ชูเมืองชุมแพต้นแบบเศรษฐกิจฐานราก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/223207

หลากมิติเวทีทัศน์,สิ่งแวดล้อม,เมืองชุมแพ,เศรษฐกิจ,ฐานราก,ต้นแบบ,ชุมชนเข้มแข็ง

การศึกษา-สาธารณสุข  :  28 ก.พ. 2559

ชูเมืองชุมแพต้นแบบเศรษฐกิจฐานราก

หลากมิติเวทีทัศน์ : ชูเมืองชุมแพต้นแบบเศรษฐกิจฐานราก ‘ชุมชนเข้มแข็ง กินอิ่ม นอนอุ่น ทุนมี หนี้ลด’ : โดย…พนากิจ มูลเมือง

                      “ตาผุยชุมแพ” อาจจะเป็นชื่อที่คุ้นหูของคอเพลงเพื่อชีวิตเมื่อราว 20 ปีก่อน หรือหากเป็นคอหนังไทยแนวบู๊ประเภท “ระเบิดภูเขา เผากระท่อม” ก็ต้องเคยดูหนังเรื่อง “ชุมแพ”
                      แต่ “ชุมแพ” จ.ขอนแก่น ในวันนี้ไม่มีภาพของบ้านป่าเมืองเถื่อนอีกแล้ว เพราะชาวชุมแพในวันนี้ได้ช่วยกันสร้างบ้านแปงเมืองและพัฒนาชุมชน จนกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยและเศรษฐกิจชุมชน อาทิ การสร้างบ้านมั่นคงของชาวชุมชนในเขตเทศบาล 13 ชุมชน กว่า 900 หลัง การระดมทุนซื้อที่ดินเพื่อทำนารวมในเนื้อที่ 38 ไร่ การสร้างโรงงานผลิตน้ำดื่มของชุมชนที่มียอดขายเดือนละ 2.5 แสนบาท ฯลฯ จนทำให้คนระดับรัฐมนตรีต้องนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ เพื่อมาเยี่ยมชมความสำเร็จของชาวชุมแพในวันนี้
                      ป้าสนอง รวยสูงเนิน หญิงแกร่งแห่งเมืองชุมแพ อายุ 60 ปี เล่าว่า เดิมครอบครัวมีรกรากและที่นาอยู่ที่ จ.ชัยภูมิ แต่ทนความแห้งแล้งและยากจนไม่ไหวในปี 2519 จึงบากหน้ามาหากินที่ชุมแพ เพราะเป็นเมืองใหญ่ ตอนแรกก็บุกรุกที่หลวงปลูกบ้านหลังเล็กๆ ต่อมาเทศบาลได้มาขับไล่ จึงไปอาศัยห้องเช่าเล็กๆ ที่อุดอู้เพราะไม่มีหน้าต่างเป็นที่ซุกหัวนอน ค่าเช่าเดือนละ 600 บาท แล้วเอาทุนรอนที่มีติดตัวอยู่ไม่มากมาซื้อผักซื้อปลาจากชาวบ้านแล้วเอาไปขายในตลาดสด
                      ทำอย่างนี้อยู่หลายปี จนมีครอบครัวมีลูกเต้า จึงต้องขยับขยายจากห้องเช่ามาเป็นบ้านเช่าที่ใหญ่กว่าเดิม แต่ก็ยังเช่าคนอื่นอยู่เพราะไม่มีเงินเก็บพอจะหาซื้อบ้าน จะกู้ธนาคาร คนจนอย่างแกใครเขาจะเห็นหัว ครั้งสุดท้ายที่เช่าบ้านราคาค่าเช่าก็ขยับขึ้นไปถึงเดือนละ 3,000 บาทแล้ว
                      “พอช่วงปี 2546 ตอนนั้นรัฐบาลเปิดให้มีการลงทะเบียนคนจน ป้าและเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ในชุมแพก็ไปลงทะเบียน บอกเล่าปัญหาความเดือดร้อน ความต้องการ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องบ้านนี่แหละ เพราะต้องเช่าเขาอยู่ บางครอบครัวไม่มีค่าเช่าก็ต้องบุกรุกที่ดินหลวงปลูกบ้านหลังเล็กๆ อยู่ ไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า ต้องต่อพ่วงมาใช้แพงกว่าคนอื่น จึงอยากจะได้บ้านเป็นของตัวเองสักหลัง เพื่อจะได้มีที่ซุกหัวนอน ลูกหลานจะได้มีที่เรียนเป็นหลักเป็นแหล่ง ไม่ต้องย้ายโรงเรียนตามบ้าน”  ป้าสนองย้อนอดีต
                      จากปัญหาความเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยของคนยากคนจนแบบป้าสนองที่มีอยู่ทั่วประเทศ รัฐบาลในเวลานั้นจึงมีนโยบาย “บ้านมั่นคง” โดยให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ “พอช.” ดำเนินโครงการนี้ทั่วประเทศ หลักการสำคัญก็คือ ให้ชาวบ้านที่เดือดร้อนมารวมกลุ่มกันแก้ไขปัญหา มีการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นทุนในการสร้างบ้าน โดยมีสถาปนิกชุมชนจาก พอช.มาร่วมออกแบบบ้านกับชาวบ้าน จัดหาที่ดินเช่าระยะยาวหรือซื้อใหม่ หลังจากนั้นจึงนำมาสู่การเสนอโครงการบ้านมั่นคงเพื่อขอใช้สินเชื่อระยะยาว ดอกเบี้ยต่ำจาก พอช. แล้วจึงเริ่มก่อสร้างบ้านใหม่
                      เมื่อต้นปี 2547 ป้าสนอง จึงเป็นแกนนำรวบรวมชาวบ้าน 30 ครอบครัว จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ขึ้นมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการบ้านมั่นคง แล้วไปเจรจากับเทศบาลเมืองชุมแพเพื่อขอเช่าที่ดิน ซึ่งทางเทศบาลก็ให้การสนับสนุนชาวบ้าน โดยการแบ่งพื้นที่โรงฆ่าสัตว์ของเทศบาลซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุให้ชาวบ้านเช่าจำนวน 3 ไร่เศษ ระยะเวลา 30 ปี ในอัตราตารางวาละ 50 สตางค์ต่อเดือน พอถึงปี 2548 จึงเริ่มก่อสร้างบ้านเฟสแรก 30 หลัง ขนาด 20 ตารางวา โดยกู้เงินจาก พอช.ประมาณหลังละ 1.5 แสนบาท ผ่อนชำระคืน 15 ปี ดอกเบี้ยร้อยละ 4 บาทต่อปี ในปีถัดมาบ้านหลังใหม่ในฝันของป้าสนองและเพื่อนบ้านก็เป็นความจริง และเพื่อความเป็นสิริมงคล ชาวบ้านจึงร่วมกันตั้งชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ว่า “บ้านมั่นคงร่มเย็น”
                      ไม่เพียงแต่บ้านมั่นคงร่มเย็นของป้าสนองและเพื่อนๆ เท่านั้น ในเวลาเดียวกันคนยากคนจนในเมืองชุมแพซึ่งส่วนใหญ่มีความเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัยหรืออยู่ในที่ดินบุกรุก ไม่รู้ว่าจะโดนขับไล่ในวันไหน ได้ร่วมกันจัดทำโครงการบ้านมั่นคงขึ้นมา โดยมี “ป้าสนอง” เป็นกำลังสำคัญ ซึ่งจากการสำรวจในเวลานั้น มีผู้เดือดร้อนทั้งสิ้นจำนวน 1,076 ครัวเรือน จำนวน 18 ชุมชน
                      หลังจากนั้นชุมชนที่มีความพร้อม จึงเริ่มทยอยสร้างบ้านมั่นคงขึ้นมา โดยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทางเทศบาล เช่น สนับสนุนด้านสาธารณูปโภค บุคลากร และงบประมาณ จนถึงวันนี้เวลาผ่านไป 10 ปีเศษ ในเขตเทศบาลเมืองชุมแพมีชุมชนเข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคงแล้ว รวม 13 ชุมชน สร้างบ้านเสร็จไปแล้วจำนวน 920 หลัง
                      “อีก 2-3 ปีป้าก็จะผ่อนบ้านหมดแล้ว ป้าดีใจที่คนยากคนจนได้มีบ้านเป็นของตัวเอง ไม่ต้องบุกรุกหรือเช่าคนอื่นอยู่ตลอดชีวิต แต่การทำเรื่องที่อยู่อาศัยก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะการทำงานเรื่องบ้านมั่นคงเป็นงานละเอียด ต้องทำงานกับคนจน ต้องสร้างความเข้าใจเรื่องการออมเงิน ทำให้พี่น้องเห็นว่าการออมเงินจะไม่สูญเปล่า เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ของคนจนมีความหมาย การทำงานและการบริหารจัดการของคณะกรรมการต้องชัดเจน โปร่งใส ทำให้ชาวบ้านเชื่อถือ ที่สำคัญชาวบ้านจะต้องสร้างทุนของตัวเอง ไม่หวังทุนจากภายนอกเพียงอย่างเดียว”  ป้าสนอง ในฐานะประธานเครือข่ายบ้านมั่นคงเมืองชุมแพบอก
                      จากโครงการบ้านมั่นคง ในปี 2550 ป้าสนองและชาวชุมชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพรวม 13 ชุมชนได้ร่วมกันก่อตั้ง “กองทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยเมืองชุมแพ” โดยให้ชาวบ้านเข้าร่วมเป็นสมาชิกและสมทบเงินเข้ากองทุนทุกเดือน แล้วนำเงินกองทุนให้สมาชิกกู้ยืมหมุนเวียนเพื่อประกอบอาชีพ ปลดหนี้นอกระบบ ซ่อมแซมบ้าน เพื่อการศึกษา ฯลฯ วงเงินไม่เกิน 5 เท่าของหุ้นสะสมที่สมาชิกมีอยู่ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6 บาทต่อปี ส่วนผลกำไรก็จะกลับคืนมาช่วยเหลือสมาชิก ปัจจุบันมีเงินกองทุนรวมประมาณ 37 ล้านบาท ทั้งนี้เทศบาลเมืองชุมแพ ได้สนับสนุนเงินเข้ากองทุนจำนวน 2 ล้านบาท และมูลนิธิศูนย์ศึกษาและพัฒนาที่อยู่อาศัยแห่งเอเชีย สมทบ 1 ล้านบาท
                      ปี 2553 ชาวชุมชนได้เล็งเห็นความมั่นคงด้านอาหาร จึงนำไปสู่การซื้อที่ดินเพื่อทำนารวมแบบเกษตรอินทรีย์ เนื้อที่ 38 ไร่ ไม่ไกลจากบ้านมั่นคงมากนัก โดยพอช.ได้สนับสนุนสินเชื่อจำนวน 2.6 ล้านบาท มีชาวบ้านลงหุ้น 150 หุ้น หุ้นละ 150 บาทเพื่อเป็นทุนในการทำนา และช่วยกันลงแรงทำนา ปัจจุบันสามารถปลูกข้าวเจ้าและข้าวเหนียวได้ปีละประมาณ 30 เกวียน ขายเป็นรายได้เข้ากองทุนปีละกว่า 2 แสนบาท ปัจจุบันที่นามีราคากว่า 38 ล้านบาท
                      ศรีอาน ประดา หนุ่มใหญ่วัย 47 ปี ตำแหน่ง “ผู้จัดการนา” ดูโก้หรู แต่ไม่มีเงินเดือน ทำงานนี้ด้วยใจรักเพราะเป็นเรื่องปากท้องของชาวบ้าน บอกว่า ตำแหน่งผู้จัดการนาจะต้องวางแผนในการทำนา เช่น ต้องรู้เรื่องฝนฟ้าว่าปีไหนน้ำจะมากจะน้อยจะได้วางแผนได้ถูกต้อง และต้องมีการประชุมร่วมกับคณะกรรมการนาจำนวน 15 คน จะหว่าน จะดำช่วงไหน จะได้ขอแรงจากชาวบ้านและสมาชิก หากเป็นช่วงแล้งก็จะให้สมาชิกปลูกมันแก้ว นอกจากนี้ก็ยังปลูกผักต่างๆ เช่น พริก ฟักทอง ข้าวโพด กล้วย ฯลฯ เลี้ยงปลาในบ่อ มีปลานิล ตะเพียน ปลาดุก และมีแผนจะขุดบ่อเพื่อเก็บน้ำเอาไว้ทำนาในหน้าแล้ง เป็นแหล่งอาหารของชาวบ้าน ไม่ต้องกลัวอดยากอีกต่อไป
                      ในปี 2558 ชาวชุมชนได้ร่วมกันจัดตั้งโรงงานผลิตน้ำดื่มชุมชน โดยการระดมหุ้นได้เงินประมาณ 8 แสนบาท มีกำลังการผลิตประมาณวันละ 200 โหล เริ่มจำหน่ายตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สามารถทำรายได้เข้าชุมชนประมาณเดือนละ 2.5 แสนบาท มูลค่าการลงทุนประมาณ 1.4 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีกองทุนต่างๆ เช่น กองทุนสวัสดิการชุมชน กองทุนปลดเปลื้องหนี้สินนอกระบบ กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มออมทรัพย์เด็ก ฯลฯ รวมทั้งมูลค่าบ้านมั่นคง 920 หลัง คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 450 ล้านบาท รวมเป็นทุนและสินทรัพย์ทั้งหมดประมาณ 550 ล้านบาท
                      จากความสำเร็จของชุมชน เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และคณะได้เดินทางมาที่เมืองชุมแพ จ.ขอนแก่น เพื่อติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐของรัฐบาล โดยพล.ต.อ.อดุลย์กล่าวว่า ได้มาเห็นบ้านมั่นคงที่ชุมแพแล้ว นึกว่าเป็นบ้านจัดสรร เพราะดูสวยงาม เป็นระเบียบ
                      “เมืองชุมแพเป็นต้นแบบที่ดีที่ชุมชนอื่นๆ สามารถนำไปใช้เป็นแบบอย่างในการพัฒนาชุมชน ถือเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากที่ชุมชนเป็นผู้ริเริ่ม โดยมีหน่วยงานรัฐและเอกชนให้การสนับสนุน ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และพอช. รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะนำไปขยายผลให้เกิดพื้นที่แบบนี้ทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้กินอิ่ม นอนอุ่น ทุนมี หนี้ลด” รมว.พม.กล่าวทิ้งท้าย
————————
(หลากมิติเวทีทัศน์ : ชูเมืองชุมแพต้นแบบเศรษฐกิจฐานราก ‘ชุมชนเข้มแข็ง กินอิ่ม นอนอุ่น ทุนมี หนี้ลด’ : โดย…พนากิจ มูลเมือง)

สัญญาณจากปารีสถึงประเทศไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/222348

สิ่งแวดล้อม,หลากมิติเวทีทัศน์,ปารีส,ประเทศไทย,เจริญสติ,พอเพียง

การศึกษา-สาธารณสุข  :  14 ก.พ. 2559

สัญญาณจากปารีสถึงประเทศไทย

หลากมิติเวทีทัศน์ : สัญญาณจากปารีสถึงประเทศไทย เผชิญอนาคตด้วยการเจริญสติและความพอเพียง : โดย…สุริชัย หวันแก้ว

                     เมื่อเดือนกันยายนก่อนสิ้นปีที่แล้ว สหประชาชาติได้ประกาศเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการประชุมเตรียมการและปรึกษาหารือในระดับโลกมาอย่างจริงจังและต่อเนื่องหลายปี
                     การประชุมสุดยอดของสหประชาชาติดังกล่าว ได้รับการขานรับจากผู้นำของทุกประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย เป้าหมายของโลกที่เห็นพ้องต้องกัน ได้แก่ แก้ปัญหาความยากจน การสร้างหลักประกันในการสร้างความเติบโตมั่งคั่งและความเสมอภาคอย่างเสมอหน้า และการพัฒนาจะไม่ทอดทิ้งกลุ่มใด (social inclusion) และจะเป็นไปอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงผืนพิภพ (planet) และภูมิอากาศ ตลอดสร้างสรรค์สันติภาพ และความเป็นธรรมในทุกระดับ การจะบรรลุเป้าหมายต่างๆเหล่านี้ไม่อาจดำเนินการได้โดยลำพังหากจำต้องอาศัยยุทธศาสตร์เชิงภาคี (partnership)
สัญญาณจากข้อตกลงที่ปารีส ถึงไทย
                     เพียงเดือนเศษหลังจากนั้น มีการประชุมระดับสูงของประมุขรัฐและหัวหน้ารัฐบาล ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 (COP21) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 11 (CMP11) ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2558 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
                     ผู้นำประเทศไทยได้ร่วมแสดงเจตนารมณ์แน่วแน่ในการประชุมนั้นโดยที่ประกาศว่า จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งใช้แผนพลังงานทดแทน พร้อมกับใช้ฐานะประธานกลุ่ม G77 (ประเทศกำลังพัฒนาในโลก) ทำงานด้วยกันเพื่อร่วมแก้ปัญหาโลกร้อน
จากหลัก “การปกครอง” สู่หลักธรรมาภิบาล
                     แนวคิด governance นี้ ถือเป็นที่นิยมกว้างขวางในระยะกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมานี้ในแวดวงวิชาการหลายสาขาวิชา โดยเฉพาะด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐศาสตร์เชิงเปรียบเทียบ นโยบายศึกษา รัฐประศาสนศาสตร์ สังคมวิทยา สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี รวมถึงการวิจัยด้านความเสี่ยง (risk research) ฯลฯ
                     โดยทั่วไปเรามักจะคุ้นเคยกับการพูดถึงธรรมาภิบาลระดับชาติ และเรามักจะนึกถึงโครงสร้างและกระบวนการของการตัดสินใจร่วมกัน ซึ่งมักจะนำโดยภาครัฐ แต่ในการตื่นตัวในยุคปัจจุบันจำจะต้องมีภาคส่วนอื่นร่วมวงด้วย
                     แต่ยังมีบริบทใหญ่ที่ห้อมล้อมประเทศอยู่คือโลกและจักรวาลในระดับโลก “ธรรมาภิบาล” มีโครงสร้างตามแนวนอนของการกำกับดูแลตัวเองของรัฐและองค์กรอื่นที่มิใช่รัฐ อันจะทำให้มีการตัดสินใจร่วมกันโดยมิได้มีอำนาจบังคับจากหน่วยที่มีฐานะเหนือกว่า
                     ที่สำคัญในสถานการณ์โลกและผืนพิภพ เช่น ปัจจุบัน การตัดสินใจทางนโยบายผิดสามารถส่งผลกระทบถึงชะตากรรมของทั้งสังคมที่อยู่ร่วมกันไปด้วย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องพิจารณาการอภิบาลโดยจำแนกแยกแยะออกเป็นการอภิบาล/ธรรมาภิบาล : แนวตั้งกับแนวนอน ซึ่งจะทำให้เราสามารถมองได้มุมกว้างและครอบคลุมกว่าเดิม
ความสำคัญของการกำกับดูแลความเสี่ยง
                     ในโลกปัจจุบันที่การพัฒนาเชื่อมโยงกันและมีการพึ่งพาอาศัยกันในระดับต่างๆ มากขึ้น สภาพการณ์พัฒนาภายใต้ระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมที่แข่งขันสูงมีส่วนสำคัญที่กระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การค้า แต่ในอีกด้านหนึ่งโลกมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นและเกี่ยวเนื่องกับภาวะความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน ตัวอย่างเช่น โรคติดต่อ เมอร์ส ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ หรือแม้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนก็ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยได้มากมาย นับวันประเทศเราจะมีประสบการณ์ต่อความไม่แน่นอนและความเสี่ยงมากขึ้น ความเสี่ยงอันตรายแบบใหม่มักมีแหล่งที่มาหลากหลายและเพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่สิ่งที่เป็นมติชัดเจนในโลกปัจจุบันสะท้อนว่า เรามีประสบการณ์ต่อความเสี่ยง (Risk) ร่วมกันมากขึ้นทั้งเศรษฐกิจการเมืองและความรุนแรง ฯลฯ ในทุกระดับ จนกระทั่งมีความเห็นพ้องกันมากขึ้นว่าสภาวะโลกยุคปัจจุบันเป็นภาวะสังคมเสี่ยงภัย (Risk Society) ในระดับโลกที่มีหลายระดับและความซับซ้อนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
การบริหารความเสี่ยงที่มีความซับซ้อนอย่างไรดี?
                     ลักษณะของปัญหาในประเทศในบริบทโลกาภิวัตน์ที่ซับซ้อนนั้น ต้องการวิธีรับมือแบบใหม่ แนวคิดเรื่อง “การปกครอง” ที่มีลักษณะแนวตั้งจึงต้องการการปรับปรุงให้กว้างขึ้น เป็นการดูแลหรือกำกับความเสี่ยง (risk) ทั้งนี้เพราะในโลกที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันใกล้ชิดการกระทำที่มีจุดมุ่งหมายอย่างหนึ่งอาจทำให้เกิดผลอีกอย่างหนึ่งได้
                     ประเด็นสำคัญ ได้แก่ ข้อที่ว่า ท่ามกลางกระแสการพัฒนาในโลกที่เร่งรุด แต่ทว่าในประเทศยังมีความเคยชินกับการตัดสินใจแบบรวมศูนย์ในระดับสูงอยู่เช่นนี้ พื้นที่ทางนโยบายจึงยังมิได้เอื้ออำนวยเท่าที่ควร พื้นที่ทางนโยบายยังมีลักษณะอยู่อย่างน้อย 3 ประการ กล่าวคือ ก.ค่อนข้างปิด ข.ยังเป็นแนวตั้ง(vertical) อยู่มาก ค.ทัศนวิสัยของสาธารณะยัง “ติดอยู่ในกับดัก” หรือ “อารมณ์ค้าง” แบบแยกขั้วอย่างต่อเนื่องอยู่ไม่น้อย
                     สถานการณ์ด้านการกำหนดนโยบายของประเทศ จึงยังประกอบด้วยเงื่อนไขของภาวะที่ซับซ้อน สถานการณ์ที่ยุ่งยากซับซ้อนจึงต้องให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลความเสี่ยงร่วมกัน (Risk Governance) เพราะการตัดสินใจที่เป็นการไม่ร่วมรับผิดชอบ เป็นการผลักภาระความเสี่ยงแก่ “คนอื่น” อาจโดยเจตนาหรือไม่ก็ได้
                     ดังนั้น การเปิดพื้นที่นโยบาย และเพิ่มพื้นที่ในการสื่อสารแนวนอนและแนวไขว้ให้มากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพื่อให้สามารถยกระดับทั้งความรู้และสติปัญญาในการช่วยกันประกันความเสี่ยงต่ออนาคตได้ดีขึ้นและเพื่อที่เราทุกส่วนจะได้ทำหน้าที่และความรับผิดชอบของตนเองให้ดียิ่งขึ้น
สรุป : เราต้องการพื้นที่แลกเปลี่ยนเพื่อรับผิดชอบร่วมกัน
                     การประชุมสุดยอดระดับโลก สรุปทั้งสองครั้งข้างต้น สะท้อนการตื่นรู้ถึง “ชะตากรรมร่วมกัน” ดังนั้นจึงไม่ใช่สิ่งเกินเลยที่จะกล่าวว่า ครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่มีนัยความสำคัญเชิงประวัติศาสตร์ของการพัฒนาของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย ขณะเดียวกันสมควรจะถือเป็นการส่งสัญญาณครั้งสำคัญยิ่ง แก่ผู้วางนโยบายในทุกระดับและในทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ นักลงทุนและประชาสังคม
                     แต่อย่างไรก็ดี การพัฒนาของโลกและของประเทศไทยเองที่ผ่านมา ยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาและทิศทางดังกล่าวมากนัก ข้อกังวลและคำวิพากษ์ต่อการประชุมเหล่านั้น จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่คงจะไม่เป็นการผิดจากข้อเท็จจริงที่ว่า นับต่อไปนี้บรรยากาศการถกแถลงเรื่องอนาคตของการพัฒนาในโลกและในภูมิภาคต่างๆ ไม่ว่าที่ไหนก็ตามจะไม่อาจละเลยหรือมองข้ามฉันทามติระดับโลกเหล่านี้ไปได้ ส่วนที่เคยแต่มุ่งเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันโดยละเลยไม่ใส่ใจให้กำกับด้วยหลัก “ความพอเพียง” นั้น ไม่ได้เสียแล้ว
                     กรณีประมงนอกน่านน้ำของไทยรวมทั้งโจทย์เรื่อง “แรงงานทาสสมัยใหม่” น่าจะยืนยันถึงปัญหาที่มีรากเหง้าลึกซึ้งและซับซ้อนในเรื่องนี้ ขณะเดียวกัน การหวังพึ่งการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย (ไอยูยู) จะอาศัยแต่อำนาจเด็ดขาดโดยมองข้ามส่วนร่วมทางนโยบายก็สามารถสร้างปัญหาความทุกข์ยากมากขึ้นได้ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การอ้าง “หลักความพอเพียง” ให้เป็นคาถาโดยขาดพื้นที่การเจริญสติ และเจริญปัญญาร่วมกันนั้น เป็นการลดทอนค่าและทำให้คำนี้หมดพลังความหมายที่แท้จริงไป
                     ประเด็นสำคัญ จึงได้แก่ การเปลี่ยนผ่านขนานใหญ่สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Great Transitions) นั้นเรียกร้องให้ทุกวงการ โดยเฉพาะภาคประชาสังคมและผู้ที่ห่วงใยอนาคตพิจารณาถึงเรื่องต่อไปนี้
                     1.ต้องการการทำงานเชิงระบบในภาพรวมในทุกระดับอย่างจริงจังต่อเนื่องและระยะยาว และในการนี้ต้องการองค์ความรู้อย่างมีพลังในการผลิตด้านการแก้ปัญหาอย่างจริงจังและยั่งยืน
                     2.พื้นที่ความรู้และพื้นที่นโยบาย จะต้อง “เปิด” เพื่อให้สามารถระดมความรู้ความคิด รวมทั้งส่วนร่วมจากเจ้าทุกข์ระดับชุมชนด้วย
                     3.การหากุญแจเปิดสติและปัญญาสังคมเพื่อประกันความเสี่ยงต่ออนาคตจำเป็นยิ่ง “ขีดจำกัดของผืนพิภพ” เศรษฐกิจฐานรากความมั่นคงของมนุษย์หรือแม้แต่ “ประชารัฐ” ฯลฯ ล้วนเป็นคำกุญแจเช่นว่านั้น อย่างไรก็ดี ถ้าหากคำนโยบายมิได้ใช้ให้เต็มความหมายในการเผชิญชะตากรรมร่วมกันก็อาจกลายเป็นเพียงการเล่นคำใหม่ๆ เท่านั้น
                     4.ม่านแห่งโอกาสของการเสริมสร้างสภาวะผู้นำของประเทศไทยในโลกเปิดขึ้นแล้ว ภายใต้บริบทแห่งโลกาภิวัตน์ทุนนิยมที่ประชาคมโลกตื่นตัวรอบใหม่ร่วมกันนี้ โลกาภิวัตน์แห่งการแข่งขันมิได้หมายถึงการวิ่งไล่กวดตามแนวเส้นตรงโดยไม่สนใจผลกระทบรอบตัวและรอบสนามได้อีกต่อไปแล้ว ความสามารถในการแข่งขันเพื่ออนาคตจักต้องเดินภายใต้ความตระหนักถึงความพอเพียง แต่ด้วยพลังจินตนาการยิ่งกว่าเดิม
———————-
(หลากมิติเวทีทัศน์ : สัญญาณจากปารีสถึงประเทศไทย เผชิญอนาคตด้วยการเจริญสติและความพอเพียง : โดย…สุริชัย หวันแก้ว)

ก้าวข้ามไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ ‘ท่าข้าม’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/221903

หลากมิติเวทีทัศน์,สิ่งแวดล้อม,ท่าข้าม,พอช.

การศึกษา-สาธารณสุข  :  7 ก.พ. 2559

ก้าวข้ามไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ ‘ท่าข้าม’

หลากมิติเวทีทัศน์ : ก้าวข้ามไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ ‘ท่าข้าม’ : โดย…รัชตะ มารัตน์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.)

                     ความเชื่อที่ว่า การพัฒนาสังคมที่ถูกต้อง จะต้องเริ่มจากล่างขึ้นบน มิใช่จากบนลงล่าง พูดกันมานานพอสมควร แต่ไม่ค่อยเห็นเป็นจริงมากนัก และความคิดที่ว่า ประชาชนยังไม่พร้อม ก็ยังมีอยู่ แต่แท้ที่จริง ถ้าได้อ่านเรื่องนี้แล้ว คุณอาจจะต้องเปลี่ยนความเชื่อเสียที
                     จากที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมสภาองค์กรชุมชน ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ภิรมย์ พริกไทย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 บ้านท่าตลิ่งชัน และประธานสภาองค์กรชุมชนตำบลท่าข้าม พร้อมสมาชิกสภา กำลังพูดจาปราศรัย แลกเปลี่ยนปัญหาและหาทางแก้ไขร่วมกัน เพื่อนำผลที่ได้เป็นธงร่วมในการ “พัฒนาให้ตำบลท่าข้าม เป็นพื้นที่รูปธรรม จัดการตนเองอย่างยั่งยืน” เห็นได้ชัด
ต.ท่าข้าม ผู้อาศัยส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น แต่ก็มีชาวบ้านจากนนทบุรี นครปฐมและกาญจนบุรีเข้ามาอาศัยอยู่จำนวนมาก เพื่อมาหางานทำ เนื่องด้วยตำบลท่าข้ามตั้งอยู่ใกล้เขตเมือง ความเจริญกำลังรุกคืบเข้ามา มีกิจการร้านค้าหมู่บ้านจัดสรร เกิดขึ้นมากมาย จนสภาพไม่ต่างอะไรกับชุมชนเมือง
                     แรกเริ่มเดิมทีเป็นชุมชนศูนย์กลางการค้าขายผลผลิตทางการเกษตรจากสองลุ่มน้ำ คือ “แม่น้ำตาปี” ที่มีต้นน้ำมาจากเขต จ.นครศรีธรรมราช และ “คลองพุมดวง” ที่มีต้นน้ำมาจาก อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งสายน้ำทั้ง 2 สายจะมาบรรจบกันที่ ต.ท่าข้าม ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า “แหลงช้าง” ในปัจจุบัน
                     ด้วยลักษณะที่เป็นพื้นที่ศูนย์กลางดังกล่าว ต.ท่าข้าม จึงกลายเป็นชุมชนใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นตามลักษณะภูมิประเทศ และเกิดเป็นต้นตระกูลที่บรรพบุรุษจะใช้ชื่อของปู่ย่าตายายในรุ่นแรกมาสนธิกันจนเกิดเป็นนามสกุลใหม่ กลายเป็นชาวท่าข้ามนับแต่บัดนั้น ผ่านมาแล้ว 3-4 ช่วงอายุคน
                     สำหรับกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง คือชาวจีนอพยพที่ล่องเรือเข้ามาจากฝั่งตะวันออก และมาตั้งชุมชนในตลาดตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง ภายหลังจากการก่อสร้าง “สะพานพระจุลจอมเกล้า” เมื่อปีพุทธศักราช 2449 เกิดเป็นชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน ประกอบอาชีพค้าขายในเขตเทศบาลเมืองท่าข้ามในปัจจุบัน
                     ส่วนของชุมชนชาวภาคกลางเอง ได้ย้ายถิ่นฐานจากคำบอกเล่า เมื่อประมาณ 40-50 ปีก่อน โดยเข้ามาซื้อที่ดินบริเวณนี้ในราคาหลักร้อยบาท ด้วยความคิดที่ว่า พื้นที่แห่งนี้ยังมีความอุดมสมบูรณ์น่าจะเป็น “บ่อเงิน บ่อทอง” สำหรับลูกหลานได้ในอนาคต
                     “ผู้ใหญ่ภิรมย์” เล่าว่า การพัฒนารูปแบบใหม่ในปัจจุบันจะใช้สภาองค์กรชุมชนตำบลท่าข้าม จะเป็นตัวกลางให้พี่น้องชาวท่าข้ามได้ร่วมกันพัฒนาระบบเศรษฐกิจและทุนชุมชนฐานราก โดยการประสานภาคีต่างๆ เข้ามาร่วมสนับสนุน เวทีในวันนี้จึงมีทั้งการทำกระบวนการกลุ่ม วิเคราะห์ศักยภาพหมู่บ้าน จุดแข็งคืออะไร จุดอ่อนเป็นอย่างไร รวมทั้งการสอดแทรกข้อเสนอแนะของชุมชน มีการวิเคราะห์ทุนหลักของชุมชน ทั้งในเรื่องทรัพยากร ภูมิปัญญา เงินตรา หรือแม้กระทั่งการค้นหาสาเหตุการไหลออกของคนวัยทำงาน ตบท้ายด้วยการร่วมมือกันวาดแผนที่ทำมือ หรือแผนที่ชุมชน เสมือนหนึ่งเป็น “จิตรกรรมชิ้นเอกของชุมชน” ก็เรียกได้
                     จากการร่วมกันพูดคุย วิเคราะห์ออกมาว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ของ ต.ท่าข้าม ทำเกษตรกรรม ปลูกปาล์มน้ำมัน ยางพารา และรับจ้างทั่วไป ซึ่งก็ไม่แตกต่างอะไรกับพื้นที่อื่นๆ ทางภาคใต้ ที่มักปลูกพืชเหล่านี้เป็นอาชีพหลักตามกระแส “นโยบายนิยม” พอถึงบทราคาตกต่ำก็เดือดร้อน “ทุกข์” ถ้วนหน้ากัน จนมีสำนวนหนึ่งที่ออกมาจากบทเพลงทางภาคใต้ในช่วงนี้ว่า “ยางมันลงเหลือกิโลสิบห้า ชาดมันบ้าเหลือร้าย โหมเราชาวใต้ อิตายแล้วเด้”
                     ผู้ใหญ่ภิรมย์ พาผู้เขียนไปยังหมู่ 3 ซึ่งเป็นชุมชนชาวภาคกลาง ได้พบกับ สมพนธ์ ไทยบุญรอด อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม ซึ่งเป็นแกนนำชุมชน พร้อมกับพี่น้องในชุนชนอีกจำนวนหนึ่ง กำลังนั่งวิเคราะห์ข้อมูลของชุมชน เกี่ยวกับมูลค่าที่ได้จากผลผลิต เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับพัฒนาพื้นที่ ตามโจทย์ของสภาองค์กรชุมชนที่ให้ไว้เมื่อวันก่อน
                     การนำเสนอในเวทีหมู่บ้าน ชาวบ้านได้บอกกล่าวเรื่องราวอย่างเป็นระบบ มีเนื้อหาสาระเป็นที่น่าสนใจ โดยเล่าว่า
                     ในช่วงแรกๆ ชาวบ้านละแวกนี้ปลูกพืชยืนต้นเป็นอาชีพหลัก เช่น ส้มและชมพู่ ต่อมาในช่วงปีพุทธศักราช 2505 เกิดมหาวาตภัยขึ้นที่แหลมตะลุมพุก จ.นครศรีธรรมราช ส่งผลให้อาสินของพี่น้องเกิดความเสียหาย ชาวบ้านเองก็วิเคราะห์กันว่าพื้นที่แห่งนี้คงไม่เหมาะสมที่จะปลูกพืชยืนต้นอีก จึงพยายามวิเคราะห์ด้วยหลักคิดที่ว่า “คนบ้านดอนเขาขาดอะไร” คิดได้แบบนั้น จึงเริ่มนำวิทยาการด้านการปลูกผักระยะสั้นมาใช้นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ส่งขายท่าน้ำของชุมชนท่าข้าม โดยพายเรือผ่านสายคลองของชุมชนออกไปสู่แม่น้ำตาปี รวมถึงทางรถไฟสายใต้ลงไปถึงหาดใหญ่ และตลาดบ้านดอน หรือเมืองสุราษฎร์ธานี นั่นเอง
                     ต่อมาช่วงพุทธศักราช 2518 ในสมัยรัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เกิดนโยบาย “เงินผัน” ทำให้มีการสร้างถนนหนทางเชื่อมติดกันหลายเส้นทาง วิถีการค้าขายทางน้ำ จึงค่อยๆ ลดหายไป แต่ทว่าส่งผลดีที่ทำให้พี่น้องเองก็ขายพืชผักได้มากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน แต่ก็มาเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อประมาณปีพุทธศักราช 2540 เป็นต้นมา รัฐพยายามส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ เกิดห้างสรรพสินค้า ไม่ต่ำกว่า 3 แห่งในเขตเมือง เกิดหมู่บ้านจัดสรร มีการจ้างงานของธุรกิจใหญ่ คนจากต่างถิ่นก็หลั่งไหลเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้น
                     สมพนธ์ ได้ยกกรณีศึกษาที่น่าสนใจว่า ที่ผ่านมารัฐก็พยายามทำการสำรวจข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน หรือ จปฐ. แต่ข้อมูลเหล่านั้นก็ไม่ได้ตอบโจทย์ของชุมชนจริงๆ เขาจึงสนใจกระบวนการทำงานของ “สภาองค์กรชุมชน” เพราะอย่างน้อยการชวนชาวบ้านมาพูดคุยทำให้ตอบโจทย์ปัญหาและความต้องการของชาวบ้านอย่างลึกซึ้ง ผ่านการคิดของชาวบ้านเอง ตอนนี้จึงมีการวิเคราะห์ปัญหาหลักด้านรายได้ของพี่น้องที่เกิดขึ้นว่า จริงๆ แล้ว ราคาปาล์ม ราคายางพารา คนท่าข้ามมีรายได้แค่ไร่ละหมื่นกว่าๆ ต่อปี แต่ถ้าปลูกผักหรือพืชชนิดอื่นโอกาสมีรายได้ถึงไร่ละหลักแสนบาทต่อปี
                     นี่จึงเป็นข้อมูลสำคัญ ที่สภาองค์กรชุมชน จะใช้ในการพัฒนาต่อยอดและทำให้คนในชุมชนรับทราบและเข้าถึงข้อมูลในการปลูกพืชผักชนิดต่างๆ เช่น ผักบุ้ง คะน้า กวางตุ้ง หรือวิทยาการใหม่ๆ เช่น การปลูกผักแต้มพริก การปลูกผักร่องสวน “ถ้าชุมชนเกิดความสนใจ เราก็จะส่งขายห้างค้าส่งตามความต้องการได้มากขึ้น สารเคมีก็จะใช้น้อยลง คนรุ่นหลังก็ไม่ต้องกังวลที่จะกลับมาอยู่บ้าน เพราะสภาเราจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดอยู่ตลอดเวลา” สมพันธ์ กล่าวอย่างภูมิใจ
                     ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ยังมีเรื่องการพลิกฟื้นวิถีชีวิตในอดีตภายใต้การอยู่ร่วมกับการเปลี่ยนแปลง ด้วยการฟื้น “ตลาดน้ำชุมชน” เนื่องจากชุมชนตั้งอยู่ติดลำน้ำ คล้ายๆ กับตลาดโก้งโค้ง ตลาดพื้นบ้านที่นำของกินของใช้มาซื้อหาแลกเปลี่ยนยกระดับไปสู่การจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เป็นการสร้างพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของชุมชนอีกอย่าง
                     ก็หวังว่าการทำแผนสำรวจข้อมูลชุมชนพื้นที่รูปธรรม จะทำให้ชุมชนเกิดความตื่นรู้ในข้อมูลชุมชน และสามารถพัฒนาพื้นที่ให้ท่าข้ามเป็น “ผู้นำทางความคิด” มากกว่า “ผู้ทำตามนโยบาย”
———————-
(หลากมิติเวทีทัศน์ : ก้าวข้ามไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ ‘ท่าข้าม’ : โดย…รัชตะ มารัตน์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.))

หลังข้อตกลงปารีส…ความหวังในการหยุดวิกฤติโลกร้อนอยู่ที่ไหน?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/221489

การศึกษา-สาธารณสุข  :  31 ม.ค. 2559

หลังข้อตกลงปารีส…ความหวังในการหยุดวิกฤติโลกร้อนอยู่ที่ไหน?

หลากมิติเวทีทัศน์ : หลังข้อตกลงปารีส…ความหวังในการหยุดวิกฤติโลกร้อนอยู่ที่ไหน? : โดย…อารียา ติวะสุระเดช และ ฝ้ายคำ หาญณรงค์ / ภาพ…ฝ้ายคำ หาญณรงค์

                      ข้อตกลงปารีสที่เกิดขึ้นจาก การประชุมภาคีกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ ครั้งที่ 21 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส (UNFCCC COP21) ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของโลกในการร่วมมือกันจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยแต่ละประเทศสมาชิกต่างตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือวิกฤติโลกร้อน เป็นปัญหาเร่งด่วนที่ไม่สามารถล่าช้าได้อีกต่อไป และจำเป็นต้องจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นเกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส ภายในสิ้นศตวรรษนี้
                      ประเทศไทยเองก็ตระหนักถึงความโหดร้ายจากโลกร้อน ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยขึ้นกล่าวในช่วงผู้นำเปิดการประชุม คอป 21 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 ว่า ประเทศไทยตระหนักถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากโลกร้อน โดยเฉพาะความสำคัญในการปรับตัวเพื่อรับมือกับน้ำท่วมในประเทศที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลต่ำ ภัยแล้งและสงครามแย่งชิงน้ำที่จะเพิ่มภาระให้ภาคเกษตรอย่างมาก
                      ที่น่าภาคภูมิใจคือ ไทยเองก็ได้แสดงเจตจำนงร่วมแก้ปัญหาโลกร้อน ด้วยการประกาศเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสองช่วง คือช่วงที่หนึ่ง ก่อนปี พ.ศ. 2563 (NAMAs) ที่ 7-20% และช่วงที่สอง เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระหว่างปี พ.ศ. 2563-2573 (INDCs) ที่ 20-25% นับจากระดับที่ปล่อยปกติ (Business as Usual/BAU) และไทยก็กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า จะดำเนินการได้ตามเป้าหมายในระยะแรก ดังที่ ประเสริฐ ศิรินภาพร ผู้อำนวยการสำนักงานประสานการจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แห่งสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ส.ผ.) ชี้แจงว่า ขณะนี้ไทยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้แล้ว 4% และคาดว่าจะลดได้มากกว่าเป้าหมายระยะแรกคือ 7% ก่อนปี 2563 นับจากนี้ไป ประเทศไทยจะสามารถช่วยลดโลกร้อนได้แค่ไหน เป็นสิ่งที่สังคมจะต้องช่วยกันกระตุ้นและจับตาต่อไป
                      อย่างไรก็ตาม หากถามว่าข้อตกลงปารีสจะสามารถแก้วิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในตอนนี้ได้หรือไม่ สิ่งที่เราต้องรับรู้ก็คือ แม้ข้อตกลงฯ จะเชิญชวนทุกประเทศทั่วโลกยื่นคำสัญญาว่าจะช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไหร่ แต่เมื่อรวบรวมเป้าหมายที่ทุกประเทศได้ให้คำมั่นสัญญาไปแล้วในขณะนี้ ก็ยังไม่เพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้โลกร้อนขึ้นเกิน 2 องศาได้ อีกทั้งเป้าหมายของแต่ละประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้ข้อตกลง ก็เป็นไปโดยสมัครใจ ซึ่งไม่สามารถบังคับใครให้ลดการปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้นได้ เราจึงยังต้องช่วยกันผลักดันให้รัฐบาลทุกประเทศเพิ่มเป้าที่ตัวเองตั้งไว้โดยเร็วก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
                      ตัวแปรสำคัญที่สุดในการตอบว่า มนุษย์จะหยุดวิกฤติโลกร้อนได้หรือไม่ คือเชื้อเพลิงฟอสซิล ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการคำนวณโดยสถาบันวิจัยและองค์กรต่างๆ ทั่วโลกในเรื่องนี้ ที่สรุปได้ว่า หากเราเผาถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ทั้งหมดที่มนุษย์ค้นพบแล้ว จะปล่อยคาร์บอนเกินกว่าปริมาณที่ควรปล่อยเพื่อรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 2 องศาถึงประมาณ 3 เท่า นั่นหมายความว่า เราไม่สามารถพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในการสร้างโลกอนาคตได้อีกต่อไป และนี่คือข้อเท็จจริงที่น่าเป็นห่วง เพราะเรามีเชื้อเพลิงฟอสซิลอยู่มากเกินไป และเรายังเคยชินกับการใช้มันเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมนุษย์
                      ในอีกแง่มุมหนึ่ง ข้อตกลงปารีส ไม่ใช่สิ่งเดียวที่เราจะฝากความหวังในการแก้ปัญหาเรื่องโลกร้อน และเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เรายิ่งไม่ควรฝากความหวังไว้กับมัน แล้วเราควรฝากความหวังไว้กับอะไร ?
                      สิ่งที่เรามักมองข้ามไปคือ มีประชาชนจำนวนมากที่เริ่มลงมือปกป้องสภาพภูมิอากาศ ป้องกันการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมานานแล้ว ประชาชนเหล่านี้ คือประชาชนรากหญ้าที่กำลังต่อสู้เพื่อรักษาผืนดินอันเป็นบ้านและถิ่นฐานทำมาหากิน จากโครงการขุดเจาะถลุงใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น เหมืองถ่านหิน เหมืองทอง โรงไฟฟ้าถ่านหิน และการบุกรุกป่าไม้ ฯลฯ พวกเขาเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่กำลังปกป้องธรรมชาติ หยุดการปล่อยคาร์บอนเพิ่มเติมโดยการพิทักษ์ให้ฟอสซิลยังคงอยู่ใต้ดิน พวกเขาคือ “ผู้ปฏิบัติการหยุดโลกร้อนตัวจริง”
                      ยกตัวอย่าง เช่น ชาวบ้านที่แม่เมาะ จ.ลำปาง ที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองและโรงไฟฟ้าถ่านหิน แม้โครงการจะดำเนินการมาแล้วกว่า 40 ปี แต่ชาวบ้านแม่เมาะก็ยังเดินหน้าเรียกร้องผู้รับผิดชอบต่อผลกระทบทางลบ ต่อวิธีทำมาหากิน สุขภาพ และวิถีชีวิตที่พวกเขาต้องเผชิญ โดยการฟ้องร้องหน่วยงานราชการไทยให้รับผิดชอบมากขึ้น และแม้คดีของพวกเขาจะยืดเยื้อยาวนานกว่า 10 ปี ในที่สุด ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาเมื่อปีที่ผ่านมาว่า กฟผ. ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องควบคุมการปล่อยมลพิษอากาศซึ่งทำลายสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อม
                      แม้ว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของภาวะโลกร้อน จะยังไม่ถือเป็นมลพิษอากาศตามกฎหมายไทย และไม่ถูกพูดถึงในคำฟ้องนั้น แต่การยืนหยัดต่อสู้อันยาวนานของชาวบ้านแม่เมาะ เป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจอันมีชีวิตและความรู้สึก ที่ทำให้ผู้คนมากมายทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ตระหนักถึงผลกระทบจากพลังงานถ่านหิน ต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ในขณะเดียวกัน ชาวบ้านอีกหลายพื้นที่ ก็กำลังลุกขึ้นมาหยุดการเผาไหม้ถ่านหินเพิ่ม เช่น ชาวบ้านเทพา ที่ จ.สงขลา ซึ่งกำลังต่อสู้กับโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาขนาด 2,200 เมกะวัตต์ ชาวบ้านที่เขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเคลื่อนไหวปกป้องพื้นที่เกษตรและแหล่งน้ำ จากการตั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อนขนาด 600 เมกะวัตต์
                      รวมทั้งชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด ที่ อ.วังสะพุง จ.เลย ซึ่งยืนหยัดคัดค้านการขุดเจาะเหมืองทองเพิ่มเติมในพื้นที่เกษตรและต้นน้ำแม่น้ำเลย อีกทั้งยังผลักดันให้มีการฟื้นฟูลำห้วยที่โดนมลพิษจากเหมืองทองปนเปื้อน จนสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลยต้องออกมาประกาศห้ามชาวบ้านใช้น้ำ หลังจากกรมควบคุมมลพิษและกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ตรวจพบสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำ อาทิ สารหนู แมงกานีส แคดเมียม สูงเกินเกณฑ์มาตรฐานน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน และเกณฑ์คุณภาพน้ำบริโภคกรมอนามัย แม้จะไม่ใช่การยับยั้งอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนมหาศาลโดยตรงอย่างโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่ก็เป็นการแสดงพลังอย่างแข็งขันเพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อลูกหลาน
                      ประเทศไทยยังโชคดีที่ยังมีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก ยังมีพื้นที่ป่าและแหล่งอาหารอีกมากมายที่ชุมชนคงรักษาไว้ และมีชาวบ้านที่ตระหนักถึงสิทธิในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนที่เขารักและห่วงใย เราจึงมีความหวังที่จะเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้านการลดวิกฤติโลกร้อน และสามารถที่จะเป็นตัวอย่างในการปกป้องสิ่งแวดล้อมในสังคมอาเซียนเช่นกัน
                      ผลพวงที่สำคัญที่สุดของการขับเคลื่อนเพื่อปกป้องชุมชนและทรัพยากรธรรมชาติที่ผ่านมา คือเสียงที่ต้องการปกป้องโลก ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในพื้นที่ แต่กำลังขยายไปถึงจังหวัดอื่นๆ และเสียงในโลกออนไลน์ ที่ผู้คนจำนวนมากเริ่มรับรู้ข้อเท็จจริงและข่าวสารมากขึ้น ส่งข้อมูลผ่านต่อให้เพื่อนฝูง รวมทั้งไปร่วมปฏิบัติการของชุมชน เช่น ไปให้กำลังใจกลุ่มชาวบ้านในการรณรงค์ เช่น เครือข่ายอันดามันที่มาแสดงจุดยืนคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่โดยการอดอาหารที่กรุงเทพฯ การร่วมลงชื่อรณรงค์ หยุดโฆษณาชวนเชื่อถ่านหินสะอาด ในโลกออนไลน์ หรือการร่วมลงชื่อไม่เห็นด้วยกับกระบวนการอีเอชไอเอ ของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อนที่จะทำลายแหล่งอาหารและเกษตรอินทรีย์
                      นับได้ว่า การต่อสู้อย่างยืนหยัดของชุมชนในพื้นที่ต่างๆ เป็นแนวหน้าที่ทำให้เราได้ยินเสียงสะท้อนซึ่งกำลังดังขึ้นเรื่อยๆ ของคนในสังคมไทย ว่าเราต้องการปกป้องสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และต้องการคุณภาพชีวิตที่ปลอดมลพิษสำหรับลูกหลานของเรา
                      กว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าการประชุมเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนภายใต้สหประชาชาติจะจัดขึ้นมาแล้วถึง 21 ครั้ง แต่ก็ยังล่าช้าเกินจะยับยั้งหายนะจากวิกฤติโลกร้อนหรือบรรเทาผลที่จะเกิดจากความวิปริตของธรรมชาติที่เกิดขึ้นแล้วได้อย่างทันท่วงที ถึงกระนั้นเราก็ยังไม่ควรสิ้นหวัง เพราะทางออกจากวิกฤติโลกร้อนอยู่ในมือเราทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่เราไม่ควรลืมคือ มีคนมากมายที่พร้อมจะต่อสู้เพื่อปกป้องผืนดินและชุมชน
                      บางที สิ่งที่ชาวบ้านซึ่งมักโดนตราหน้าว่าเป็น “พวกต่อต้านการพัฒนา” เหล่านี้กำลังทำอยู่ จริงๆ คือ “รักษาโลกให้ลูกหลานของพวกเราทุกคน”
—————————
(หลากมิติเวทีทัศน์ : หลังข้อตกลงปารีส…ความหวังในการหยุดวิกฤติโลกร้อนอยู่ที่ไหน? : โดย…อารียา ติวะสุระเดช และ ฝ้ายคำ หาญณรงค์ / ภาพ…ฝ้ายคำ หาญณรงค์)

เปิดโลกคนไร้บ้าน We Are CSO ใครๆ ก็เป็นได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/221084

การศึกษา-สาธารณสุข  :  24 ม.ค. 2559

เปิดโลกคนไร้บ้าน WE ARE CSO ใครๆ ก็เป็นได้

หลากมิติเวทีทัศน์ : เปิดโลกคนไร้บ้าน We Are CSO ใครๆ ก็เป็นได้ : โดย…ประกาศ เรืองดิษฐ์ ศูนย์เผยแพร่และส่งเสริมงานพัฒนา (ผสพ.)

                      กลุ่มคนชายขอบที่สุดในสังคมเมืองคือ กลุ่มคนเร่ร่อนไร้บ้านใช้ชีวิตในที่สาธารณะ เหตุผลที่ทำให้เกิดภาวการณ์ไร้บ้าน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากปัญหาครอบครัวแตกแยก เป็นผู้มีภาวะทางจิต เป็นคนพิการ เป็นนักโทษที่พ้นออกจากคุกและไม่มีที่ไป เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ไม่สามารถอยู่กับครอบครัวได้ หรือแม้กระทั่งผู้สูงอายุที่ไม่มีใครดูแล
                      ถ้าดูผิวเผินปัจจัยเหล่านี้เป็นเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับความล้มเหลวส่วนตัว แต่ถ้าพิจารณาอย่างลึกซึ้ง ก็จะพบว่าสาเหตุเหล่านี้มีรากฐานมาจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานที่ไม่เป็นธรรม แรงบีบคั้นทางเศรษฐกิจ และรัฐไม่มีมาตรการหรือนโยบายด้านสวัสดิการสังคม ที่เอื้อต่อการที่จะดูแลผู้ที่ประสบปัญหาเหล่านี้
                      วันชัย บุญประชา ผู้ประสานงานโครงการส่งเสริมความเข้มแข็งภาคประชาสังคมเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางสุขภาวะในสังคมไทย กล่าวถึงกิจกรรม “เปิดบ้านคนไร้บ้าน We Are CSO ใครๆ ก็เป็นได้” ว่า การมาร่วมเรียนรู้ครั้งนี้ เกิดขึ้นจากคนกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกตัวเองว่า ภาคประชาสังคม “CSO” ย่อมาจาก Civil Society Organization เป็นองค์กรทำงานด้านการพัฒนาภาคประชาสังคม ใครๆ ก็เป็นได้ ทุกคนที่เป็นประชาชน ที่มีจิตใจมีความมุ่งมั่นเดียวกัน ตั้งใจทำให้สังคมดีขึ้น และออกมาร่วมมือกันทำ ก็เป็นประชาสังคม
                      “การเปิดบ้าน…คนไร้บ้าน เป็นการยกตัวอย่าง ว่านี่คือตัวอย่างภาคประชาสังคม เพื่อให้เห็นว่า แม้ขนาดคนไร้บ้าน ที่พวกเราเห็นอยู่ตามท้องถนน เราก็ยังรู้สึกว่าเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของภาคประชาสังคม ถ้าประชาชนเรานิ่งดูดาย ปล่อยให้กลไกของราชการดูแล เขาก็ต้องทำงานเพียงฝ่ายเดียว ประเทศจะเกิดปัญหาแน่ ฉะนั้นการรวมกลุ่มเป็นภาคประชาสังคม จึงกลายเป็นกลไกสำคัญของประเทศ เรามาที่ศูนย์พักคนไร้บ้าน สุวิทย์ วัดหนู ครั้งนี้ จึงมาเรียนรู้ร่วมกัน ว่าทำไมถึงเกิดศูนย์พักคนไร้บ้าน เรียนรู้ตัวอย่างความเข้มแข็ง ความตั้งใจ ความมุ่งมั่นของประชาชนกลุ่มหนึ่ง ที่ตั้งใจทำเรื่องนี้อย่างจริงจังต่อเนื่องจนเกิดผล”
                      สาเหตุหลักๆ ของคนไร้บ้านคือเศรษฐกิจ เมื่อประสบปัญหาภัยแล้งอย่างนี้ ไม่สามารถทำการเกษตรได้ ผลผลิตราคาไม่ดี จึงมีบางคนเป็นคนไร้บ้านเฉพาะกิจ ซึ่ง “คนไร้บ้าน” ถูกนิยามว่า เป็นคนที่เข้าไม่ถึงที่อยู่อาศัยจริงๆ ไม่สามารถที่จะมีที่หลบแดด หลบฝน ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ไม่มีเพื่อนฝูงให้อยู่ด้วย สังคมรังเกียจ ทั้งสังคมในบ้าน สังคมส่วนรวม
                      “อี๊ด คนไร้บ้าน” หรือ ธเนศ จรโณทัย เปิดเผยถึงสาเหตุที่ออกมาใช้ชีวิตเป็นคนไร้บ้านว่า มาจากครอบครัวใหญ่ ลูกหลายคน เป็นโสดอยู่คนเดียวและมีโรคประจำตัว เมื่อพ่อแม่เสียชีวิตจึงไม่อยากเป็นภาระของใคร อยู่ในบ้านบางทีก็ปวดหัวมึนหัว เป็นความดัน ดูเหมือนว่าขี้เกียจ จึงออกมาใช้ชีวิตในที่สาธารณะ
                      “ถ้าสังคมไม่รับแล้วเราก็ต้องโดดเดี่ยว ก็ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากเล่าชีวิต เล่าไปแล้วไม่มีเครดิต คำว่าคนไร้บ้านไม่มีใครเขาให้เครดิต ทะเบียนราษฎรของกระทรวงมหาดไทยก็ไม่ให้เครดิต สุขภาวะต่างๆ สุขภาพการอยู่ข้างนอกมันตายง่าย ตายเร็ว คนเราถ้าไม่มีเงินในกระเป๋าภาพก็ไม่ดี”
                      พี่อี๊ด คนไร้บ้าน เล่าถึงปัญหาของคนไร้บ้านเมื่อออกมาใช้ชีวิตในที่สาธารณะเป็นเวลานานๆ จึงทำให้รู้สึกว่าไม่ต้องรับผิดชอบอะไร บางครั้งถูกกดดันจากรัฐบาล ด้วยมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลไม่อยากให้คนจนรกหูรกตา ทำให้คนไร้บ้านบางคนต้องหนีไปนอนไกลถึงสถานีรถไฟโคราช เก็บของเก่าคืออาชีพที่คนไร้บ้านนึกถึงมากที่สุด ถังขยะคือแหล่งอาหารของคนไร้บ้านที่ผู้คนทิ้งขวดน้ำเอาไว้ ทิ้งขนมเอาไว้ก่อนจะจากไป เมื่อพบก็ต้องกินประทังชีวิต แต่เมื่อกินเข้าไปก็หารู้ไม่ว่ามันคือแหล่งโรค จึงมีบางคนเสียชีวิตเพราะแบคทีเรีย กลายเป็นศพไร้ญาติไร้บ้าน
                      อ.อัจฉรา รักยุติธรรม นักวิชาการจากภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาศิลปากร เห็นว่า คนไร้บ้านเป็นปัญหาของสังคมเมือง แม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้ สาเหตุคนไร้บ้านในต่างประเทศส่วนใหญ่จะเป็นเรื่อง ปัญหาทางเศรษฐกิจ เมื่อเศรษฐกิจเกิดวิกฤติ อัตราคนไร้บ้านจะสูงขึ้น เพราะเขาไม่สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัย อยู่ตามบ้านเพื่อนก็นับว่าเป็นคนไร้บ้าน ซึ่งก็ยังเป็นข้อถกเถียงเรื่องนิยามว่าจะนับเป็นคนไร้บ้านหรือไม่?
                      อีกสาเหตุหนึ่งคือ ภัยธรรมชาติ ในหลายประเทศก็นับว่าเป็นคนไร้บ้าน เพราะรัฐต้องจัดสวัสดิการดูแลในระยะสั้นและระยะยาว เช่นแผ่นดินไหว สึนามิ น้ำท่วม พายุ คนไร้บ้านในต่างประเทศกับในประเทศไทยจึงต่างกัน
                      “ในเมืองไทย เรามีหน่วยงานที่ทำกับคนไร้บ้านอยู่จำนวนหนึ่ง แต่นิยามเรายังไม่ตรงกัน เรามีหน่วยงานภาคเอกชน 3 หน่วยงาน คือ มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิอิสรชน หน่วยราชการมี สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(พอช.) มี บ้านมิตรไมตรี ตอนนี้ชื่อ ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง เมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมาได้ทำงานกับคนไร้บ้านโดยเฉพาะ อยู่ในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) มี บ้านอิ่มใจ ของกทม. และยังมีหน่วยงานที่อยู่ในระบบสังคมสงเคราะห์ต่างๆ เช่น บ้านพักคนชรา เรามีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เรามีบ้านคุ้มครองเด็ก คุ้มครองสตรี เหล่านี้ ถ้านับ เราก็มีหน่วยงานที่ทำกับคนไร้บ้านจำนวนมาก แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่านั่นคือคนไร้บ้าน”
                      เมื่อชีวิตออกมาเป็นคนไร้บ้านแล้ว การใช้ชีวิตประจำวันก็มีความยากลำบาก ไม่มีที่อาบน้ำ ไม่มีที่นอน ไม่มีที่ซักผ้า ต้องแอบอาบน้ำซักผ้าตามที่สาธารณะ ซึ่งต้องหลีกเลี่ยงจากเจ้าหน้าที่รัฐ นอกจากนี้คนไร้บ้านส่วนมากไม่มีบัตรประชาชน จึงไม่สามารถเข้าถึงบริการพื้นฐานจากรัฐ เช่น บริการด้านการแพทย์ หรือถ้าถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกละเมิดสิทธิในรูปแบบใดๆ พวกเขาไม่สามารถแจ้งความต่อตำรวจได้ ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคใหญ่ของการแก้ปัญหาจึงเป็นทัศนคติของสังคมและเจ้าหน้าที่รัฐในด้านลบ รวมถึงการที่รัฐบาลขาดนโยบายที่เหมาะสมในการรับมือกับปัญหาคนไร้บ้าน
                      นพพรรณ พรหมศรี เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย (มพศ.) อธิบายการทำงานกับคนไร้บ้านว่าเริ่มต้นจากงานชุมชนแออัดที่ทำอยู่ คือชุมชนรางรถไฟ ที่นั่นเขาก็มีการบริจาคศูนย์ชุมชนให้เป็นที่นอนของคนไร้บ้าน มีหลายๆ กลุ่มช่วยกันหาที่ว่ามีที่ตรงไหนบ้างที่ว่างอยู่ พบว่ามีพื้นที่ว่างที่ตลิ่งชันจึงทำเป็นศูนย์เล็กๆ ทดลองการไปอยู่ร่วม จนถึงวันนี้ ช่วยกันทำ คนไร้บ้านก็ช่วยกันสร้าง
                      “เดิมคนไร้บ้านก็อยู่กันแบบปัจเจก นอนทั่วไปตามที่สาธารณะ ไม่มีความสัมพันธ์แบบกลุ่มกันเท่าไหร่ เมื่ออยู่ด้วยกันจะสร้างสรรค์งานพัฒนาอื่นๆ ได้อีกไหม ก็ต้องทดลอง ตอนเริ่มทดลองอยู่ช่วงประมาณปี 2547 ตอนนั้นยังเป็นกลุ่มเล็กๆ อยู่ หลังจากทดลองจนมั่นใจว่าเมื่อเขารวมกันเขาจะสามารถแก้ปัญหาได้และไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว เราก็เสนอกับรัฐบาลว่า ของบประมาณมาสร้างที่นี่ สร้างเสร็จปี 2551 โดยใช้ชื่อว่า ศูนย์พักคนไร้บ้านสุวิทย์ วัดหนู บนที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย ใกล้สถานีรถไฟจรัญสนิทวงศ์ เขตบางกอกน้อย ทำเป็นศูนย์พักพิง”
                      จากบทเรียนในการสร้างและบริหารจัดการศูนย์พักของคนไร้บ้านด้วยตนเอง ทำให้กลุ่มคนไร้บ้านมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เห็นศักยภาพและความสามารถของตนเอง มีกิจกรรมการปลูกผักในแปลงรวม การทำร้านค้ากลุ่ม การขายของเก่าร่วมกัน การสร้างทีมรับจ้างก่อสร้าง รวมถึงการดูแลสมาชิกกลุ่มและการเอื้ออำนวยให้คนไร้บ้านได้เข้าถึงการมีบัตรประชาชน ซึ่งทำให้เข้าถึงสวัสดิการด้านอื่นๆ ของรัฐได้โดยตรง
                      สำหรับคนไร้บ้านแล้ว กิจกรรมสร้างศักยภาพทั้งหลายช่วยสร้างความรู้สึกว่า ตนเองมีคุณค่า จนกลายเป็นความเชื่อมั่นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะฝันถึงการมีบ้านและชุมชนใหม่ของตนเองในอนาคต การรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือการสร้างตัวตนของคนชายขอบให้มีพื้นที่ทางสังคม การช่วยเหลือเอื้ออาทร ความไว้ใจกัน เป็นการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างคนไร้บ้านที่ผ่านประสบการณ์การถูกทอดทิ้งจากครอบครัว ชุมชน สังคม เป็นการสร้างพลังในการก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีความหวังในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
———————-
(หลากมิติเวทีทัศน์ : เปิดโลกคนไร้บ้าน We Are CSO ใครๆ ก็เป็นได้ : โดย…ประกาศ เรืองดิษฐ์ ศูนย์เผยแพร่และส่งเสริมงานพัฒนา (ผสพ.))

เรียกร้องก.ม.ลาคลอด120วัน เพื่อ’แม่-ลูก’พันผูกชีวิตครอบครัว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/220628

การศึกษา-สาธารณสุข  :  17 ม.ค. 2559

เรียกร้องก.ม.ลาคลอด120วัน เพื่อ’แม่-ลูก’พันผูกชีวิตครอบครัว

หลากมิติเวทีทัศน์ : เรียกร้องกฎหมายลาคลอด 120 วัน เพื่อ ‘แม่-ลูก’ พันผูกชีวิตครอบครัว : โดย…จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล

                      แน่นอนว่า ความลำบากกว่าจะได้มาซึ่ง “วันลาคลอด” นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก ทั้งที่เป็นสิทธิของผู้หญิงที่พึงได้รับ
                      ด้วยเหตุนี้ จึงนำมาสู่การเคลื่อนไหวของกลุ่มแรงงานหญิงจากหลากหลายอาชีพ องค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม และกลุ่มบูรณาการแรงงานสตรี เพื่อระดมความคิดเห็นและส่งเสียงเรียกร้องให้เกิดกฎหมายลาคลอดเพิ่มขึ้น จากเดิมมีอยู่แล้ว 90 วัน ให้เพิ่มเป็น 120 วัน ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นมาตรฐานสากลที่หลายๆ ประเทศนำมาบังคับใช้ อีกทั้งกฎหมายเดิมของไทยเรานั้นล้าสมัย ไม่ทันต่อสถานการณ์เพราะใช้มายาวนานกว่า 22 ปีแล้ว
                      โดยก่อนหน้านี้ได้มีการร่วมแลกเปลี่ยนในรูปแบบ กิจกรรมเสริมพลังใจให้แรงงานหญิงที่ร่วมขบวนการเคลื่อนไหวกฎหมายลาคลอด รวมถึงการแลกเปลี่ยนผ่านเวทีสัมมนา “บทเรียนการต่อสู้กฎหมายลาคลอด 90 วัน กับทิศทางการพัฒนาสวัสดิการแรงงานหญิง”
                      สำหรับกิจกรรมครั้งนี้ ถือเป็นการร่วมสะท้อนมุมมองการเคลื่อนไหวกฎหมายลาคลอด 90 วัน เป้าหมายเพื่อต้องการให้เห็นบทเรียนจากอดีต 20 ปี ที่กลุ่มแรงงานหญิง เครือข่ายวิชาชีพ สื่อมวลชน นักวิชาการ นักสาธารณสุข ได้ร่วมกันต่อสู้จนประสบความสำเร็จสู่การออกกฎหมายลาคลอด 90 วัน ซึ่งต้องนำวิธีการมาปรับใช้เป็นกลยุทธ์ หรือเอาบทเรียนมาเรียนรู้ มาร่วมเคลื่อนไหว เพิ่มแนวร่วมต่อสู้ให้เกิดสิทธิสวัสดิการใหม่ๆ ครอบคลุมทุกกลุ่มสาขาอาชีพ รวมถึงกลุ่มแรงงานนอกระบบ แรงงานข้ามชาติด้วย ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องตระหนักและมีส่วนร่วม
                      อรุณี ศรีโต กล่าวในมุมมองของประธานแรงงานกลุ่มบูรณาการแรงงานสตรี ว่า ในฐานะที่เคยเคลื่อนไหวต่อสู้เรื่องนี้ จึงอยากเห็นการแก้ไขกฎหมายลาคลอดที่ใช้มานานกว่า 22 ปี ตั้งแต่ปีพ.ศ.2536 โดยการเพิ่มวันลาคลอดให้แรงงานหญิงได้ใช้สิทธิดูแลบุตรหลังคลอดเพิ่มเป็น 120 วัน หรือ 4 เดือน เพราะบทบาทแม่เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก สภาพร่างกายยังไม่ฟื้นตัว ยังไม่แข็งแรง การให้นมบุตรยังทำได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นสิทธิการลาคลอดหรือเพิ่มวันลาคลอดจะช่วยให้คุณแม่ฟื้นตัวได้ดีและเพิ่มความรักความผูกพันแม่สู่ลูก ซึ่งในต่างประเทศมีกฎหมายลาคลอด 6 เดือน บางประเทศ 1 ปี
                      นอกจากนี้ควรให้สิทธิผู้ชายลางาน เพื่อมาดูแลภรรยาและลูกได้ เนื่องจากสิทธินี้ให้เฉพาะราชการลาได้ 15 วัน ซึ่งควรครอบคลุมทุกสาขาอาชีพ ขณะเดียวกันต้องสร้างความเข้าใจกับหัวหน้างานเพราะหากไม่เข้าใจก็ไม่ได้รับการอนุมัติลางาน หรือขาดแทนการลา ส่งผลจนไม่กล้าลา
                      “ขณะนี้ข้าราชการหญิงที่ลาคลอด สามารถลาได้ถึง 90 วัน แต่ขณะเดียวกันสามีของข้าราชการหญิงที่ลาคลอดนั้น หากเป็นข้าราชการจะสามารถลาได้ 2 สัปดาห์ ในการไปดูแลภรรยา แต่ทางกลับกันส่วนของภาคเอกชนสามีที่จะขอลาไปดูแลภรรยาที่ลาคลอดนั้นทำไม่ได้ จึงอยากให้รัฐบาลมองมาที่กฎหมายลาคลอดบ้าง ว่าได้ใช้กฎหมายนี้มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากแล้ว มีอุปสรรคอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ ต้องเปลี่ยนแปลงได้หรือยัง และจากการแลกเปลี่ยนในเวทีครั้งนี้ ต่างต้องการแก้ไข และถ้าทางรัฐบาลจะนำเรื่องนี้ไปจัดการก็ควรที่จะเปลี่ยนแปลงกฎหมายลาคลอดให้อยู่ในระยะเวลา 120 วันด้วย เพื่อให้เป็นสากลเท่าเทียมต่างประเทศที่ทำกัน”
                      ศรีไพร นนทรีย์ กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิต กล่าวในมุมมองของอดีตแรงงานหญิงที่มีบทบาทในการเคลื่อนไหวกฎหมายลาคลอด ว่าเวทีนี้ถือเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะเป็นที่ที่สามารถจะบอกเล่าให้ทุกคนได้รับรู้ถึงเรื่องราวเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการเรียกร้องให้กฎหมายลาคลอด เปลี่ยนแปลงการลาคลอดของลูกจ้างหญิงให้อยู่ในระยะเวลาที่มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งปัจจุบัน ภาคเอกชนอย่างบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือดีแทค เพิ่มระยะเวลาให้พนักงานหญิงเตรียมตัวคลอดและพักฟื้นหลังการคลอดได้ 180 วัน เริ่ม 1 มกราคม 2559 ซึ่งเป็นระเบียบที่ออกมาได้ระยะเวลาลาคลอดมากกว่ากฎหมาย อย่างไรก็ตาม เราจำเป็นต้องรณรงค์ให้กฎหมายลาคลอดอนุญาตให้พนักงานหญิง ข้าราชการ และภาคเอกชน ลาคลอดได้ถึง 90 วัน อย่างเป็นกิจจะลักษณะเท่าเทียมกันก่อน เพื่อนำมาสู่การเพิ่มวันลาคลอดต่อไป ซึ่งกฎหมายนี้ควรครอบคลุมลูกจ้างหญิงทุกกลุ่มอาชีพ
                      สุภาวดี เพชรรัตน์ ผู้อำนวยการมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม กล่าวว่า การถอดบทเรียนกฎหมายลาคลอดสู่ความสำเร็จมีปัจจัยหลายด้าน สมัยนั้นกลุ่มแรงงานได้ร่วมกันผลักดันกฎหมายประกันสังคม จนเป็นผลพวงความสำเร็จมาสู่กฎหมายลาคลอด เพราะทุกคนเห็นถึงพลังในการเคลื่อนไหว ช่วงนั้นมีการสื่อสาร จัดทำข้อมูลสร้างกระบวนการ สร้างการรับรู้และรณรงค์อย่างต่อเนื่อง จนทุกภาคส่วนรับรู้ขานรับและอยากมีส่วนร่วมผลักดัน ทำให้รัฐบาลเห็นความสำคัญนำมาสู่การออกกฎหมายลาคลอด 90 วัน ซึ่งประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จนี้ อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้หญิง หากเป็นไปได้ควรมีการแก้กฎหมายเพิ่มวันลาคลอดเป็น 120 วัน รวมถึงให้ผู้ชายลาเพื่อไปดูแลภรรยาและลูกด้วย นอกจากนี้ควรมีนโยบายจากภาครัฐจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กที่ปลอดภัยในย่านอุตสาหกรรม ชุมชน
                      สุจิตตรา ฝาสันเทียะ ตัวแทนแม่ที่อยู่ระหว่างใช้สิทธิลาคลอดและตัวแทนเครือข่ายครอบครัว กล่าวว่า เป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่เพิ่งคลอดลูกคนที่สอง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการใช้สิทธิลาคลอด ได้มีโอกาสอยู่บ้านเลี้ยงดูลูกให้นมลูก แม้จะเป็นเวลาเพียงสั้นๆ 3 เดือน แต่ก็เป็นช่วงที่มีคุณค่ายิ่งสำหรับคนเป็นแม่ ยังนึกภาพไม่ออกว่า ถ้าวันนี้สังคมไทยไม่มีกฎหมายลาคลอด 90 วัน คนเป็นแม่และลูกๆ ในประเทศนี้จะตกอยู่ในสภาพอย่างไร
                      “คนจำนวนมากเข้าใจว่ากฎหมายหรือเรื่องดีๆ ในประเทศนี้ มาจากนโยบายของนักการเมือง ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นความจริงเพียงเสี้ยวเดียว กรณีกฎหมายลาคลอดนี้ชัดเจนมาก เมื่อได้ศึกษาดูจึงรู้ว่ากว่าจะได้กฎหมายมา ต้องใช้คำว่า “เลือดตาแทบกระเด็น” ต้องใช้พลังแห่งความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ในการต่อสู้กับผู้ที่เห็นต่าง การข่มขู่คุกคามจากนายจ้างที่เห็นแก่ประโยชน์ตัวเอง และโน้มน้าวให้ฝ่ายการเมืองเห็นชอบ” น.ส.สุจิตตรา ระบุ
                      เรียกได้ว่า 22 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่า กฎหมายฉบับนี้ มีคุณูปการมากมายต่อผู้หญิง ต่อเพศแม่ ต่อลูกๆ และครอบครัวไทย ดังนั้น ผู้ใช้สิทธิลาคลอดทั่วประเทศคงต้องฝากความหวังไว้กับผู้มีอำนาจว่ากฎหมายดีๆ แบบนี้จะขยับสู่การลาคลอดได้ 120 วันได้อย่างไร
                      ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจศึกษารายละเอียดความเป็นมา บทเรียนการต่อสู้กฎหมายลาคลอด 90 วันซึ่งรวบรวมการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิประโยชน์สู่การเปลี่ยนแปลง โดยสามารถติดต่อขอรับหนังสือ ได้ที่มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล หรือโทร.0-2513-2889
———————–
(หลากมิติเวทีทัศน์ : เรียกร้องกฎหมายลาคลอด 120 วัน เพื่อ ‘แม่-ลูก’ พันผูกชีวิตครอบครัว : โดย…จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล)

ข้อตกลงปารีส คอป21 ความรับผิดชอบอย่างเป็นธรรมที่หายไป

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/220184

การศึกษา-สาธารณสุข  :  10 ม.ค. 2559

ข้อตกลงปารีส คอป21 ความรับผิดชอบอย่างเป็นธรรมที่หายไป

หลากมิติเวทีทัศน์ : ข้อตกลงปารีส คอป21 ความรับผิดชอบอย่างเป็นธรรมที่หายไป : โดย … Climate Watch Thailand

                      การจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือโลกร้อน ไม่ได้จบลงด้วยการได้ข้อตกลงปารีส ซึ่ง 195 ประเทศทั่วโลก ได้ร่วมลงนามรับรองกันเมื่อครั้ง การประชุมภาคีสมาชิกอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 หรือ คอป 21 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
                      เรายังต้องติดตามการเจรจาและการดำเนินการของแต่ละประเทศในอีกหลายเดือนหรือหลายปีข้างหน้าต่อไป ที่จะเป็นบทพิสูจน์ว่า ข้อตกลงปารีสมีความหมาย มีความเข้มข้น และมีความเป็นธรรมเพียงใด ในการนำพาโลกเราไปสู่การบรรลุการเพิ่มระดับอุณหภูมิไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส หรือแม้กระทั่ง 1.5 องศาฯ
                      ข้อตกลงปารีส นับได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์สำหรับมวลมนุษยชาติทีเดียว นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศร่ำรวยหรือยากจน ประเทศพัฒนาแล้วหรือประเทศกำลังพัฒนา มีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและจัดการกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยทั้ง 195 ประเทศ จะเดินหน้าการพัฒนาและการเติบโตของประเทศไปในทิศทางที่ห่างไกลจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อสร้างเศรษฐกิจและอนาคตสีเขียว พร้อมกับการสร้างสังคมที่มีภูมิคุ้มกันและมีความเข้มแข็งในการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
                      จากข้อตกลงปารีส โลกมีเป้าหมายร่วมกันในการจำกัดอุณหภูมิของโลกให้สูงขึ้นไม่เกิน 2 องศาฯ โดยมุ่งความพยายามที่จะจำกัดอุณหภูมิโลกให้อยู่ที่ 1.5 องศาฯ  การอ้างอิงกับ 1.5 องศาฯ นี้ ก็ถือเป็นประวัติศาสตร์ของโลกทีเดียว ที่แสดงให้เห็นว่าประเทศต่างๆ ได้ตระหนักถึงความจำเป็นความเร่งด่วนของประเทศยากจนและประเทศที่มีความเปราะบางอย่างมากต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงได้ร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการรับรองเป้าหมายอุณหภูมิที่มีความเข้มข้นนี้ และมีการเสนอให้คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ IPCC จัดทำรายงานฉบับพิเศษว่าด้วยผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้น 1.5 องศาฯ
                      ปารีสตระหนักดีว่าความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตาม INDCs (การกำหนดเป้าหมายสนับสนุนในระดับประเทศอย่างมุ่งมั่น)นั้น ไม่เพียงพอ จึงได้กำหนดให้ประเทศต่างๆ มีการสื่อสารและรายงานการดำเนินการตาม INDCs ในปี 2020 และทุกๆ 5 ปีหลังจากนั้น เพื่อปรับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซฯ ให้เข้มข้นขึ้น จาก INDCs เราเห็นถึงความพยายามและความสมัครใจของประเทศกำลังพัฒนาในการลดการปล่อยก๊าซฯ แต่เราไม่เห็นความเป็นภาคบังคับของประเทศพัฒนาแล้วที่จะเป็นผู้นำในการลดการปล่อยก๊าซฯ อย่างเข้มข้น จากข้อตกลงปารีส ทุกประเทศจะมาร่วมกันทบทวนและปรับเป้าหมายให้เข้มข้นขึ้นทุกๆ 5 ปี ความแตกต่างในความพยายามระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนากำลังไม่ชัดเจน ความรับผิดชอบและการเป็นผู้นำในการลดการปล่อยก๊าซญ ของประเทศพัฒนาแล้วกำลังเลือนหายไป
                      เป้าหมายระยะยาวในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการกำหนดอุณหภูมิโลกไว้สูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาฯ นี้ กำลังสร้างแรงกระเพื่อมต่ออุตสาหกรรมสกปรก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมฟอสซิล นี่เป็นสัญญาณที่สำคัญและชัดเจนอย่างยิ่งต่อธุรกิจและกลุ่มผู้ลงทุน ถึงทิศทางที่จะเดินหน้าเพื่อให้โลกบรรลุเป้าหมายการจำกัดอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งมีเพียงทิศทางเดียวเท่านั้น นั่นคือ การเลิกพึ่งพาฟอสซิล โลกเรากำลังเดินหน้าสู่ทิศทางการเริ่มต้นแห่งยุคอวสานของอุตสาหกรรมฟอสซิลแล้ว
                      และนับเป็นครั้งแรกอีกเหมือนกัน ที่ข้อตกลงปารีสได้ตระหนักถึงความต้องการและความพยายามของประเทศกำลังพัฒนาในการจัดการกับผลกระทบจากโลกร้อน อุณหภูมิที่สูงขึ้นในขณะนี้ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงและอันตรายอย่างมากแล้วต่อประเทศยากจนและประเทศที่เปราะบางที่สุด อีกทั้งยังได้ตระหนักถึงความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนของความจำเป็นและความต้องการอย่างเร่งด่วนในการปรับตัวกับอุณหภูมิที่จะสูงขึ้นแต่ละองศา
                      หากความพยายามในการลดการปล่อยและการดำเนินการเพื่อการปรับตัวประสบความล้มเหลว จะก่อให้เกิดความสูญเสียและความเสียหายขึ้น ชุมชนจะประสบกับการสูญเสียทรัพย์สิน ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ สูญเสียแผ่นดินอย่างถาวร วัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตหายไป และแม้กระทั่งสูญเสียชีวิต ปารีสได้บรรจุเรื่องการสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage) ไว้เป็นหนึ่งมาตราแยกออกจากเรื่องการปรับตัว ข้อตกลงปารีสได้ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสามารถในการจัดการความเสี่ยงและการสร้างภูมิคุ้มกัน (ก่อนที่ความสูญเสียและความเสียหายจะเกิดขึ้น) พร้อมจัดตั้งคณะทำงานเพื่อจัดการการย้ายถิ่นอันเนื่องมาจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ไม่มีการพูดถึงการชดเชย (เมื่อเกิดความสูญเสียและเสียหายขึ้น) และความรับผิดชอบทางกฎหมายและอย่างเป็นธรรมของประเทศที่ปล่อยสูง ที่เป็นสาเหตุให้เกิดความสูญเสียและความเสียหาย การบรรจุเรื่องความสูญเสียและความเสียหายไว้เป็นอีกหนึ่งมาตรานี้ ก็นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญต่อแนวทางต่อไปที่ประชาคมโลกจะได้ร่วมมือกันเตรียมการและตอบสนองต่อเหตุการณ์รุนแรงทางสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งเปิดโอกาสให้มีการเจรจาในรายละเอียดต่อไป
                      ในเรื่องการเงิน ประเทศพัฒนาแล้วจะให้การสนับสนุนด้านการเงินปีละ แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปจนถึงปี 2025 แต่ข้อตกลงปารีสกลับแสดงให้เห็นถึงความไม่ชัดเจนของความรับผิดชอบอย่างเป็นธรรมของประเทศพัฒนาแล้ว นอกจากจะไม่มีความเข้มข้นในการบังคับให้ประเทศพัฒนาแล้วสนับสนุนด้านการเงินต่อไปภายหลังจากปี 2025 แล้ว ข้อตกลงปารีสกลับมีความยืดหยุ่นในเรื่องการเงินเพื่อการจัดการกับโลกร้อน โดยให้มีการกำหนดเป้าหมายการเงินใหม่หลังจากนั้น และไม่ระบุว่าใครจะเป็นผู้สนับสนุน และในขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้ประเทศกำลังพัฒนาเข้ามาช่วยเรื่องการเงินด้วย โดยความสมัครใจ แม้จะเป็นความสมัครใจ แต่ก็นับเป็นการเริ่มดึงให้ประเทศกำลังพัฒนาเข้ามามีส่วนร่วมแสดงความรับผิดในเรื่องการเงินด้วย จากเป้าหมายปารีสที่ต้องการให้มีการไหลเวียนของเงินเพื่อให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาฯ เรากลับยังไม่เห็นความชัดเจนถึงการเงินที่คาดการณ์ได้ในอนาคต
                      2 องศาฯ และ 1.5 องศาฯ จากปารีสส่งสัญญาณสำคัญต่อการเลิกพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล แล้วหันมาใช้พลังงานหมุนเวียน และส่งสัญญาณถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องมีการจัดการความเสี่ยงและปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะความเสี่ยงและความรุนแรงจะยิ่งมากขึ้นเมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้นไปจากระดับที่เป็นอยู่ขณะนี้ แต่ยังไม่มีความชัดเจนและขาดความเป็นธรรมในเรื่องกลไกที่จะตอบรับกับสัญญาณดังกล่าว ความรับผิดชอบที่เป็นธรรมจากประเทศพัฒนาแล้วกำลังแผ่วลง โดยเฉพาะเรื่องความเข้มข้นในการลดการปล่อยและการสนับสนุนด้านการเงิน ในขณะที่การดำเนินการและความสมัครใจในการมีส่วนร่วมรับผิดชอบของประเทศกำลังพัฒนากำลังมีความชัดเจนขึ้น เราเริ่มมองเห็นความรับผิดชอบที่มากขึ้นจากประเทศกำลังพัฒนา
                      ข้อตกลงปารีส ไม่เพียงพอที่จะทำให้โลกเราปลอดภัยและมีอุณหภูมิสูงขึ้นไม่เกิน 2 องศาฯ หรือ 1.5 องศาฯ เราจะต้องติดตามรายละเอียดต่างๆต่อไป โดยเฉพาะเรื่องการเงินที่จะต้องมีเพิ่มเติมมากขึ้นและคาดการณ์ได้เพื่อการลดการปล่อยและการปรับตัว เป้าหมายการลดการปล่อยที่เข้มข้น การปรับตัว การจัดการกับความสูญเสียและความเสียหายและการชดเชย รวมทั้งความพยายามและความแตกต่างของความรับผิดชอบระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา บนพื้นฐานของความเป็นธรรมในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่าง
———————
(หลากมิติเวทีทัศน์ : ข้อตกลงปารีส คอป21 ความรับผิดชอบอย่างเป็นธรรมที่หายไป : โดย … Climate Watch Thailand)

ชูแนวคิด ‘เปิดปรับเปลี่ยน’ ช่วยยับยั้งความรุนแรง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/218887

การศึกษา-สาธารณสุข  :  20 ธ.ค. 2558

ชูแนวคิด ‘เปิดปรับเปลี่ยน’ ช่วยยับยั้งความรุนแรง

หลากมิติเวทีทัศน์ : ชูแนวคิด ‘เปิดปรับเปลี่ยน’ ช่วยยับยั้งความรุนแรง : โดย…อังคณา อินทสา

                      ปฏิเสธไม่ได้ว่า สังคมไทยยังมีปัญหาความรุนแรงต่อเด็กและสตรีเกิดขึ้นมากมาย และนับวันยิ่งมีแนวโน้นเพิ่มความรุนแรง โดยรูปแบบของพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงก็มีให้เห็นเริ่มตั้งแต่ด่าทอพูดจาหยาบคาย ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย บางรายถึงขั้นบาดเจ็บและเสียชีวิต นอกจากนี้หากครอบครัวใดที่พ่อแม่หรือคนในบ้านขัดแย้งกัน ต่างคนต่างใช้ความรุนแรง ผลกระทบจะมาตกอยู่ที่ลูก ซึ่งเมื่อเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ เขาจะซึมซับจดจำเลียนแบบพฤติกรรม พัฒนาไปสู่ความรุนแรงเมื่อโตขึ้น
                      แน่นอนว่า สภาพปัญหาเหล่านี้ยังไม่มีท่าทีว่าจะลดลงหรือถูกหยิบยกไปแก้ไขได้อย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตาม องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนแห่งการรณรงค์เพื่อยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี หากย้อนดูสถานการณ์ความรุนแรงในไทย โดยคณะกรรมาธิการสังคมกิจการเด็กเยาวชนสตรีผู้สูงอายุคนพิการและผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยข้อมูลตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม 2558 พบว่ามีสถิติการใช้ความรุนแรงกว่า 3 หมื่นคน แบ่งเป็นเด็กถูกกระทำ 1.9 หมื่นคน สตรี 1.2 หมื่นคน โดย 90% ของกลุ่มเด็กเป็นหญิงอายุระหว่าง 10-15 ปี ส่วนใหญ่ถูกทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศ
                      นอกจากนี้ยังมีสถานการณ์ความรุนแรงต่อเด็กที่เห็นเด่นชัดผ่านเวทีเสวนาและกิจกรรมรณรงค์เนื่องในโอกาสวันยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก ประจำปี 2558 ภายใต้แนวคิด “เปิดปรับเปลี่ยน : หยุดความรุนแรง” ที่มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดขึ้น ภายในงานมีการแสดงละครสะท้อนปัญหาความรุนแรงครอบครัวและการขับขานบทเพลง “เจ้าผีเสื้อเอย” โดยนักเรียนจากโรงเรียนวัดโพธิ์เรียง เขตบางกอกน้อย กทม. ซึ่งมีเนื้อหาสะท้อนถึงการปกป้องเด็กและเยาวชน
                      สิทธิศักดิ์ พนไธสงค์ ฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่ายมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เปิดเผยว่า มูลนิธิได้มีการลงพื้นที่เก็บรวบรวมความคิดเห็นสถานการณ์ปัญหาความรุนแรง โดยสำรวจเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ในมุมมองของลูกกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว จาก 26 โรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด สัดส่วนชายต่อหญิงครึ่งต่อครึ่ง พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยู่กับพ่อและแม่ โดย 85.1% ยอมรับว่า คนในครอบครัวเคยมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกัน กิจวัตรประจำวันของคนในครอบครัวที่น่าห่วงคือมีสูงถึง 70.6% ติดมือถือ เล่นไลน์ เฟซบุ๊ก ขณะที่ 63.4% โต้เถียง ด่าทอ พูดจาหยาบคาย 62.8% พ่อแม่ทำงานหนักไม่มีเวลาให้ลูก 57% คนในครอบครัวดื่มเหล้า/เบียร์/เล่นการพนัน อบายมุข เมื่อถามถึงความรู้สึกที่พ่อแม่ทะเลาะกัน พบว่าเด็กๆ ส่วนใหญ่รู้สึกเสียใจร้องไห้ กลัว กังวล เครียด เบื่อ เซ็ง หมดกำลังใจ หรือมีแม้กระทั่งพบเห็นบ่อยจนชินไปแล้ว ทั้งนี้สิ่งที่เด็กๆ เลือกทำเมื่อเห็นคนในครอบครัวทะเลาะกันคือ 23.4% เลือกที่จะเข้าไปห้าม 14.4% เลือกที่จะอยู่เฉยๆ 10% ขอเก็บปัญหาไว้คนเดียวไม่บอกใคร แต่ที่น่าห่วงคือ 6.7% อยากจะประชดพ่อแม่
                      สิทธิศักดิ์ ฝากข้อเสนอเพื่อเป็นแนวทางนำไปสู่การแก้ปัญหาความรุนแรงฯ ว่า ก่อนอื่นต้องเริ่มจากการเปิดใจโดยเฉพาะพ่อและแม่ต้องเปิดใจเปิดความคิดเปิดโอกาสจากตนเองพูดคุยกัน ยอมรับปัญหา ไม่ใจร้อน ตัดสินปัญหาด้วยอารมณ์ นอกจากนี้การปรับวิธีคิด ปรับพฤติกรรม ปรับเปลี่ยนทัศนคติลดทิฐิ ยกศักดิ์ศรีของตนเองออกไปก่อน เลิกคิดว่าการนิ่งเฉยต่อปัญหาเป็นทางแก้ปัญหาที่ถูกต้อง รวมถึงต้องสร้างกติกาการอยู่ร่วมกัน เช่น เมื่อเกิดข้อคับข้องใจต่อกัน ให้พยายามพูดคุยแทนการนิ่งเฉย ขณะเดียวกันต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนพฤติกรรม พยายามทำกิจกรรมร่วมกันกับคนในครอบครัวให้มากขึ้น รู้จักขอโทษให้เป็น เปลี่ยนพฤติกรรมในการอยู่ร่วมกัน ไม่เจ้าชู้ช่วยกันแบ่งเบาภาระในบ้าน เลี้ยงลูก-ทำงานบ้าน ตั้งมั่นว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงทั้งกาย วาจา ต่อคนในครอบครัว และจะไม่ตอกย้ำข้อผิดพลาดในอดีตของคนในครอบครัว หรือเปรียบเทียบกับคนอื่น ตั้งมั่นว่าจะลดละเลิกเหล้าเบียร์อบายมุขต่างๆ ที่กระตุ้นให้เกิดความรุนแรงในครอบครัว
                      นอกจากนี้ขอฝากไปยังกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ควรมีกิจกรรมรณรงค์เพื่อยุติความรุนแรงที่ต่อเนื่อง รวมไปถึงรณรงค์ให้ครอบครัวมีวันครอบครัวอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน เพื่อได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน เปิดใจคุยกัน ปรับทุกข์ให้อภัยซึ่งกันและกัน ตลอดจนรณรงค์กับกลุ่มผู้กระทำความรุนแรง (ผู้ชาย) ให้เป็นคนต้นแบบในการปรับทัศนคติเรื่องชายเป็นใหญ่อย่างต่อเนื่องและขอให้รณรงค์สร้างความตระหนักกับครอบครัว เพื่อให้เห็นถึงโทษภัยจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญในการก่อปัญหาความรุนแรงต่างๆ
                      นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ผอ.สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวว่า จากผลสำรวจสะท้อนว่า ครอบครัวมีความขัดแย้งหลายระดับ ตั้งแต่การทะเลาะ ด่าทอ พูดจาหยาบคาย ทำร้ายร่างกาย ทำลายข้าวของ ซึ่งครอบครัวที่ดื่มเหล้าเบียร์หรือเล่นการพนัน มีโอกาสขัดแย้งมากขึ้น
                      อย่างไรก็ตามต้องรณรงค์เชิญชวนให้ทุกครอบครัวเกิดแนวความคิด “เปิดปรับเปลี่ยน” เพื่อยุติความรุนแรง เพราะจากสถิติดังกล่าว เด็กจำนวนมากที่เติบโตในครอบครัวที่มีความขัดแย้ง สภาพแบบนี้ทำร้ายจิตใจเด็ก ซึ่งหากมองในมุมหนึ่งจะพบว่า ความรุนแรงในครอบครัวเหล่านี้ มีสภาพเสมือนโรคติดเชื้อกระโดดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกและไปสู่รุ่นต่อๆ ไปไม่สิ้นสุด เด็กจะรู้สึกเจ็บปวดจนชาชิน มองเห็นความรุนแรงเป็นเรื่องธรรมดา และใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาเมื่อเติบโตขึ้น รวมถึงการดื่มเหล้าเบียร์หรือเล่นการพนันจะเพิ่มโอกาสก่อความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นอีก
                      นางน้อย (นามสมมุติ) อายุ 45 ปี ผู้ที่เคยประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัว กล่าวว่า ก่อนหน้านี้อยู่กินกับสามีมากว่า 20 ปี สามีไม่เคยทำร้ายร่างกาย แต่พอเขาเริ่มดื่มเหล้า ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนไปเช่น หึงหวงกล่าวหาว่ามีชู้ โมโหร้าย พูดหยาบคาบ ชอบดุด่าต่อหน้าลูก ถูกทุบตีหลายครั้ง รุนแรงที่สุดคือพอเมาเหล้าก็เดินเข้ามาทำร้ายร่างกายใช้สายไฟมัดมือ ใช้โซ่ลาม ใช้เข็มขัด และไม้แขวนเสื้อตีบริเวณลำตัว กระทั่งบังคับหลับนอน ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อลูกชายคนเล็กโดยตรง เพราะอยู่ในเหตุการณ์ทุกครั้ง ลูกชายเริ่มมีพฤติกรรมโกรธเก็บตัวเงียบ ทำลายข้าวของ ติดเกม การเรียนต่ำลง
                      “ช่วงนั้นต้องทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ หวาดผวา กลัวไปทุกอย่าง สุขภาพจิตก็แย่ เคยคิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง เมื่อเกิดเรื่องก็เข้าแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจนับสิบครั้ง และปรึกษากับทางมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ให้เอาผิดตามกระบวนการทางกฎหมาย เมื่อคดีสิ้นสุดก็ได้แยกทางกันและอดีตสามีก็รับผิดชอบค่าเลี้ยงดูบุตร อย่างไรก็ตามฝากไปถึงผู้หญิงที่ต้องเผชิญปัญหาแบบนี้ ให้ไตร่ตรองคิดให้รอบคอบ การทนอยู่ในสภาพแบบนี้เพื่อครอบครัว แต่สุดท้ายแล้วเราจะไม่มีความสุข ลูกก็จะไม่มีความสุขซึ่งมันยังไม่สายที่จะทบทวน ตอนนี้ตั้งใจจะดูแลลูกให้ดีที่สุด และขอให้นำบทเรียนของตนเองเป็นอุทาหรณ์เพื่อใช้เตือนสติ” นางน้อย กล่าว
                      นายเอ (นามสมมุติ) อดีตผู้ที่เคยใช้ความรุนแรงในครอบครัว กล่าวว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้นหลังจากเลิกเสพยา หันมาดื่มเหล้า เริ่มดื่มหนัก พอเมาก็มักจะใช้ความรุนแรงกับภรรยา ทั้งโมโหร้าย ทำร้ายร่างกายตบตี นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องงาน มีหนี้สิน เกิดความเครียดสะสม ทำร้ายร่างกายภรรยาจนต้องหอบเสื้อผ้าหนีไปอยู่บ้านแม่ ซึ่งการใช้ความรุนแรงส่งผลต่อลูกโดยตรง ลูกอยู่ในเหตุการณ์เห็นพ่อทำร้ายแม่ บางครั้งพลาดเตะไปโดนลูกขณะเข้ามาห้าม ลูกร้องไห้ตลอด กลายเป็นคนกลัวพ่อหวาดระแวง กลัวพ่อทำร้ายแม่ และกลัวตัวเองถูกทำร้าย ลูกไม่กล้าเข้าใกล้ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบทำให้ลูกมีพฤติกรรมก้าวร้าว ใช้คำพูดรุนแรงกับเพื่อน หยาบคายด่าทอเพื่อน มีปัญหาด้านการเรียน ทะเลาะกับเพื่อน จนถูกเชิญผู้ปกครอง
                      “เมื่อเริ่มคิดได้ จึงปรับเปลี่ยนตัวเองเริ่มลดละเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยอมรับความผิดพลาดพยายามเปลี่ยนแปลงช่วยงานบ้านภรรยา ตอนนี้ครอบครัวมีความสุข ตอนเช้าออกไปทำงานเย็นช่วยงานภรรยาและไปรับลูกที่โรงเรียน กินข้าวด้วยกันพร้อมหน้า เราสนิทกันมากขึ้น” นายเอ (นามสมมุติ) กล่าว
                      ถึงเวลาแล้ว ที่สังคมไทยต้องสร้างความเข้าใจว่า ความรุนแรงต่อเด็กและสตรี หรือแม้กระทั่งความรุนแรงในครอบครัว ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป ทุกคนต้องร่วมกันเป็นหูเป็นตาเพื่อเปิดปรับเปลี่ยนหยุดความรุนแรง อีกทั้งต้องช่วยกันหากพบเจอต้องแจ้งเพื่อควบคุมและลดความสูญเสีย ส่วนรัฐเองต้องจริงใจแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเสียที
——————–
(หลากมิติเวทีทัศน์ : ชูแนวคิด ‘เปิดปรับเปลี่ยน’ ช่วยยับยั้งความรุนแรง : โดย…อังคณา อินทสา)

พลังชุมชนท้องถิ่น ร่วมใจรับมือภัยพิบัติ ‘จัดการภัยสุขภาวะ’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151213/218451.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2558
พลังชุมชนท้องถิ่น ร่วมใจรับมือภัยพิบัติ 'จัดการภัยสุขภาวะ'

หลากมิติเวทีทัศน์ : พลังชุมชนท้องถิ่น ร่วมใจรับมือภัยพิบัติ ‘จัดการภัยสุขภาวะ’ : โดย…ปรีดา คงแป้น มูลนิธิชุมชนไท

                      “เมื่อก่อนเมืองไทยไม่มีภัยพิบัติมาก เพราะการอาศัยอยู่กับธรรมชาติ แต่ระยะหลังตั้งแต่สึนามิเป็นต้นมา ได้เกิดภัยพิบัติทั้งพายุ ดินถล่ม มาถึงมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 คิดว่าธรรมชาติเตือนเรา ไม่ให้เราหลงละเลิงแข่งขันกันเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้” ดร.ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ เคยกล่าวเอาไว้
                      ภัยพิบัติธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ แต่มีวิธีที่จะลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้ โดยการเรียนรู้และเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ อย่างไม่ประมาท และมีสติ
                      ดังนั้น การสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่นเป็นแกนหลักในการจัดการภัยพิบัติ จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะจากบทเรียนทั่วโลก พบว่า “แผนจัดการภัยพิบัติระดับชาติมักล้มเหลว หากประชาชนไม่รู้ว่าตนเองต้องทำอะไร อย่างไร เมื่อภัยมา”
                      บทเรียนการดำเนินงานโครงการเสริมพลังความร่วมมือในการจัดการภัยพิบัติของเครือข่ายชุมชน โดยใช้บทเรียนการ “พลิกวิกฤติเป็นโอกาส” สร้างการเรียนรู้ท่ามกลางการทำ “เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ” ด้วยหลักการสนับสนุนให้ชุมชนเรียนรู้ท่ามกลางการ “ตั้งทีม” ลุกขึ้นมารวมกลุ่มแก้ปัญหาร่วมกับองค์กรท้องถิ่นและภาคีความร่วมมือต่างๆ ที่เข้าไปสนับสนุน เปลี่ยนจาก ชุมชนประสบภัย มาเป็น ชุมชนป้องกันภัย ด้วยการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติของชุมชนให้มีทีมอาสาสมัครจัดการภัยพิบัติ มีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ มีกระบวนการต่างๆ เช่น การฝึกอบรมอาสาสมัครภัยพิบัติ การมีแผนเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ การซ้อมแผนอพยพ การฟื้นฟูวิถีชีวิตชุมชน การดูแลสิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยโครงการนี้ได้ขยายผลดำเนินงานออกไปใน 10 พื้นที่ซึ่งกระจายใน 10 จังหวัด
                      อย่างเช่น เครือข่ายรักษ์อ่าวไทยตอนบน นำร่องในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ กทม. (บางขุนเทียน) สมุทรปราการ สมุทรสาคร จำนวน 11 ชุมชน และเชื่อมโยงการแก้ปัญหาภาพรวมร่วมกันของทั้งเครือข่าย เช่น ปัญหามลพิษจากการขนส่งถ่านหิน ปัญหาน้ำจืด น้ำเสียลงอ่าวไทยจำนวนมาก จนส่งผลกับการเพาะเลี้ยงชายฝั่งของชาวบ้าน การรุกล้ำเขตประมงพื้นบ้าน ฯลฯ
                      จึงมีการร่วมกันฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติทั้งสัตว์น้ำและป่าชายเลน ซึ่งมีภาคีความร่วมมือหลายองค์กรสนับสนุน รวมทั้งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สำหรับประเด็นเชิงนโยบาย มีการเข้าร่วมร่าง พ.ร.บ.การจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง การส่งผู้แทนเข้าร่วมเป็นกรรมการระดับจังหวัดตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว รวมทั้งติดตามนโยบายการจัดการน้ำ
                      เครือข่ายสิ่งแวดล้อมจังหวัดปทุมธานี เป็นพื้นที่ที่มีคูคลองหลายสาย มีการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายเพราะมีการบำบัดน้ำเสียรายครัวเรือนที่คลองบางปรอกและขยายผลจนได้รับรางวัลจากกองทุนสิ่งแวดล้อม ส่วนชุมชนที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งอยู่นอกคันกั้นน้ำป้องกันน้ำท่วมของ กทม. ทำให้ชุมชนเหล่านี้ มีปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากทุกปี โดยเฉพาะในปีที่น้ำท่วมสูง จะมีผลกระทบมาก จึงมีกระบวนการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ โดยการตั้งศูนย์ประสานงาน มีทีมอาสมัคร มีการอบรมเยาวชนเรื่องการเฝ้าระวังระดับน้ำ มีการนำร่องเรื่องบ้านลอยน้ำ ในพื้นที่ อบต.กะแชง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เมื่อน้ำท่วมไม่ต้องอพยพไกล สามารถใช้ห้องน้ำ ประกอบอาหารร่วมกันได้ ฯลฯ
                      เครือข่ายชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี เป็นเครือข่ายชุมชนแออัดในเมือง ส่วนหนึ่งอยู่ริมแม่น้ำมูล มีจำนวน 9 ชุมชน ที่มีปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากทุกปี เพราะมีการถมที่ดินเพื่อการพัฒนาเมือง แต่ชุมชนคนจนเหล่านี้ไม่ได้ถมที่ดินจึงต้องอยู่ในที่ลุ่มรับน้ำ มีการรับมือภัยพิบัติ ด้วยการสรุปบทเรียนน้ำท่วม และทำปฏิทินภัยพิบัติ พบว่าในแต่ละปีมีน้ำท่วม 2-4 เดือน อันเป็นเหตุความยากจน เพราะเป็นช่วงที่ไม่มีรายได้ และเมื่อน้ำลดก็ต้องเสียค่าขนย้าย ค่าซ่อมแซมบ้าน จึงมีกระบวนการสู้ภัย ด้วยใจชุมชนขึ้น มีอาสาสมัคร มีการอบรม จัดทำแผนในการรับมือ และฟื้นฟูชุมชน มีศูนย์ประสานงาน ฯลฯ
                      มีการทำพื้นที่ต้นแบบร่วมกับ อบต.คูสว่าง โดยการทำบ้านอเนกประสงค์ ถอดประกอบได้ง่าย จำนวน 40 ห้อง เพื่อรองรับกลุ่มที่มีปัญหาน้ำท่วม ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น นอกจากนี้ ได้ออกแบบเรือที่เหมาะสมกับแม่น้ำมูล ไม่ต้านคลื่น
                      เครือข่ายชุมชนจังหวัดพังงา จากบ้านน้ำเค็มเป็นพื้นที่ต้นแบบ ขยายผลสู่จังหวัดอื่นและเป็นที่ศึกษาดูงานนั้น ได้รับการสนับสนุนจากผู้ว่าราชการจังหวัด ในการทำโครงการรัฐร่วมราษฎร์จัดการภัยพิบัติขยายผลออกสู่ตำบลต่างๆ อีก 8 ตำบล โดยคณะทำงานภัยพิบัติจังหวัดพังงา ได้ลงพื้นที่เพื่อประสาน กระตุ้นและสนับสนุนความรู้ทั้งการแนะนำจากประสบการณ์ตนเอง และการประสาน ปภ.จังหวัดไปอบรมให้ความรู้แก่อาสาสมัคร ซึ่งเป็นที่น่าสนใจ เพราะได้รับความร่วมมือจากผู้นำท้องถิ่นในแต่ละตำบลเป็นอย่างมาก ซึ่งกระบวนการเหล่านี้สามารถพัฒนาไปสู่เรื่องอื่นๆ ร่วมกันได้ เช่น หากมีน้ำท่วม ตำบลใกล้เคียงจะไปช่วยเหลือกัน หรือการมีแผนดูแลป่าชายเลน เพื่อความมั่นคงทางอาหารและลดโลกร้อนร่วมกันทั้งจังหวัด เป็นต้น
                      นอกจากการสร้างพื้นที่รูปธรรม เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการจัดการภัยพิบัติในพื้นที่แล้ว ยังมีการสนับสนุนให้เกิดการประชุมสัมมนา เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันเป็นระยะ จนนำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายหลายประการ
                      1. การปฏิรูประบบการจัดการภัยพิบัติโดยชุมชน เพื่อลดความเสี่ยงของประชาชน ในการเตรียมความพร้อมก่อนเกิดเหตุ การช่วยเหลือระหว่างเกิดเหตุ และการฟื้นฟูเยียวยาหลังเกิดเหตุ โดยเสริมความรู้ความสามารถร่วมกันทุกภาคส่วนในการจัดการภัย เสริมศักยภาพอาสาสมัครจัดการภัยพิบัติ การจัดทำแผนเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติโดยชุมชน การสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ตามแผนรับมือภัยพิบัติตรงไปที่ชุมชน
                      2. จัดตั้งกองทุนและคณะกรรมการบริหารกองทุนการจัดการภัยพิบัติ เพื่อทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ อบรมพัฒนาเตรียมความพร้อมการศึกษาวิจัยและพัฒนาความรู้ด้านการจัดการภัยพิบัติชุมชน การสื่อสารสาธารณะ ตลอดจนให้มีกองทุนระดับท้องถิ่น ที่จะส่งเสริมความเข้มแข็งชุมชนและเครือข่ายฯ เตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ โดยให้กระทรวงมหาดไทยสมทบกองทุนการจัดการภัยพิบัติของท้องถิ่น
                      3. ปฏิรูปกลไกคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ มาจากผู้แทนชุมชนที่มีประสบการณ์ด้านการจัดการภัยพิบัติ ผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชนที่มีบทบาทในการส่งเสริมชุมชนในการจัดการภัยพิบัติ เพิ่มอำนาจหน้าที่ ให้เป็นกรรมการที่มีอำนาจสั่งการ บริหารจัดการในขณะเกิดภัยพิบัติ และให้มีคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับจังหวัด ระดับตำบล เป็นผู้พิจารณาประกาศภัยพิบัติ พิจารณาจัดทำแผนการจัดการภัยพิบัติ พิจารณาให้การช่วยเหลือและฟื้นฟูภัยพิบัติ โดยมีสัดส่วนจากผู้แทนชุมชน ผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชน ที่มีประสบการณ์ด้านการจัดการภัยพิบัติ และจัดทำแผนเพื่อการป้องกันและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นชุมชนเป็นหลัก
                      4. ปฏิรูปกฎหมาย โดยการแก้ไข พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 เพื่อให้เอื้อในการจัดการภัยพิบัติของประเทศไทย โดยสาระสำคัญต้องมีส่วนร่วมในทุกระดับ ให้มีกองทุนส่งเสริมชุมชนในการจัดการภัยพิบัติ กระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ การประกาศภัยพิบัติ และบริหารจัดการภัยพิบัติ ฯลฯ
                      จะเห็นได้ว่า การจัดการภัยพิบัติ เพื่อลดความเสี่ยงในชีวิตและทรัพย์สิน จะต้องดำเนินการควบคู่กันไปทั้ง 2 ระดับ คือ 1.การปรับปรุงนโยบายการจัดการภัยพิบัติ และการแก้กฎหมายให้สอดคล้อง 2.การแปรสู่ปฏิบัติ หรือสร้างรูปธรรมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังในพื้นที่ การรณรงค์เปลี่ยนวิธีคิดของประชาชนจากการเป็น “ผู้รับ” มาเป็น “ผู้จัดการตนเอง”  การใช้ข้อมูลความรู้เป็นพลังในการต่อสู้กับภัยพิบัติ การจัดองค์กรให้จัดการภัยพิบัติได้ การทำให้ตระหนักว่าภัยพิบัติเป็นเรื่องใกล้ตัว ความมีจิตอาสา ต้องการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
——————–
(หลากมิติเวทีทัศน์ : พลังชุมชนท้องถิ่น ร่วมใจรับมือภัยพิบัติ ‘จัดการภัยสุขภาวะ’ : โดย…ปรีดา คงแป้น มูลนิธิชุมชนไท)

สัมผัสวิถีชีวิตวัฒนธรรม ‘มะมุ’ สู่การปรับตัวท่ามกลางปัญหา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151129/217642.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2558
สัมผัสวิถีชีวิตวัฒนธรรม 'มะมุ' สู่การปรับตัวท่ามกลางปัญหา

หลากมิติเวทีทัศน์ : สัมผัสวิถีชีวิตวัฒนธรรม ‘มะมุ’ สู่การปรับตัวท่ามกลางปัญหา : โดย…รัชตะ มารัตน์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน

                      “คอคอดกระ สหภาพเมียนมาร์ ระยะทาง 100 เมตร”
                      ป้ายริมถนนบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 ช่วงพื้นที่จังหวัดชุมพรกับระนอง เป็นภาพที่ผู้อ่านหลายท่านคงเคยได้พบเห็น หรือแม้แต่ท่านที่ไม่เคยเดินทางผ่านก็คงจะเคยศึกษาเรียนรู้ถึงพื้นที่ที่แคบที่สุดในคาบสมุทรมลายู มาบ้างไม่มากก็น้อย
                      “ตำบลมะมุ” ตำบลหนึ่งของอำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง คือ ที่ตั้งของสถานที่ดังกล่าว นับเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์หลายประการ ทั้งการทำศึก การทำการค้า ที่สำคัญแม้กระทั่งการเสด็จประพาสต้นของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 เมื่อปีพุทธศักราช 2433 จนมาถึงในยุคสมัยการทำสัมปทานป่าไม้ตามนโยบายรัฐบาล และการประกาศเขตป่าในพื้นที่
                      อนันต์ สร้อยชั้น หนุ่มวัยกลางคนลูกหลานพี่น้องชาวมะมุ ซึ่งปัจจุบันรับตำแหน่งเป็นเลขานุการสภาองค์กรชุมชนตำบลมะมุ เล่าให้ฟังว่า “โดยปกติคนจากภายนอกมักไม่ค่อยเข้ามาสัมผัสที่มะมุมากเท่าไหร่นัก เพราะมะมุเป็นเพียงเส้นทางผ่าน จะเป็นที่รู้จักหน่อยก็ซาลาเปาทับหลี ที่ชาวจีนอพยพได้เข้ามาบุกเบิกทำกิจการ ซึ่งในปัจจุบันก็ได้กลายเป็นธุรกิจของคนชั้นกลางไปแล้ว
                      “อนันต์” เล่าต่อไปว่า ชาวมะมุเองเป็นคนดั้งเดิมในพื้นที่ ส่วนการอพยพของคนที่มาจากภายนอกเข้ามาอยู่เพียงไม่กี่คน ฉะนั้นการอาศัยอยู่จึงมีระบบวัฒนธรรมแบบเครือญาติ ไปไหนมาไหนก็รู้จักกันหมด “คนนั้นมีศักดิ์เป็นพี่ คนนี้มีศักดิ์เป็นน้อง คนนั้นเป็นลุงของแม่ คนโน้นเป็นอาของพ่อ” ก็เรียกได้ว่าอย่างนั้น
                      ฉะนั้น ระบบการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จึงยังมีให้เห็นมากในพื้นที่ และนั่นหมายความรวมไปถึง รูปแบบวิถีชีวิต การทำงานก็มีลักษณะที่มีความเป็นส่วนรวมมากกว่าที่จะนำเอาผลประโยชน์ของปัจเจกเป็นตัวตั้ง
                      โดยปกติพื้นที่ตำบลมะมุ เป็นพื้นที่ในการทำเกษตรกรรมเป็นหลักทั้งการปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมัน และสวนผลไม้ ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ได้เริ่มต้นมาบุกเบิกตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.2520 ภายหลังการสัมปทานป่าไม้ตามนโยบายรัฐบาล คนรุ่นแรกของตำบลที่อาศัยมาตั้งแต่ต้นใช้วิธีการจับจองกันเอง ซึ่งไม่ได้มีการรับรองสิทธิ์อะไร และประกอบสัมมาอาชีพกันเรื่อยมา
                      จนกระทั่งช่วงปลายปี พ.ศ.2532 เกิดมหาวาตภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในรอบหลายสิบปี ที่คนแถบนี้รู้จักกันดี และยังเป็นที่รู้จัก เล่าสืบต่อมาถึงคนรุ่นหลัง เรียกว่า “พายุเกย์” พายุในครั้งนั้นได้สร้างความเสียหายนับมูลค่าไม่ได้ แต่ด้วยอัตลักษณ์แห่งความร่วมมือของพี่น้องมะมุ จึงสามารถผ่านพ้นสถานการณ์เลวร้ายนั้นมาได้ด้วยดี
                      “อนันต์” เล่าต่อว่า มะมุมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้ง ก็เมื่อช่วง พ.ศ.2541 เมื่อมีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 ที่ให้ความเห็นชอบกับมาตรการ และแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งพื้นที่ที่พี่น้องประกอบอาชีพส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่ามะมุ ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในวิถีชีวิตตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา มีทั้งการสำรวจการถือครองพื้นที่ป่าไม้ การขึ้นทะเบียนบุคคลผู้ครอบครอง ตรวจสอบสภาพการใช้ที่ดินจากภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งพี่น้องมะมุส่วนใหญ่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เหตุผลหลักเพราะ พวกเขา “ประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงพี่น้องในชุมชน”
                      “อนันต์” ได้พาผู้เขียนเข้าไปในพื้นที่ห่างไกลตามแนวเชิงเขา กลิ่นข้าวหอมมาเป็นระยะๆ จนได้พบกับไร่ข้าวขนาดใหญ่ที่สุกเหลืองรอการเก็บเกี่ยว ทอดยาวตั้งแต่ตีนเขาไปจนถึงกลางเขา พบพี่น้องกลุ่มใหญ่กำลังขะมักเขม้นลงแรงเก็บเกี่ยวผลผลิต พร้อมกับการพูดคุยหยอกล้อกันไปอย่างสนุกเฮฮา
                      แดง ขุมเพชร  หญิงสูงวัยเจ้าของผืนไร่ข้าวแปลงแรกต้อนรับอย่างเป็นกันเอง พร้อมเล่าเรื่องราวต่างๆ ไปพร้อมกับการเกี่ยวรวงข้าว (ทางภาคใต้เรียกว่าเก็บข้าว) มิหนำซ้ำยังสาธิตวิธีการใช้ “แกละ” เครื่องมือทำมาหากินของพี่น้อง เป็นอุปกรณ์ขนาดพอดีมือ มีความแหลมคมสูง ฉะนั้น ถ้าใช้งานไม่ดี คงได้บาดแผลกลับไปฝากคนที่บ้านอย่างแน่นอน
                      เก็บข้าวไปได้พักใหญ่พอเต็มกำมือ ผู้เขียนก็ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับ ประนอม สร้อยชั้น เจ้าของไร่แปลงข้างๆ ที่มาช่วยลงแรงเก็บเกี่ยวข้าวเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ ประหนึ่งเป็นอาสินของตัวเอง เล่าให้ฟังว่า พี่น้องมะมุส่วนใหญ่ปลูกยางพารากันมาแล้ว 1 รอบ พอยางหมดอายุ ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 20 กว่าปี ก็ได้ปลูกข้าวไร่บนแปลงของตัวเอง ซึ่งแต่ละคนก็จะเก็บผลผลิตได้ไม่พร้อมกัน ข้าวที่ปลูกมีหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งข้าวขาวพวงพะยอม ข้าวดอกขาม ข้าวเหลือง ข้าวเหนียวขาวไร่และดำไร่ ใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ เป็นการรอคอยการเจริญเติบโตของพืชชนิดอื่นๆ ในรอบต่อไป เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และอื่นๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของราคาพืชผล ต้นทุนการผลิต และความต้องการของตลาด ในช่วงเวลานั้น
                      สุนีย์ ไพถาวร เกษตรกรอีกรายหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า การปลูกข้าวไร่จะเริ่มประมาณช่วงประมาณเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม จะมีพี่น้องมาช่วยลงแรงกันประมาณ 30-40 คน เอาเมล็ดข้าวใส่กระบอกไม้ไผ่ลงในหลุมรอการเจริญเติบโต และเตรียมการปลูกพืชหลักไว้ด้วยในช่วงเวลา และแปลงเดียวกัน การปลูกข้าวไร่ของพี่น้องชาวมะมุไม่ได้ใช้สารเคมีอะไร เพราะเป็นการเพาะปลูกเพื่อกินกันในหมู่เครือญาติ เรียกได้ว่าเก็บไว้กินได้ตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อข้าวแม้แต่เพียงบาทเดียว
                      สุเทพ ทวีกุล เจ้าของแปลงที่อยู่สูงขึ้นไปอีกประมาณ 100 เมตร เล่าให้ฟังว่า ข้าวไร่จะมีราคาอยู่ที่เกวียนละประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป สำหรับเกษตรกรรายไหนที่เหลือกินเหลือใช้ก็จะเอาไปขายบ้าง การกำหนดราคาก็เป็นไปตามนโยบายของรัฐทั่วๆ ไป รายได้ของคนมะมุส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 20,000-30,000 บาทต่อเดือน บวกลบกลบหนี้แล้วก็เหลือไว้ให้ลูกหลาน
                      สำหรับเรื่องของการปลูกข้าวไร่เอง ก็ไม่ได้มีหน่วยงานอะไรเข้ามาดูแล เพราะเราทำกินในเขตป่า ไม่มีเอกสารสิทธิ หน่วยงานป่าไม้เขาก็รับรู้แต่เห็นว่าเราประกอบอาชีพเพื่อทำกินและอยู่อาศัย ไม่ได้ค้ากำไรเหมือนนายทุน เลยยังไม่มีมาตรการอะไร จะกังวลอยู่บ้างก็เวลาได้ยินข่าวการตัดโค่นในพื้นที่ใกล้เคียง ก็กลัวว่าของเราจะโดนเหมือนเขา มีหน่วยงานเข้ามาสำรวจจะสร้างเขื่อน เราเองก็คัดค้านกันสุดกำลัง เพราะไม่รู้จะออกไปอยู่ไหน การชดเชยก็คงได้ไม่เหมือนคนที่มีเอกสารสิทธิอยู่แล้ว พี่น้องก็เลยไม่เห็นด้วย
                      “อนันต์” เล่าถึงการพัฒนาให้ฟังว่า เรามีสภาองค์กรชุมชนตำบลมะมุเป็นองค์กรภาคประชาชนที่เป็นเวทีให้ชาวบ้านนำปัญหามาพูดคุยกันตอนนี้มีเรื่องแผนงานการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน เนื่องจากเราอาศัยอยู่ในที่ดินของรัฐ ซึ่งในปัจจุบันอยู่ในขั้นการสำรวจข้อมูล ผนวกกับการเจรจากับหน่วยงาน ตามด้วยการพัฒนาระบบเกษตรแบบยั่งยืนของพี่น้อง อย่างเช่น การทำหัวไร่สลับกับการทำสวนยาง, ปาล์ม และการสร้างค่านิยมให้ลูกหลานสำนึกรักษ์บ้านเกิด รักษาความเป็น “มะมุ” ให้มากกว่าแค่ชื่อตำบล
——————–
(หลากมิติเวทีทัศน์ : สัมผัสวิถีชีวิตวัฒนธรรม ‘มะมุ’ สู่การปรับตัวท่ามกลางปัญหา : โดย…รัชตะ มารัตน์ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน)