ซอง ออฟ อินเดีย Song of India? ลมพัดกิ่งใบพลิ้วเพลง…ดั่งเสียงบรรเลงแห่งภารตะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05024151058&srcday=2015-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 609

อุทยานพฤกษา

“เมย์วิสาข์”

ซอง ออฟ อินเดีย Song of India? ลมพัดกิ่งใบพลิ้วเพลง…ดั่งเสียงบรรเลงแห่งภารตะ

พุ่มใบสวย สีดี มีเขียวเหลือง

ชื่อเป็นเรื่อง บทเพลง บรรเลงไฉน

นานกี่ปี ดอกจะมี ให้ชื่นใจ

แต่ใครใคร อยากจับจอง Song of India

ชื่ออื่น :

ชื่อสามัญ : Song of India, Pleomele

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dracaena reflexa (Decne.) Lam. “Song of India”

ชื่อวงศ์ : AGAVACEAE

ถิ่นกำเนิด : เกาะมาดากัสการ์ เกาะมอริเชียส

ข้อมูลทั่วไป :

ช่วงนี้พักชมไม้ดอก หันมาชมไม้ใบสวยๆ กันบ้าง คราวที่แล้ว หูกระจง สวยทั้งทรงพุ่ม สวยทั้งใบ ความหมายดีจากชื่อ (แผ่บารมี) คราวนี้เป็น ซอง ออฟ อินเดีย (Song of India) ไม้ใบที่นิยมปลูกกันมาก ไม่ว่าจะปลูกประดับสวน ปลูกเป็นไม้กระถาง และปลูกเพื่อนำใบมาใช้ตกแต่ง ฯลฯ อันเนื่องด้วยความสวยงาม และลวดลายของใบ ซึ่งสวยงามไม่แพ้ไม้ดอก ช่วยสร้างสีสันความมีชีวิตชีวาให้กับบ้านและสวนได้เป็นอย่างดี

มีผู้สงสัยอีกหละว่า ทำไมไม้ต้นนี้ไม่มีชื่อภาษาไทย เพราะถ้าทบทวนดูแล้วจะพบว่า ต้นไม้ต้นหนึ่งๆ จะมีหลายๆ ชื่อ ไม่ว่าจะเป็นชื่อท้องถิ่น ชื่อสามัญภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน แล้วทำไมจึงชื่อ ซอง ออฟ อินเดีย (รวมทั้ง ซอง ออฟ จาไมก้า ด้วย) ไม่มีชื่อภาษาไทย ประวัติความเป็นมาเป็นอย่างไร เข้ามาในบ้านเราตั้งแต่ปีไหน ไม่ค่อยมีข้อมูลให้ค้นหา

ชื่อ ซอง ออฟ อินเดีย ท่านผู้อ่านคงคิดว่ามีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย หรือต้นไม้ต้นนี้ต้องมีอะไรที่เกี่ยวพันกับประเทศอินเดียบ้างไม่มากก็น้อย หรือเป็นเพลงของอินเดียตามคำแปล แต่เปล่าเลย มีบอกแต่เพียงว่า ไม้ประดับต้นนี้มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษ ซอง ออฟ อินเดีย (Song of India) เพราะว่าเป็นต้นไม้พื้นเมืองในแถบมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งในตำราจะบอกว่า มีถิ่นกำเนิดที่มาดากัสการ์ ซึ่งเป็นเกาะในมหาสมุทรอินเดีย ห่างจากชายฝั่งประเทศโมซัมบิก ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา เป็นเกาะหลัก และใหญ่เป็น อันดับ 4 ของโลก รองจากเกาะกรีนแลนด์ เกาะนิวกินี ดินแดนมาดากัสการ์ มีความสำคัญต่อระบบนิเวศวิทยาของโลกอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ นก และพืชหายาก ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ปรากฏในดินแดนส่วนอื่นของโลก ความโดดเด่นทางนิเวศวิทยา ทำให้มาดากัสการ์เป็นที่รู้จักแพร่หลาย โด่งดังทั่วโลก

เมื่อพูดถึง ซอง ออฟ อินเดีย หลายๆ คนนึกถึง ซอง ออฟ จาไมก้า และมักจะจำสับกัน ระหว่างไม้พุ่ม 2 ต้นนี้ ความที่ว่าเป็นไม้ประดับที่มีลักษณะเหมือนกันเกือบทุกประการ แตกต่างกันเฉพาะสีของใบเท่านั้น ใบของ ซอง ออฟ อินเดีย จะมีสีเขียวอยู่ตรงกลาง สองข้างขนาบด้วยสีเหลืองสดใส สวยเด่นเตะตา ทำให้ทั้งพุ่มต้นดูสว่างไสว เป็นที่พออกพอใจของเจ้าของสวนยิ่งนัก ส่วนใบของ ซอง ออฟ จาไมก้า นั้น จะออกสีเขียวเข้ม ดูแล้วทึมๆ ความแตกต่างอีกประการหนึ่งคือ ซอง ออฟ จาไมก้า จะเจริญเติบโตเร็วกว่า แต่ก็ไม่น่าจะต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมากนัก แต่ทั้ง 2 ต้น ยังเป็นไม้ที่เลี้ยงง่าย ไม่มีศัตรูที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นโรคหรือแมลง และไม่ต้องการความเอาใจใส่ดูแลมากนัก ปลูกแล้วก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพียงแต่ต้องคอยตัดแต่งกิ่งเพื่อให้ดูเหมาะสมได้รูปทรงบ้าง ปลูกไปแล้วหลายคนคอยเฝ้าดู ว่าเมื่อไหร่ ซอง ออฟ อินเดีย จะออกดอกให้เชยชม เหมือนกับในตำราที่บรรยายไว้ว่า ดอกออกเป็นช่อ สีขาวนวล กลิ่นหอม เหมือนไม้ประดับบางต้นที่อยู่ในสกุลเดียวกันคือ Dracaena ที่เรารู้จักกันดี เช่น วาสนา หวายเขียว ฯลฯ จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่ปลูก ซอง ออฟ อินเดีย ลงดินที่บ้านมาเป็นเวลา เกือบ 40 ปี ผู้เขียนยังไม่เคยได้ชื่นชมดอกแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งตรงกับในตำราบางเล่มที่เขียนไว้ว่า ไม่พบการออกดอกของ ซอง ออฟ อินเดีย ในประเทศไทย

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :

ลำต้น ไม้พุ่มขนาดกลาง ลำต้นกลม ทรงพุ่มทึบบริเวณยอด แตกกิ่งตามข้อ แตกหน่อจากโคนต้น กิ่งอ่อนโน้มลงเล็กน้อย เปลือกสีน้ำตาลอมเทา

ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับถี่ๆ ที่ปลายกิ่ง ใบเป็นรูปหอก ปลายใบแหลม โคนใบแผ่เป็นกาบหุ้มกิ่ง ขอบใบเรียบ ผิวใบด้านบนสีเขียว ขอบใบสีเหลือง

ดอก สีขาวนวล ออกเป็นช่อแบบกระจะ ออกตามซอกใบที่ปลายกิ่ง โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด

ผล เป็นผลสด รูปร่างค่อนข้างกลม เมื่อสุกมีสีแดงอมส้ม ภายในมีเมล็ดหลายเมล็ด

การขยายพันธุ์ ปักชำ และตอนกิ่ง สำหรับปักชำนั้นง่ายมาก เพียงตัดกิ่งแช่น้ำ รากจะงอกออกมาภายในเวลารวดเร็ว

สภาพแวดล้อมเหมาะแก่การเจริญเติบโต เติบโตได้ในดินแทบทุกชนิดที่มีการระบายน้ำ ระบายอากาศได้ดี ชอบแดด แต่สามารถเติบโตได้ดีในที่ร่มรำไรเล็กน้อย เหมาะสำหรับเป็นไม้กระถางเพื่อวางประดับภายในอาคาร สถานที่ต่างๆ

สรรพคุณทางสมุนไพร ไม่พบรายงานการมีสรรพคุณทางสมุนไพรแต่เพียงอย่างใด

หูกระจง?ดุจพุ่มบารมี แผ่คลุมเป็นร่มมงคล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05030011058&srcday=2015-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 608

อุทยานพฤกษา

“เมย์วิสาข์”

หูกระจง?ดุจพุ่มบารมี แผ่คลุมเป็นร่มมงคล

ดั่งร่มชั้น คล้ายฉัตร เพื่อปัดป้อง

มวลภัยผอง มิใกล้ ให้ พ่ายหนี

เป็นพฤกษา มงคล แผ่บารมี

คลุมสิ่งดี ด้วยพุ่มหรู หูกระจง

ชื่ออื่น : หูกวางแคระ แผ่บารมี

ชื่อสามัญ : Ivory Coast Almond, Black Afara

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Terminate ivorensis A. Chev.

ชื่อวงศ์ : COMBRETACEAE

ถิ่นกำเนิด : ป่าในแถบแอฟริกาตะวันตก แถบเส้นศูนย์สูตร ตั้งแต่ประเทศกินี ไปจนถึงแคเมอรูน

ข้อมูลทั่วไป :

หูกระจง แผ่ทรงพุ่มสวยงาม อยู่ในอุทยานพฤกษาแห่งนี้ เป็นที่ถูกอกถูกใจของบรรดามวลหมู่ชื่นชมพฤกษานานาพันธุ์เป็นอย่างยิ่ง กลุ่มของต้นหูกระจงเหล่านี้แตกกิ่งเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นห่างกันประมาณ 50-100 เซนติเมตร มีคนสงสัยว่า ทำไมชื่อหูกระจง คำตอบก็คือ?คงเป็นเพราะลักษณะใบคล้ายกับหูของกระจง ซึ่งเรารู้จักกันดีว่า กระจง จะมีรูปร่างคล้ายกวาง แต่ไม่มีเขา แล้วใบหูกระจงก็เหมือนใบหูกวาง แต่จะมีขนาดเล็กกว่า ต้นหูกวาง และหูกระจง จัดอยู่ในวงศ์เดียวกัน บางคนบอกชอบต้นไม้ที่นำเอาอวัยวะของสัตว์มาตั้งเป็นชื่อมากเลย เพราะทำให้จดจำได้ง่ายขึ้น นอกจากหูกระจง หูกวาง แล้ว ยังมีอีกหลายหู เช่น หูเสือ หูหนู หูกระต่าย หูปลาช่อน เป็นต้น

ต้นหูกระจง หรือ แผ่บารมี ต้นไม้มงคลที่มีผู้นิยมปลูกในรั้วบ้าน อาจเป็นเพราะทรงพุ่มที่สวยงาม พุ่มใบละเอียดเป็นชั้นๆ เติบโตไว ให้ร่มเงาเร็ว อายุยืน ตลอดจนความหมายที่เป็นการเสริมบุญบารมีให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญก็เป็นได้ บางคนชอบต้นหูกระจงมาก เพราะทรงต้นสวยเป็นชั้นๆ เหมือนต้นคริสต์มาส (ที่ใช้ในเทศกาลคริสต์มาส) นั่นคือเหตุผลที่ทำให้นิยมปลูกกัน แต่เมื่อปลูกไปแล้วก็ทำให้เกิดปัญหาไม่น้อย สำหรับบ้านเรือนที่มีพื้นที่น้อยๆ ลองมาดูว่าเกิดปัญหาอะไรบ้าง ปัญหาหรือข้อเสีย เริ่มตั้งแต่ใบร่วงเยอะมาก ร่วงได้ทั้งปี ขนาดใบเล็ก กวาดยาก ติดตามซอกตามหลืบ กวาดไม่หมด แถมมีหนอนบุ้งกัดกินใบ แม้จะระบาดปีละครั้งก็ทำลายต้นหูกระจงไม่น้อย บางต้นใบโกร๋นหมดไม่เหลือเลย ส่วนรากแผ่กว้างมาก อาจแผ่โดนท่อประปาใต้ดินให้แตกเสียหายได้

แต่ข้อยืนยันจากผู้ที่ชอบปลูกหูกระจงมากๆ มีหลายประการ บางคนปลูกเพราะหน้าบ้านร้อน ไม่อยากต่อเติมหลังคาโรงรถ เพราะไม่ชอบเสียงฝนตกกระทบหลังคา ไม่ชอบมืด และที่สำคัญไม่มีงบประมาณด้วย อยากได้ร่มไม้กันแดดให้สวนเล็กหน้าบ้าน แล้วก็เป็นร่มเงาให้รถด้วย รับรู้ถึงปัญหาของการปลูกต้นหูกระจง จึงพยายามทำตามคำแนะนำดังกล่าวข้างต้น โดยการตัดยอด จากนั้นถ้าไม่อยากให้ต้นหูกระจงแผ่ออกมากๆ ก็ตัดแต่งกิ่งหรือเล็มกิ่ง ถ้าหากเล็มเป็นทรงกลมจะสวยงามมาก และถ้าปลูกแล้วปล่อยให้เติบโตตามธรรมชาติก็ต้องขยันกวาดใบที่ร่วง เพราะถ้าไม่กวาดใบร่วง อาจจะเป็นชนวนให้ทะเลาะกับเพื่อนบ้านได้ ในกรณีที่บ้านเรือนปลูกชิดกันมาก กิ่งของหูกระจงแผ่เข้าไปพร้อมกับใบที่ร่วงเป็นจำนวนมากอยู่ในบริเวณบ้านของเพื่อนบ้าน ซึ่งเคยเกิดขึ้นบ่อยๆ ถึงขั้นขึ้นสถานีตำรวจมาแล้ว จึงมีคำแนะนำว่า ควรปลูกต้นหูกระจงให้ห่างจากตัวบ้าน อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 8-10 เมตร บางคนบอกว่าต้อง 15 เมตร จึงจะพอ เพื่อความปลอดภัย ดังนั้น ต้นหูกระจงจึงเหมาะกับการใช้ปลูกประดับสวน อาคาร ให้ร่มเงา ให้ความสวยงาม ในบริเวณกว้าง ส่วนรากที่ชอนไชโครงสร้างของอาคาร หรือพื้นถนนก็ต้องระมัดระวัง ต้องจำกัดพื้นที่การเจริญเติบโตของราก จะโดยวิธีใดก็แล้วแต่ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้นได้

แต่ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ เป็นคุณสมบัติของต้นหูกระจงธรรมดา แล้วต้นหูกระจงไม่ธรรมดาเป็นอย่างไร? ต้นหูกระจงไม่ธรรมดา คือ หูกระจงแคระ และหูกระจงหนาม สำหรับหูกระจงแคระ เป็นสายพันธุ์ที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากเติบโตช้า ส่วนมากนิยมปลูกเป็นไม้ดัด ไม้แคระ หรือ บอนไซ ราคาจึงค่อนข้างสูง ส่วนหูกระจงหนาม จะมีทรงพุ่มที่สวยงามกว่าหูกระจงธรรมดา และใบของต้นหูกระจงหนามจะเป็นเงา และแน่นกว่า เหมาะที่จะปลูกเป็นไม้กระถาง แต่เหตุผลที่สำคัญที่คนสนใจปลูกต้นหูกระจงหนามไม่มาก เนื่องจากความเชื่อเรื่องหนามที่ไม่เป็นมงคลต่อผู้ปลูก ทำให้หูกระจงธรรมดาเป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในการซื้อไปปลูกเป็นไม้ประดับมากที่สุด

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :

ลำต้น ไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 15-20 เมตร ขนาดทรงพุ่ม 8-10 เมตร ผลัดใบ ทรงพุ่มแผ่เป็นชั้นๆ หนาทึบ แตกกิ่งตั้งฉากกับลำต้น เมื่อต้นโตเต็มที่ปลายกิ่งจะลู่ลง เปลือกต้นสีน้ำตาล มีรอยแตกเป็นร่องตามแนวยาว สีน้ำตาลอมเหลือง และมีรอยด่างขาวทั่วทั้งลำต้น แตกกิ่งในแนวราบคล้ายฉัตร

ใบ ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับถี่ที่ปลายกิ่ง รูปไข่กลับ กว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาว 1.5-3 เซนติเมตร ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบสอบ แคบ เว้า และมีต่อม 1 คู่ ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาและเหนียว สีเขียวเรียบเป็นมัน ใบอ่อนสีน้ำตาลอมเขียว

ดอก สีขาว ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกมีลักษณะเป็นแท่ง โคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก รูปสามเหลี่ยม ไม่มีกลีบดอก ดอกเพศผู้อยู่ปลายช่อ ดอกสมบูรณ์เพศอยู่บริเวณโคนช่อ เกสรเพศผู้ 10 อัน

ผล ผลสดแบบมีเนื้อ เมล็ดเดียว รูปไข่ หรือรูปรีป้อม และแบนเล็กน้อย กว้าง 2-5 เซนติเมตร ยาว 3-7 เซนติเมตร สีเขียว เมื่อสุกสีเหลืองอมเขียว มีเนื้อและชั้นหุ้มเมล็ดค่อนข้างแข็งและเหนียว

เมล็ด รูปรี สีน้ำตาล ออกดอกติดผลเกือบตลอดทั้งปี

การขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด และตอนกิ่ง

สภาพแวดล้อมเหมาะแก่การเจริญเติบโต เติบโตได้ดีในดินร่วนหรือร่วนปนทราย รากจะชอนไชลงไปยังชั้นดินได้ดีกว่าดินเหนียว หรือดินแข็งๆ ชอบแดดจัด

สรรพคุณทางสมุนไพร ไม่มีรายงานการมีสรรพคุณทางสมุนไพรแต่เพียงอย่างใด

การใช้ประโยชน์ ทรงพุ่มสวย พุ่มใบละเอียดเป็นชั้นๆ สวยงาม ปลูกประดับสวน อาคาร ให้ร่มเงา ริมถนน ลานจอดรถ ปลูกในพื้นที่กว้าง เช่น สวนสาธารณะ เนื้อไม้ใช้ก่อสร้าง ทำเฟอร์นิเจอร์

ว่านหางจระเข้?เนื้อวุ้นเพื่อประทินสำอาง?เนื้อหางดับไฟลวกได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05032150958&srcday=2015-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 607

อุทยานพฤกษา

“เมย์วิสาข์”

ว่านหางจระเข้?เนื้อวุ้นเพื่อประทินสำอาง?เนื้อหางดับไฟลวกได้

เพียงวุ้นหาง ทาบางบาง ดับไฟร้อน

ผิวเนื้ออ่อน สัมผัสเย็น เป็นแผลหาย

ชื่อน่ากลัว ตัวน่าเกลียด ถ้าเบียดกาย

แต่ไฟไหม้ ใช้มานาน ว่านหางจระเข้

ชื่ออื่น : ว่านไฟไหม้ (เหนือ) หางตะเข้ (กลาง)

ชื่อสามัญ : Aloe, Star cactus, Aloin jafferabad, Barbados

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aloe vera (L.) Burm f (Aloe barbadenisi Mill.)

ชื่อวงศ์ : Liliaceae

ถิ่นกำเนิด : ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา

ข้อมูลทั่วไป :

แทบไม่มีใครไม่รู้จักว่านหางจระเข้ เพราะเป็นพรรณไม้ที่ได้รับความนิยมและรู้จักอย่างกว้างขวาง เป็นพืชที่ให้ประโยชน์ล้นเหลือกับมวลหมู่มนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือฝรั่งมังค่าก็ตาม รู้จักคุ้นเคยกับว่านหางจระเข้ทั้งนั้น ภาษาอังกฤษเรียกสั้นๆ ว่า Aloe ซึ่งเป็นชื่อสกุลของว่านหางจระเข้ เป็นภาษากรีซโบราณ มาจากคำว่า Allal มีความหมายว่า ฝาด หรือ ขม ในภาษายิว จากที่แทบทุกคนรู้จักว่านหางจระเข้เป็นอย่างดี ทำให้คิดว่าว่านหางจระเข้เป็นพืชที่มีต้นกำเนิดในบ้านเรา ความเป็นจริงเดิมนั้น เป็นพืชที่ขึ้นในเขตร้อน ต่อมาได้ถูกนำไปแพร่พันธุ์ในยุโรปและเอเชีย และทุกวันนี้ทั่วโลกกำลังเกิดกระแสนิยมว่านหางจระเข้กันเป็นการใหญ่

เหตุผลที่ทำให้แทบทุกคนรู้จัก จนทำให้เกิดกระแสนิยมว่านหางจระเข้กันมากมาย น่าจะเป็นเพราะคุณสมบัติของว่านชนิดนี้ พิจารณาจากชื่ออื่นที่เรียกขานกัน เช่น ว่านไฟไหม้ เป็นไปตามชื่อมากๆ ยามใดที่ไฟไหม้กับส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นนิ้ว มือ แขน ขา ฯลฯ สิ่งแรกที่นึกถึงคือต้องไปตัดว่านหางจระเข้ เพื่อนำวุ้นในใบสดทา หรือแปะที่แผล จะทำให้แผลหายเร็วมาก และจะช่วยบรรเทาความปวดให้น้อยลง นอกจากแผลที่เกิดจากไฟไหม้แล้ว แผลจากน้ำร้อนลวกก็เหมือนกัน นับเป็นสุดยอดสมุนไพรได้เลย ทำให้มีผู้แนะนำว่า ควรปลูกติดบ้านเอาไว้ ปลูกกันบ้านละกอ สองกอ ก็เปรียบเสมือนมีร้านยามาอยู่ในบ้าน เพื่อจะได้ช่วยในการปฐมพยาบาล อย่างน้ำร้อนลวก น้ำมันร้อนๆ กระเด็นใส่ จะได้ใช้วุ้นในใบหางจระเข้แปะแผลที่เกิดนี่แหละ จะได้ไม่เป็นแผลเป็นด้วย ได้ชื่อว่าว่านไฟไหม้ เพราะมีความเฉียบขาดในการจัดการกับแผลที่เกิดจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวกแล้ว นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังมีสรรพคุณอีกมายมาก จนบางคนให้สมญานามเป็นสมุนไพรเพื่อผิวใส ผมสวย อีกด้วย

ผู้คนส่วนใหญ่จะรู้จักว่านหางจระเข้ในแง่ของการเป็นสมุนไพร และช่วยในด้านความสวยงามของผิวและผม น้อยคนนักที่จะปลูกไว้เพื่อเป็นไม้ดอกไม้ประดับ ทั้งๆ ที่ว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติเป็นได้ทั้งไม้ดอกและไม้ประดับได้เป็นอย่างดี แม้จะออกดอกปีละครั้งในช่วงฤดูหนาว แต่ช่อดอกของว่านหางจระเข้ก็มีความสวยงามไม่น้อย เนื่องจากว่านหางจระเข้มีพันธุ์มากมายกว่า 300 ชนิด มีทั้งพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่มากจนไปถึงพันธุ์ที่มีขนาดเล็กกว่า 10 เซนติเมตร ทำให้สีต่างๆ กัน เช่น แดง เหลือง และ ขาว ขนาดของช่อดอกก็มีขนาดต่างๆ กันด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ แต่ว่านหางจระเข้ที่ปลูกในบ้านเรา มักจะมีเฉพาะดอกสีแดง แต่มักจะไม่ค่อยมีดอก เพราะส่วนใหญ่จะปลูกกันแบบไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่มากนัก ปล่อยทิ้งๆ ขว้างๆ เพียงเพื่อประโยชน์ใช้สอยในด้านการเป็นตู้ยาสามัญประจำบ้าน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :

ลำต้น ไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูง 0.5-1 เมตร ข้อและปล้องสั้น

ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนรอบต้น ใบหนาและยาว โคนใบใหญ่ ส่วนปลายใบค่อนข้างแหลม ขอบใบเป็นหนามแหลมห่างๆ กัน แผ่นใบหนาอวบน้ำมาก สีเขียว มีจุดยาวๆ สีเขียวอ่อน ภายในมีวุ้นใส และมีน้ำยางสีเหลืองใต้ผิวใบ

ใบอ่อน มีประสีขาว

ดอก ออกเป็นช่อกระจะที่ปลายยอด ออกจากกลางต้น ช่อดอกยาว โคนดอกย่อยเชื่อมติดกัน เป็นหลอด ปลายแยกเป็น 6 แฉก เรียงเป็น 2 ชั้น รูปแตรห้อยลง สีแดงอมส้ม บานจากล่างขึ้นบน

ผล เป็นผลแห้ง แตกได้

การขยายพันธุ์ แยกหน่อ

สภาพแวดล้อมเหมาะแก่การเจริญเติบโต ชอบดิน แสง ชอบแสงมาก ถ้าอยู่กลางแจ้งสีจะไม่เขียวสดเหมือนอยู่ในร่ม ต้องการน้ำปานกลาง เจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุย

สรรพคุณทางสมุนไพร :

ทั้งต้นของว่านหางจระเข้ ใช้ดองกับสุรา ดื่มช่วยขับน้ำคาวปลาได้

ราก และ เหง้า ช่วยแก้หนองใน ช่วยแก้มุตกิดหรือระดูขาวของสตรี

ใบ ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ นำใบมาตำผสมกับสุรา ใช้พอกรักษาฝีได้

ยางในใบ ใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ช่วยรักษาอาการท้องผูก

เนื้อวุ้น ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร โดยเหลาเนื้อวุ้นในใบให้ปลายแหลมเล็กน้อย และนำไปแช่ตู้เย็น หรือแช่น้ำแข็งจนเนื้อแข็ง แล้วนำไปใช้เหน็บในช่องทวารหนัก

วุ้นในใบ ช่วยรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลสด แผลจากของมีคม แผลที่ริมฝีปาก แก้ฝี แก้ตะมอย ช่วยรักษาแผลถลอก และแผลจากการถูกครูด นอกจากนี้ ยังช่วยดับพิษร้อน บรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากแผลเหล่านี้ด้วย ช่วยขจัดรอยแผลเป็น ทำให้แผลเป็นจางลง ป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยบรรเทาและแก้อาการปวดตามข้อ และยังช่วยรักษาตาปลาและฮ่องกงฟุต รักษาอาการผิวหนังไหม้จากแสงแดด หรือไหม้เกรียมจากการฉายรังสี หรือแผลเรื้อรังจากการฉายรังสี และช่วยรักษาโรคเรื้อนกวางได้ด้วย

ประโยชน์ด้านเครื่องสำอาง วุ้นจากใบใช้ทาเพื่อรักษาฝ้า หรือใช้ทาเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด ทาลดความมันบนใบหน้า ลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว รักษาการอักเสบต่างๆ ทำให้สิวแห้งหลุดง่าย บำรุงผมและหนังศีรษะ ป้องกันผมร่วง และช่วยลดความมันของเส้นผมได้ ลดอาการคัน กำจัดรังแค และทำให้ผมไม่หงอกเร็ว วุ้นในใบเป็นส่วนผสมสำคัญในเครื่องสำอางหลายชนิด เช่น แชมพูสระผม สบู่ และครีมกันแดด ปัจจุบัน ได้นำว่านหางจระเข้มาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เครื่องสำอาง สบู่ ยาสระผม ครีมบำรุงผิว ครีมบำรุงผม ครีมทาใต้ตา เจลหางจระเข้ เจลทรีตเมนท์ บำรุงผิวหน้า ฯลฯ

ประโยชน์ด้านอาหาร นิยมนำวุ้นในใบว่านหางจระเข้ ทำเป็นของหวานหลายชนิด เช่น น้ำว่านหางจระเข้ปั่น วุ้นแช่อิ่ม วุ้นลอยแก้ว เป็นต้น

ข้อควรระวัง ไม่ว่าจะใช้ว่านหางจระเข้โดยการรับประทานหรือใช้ภายนอก หากใช้เป็นเวลานานๆ อาจก่อให้เกิดอาการแพ้เป็นผื่นคันได้ และสารในวุ้นของว่านหางจระเข้สลายตัวได้ง่ายและรวดเร็ว จึงควรเก็บไว้ในตู้เย็น หรือเตรียมใหม่สดๆ ก่อนใช้ว่านหางจระเข้จะมีคุณภาพสูงสุดเมื่อตัดมาแล้วใช้ทันที และจะมีสรรพคุณทางยาที่ดีกว่าอยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปต่างๆ

คล้าน้ำ ใบบาน ก้านแกร่ง จากชายน้ำ…สู่สายตา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05028150858&srcday=2015-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 605

อุทยานพฤกษา

“เมย์วิสาข์”

คล้าน้ำ ใบบาน ก้านแกร่ง จากชายน้ำ…สู่สายตา

ใบเรียวบาน ก้านแดง แห่งชายน้ำ

สง่างาม นามขลัง สังฆรักษา

ชูดอกตั้ง ทั้งช่อห้อย คล้อยสายตา

รวมกอหนา นี่หรือ คือคล้าน้ำ

ชื่ออื่นๆ : พุทธรักษาน้ำ สังฆรักษา ช่อครามน้ำ (ช่อตั้ง)

ชื่อสามัญ : Thalia, Arrowroot, Bent alligator-flag, Fire-flag, Water canna

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Thalia geniculata L. (ช่อห้อย) Thalia dealbata J.fraser. (ช่อตั้ง)

ชื่อวงศ์ : MARANTHACEAE

ถิ่นกำเนิด : เม็กซิโก อเมริกากลางและอเมริกาใต้ แอฟริกากลาง

ข้อมูลทั่วไป :

คล้าน้ำ…ห้อยระย้าปลิวไสวเมื่อต้องลม หรือเรียกอีกหลายชื่อว่า พุทธรักษาน้ำ หรือ สังฆรักษา หรือ ช่อครามน้ำ เป็นไม้หัวที่เติบโตริมน้ำที่พบเห็นได้ทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นแถบชายน้ำของสวน หรือริมฝั่งคลอง หนอง บึงทั้งหลาย ไม้น้ำกอ และดอกสีสวยสะดุดตา สะดุดใจ และยังเป็นพันธุ์ไม้ในดวงใจของหลายๆ คน เพราะเป็นต้นไม้น้ำที่ช่วยสร้างอารมณ์ละมุนละไม ทั้งช่อดอก กิ่ง ก้านใบ พลิ้วไหวไปกับสายลมและสายน้ำ ดูแล้วชื่นตา ชื่นใจยิ่งนัก จึงนิยมปลูกประดับบริเวณริมสระน้ำหรือบ่อน้ำทั่วไป

เรียกช่อครามน้ำ คนฟังมองแล้วเห็นภาพชัดเจน เพราะช่อดอกของคล้าน้ำสีครามม่วง หรือ ม่วงคราม ส่วนที่เรียกพุทธรักษาน้ำ ก็คงเพราะดูแล้วคล้ายกอพุทธรักษาที่เติบโตในน้ำ แต่อยู่กันคนละวงศ์ พุทธรักษาอยู่ในวงศ์ CANNACEAE ส่วนคล้าน้ำ อยู่ในวงศ์ MARANTHACEAE ลักษณะประจำพืชวงศ์นี้ คือ แผ่นใบสองด้านของเส้นกลางใบไม่เท่ากัน ขณะใบยังอ่อนด้านใหญ่จะม้วนหุ้มด้านเล็กไว้ นอกจากนี้ ตรงรอยต่อของก้านใบกับแผ่นใบจะโป่งออก มีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของใบ เวลากลางวัน ใบคล้าจะกางออก และจะห่อขึ้นในเวลากลางคืน คล้ายกับการพนมมือ จึงมีผู้เรียกชื่อพืชวงศ์นี้ว่า “Prayer Plants”

เราอาจเห็นว่า มีต้นไม้ริมน้ำหน้าตาทำนองนี้แตกต่างกันไปหลายแบบ ก็เพราะสายพันธุ์ของคล้าน้ำ หรือชื่อฝรั่งที่ไพเราะนามว่า Thalia จะมีแตกต่างกันประมาณ 12 ชนิด เป็นพันธุ์ไม้ที่ค้นพบโดย นาย Johann Thal นักพฤกษศาสตร์ ชาวเยอรมัน ใน ค.ศ. 1542-1583 ชื่อสกุล (Genus) ของไม้ชนิดนี้ จึงถูกตั้งตามนามสกุลของผู้ค้นพบ ก็คือ Thalia สำหรับในบ้านเราที่พบเห็นกันโดยทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นคล้าน้ำที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติท้องทุ่ง ท้องนาที่มีน้ำอยู่ หรือเป็นคล้าน้ำที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับบริเวณริมสระน้ำตามบ้านเรือน สวนสาธารณะ จะมีอยู่ 2 ชนิด คือ คล้าน้ำช่อห้อย และคล้าน้ำช่อตั้ง คล้าน้ำทั้งสองชนิดนี้แตกต่างกันตรงที่ คล้าน้ำช่อตั้ง เมื่อดอกแรกผลิ ช่อจะตั้งก่อน ต่อเมื่อกลีบดอกร่วงโรยแล้ว จะมีกลีบดอกใหม่ผลิออกไปเรื่อยๆ จนก้านดอกยาวขึ้น แล้วจึงห้อยย้อยลงมา ส่วนคล้าน้ำช่อห้อย ดอกจะห้อยตั้งแต่เริ่มผลิดอกเลยทีเดียว ส่วนสีของกลีบดอกมีสีม่วงคราม (อมขาว) เหมือนกัน

แม้จะมีชื่อฟังดูไทยๆ และหน้าตาก็ดูเหมือนจะเป็นไม้น้ำพื้นถิ่นบ้านเรา แต่ความจริง คล้าน้ำ มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศเม็กซิโก อเมริกาใต้ และบางประเทศในยุโรป ดังกล่าวข้างต้น มักพบตามป่าที่มีน้ำท่วมขังหรือมีดินแฉะ ค่อนข้างแข็งแรง ทนทาน สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง -7 องศาเซลเซียส แต่จะเจริญเติบโตได้ดีในที่มีอากาศอบอุ่น ความชื้นสูง และมีระดับน้ำสูง ตั้งแต่ 45 เซนติเมตร นอกจากทรงต้นสวยแปลกตาแล้ว ยังจะออกดอกสีม่วงสวยให้เราได้ชื่นชมกันราวช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม คือช่วงหน้าฝนนั่นเอง แต่อาจพบคล้าน้ำบางสายพันธุ์ออกดอกตลอดปี

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ต้นไม้ชนิดนี้เป็นที่นิยมปลูกกันมาก เพราะเชื่อว่าเป็นสิริมงคลให้แก่ผู้ปลูก คำว่า คล้า หรือ คลุ้ม คือการปกป้อง คุ้มครอง รักษา และมีอีกหลายคนที่เชื่อว่า คล้า หมายถึง คล้าคลาด คือ การคลาดแคล้วจากศัตรู หรือเรื่องร้ายๆ ดังนั้น คนไทยจึงปลูกต้นคล้าเอาไว้ในบริเวณบ้านมาตั้งแต่โบราณ เพราะเชื่อว่า การปลูกต้นคล้านั้น จะช่วยให้ทุกคนในครอบครัวรอดพ้นจากเรื่องราวร้ายๆ ได้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์กาย หรือทุกข์ใจ และคนโบราณนิยมเรียกต้นคล้าน้ำ ว่า พุทธรักษาน้ำ ซึ่งหมายความว่า มีพระพุทธเจ้าคอยปกป้องรักษาอีกชั้นหนึ่ง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :

ลำต้น เป็นพรรณไม้ที่มีหัวหรือเหง้าอยู่ใต้ดิน การเจริญเติบโตของลำต้นแตกเป็นกอ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นเป็นไม้อวบน้ำ

ใบ เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกใบเป็นกาบหุ้มลำต้นสลับกัน และมีก้านใบต่อกับแผ่นใบ ใบมีลักษณะคล้ายรูปไข่ แกมรี ปลายใบเว้าหรือแหลม หลังใบมีสีขาวนวล ก้านใบกลม ขนาดใบ สีสัน และลักษณะใบจะแตกต่างกันตามชนิดพันธุ์ ที่พบเห็นโดยทั่วๆ ไปมีอยู่ 2 ชนิด คือ คล้าน้ำช่อห้อย ซึ่งจะพบเห็นโดยทั่วไปมี 2 ชนิด คือแบบก้านแดง และก้านสีเขียว

ดอก สีม่วงอ่อน ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงจากกอ ก้านช่อดอกกลม เรียวยาว แข็ง ปลายก้านแตกแขนงย่อยหลายแขนง ห้อยเป็นระย้า โคนก้านช่อดอกมีใบประดับ ดอกย่อยไม่มีก้านดอก เกิดเป็นคู่ เรียงกันบนแขนงย่อย มีใบประดับ 2 ใบ หุ้มดอกตอนอ่อน ดอกย่อยประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 3 กลีบ กลีบดอก 3 กลีบ ส่วนอีกชนิดคือ คล้าน้ำช่อตั้ง ดอกจะออกเป็นช่อแบบดอกรวม ก้านช่อดอกเป็นสีเขียว เป็นเส้นต่อกัน เป็นเส้นแซ่เหมือนไม้ขนไก่ กลมเรียว แข็งเป็นช่อพองตั้งขึ้นปลิวไสวเมื่อต้องลม ดอกเป็นช่อสีม่วงเข้มสวยสะดุดตา ดอกจะทยอยบานจากล่างไปหาบน ดอกบานตลอดปี

ผล รูปกลมรี สีน้ำตาล

การขยายพันธุ์ แยกกอหรือเหง้าที่โตเต็มที่ไปปลูก

สภาพแวดล้อมเหมาะแก่การเจริญเติบโต ชอบขึ้นในดินเหนียวที่ชุ่มชื้น และมีอินทรียวัตถุสูง จนถึงน้ำลึก 25-40 เซนติเมตร ความชื้นสูง ต้องการแสงแดดร่มรำไรจนถึงแดดจัด หรือกลางแจ้ง โดยปลูกลงดินในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณสวน หรือปลูกเป็นไม้กระถาง ซึ่งกระถางควรใช้กระถางทรงสูง และควรเปลี่ยนขนาดกระถาง 1-2 ปี ต่อครั้ง เพราะการขยายตัวของรากและการแตกกอแน่น และเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่ ทดแทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพ ถ้าปลูกเพื่อประดับภายในอาคาร ควรให้ได้รับแสงแดดบ้าง อย่างน้อย 3-5 วัน ต่อครั้ง

สรรพคุณทางสมุนไพร ไม่พบรายงานการมีสรรพคุณทางสมุนไพรแต่เพียงอย่างใด