คำพันธ์ เหล่าวงษี ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05090151059&srcday=2016-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 633

เกษตรกรดีเด่น

อำพน ศิริคำ

คำพันธ์ เหล่าวงษี ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน

ท่านที่เคารพครับ ปี 2559 นี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แต่งตั้งปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน จำนวน 3 สาขา ได้แก่ 1. คุณคำพันธ์ เหล่าวงษี อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม สาขาปราชญ์เกษตรเศรษฐกิจพอเพียง 2. คุณอัคระ ธิติถาวร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต สาขาปราชญ์เกษตรดีเด่น 3. คุณอดิศร เหล่าสะพาน อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม สาขาปราชญ์เกษตรผู้นำชุมชนและเครือข่าย ซึ่งได้เข้ารับพระราชทานโล่รางวัลในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัญแรกนาขวัญ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา

คุณคำพันธ์ เหล่าวงษี เกิดวันที่ 30 พฤษภาคม 2501 มีพี่น้องร่วมกัน 3 คน เป็นชายทั้ง 3 คน คุณคำพันธ์ เป็นคนที่ 3 จบการศึกษาชั้น ปวช. และ ปวส. วิทยาลัยเทคนิคมหาสารคาม

ปัจจุบัน อยู่บ้านเลขที่ 43 หมู่ที่ 2 บ้านดอนแดง ตำบลศรีสุข อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม สมรสกับ คุณบรรจง เหล่าวงษี (อี้ด) มีบุตร 3 คน หญิง 2 คน ชาย 1 คน อาชีพเกษตรกรรม

วิสัยทัศน์ คือ พัฒนาตน พัฒนาคน ขยายผล พัฒนาสังคม ระดมแนวคิดสู่เศรษฐกิจพอเพียง

ปรัชญา คือ รู้ชาติตระกูลพงศ์เผ่า รู้เหล่าจักรวาลสรรค์สร้าง รู้คิดรู้ทำนำทาง รู้วางตนแต่พอดี ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง คู่เคียงภูมิปัญญาท้องที่ นำสู่ชีวิตสุขขี เกษตรกรเรานี้พึ่งตนได้เอย…

คติ คือ ทำให้ดีวันนี้ ดีกว่าทำวันข้างหน้า ทำวันละนิด ละนิด ดีกว่าคิด คิดว่าจะทำ ผลิตอาหารเพื่อกินให้เป็นยาในวันนี้ ดีกว่าจะกินยาเป็นอาหารในวันข้างหน้า เศรษฐกิจพอเพียง คือ “แนวทางสร้างอนาคตให้อยู่รอดอย่างยั่งยืน

แรงบันดาลใจ จากการสรุปบทเรียนของตน ได้ศึกษาดูงานเกษตรกรรมยั่งยืน และศึกษาแนวพระราชดำริ “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” โครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

จุดเด่น ใช้ทรัพยากร ดิน น้ำ ที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด (เกษตรผสมผสาน 1 งาน 1 แสน)

สู้งานไม่เคยท้อ

ด้วยบรรพบุรุษเป็นเกษตรกร อาชีพทำนา ทำไร่ ทำสวน หนทางที่จะร่ำรวยหรือทำให้การดำรงชีพอย่างสุขสบายนั้นแทบไม่มีเลย จึงมีแนวคิดที่อยากจะเปลี่ยนอาชีพให้ดีกว่านี้ จึงดิ้นรนใฝ่หาความรู้ใส่ตัว

หลังเรียนจบ ป.4 ได้บวชเรียนธรรมวินัยพร้อมกับเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ แล้วสิกขาเรียนต่อ พอเรียนอยู่ ม.ศ.1 พ่อเสียชีวิตจึงต้องช่วยตนเองหาเงินเรียนโดยการปลูกผักขายพอได้เงินใช้จ่ายในการเรียน (5-10 บาท/วัน)

จบ ม.ศ.3 ได้ไปอาศัยอยู่กับพี่ชายคนโตเพื่อช่วยในการเรียน และเลือกเรียนสายอาชีพจะได้หางานทำง่าย

ได้เข้าเรียนที่ วิทยาลัยเทคนิคมหาสารคาม (ยังปลูกผักขายเหมือนเดิม) จบ ปวส. แผนกช่างกลโลหะ แล้วไม่มีโอกาสได้เรียนต่อเนื่องจากแม่ก็แก่ชรา พี่ก็ป่วย และอีกต่อมาไม่นานก็เสียชีวิตทั้งแม่และพี่ชาย จึงหางานทำที่กรุงเทพฯ (2525-2538) เป็นผู้ช่วยช่างอยู่ 2 ปี ได้ค่าแรง วันละ 90-120 บาท ปีที่ 3-5 ได้ตำแหน่งช่าง ได้ค่าแรง วันละ 150-180 บาท ปีที่ 5-7 ได้เป็นหัวหน้าช่างได้ค่าแรง วันละ 200-300 บาท ปีที่ 7-13 เป็นผู้จัดการ ได้ค่าแรงเดือนละ 12,000-15,000 บาท แต่อยู่กรุงเทพฯ ภาระและเศรษฐกิจรัดตัว ค่าครองชีพสูง ลูกเรียน บ้านเช่า ข้าวซื้อ เงินที่ได้จากการทำงานไม่พอกับรายจ่าย จากปีแรกถึงปีที่ 4 เงินที่ได้กับรายจ่ายก็พอบ้างไม่พอบ้าง แต่ต่อมาเข้าปีที่ 5 เริ่มไม่พอจ่าย ภาระมากขึ้น ยิ่งลูกเรียน วันหนึ่งๆ ค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า 500 บาท ค่าอาหาร ค่าขนมลูก เฉลี่ยวันละ 200 บาท ค่าน้ำ-ค่าไฟ เฉลี่ยเดือนละ 1,500 บาท ค่ารถรับ-ส่งลูกเรียน เดือนละ 1,800 บาท ค่าเทอมลูก เทอมละ 6,000 บาท/คน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เฉลี่ยวันละ 100 บาท เป็นทุกข์มาก จึงได้ปรึกษากับภรรยา ลำพังอยู่ไปวันๆ ก็ไม่หนักใจเท่าไร แต่เรามองอนาคตไม่มีเลย ตัดสินใจกลับบ้านทำธุรกิจของตัวเอง เปิดโรงกลึง (ปี 2538-2540)

เห็นเขารวย “อยากจะรวย เหมือนเขา”

ด้วยเหตุที่ทำงานเงินไม่เหลือเก็บ จึงหาเงินลงทุน โดยเอาที่นาที่พ่อแม่แบ่งให้ทำกินไปจำนองกับนายทุน เพื่อนำเงินมาลงทุนเปิดโรงกลึง 3 ปีผ่านไป กลับยิ่งซ้ำเติมเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 งานไม่ค่อย มีเงินไม่เหลือใช้ เลิกกิจการหันมารับเหมาก่อสร้างทั่วไปอยู่ 4 ปี ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีสิทธิ์ส่งเงินคืนเจ้าหนี้ รวมเป็นหนี้ 200,000 บาท

การพัฒนาตนเอง และแรงบันดาลใจ

จากการสรุปบทเรียน การดำรงชีพที่ล้มเหลวที่ผ่านมา จากการศึกษาดูงานการทำเกษตรในระบบเกษตรกรรมยั่งยืนและจากการศึกษาแนวพระราชดำริ “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” โครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาสรุปบทเรียน/วิเคราะห์ตัวเอง เพื่อหาแนวทางการดำเนินชีวิต

อดีต ที่บรรพบุรุษได้ดำเนินชีวิตมา ท่านไม่เคยมีหนี้ ท่านมีข้าวมีผักมีปลา-กบ เป็นอาหารกินอย่างพอเพียง มีบ้านอยู่มีเสื้อผ้าใส่ รู้จักหาพืชสมุนไพรใช้รักษาโรคเมื่อเจ็บป่วย ใช้มูลสัตว์เป็นปุ๋ยใส่พืชผัก และผลิตอาหารเองแทบจะไม่ต้องซื้อ ครอบครัวก็มีความสุขมีความอบอุ่นมีความเอื้ออาทรต่อเพื่อนบ้าน มีความสามัคคีเข้าใจกับทุกคน ถึงไม่รวยดูเหมือนว่าท่านไม่มีทุกข์ใดๆ ส่วนตัวเองพยายามจะเปลี่ยนอาชีพ เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ แต่กลับจน เป็นหนี้ ไม่มีบ้านอยู่อาศัย ลูกไม่มีอนาคต หมดหนทางที่จะก้าวต่อไป “ตัดสินใจเลิกกิจการมาทำตามรอยของท่าน”

ในช่วงรับเหมา ปี 2541 กลับมาทำเกษตรตามรอยของท่านโดยได้เช่าที่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย เป็นที่ทำกินและได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ซึ่งได้ส่งเสริมให้สมาชิกทำเกษตรกรรมยั่งยืนเพื่อการพึ่งตนเอง จึงมีโอกาสได้อบรมเรียนรู้ ศึกษาดูงานในการทำเกษตรในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ได้ทั้งแนวคิด/ประสบการณ์และได้รับรู้จากการศึกษาแนวพระราชดำริ “หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”จากโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทางสำนักงานเกษตรอำเภอกันทรวิชัยได้คัดเลือกโครงการให้เกษตรกรในเขตตำบลศรีสุข จำนวน 2 แห่ง พร้อมกับจากหน่วยงานรัฐ ที่ได้ร่วมสนับสนุนส่งเสริมในการพัฒนาการเกษตรด้านวิชาการหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ นับว่าเป็นจุดหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจพร้อมที่จะนำพระราชดำริมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างจริงจัง

ปี 2544 เจ้าหนี้กดดัน ให้หาเงินคืน ถ้าไม่คืนจะยึดที่ ตัดสินใจขายที่นาใช้หนี้ให้หมด มีเงินคงเหลืออยู่ 30,000 บาท ขอเช่าซื้อที่แปลงนี้ มีเนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน ราคา 200,000 บาท โดยวางเงินที่มีก่อนและขอผ่อนรายปี ไม่เกิน 10 ปี ปี 2545 จึงได้เริ่มดำเนินกิจกรรมทำการเกษตร โดยยึดตามแนวเกษตรทฤษฎีใหม่

พื้นที่น้อยแต่ย่อตามส่วน

ดังนี้ 1. จัดเป็นที่อยู่อาศัย 1 ไร่ 2. ขุดสระ 3 บ่อ ไว้เก็บน้ำใช้ในการเกษตร 2.5 ไร่ 3. ปลูกไม้ผล/ไม้ยืนต้นตามคันคูและคันแดนรอบ 1.5 ไร่ 4. ผัก 2 งาน และ 5. นาข้าว 1 ไร่

เริ่มต้นที่ดำเนินการ ไม่มีทุนดำเนินการต้องกู้ ยอมเป็นหนี้อีก (50,000 บาท) ดินไม่ดี สภาพดินเค็ม เป็นที่ดอนไม่มีแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือระบบชลประทานผ่าน ไม่มีไฟฟ้า-ประปาใช้ ไม่มีรายได้อื่นที่จะมาจุนเจือครอบครัว แนวทางสู่การพัฒนา จากที่ได้ศึกษาดูงาน อบรม ฝึกปฏิบัติจริง ค้นคว้า ลองผิดลองถูก จึงได้พยายามขยันหมั่นเพียร ไม่ท้อต่ออุปสรรค สร้างเงื่อนไขสู่ความสำเร็จ และสร้างการมีส่วนร่วมในครอบครัวประชุมครอบครัวเพื่อสร้างความเข้าใจ สร้างความสามัคคี เสนอความคิดเห็น แก้ปัญหาร่วมกันสรุปบทเรียน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจถึงการดำเนินชีวิตที่ผ่านมาจากอดีต-ปัจจุบันว่าอะไรเป็นอย่างไรวิเคราะห์ตนเอง/ครอบครัว เพื่อให้รู้ว่าแต่ละคนมีอะไรดี อะไรไม่ดี สิ่งที่ไม่ดีแก้ไขอย่างไร สิ่งที่ดีจะนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร

สร้างโอกาส เพื่อหาช่องทางสร้างประโยชน์ให้กับครอบครัว (เช่น ประชาชนส่วนใหญ่ซื้ออาหารกิน ก็ผลิตอาหารขายให้ประชาชน เกษตรกรส่วนมากซื้อพันธุ์พืช/พันธุ์ผักปลูก เป็นต้น) วางแผนชีวิต วางแผนการผลิต วางแผนการตลาด จะต้องทันเหตุการณ์ จัดหาแหล่งจำหน่าย และสร้างความมั่นใจกับผู้บริโภค สร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ผลิต เปิดตลาดของกลุ่มเอง

ผลที่ได้จากการตัดสินใจสู่ความพอเพียง

จากปีแรก-ปีที่ 3 ครอบครัวพออยู่ พอกิน ยังไม่มีเงินเก็บใช้หนี้ (มีอาหารพอเพียง มีผู้เอาเงินมาให้ทุกวันจากการขายผลผลิต 50-200 บาท) หลังจากนั้น ก็เริ่มมีเหลือเก็บออม ถึงปีที่ 6 ก็นำเงินที่เก็บได้ใช้หนี้หมด พร้อมกับสร้างบ้านอยู่อาศัย อีกต่อมา 3 ปี ได้ซื้อที่นาอีกแปลง เนื้อที่ 7 ไร่ ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ลูกได้มีโอกาสเรียนทุกคน มีงานทำ รายได้เฉลี่ยของครอบครัว 300,000 บาท/ปี และเป็นแบบอย่างเป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาดูงานกับเกษตรกร/นักเรียน/นิสิต/นักศึกษาและผู้สนใจในการดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และได้รับเลือกเป็นศูนย์เรียนรู้อบรมถ่ายทอดองค์ความรู้จากนั้นเป็นต้นมา (2549-2550 ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชน 2551, ปัจจุบัน ศูนย์เรียนรู้เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน)

ปัจจุบันทำการเกษตรหลายอย่าง อาทิ การทำนาด้วยกล้ากลีบเดียว การปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ ผลิตพืชปลอดสารพิษ เพาะเห็ด เลี้ยงปลา เลี้ยงเป็ด ไก่ สุกร การเกษตร 1 งาน 1 แสน (การเพาะกล้าผักขายโดยกรอกถุงดินเวลากลางคืน 1-2 ชั่วโมง ก็สามารถทำเงิน 1,000-2,000 บาท) เป็นต้น

ท่านที่เคารพครับ นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของประวัติของปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน หากท่านใดสนใจอยากจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ติดต่อได้ที่ โทร. (089) 618-4075, (061) 582-2235 และ E-mail : Khamphan1@hotmail.com

กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวบ้านโพนแพง จังหวัดกาฬสินธุ์ เจ้าของรางวัล กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวดีเด่น ประจำปี 2559

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05048010659&srcday=2016-06-01&search=no

วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 624

เกษตรกรดีเด่น

วริศรา ทรัพย์เกษม

กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวบ้านโพนแพง จังหวัดกาฬสินธุ์ เจ้าของรางวัล กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวดีเด่น ประจำปี 2559

ในเดือนพฤษภาคมถือเป็นเดือนที่เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน และเป็นระยะเริ่มต้นของฤดูการทำนา ซึ่งในแต่ละปีทางสำนักพระราชวังจะมีการประกาศกำหนด “พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ” หรือที่เรียกว่า “พิธีแรกนาขวัญ” เป็นพระราชพิธีโบราณที่สืบทอดกันมาช้านาน นับตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดขึ้นเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลแก่กระบวนการผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารของประเทศ โดยมุ่งบำรุงขวัญและกำลังใจแก่เกษตรกรชาวไร่ชาวนาเมื่อเข้าสู่ต้นฤดูกาลเพาะปลูกในแต่ละปี นับแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน

คุณอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า งานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2559 จัดขึ้น ในวันที่ 8-9 พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา โดยในปีนี้ กรมการข้าว ได้ขอพระราชทานพันธุ์ข้าวทรงปลูกในฤดูนาปี 2558 ทั้งข้าวนาสวนและข้าวไร่ที่มีคุณลักษณะและความโดดเด่นในด้านต่างๆ จำนวน 10 พันธุ์ รวมน้ำหนักเมล็ดพันธุ์ข้าวทั้งสิ้น 2,667 กิโลกรัม

นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการคัดเลือกเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2559 เข้ารับพระราชทานโล่รางวัลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นการยกย่องประกาศเกียรติคุณ พร้อมทั้งเผยแพร่ผลงานให้สาธารณชนทั่วไปได้รู้จักและยึดถือเป็นแบบอย่างในแนวทางการปฏิบัติ มีรายชื่อดังนี้

– เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2559 สาขาอาชีพทำนา ได้แก่ คุณสันทัด วัฒนกูล เลขที่ 234 หมู่ที่ 1 ตำบลทัพทัน อำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี

– กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวดีเด่น ประจำปี 2559 ได้แก่ กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวบ้านโพนแพง จังหวัดกาฬสินธุ์ เลขที่ 71 หมู่ที่ 8 ตำบลดินจี่ อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์

– ศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชนดีเด่น ประเภทข้าวหอมมะลิ ประจำปี 2559 ได้แก่ ศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชนบ้านดงลิง จังหวัดกาฬสินธุ์ หมู่ที่ 11 ตำบลเจ้าท่า อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์

– ศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชนดีเด่น ประเภทข้าวอื่นๆ ประจำปี 2559 ได้แก่ ศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลงิ้วราย จังหวัดพิจิตร เลขที่ 173 หมู่ที่ 1 บ้านต้นชุมแสง ตำบลงิ้วราย อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร

กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวดีเด่น ประจำปี 2559

การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการลดการสูญเสียจากกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพมาตรฐาน ตรงตามความต้องการของตลาด ทำให้ชาวนาผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ขายได้ราคา เพื่อยกระดับชาวนาไทยให้สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพมาใช้ในกระบวนการทำนาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เช่นเดียวกับการบริหารจัดการของ กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวบ้านโพนแพง จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่ประสบความสำเร็จจนได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เป็น กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวดีเด่น ประจำปี 2559

คุณเคน ปูนาสี ประธานกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวบ้านโพนแพง เล่าว่า เมื่อปี 2554 ตนและชาวบ้านได้รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มขึ้นมา มีสมาชิก 190 ราย ในพื้นที่ 2,690 ไร่ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่า “เราจะผลิตเมล็ดพันธุ์ ที่เป็นเลิศด้านคุณภาพ ปริมาณ เสริมสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง” โดยมีความคิดที่อยากจะนำเทคโนโลยีเหมาะสมกับพื้นที่และสภาพแวดล้อมมาใช้ เริ่มแรกได้ประดิษฐ์เครื่องหยอดข้าวแห้งขึ้นมาใช้ประกอบติดกับรถไถเดินตาม ต่อมาได้พัฒนาเครื่องนวดข้าวขนาดเล็ก นวดได้ 1,200 กิโลกรัม/วัน เพื่อช่วยลดต้นทุนและลดพันธุ์ปน ทำให้เมล็ดพันธุ์ที่ผลิตได้มีคุณภาพดี

“กลุ่มของเรามีแนวคิดมุ่งสู่ความสำเร็จแบบมีส่วนร่วม เพื่ออยู่ได้อย่างมั่นคง โดยวางแผนปฏิบัติอย่างมีระบบ จัดตั้งคณะกรรมการบริหารงานด้านต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เชื่อมโยงเครือข่าย เสริมสร้างรายได้ สร้างยุวชนสืบสานอาชีพทำนา อนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านให้เป็นแหล่งเรียนรู้และต้นแบบการผลิต”

ด้านการบริหารจัดการพื้นที่ ได้มีการจัดหาแหล่งน้ำโดยขุดสระ ขุดลอกคลอง และลดต้นทุนการผลิตโดยทำนาดำและนาหยอด เพื่อลดอัตราการใช้เมล็ดพันธุ์ ผลิตปุ๋ยใช้เองเพื่อลดค่าใช้จ่าย ได้แก่ ปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปลูกพืชปุ๋ยสด และไถกลบตอซัง นอกจากนี้ ยังประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ขอรับการสนับสนุนการขุดสระน้ำและถังน้ำหมักปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ปุ๋ยคอก สร้างโรงปุ๋ยชีวภาพ ศาลาอเนกประสงค์ ลานตากเมล็ดพันธุ์ ศูนย์เรียนรู้และศูนย์บริการชาวนา พันธุ์ปลาน้ำจืดเลี้ยงในอ่างเก็บน้ำหมู่บ้าน

กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวบ้านโพนแพง เน้นให้สมาชิกยึดหลักขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด ดำรงตนตามแบบเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยการบริหารจัดการของคณะกรรมการ 4 คณะ คือ คณะกรรมการบริหารกลุ่ม คณะกรรมการตรวจแปลงขยายพันธุ์ คณะกรรมการตรวจสอบเมล็ดพันธุ์ และคณะกรรมการจัดการรวบรวมผลผลิต แต่ละคณะมีบทบาทในการวางแผนจัดทำแปลง การควบคุมแปลงผลิตของสมาชิกให้ได้มาตรฐาน มีการรายงานผลการตรวจแปลง บริหารการใช้อุปกรณ์การผลิตเมล็ดพันธุ์ และประสานงานการตรวจตัดสินแปลงกับเจ้าหน้าที่ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวอย่างสม่ำเสมอ

“ด้วยการมีระบบการจัดการผลผลิตที่ดี โดยเมล็ดพันธุ์ส่วนเกินจากการจำหน่ายให้กับศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนำไปบรรจุกระสอบจำหน่ายเป็นเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีในชุมชนและกระจายไปยังเครือข่าย ทำให้ได้ผลผลิตข้าวขาวดอกมะลิ 105 ฤดูฝน ปี 2556-2558 รวม 3 ฤดู เป้าหมายรวมอยู่ที่ 2,519.44 ตัน สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ดีได้ตามเป้าหมาย คือผลิตได้ 2,581.41 ตัน คิดเป็นร้อยละ 102.46 ของเป้าหมาย”

กลุ่มให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของสมาชิกในกิจกรรมของกลุ่ม เช่น การประชุมจัดทำแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ให้แก่ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว เข้าร่วมโครงการหมู่บ้านส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ เป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ในโครงการศูนย์เรียนรู้เรื่องข้าวในโรงเรียน ตั้งแต่การหยอดข้าวแห้ง การปักดำ ทำนาแบบประณีต ตัดพันธุ์ปน ลงแขกเกี่ยวข้าว จนถึงการนวดข้าว เพื่อเรียนรู้การปลูกข้าวอย่างครบวงจรผ่านศูนย์เรียนรู้และศูนย์บริการชาวนา ซึ่งจัดตั้งขึ้น 4 ศูนย์ คือ ศูนย์เรียนรู้วิสาหกิจชุมชนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์เรียนรู้โรงปุ๋ยชีวภาพ ศูนย์เรียนรู้โรงสีข้าว และศูนย์เรียนรู้กลุ่มย้อมคราม นอกจากนี้ สมาชิกหลายคนยังมีบทบาทในการเป็นคณะกรรมการของหมู่บ้านด้านต่างๆ เช่น กลุ่มโรงปุ๋ยชีวภาพ กลุ่มเครื่องจักรกล กลุ่มรถนวด กลุ่มโรงสีข้าว กลุ่มเครื่องจักสาน และกลุ่มผู้เลี้ยงโค เพื่อดูแลรักษาผลประโยชน์ของสมาชิก เสริมสร้างรายได้ และเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน

ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ความสำคัญกับการป้องกันและรักษาดิน โดยรณรงค์ลดการเผาตอซังและฟางข้าว นำจุลินทรีย์ย่อยสลายตอซังมาใช้ในการกำจัดข้าวเรื้อ และส่งเสริมให้สมาชิกใช้ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยอินทรีย์ควบคู่กับปุ๋ยเคมี ทั้งนี้ได้มีการอบรมสมาชิกให้เป็นผู้อารักขาข้าวหรือมิสเตอร์ไรซ์ เรียนรู้แมลงที่เป็นประโยชน์และแมลงศัตรูข้าว ให้สามารถสำรวจระบบนิเวศในนาข้าวและตรวจนับแมลงเพื่อประเมินการระบาดของศัตรูข้าวในพื้นที่ เน้นป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสาน โดยใช้สารชีวภาพแทนสารเคมี ใช้น้ำส้มควันไม้ น้ำหมักสะเดา ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาและบิวเวอเรียมาช่วยควบคุมเชื้อราและแมลงในนาข้าว

ท่านที่สนใจอยากเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวบ้านโพนแพง สามารถสอบถามไปได้ที่ คุณเคน ปูนาสี ประธานกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวบ้านโพนแพง เลขที่ 71 หมู่ที่ 8 ตำบลดินจี่ อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ โทรศัพท์ (088) 329-2535