วันรวมญาติ’ชาวเล’อันดามันผู้แม้พื้นที่จิตวิญญาณยังถูกช่วงชิง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151122/217258.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน 2558
วันรวมญาติ'ชาวเล'อันดามันผู้แม้พื้นที่จิตวิญญาณยังถูกช่วงชิง

หลากมิติเวทีทัศน์ : วันรวมญาติ ‘ชาวเล’ อันดามัน ผู้แม้พื้นที่จิตวิญญาณยังถูกช่วงชิง : โดย…สุวัฒน์ คงแป้น

                      เสียงดนตรีวงรำมะนาดังขึ้น ตามด้วยการร่ายรำรองเง็งจากสังกาอู้ ทำให้สายตาทุกคู่จับจ้องมองดูลีลาการรำและชุดแต่งกายอันงดงามของแม่ครูเหล่านั้น ซึ่งไม่ต่างจากคนดูที่มาร่วมงานในวันนั้นล้วนแต่งกายด้วยชุดพื้นบ้านอวดกันอย่างภูมิใจในเอกลักษณ์ของตนเอง
                      หลายคนได้พบหน้ากันอีกครั้ง หลังไม่ได้พบกันมานาน บางคนพาครอบครัวมาพบกันที่นี่หลังแยกย้ายไม่ได้พบญาติกันหลายปี เพราะวันนี้คือวันนัดพบญาติชาวเลแห่งอันดามัน ครั้งที่ 6 ที่จัดขึ้น ณ ลานวัฒนธรรมอุรักลาโว้ย บ้านสังกาอู้ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ โดยการจัดงานครั้งนี้ นอกจากให้ชาวเลได้พบญาติกันแล้ว ยังเป็นการระดมความร่วมมือจากภาคีพัฒนาทุกภาคส่วนในการสนับสนุนแก้ปัญหาชาวเลอย่างมีส่วนร่วม
                      ชาวเลเป็นชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยทำกินอยู่บริเวณทะเลอันดามันนานกว่า 300 ปี ปัจจุบันมีอยู่จำนวน 43 ชุมชน ใน 5 จังหวัด คือ ภูเก็ต พังงา สตูล กระบี่ และระนอง ประมาณ 12,250 คน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ มอแกน มอแกลน และอุรักลาโว้ย ซึ่งทุกกลุ่มมีวิถีชิวิต วัฒนธรรมและภาษาเป็นของตนเอง
                      เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 คณะรัฐบาลมีมติเห็นชอบแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเลโดยให้กระทรวงวัฒนธรรมรับผิดชอบและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนไปปฏิบัติ ประกอบด้วย การสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย การประกอบอาชีพประมง การช่วยเหลือด้านสาธารณสุข การส่งเสริมด้านการศึกษา การแก้ไขปัญหาอคติทางชาติพันธุ์การส่งเสริมภาษาและวัฒนธรรม ฯลฯ
                      ตลอด 5 ปี ที่มีมติคณะรัฐมนตรี พี่น้องชาวเลได้มีการรวมตัวในพื้นที่ของตนเองและเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายชาวเลทั้ง 5 จังหวัด เพื่อแก้ปัญหาร่วมกันโดยการสนับสนุนขององค์กรพัฒนา นักวิชาการ สื่อมวลชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดิน ที่ทำกินและพื้นที่ทางจิตวิญญาณชาวเล ได้มาโดยมี พล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง เป็นประธาน แต่การแก้ไขปัญหาก็ยังไม่บรรลุผล
                      ในการแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยและที่ทำกินพบว่าชาวเลจำนวน 31 แห่ง อาศัยอยู่บนที่ดินก่อนประกาศของรัฐ เช่น กรมเจ้าท่า ป่าสงวนอุทยานแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นปัญหาที่ยังแก้ไม่แล้วเสร็จ รวมทั้งยังอาศัยอยู่บนที่ดินที่ถูกฟ้องขับไล่โดยเอกชน ถึง 7 แห่ง จำนวน 1,228 หลังคาเรือน
                      แสงโสม หาญทะเล จากเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล บอกว่า เมื่อก่อนชาวเลก็คือชาวเล มีอิสระจะว่ายน้ำ จะจับปลาตรงไหนเวลาไหนก็ได้ มีอยู่มีกินและมีความสุขมาก แต่พออุทยานเข้ามา การท่องเที่ยวเข้ามา ทะเลและที่ดินก็ไม่ใช่เป็นของชาวเลอีกต่อไป เพราะมีการกว้านซื้อที่ดินจากชาวเลโดยนายทุน ด้วยวิธีการที่ไม่เป็นธรรม ชาวเลก็กลายเป็นชาวเขา เพราะต้องย้ายไปอยู่กลางเกาะจะหาทางลงทะเลไปจับปลาเหมือนก่อนก็ไม่ได้
                      สนิท แซ่ซั่ว แกนนำชาวเลบ้านราไวย์ภูเก็ต เล่าว่า ชาวเล อาศัยอยู่บนที่ดินกว่า 30 ไร่ที่หาดราไวย์มานับร้อยปี อยู่ๆ ก็มีนายทุนมาฟ้องขับไล่ ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา จำนวน 161 ครอบครัว เราก็ยืนยันว่าเราอยู่มาก่อน นายทุนมีเอกสารสิทธิได้อย่างไร แต่เราก็โชคดีที่มีพี่เลี้ยงที่เป็นนักพัฒนามาช่วย กรมสอบสวนคดีพิเศษมาขุดกระดูกบรรพบุรุษที่ฝังไว้นั้นไปพิสูจน์ดีเอ็นเอถึงต่างประเทศ ซึ่งผลพิสูจน์ออกมาว่าเป็นกระดูกของชาวเล นั่นแสดงว่า เราอยู่ที่นี่มาก่อน จึงต้องให้มีการเพิกถอนโฉนดที่ดินออกให้นายทุน แต่อธิบดีกรมที่ดินก็ยังไม่ดำเนินการ
                      ส่วนการประกอบอาชีพทำประมง ซึ่งอยู่คู่กับชาวเลมาตั้งแต่เกิด พออุทยานประกาศทับที่ก็ทำให้ชาวเลไม่สามารถจับปลาได้อีกต่อไป ซึ่งขณะนี้คณะทำงานฯ ก็ได้มีการประชุมหารือถึงเรื่องนี้ เพื่อผ่อนผันให้ชาวเลได้ทำกิน เพราะปกติชาวเลจับปลาด้วยเครื่องมือแบบพื้นบ้านและจับพอกินอยู่แล้วไม่เคยคิดทำมาหากินแบบล้างผลาญ
                      นอกจากปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินแล้ว ชาวเลยังต้องประสบปัญหาพื้นที่ทางจิตวิญญาณหรือพื้นที่สุสาน 23 พื้นที่ จำนวน 232.5 ไร่ ซึ่งชาวเลใช้ฝังศพ โดยการอ้างสิทธิของนายทุน อีกทั้งรัฐก็ไม่มีการออกเอกสารทางทะเบียนให้แก่พื้นที่ทางจิตวิญญาณของชาวเล
                      วิทวัส เทพสง ชาวเลแห่งบ้านทับตะวัน จ.พังงา บอกว่า พื้นที่ทางจิตวิญญาณของชาวเล เป็นเขตแดนบรรพบุรุษที่ใช้ฝังศพ ประกอบพิธีมานับร้อยปี แม้ยังไม่มีเอกสารให้ทางการยอมรับได้ แต่เขตแดนนี้ มีกระดูกของบรรพบุรุษฝังอยู่ข้างล่าง เบื้องบนกลายเป็นรีสอร์ทของนายทุน ซึ่งเราต้องทวงคืน มนุษย์เรานั้นหากต้องสูญเสียหลักความเชื่อก็ไม่มีตัวตน
                      พรสุดา ประโมงกิจ ชาวเลแห่งบ้านแหลมตง เกาะพีพี จ.กระบี่ เล่าว่า ชุมชนบ้านแหลมตง อยู่บนที่ดิน 2 ไร่เศษ ประมาณ 45 ครอบครัวอาศัยอยู่อย่างแออัด เราอยู่มานานแล้ว ชุมชนของเราโอบล้อมไปด้วยโรงแรม เวลาเด็กๆ ไปโรงเรียนก็ต้องเดินผ่านชายหาดของโรงแรม ซึ่งเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวนุ่งน้อยห่มน้อยนอนตากแดด เด็กๆ จะเห็นภาพอย่างนี้ทุกวัน จิตใจจะเป็นอย่างไร นอกจากนี้เรามีปัญหาเรื่องน้ำประปาไม่มีใช้ต้องซื้อในราคาแพง น้ำฝนก็ใช้ไม่ได้เพราะหลังคาบ้านเราสังกะสีเป็นสนิม พอใช้น้ำฝนหุงข้าวก็บูด แถมยังมีขยะที่ใครก็ไม่รู้เอามาทิ้งไว้ข้างชุมชน
                      วงพูดคุยแลกเปลี่ยนของชาวเลในวันนั้น เป็นปัญหาที่ยังแก้ไขไม่แล้วเสร็จ ซึ่งชาวเลและทุกภาคีจะต้องร่วมกันต่อไป อาจารย์ นฤมล อรุโณทัย จากสถาบันวิจัยสังคมฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่าปัญหาเหล่านี้ชาวเลจะต้องจัดทำข้อมูลต่างๆ ของตนเอง แผนที่ชุมชนข้อมูลการสืบสายเครือญาติ วิถีวัฒนธรรม ฯลฯ โดยให้เยาวชนเข้ามามีส่วนร่วม เป็นการเตรียมตัวอยู่กับวิถีสมัยใหม่ที่เข้ามากับการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ เป็นการสร้างจุดยืนของตนเอง ความเจริญที่เข้ามา เราสกัดกั้นมันยาก แต่หากเราเตรียมพร้อมเราสามารถเลือกสรรให้สอดคล้องกับวิถีชุมชนของเราได้
                      ด้าน ธีระพจน์ สุถิรวัฒน์ ตัวแทนจากสมาคมการท่องเที่ยวเกาะลันตา ให้ข้อคิดเห็นว่า นักท่องเที่ยวที่มาเกาะลันตา คือกลุ่มที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติ ชาวเลต้องหาประโยชน์จากกลุ่มคนที่ต้องการเอาประโยชน์จากเรา คือต้องเข้าไปจัดการท่องเที่ยวเรื่องวิถีชีวิตและธรรมชาติ เราต้องปรับตัวให้ได้ เช่น ใช้เรือของชาวเลมาต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นการนำอดีตอันงดงามมาต่อยอดกับปัจจุบัน เป็นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เรื่องการทำมาหากินก็เหมือนกัน ชาวเลต้องทำเรื่องอนุรักษ์ให้มากขึ้น เช่น ทำธนาคารปู ธนาคารปลาหมึก ธนาคารหอยชักตีน ซึ่งได้ทั้งอาชีพและการท่องเที่ยวควบคู่กันไป
                      ซึ่งไม่ต่างจากความเห็นของอีกหลายๆ คนที่เสนอแนะให้ชาวเลปรับตัว ให้อยู่ได้ภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยการนำของดีของชุมชนชนต้อนรับนักท่องเที่ยว เช่น กะปิ ปลาแห้งหรือสร้างบ้านเล็กๆ สักหลังให้นักท่องเที่ยวใช้บริการแบบกลมกลืนกับวิถีอันงดงามของท้องถิ่น
                      ข้อสรุปที่สำคัญอีกประการหนึ่งของวงพูดคุยในวันนั้นก็คือ ควรมีพื้นที่ที่ชาวเลและภาคีพัฒนาต่างๆ มาทำงานร่วมกันเป็นพื้นที่นำร่องที่มีการพัฒนาครอบคลุมทุกมิติเพื่อการขยายผลต่อไป
                      วงพูดคุยเสวนาจบลงแล้ว การแสดงทางวัฒนธรรมที่แต่ละหมู่บ้านและจากพี่น้องชนเผ่าอื่นๆ ทั่วประเทศที่ได้เตรียมมาก็ออกมาโชว์สู่สายตาผู้ร่วมงานอย่างต่อเนื่อง เป็นวันพบญาติที่เรียบง่ายแต่มีคุณค่ายิ่งทางจิตใจ จนกระทั่งตะวันคล้อยต่ำตกทะเลตรงแหลมสังกาอู้ ชาวเลต่างถิ่นบ้างก็เข้าที่พักบ้างก็พูดคุยกันต่อรอวันแยกย้ายกลับถิ่นของตน เพื่อพบกับความจริงแห่งชีวิตในวันรุ่งขึ้น
———————-
(หลากมิติเวทีทัศน์ : วันรวมญาติ ‘ชาวเล’ อันดามัน ผู้แม้พื้นที่จิตวิญญาณยังถูกช่วงชิง : โดย…สุวัฒน์ คงแป้น)

ทรัพยากรแร่ : ทรัพยากรส่วนรวมของคนไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151115/216872.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2558
ทรัพยากรแร่ : ทรัพยากรส่วนรวมของคนไทย

หลากมิติเวทีทัศน์ : ‘ทรัพยากรแร่’ ทรัพยากรส่วนรวมของคนไทย : โดย…ศยามล ไกยูรวงศ์

                      ทรัพยากรแร่ถือว่าเป็นทรัพยากรส่วนรวม (common property) ของทุกคน หรือที่เรียกว่า “สาธารณสมบัติของแผ่นดิน” ในอดีตที่ผ่านมาจากการบังคับใช้พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแร่ เนื่องจากประเทศไทยยังมีทรัพยากรแร่จำนวนมาก เงินทุนและความรู้ในการใช้เทคโนโลยีทั้งด้านการสำรวจแร่ การทำเหมืองแร่ ต้องพึ่งพาต่างชาติ รัฐบาลไทยจึงให้ใช้ประโยชน์และให้สิทธิพิเศษแก่บริษัทเอกชนต่างชาติ เพื่อให้มีการพัฒนาคนไทยให้มีความรู้ในการทำเหมืองแร่และการประกอบโลหกรรม
                      อย่างไรก็ตาม การทำเหมืองแร่และการประกอบโลหกรรมมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ แต่มาตรการทางกฎหมายและในทางนโยบายของการกำกับดูแลให้บริษัทเอกชนที่ได้รับอนุญาตประทานบัตรแร่ ยังขาดประสิทธิภาพ จึงทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนในพื้นที่กับผู้ประกอบการทำเหมือง
                      สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรณีกรมทรัพยากรธรณี(พ.ศ. 2555) ได้จัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรแร่ พ.ศ.2555-2559 โดยส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาทรัพยากรแร่ในการสร้างมูลค่าเพิ่มในลักษณะผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องที่ใช้แร่เป็นวัตถุดิบมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ประเมินศักยภาพและพัฒนาแหล่งแร่ที่มีคุณค่าสูง (Superior Exploration) และใช้แร่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง (Mineral for Advanced Product) ส่งเสริมการร่วมพัฒนาแหล่งแร่ระหว่างภาครัฐและเอกชน(Positive Partnership) และส่งเสริมอุตสาหกรรมแร่สีเขียวสะอาดตั้งแต่ต้นจนจบ (Green and Clean Mineral Industry: Before-During-After) สร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการเหมืองแร่พัฒนาการผลิตและเพิ่มมูลค่าทรัพยากรแร่ (Value Added) รวมถึงการสร้างมูลค่าทรัพยากรแร่ (Value Creation) ในการนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆควบคู่กับการสนับสนุนและจูงใจให้ใช้วัสดุทดแทนแร่และการใช้ประโยชน์โลหะหมุนเวียนให้มากที่สุด
                      ตามบทบาทหน้าที่ของกรมทรัพยากรธรณีต้องมุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรแร่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ แต่ในมุมมองของประชาชนในพื้นที่มีความกังวลต่อผลกระทบต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรมผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ผู้ประกอบการได้รับประโยชน์จากการทำเหมืองมหาศาลโดยที่ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์เพียงน้อยนิด ซึ่งไม่สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจึงมีคำถามต่อความเป็นธรรมที่พวกเขาต้องรับภาระผลกระทบแทบทั้งสิ้น เมื่อเปรียบเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับ
                      สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) มีข้อเสนอในรายงานการศึกษาเรื่อง “แผนแม่บทการจัดการธรณีวิทยาและทรัพยากรธรณี(กันยายน 2556) เสนอให้มีการจำแนกเขตแหล่งทรัพยากรแร่ (Mineral Resources Zone) และศึกษาคุณสมบัติของแร่ทั่วประเทศเพื่อวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเหมาะสมให้มีการศึกษามูลค่าทางเศรษฐกิจของแร่ที่คำนึงถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อม การดำเนินมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยจัดทำคู่มือแนวทางปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรณี และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการติดตามตรวจสอบการจัดการการใช้ประโยชน์ในระดับพื้นที่ เช่น พื้นที่อนุรักษ์โดยศึกษาแนวทางและข้อพึงปฏิบัติในการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
                      จากข้อเสนอของทีดีอาร์ไอ แสดงให้เห็นว่า การทำเหมืองแร่ในวันนี้และในอนาคต นอกจากต้องคำนึงถึงมิติวิศวกรรมการทำเหมืองแร่และประโยชน์ที่ได้รับแล้ว ยังจำเป็นต้องคำนึงถึงการลดต้นทุนในการใช้เทคโนโลยีการทำเหมืองแร่ การพิจารณาต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ที่รัฐและผู้ประกอบต้องดำเนินการเพื่อให้การทำเหมืองแร่มีผลกระทบน้อยที่สุด ดังนั้นยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่จึงต้องครอบคลุมแนวคิดและแนวทางดังนี้
                      1) แนวทางการบริหารจัดการแร่ตามหลักธรรมาภิบาลและโปร่งใส ให้ประชาชนมีส่วนร่วมการบริหารจัดการ และกระจายการจัดสรรประโยชน์จากเหมืองแร่อย่างเป็นธรรม
                      2) แนวทางการใช้ประโยชน์จากแร่และการอนุรักษ์พื้นที่ศักยภาพแร่ และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
                      3) แนวทางการสำรวจแร่ การทำเหมือง การติดตามตรวจสอบ การควบคุมและการฟื้นฟูเหมืองแต่ละประเภท
                      4) แนวทางการตรวจสอบผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม และมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา
คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายได้สนับสนุนเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง ในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. …. ตามแนวคิดและแนวทางดังกล่าว โดยออกแบบให้มีคณะกรรมการ 3 ระดับ ดังนี้
                      1) คณะกรรมการนโยบายแร่ มีรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานคณะกรรมการ ทำหน้าที่จัดทำและประเมินผลการปฏิบัติตามแผนบริหารจัดการแร่แห่งชาติ ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากแร่
                      2) คณะกรรมการแร่ ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ หลายสาขาที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่ออกหลักเกณฑ์ในการกำกับการอนุมัติอนุญาตต่างๆ รวมทั้งติดตามตรวจสอบการปฏิบัติตามเงื่อนไขของใบอนุญาต โดยรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้อออกประทานบัตรการทำเหมืองประเภทที่มีเนื้อที่มากกว่า 100 ไร่ และการทำเหมืองใต้ดิน
                      3) คณะกรรมการแร่จังหวัด มีผู้ว่าราชการจัดหวัด เป็นประธาน และเป็นผู้ให้อนุญาตประทานบัตรประเภทเหมืองแร่ขนาดเล็ก ไม่เกิน 100 ไร่ นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการที่มาจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่ทำเหมืองแร่ ทำหน้าที่จัดทำแผนบริหารจัดการแร่จังหวัด
                      หลักการของการสำรวจแร่ต้องคำนึงถึงการอนุรักษ์พื้นที่ กล่าวคือ การได้อาชญาบัตรผูกขาด สำรวจแร่ หรืออาชญาบัตรพิเศษ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้มีกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน รวมทั้งห้ามมิให้ผู้ใดสำรวจแร่ในพื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม เขตพื้นที่ป่าสงวน เขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตโบราณสถาน
                      การประกอบกิจการเหมืองแร่ ต้องมีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานดังกล่าว มาตรการหนึ่งที่สำคัญคือการฟื้นฟูและการปิดเหมือง โดยแผนการฟื้นฟูเหมืองต้องประกอบด้วยการเปรียบเทียบข้อมูลฐานของปริมาณมลพิษทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการฟื้นฟูเหมือง การปิดเหมืองจะกระทำได้ต่อเมื่อมีการฟื้นฟูพื้นที่ มีการรื้อถอนหรือมีการประเมินผลการฟื้นฟูแล้วเท่านั้น
                      กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการประเมินผลกระทบ และกระบวนการอนุมัติ อนุญาตประทานบัตรทำเหมือง หรือการออกอาชญาบัตรสำรวจแร่ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไม่เกิดความขัดแย้งในพื้นที่เมื่อมีการทำเหมือง
                      การมีกองทุนศึกษา พัฒนา และฟื้นฟูพื้นที่ และช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยรายได้ของกองทุนมาจาก 1.เงินส่วนแบ่งค่าภาคหลวงแร่ที่รัฐบาลได้รับ 2.ส่วนแบ่งผลประโยชน์พิเศษที่ผู้ถืออาชญาบัตรและผู้ถือประทานบัตรเสนอแก่รัฐ 3.ส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมการออกอาชญาบัตร ประทานบัตร และการอนุญาต 4. ส่วนแบ่งค่าใช้เนื้อที่ในอาชญาบัตร และประทานบัตร 5.ส่วนแบ่งค่าขายของกลางและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดและค่าปรับตามที่กำหนดในกฎหมาย 6.ส่วนแบ่งเงินบำรุงพิเศษในอัตราส่วนที่รัฐมนตรีกำหนด เป็นต้น การมีกองทุนเป็นหลักประกันสำคัญที่ผู้ประกอบการเหมืองต้องรับผิดชอบ โดยไม่เป็นภาระแก่รัฐที่ต้องนำภาษีประชาชนมาใช้จ่าย
                      ทรัพยากรแร่เป็นทรัพยากรส่วนรวมที่มีมูลค่าซึ่งควรนำมาวางแผนการบริหารจัดการแร่ที่เป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการใช้ประโยชน์จากแร่อย่างสมดุลและยั่งยืน การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์สำหรับโซนพื้นที่ของประเภทเหมืองแต่ละประเภท จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริหารจัดการแร่อย่างโปร่งใสและมีหลักธรรมาภิบาล
——————–
(หลากมิติเวทีทัศน์ : ‘ทรัพยากรแร่’ ทรัพยากรส่วนรวมของคนไทย : โดย…ศยามล ไกยูรวงศ์)

วันรวมญาติชาวเล เพื่อศักดิ์ศรีที่ทัดเทียม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151108/216485.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน 2558
วันรวมญาติชาวเล เพื่อศักดิ์ศรีที่ทัดเทียม

หลากมิติเวทีทัศน์ : วันรวมญาติชาวเล เพื่อศักดิ์ศรีที่ทัดเทียม : โดย…สุวัฒน์ คงแป้น

                      บริเวณชายฝั่งและตามเกาะต่างๆ ในทะเลอันดามัน มีชนเผ่าชาวเล ทั้งอุรักลาโว้ย มอแกน มอแกลน อพยพมาจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย เข้ามาอาศัยอยู่กว่า 300 ปีมาแล้ว โดยประกอบอาชีพประมงและปลูกพืชเพื่อยังชีพ ไม่มีการแสดงกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยใดๆ ทั้งสิ้น แต่ก็เป็นชนเผ่าที่มีวิถีวัฒนธรรมความเชื่อ มีพื้นที่ทางจิตวิญญาณและประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
                      ปัจจุบันมีชาวเลตั้งรกรากที่มั่นคง เช่น ชาวเลแหลมตรง (เกาะพีพี) กระบี่ เกาะหลีเป๊ะและหมู่เกาะอาดัง จ.สตูล ชาวเลแหลมตุ๊กแกและราไวย์ จ.ภูเก็ต ชาวเลหมู่เกาะสุรินทร์ บ้านทุ่งหว้า และบริเวณชายฝั่ง จ.พังงา ฯลฯ รวม 5 จังหวัด จำนวน 41 ชุมชน ประมาณ 13,000 คน ซึ่งล้วนยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นอยู่ของตนเองได้อย่างเหนียวแน่น โดยเกือบทั้งหมดมีสิทธิความเป็นคนไทย มีบัตรประจำตัวประชาชนและล้วนได้รับพระราชทานนามสกุลจากสมเด็จย่า
                      ปัญหาที่สำคัญของชาวเล มีหลายประการด้วยกัน 1.ปัญหาความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัย ทั้งๆ ที่อยู่อาศัยมายาวนาน มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 25 ชุมชนที่ไม่มีเอกสารสิทธิในที่ดิน ทั้งที่ดินรัฐและที่ดินเอกชนอ้างสิทธิ์ 2.ปัญหาสุสานและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อประกอบพิธีกรรมถูกรุกราน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่บริเวณชายหาดริมทะเล จากการสำรวจพบว่ากำลังมีปัญหาถึง 15 แห่ง 3.ปัญหาที่ทำกินในทะเล แต่เดิมชาวเล หากินตามเกาะแก่งและหน้าหาด แต่ปัจจุบันมีการห้ามชาวเลไม่ให้เข้าไปหากินในที่ทำกินดั้งเดิม
                      4.ปัญหาสุขภาพ มาจากหลายประการ เช่น ต้องดำน้ำลึกขึ้นทำให้หลายคนต้องพิการ การเข้าไม่ถึงสิทธิในการรักษาพยาบาล ความยากจน ฯลฯ 5.การศึกษาเด็กเยาวชน ชาวเลได้รับโอกาสในการศึกษาน้อยและหลักสูตรไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตวัฒนธรรม 6.สูญเสียความภาคภูมิใจในภาษาและวัฒนธรรม เพราะขาดการส่งเสริมที่ดี 7.การไร้สถานะบุคคล มีชาวเลกว่า 500 คน ที่เป็นผู้ไร้สถานะ ไร้สิทธิพื้นฐาน 8.ชาวเลเผชิญกับอคติชาติพันธุ์ของคนในสังคม ทำให้การแก้ปัญหาต่างๆ เป็นไปอย่างล่าช้า
                      โดยภาพรวม ปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่มาจากการพัฒนาที่ไม่สมดุล โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยว การประกาศเขตอนุรักษ์ของรัฐ และอคติชาติพันธุ์ ส่งผลให้เบียดขับวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชาวเล เช่น ความต้องการใช้ที่ดินและทะเลเพื่อการท่องเที่ยว ทำให้ชาวเลถูกขับออกจากพื้นที่ด้วยวิธีการต่างๆ โดยเฉพาะในหลายพื้นที่ใช้วิธีการที่รุนแรง ข่มขู่คุกคาม ฟ้องขับไล่ การประกาศเขตหวงห้ามของรัฐที่มีมาทีหลัง ทำให้ชาวเลไม่มีสิทธิเข้าไปหากินในที่ทำกินดั้งเดิมที่เคยหากินมาตั้งแต่บรรพบุรุษ การไม่มีความรู้ทางกฎหมายและปัญหาอคติชาติพันธุ์ของสังคมทำให้ไม่มีความสนใจในการแก้ปัญหาชาวเล ส่งผลให้คุณภาพชีวิตชาวเลตกต่ำ ประกอบกับชาวเลเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่รักสงบ มีวิถีหาอยู่หากินกับธรรมชาติ ไม่สะสม ขาดความรู้เรื่องกฎหมายมักถูกหลอกถูกเอาเปรียบ จึงเป็นกลุ่มเปราะบางที่สังคมควรปกป้องเพื่อรักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรม และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
                      ทั้งนี้เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล และมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนไปปฏิบัติ ประกอบด้วย การสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย การประกอบอาชีพประมง การช่วยเหลือด้านสาธารณสุข การแก้ปัญหาสัญชาติ การส่งเสริมด้านการศึกษา ทุน หลักสูตรที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต การแก้ปัญหาอคติทางชาติพันธุ์ การส่งเสริมด้านภาษาและวัฒนธรรมของชาวเล การส่งเสริมชุมชนและเครือข่ายชาวเลให้เข้มแข็ง รวมทั้งให้มีงบประมาณส่งเสริม วันนัดพบวัฒนธรรมชาวเล
                      ตลอดระยะ 5 ปีที่ผ่านไป การแก้ปัญหาต่างๆ ยังไม่บรรลุผล อันเนื่องจากปัญหาเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน จึงต้องใช้ความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรท้องถิ่น จังหวัด นักวิชาการ และชุมชนชาวเล ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันได้ตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหาที่ดิน ที่ทำกินและพื้นที่ทางจิตวิญญาณชุมชนชาวเลขึ้นมา โดยมี พล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง เป็นประธาน โดยมีนักวิชาการ และตัวแทนชาวเลเป็นกรรมการ
                      ในการดำเนินงานของคณะกรรมการจะเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงเป็นปัจจัยสำคัญ จึงได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาสืบหาข้อมูลข้อเท็จจริงเป็นรายพื้นที่หลายคณะด้วยกัน โดยมีแนวทางการทำงานในแต่ละเรื่องที่ชัดเจนดังนี้
                      1.การแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นกรณีเกาะหลีเป๊ะ ชาวเลแหลมตุ๊ก ชาวเลราไวย์ แหลมตง (เกาะพีพี) ซึ่งแต่ละแห่งล้วนมีความสลับซับซ้อนทางด้านข้อมูลด้วยปัญหาสะสมมาเป็นเวลานานและถูกละเลยไม่ได้รับการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง แต่ละฝ่ายก็มีข้อมูลคนละชุดและต่างก็ยึดถือข้อมูลของตนเองเป็นหลัก ดังนั้นภารกิจของคณะกรรมการชุดนี้คือ ให้แต่ละส่วนจัดทำข้อมูลของตนเองขึ้นมา ทั้งการตั้งถิ่นฐาน ข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศ เอกสารทางราชการ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ หลักฐานทางจิตวิญญาณ ต้นไม้ สิ่งก่อสร้าง ฯลฯ แม้แต่ชาวบ้านเองก็ต้องจัดทำข้อมูลเหล่านี้ด้วยเช่นกัน โดยมีมูลนิธิชนไทและสถาบันวิจัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคอยสนับสนุน แล้วจัดส่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นผู้ประมวลให้เสร็จโดยเร็ว ซึ่งข้อมูลที่ดีเอสไอประมวลจะถือเป็นเอกสารสำคัญในการตัดสินใจดำเนินงานต่อไป
                      2.การแก้ปัญหาการประกอบอาชีพของชุมชนชาวเล ซึ่งหลักๆ ก็คือทางการประกาศเขตอุทยานทับที่ชาวเล และห้ามชาวเลจับสัตว์น้ำในท้องทะเลบริเวณอุทยาน ทั้งๆ ที่พื้นที่เหล่านี้ชาวเลหากินกันมานับร้อยปี การแก้ปัญหานี้ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาพิจารณา โดยมีแนวทางในการผ่อนปรนให้ชาวเลหากินในเขตอุทยานได้ แต่กำหนดเครื่องมือที่เป็นวิถีดั้งเดิมของชาวเล ตลอดจนกำหนดปริมาณและช่วงเวลาของการจับสัตว์น้ำไว้ด้วย
                      3.ประการสุดท้ายก็คือ พื้นที่ทางจิตวิญญาณหรือที่ฝังศพ ซึ่งชาวเลจะอาศัยป่าเป็นที่ขุดหลุมฝังศพผู้เสียชีวิตมาหลายชั่วอายุคน แต่ปัจจุบันที่ดินมีราคาสูง ประมาณการว่าพื้นที่ฝังศพทุกแห่งรวมกันมีมูลค่านับพันล้าน ล้วนตั้งอยู่ใกล้ทะเล มีความสวยงามตามธรรมชาติ จึงเป็นที่หมายปองของนักลงทุนทั้งหลาย ไม่ต่างอะไรจากที่อยู่อาศัย ดังนั้นพื้นที่ทางจิตวิญญาณของชาวเลเกือบทุกแห่ง จึงกลายเป็นที่หมายปองของนายทุน จนทำให้ชาวเลหลายแห่งไม่มีแม้ที่จะฝังศพ ดังนั้นคณะกรรมการจึงได้มีการสำรวจพื้นที่ทางจิตวิญญาณอย่างละเอียด เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา
                      นี่คือปัญหาหลักๆ ที่ยังแก้ไม่เสร็จสิ้น และแม้ว่าปัญหาจะรุมเร้าสักเพียงไร การรวมตัวของชาวเลก็ยังเกิดขึ้นต่อไป โดยชาวเลจะมีการนัดหมายกันทุกปี มารวมตัวกันในงาน “รวมญาติชาวเล” โดยในปีนี้จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 13-14 พฤศจิกายน 2558 ณ อ.เกาะลันตาใหญ่ จ.กระบี่ เพื่อเชื่อมโยงพี่น้อง สร้างความมั่นใจในการต่อสู้กับปัญหาร่วมกันและสร้างความภูมิใจในเผ่าพันธุ์ของตนเอง
———————
(หลากมิติเวทีทัศน์ : วันรวมญาติชาวเล เพื่อศักดิ์ศรีที่ทัดเทียม : โดย…สุวัฒน์ คงแป้น)

คิดให้หนักก่อนเข้าร่วม ‘ทีพีพี’ ผลได้อาจไม่คุ้มค่าผลกระทบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151101/216119.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2558
คิดให้หนักก่อนเข้าร่วม 'ทีพีพี' ผลได้อาจไม่คุ้มค่าผลกระทบ

หลากมิติเวทีทัศน์ : คิดให้หนักก่อนเข้าร่วม ‘ทีพีพี’ ผลได้อาจไม่คุ้มค่าผลกระทบ : โดย…วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ

                      ขณะนี้ภาคเอกชนกลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวผลักดันให้รัฐบาลเข้าร่วม ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership- TPP) ซึ่งมีประเทศต่างๆ เข้าร่วม 12 ประเทศ
                      โดยในประเทศที่เข้าร่วมทีพีพี ทั้ง 12 ประเทศ ไทยมีข้อตกลงทางการค้ากับทุกประเทศ ยกเว้น สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และแคนาดา ดังนั้น ผลกระทบหรือประโยชน์จากความตกลงการค้านี้ จึงอยู่ที่การวิเคราะห์ผลที่เกี่ยวเนื่องกับ 3 ประเทศนี้เป็นหลัก
                      ภาคอุตสาหกรรมและสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เห็นว่า ประเทศไทยควรเข้าร่วมกับทีพีพี แต่นักวิชาการอีกหลายท่านวิเคราะห์ว่า ผลประโยชน์ที่ได้รับอาจไม่คุ้มค่ากับผลกระทบ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับ สิทธิบัตรยา และ ผลกระทบต่อทรัพยากรชีวภาพและพันธุ์พืช
                      ทั้งนี้ เนื่องจากการส่งออกสินค้าของประเทศไทยไปยัง 3 ประเทศดังกล่าว เพียงประมาณ 9% เท่านั้น โดยสินค้าสำคัญที่จะได้รับผลกระทบคือ อุตสาหกรรมรถยนต์ และ เสื้อผ้า  ซึ่งอุตสาหกรรมแรกเป็นอุตสาหกรรมข้ามชาติของญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาเองอยู่แล้ว ในขณะที่เสื้อผ้าเป็นอุตสาหกรรมอาทิตย์อัสดง ซึ่งไม่ควรหวังการได้ประโยชน์จากการลดภาษี เพราะที่ผ่านมาได้มีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ค่าแรงต่ำกันก่อนหน้านี้ อีกทั้งประเทศไทยควรจะพัฒนาคุณภาพหรือสร้างแบรนด์ในสินค้าประเภทนี้มากกว่า
                      ผลกระทบที่เห็นได้ชัดที่สุดนอกจากสิทธิบัตรยาแล้วก็คือ การที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้นำของทีพีพี ได้ผลักดันให้ประเทศที่เข้าร่วมต้องขยายสิทธิบัตรในเรื่องพันธุ์พืช และการเปิดเสรีสินค้าที่สหรัฐเป็นผู้นำ เช่น จีเอ็มโอ และ ผลิตภัณฑ์อาหารดัดแปลงพันธุกรรม ซึ่งหลายประเทศไม่ยอมรับ
                      การเข้าร่วมทีพีพี จะเกิดผลกระทบต่อประเทศไทยในประเด็นที่เกี่ยวกับ ภาคเกษตรกรรม และ ทรัพยากรชีวภาพ ใน 2 ประเด็นสำคัญคือ
                      1) การขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรให้ครอบคลุมสิ่งมีชีวิต (patent on life) และการยอมรับระบบกฎหมายพันธุ์พืช ยูพีโอวี1991 ภายใต้ความตกลงทีพีพี ประเทศสมาชิกต้องให้สัตยาบันในสนธิสัญญาบูดาเปสต์และสนธิสัญญายูพีโอวี1991 และต้องให้การคุ้มครองสิทธิบัตรในพืช และนวัตกรรมที่ได้จากพืช ประเทศไทยจะต้องแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตรและกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542 ซึ่งจะส่งผลให้บรรษัทข้ามชาติสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพโดยไม่ต้องแบ่งปันผลประโยชน์ การเก็บเมล็ดพันธุ์ไปปลูกต่อหรือแลกเปลี่ยนกับเพื่อนบ้านจะกลายเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย การผูกขาดเมล็ดพันธุ์จะขยายจาก 12 ปี เป็น 20 ปี เมล็ดพันธุ์จะมีราคาแพงขึ้นตั้งแต่ 2-6 เท่าตัวเป็นอย่างน้อย จากการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยงานศึกษาที่ได้รับการสนับสนุนโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) พบว่า ผลกระทบของระบบกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาตามมาตรฐานของสหรัฐจะทำให้
                      -เมล็ดพันธุ์มีราคาแพงเพิ่มขึ้น จาก 28,542 ล้านบาท/ปี เป็น 80,721-142,932 หรือเพิ่มขึ้น 52,179-114,390 ล้านบาท/ปี
                      -การสูญเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการไม่ได้รับการแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ 10,740-48,928 ล้านบาท/ปี
                      -ผลกระทบระยะยาวจากการถูกกีดกันการพัฒนายาสมัยใหม่ที่มาจากสมุนไพรซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 59,798 ล้านบาท/ปี
                      รวมมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่า 122,717-223,116 ล้านบาท/ปี ทั้งนี้ โดยไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและการสูญเสียอธิปไตยเหนือทรัพยากรซึ่งไม่อาจประเมินมูลค่าได้
                      2) การถูกบีบบังคับให้ยอมรับพืชจีเอ็มโอและมาตรการปกป้องผู้บริโภคเกี่ยวกับฉลากอาหารดัดแปรพันธุกรรม
                      การเข้าร่วมเป็นภาคีในทีพีพี อาจทำให้ไทยต้องถูกบีบบังคับให้มีการปลูกพืชจีเอ็มโอ และอาจต้องยกเลิกการติดฉลากหรือมาตรการอื่นๆ ที่เป็นการปกป้องสิทธิผู้บริโภคเกี่ยวกับอาหารดัดแปลงพันธุกรรม
                      ทั้งๆ ที่กระแสผู้บริโภคทั่วโลกมีแนวโน้มต่อต้านพืชและผลิตภัณฑ์ดัดแปลงพันธุกรรมมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ดังที่ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี สกอตแลนด์ เวลส์ และประเทศต่างๆ ในอียู รวมกัน 16 ประเทศประกาศแบนพืชจีเอ็มโอเมื่อเร็วๆ นี้ เช่นเดียวกับ รัสเซีย นอร์เวย์ และสวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น
                      การอนุญาตให้ปลูกพืชจีเอ็มโอจะทำให้ระบบเกษตรกรรมของประเทศไทยต้องพึ่งพาเมล็ดพันธุ์จากบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติสหรัฐ เกิดปัญหาการปนเปื้อนทางพันธุกรรมกับทรัพยากรชีวภาพ ซึ่งเป็นรากฐานของระบบเกษตรกรรมและอาหารในอนาคต การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในเรื่องความปลอดภัยทางอาหารจะยิ่งเพิ่มขึ้น ในขณะที่ตลาดผลิตภัณฑ์ดัดแปลงพันธุกรรมกำลังหดแคบลง ไม่เฉพาะในยุโรปเท่านั้น แต่รวมถึงตลาดสหรัฐเองด้วย เนื่องจากผู้บริโภคอเมริกันมากกว่าครึ่งหนึ่งที่ปฏิเสธผลิตภัณฑ์ที่มาจากการดัดแปลงพันธุกรรม
                      นี่คือเหตุผลที่ควรคิดให้หนักก่อนเข้าร่วมทีพีพี เพราะผลประโยชน์ที่ได้รับนั้น ไม่คุ้มค่าเลยกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกรรายย่อย และทรัพยากรชีวภาพโดยรวมของประเทศ
———————-
(หลากมิติเวทีทัศน์ : คิดให้หนักก่อนเข้าร่วม ‘ทีพีพี’ ผลได้อาจไม่คุ้มค่าผลกระทบ : โดย…วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ)

แก้ไขปัญหาที่ดินภาคใต้ ‘ป่าต้องอยู่ได้คนต้องอยู่ดี’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151018/215295.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2558
แก้ไขปัญหาที่ดินภาคใต้ 'ป่าต้องอยู่ได้คนต้องอยู่ดี'

หลากมิติเวทีทัศน์ : แก้ไขปัญหาที่ดินภาคใต้ ‘ป่าต้องอยู่ได้คนต้องอยู่ดี’ : โดย…สุวัฒน์ คงแป้น

                      ตามที่รัฐบาลมีนโยบายทวงคืนผืนป่า เป้าหมายเพื่อให้มีป่าร้อยละ 40 โดยได้ออกคำสั่ง คสช.ที่ 64/2557 และคำสั่ง คสช.ที่ 66/2557 และในเวลาต่อมาได้นำมาตราที่ 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาบังคับใช้ โดยให้ทหารเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้และพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
                      ในทางปฏิบัติแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ยึดถือคำสั่งที่ 64/2557 เป็นหลัก ในขณะที่คำสั่งที่ 66/2557 โดยเฉพาะข้อ 2.1 ที่ระบุว่า “การดำเนินการใดๆ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งได้อาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมนั้นๆ ก่อนคำสั่งนี้มีผลบังคับใช้ยกเว้นผู้ที่บุกรุกใหม่ จะต้องดำเนินการสอบสวน และพิสูจน์ทราบ เพื่อกำหนดวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป” กลับไม่ถูกนำมาถือปฏิบัติอย่างจริงจัง ประกอบกับแนวปฏิบัติต่างๆ ก็ยังไม่มีความชัดเจน ส่งผลให้ประชาชนที่เป็นคนจนผู้ยากไร้ได้รับผลกระทบอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ
                      สำหรับในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ มีผู้เดือดร้อนจำนวน 141,107 ครอบครัว จาก 359 ตำบล 14 จังหวัด เนื้อที่ประมาณ 1.3 ล้านไร่ ซึ่งได้ตั้งชุมชนและทำกินก่อนการประกาศเขตอนุรักษ์และป่าอื่นๆ อันเป็นที่ดินซึ่งได้รับมรดกมาจากพ่อแม่และทำกินมาอย่างต่อเนื่อง ผู้เดือดร้อนดังกล่าวจึงได้รวมตัวกันในนาม “เครือข่ายขบวนชุมชนแก้ไขปัญหาที่ดินและที่อยู่อาศัยภาคใต้” (ข้อเท็จจริงได้รวมตัวมาก่อนหน้านี้เพื่อแก้ปัญหาตามแนวทางของชุมชน)
                      ที่ต.ควนหนองหงษ์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช มีปัญหาเพราะไม่ได้พิสูจน์สิทธิ์ให้ชัดเจน ทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนในพื้นที่เรื่อยมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตสาธารณประโยชน์ (พรุอ้ายเล) ในหมู่ 1-4 พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติช่องกระโสม ป่าควนแก้ว ป่าคลองตาม ในหมู่ 5-6 รวมเก้าพันกว่าไร่ ผู้อาศัยประมาณหนึ่งพันครอบครัว
                      เพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าว ชาวบ้านโดยสภาองค์กรชุมชนตำบลควนหนองหงษ์ จึงได้ตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยต.ควนหนองหงษ์ โดยอาศัยตามมาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 โดยแบ่งเป็นคณะกรรมการระดับพื้นที่ 2 พื้นที่ตามสภาพปัญหา มีการสำรวจข้อมูลผู้เดือดร้อน สำรวจแปลงที่ดินโดยใช้ GIS/ GPS เพื่อนำไปสู่การกันเขตที่อยู่อาศัยกับเขตป่าให้ชัดเจน ก่อนที่จะนำไปสู่การจัดทำผังที่ดินทั้งตำบล
                      เชวง มีชนะ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ต.ควนหนองหงษ์ เล่าว่า นอกจากทำระบบข้อมูลที่ดินแล้วยังได้มีการพัฒนาในรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดการน้ำทำฝายชะลอน้ำโดยภูมิปัญญาพื้นบ้าน การร่วมกันอนุรักษ์ป่าชุมชนกว่า 200 ไร่ ให้มีความอุดมสมบูรณ์ การนำผังตำบลไปเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการภัยพิบัติ มีการตั้งกองทุนที่ดินโดยการสมทบของสมาชิก ตลอดจนการหนุนช่วยผู้ยากไร้ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ซึ่งงานที่ทำทั้งหมดเพื่อนำไปสู่การพิสูจน์สิทธิ์การถือครองให้ได้ซึ่งสิทธิ์ทำกินและการอยู่อาศัย
                      ที่ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เป็นอีกตำบลหนึ่งที่ชาวบ้านได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาที่ดินก่อนที่จะมีนโยบายทวงคืนผืนป่าของรัฐบาล โดยในอดีตประมาณปี 2520 ชาวบ้านได้เข้ามาจับจองพื้นที่ทำกินเพื่อปลูกกาแฟซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญในขณะนั้น และในปีถัดมารัฐบาลได้ประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ “รับร่อ-สลุย” จำนวน 6 แสนกว่าไร่ กินที่ดินกว่าร้อยละ 90 ของตำบล ตามมาด้วยในปี 2531 รัฐบาลได้ประกาศพื้นที่ป่าบริเวณคลองรับร่อฝั่งขวาเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จนกระทั่งปี 2532 ได้เกิดพายุไต้ฝุ่นเกย์ ทำให้พื้นที่ได้รับความเสียหายจำนวนมาก
                      ประกอบกับการสัมปทานป่าไม้จากรัฐ ทำให้พื้นที่ป่าได้รับความเสียหายมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ชาวบ้านจากทุกสารทิศเข้ามาจับจองพื้นที่ทำกิน จนกระทั่งในปี 2538 รัฐได้ยกเลิกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเดิมที่ประกาศเมื่อปี 2531 แล้วประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทั้งด้านทิศเหนือและทิศใต้ขึ้นมาใหม่
                      หลังมีการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลรับร่อขึ้นมา องค์การบริหารส่วนตำบลรับร่อ โดยนายอวยพร มีเพียร นายก อบต. ที่มีความจริงจังกับการแก้ปัญหาที่ดิน ก็ได้ประสานงานกับสภาองค์กรชุมชนตำบลเพื่อมาทำงานร่วมกับผู้เดือดร้อน เป็นความร่วมมือ 3 ประสาน ตั้งเป็นคณะทำงาน เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ชาวบ้านผู้เดือดร้อนจำนวน 185 ราย และแกนนำท้องที่ ท้องถิ่น ในการขับเคลื่อนแก้ปัญหาที่ดินร่วมกัน โดยการเปิดเวทีประชาคมเพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการ ดิน น้ำ ป่าและทุนชุมชนสู่ความยั่งยืนอย่างมีส่วนร่วม ซึ่งเวทีดังกล่าวได้บรรลุข้อตกลงร่วมกัน 3 ประการ คือ 1)ชาวบ้านจะหยุดบุกรุกทำลายป่าและปลูกป่าเพิ่มในที่สาธารณะป่ากันชนและริมถนน 2)ร่วมกันปลูกต้นไม้ตลอดสายน้ำเพื่อฟื้นฟูและคงความอุดมสมบูรณ์ให้แก่แหล่งน้ำ 3)ให้จัดตั้งธนาคารที่ดินตำบลรับร่อ
                      นอกจากร่วมกันทำข้อตกลงดังกล่าวแล้ว ยังร่วมจัดทำข้อมูลที่ดินทั้งรายแปลงและที่ดินรวมทั้งตำบล เพื่อเป็นเครื่องมือในการเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยใช้สภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นองค์กรหลักในการประสานงานกับหน่วยงานเหล่านั้น เช่น การเจรจากับผู้บังคับการจังหวัดทหารบกชุมพร โดยนำแปลงของชาวบ้านที่ถูกจับกุมเป็นกรณีศึกษาหาทางออกร่วมกันจนชาวบ้านหลุดพ้นจากความไม่เป็นธรรม ตลอดจนการนำข้อมูลที่ดินที่จัดทำแล้ว ไปเจรจากับกรมป่าไม้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
                      “เราไม่ได้หวังว่าจะได้เอกสารสิทธิรายแปลง เพราะที่ดินทุกแปลงมีปัญหาหมด แม้แต่หน่วยงานรัฐก็ตั้งอยู่ในที่เหล่านี้ แต่การต่อสู้ของเราก็เพื่อคืนความเป็นธรรมให้ชาวบ้านได้สิทธิ์ทำกินและการอยู่อาศัย โดยจะไม่มีการบุกรุกเพิ่มแต่จะร่วมมือกันดูแลรักษาดินน้ำป่าให้สมบูรณ์ เพราะหลักในการทำงานของเราก็คือ คนรับร่ออยู่ได้ ป่าอยู่ได้” นายก อบต.รับร่อ กล่าว
                      นี่เป็นเพียงรูปธรรมบางส่วนที่ภาคประชาชนได้ร่วมกันทำงานเพื่อแก้ปัญหาที่ดิน ก่อนหน้าที่จะมีนโยบายทวงคืนผืนป่าของรัฐบาล เชื่อว่าหากรัฐบาลเข้ามาทำงานโดยการประสานงานกับชาวบ้านเหล่านี้อย่างเข้าอกเข้าใจก็จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านมากมายขนาดนี้
                      แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้ว เครือข่ายประชาชนภาคใต้ ซึ่งทำงานด้านการแก้ปัญหาที่ดิน ก็ได้ยื่นหนังสือกับฝ่ายนโยบายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในพื้นที่และส่วนกลาง รวมทั้งการยื่นหนังสือกับศูนย์ดำรงธรรมเกือบทุกจังหวัด แต่ปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไข ในทางตรงกันข้ามรัฐกลับมีการดำเนินงานมากยิ่งขึ้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2558 ก็ได้ยื่นข้อเสนอกับกองทัพภาคที่ 4 อีกครั้งหนึ่ง ที่สำคัญคือ
                      1. ให้รัฐบาลยึดถือคำสั่งที่ 66/2557 เป็นหลักในการดำเนินงานที่ไม่กระทบกับผู้เดือดร้อนหรือผู้ยากไร้ที่อาศัยอยู่ก่อน
                      2. ให้ยึดถือนโยบายของรัฐบาลข้อ 9.3 ที่นายกรัฐมนตรีแถลงต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 ความว่า “ในระยะต่อไป พัฒนาระบบบริหารจัดการที่ดิน และแก้ไขการบุกรุกที่ดินของรัฐบาลโดยยึดแนวพระราชดำริที่ให้ประชาชนสามารถอยู่รวมกับป่าได้ เช่น กำหนดเขตป่าชุมชนให้ชัดเจน พื้นที่ใดที่สงวนหรือกันไว้เป็นพื้นที่ป่าสมบูรณ์ก็ใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัดพื้นที่ใดสมควรให้ประชาชนใช้ประโยชน์ได้ก็จะผ่อนผันให้ตามความจำเป็นโดยใช้มาตรการทางการบริหารจัดการ มาตรการทางสังคมจิตวิทยา และการปลูกป่าทดแทนเข้าดำเนินการ ทั้งจะให้เชื่อมโยงกับการส่งเสริมการมีอาชีพและรายได้อื่นอันเป็นบ่อเกิดของเศรษฐกิจชุมชนที่ต่อเนื่องเพื่อให้คนเหล่านั้นสามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงโดยที่ดินยังเป็นของรัฐจะจัดทำฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการ จัดทำทะเบียนผู้ถือครองที่ดินในที่ดินของรัฐ ปรับปรุงกลไกการบริหารจัดการที่ดินของรัฐและเอกชนให้มีเอกภาพเพื่อทำหน้าที่ด้านกำหนดนโยบายด้านที่ดินในภาพรวม และปรับปรุงกลไกภาษีเพื่อกระจายการถือครองที่ดิน เร่งรัดการจัดสรรที่ดินให้แก่ผู้ยากไร้โดยไม่ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ แต่รับรองสิทธิร่วมในการจัดการที่ดินของชุมชน กำหนดรูปแบบที่เหมาะสมของธนาคารที่ดินเพื่อให้เป็นกลไกในการนำทรัพยากรที่ดินมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
                      3. ให้มีการตั้งคณะทำงานร่วมทุกระดับ ระหว่างประชาชนกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด
                      4. ในการแก้ปัญหาโดยใช้ข้อมูลข้อเท็จจริง ที่มีการรับรองร่วมกัน และต้องหยุดการตัดโค่นต้นไม้ ของชาวบ้านไว้ก่อนจนกว่าจะมีข้อตกลงเป็นที่ยุติ
                      อย่างไรก็ดีในส่วนของชาวบ้านก็ใช่ว่าจะเรียกร้องรัฐเพียงอย่างเดียวแต่ได้มีข้อตกลงร่วมกันของชาวบ้านเองและปฏิบัติให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ในหลายๆ พื้นที่แล้วว่า จะร่วมกันสอดส่องดูแลไม่ให้มีการบุกรุกเพิ่ม รวมทั้งจะร่วมกันดูแลรักษา ดิน น้ำ ป่า ตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพราะมีความตระหนักอยู่เสมอว่า การแก้ปัญหาต้องนำไปสู่แนวคิดที่ว่า “ป่าต้องอยู่ได้ คนต้องอยู่ดี” อย่างพึ่งพาซึ่งกันและกัน
——————–
(หลากมิติเวทีทัศน์ : แก้ไขปัญหาที่ดินภาคใต้ ‘ป่าต้องอยู่ได้คนต้องอยู่ดี’ : โดย…สุวัฒน์ คงแป้น)

เขื่อนดอนสะโฮง : คอนกรีตกลางโขง ที่สร้างผลกระทบข้ามพรมแดน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151011/214897.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2558
เขื่อนดอนสะโฮง : คอนกรีตกลางโขง ที่สร้างผลกระทบข้ามพรมแดน

หลากมิติเวทีทัศน์ : ‘เขื่อนดอนสะโฮง’ คอนกรีตกลางโขง ที่สร้างผลกระทบข้ามพรมแดน : โดย…ธีระชัย ศาลเจริญกิจถาวร อาสาสมัคร โครงการฟื้นฟูนิเวศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

                      หากกล่าวถึง “โครงการพัฒนา” ขนาดใหญ่ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการการใช้พลังงานของผู้คนในสังคมปัจจุบัน อย่างเช่น ไฟฟ้า นอกจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้าขยะ ฯลฯ อันเป็นแหล่งที่มาของพลังงานที่สุดแสนจะสำคัญดังกล่าวแล้ว
                      “เขื่อน” ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำคัญที่รัฐบาลในหลายๆ ประเทศบนโลกหยิบมาใช้เพื่อเป็นเครื่องมือในการผลิตพลังงานไฟฟ้าเพื่อให้ประชาชนในประเทศของตนได้ใช้ อีกทั้งไม่ก่อให้เกิดมลพิษใดๆ ในอากาศ ช่วยลดโลกร้อนได้อีกด้วย
                      ถึงกระนั้น เบื้องหลังกำแพงคอนกรีตมหึมาก็ไม่ได้สดใส การได้มาซึ่งพลังงานไฟฟ้า เพื่อให้ผู้คนในเมืองหลวงและภาคอุตสาหกรรมได้ใช้กันอย่างถ้วนหน้า ต้องแลกด้วยทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งมีชีวิต ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ และที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด ความมั่นคงของวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนจำนวนมาก ที่ลดต่ำลงจนแทบจะสูญสิ้น
                      “โครงการเขื่อนดอนสะโฮง” ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 260 เมกะวัตต์ หนึ่งในโครงการเขื่อนขนาดใหญ่ทั้งหมด 12 เขื่อน บนแม่น้ำโขงสายหลักตอนล่าง ซึ่งจะถูกตั้งขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า “สีพันดอน” แหล่งประมงที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคแม่น้ำโขง ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศลาว ในบริเวณที่เรียกว่า “ฮูสะโฮง”
                      อันเป็นช่องทางน้ำ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญอย่างยิ่งของเส้นทางอพยพขึ้น-ลงของปลาแม่น้ำโขงหลากหลายสายพันธุ์ เพื่อวางไข่และใช้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย และยังเป็นช่องทางไหลของน้ำและตะกอนเพื่อเข้าไปหนุนเสริมผืนดินบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ถือได้ว่าเป็นช่องทางสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตและสรรพสิ่งต่างๆ ในแม่น้ำโขง ทั้งปลาและผู้คนริมโขง ทั้งไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เนื่องจากเป็นที่มาของแหล่งรายได้และแหล่งโปรตีนที่สำคัญที่สุดของผู้คนในภูมิภาคแม่น้ำโขง
                      ด้วยตำแหน่งที่ตั้งดังกล่าว หากมีการสร้างและดำเนินการก่อสร้างเสร็จสิ้น กำแพงคอนกรีตมหึมาดอนสะโฮง ที่ขวางกั้นการไหลอย่างอิสระของแม่น้ำโขง จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชนในภูมิภาคแม่น้ำโขงทั้ง 6 ประเทศ ทั้งจีนตอนใต้ พม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม กลายเป็นหายนะที่พรากเอาชีวิตและจิตวิญญาณของผู้คนริมโขงในภูมิภาคแม่น้ำโขงไป
                      ในการประชุมเวทีประชาชนแม่น้ำโขงที่จัดขึ้นเมื่อปลายเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ประชาชนจาก 3 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย กัมพูชา และเวียดนาม ได้เข้าร่วมประชุมในเวทีดังกล่าว เพื่อแลกเปลี่ยนและพูดคุยถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขง ทั้งเขื่อนที่ถูกสร้างขึ้นแล้วบนแม่น้ำโขงตอนบนในจีน เขื่อนบนแม่น้ำสาขาในแม่น้ำโขงตอนล่าง และแสดงถึงข้อกังวลต่างๆ อันเป็นผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเขื่อนดอนสะโฮง ซึ่งรัฐบาลลาวมีท่าทีที่จะผลักดันโครงการดังกล่าวให้เกิดขึ้นให้ได้
                      ตัวแทนประชาชนจากอันเกียง จังหวัดซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง กล่าวว่า หากมีการสร้างเขื่อนดอนสะโฮง จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในบริเวณดังกล่าว ทั้งนี้เนื่องจากเขื่อนจะปิดกั้นการไหลของตะกอนที่พัดมากับน้ำ อันประกอบไปด้วยแร่ธาตุที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะข้าว ตกต่ำลงทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ตะกอนจากแม่น้ำโขงถือเป็นองค์ประกอบชั้นดีที่ทำให้ผลผลิตงดงาม นอกจากนี้ยังทำลายที่อยู่อาศัยและปิดกั้นการอพยพของพันธุ์ปลานานาชนิด ทั้งปลาเศรษฐกิจอันเป็นแหล่งรายได้ทางการประมง เช่น ปลาดุก และปลาที่สามารถพบได้เฉพาะในแม่น้ำโขง เช่น ปลาบึก
                      ส่วนตัวแทนประชาชนจากก่าเมา อันเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ปลายสุดของเวียดนาม กล่าวว่า แม้ก่าเมาจะอยู่ห่างจากแม่น้ำโขง แต่ความเป็นอยู่ของประชาชนในบริเวณดังกล่าวขึ้นอยู่กับแม่น้ำโขง ประชาชนต้องพึ่งพาแหล่งน้ำจืดที่อยู่ใต้ดินอันมีที่มาจากแม่น้ำโขง หากมีการสร้างเขื่อนดังกล่าว ประชาชนจะขาดน้ำ ซึ่งในปัจจุบันนี้ประชาชนในพื้นที่ต้องขุดดินลงไปถึง 200 เมตร ถึงจะพบน้ำจืด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ขุดเพียง 100 เมตร ก็จะพบ
                      นอกจากนี้การปิดกั้นการไหลของน้ำจะทำให้ตะกอนไม่สามารถมาเติมเต็มผืนดินได้ เปิดโอกาสให้น้ำเค็ม (น้ำทะเล) กัดเซาะชายฝั่ง รุกคืบกลืนกินที่อยู่และแหล่งทำกินของประชาชนในพื้นที่ไป
                      สำหรับในกัมพูชา ตัวแทนประชาชนจากโดยรอบโตนเลสาบ 7 จังหวัด ประกอบด้วย โพธิ์สัตว์, กำปงชนัง, กำปงธม, กำปงจาม, สตึงเตรง, เสียมราฐ และพนมเปญ กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า หากมีการสร้างเขื่อนดอนสะโฮงจะส่งผลอย่างหนัก เนื่องจากเขื่อนดังกล่าวอยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง 2 กิโลเมตร ผลผลิตทางด้านการประมงตกต่ำทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ เพราะจะทำให้ปลาในโตนเลสาบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำโขงลดน้อยลง อีกทั้งจะทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำขึ้น-ลงผิดปกติ หรืออาจเกิดน้ำท่วมอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ประชาชนต้องเสียเงินเสียทองไปกับการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านกลางน้ำ หรือบ้านลอยน้ำ อันเป็นที่อยู่อาศัยที่เป็นเอกลักษณ์ของประชาชนในบริเวณนี้ ตลอดจนคติความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรมที่ผูกพันกับสายน้ำจะค่อยๆ หายไป
                      สำหรับไทยเอง ตัวแทนประชาชนจากเครือข่ายประชาชนไทย 7 จังหวัดลุ่มน้ำโขง (คสข.) กล่าวว่า หากมีการสร้างเขื่อนดอนสะโฮง ประชาชนที่อาศัยอยู่ริมโขงจะได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะด้านความมั่นคงของชีวิต ทั้งในด้านการทำมาหากินในภาคเกษตรริมโขงและภาคการประมง และด้านภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วมหรือน้ำแล้งฉับพลัน อันเนื่องมาจากการเปิด-ปิดเขื่อน ซึ่งประชาชนไทยเองได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปิด-ปิดเขื่อนในจีนมาแล้ว
                      นอกจากนี้ในด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของรายได้ที่สำคัญของชุมชนและของประเทศก็จะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ตามจังหวัดริมโขงนั้น เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ต้องอาศัยฤดูกาล และการขึ้น-ลงของแม่น้ำที่เป็นปกติ หากมีการสร้างเขื่อนแม่น้ำจะขึ้น-ลงผิดปกติ แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ก็จะหายไป รายได้จากการท่องเที่ยวจึงลดลงเป็นเงาตามตัว และเช่นเดียวกัน ประเพณีและวัฒนธรรมที่ผูกพันกับแม่น้ำเอง ซึ่งเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวด้วย เช่น ประเพณีไหลเรือไฟ บั้งไฟพญานาค เลี้ยงขึ้นเลี้ยงลง ฯลฯ ก็จะค่อยๆ สูญหายไป
                      ข้อกังวลต่างๆ ที่กล่าวมาอย่างยืดยาวนั้น มีพื้นฐานมาจากผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วจากเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายหลักทั้งที่ถูกสร้างขึ้นในจีนและในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขงตอนล่าง ทั้งในไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ประชาชนในภูมิภาคแม่น้ำโขงต่างได้รับผลกระทบจากคอนกรีตมหึมาที่ไร้ซึ่งประโยชน์สำหรับพวกเขาไม่ต่างกันเลย
                      ผลกระทบข้ามพรมแดนที่เกิดขึ้นนั้น ผู้มีอำนาจทั้ง “นักสร้างเขื่อน” และภาครัฐควรให้ความสนใจและร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งทบทวนว่า “เขื่อน” ยังเป็นคำตอบสำหรับการพัฒนาอยู่หรือไม่ ผลกระทบที่เกิดจากเขื่อนที่ผ่านๆ มายังไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจ หยุด! อีกหรือ?
——————–
(หลากมิติเวทีทัศน์ : ‘เขื่อนดอนสะโฮง’ คอนกรีตกลางโขง ที่สร้างผลกระทบข้ามพรมแดน : โดย…ธีระชัย ศาลเจริญกิจถาวร อาสาสมัคร โครงการฟื้นฟูนิเวศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง)

การผังเมืองกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20151004/214494.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2558
การผังเมืองกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ

หลากมิติเวทีทัศน์ : การผังเมืองกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ : โดย…ศยามล ไกยูรวงศ์

                      การผังเมืองเป็นกระบวนการสำคัญของการวางแผนพัฒนาเชิงพื้นที่ของประเทศ ซึ่งเป็นการพัฒนาด้านกายภาพของการวางผังเมือง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปการ เพื่อให้ประชาชนอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดี และเป็นการวางแผนการใช้ประโยชน์จากที่ดินอย่างเหมาะสม เพื่ออนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ประโยชน์ของการพัฒนาผังเมืองยังสามารถวางแผนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ อันเป็นการลดหรือบรรเทาความเดือดร้อนหรือเสียหายอันอาจเกิดขึ้นจากพิบัติภัยธรรมชาติ
                      ประเทศไทยได้วางแผนการพัฒนาเมืองและชนบททั้งในเขตปริมณฑลรอบกรุงเทพมหานครและในภูมิภาคต่างๆ โดยมีพระราชบัญญัติการผังเมืองและผังชนบท พ.ศ.2495 ซึ่งเป็นกฎหมายผังเมืองฉบับแรกที่บังคับใช้ ต่อมามีการปรับปรุงแก้ไขและตราเป็นพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ.2518 (แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ.2525 ฉบับที่ 3 พ.ศ.2535) อย่างไรก็ตามการผังเมืองในประเทศไทยกลับไม่ประสบผลสำเร็จตามเจตนารมณ์ของการวางผังเมืองดังที่กล่าวข้างต้น
                      อันเนื่องมาจากรัฐบาลไม่ให้ความสำคัญในการนำผังเมืองมาเป็นการวางแผนพัฒนาเชิงพื้นที่ให้ได้ประโยชน์สูงสุดของการพัฒนาประเทศ การวางผังเมืองขาดการบูรณาการและความเชื่อมโยงของผังเมืองทุกผังในภาพรวมทั้งระดับภาคและระดับประเทศ กระบวนการจัดทำผังเมืองมีขั้นตอนที่ยาวนานในการกำหนดเขตผังเมืองโดยกลไกของคณะกรรมการผังเมืองระดับจังหวัดและระดับชาติ ซึ่งเป็นความรู้ที่ผูกขาดโดยนักวิชาการ บริษัทที่ปรึกษา และเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้ประชาชนไม่มีส่วนร่วม
                      และปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบไม่ทราบขั้นตอนของกระบวนการจัดทำผังเมือง จึงไม่สามารถอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับคำสั่งหรือหนังสือแจ้งความซึ่งทำให้ผู้นั้นไม่อาจฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
                      รัฐบาลไทยมีนโยบายการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อให้สอดคล้องกับการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมไปถึงข้อตกลงความร่วมมือระดับภูมิภาคอื่นๆ เช่น ความร่วมมือในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง(GMS) ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง(ACMECS) และแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย -มาเลเซีย-ไทย(IMT-GT) โดยความริเริ่มมาจากการผลักดันของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) ภายใต้กลยุทธ์การส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากโครงการระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridors) เพื่อการเปลี่ยนระเบียงขนส่ง(Transport Corridors) ให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจซึ่งทางเอดีบีได้ให้ความช่วยเหลือในการให้ข้อเสนอแนะเชิงเทคนิคและกลยุทธ์ในการสร้างและดำเนินการเขตเศรษฐกิจพิเศษในอนุภูมิภาค สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จึงได้มีการริเริ่มแผนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจโดยเฉพาะบริเวณชายแดนในปี 2556 ในรูปแบบของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี (สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา, 2557)
                      รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กำหนดนโยบายจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะแรกของไทยใน 5 พื้นที่ชายแดนเพื่อให้สามารถก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนได้อย่างสมบูรณ์ในปี 2558 ได้แก่ 1) แม่สอด จ.ตาก 2) อรัญประเทศ จ.สระแก้ว 3) ตราด 4) มุกดาหาร 5) สะเดา จ.สงขลา (ด่านศุลกากรสะเดาและปาดังเบซาร์)
                      ระยะที่สอง ได้แก่ เชียงราย หนองคาย นครพนม กาญจนบุรี และนราธิวาส โดยตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ ที่ประชุมของคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ(กนพ.) ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการสนับสนุนการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 4 เรื่อง ได้แก่ 1) สิทธิประโยชน์สำหรับการลงทุน 2) การให้บริการจุดเดียวแบบเบ็ดเสร็จ 3) มาตรการสนับสนุนการใช้แรงงานต่างด้าว 4)การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรในพื้นที่เพื่อให้สามารถรองรับกิจกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษและเชื่อมโยงในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 5) สิทธิการเช่าที่ดินของคนต่างชาติ ตามพระราชบัญญัติเช่าที่ดินเพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ.2542 โดยคนต่างด้าวได้สิทธิการเช่าที่ดินเพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมได้เกินกว่า 30 ปี แต่ไม่เกิน 50 ปี และขยายเวลาต่อได้อีกไม่เกิน 50 ปี กรณีได้รับการส่งเสริมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 ให้นักลงทุนสามารถถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อประกอบกิจการตามที่ได้รับการส่งเสริม ตามจำนวนเนื้อที่ดินที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกำหนด และหากเลิกหรือโอนกิจการผู้ได้รับการส่งเสริมต้องจำหน่ายที่ดินภายใน 1 ปี นับแต่วันเลิกหรือโอนกิจการ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 20 มกราคม 2558)
                      นอกจากนี้ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 17/2558 ใช้อำนาจตามมาตรา 44 มีคำสั่งให้เพิกถอนที่ดินจากป่าสงวนแห่งชาติ เขตป่าไม้ถาวร เขตปฏิรูป และที่ดินสาธารณะ ให้เป็นที่ราชพัสดุเพื่อนำมาใช้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ
                      การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้กำหนดกรอบเวลาการดำเนินงาน ปี 2559 จะเร่งรัดก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม โดยกำหนด ระยะที่ 1 ศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของการจัดตั้งนิคมฯ จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ออกแบบรายละเอียดงานก่อสร้างนิคมฯ ปี 2560 และเริ่มก่อสร้างนิคมฯ และปี 2561 เปิดดำเนินงาน ส่วนระยะที่ 2 จะเริ่มศึกษาความเหมาะสม ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ออกแบบก่อสร้าง ในปี 2561 จากนั้นจะเริ่มก่อสร้างในปี 2562 และจะเปิดดำเนินการในระยะ 2 ปี 2563 (<http://www.citizenthaipbs.net/node/5488&gt;)
                      จากนโยบายดังกล่าว จึงทำให้การผังเมืองตามกฎหมายกลายเป็นข้อยกเว้นเฉกเช่นปัญหาเดิม ทั้งที่การกำหนดเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษมีผลกระทบต่อสิทธิในทรัพย์สินของประชาชนและทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมในพื้นที่ และเป็นการกำหนดทิศทางการพัฒนาพื้นที่ โดยประชาชนในพื้นที่ยังขาดการมีส่วนร่วม กระบวนการจัดทำดังกล่าวจึงไม่นำไปสู่การกำหนดทิศทางการพัฒนาเชิงพื้นที่ในระยะยาว เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้ประชาชนได้ปกป้องสิทธิของตนเอง และเตรียมความพร้อมในการดำรงชีวิต
                      การผังเมืองมีความสำคัญต่อการประเมินสิ่งแวดล้อมในระดับยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นการจัดทำผังเมืองในระดับนโยบาย อันเป็นหลักการสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน หลักการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง หลักการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หลักการรองรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมและหลักการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัว
                      การผังเมืองก็คือการวางแผนการใช้ที่ดินระดับชาติ จังหวัด และระดับท้องถิ่น ซึ่งประกอบด้วย
                      1) ผังเมืองรวมที่มีขอบเขตเฉพาะภายในจังหวัด คณะกรรมการผังเมืองจังหวัดพิจารณาให้ความเห็นชอบและเสนอต่อรัฐมนตรีเพื่อออกกฎกระทรวงบังคับใช้ผังเมืองรวม
                      2) ผังเมืองรวมกลุ่มจังหวัด ผังเมืองรวมภาค หรือผังเมืองรวมที่มีอาณาเขตคาบเกี่ยวสองจังหวัดขึ้นไป คณะกรรมการผังเมืองพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนเสนอรัฐมนตรีเพื่อออกกฎกระทรวงบังคับใช้ผังเมืองรวม
                      3) ผังเมืองท้องถิ่น สภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้พิจารณาออกเป็นข้อบัญญัติท้องถิ่น ตามกฎหมายว่าด้วยสภาตำบลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
                      4) ผังเมืองเฉพาะคณะกรรมการผังเมืองเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบและเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบังคับใช้ผังเมืองเฉพาะ
                      การจัดทำผังเมืองทั้ง 4 ประเภท ต้องมีความเชื่อมโยงและบูรณาการร่วมกัน องค์ประกอบของคณะกรรมการผังเมืองจึงมีความสำคัญและต้องทำงานได้จริง ดังนั้นจึงต้องมีการกระจายอำนาจการตัดสินใจด้วยการมีส่วนร่วมในระดับพื้นที่ ท้องถิ่น และชุมชนร่วมกับคณะกรรมการผังเมือง สำหรับบทบาทหน้าที่ของกรมโยธาธิการและผังเมือง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การหรือหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่สนับสนุนและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชน โดยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนอย่างรอบด้าน มีการรับฟังความคิดเห็นและปรึกษาหารือกับประชาชน การมีส่วนร่วมในการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินและกำหนดผังเมือง รวมทั้งการติดตาม ตรวจสอบการดำเนินการตามแผน
                      การจัดทำผังเมืองในพื้นที่การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ จึงไม่ควรถูกละเลย เพราะจะทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้ร่วมกำหนดการวางแผนพัฒนาพื้นที่และร่วมได้รับการจัดสรรประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียม เป็นธรรม และยั่งยืน
———————
(หลากมิติเวทีทัศน์ : การผังเมืองกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ : โดย…ศยามล ไกยูรวงศ์)

บัญญัติ ‘สิทธิชุมชน’ ใน รธน. ทางออกปัญหานิเวศและสิ่งแวดล้อม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20150927/214080.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2558
บัญญัติ 'สิทธิชุมชน' ใน รธน. ทางออกปัญหานิเวศและสิ่งแวดล้อม

หลากมิติเวทีทัศน์ : บัญญัติ ‘สิทธิชุมชน’ ในรัฐธรรมนูญ ทางออกปัญหานิเวศและสิ่งแวดล้อม : โดย…กฤษฎา บุญชัย

                      ปัญหานิเวศและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น การขาดแคลนน้ำ อุทกภัย หมอกควัน ป่าถูกทำลาย สัตว์ป่าสูญพันธุ์ อุตสาหกรรม เหมืองแร่ โรงไฟฟ้า และอื่นๆ ที่ทำลายนิเวศและสิ่งแวดล้อมอย่างหนักหน่วง ทั้งหมดนี้ดูเผินๆ อาจเป็นเรื่องขาดความรู้ สำนึก การใช้ทรัพยากรฟุ่มเฟือย ขาดเครื่องมือกฎหมาย หรืออำนาจรัฐยังไม่เข้มแข็งพอ
                      หากแต่วิเคราะห์เจาะลึกลงไปถึงรากเราจะพบว่า ด้านหนึ่งมาจากอำนาจการผูกขาดที่ทำให้ฝ่ายที่มีอำนาจไม่ว่าจะเป็นกลไกรัฐ หรือกลุ่มทุน สามารถครอบครอง ควบคุมนิเวศ และทรัพยากร เพื่ออำนาจและผลประโยชน์ตามอำเภอใจ พร้อมกับผลักปัญหา ผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้สังคมต้องแบกรับ ชุมชนที่พึ่งพานิเวศและทรัพยากรถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนร่วมตัดสินใจ เพราะอ้างสิทธิต่อทรัพยากรตามที่รัฐจัดสรรให้ ปฏิเสธสิทธิที่ชุมชนและสังคมจะมีนิเวศและสิ่งแวดล้อมที่ดี
                      ขณะที่ปัญหาอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นทั้งผลและเหตุจากอำนาจผูกขาดก็คือ ภาวะมือใครยาวสาวได้สาวเอา หรือการคลั่งเสรี โดยปัจเจกที่ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังบริโภคนิยมที่ต่างแย่งชิง ฉวยใช้นิเวศและสิ่งแวดล้อมโดยไม่สนใจรับผิดชอบว่าจะกระทบต่อประชาชนส่วนรวมอย่างไร เพราะเรื่องส่วนรวมยกให้รัฐจัดการ ตนเองหาเป็นธุระไม่
                      ด้วยเหตุนี้ ทั้งอำนาจนิยมและเสรีนิยมด้านนิเวศและสิ่งแวดล้อม ต่างก็ทำให้สังคมขาดแนวคิดและความสามารถที่จะร่วมกันจัดการนิเวศและทรัพยากรได้ เราจึงมาถึงบทสรุปที่ว่า สังคมต้องสร้างระบบการจัดการร่วมที่ทั่วถึงและเป็นธรรม โดยกำหนดสิทธิและหน้าที่การจัดการนิเวศและสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจน จึงจะมีพลังร่วมกันจัดการได้อย่างเข้มแข็ง
                      สังคมโลกและสังคมไทย มีตัวอย่างการหาข้อตกลงเรื่องสิทธิการดูแลนิเวศ ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมที่ดีมั้ย ขบวนการสิ่งแวดล้อมทั่วโลกที่มีรากจากระดับท้องถิ่นพบร่วมกันว่า มีตัวอย่างที่ควรเรียนรู้มากมายจากชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ที่มีระบบการจัดการนิเวศร่วมกัน หรือเรียกว่า “สิทธิชุมชน”
                      สิทธิชุมชนไม่ได้มีเฉพาะชุมชนดั้งเดิม ในป่าเขา เพราะตัวอย่างต่างๆ บอกเราว่า สังคมไหนก็ตามทั้งชนบทและเมือง ไม่ว่าจะเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม หรือกลุ่มสังคมสมัยใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการจัดการเรื่องสาธารณะ เช่น ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ต่างก็ล้วนต้องมีระบบการจัดการร่วมกันที่เข้มแข็งทั้งในเรื่องประสิทธิภาพ ความยั่งยืน และความเป็นธรรม โดยมีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันว่า ความสมบูรณ์นิเวศคือความผาสุกร่วมกันของชุมชน
                      และความชอบธรรมของชุมชนอยู่ที่การทำให้การจัดการนิเวศร่วมกันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสาธารณะด้วย จึงได้ตกลงสิทธิกันในหมู่สมาชิกให้ชัดเจนว่าใครใช้ทรัพยากรแค่ไหน อย่างไร ที่จะไม่กระทบต่อส่วนรวม หรือชุมชนจะไปหนุนเสริม กำกับสมาชิกให้ดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างไรจึงจะยั่งยืน เช่นเดียวกันสมาชิกก็ต้องมีส่วนร่วมที่จะกำหนดชุมชนว่าต้องมีนโยบาย ทิศทางการจัดการทรัพยากรอย่างไรที่จะเกิดความยั่งยืน ซึ่งส่งผลต่อประโยชน์แก่สมาชิกทุกคน และสมาชิกจะต้องมีบทบาท ร่วมลงทุน ลงแรงกับชุมชนอย่างไร ชุมชนจึงมีพลังดำเนินต่อไปได้ ชุมชนได้สร้างเป้าหมาย พลังร่วมกันในการปกป้องทรัพยากรเพื่อความยั่งยืนอันผาสุกแก่มวลหมู่สมาชิกและต่อสังคมส่วนรวมด้วย
                      “สิทธิชุมชน” ไม่ใช่แค่ระบบจัดการทรัพย์สินหรือประโยชน์สาธารณะ แต่ยังมีความหมายอีกด้านหนึ่งคือสิทธิมนุษยชน เพราะลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกัน การพึ่งพานิเวศและสิ่งแวดล้อมร่วมกันของผู้คนในชุมชน ทำให้ความอยู่รอด ตัวตน อัตลักษณ์ ศักดิ์ศรี หรือความเป็นมนุษย์ของผู้คนไม่ได้อยู่บนฐานปัจเจกอย่างเดียว แต่มีความเป็นชุมชนซ้อนอยู่อย่างแยกไม่ออก เราจึงเห็นชุมชนจำนวนมากที่ถูกแย่งชิง ทำลายฐานทรัพยากร ต่างออกมายืนยันถึงสิทธิชุมชนในฐานะที่เป็นสิทธิความเป็นมนุษย์ที่จะดำรงชีพในนิเวศและสิ่งแวดล้อมที่มั่นคงและยั่งยืน เช่น ขบวนการเคลื่อนไหวเรื่องป่าชุมชน ชุมชนจัดการน้ำ ชุมชนต่อทรัพยากรชีวภาพ ชุมชนที่ต่อสู้กับโครงการขนาดใหญ่ทั้งเหมืองแร่ พลังงาน โรงไฟฟ้า เขื่อน อุตสาหกรรม มากมาย
                      หากแต่ว่าหลักการสิทธิชุมชนที่ขบวนการชุมชนผลักดันมาตั้งแต่ช่วงปี 30 เป็นต้นมาจนถึงร่างรัฐธรรมนูญที่เพิ่งถูกคว่ำไป ขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ตามหลักการและประสบการณ์ของชุมชน ทำให้หลักสิทธิชุมชนที่ถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญ ยังหนีไม่พ้นโครงสร้างผูกขาดอำนาจทรัพยากรของรัฐและทุน
                      รัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งเป็นฉบับแรกที่ว่ากันว่ารับรองสิทธิชุมชน ก็ปฏิเสธการมีอยู่ของชุมชนโดยตรง ยอมรับแต่เพียงปัจเจกที่มารวมตัวกันเป็นชุมชนท้องถิ่น และต้องพิสูจน์ตนว่าดั้งเดิมด้วยจึงจะมีสิทธิในวัฒนธรรม
                      แต่หากเป็นเรื่องทรัพยากร ก็เหลือไว้เพียงแค่ยอมให้มีส่วนร่วมจัดการตามที่กฎหมายบัญญัติ หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือ ตามที่รัฐจะยอมให้มีส่วนร่วมได้แค่ไหน ซึ่งในทางเป็นจริงคือ หน่วยงานรัฐไม่ยอมที่จะให้ชุมชนมีส่วนร่วมในระดับการตัดสินใจต่อทรัพยากร จึงไม่บัญญัติกฎหมายรับรองสิทธิไว้ ผลก็คือ การอ้างกฎหมายลูกที่ให้ไปบัญญัติรายละเอียด สิทธิชุมชนกลายเป็นสร้างข้อยกเว้นให้รัฐที่จะไม่ต้องทำตาม
                      หลักการข้างต้น สิทธิชุมชนจึงถูกละเมิดเช่นเดิม ด้วยการไล่คนออกจากป่า กีดกันการมีส่วนร่วมชุมชนที่ได้ผลกระทบจากโครงการขนาดใหญ่ และสาธารณะให้มีสิทธิร่วมตัดสินใจทำได้เพียงรับฟังความคิดเห็น จึงทำให้ปัญหานิเวศและสิ่งแวดล้อมที่มีรากฐานอำนาจผูกขาดและเปิดเสรียิ่งรุนแรงขึ้น เห็นได้จากสถิติความเสื่อมโทรมของนิเวศและทรัพยากรในช่วงปี 40-50 ยังคงดิ่งลงเหว
                      ขบวนการผลักดันสิทธิชุมชน จึงได้บทเรียนนำมาสู่การผลักดันในรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่แม้ยังคงกำหนดแค่การมีส่วนร่วมต่อการจัดการทรัพยากรเช่นเดิม แต่ตัดถ้อยความที่ว่าตามที่กฎหมายบัญญัติออกไป เพื่อไม่ให้เกิดข้อยกเว้นของรัฐ โดยเป็นการยกระดับให้รัฐธรรมนูญมีฐานะบังคับใช้โดยตรงโดยไม่ต้องมีกฎหมายลูกมารองรับ
                      หลักการดังกล่าวดูก้าวหน้า แต่เป็นการออกแบบที่ไม่เข้าใจโครงสร้างอำนาจของรัฐที่เป็นกลไกหลักตามรัฐธรรมนูญ เมื่อโครงสร้างรวมศูนย์ของรัฐไม่ถูกกระจายอำนาจ รัฐก็ยังใช้กฎหมายลูกเพื่อไม่รับรองสิทธิชุมชน โดยอ้างแนวปฏิบัติตามกฎหมาย เมื่อสิทธิชุมชนหรือกติกาการจัดการร่วมในระดับล่างไม่ถูกรับรอง ทรัพยากรจึงถูกรุกรานจากทั้งภายนอกและภายในชุมชน วิกฤติสิ่งแวดล้อมทั้งความเสื่อมโทรมและความขัดแย้งยังเป็นปัญหาใหญ่เช่นเดิม
                      ความพยายามครั้งใหม่เกิดขึ้นในร่างรัฐธรรมนูญที่เพิ่งถูกคว่ำไป แต่เป็นการพยายามที่ไม่ได้เรียนรู้บทเรียนเดิม คือยังทำให้สิทธิชุมชนต่อทรัพยากรพร่ามัวเพียงแค่การมีส่วนร่วมที่เปิดให้กลไกรัฐไปกำหนดตามกฎหมายลูกแบบรัฐธรรมนูญปี 2540 อันเป็นการกลับไปให้รัฐสร้างข้อยกเว้นที่จะละเมิดสิทธิชุมชนได้ แม้จะอ้างว่ามีกลไกปฏิรูปต่างๆ จะมาบัญญัติกฎหมายลูก แต่กลไกเหล่านั้นถูกผูกขาดโดยราชการ เทคโนแครต เป็นส่วนใหญ่ เป็นที่คาดการณ์ได้ว่า หากแนวทางสิทธิชุมชนตามร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกคว่ำไปบังคับใช้ ก็ไม่ได้ทำให้เกิดการรับรองสิทธิชุมชนแต่อย่างใด
                      จากบทเรียนรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับ เราควรตระหนักแล้วว่า สิทธิชุมชนจะมีได้ต้องปรับโครงสร้างกลไกรัฐให้กระจายอำนาจ ไม่รวมศูนย์ รัฐธรรมนูญจำเป็นต้องกำหนดหลักการและแนวทาง และกลไกเชิงสถาบันให้รัฐกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรทุกประเภทลงไปในทั้งแนวดิ่งจากรัฐส่วนกลางสู่ท้องถิ่น และแนวระนาบจากหน่วยงานรัฐเดี่ยวเป็นการจัดการร่วมหลายภาคีสร้างเป็นกลไกร่วมรัฐและประชาชนในทุกระดับ โดยกำหนดสิทธิ หน้าที่ของฝ่ายต่างๆ ให้ชัดเจน เช่น ทรัพยากรเป็นของรัฐ แต่ชุมชนมีสิทธิจัดการให้เกิดความยั่งยืนและเป็นธรรม ภาคสังคมมีสิทธิที่จะร่วมตัดสินใจ แต่ทั้งรัฐและสังคมต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของชุมชนที่จะมีชีวิตรอด และมีคุณภาพชีวิตที่ดีจากนิเวศสิ่งแวดล้อม
                      ไม่มีข้อยกเว้นในการละเมิดสิทธิชุมชนใดๆ เหมือนที่แล้วมา โดยเฉพาะกรณีโครงการที่ส่งผลกระทบร้ายแรง เช่น แต่เดิมกำหนดไว้ว่าการดำเนินโครงการที่เกิดผลกระทบต่อชุมชนด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรจะกระทำไม่ได้ เว้นแต่จะได้มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพและมีการรับฟังความคิดเห็น อันทำให้รัฐทำโครงการที่รุนแรงได้หากผ่านกระบวนการเหล่านั้น แต่แท้ที่จริงควรยืนยันปกป้องสิทธิชุมชนว่า โครงการใดๆ ก็ตามหากประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และสุขภาพแล้วพบว่ามีผลกระทบร้ายแรงจะดำเนินการไม่ได้ ทำให้ไม่เกิดการอ้างข้อยกเว้นไปละเมิดสิทธิชุมชนและสาธารณะได้อีก
                      รัฐธรรมนูญ จึงต้องยืนอยู่บนหลักการสิทธิชุมชนให้ชัด ไม่มีข้อยกเว้นในการละเมิดสิทธิไว้ในกฎหมายลูกหรือขั้นตอนปฏิบัติอันใด ต้องกระจายอำนาจรัฐออกไปทั้งแนวดิ่งและแนวระนาบ และต้องสร้างกลไกเชิงสถาบันของการจัดการมีส่วนร่วมทุกระดับที่มีอำนาจตามกฎหมายและความพร้อมในด้านทรัพยากร นั่นจึงจะทำให้ทั้งชุมชนท้องถิ่น ชุมชนเมือง ชุมชนเก่าหรือใหม่ มีความสามารถและความชอบธรรมในการจัดการนิเวศและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนเกิดขึ้นได้จริง
———————
(หลากมิติเวทีทัศน์ : บัญญัติ ‘สิทธิชุมชน’ ในรัฐธรรมนูญ ทางออกปัญหานิเวศและสิ่งแวดล้อม : โดย…กฤษฎา บุญชัย)

1 ปีกับการเรียนรู้ ‘ภูมิสังคมภาคตะวันตก’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20150920/213675.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2558
1 ปีกับการเรียนรู้ 'ภูมิสังคมภาคตะวันตก'

หลากมิติเวทีทัศน์ : 1 ปีกับการเรียนรู้ ‘ภูมิสังคมภาคตะวันตก’ : โดย…ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ ผู้บริหารโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก

                     พื้นที่ภาคตะวันตกมีการเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาภูมิภาคตะวันตกจะมีแกนนำเครือข่ายต่างๆ ที่ขับเคลื่อนงานเรื่องของการจัดการทรัพยากร การจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือการดูแลสังคมอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่า มี “ต้นทุนเดิม” ของคนในพื้นที่ที่มีเครือข่ายคนทำงานในกลุ่มประชาคมต่างๆ
                     แต่ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา กระบวนการสร้างความต่อเนื่องเรื่องเครือข่ายคนทำงานด้านนี้ขาดช่วงไป เพราะส่วนใหญ่จะไปยุ่งอยู่กับการทำโครงการ เมื่อมีโครงการ Active Citizen ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เข้ามาสนับสนุน ทำให้เกิดการประกอบสร้าง “คนทำงานรุ่นใหม่” ซึ่งในที่นี้หมายถึง “เด็กและเยาวชนในพื้นที่ภูมิภาคภาคตะวันตก” โดยมีศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นสมุทรสงครามรับหน้าที่ “หนุนเสริม” เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนในภูมิภาคนี้
                     “ผมคิดว่าขณะนี้มีความจำเป็นมากที่เราจะต้องนำกระบวนการสร้างเครือข่ายเด็กและเยาวชนเข้ามาใช้ในการพัฒนากลุ่มคนทำงานให้เข้าใจเรื่องราวท้องถิ่น เข้าใจเรื่องของการเสริมสร้างความเข้มแข็ง รวมทั้งสร้างคนรุ่นใหม่ เรียกได้ว่าเป็นการ “เซตระบบพื้นที่” ให้มี “กลไก” เรื่องการพัฒนาเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นรอยเชื่อมต่อที่สำคัญ เพราะปัจจุบันคนรุ่นใหม่ขาดการเรียนรู้เรื่องท้องถิ่น ขาดความเข้าใจเรื่องระบบนิเวศในท้องถิ่น เมื่อเขาไม่มีความเข้าใจเรื่องระบบนิเวศ ไม่เข้าใจเรื่องการเรียนรู้ท้องถิ่น ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการจัดการปัญหาทรัพยากรในระยะยาวได้”
                     พอดีกับมีโครงการ Active Citizen เข้ามา เป็น “กระบวนการสร้างพลเมือง” ผ่านการเรียนรู้ท้องถิ่น เรียนรู้ระบบนิเวศในท้องถิ่น เมื่อเด็กรุ่นใหม่เข้าใจ เขาก็จะมีความรักหวงแหนพื้นที่ เข้าใจว่าเขาต้องจัดการตัวเองอย่างไรถึงจะอยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ เรียกได้ว่าโครงการนี้เข้ามาในช่วงจังหวะพอดีที่เราคิดว่าต้อง “เสริมรอยต่อ” เรื่องเหล่านี้เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง
                     เราอยากให้เด็กรุ่นใหม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลง และรู้ว่าเขาจะอยู่ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร แล้วเขาจะหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงนี้หรือไม่ ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ หรือรู้จักดึงฐานทรัพยากร ภูมิปัญญา วัฒนธรรมเดิมกลับมารับใช้ในการเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นเด็กต้องรู้สิทธิ รู้หน้าที่ รู้ความรับผิดชอบที่ตัวเองควรจะมีต่อสังคม ไม่ใช่สังคมเป็นอย่างไรไม่รู้ ตัวเองเอาตัวรอดอย่างเดียว เพราะถ้าสังคมสิ่งแวดล้อมไปไม่รอด เขาก็จะอยู่ไม่ได้เช่นกัน การที่เราโยงเรื่องนี้มาต่อกันจะทำให้ตัวเด็กเกิดการเรียนรู้และเข้าใจที่จะอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงพอที่จะหยุดยั้งอะไรบางอย่างได้
                     ผมมองว่าความโดดเด่นของโครงการนี้อยู่ที่ “เด็กได้เรียนรู้ในสิ่งที่เขาอยากเรียนรู้ อยากลงมือทำ เขาเห็นเรื่องราวเล็กๆ แล้วเขาก็หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อหาทางออก หาทางเรียนรู้กับมัน เข้าใจมัน” เราไม่ได้ไปใส่ความคิดว่า เขาต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ว่าเขาจะถูก “หล่อหลอม” จากการลงมือปฏิบัติ แล้วถอดบทเรียนอย่างต่อเนื่อง แล้วเขาก็สามารถจะเข้าใจและเรียนรู้ท้องถิ่น
                     “จุดเด่นของโครงการ Active Citizen คือการเปิดพื้นที่ให้เด็กได้มีโอกาสในการเรียนรู้ แล้วลงมือปฏิบัติจากสิ่งที่เขาคิด อยากทำ อยากเรียนรู้ แล้วเขาก็สามารถที่จะเชื่อมโยงสิ่งที่เขาเรียนรู้ไปสู่ชีวิตจริงของเขา แล้วนำไปสู่การที่จะเข้าใจว่าบ้านเมืองนี้ ท้องถิ่นนี้เป็นอย่างไร แล้วเขาจะต้องปรับตัวอย่างไร ถึงจะจัดการให้ตัวเขาอยู่รอดบนความเปลี่ยนแปลง”
                     ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดในเรื่องพัฒนาการของน้องๆ เยาวชน ที่พบว่า เมื่อเริ่มทำโครงการ พวกเขาอาจจะไม่ได้ซึมซับเรื่องราวของท้องถิ่นมากนัก แต่พอเขาผ่านกระบวนการทำงาน ได้ลงมือปฏิบัติงานในโครงการทำให้เด็กเกิดการเปลี่ยนแปลง รักและเรียนรู้บ้านเกิดตัวเองมากขึ้น ลุกขึ้นมาเอาธุระต่อเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในจังหวัด ในพื้นที่โรงเรียน หรือในชุมชนของเขา เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกตื่นตัวที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเข้าไปร่วมปฏิบัติการ หรือเข้าไปร่วมให้ความเห็นไปทำกิจกรรม ทำให้สิ่งที่เขาเรียนรู้มากับชุมชนเกิดผลต่อเนื่อง เด็กคงไม่จบแค่ว่าทำโครงการเสร็จ แต่เด็กเขาจะรู้สึกว่าเขาต้องทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เขากำลังทำให้ต่อเนื่องต่อไป เพราะเขารู้สึกผูกพันกับเรื่องที่เขาทำมากขึ้น
                     ตัวอย่างเช่น  “น้องจิมมี่” ธีรเมธ เสือภูมี ที่เป็นลูกชาวนาเกลือ พ่อแม่มีธุรกิจนาเกลือ แต่ว่าตัวจิมมี่เองก่อนเข้าโครงการ เขาไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันกับอาชีพนาเกลือ กลับรู้สึกติดลบกับอาชีพนาเกลือว่า เป็นอาชีพที่หนัก และอาชีพนี้น่าจะไปไม่รอด ไม่สามารถต่อสู้กับทุน ต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้ เขารู้สึกว่าอาชีพนาเกลือนี้ต้องล่มสลายไปในอีกไม่ช้า แต่น้องก็เสนอเรื่องของรักนาเกลือขึ้นมา แต่ตอนที่เขาเสนอโครงการ เป็นเหมือนจะทำให้คนอื่นรัก ทั้งที่ลึกๆ แล้วตัวเองไม่ได้มีทัศนคติที่รักจริงๆ ประมาณว่าทำเป็นอีเวนท์
                     แต่เมื่อเขาผ่านโครงการ Active Citizen ที่เราพาให้เขาได้สัมผัสประสบการณ์ต่างๆ เรียนรู้ของจริง เข้าไปสัมผัสเรื่องนาเกลือจริงๆ เขาเคยอยู่กับนาเกลือแต่เขาไม่ได้ลงลึกกับนาเกลือ แต่พอเขาทำโครงการนี้ เขาต้องไปลงลึก ต้องไปพบประสบการณ์จริง ทำให้เขารู้สึกว่า “นาเกลือมันมีคุณค่ากับชีวิตเขา” แล้วก็เขาเริ่มที่จะมีมุมคิดในเรื่องความรักและผูกพัน เขาอยากที่จะถ่ายทอด อยากที่จะจัดการเรื่องนาเกลือนี้ให้มันเพิ่มมูลค่า จะดำรงความเป็นนาเกลือในครอบครัวของเขาไว้ จากเดิมที่ไม่เคยออกไปช่วยพ่อแม่ แต่ตอนนี้เราเห็นเลยว่าน้องจิมมี่ตามพ่อแม่ลงไปช่วยงานเรื่องนาเกลือ ชอบออกไปจัดการเรื่องนาเกลือ แล้วก็มีความรู้สึกว่าเขาจะต้องทำเรื่องนี้ต่อไป ถึงแม้โครงการจะจบแล้วก็ตาม
———————-
หมายเหตุ – สนใจติดตามชมกิจกรรมได้ที่เฟซบุ๊ก : โครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก หรือเฟซบุ๊ก : มูลนิธิสยามกัมมาจล
———————-
(หลากมิติเวทีทัศน์ : 1 ปีกับการเรียนรู้ ‘ภูมิสังคมภาคตะวันตก’ : โดย…ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ ผู้บริหารโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก)

พลังหญิงชุมชนคนรักถิ่น เพื่อบ้านมั่นคงคนริมคลอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20150913/213246.html

การศึกษา-สาธารณสุข-สิ่งแวดล้อม : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 2558
พลังหญิงชุมชนคนรักถิ่น เพื่อบ้านมั่นคงคนริมคลอง

หลากมิติเวทีทัศน์ : พลังหญิงชุมชนคนรักถิ่น เพื่อบ้านมั่นคงคนริมคลอง : โดย…สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)

                      ผู้หญิงในสังคมไทยปัจจุบัน มีบทบาทไม่น้อยหน้าผู้ชาย โดยเฉพาะงานด้านการพัฒนาชุมชน ไม่ว่าจะเป็นงานด้านสวัสดิการ กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มอาชีพต่างๆ ล้วนมีผู้หญิงเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนงานทั้งนั้น เช่นเดียวกับที่ชุมชนคนรักถิ่น แม้ว่าจะเป็นงานเรื่องที่อยู่อาศัย ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ “หิน” ต้องใช้ความสามารถทั้ง “บู๊” และ “บุ๋น” แต่พลังของผู้หญิงที่นี่ก็ช่วยกันผลักดันการแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองให้รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
                      ชุมชนคนรักถิ่น ตั้งอยู่ริมคลองเปรมประชากร เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ปัจจุบันมีบ้านเรือนทั้งหมดจำนวน 140 ครัวเรือน ประชากรทั้งหมดประมาณ 700 คน สภาพชุมชนมีลักษณะแออัด ขนานไปกับแนวคลองเปรมประชากร ปลูกสร้างด้วยไม้และคอนกรีตสภาพทรุดโทรม ที่ดินที่ชาวบ้านอยู่อาศัยเป็นที่ดินที่กรมธนารักษ์เป็นผู้ดูแล ชาวบ้านรุ่นแรกๆ ที่เข้ามาอยู่อาศัยที่นี่เริ่มตั้งแต่ปี 2490 มีประมาณ 20 ครัวเรือน ส่วนใหญ่มาจากอยุธยาและปทุมธานี มีอาชีพทำนาและทำอิฐมอญ ภายหลังความเจริญเข้ามา อาชีพดังกล่าวจึงค่อยๆ สูญไป
                      ประเสริฐ ทิวะกะลิน อายุ 70 ปี เล่าว่า ครอบครัวของตนมาจากสระบุรี เข้ามาอยู่อาศัยที่นี่ประมาณปี 2510 เมื่อก่อนในลำคลองน้ำยังใสสะอาด เอาน้ำมาแกว่งสารส้มใช้ต้มกินได้ กุ้ง ปลายังมีเยอะ โดยเฉพาะกุ้งก้ามกรามมีให้จับกิน ผักกระเฉดก็มี ต่อมาเริ่มมีโรงงานกระดาษและโรงงานผลิตนมเข้ามาตั้งอยู่เหนือคลองเปรมฯ น้ำจึงเริ่มเน่าเสีย
                      งามเดือน เมืองประสิทธิ์ อายุ 41 ปี อาชีพค้าขาย บอกว่า เกิดที่นี่ เมื่อก่อนชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพพายเรือขายก๋วยเตี๋ยว ขายผลไม้อยู่ในคลอง ประมาณปี 2528-2529 ชุมชนเริ่มมีบ้านเรือนหนาแน่นมากขึ้น เริ่มมีบ้านเช่า มีพนักงานบริษัทเอกชน ข้าราชการที่ทำงานอยู่ในย่านหลักสี่และบางเขนเข้ามาอยู่อาศัย ปัจจุบันชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป เป็นแม่บ้าน บ้างก็ทำอาชีพร้อยลูกปัด ทำกระเป๋าขาย
                      งามเดือน ในฐานะที่เป็นกรรมการชุมชนคนรักถิ่น (ผู้ช่วยฝ่ายตรวจสอบ) กล่าวว่า ชาวบ้านที่นี่รู้ข่าวว่ากรมชลฯ จะมีโครงการพัฒนาลำคลองมาตั้งแต่ปี 2555 หลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 เพราะทางเขตหลักสี่เข้ามาบอกข่าว บางทีก็มีข่าวออกมาว่าทางราชการจะไล่รื้อชุมชนริมคลองเพื่อทำถนนหรือทำรถไฟฟ้า พอปีนี้ (2558) ตอนที่นายกรัฐมนตรีมีประกาศว่าจะจัดระเบียบชุมชนที่รุกล้ำคูคลองชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ตกใจแต่อย่างใด เพราะชุมชนได้เตรียมเรื่องบ้านมั่นคงมาตั้งแต่ปี 2547 แล้ว
                      “พอช.เข้ามาให้ความรู้เรื่องบ้านมั่นคงตั้งแต่ปี 2546 พอถึงปี 2547 พวกเราจึงตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยขึ้นมา ออมกันเดือนละ 100 บาท และมีการไปดูงานเรื่องบ้านมั่นคงตามชุมชนต่างๆ เช่น ที่ริมคลองบางบัวบ้าง ทำให้เรามั่นใจว่าชุมชนคนรักถิ่นสามารถทำโครงการบ้านมั่นคงเพื่อแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยได้” งามเดือนกล่าว
                      กลุ่มออมทรัพย์ชุมชนคนรักถิ่น จัดตั้งขึ้นในปี 2547 มีสมาชิกเริ่มแรก 114 ราย กำหนดออมครัวเรือนละ 100 บาทต่อเดือน ปัจจุบันมีเงินออมรวมกันประมาณ 1.1 ล้านบาท มีสมาชิกจำนวน 102 ราย มีกรรมการ 9 คน ซึ่งจุดเด่นของงานพัฒนาชุมชนที่นี่ก็คือ คณะทำงานเกือบทั้งหมดจะเป็นผู้หญิง เช่น กลุ่มออมทรัพย์ฯ มีคณะกรรมการ 9 คน มีประธานกลุ่มเป็นผู้หญิง มีผู้ชายเป็นกรรมการเพียง 1 คน เช่นเดียวกับกรรมการชุมชนมี 9 คน มีประธานและกรรมการเป็นผู้หญิง 7 คน กรรมการผู้ชาย 2 คน รวมทั้งคณะทำงานบ้านมั่นคงซึ่งมีทั้งหมด 12 คน แต่มีผู้ชายเป็นคณะทำงาน(ทีมช่าง) เพียง 2 คน นอกนั้นเป็นพลังหญิงล้วนๆ
                      ดุสิตธร ทิวะกะลิน ประธานชุมชนและประธานกลุ่มออมทรัพย์ฯ กล่าวว่า หลังจากมีกลุ่มออมทรัพย์บ้านมั่นคงตั้งแต่ปี 2547 แล้ว แต่ทางชุมชนก็ยังไม่ได้ทำเรื่องที่อยู่อาศัย เพียงแต่เตรียมการเอาไว้ ชุมชนเริ่มมาตื่นตัวในปี 2555 เพราะคิดว่าหลังน้ำท่วมใหญ่ ทางราชการคงจะมีนโยบายไล่รื้อชุมชนริมคลอง เพราะอ้างว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ ชุมชนจึงเริ่มประชาสัมพันธ์ข่าวให้ชาวบ้านทราบ มีการจัดประชุม แนะนำเรื่องกลุ่มออมทรัพย์บ้านมั่นคงให้คนที่ยังไม่เข้าร่วมได้เป็นสมาชิก
                      พอถึงปี 2558 เมื่อรัฐบาลมีนโยบายจัดระเบียบชุมชนริมคูคลอง ชุมชนคนรักถิ่นจึงเริ่มทำเรื่องที่อยู่อาศัยอย่างจริงจัง มีการสำรวจข้อมูลชุมชน จำนวนประชากร จำนวนบ้าน อาชีพ รายได้ครัวเรือน หนี้สิน ฯลฯ
                      จากการสำรวจข้อมูลพบว่า ชุมชนมีบ้านเรือนทั้งหมด 140 หลัง เราจึงได้จัดทำผังชุมชนใหม่ โดยมีสถาปนิกชุมชนจาก พอช. และทีมเครือข่ายขบวนองค์กรชุมชนเมืองเขตหลักสี่มาช่วย และประชุมชาวบ้านร่วมกันเพื่อกำหนดสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย เช่น 1.คนที่จะได้สิทธิ์จะต้องเป็นสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ฯ 2.จะต้องเป็นคนที่อาศัยอยู่ในชุมชนจริง หรือหากเป็นคนที่เช่าบ้านอยู่จะต้องอยู่ในชุมชนมานานไม่ต่ำกว่า 5 ปี และ 3.ถ้ามีสมาชิกในครัวเรือนมากกว่า 8 คนขึ้นไปจะได้รับสิทธิ์เพิ่ม 1 สิทธิ์ ส่วนคนที่เป็นเจ้าของบ้านเช่า หากมี 3 หลัง ก็จะได้สิทธิ์เพียง 1 สิทธิ์” ดุสิตธร ยกตัวอย่าง
                      ส่วนกระบวนการออกแบบบ้านนั้น ชาวบ้านต่างมีส่วนร่วมในการออกแบบบ้านร่วมกับทีมช่างของชุมชน โดยมีทีมช่างจากเครือข่ายขบวนองค์กรชุมชนเมืองเขตหลักสี่ และสถาปนิกจาก พอช.มาช่วย ได้แบบบ้านทั้งหมด 4 แบบ มีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านตึกแถว สมาชิกสามารถเลือกแบบบ้านได้ตามความเหมาะสมของอาชีพ จำนวนสมาชิก และรายได้ของครอบครัว
                      นอกจากนี้จะจัดให้มีพื้นที่ส่วนกลาง เช่น ศาลาอเนกประสงค์ ศูนย์สุขภาพชุมชน สวนสาธารณะ บ่อบำบัดน้ำเสีย ที่จอดรถรวม ฯลฯ รวมพื้นที่ทั้งหมด 9 ไร่ 2 งาน 44 ตารางวา ซึ่งทางชุมชนจะทำสัญญาเช่ากับกรมธนารักษ์ระยะเวลา 30 ปี อัตราเดือนละ 18 บาทต่อตารางวา
                      ด้านการก่อสร้างนั้น ดุสิตธร กล่าวว่า ทางชุมชนได้เตรียมแผนงานเอาไว้แล้ว โดยใช้รูปแบบการรื้อย้ายแล้วสร้างใหม่ และแบ่งคณะทำงานออกเป็น 4 ฝ่าย คือ 1.ทีมช่าง 2.ทีมข้อมูล 3.ทีมสังคม และ 4.ทีมบริหารจัดการ ซึ่งในระหว่างที่ทำการก่อสร้างก็จะแบ่งการทำงานออกไปอีก เช่น มีทีมสาธารณูปโภค ทีมจัดซื้อ ทีมตรวจรับวัสดุ ทีมตรวจงานก่อสร้าง ฯลฯ
                      นอกจากนี้ก็ยังมีการตรวจสอบเนื้องาน/ตรวจรับงวดงาน โดยให้เจ้าของบ้าน ตัวแทนกลุ่มย่อย ทีมช่างชุมชน และทีมช่างเครือข่ายฯ เข้ามาร่วมตรวจสอบ เพื่อให้การก่อสร้างบ้านของชาวชุมชนคนรักถิ่นมีความโปร่งใสใช้เงินทุกบาท ทุกสตางค์ให้ถูกต้องและคุ้มค่ามากที่สุด
                      ด้านสินเชื่อจะขอใช้สินเชื่อจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) รวมทั้งหมดประมาณ 29 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ผ่อนชำระคืนภายใน 15 ปี และพอช.จะสนับสนุนงบก่อสร้างสาธารณูปโภคจำนวน 2,750,000 บาท
                      ความคืบหน้าในการดำเนินโครงการบ้านมั่นคงนั้น ดุสิตธร กล่าวว่า จะดำเนินการเฟสแรกก่อน จำนวน 7 หลัง เป็นบ้านที่ปลูกล้ำลงไปในคลอง 4 หลัง และบนฝั่ง 3 หลัง เริ่มรื้อบ้านทั้ง 7 หลัง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมา และในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ จะเริ่มถมดิน ปรับหน้าดิน ตอกเสาเข็มเพื่อกันดินสไลด์ลงคลอง หลังจากนั้นจึงจะเริ่มก่อสร้างบ้านได้ และคาดว่าภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ บ้านเฟสแรก 7 หลังจะก่อสร้างแล้วเสร็จ หลังจากนั้นจึงจะทยอยสร้างเฟสต่อไป
                      “ชุมชนริมคลองที่อยู่ติดกันหลายชุมชนก็ยังไม่เชื่อว่าเราจะทำได้ แม้แต่คนในชุมชนเดียวกันก็ยังไม่เชื่อ บางคนก็ต่อต้าน บางคนบอกว่ารื้อไปแล้วมันจะสร้างได้หรือเปล่า แต่เราเชื่อว่าเราทำได้ เพราะเราไปดู ไปเห็นชุมชนอื่นที่เขาทำสำเร็จมาแล้ว และหากการก่อสร้างบ้านเฟสแรก 7 หลังเสร็จ ก็เชื่อว่าคนอื่นๆ ที่ยังไม่เข้าร่วมจะมาเข้าร่วมมากขึ้น” ประธานชุมชนคนรักถิ่นกล่าวอย่างมั่นใจ
                      อารมย์ วันวาน อายุ 54 ปี อาชีพค้าขาย บอกว่า แม้ตัวเองไม่ได้มีบทบาทเป็นคณะกรรมการ แต่ก็เข้าร่วมกิจกรรมกับชุมชนมาตลอด เช่น เป็นสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์มาตั้งแต่เริ่มต้น เพราะอยากจะมีบ้านเป็นของตัวเอง ครอบครัวของตนเข้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2528 แต่ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง เช่าบ้านอยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ค่าเช่าบ้านตอนนี้ตกเดือนละ 1,500 บาท ไม่รวมค่าน้ำ ค่าไฟ หากผ่อนส่งเดือนหนึ่งไม่เกิน 2,000 บาท ก็พอจะส่งไหว
                      “ดีใจที่จะมีบ้านใหม่เป็นของตัวเอง ไม่ต้องเช่าคนอื่นอยู่ ลูกหลานก็จะได้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งมั่นคง ไม่ต้องกลัวจะถูกไล่รื้อ” น้าอารมย์บอกความรู้สึก
                      นี่คือบทบาทของผู้หญิงชุมชนคนรักถิ่น ที่เป็นแกนนำในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยเพื่อบ้านที่มั่นคงของคนริมคลอง
——————–
(หลากมิติเวทีทัศน์ : พลังหญิงชุมชนคนรักถิ่น เพื่อบ้านมั่นคงคนริมคลอง : โดย…สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน))