับไว้ด้านหน้ากำแพง เพื่ออำพราง เพื่อภารกิจเสร็จสิ้นจึงกลับไปรายงานให้ผู้มีอำนาจได้ทราบ แต่ด้วยสำนึกผิดของท่านผู้มีอำนาจ เกรงกลัวต่อบาปที่กระทำลงไป ต่อมาไม่นานก็ได้สิ้นชีพลง จากนั้นชาวพุทธผู้เคารพศรัทธาพระพุทธเมตตา ต่างร่วมมือกันทุบกำแพงกั้นออก และนำเทพองค์นั้นไปสถิตไว้ในที่อันเหมาะสม พระพุทธเมตตาจึงกลับมาเป็นที่เคารพบูชาของพุทธศาสนิกชนเหมือนดั่งเดิม

พระแท่นวัชระอาสน์ รัฐบาลศรีลังกา ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลอินเดีย ให้สร้างคร่อมอาสนะเดิมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยประทับนั่งอยู่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ ทางทิศตะวันออก สร้างด้วยหินทราย เป็นรูปสี่เหลี่ยม มีลักษณะเป็นเก้าอี้ม้ายาวหินอ่อน สำหรับนั่งได้สัก 2 คน เห็นจะได้ ตลอดเวลาจะมีพุทธศาสนิกชนเดินทางมาจุดธูป เทียน และดอกไม้บูชาไม่ขาดสาย บริเวณโดยรอบพุทธคยา จะมีวัดนานาชาติสร้างไว้ เช่น วัดจีน ญี่ปุ่น ไทย เกาหลี ภูฏาน เนปาล พม่า และเวียดนาม พุทธคยาจึงมีทัศนียภาพที่ร่มรื่น งดงาม และปีติสุข

นางสุชาดา เป็นสตรีที่ถูกกล่าวขานเป็นอย่างมากในพระพุทธประวัติ นางเป็นธิดาของคหบดีผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง อาศัยอยู่ไม่ไกลจากพุทธคยานัก ในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 นางได้นำข้าวมธุปายาส ที่นางตั้งใจปรุงอย่างดี นำไปถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะพระองค์ประทับอยู่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ โดยเข้าใจว่า เป็นเทพยดาลงมาโปรด ด้วยรูปร่างของพระองค์งามสง่า พระพักตร์เปล่งปลั่ง ประดุจดังเทวาอารักษ์ หลังถวายข้าวมธุปายาส พร้อมถาดทองคำและฝาครอบแล้ว ได้กราบลาพระองค์กลับไป ในวันรุ่งขึ้นพระพุทธองค์ก็ได้ ตรัสรู้ หรือ รู้แจ้งเห็นจริงด้วยพระองค์เอง ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ นั่นเอง

ก่อนจบ มาทำความเข้าใจความหมายของคำว่า สังเวชนียสถาน กัน โดยพระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ เปรียบธรรม 9 ประโยค วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร คณะ 9 บางลำพู กรุงเทพฯ อธิบายว่า สังเวชนียสถาน หมายความว่า “สถานที่ให้ความรู้ ความเข้าใจ ตามความเป็นจริง” มิได้หมายถึง สถานที่สำหรับปลงสังเวชอย่างที่เข้าใจกันแต่อย่างใด สำหรับรายละเอียดของสังเวชนียสถานอีก 3 แห่ง โปรดติดตามต่อไป

ท่านที่สนใจ ต้องการไปแสวงบุญ และได้สัมผัสอินเดียแท้ๆ แบบสบายๆ แต่ได้ความรู้ ติดต่อที่ คุณพรพิมล โทร. (086) 832-2972 ได้ตลอดเวลา

สวัสดีครับ

หมอเกษตร ทองกวาว

11 วัน ในอินเดีย เสี้ยวหนึ่งที่ได้เห็นมา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05083150958&srcday=2015-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 607

หมอเกษตร ทองกวาว

ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ

11 วัน ในอินเดีย เสี้ยวหนึ่งที่ได้เห็นมา

ปักษ์นี้ ผมจะพาท่านไปเยือนอินเดีย ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อไปกราบสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง ด้วยระยะทางกว่า 2,500 ไมล์ ผ่านรัฐพิหาร และอุตตรประเทศ ข้ามพรมแดนเข้าไปยังประเทศเนปาล ผมต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการเดินทางไกลครั้งนี้ เป็นเวลา 2 ปี สิ่งที่ขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งคือ ข้อมูลรายละเอียดในแง่มุมต่างๆ ของอินเดีย เพื่อจะได้รู้จักอินเดียมากยิ่งขึ้น

มารู้จักอินเดียกันก่อน แรกเริ่มจากการกำเนิดอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ เมื่อ 2,000 ปี ก่อนปีพุทธศักราช ปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน กลุ่มชาติพันธุ์นี้ เรียกว่า ดราวิเดียน มีรูปร่างเล็ก ผิวดำ ผมหยิก จมูกแบน เรียกว่า มิละขะ มีการสร้างผังเมือง และระบบการระบายน้ำอย่างเป็นระบบ ต่อมาอีก 1,000 ปี ก่อนพุทธศักราช มี ชนเผ่าอารยัน ที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย บางตำราระบุว่าเป็นชาวกรีก มีรูปร่างใหญ่โต ผิวขาว จมูกโด่ง เรียกว่า อะริยะกะ รู้จักใช้ม้าในการขนส่งและทำสงคราม ใช้เหล็กกล้ามาทำอาวุธ เข้ายึดครองแล้วจับชนเผ่ามิละขะมาเป็นทาส ชนเผ่าอะริยะกะนี้ ให้ความสำคัญกับโค กระบือ โดยใช้เป็นเครื่องแสดงถึงความร่ำรวย มั่งคั่งของผู้คนในสังคม ซึ่งมีอิทธิพลทำให้โค และกระบือ เป็นสัตว์ที่มีไว้สำหรับเคารพบูชา และยังคงรักษาความเชื่อนี้ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

ความเจริญรุ่งเรืองของวัฒนธรรม เมื่อถึงจุดสูงสุดย่อมเสื่อมลงเป็นธรรมดา ประมาณปีพุทธศักราช 700 เศษ มีกลุ่มมุสลิมเติร์ก ที่เข้มแข็งในการทำศึกสงคราม เข้ามารุกราน ยึดครอง แล้วย้ายเมืองไปตั้งศูนย์กลางของอาณาจักรใหม่ขึ้นที่ เมืองเดลี ต่อมาขยายไปยังกรุงพาราณสี และพิหาร แล้วทำลาย มหาวิทยาลัยนาลันทา อันเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาจนเสียหายอย่างยับเยิน เติร์กกลุ่มนี้เข้าปกครองอินเดีย เป็นเวลา 184 ปี

จากนั้น มีมุสลิมกลุ่มใหม่เข้ามายึดครองแทนกลุ่มเดิม แล้วสถาปนาราชวงศ์โมกุล หรือ มองโกล ขึ้นมาใหม่ มีการสร้างสุเหร่า และพระราชวังที่ใหญ่โตสวยงาม ได้นำเอาวัฒนธรรมและความเชื่อของฮินดู และอิสลามมาผสมผสานกัน จนเกิดเป็นศาสนาซิกข์ ในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถลบความเป็นฮินดูออกไปจากอินเดียได้ ราชวงศ์โมกุล ปกครองอินเดีย เป็นเวลา 300 ปี

เข้าสู่ยุคการล่าเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจตะวันตก อังกฤษ เป็นประเทศที่แข็งแกร่งที่สุด เข้ายึดครองอินเดียได้เบ็ดเสร็จ แล้วสถาปนาสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรีย ขึ้นเป็นจักรพรรดินี แห่งอินเดีย พร้อมทั้งตั้งผู้สำเร็จราชการเมืองขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2413 การเข้ามาของอังกฤษ ก็เพื่อนำทรัพยากรของอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นแร่ธาตุต่างๆ รวมทั้งเกลือทะเล อัญมณี และสมุนไพร ส่งกลับไปบำรุงบำเรอประเทศแม่ โดยไม่หวั่นต่อความรู้สึกของเจ้าของประเทศแม้แต่น้อย การผลิตเกลือเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือน อังกฤษยังไม่ยอมให้ทำ จะอนุญาตให้ทำก็ต่อเมื่อจ่ายภาษีเกลือในอัตราแพงลิบลิ่ว ผลจากการกดขี่ชาวอินเดียจากอังกฤษ

มหาตมะ คานธี ได้ฉายแววเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดียปรากฏให้เห็น ท่านได้ต่อสู้แบบ อหิงสา เพื่อปลดปล่อยประเทศอินเดีย จากการยึดครองของอังกฤษ การต่อสู้อย่างทรหดอดทน ต่อเนื่องยาวนาน และยืดเยื้อ อังกฤษก็หลอกล่ออยู่ตลอดเวลา แม้ในสงครามโลก ครั้งที่ 2 อังกฤษต้องการกำลังพลจากอินเดียไปช่วยรบ ปรากฏว่า เยาวชนชาวอินเดียแย่งกันเข้ามาเป็นอาสาสมัครกันอย่างล้นหลาม เพราะหวังว่าอังกฤษจะเห็นใจ และให้เอกราชเร็วขึ้น แต่แล้วหลังสงครามสงบ อังกฤษก็เมินเฉย ชาวอินเดียต้องร่วมกับ ท่านมหาตมะ คานธี ดำเนินการต่อสู้ด้วยความอดทนต่อไปอีก จนในที่สุดอังกฤษต้องปลดปล่อยอินเดียให้เป็นอิสระ ด้วยผลจากการต่อสู้ของอินเดียเอง และสังคมโลกเข้ามาร่วมมีบทบาทในการกดดันรัฐบาลอังกฤษไปพร้อมกัน แล้วในปี พ.ศ. 2493 อินเดียจึงได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์ แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์ของอังกฤษ ได้ใช้กลยุทธ์ในการแบ่งแยกแล้วปกครอง ด้วยวิธีการยุแหย่ให้ชาวฮินดูกับมุสลิมทะเลาะกัน ส่งผลทำให้อินเดียต้องแบ่งออกเป็น 3 ประเทศ ในเวลาต่อมาคือ อินเดีย ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู 2. ปากีสถานตะวันตก ต่อมาเปลี่ยนเป็นปากีสถาน และ 3. ปากีสถานตะวันออก เปลี่ยนเป็น บังกลาเทศ 2 ประเทศหลัง ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ระหว่างการอพยพผู้คน ชาวฮินดูกลับอินเดีย ชาวมุสลิมอพยพไปยังปากีสถานและบังกลาเทศ เกิดการทำร้ายซึ่งกันและกัน มีบันทึกไว้ว่า มีผู้เสียชีวิตนับล้านคนตราบเท่าทุกวันนี้ อินเดียกับปากีสถาน ยังเกิดกรณีพิพาทกันอยู่เป็นประจำ

ย้อนมาเล่าเรื่อง ท่านมหาตมะ คานธี อีกครั้ง ด้วยท่านมีความตั้งใจและปรารถนาไม่ต้องการเห็นความแตกแยกของชาวฮินดู กับชาวมุสลิม แม้ตัวท่านเป็นฮินดูก็ตาม แต่ท่านก็ไม่เคยเอนเอียงมาทางฮินดูอย่างขาดเหตุและผล ท่านให้ความเท่าเทียมกันทั้ง 2 ฝ่าย ทำให้เยาวชนหัวรุนแรงโกรธแค้น ใช้อาวุธปืนยิงท่านมหาตมะ คานธี จนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ต่อมาฆาตกรถูกประหารชีวิตด้วยวิธีแขวนคอ

อินเดีย ยุคปัจจุบัน มีประชากร ประมาณ 1,200 ล้านคน นับเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากจีนนั้น ประชากร 72 เปอร์เซ็นต์ นับถือศาสนาฮินดู มองไปที่การเกษตรในระดับครัวเรือนของรัฐพิหาร และอุตตรประเทศ ก็น่าจะคล้ายกับรัฐอื่นๆ ชาวบ้านทั่วๆ ไป นิยมเลี้ยงโค กระบือ ไว้ในบริเวณบ้าน เพื่อใช้แรงงาน รีดนมมาบริโภค มูลสัตว์นำมาคลุกเคล้ากับหญ้า หรือฟางสับ แล้วปั้นเป็นแผ่นแปะตามฝาบ้าน หรือทำเป็นท่อน ตากแห้งเก็บไว้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับหุงต้มอาหารในครัวเรือน ช่างพอเพียงจริงๆ บริษัทขายแก๊สหุงต้มหมดโอกาสทำมาหากินกัน

สิ่งที่สะดุดตาของผู้พบเห็นอีกอย่างหนึ่งคือ อาคารบ้านเรือนในชนบท มักปลูกสร้างด้วยอิฐเปลือย หลังคาทำเป็นพื้นเรียบ ใช้เป็นลานตากข้าวและพืชผลทางการเกษตร มีเหล็กผูกเป็นโครงเสาไว้ เมื่อลูกหลานแต่งงานมีครอบครัว ก็จะต่อเติมเป็นชั้นๆ สูงขึ้นไปตามความเหมาะสม

รถตุ๊กตุ๊ก พบมากตามหัวเมืองใหญ่ๆ มีไว้บริการผู้คนเหมือนบ้านเรา มีคนเล่าว่า รถตุ๊กตุ๊กของอินเดีย ส่งออกไปยังประเทศอินโดนีเซียในแต่ละปีจำนวนไม่น้อย ความจริงแล้วอินโดนีเซียน่าจะนำเข้าจากไทยมากกว่า เพราะอยู่ใกล้กัน แต่ด้วยสาเหตุอันใดไม่ทราบได้ ที่ต้องนำเข้าจากอินเดียที่อยู่ห่างไกล

ขอทานรุ่นเยาว์ สร้างความรำคาญใจแก่แขกผู้มาเยือน โดยเฉพาะคนไทยใจดี หากสังเกตให้ดีจะพบว่า เด็กขอทานเหล่านี้ไม่ยากจนจริง ขอได้เท่าไรก็นำกลับไปให้พ่อแม่ที่บ้าน แต่ถ้าจะมองโลกในแง่ดี ก็ช่วยให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง คือทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับขอทานทั้งหลาย ที่พบได้ทุกหนแห่ง พวกเราจะได้รับเกียรติให้เป็นมหาราชา กับมหารานีถ้วนหน้า

ปักษ์นี้ขอจบเพียงนี้ก่อน โอกาสต่อไปผมจะพาท่านไปกราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ สังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง ในระยะทางไม่น้อยกว่า 2,500 ไมล์ โปรดติดตามครับ

(อ้างอิง จากหนังสือ ใหม่ทันสมัย ทวีปเอเชีย ศิริวรรณ คุมโห้, 2552. และ ประวัติศาสตร์อินเดีย อารยธรรมตะวันออก ที่ไม่มีวันล่มสลาย, 2554. วีระชัย โชคมุกดา)

ด้วยความนับถือ

หมอเกษตร ทองกวาว

สมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ ร่วมกับ Crop Life ASIA จัดสัมมนา ทิศทางพืช จีเอ็มโอ

น่าจะเปิดทางให้มีการทดสอบในประเทศไทย ในระดับไร่นาได้

เมื่อเร็วๆ นี้ มีผู้เข้าฟัง 200 คน นายวิชา ฐิติประเสริฐ (ที่ 3 จากซ้าย) อดีตผู้อำนวยการ สำนักควบคุมพืชและปัจจัยการเกษตร กรมวิชาการเกษตร เป็นผู้ดำเนินการอภิปรายเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ เคยูโฮม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน จตุจักร กรุงเทพฯ

หมอเกษตร ทองกวาว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05078010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606

หมอเกษตร ทองกวาว

ไทยยังครองความเป็นเจ้า

ในการส่งออกข้าวของโลก

เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ

ปัญหาเรื่องข้าว ยืดเยื้อมาเป็นเวลานานพอสมควร ทำให้ประชาชนอย่างผมเกิดความสับสน มึนงง ไม่รู้ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังอย่างไร ยิ่งเกิดปัญหาภัยแล้ง ยิ่งทำให้ผมหวั่นวิตกว่าจะบริโภคข้าวในราคาแพง หรืออาจจะหาซื้อได้ยากก็สุดแท้แต่ ผมจึงอยากทราบเรื่องเกี่ยวกับข้าวของไทย และของประเทศที่เกี่ยวข้องนั้นเป็นอย่างไร เพื่อจะได้เตรียมกายเตรียมใจไว้ให้พร้อม ผมจะติดตามอ่านคอลัมน์ของคุณหมอเกษตร ต่อไป ขอบคุณครับ

ด้วยความนับถืออย่างสูง

วิเศษ วงศ์สารวิทย์

เลขที่ 212/8 หมู่ที่ 11 ตำบลทับคล้อ อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร 66150

ตอบ คุณวิเศษ วงศ์สารวิทย์

ตามข้อมูลทางสถิติ รายงานโดยกระทรวงเกษตร ของสหรัฐอเมริกา ได้ประเมินสถานการณ์ไว้ว่า ณ เดือนเมษายน 2558 นี้ ปริมาณการผลิตข้าวของทั้งโลก อยู่ที่ 474 ล้านตันข้าวสาร หรือ 707 ล้านตันข้าวเปลือก ลดลงจากปีที่ผ่านมาเพียงเล็กน้อย โดยมีประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก มี จีน อินเดีย อินโดนีเซีย บังกลาเทศ เวียดนาม และไทย ผลิตได้ 144, 102, 36, 34, 28 และ 19 ล้านตันข้าวสาร ตามลำดับ

มีเรื่องน่าภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศมาเล่าให้ฟัง เมื่อสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร รายงานว่า ปี พ.ศ. 2557 ต่อเนื่องปี 2558 ณ เดือนเมษายน ที่ผ่านมาหมาดๆ ไทยเราส่งออกข้าวได้เป็น อันดับ 1 ของโลก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน สามารถชิงแชมป์ที่เคยเสียให้กับอินเดีย และเวียดนาม กลับคืนมา ปริมาณที่ส่งออก รวม 11 ล้านตันข้าวสาร ส่วน อินเดีย และเวียดนาม ส่งออกได้เพียง 9 และ 6.7 ล้านตัน เท่านั้น ต้องขอขอบคุณเกษตรกรผู้ยากไร้ นักวิชาการเกษตร ผู้ปิดทองหลังพระ และ ภาคเอกชนที่เข้มแข็ง ได้แสดงผลงานให้ได้ประจักษ์ แม้ว่าสถานการณ์การเมืองยังลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ก็ตาม ผมจึงขอคารวะท่านทั้งหลายไว้ ณ โอกาสนี้

สำหรับประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ มี จีน อิหร่าน ฟิลิปปินส์ สหภาพยุโรป และซาอุดีอาระเบีย ในปริมาณ 4.5, 1.7, 1.7, 1.5 และ 1.4 ล้านตันข้าวสาร ตามลำดับ เป็นที่น่าสังเกตว่า ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน นำเข้าข้าวมากถึง 4.5 ล้านตัน ทั้งนี้ ในรายงานไม่ได้ระบุว่าเป็นการซื้อด้วยเหตุผลทางการเมือง หรือผลิตไม่พอบริโภค จึงไม่ทราบได้ ส่วนอินโดนีเซีย ในอดีตเคยนำเข้าข้าวจากไทยปีละไม่น้อย ปัจจุบัน กลับผลิตได้พอเพียงบริโภคภายในประเทศแล้ว

การคาดการณ์การผลิตข้าวนาปี ในปี พ.ศ. 2558 ต่อเนื่องปี พ.ศ. 2559 พื้นที่การทำนาของไทยจะลดลง เนื่องจากผลกระทบของภาวะภัยแล้ง ประกอบกับราคาข้าวมีแนวโน้มอ่อนตัวลง ทำให้เกษตรกรหันไปปลูกพืชชนิดอื่นทดแทน นอกจากนี้แล้วผลกระทบดังกล่าวยังอาจส่งผลให้ผลผลิตต่อไร่ลดต่ำลงไปด้วย

กลับมาดูราคาขายได้ของเกษตรกรกันบ้าง ในช่วงเดียวกัน ข้าวเปลือกหอมมะลิใหม่นาปี ราคาเฉลี่ย ตันละ 13,993 บาท และข้าวเปลือกเจ้า ความชื้น 15 เปอร์เซ็นต์ ราคาตันละ 7,603 บาท ส่วนราคาที่ตลาดกรุงเทพฯ ข้าวสารหอมมะลิใหม่ ชั้น 2 ราคาตันละ 27,373 บาท และข้าวสาร 5 เปอร์เซ็นต์ใหม่ ราคาตันละ 11,617 บาท โดยลดลงจากเดือนมีนาคมเล็กน้อย

เนื่องจากปีนี้เกิดภาวะฝนแล้ง น้ำท่วม เกือบทั่วทุกมุมโลก ทำความเสียหายให้กับภาคการเกษตรกันอย่างถ้วนหน้า จึงเป็นโอกาสทองของไทยที่การส่งออกข้าวน่าจะสดใสมากขึ้น ขอวิงวอนผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย โปรดร่วมมือกันผลักดันการส่งออกข้าวให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อันจะเกิดประโยชน์กับเกษตรกร นักธุรกิจ และประเทศชาติโดยรวม

อยากให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรฯ แจ้งด้วยว่า ข้าวที่ค้างอยู่ในสต๊อก ที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าว เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้ว เกิดความเสียหายเท่าไรกันแน่ คนไทยจะได้รับทราบไปพร้อมๆ กัน เราขอขอบคุณเป็นอย่างสูง

เทคนิคการบังคับให้องุ่นออกดอก ติดผล ต้องตัดแต่งกิ่งให้โกร๋น

เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ

ผมซื้อกิ่งองุ่นมาปลูกไว้ในกระถางที่บ้านหลายต้น มีปลูกลงดิน 2-3 ต้น ผมบำรุงต้นอย่างดี ทั้งการใส่ปุ๋ยและให้น้ำ ผมทำอย่างสม่ำเสมอ ต้นเติบโตสวยงามดี เถาเลื้อยไปตามค้างดูเป็นปกติ แต่ผลที่ได้ปรากฏว่า ไม่ยอมออกดอก ออกผลให้ได้ชม หรือชิมแม้แต่ผลเดียว ครั้นจะควั่นที่โคนต้นก็เกรงว่าจะตายเสียก่อน ผมจึงเขียน จ.ม. มาเรียนถามหมอเกษตรว่า ผมควรจะทำอย่างไร ขอคำแนะนำด้วยครับ

ด้วยความเคารพ

สมชัย โภคทรัพย์ไพบูลย์

เลขที่ 42/8 ซอยสุขฤทัย ถนนพหลโยธิน หมู่ที่ 12 ตำบลโคกสำโรง อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี 15120

องุ่น มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตหนาว เมื่อย่างเข้าฤดูหนาวเป็นระยะพักตัว จะทิ้งใบหมดทั้งต้น การนำมาปลูกในเขตร้อน วัยหนุ่มสาวขององุ่น จะต้องตัดแต่งให้โกร๋น หรือที่ฝรั่งใช้คำว่า ฮาร์ท พรุนนิ่ง ทั้งนี้ ก่อนตัดแต่งกิ่งให้โกร๋น จะต้องงดให้น้ำเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เตือนให้ต้นองุ่นเตรียมตัวเข้าสู่ระยะพักตัว พันธุ์คาร์ดินัล ตัดเมื่ออายุ 9-10 เดือน แต่ละกิ่งสาขาเหลือความยาวไว้ด้วยวิธีนับตา คล้ายๆ ปล้องอ้อย 3-4 ตา ส่วน พันธุ์ไวท์มะละกา ตัดเมื่ออายุ 10-12 เดือน เหลือความยาวกิ่งไว้ ด้วยวิธีเดียวกัน คือเหลือตาไว้ 5-6 ตา แล้วนำกิ่งที่ตัดออกไปเผาทำลายให้หมด ป้องกันการสะสมโรคและแมลงศัตรู อย่าลืมทารอยแผลด้วยปูนขาว หรือปูนแดง ป้องกันการคายน้ำ และการเข้าทำลายของโรค หมั่นรดน้ำพอชุ่ม อย่าให้แฉะ อีกประมาณ 2 สัปดาห์ องุ่นจะแตกกิ่งใหม่และใบอ่อน การแตกใบอ่อน มี 2 แบบ คือ แตกออกมาเฉพาะใบอย่างเดียว กับแตกใบออกมาพร้อมกับช่อดอกอ่อน ที่บริเวณโคนก้านใบกับกิ่ง ต่อมาอีก 15 วัน ดอกเริ่มบาน ใช้เวลาเพียง 2 วัน ดอกบาน 100 เปอร์เซ็นต์ จากโคนช่อไปยังส่วนปลาย กิ่งที่ชี้ขึ้นหรือปักลง จับผูกกับค้างให้อยู่ในแนวราบจนสวยงาม ช่อไม่สมบูรณ์ต้องตัดทิ้งไป แต่ให้ช่อห้อยลง ระยะที่ติดผลขนาดเท่าหัวไม้ขีด ให้บังคับด้วยฮอร์โมน จิบเบอเรลลิน ตามอัตราแนะนำข้างฉลาก เพื่อยืดช่อให้ยาวขึ้น ผลไม่อัดกันแน่นเกินไป ประหยัดแรงงานกว่าตัดแต่งด้วยมือ ดูสวยงาม ขายได้ราคา วิธีใช้ฮอร์โมน ให้ใส่สารละลายลงในถ้วยแก้ว หรือถ้วยพลาสติก บรรจงถือด้วยฮอร์โมนไว้ใต้ช่อ แล้วยกระดับขึ้นอย่างช้าๆ จนช่อองุ่นจุ่มลงในฮอร์โมนทั้งช่อชั่วอึดใจ แล้วย้ายไปทำกับช่ออื่นจนครบ และทำซ้ำอีกครั้งหลังจากนี้อีก 1 สัปดาห์ ทำได้ดังนี้ คุณจะได้ผลองุ่นที่สมบูรณ์ตามความประสงค์อย่างแน่นอนครับ

การขยายพันธุ์สตรอเบอรี่ เขาทำกันอย่างไร

เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ

ผมซื้อที่ดินไว้ที่ภาคเหนือ สนใจอยากปลูกสตรอเบอรี่ แต่บางช่วงหาซื้อต้นพันธุ์ได้ยาก และมีราคาแพง ผมจึงเรียนถามคุณหมอเกษตรว่า วิธีขยายพันธุ์สตรอเบอรี่นั้นทำอย่างไร ผมหวังว่าจะได้รับคำแนะนำจากคุณหมอเกษตรเป็นอย่างดี แล้วผมจะติดตามอ่านคำตอบในนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน

ขอแสดงความนับถือ

ณรงค์ศักดิ์ อิสระวงศ์ภักดี

เลขที่ 352/3 หมู่ที่ 4 ถนนประชาอุทิศ แขวงราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ 10140

ตอบ คุณณรงค์ศักดิ์ อิสระวงศ์ภักดี

วิธีขยายพันธุ์สตรอเบอรี่ นิยมใช้การแยกไหล ซึ่ง ไหลเป็นอวัยวะที่ใช้สำหรับขยายพันธุ์ เช่นเดียวกับไหลของบัว ต้นหรือกอที่สมบูรณ์เต็มที่ จะแตกไหลออกเป็นสาย แพร่กระจายรอบทิศ โดยเฉพาะบริเวณที่ดินมีความชื้น และมีความอุดมสมบูรณ์สูง เมื่อไหลแตกออกและไปสัมผัส มันจะแตกเป็นต้นอ่อนได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉลี่ย ต้นแม่ 1 กอ มีความสามารถให้ไหลได้ 15-20 สาย แต่ละสายให้ต้นอ่อน 10 ต้น การขยายพันธุ์ เริ่มตั้งแต่นำต้นแม่ที่สมบูรณ์ ไม่นำมาจากแหล่งที่มีโรคและแมลงเคยระบาด เลือกพื้นที่ลาดเอียงเล็กน้อย ต้องอยู่ในบริเวณอากาศหนาวเย็น หรือบนที่สูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 1,000 เมตร ขึ้นไป มีน้ำพอเพียงตลอดฤดูการผลิตไหล ช่วงขยายพันธุ์ควรเริ่มในเดือนพฤษภาคม ปลูกแบบยกร่องแคบๆ สูงจากระดับพื้นดิน 15-20 เซนติเมตร แต่ละแปลงห่างกัน 1 เมตร และระหว่างต้น ห่าง 70-80 เซนติเมตร ปลูกลงแปลงแล้วหมั่นดูแลให้น้ำและปุ๋ย เลี้ยงให้แตกกอออกมา 4-5 ต้น ระยะแรก หากแตกไหลออกมาให้ตัดทิ้งจนกว่าจะถึงเดือนกรกฎาคม จึงปล่อยให้ต้นแม่ผลิตไหลออกมาอย่างอิสระ เมื่อไหลแก่เต็มที่ใช้เวลาไม่นานจะเกิดตุ่ม ต่อมาพัฒนาเป็นรากและต้นอ่อนที่สมบูรณ์ ตามสายของไหลที่เลื้อยไปตามพื้นดินเป็นช่วงๆ คล้ายกับข้ออ้อย แต่ละช่วงห่างกัน 10-15 เซนติเมตร ให้นำถุงเพาะชำ ขนาด 3×5 นิ้ว บรรจุด้วยวัสดุปลูกที่สะอาด และร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี วางไว้ใต้ตำแหน่งของต้นอ่อนที่เกิดจากไหลที่มีอยู่หลายต้นใน 1 สาย แต่ควรเลือกต้นที่ 2-5 จะได้ต้นแข็งแรงที่สุด ใช้ลวดหรือไม้ไผ่ดัดให้เป็นง่าม กดยึด บังคับให้ต้นอ่อนสัมผัสกับวัสดุปลูกให้แน่น ในไม่ช้ารากของต้นอ่อนจะแทงลงไปหากินในวัสดุปลูก และเติบโตเป็นต้นสมบูรณ์ ย่างเข้าเดือนสิงหาคม ต่อเนื่องถึงเดือนกันยายน ให้ตัดสายไหลที่โยงกันให้ขาดออก จะได้ต้นอ่อนในถุงเพาะชำเป็นต้นเดี่ยวๆ นำมาเลี้ยงต่อในเรือนเพาะชำจนแข็งแรงดี ใช้เป็นต้นกล้าปลูกลงแปลงในเดือนตุลาคม ได้ทันฤดูกาลปลูกพอดี

พุทธเกษตรนั้น เขาทำกันอย่างไร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05083150858&srcday=2015-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 605

หมอเกษตร ทองกวาว

พุทธเกษตรนั้น เขาทำกันอย่างไร

เรียน คุณพานิชย์ ยศปัญญา

อ่านเทคโนโลยีชาวบ้านมาเรื่อยๆ ชอบมาก ไม่มีเหล้า การพนัน วัวชน ไก่ชน ให้ใจขุ่น จะรับกับทางร้านไปเรื่อยๆ ให้นานที่สุด เท่าที่จะนานได้

ชอบคอลัมน์บันทึกไว้เป็นเกียรติมาก ได้อะไรใหม่ๆ

วันดีคืนดี ช่วยถ่ายภาพสวน ที่ ยุคล จิตสำรวย จัดให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย ทุกมุมสวน ล้วนมีเรื่องราว ไงคะ

คอลัมน์อื่นๆ ก็สนใจทุกคอลัมน์ ถ้าเรื่องมันใกล้ตัวก็อ่านก่อน อย่าง เขียว สวย หอม กินได้ เกษตรในเมือง คนรักผัก เกษตรอินทรีย์และวิถีสุขภาพ ก็อ่านทุกครั้ง ส่วนอื่นๆ ก็เหมือนกัน

หนังสือนั้น พออ่านจบ ก็เก็บรวบรวมไว้ไปบริจาคให้โรงเรียนใกล้บ้าน ถามเขาว่าเด็กอ่านไหม เขาว่าอ่าน เคยนำไปวางศาลา อสม. หน้าวัด ไม่ค่อยเห็นใครอ่าน มีคนอ่านแต่หนังสือพิมพ์เท่านั้น เลยคิดว่าให้เด็กดีกว่า

ตอนนี้เริ่มเบื่อที่จะอ่านหนังสือ ดูแลต้นไม้ให้มากขึ้น

ตอนนี้ หนอนอ้วน ชวนรู้ หายไปไหน มาช่วยแยกขยะให้ที อันไหนรีไซเคิลได้ อันไหนมาจากยางพารา อันไหนมาจากน้ำมัน ช่วยแนะนำให้ด้วย รู้สึกว่าจะเน้นชีวิตพอเพียงมากนะคะ แต่ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไม ขโมยมันถึงเยอะ ที่หมู่บ้านที่อยู่ มีคนเล่าให้ฟัง มีบ่อยเกินไป ทั้งที่เคยเป็นหมู่บ้านฐานะปานกลาง ตอนนี้ไปไหน ห่วงบ้าน มีแต่คนเฝ้าบ้าน (เข้าใจเอาเอง) ที่บ้านของก็หาย ต้องปิดประตูบ้าน ทำไมไม่พอเพียง อย่างงี้จะสรุปว่าสงบได้อย่างไร

ด้วยความนับถือ

หล้า

เชียงใหม่

ป.ล. อยากถามเรื่องต่อไปนี้

– กองทัพพระกรรมฐาน

– พระของประชาชน

– พุทธเกษตร (ถ้าจำไม่ผิด คนทำเป็นชาวพัทลุง)

ตอบ คุณหล้า เชียงใหม่

ผมได้รับมอบหมายจาก คุณพานิชย์ ยศปัญญา บรรณาธิการนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน ให้ตอบจดหมายคุณหล้าแทน ผมขออนุญาตตอบเฉพาะพุทธเกษตรเท่านั้น

พุทธเกษตร หรือบางท่านใช้ พุทธเกษตรกรรม ผู้ที่นำเสนอแนวคิดนี้สู่สาธารณะ คือ นายแพทย์ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 ต่อมา นายฉลวย แก้วคง ได้นำไปปฏิบัติ ทำให้สังคมรู้จักมากขึ้น ปรัชญาของพุทธเกษตร คือความเชื่อมโยงระหว่างธรรมชาติ กับระบบการผลิตอาหาร และมนุษย์เรา โดยยึดหลักการสำคัญ 2 ประการ คือ

1. ในโลกนี้ประกอบไปด้วย พระทั้ง 3 มีพระแม่ธรณี ให้แผ่นดินเป็นที่อยู่อาศัยและใช้เพาะปลูก พระแม่คงคา สำหรับอุปโภคบริโภคและการเกษตร และพระแม่โพสพ เป็นอาหารหลักของมวลมนุษย์ โดยต้องจัดการทั้ง 3 พระแม่ อยู่ในจุดที่สมดุลระหว่างกัน และ

2. ทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่ในเรือกสวนไร่นา ล้วนประกอบไปด้วย ธาตุ 4 มี ดิน น้ำ ลม และไฟ พื้นดินใช้ปลูกต้นไม้สำหรับเป็นอาหาร ปลูกสร้างที่อยู่อาศัย และเชื้อเพลิง น้ำ ใช้ในการอุปโภคบริโภค การเกษตรและประมง ลม หมายถึง อากาศที่พัดผ่านช่องว่างระหว่างแนวต้นไม้ เพื่อถ่ายเทความร้อน และลดความชื้น ป้องกันการระบาดของโรคศัตรูพืช ที่สำคัญเป็นการเคลื่อนย้ายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาให้ต้นไม้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสังเคราะห์แสง และ ไฟ หมายถึง แสงแดดให้ความอบอุ่น ใช้ตากแห้ง ฆ่าเชื้อโรค รวมทั้งเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการสังเคราะห์แสงของต้นไม้ไม่แพ้น้ำเลยทีเดียว

ต้องการสัมผัสของจริง ติดต่อสอบถามได้ที่ จังหวัดชุมพรครับ

ต้นปทุมา เน่าตาย จะแก้ไขอย่างไร

เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ

ผมชอบปลูกต้นไม้ประเภทไม้ดอกไม้ประดับ โดยเฉพาะปทุมา เป็นไม้มีเสน่ห์ ปลูกก็ไม่ยาก แม้จะออกดอกเพียงปีละครั้งก็คุ้มแล้ว ผมปลูกทั้งในวงบ่อซีเมนต์และในแปลงเล็กๆ หน้าบ้าน ปลูกติดต่อกันมาหลายปี โดยเก็บหัวพันธุ์ไว้เอง ตอนนี้มีปัญหา พบมีโรคระบาดที่โคนต้นและหน่ออ่อนฉ่ำน้ำ เป็นจุด และขยายใหญ่ขึ้น ใบหักพับลง และแห้งตายในที่สุด ผมจะแก้ไขอย่างไร คุณหมอเกษตรโปรดแนะนำด้วยครับ

ด้วยความนับถืออย่างสูง

ทรงวุฒิ วงศ์ปกาศิต

เลขที่ 21/8 หมู่ที่ 12 ตำบลพระแท่น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี 71130

ตอบ คุณทรงวุฒิ วงศ์ปกาศิต

อาการของโรคที่เล่ามา เรียกว่า โรคเหี่ยว หรือ โรคหัวเน่า เกิดจากการเข้าทำลายของเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง การระบาดรุนแรง มักเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน มีฝนตกชุก ดินระบายน้ำได้ไม่ดี เกิดสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยให้โรคเข้าทำลายได้ดีขึ้น วิธีป้องกันและจำกัด เริ่มจากเลือกพื้นที่ที่ไม่เคยปลูกพืชตระกูล มะเขือ พริก ยาสูบ ขิง ข่า ทานตะวัน งา และมันฝรั่ง มาก่อน ไถตากดินล่วงหน้าก่อนปลูกปทุมา อย่างน้อย 1 เดือน นำหัวพันธุ์ที่แข็งแรงปราศจากโรคแมลงศัตรูติดมาด้วย หากพบต้นเป็นโรค ให้ถอนขึ้นนำไปเผาทำลาย หว่านปูนขาวฆ่าเชื้อลงที่หลุมปลูกทิ้งไว้ ไม่ต้องปลูกซ่อม การเข้าแปลงปลูกหรือโรงเรือน ต้องทำความสะอาดพื้นรองเท้าด้วยสารละลายโซเดียมไฮโปคลอไรท์หรือคลอรอกซ์เจือจางทุกครั้ง ระวังอย่าทำให้เกิดรอยแผลช้ำส่วนใดส่วนหนึ่งของต้นปทุมา เพราะเชื้อโรคจะเข้าทำลายได้ง่ายขึ้น น้ำที่ใช้รดหากไม่แน่ใจว่าสะอาดพอ ต้องบำบัดน้ำด้วยคลอรีน อัตรา 5 กรัม ต่อน้ำ 200 ลิตร ทิ้งไว้ 1 คืน ก่อนนำไปรดต้นปทุมา

เมื่อปฏิบัติได้ตามคำแนะนำข้างต้นแล้ว ปทุมาที่คุณปลูกไว้จะไม่มีโรคเข้ามารบกวน และออกดอกให้ชื่นชมเหมือนกับระยะแรกที่ปลูก

มะนาวทุกพันธุ์ มีจุดเด่นและจุดด้อย

ในตัวของมันเอง

เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ

ผมสนใจอยากปลูกมะนาวไว้บริโภคในครอบครัว แรกๆ จะลองปลูกในกระถางก่อน ผมควรจะปลูกพันธุ์อะไรดี เพื่อนบางคนแนะนำให้ปลูกพันธุ์พิจิตร 1 แต่บางคนบอกว่า ปลูกพันธุ์ตาฮิติ ดีกว่า ผมเกิดความไม่แน่ใจ จึงเขียน จ.ม. มาเรียนถามคุณหมอเกษตร ว่าผมควรจะปลูกพันธุ์อะไร ช่วยกรุณาแนะนำด้วยครับ

ขอแสดงความนับถือ

ทรงวิทย์ ทองอุปถัมภ์

เลขที่ 15/4 หมู่ที่ 8 ตำบลท่าเสา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ 53001

ตอบ คุณทรงวิทย์ ทองอุปถัมภ์

มะนาวทุกพันธุ์ มีจุดเด่นและจุดด้อยอยู่ในตัวมันเองเกือบทุกพันธุ์ ในจดหมายฉบับนี้ คุณทรงวิทย์ ทองอุปถัมภ์ ถามมาเพียง 2 พันธุ์ เท่านั้น ผมก็ขอจำกัดเขตไว้เพียง 2 พันธุ์ เช่นเดียวกัน เริ่มที่ พันธุ์พิจิตร 1 ปีนี้มะนาวพันธุ์นี้ได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น ประจำปี 2558 จากสมาคมปรับปรุงพันธุ์และขยายพันธุ์พืชแห่งประเทศไทย นั่นย่อมแสดงว่า เป็นมะนาวพันธุ์ดีอีกพันธุ์หนึ่งของประเทศไทย จุดเด่นของพันธุ์พิจิตร 1 หรือทั่วไปนิยมเรียกว่าพันธุ์แป้นพิจิตร คือต้านทานต่อโรคขี้กราก หรือแคงเกอร์ได้อย่างดีเยี่ยม การขยายพันธุ์ก็ทำได้ง่ายด้วยวิธีตอนกิ่ง ระบบรากแข็งแรง ให้ผลดกตลอดปี และที่สำคัญสามารถบังคับให้ออกผลนอกฤดูได้ง่าย ส่วนจุดด้อย มะนาวพันธุ์พิจิตร 1 เป็นพันธุ์หนัก ต้องเก็บเกี่ยวผลเมื่อมีอายุครบ 6 เดือน หลังดอกบานแล้ว ส่วนมะนาวพันธุ์อื่นๆ เก็บเกี่ยวได้ภายใน 4 เดือน หากเก็บเกี่ยวตามกำหนดเวลา ผลจะใหญ่ขึ้น เปลือกบางลง น้ำมากขึ้น และกลิ่นจะหอมขึ้นตามไปด้วย เมื่อ 2 ปีก่อน เจ๊เล็ก ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการธุรกิจมะนาวไทย ยกให้มะนาวพันธุ์พิจิตร 1 ว่าเป็นนางเอกประจำปีเลยทีเดียว กลับมาที่พันธุ์ตาฮิติ บางคนเรียกว่าพันธุ์ทูลเกล้า มีข้อดี ผลโต ติดผลค่อนข้างดก เปลือกบาง ไม่มีเมล็ดเลย ให้น้ำมากและกลิ่นหอม ความสามารถทนโรคแคงเกอร์อยู่ในระดับใกล้เคียงกับพันธุ์พิจิตร 1 แม้จะมีข้อดีอยู่มาก แต่ข้อด้อยก็ยังมีอยู่ การขยายพันธุ์โดยวิธีตอน ออกรากช้า และระบบรากไม่ค่อยแข็งแรง ทำให้การเจริญเติบโตระยะแรกๆ ช้าไปด้วย และที่สำคัญ หากควบคุมแมลงศัตรูไม่ทัน ใบจะม้วนงอหงิก ทำให้ประสิทธิภาพของการสังเคราะห์แสงลดลง ผลผลิตย่อมต่ำลงไปด้วย

มีเกษตรกรชาวสวนมะนาวหลายท่านให้ข้อคิดไว้ว่า ในฤดูปกติ ให้เลือก ตาฮิติ แต่ถ้านอกฤดูแล้ว ต้องยกให้ พิจิตร 1