ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05124010958&srcday=2015-09-01&search=no
| วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606 |
อุษาคเนย์ไม่ไหลกลับ
จิตติมา ผลเสวก
เมล็ดข้าวใหญ่ (1)
ในตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับข้าวแทบทุกภาคของไทย มักจะมีเรื่องเกี่ยวกับข้าวเมล็ดใหญ่ ทำนองว่าแต่ก่อนข้าวที่เรากินกันอยู่นี้ไม่ได้มีเมล็ดเล็กเรียวอย่างที่เห็น และต้องกินกันเป็นจานๆ หรือคนละสองสามจานกว่าจะอิ่ม ข้าวในตำนานโบราณมามีเมล็ดใหญ่ บ้างก็เล่าว่าเมล็ดใหญ่เท่าฟักเท่าแฟง บางแห่งบอกว่าใหญ่เท่าลูกมะพร้าวเลยทีเดียว
อีกทั้งครั้งเก่าก่อนผู้คนไม่ต้องปลูกไม่ต้องเก็บเกี่ยวข้าว เพราะข้าวจะงอกงามเอง มีเมล็ดเอง พอถึงเวลาก็จะมาเข้ายุ้งเข้าเล้าเอง เพียงแค่ลงแรงเตรียมสร้างเล้าสร้างยุ้งไว้เก็บข้าวให้เพียงพอเท่านั้น ดูทีรึแต่กี้แต่ก่อนช่างแสนสบายไม่ต้องเหนื่อยทำนา ไม่ต้องอกใจระทึกรอฟ้าฝนหรือรอกรมชลประทานมาเปิดน้ำเข้านาให้อย่างประเดี๋ยวนี้
แต่ก็มีเหตุให้เมล็ดข้าวลีบเล็กลงและไม่บินมาเข้าเล้าเข้ายุ้งเองอีกต่อไป ด้วยเหตุที่ว่าวันหนึ่งมีหญิงม่ายซึ่งเล้าข้าวที่มีอยู่ไม่พอใส่เมล็ดข้าว ที่กำลังบินพรูๆ มาเข้าเล้าข้าว นางหงุดหงิดจึงเอาไม้ฟาดเมล็ดข้าวจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่วนหนึ่งไปเกิดเป็นเผือกเป็นมัน ส่วนหนึ่งไปเกิดเป็นเมล็ดข้าวพันธุ์ต่างๆ ซึ่งคือเมล็ดข้าวพื้นบ้านหลากหลายสายพันธุ์นั่นเอง
เมื่อข้าวถูกทำร้ายแม่โพสพผู้รักษาข้าวจึงหลบลี้หนีไกลไปอยู่ในซอกหลืบหินของป่าหิมพานต์ นับแต่นั้นมามนุษย์และสรรพสัตว์ในโลกจึงไม่มีข้าวกิน พากันอดอยากหิวโหยลำบากยากแค้นไปทั่วถ้วน ต้องควานหาผู้กล้าส่งไปเชิญแม่โพสพกลับมา แต่ไม่มีผู้ใดหรือสัตว์ตัวใดสามารถแทรกผ่านซอกหินแคบเข้าไปถึงตัวแม่โพสพได้ กระทั่งมีปลาฉลาดตัวลีบแบนสามารถเบียดตัวเข้าไปเชิญเทพผู้รักษาข้าวกลับมาได้
โดยข้าวหรือแม่โพสพได้บอกกับมนุษย์ว่า นับแต่นี้ข้าวจะไม่บินมาเข้าเล้าเข้ายุ้งฉางเอง ไม่งอกงามเติบโตเอง มนุษย์ต้องปลูกข้าวและเก็บเกี่ยวเอง และข้าวก็มีเมล็ดเล็กอย่างที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ อีกทั้งทุกครั้งที่มนุษย์ปลูกข้าวและประกอบกิจกรรมใดที่เกี่ยวกับข้าว จะต้องมีพิธีกรรมบอกกล่าว สู่ขวัญและขอขมาแม่โพสพทุกครั้งไป ซึ่งพิธีกรรมเหล่านี้ได้สืบทอดต่อเนื่องมาตราบปัจจุบัน อันมีรายละเอียดแตกต่างไปในแต่ละพื้นที่
เรื่องเล่าเกี่ยวกับเมล็ดข้าวใหญ่ในแต่ละภาค กระทั่งแต่ละหมู่บ้านมีบางตอนที่แตกต่างกันไป ดังเช่น บางแห่งเล่าว่าผู้ที่ไปเชิญข้าวกลับมาได้คือหญิงสาวรูปงาม ฉลาดปราดเปรื่อง มีนามว่า โพสพ หลังจากนั้น นางจึงได้เป็นเทพผู้รักษาข้าว
ฉันอ่านและฟังชาวบ้านเล่าเรื่องเกี่ยวกับเมล็ดข้าวใหญ่มาก็มาก แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งจะได้พบเมล็ดข้าวใหญ่จริงๆ แม้จะเป็นเมล็ดข้าวที่สลักจากท่อนไม้ ทว่าก็แสดงถึงความสำคัญและการมีอยู่จริงของตำนานเรื่องเล่านี้ ที่มีชีวิตเต้นระริกอยู่ในวิถีชาวนา
หมู่บ้านนาเวียง อำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธร นอกจากเป็นหมู่บ้านที่มีเมล็ดข้าวใหญ่ไว้บูชา ยังเป็นหมู่บ้านที่มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจ
ย้อนอดีตกาลไปราว ปี พ.ศ. 2200 หรือเมื่อประมาณสามร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ครั้งนครเวียงจันท์แห่งประเทศลาวปัจจุบัน เกิดกลียุคเพราะความโลภแข่งแย่งอำนาจกัน แตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า รบราฆ่าฟันกัน ทำให้ข้าวยาก หมากแพง ชาวบ้านเดือดร้อนทุกข์ยากปากหมองกันไปถ้วนหน้า
ทำให้ผู้นำที่ทนเห็นความทุกข์ยากของประชาชนต่อไปไม่ไหว ได้ปรึกษากันเห็นว่าอยู่กันต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้รวบรวมผู้คนที่มีความเห็นตรงกันทั้งชายหญิงเกือบพันเดินทางออกจากเวียงจันท์ ทั้งนี้นอกจากเสบียงอาหารที่จำเป็น ยังได้ขนเอาทรัพย์สมบัติมาส่วนหนึ่ง นั่นคือ ตู้พระไตรปิฎก 10 ตู้ พระพุทธรูป 9 องค์ ช้าง 10 เชือก ม้าและเกวียนอีกหลายสิบเล่ม
ตามประวัติที่คนรุ่นหลังสืบค้นและบันทึกไว้นั้น บ่งบอกว่า พวกเขาออกเดินทางจากเวียงจันท์ ในวันพฤหัสบดีที่ 18 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 12 พ.ศ. 2200 เริ่มต้นการเดินทางลัดเลาะมาตามฝั่งลำน้ำโขงทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เพื่อหลีกเลี่ยงการตามล่าจากพวกโจร จากนั้นจึงได้ข้ามฝั่งลำน้ำโขงตอนเหนือของเมืองมุกดาหาร ที่เรียกกันว่า หาดทรายเจีย แล้วออกเดินทางต่อไปทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้
เป็นการเดินทางแบบที่เรียกว่าค่ำไหนนอนนั้นอย่างแท้จริง เพราะตลอดเส้นทางล้วนเต็มไปด้วยป่าดงดิบ เดินทางอย่างยากลำบากอยู่ถึง 7 วัน 7 คืน จึงมาถึงบ้านกุดขุ่น หรือบ้านหนองขุ่นใหญ่ในปัจจุบัน ตรงนี้เองที่ช้างเชือกหนึ่งได้ล้มลงด้วยความเหนื่อยล้า จนขบวนเดินทางต้องหยุดพักเพราะเกินจะฝืนเดินทางต่อ
หลายคนในขบวนตัดสินใจที่จะปักหลักอยู่ที่หนองขุ่น ผู้นำขบวนจึงตกลงใจให้พระครูยวนกับผู้สมัครใจอีกราว 104 คน อยู่ที่นี่ พร้อมกับมอบตู้พระไตรปิฎกไว้ 3 ตู้ พระพุทธรูปใหญ่ 2 องค์ และสมบัติอีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นผู้คนที่เหลือก็ได้เดินทางต่อลงไปทางใต้อีก 13 วัน 13 คืน จึงมาถึงโนนกุดใหญ่ สำรวจพื้นที่แล้วพบว่าทำเลดี มีลำน้ำไหลผ่าน จึงได้สร้างบ้านแปลงเมืองขึ้น ถากถางจนป่ากลายเป็นไร่เป็นนา แต่อยู่ได้ไม่ทันไรเกิดโรคระบาด จึงได้ย้ายออกมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ได้สร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นใหม่อยู่อาศัยสืบมาจนปัจจุบัน แต่เดิมผู้คนที่ผ่านไปมาเรียกบ้านนี้ว่า บ้านนาคนเวียง เพราะรู้กันอยู่ว่าคนจากเวียงจันท์มาลงหลักปักฐานเอาไว้ ต่อมาอีกหลายสิบปีจากบ้านนาคนเวียง จึงกลายมาเป็นบ้านนาเวียง
ฉันฟังคำบอกเล่าจาก กำนันทองจันทร์ บุญเฟื่อง ถึงเรื่องราวความเป็นมาของบ้านนาเวียงจนจบ ก่อนจะเอ่ยถามถึงเมล็ดข้าวใหญ่ว่าชาวบ้านนาเวียงหอบหิ้วมาจากเวียงจันท์ด้วยหรืออย่างไร กำนันบอกว่าเดิมทีก็หอบหิ้วกันมา แต่ไม่รู้พลัดหล่นหายไปช่วงไหน ชาวนาเวียงจึงหาท่อนไม้มาสลักเมล็ดข้าวใหญ่ใหม่เอาไว้บูชา
เมล็ดข้าวนี้จะมีพิธีกรรมบวงสรวงสู่ขวัญกันทุกปี ชาวบ้านเคารพศรัทธาว่าคือพระแม่โพสพเทพผู้รักษาข้าว และที่น่าสนใจยิ่งสำหรับฉัน คือการค้นหาเมล็ดข้าวใหญ่ในหมู่บ้านเดิมของคนนาเวียง นั่นคือ หมู่บ้านเดิมที่เวียงจันท์ สปป. ลาว