แมงกะพรุน คอลลาเจนลอยน้ำจากทะเล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05062011058&srcday=2015-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 608

เกษตรอินทรีย์และวิถีสุขภาพ

องอาจ ตัณฑวณิช Ongart8117@gmail.com

แมงกะพรุน คอลลาเจนลอยน้ำจากทะเล

ชาวจีนนำแมงกะพรุนมาเป็นอาหารนานนับ 1,000 ปีแล้ว รวมถึง ปลิงทะเล ซึ่งคนไทยได้ยินแค่ชื่อก็ขยะแขยงแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดเอามากิน แต่คนจีนเชื่อว่า แมงกะพรุน มีสรรพคุณทางยา สามารถใช้บำบัดอาการปวดกระเพาะหรือเป็นตะคริว คนไทยบริโภคแมงกะพรุนเพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ใส่ในเย็นตาโฟ สำหรับคนชอบแซบจะเป็นเมนูยำ หรือลวกจิ้ม แต่ปัจจุบันในเย็นตาโฟเปลี่ยนจากแมงกะพรุนเป็นเห็ดหูหนูขาว เนื่องจากคุณสมบัติกรุบๆ คล้ายๆ กัน

นอกจากนี้ ชาวจีนยังเชื่อว่า แมงกะพรุน รักษาโรคเกาต์ เส้นเลือดอุดตัน ลดความดันโลหิต แก้หลอดลมอักเสบ ทำให้ผิวหนังนุ่มนวล และแมงกะพรุนถือเป็นหยาง อาหารที่ให้ความเย็น ซึ่งตรงข้ามกับหยิน ในวงการโภชนาการปัจจุบัน ศึกษาพบว่า ในแมงกะพรุนมีโปรตีนประเภทคอลลาเจนสูง แต่มีไขมัน คอเลสเตอรอล และแคลอรีต่ำ เหมาะสำหรับเป็นอาหารสำหรับควบคุมน้ำหนัก ปัจจุบันมีการส่งออกแมงกะพรุนไปประเทศญี่ปุ่นมากที่สุด

ตัวคอลลาเจนนี่สำคัญ เพราะเป็นเส้นใยโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กระดูก เนื้อเยื่อต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนประกอบ 30% ของร่างกาย และเป็นส่วนประกอบ 70% ของส่วนผิวหนัง และร่างกายจะผลิตคอลลาเจนลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งสังเกตได้จากผิวหนังที่เหี่ยวย่น แมงกะพรุนมีคอลลาเจนมากจึงเหมาะสำหรับเป็นวัตถุดิบสกัดคอลลาเจน และคอลลาเจนที่สกัดได้จากแมงกะพรุนเป็นคอลลาเจนในกลุ่ม Type I คือชนิดที่พบได้ในผิวหนัง จึงเหมาะสำหรับนำไปประยุกต์ใช้ทางด้านการแพทย์เพื่อการสมานแผล หรือการนำไปเป็นส่วนผสมในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาหารเสริม รวมทั้งสามารถพัฒนาต่อยอดสู่การผลิตเจลาตินจากแมงกะพรุน สำหรับการผลิตหูฉลามเทียมได้ด้วย

แมงกะพรุนลอดช่อง

เริ่มเวลาปลายเดือนพฤษภาคม ชาวประมงชายฝั่งแถบตำบลแหลมสัก อ่าวน้ำ อ่าวม่วง ท่าเลน คลองทราย อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ เริ่มเตรียมตัวที่จะออกไปตักแมงกะพรุน เนื่องจากในฤดูฝนนี้จะเป็นฤดูที่แมงกะพรุนเข้ามามากในอ่าว ชาวบ้านบอกว่าแมงกะพรุนจะเริ่มเข้ามาในอ่าวตั้งแต่เดือนมิถุนายน จนกระทั่งถึงเดือนกันยายน รวมเวลาประมาณ 4 เดือน เพราะมีลมจากทะเลอันดามันทางทิศตะวันตกพัดเข้าหาฝั่ง ซึ่งชาวบ้านในละแวกนี้เรียกว่า ลมนอก จะพัดแมงกะพรุนเข้ามาในอ่าว

แมงกะพรุนที่ว่านี้ ชาวบ้านเรียกว่า แมงกะพรุนลอดช่อง ลักษณะเหมือนแมงกะพรุนทั่วไป คือมีหมวกกลม แต่หางค่อนข้างสั้น มีขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก 7-8 กิโลกรัม ต่อตัว ขนาดใหญ่เท่าๆ หมวกกันน็อก มีสีขาวใสเหมือนวุ้น หรือเป็นสีชมพูจางๆ ทางแถบนี้จะไม่ค่อยพบแมงกะพรุนไฟ ซึ่งมีลักษณะหัวเป็นเหลี่ยม หางค่อนข้างยาว ประมาณ 1-2 เมตร แต่มีขนาดเล็กขนาดถ้วยกาแฟสีขาวใส ไม่มีสีชมพูจางๆ เหมือนแมงกะพรุนลอดช่อง

ช่วงที่ไปทำข่าวเดือนสิงหาคม ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่แมงกะพรุนมีจำนวนมาก ชาวบ้านที่ไปตักแมงกะพรุนจะออกไปในช่วงเช้า พอประมาณ 10 โมง หรือไม่เกินเที่ยง ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ก็จะได้แมงกะพรุนเต็มลำเรือ จึงจะเข้าฝั่งมาขายที่แพ ถ้าเป็นช่วงที่มีแมงกะพรุนน้อยๆ เช่น ในช่วงแรกกับช่วงปลายก็จะออกไปตั้งแต่ตอนกลางคืน เพราะจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่าในการตัก เนื่องจากมีน้อย เรือก็จะติดโป๊ะไฟแสงสว่างเพื่อให้มองเห็นตัวแมงกะพรุน ถ้าเป็นคืนเดือนหงายก็จะมีทัศนวิสัยดีกว่า แต่ก็จะเข้าฝั่งมาขายที่แพในเวลาไม่เกินเที่ยงเช่นกัน เพราะช่วงเที่ยงถึงบ่ายอากาศจะร้อนมากเกินไป

เรือที่ใช้ตักแมงกะพรุนเป็นเรือตังเกที่ออกหาปลาตามชายฝั่ง ในบริเวณแถบจังหวัดกระบี่นี้ชาวบ้านเรียกว่า “เรือหัวโทง” เป็นเรือขนาดกลาง จะยาวประมาณ 12 เมตร กว้างประมาณ 2 เมตร ในการตักแมงกะพรุนจะต้องมีอย่างน้อย 2 คน คนหนึ่งคือนายท้ายเรือ คนที่ 2 คือคนตัก ส่วนใหญ่จะเป็นสามีภรรยากัน สามีเป็นนายท้าย ภรรยาเป็นคนตัก ในช่วงที่แมงกะพรุนมีจำนวนมาก แต่ละฝูงจะมีบริเวณกว้างประมาณ 1 ไร่ และมีขนาดเท่ากันเกือบทั้งหมด ชาวประมงแทบจะไม่ต้องเลือกเลย นอกจากตักอย่างเดียว ในบริเวณดังกล่าวจะมีเรือตักแมงกะพรุนประมาณ 30-40 ลำ คนตักก็ตักไป เหมือนกับแย่งกันตักแข่งกับเวลา ใครมือยาวสาวได้สาวเอา ตักไปหอบเหนื่อยไปก็มี ส่วนนายท้ายเรือต้องคอยระมัดระวังไม่ให้เรือกระแทกกับลำอื่น ก็ได้แต่ส่งเสียงเชียร์ นอกจากนี้ ยังต้องคอยมองหาแหล่งที่แมงกะพรุนชุมแล้วก็ขับเรือไปตามแหล่งดังกล่าวแต่ก็จะวนเวียนในบริเวณเดียวกันนี้ บางครั้งก็เกิดการกระแทกกระทั้นกันเหมือนกันระหว่างเรือเพราะเหตุสุดวิสัย บางครั้งคนตักตกน้ำลงไปก็มี นี่จึงเป็นเหตุให้สกู๊ปเรื่องนี้ไม่มีภาพตอนตักให้เห็น เพราะว่าคนเขียนขออยู่บนฝั่งน่าจะสะดวกกว่านิ

เงินลอยน้ำ ตามใจตัก

ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า สวิงที่ตักชาวบ้านทำกันเอง เพราะทำได้ไม่ยาก ไปซื้อเหล็ก เชือกไนล่อนมา แล้วก็ไปตัดไม้ไผ่เอามาทำกันเอง ความยาวของสวิงตัก ประมาณ 4-5 เมตร เพื่อให้สามารถเอื้อมไปตักได้ไกล คนตักแมงกะพรุนจะอยู่หัวเรือ เมื่อตักแล้วก็จะเหวี่ยงใส่ท้องเรือ นับว่าเหนื่อยเอาการ เพราะแมงกะพรุนที่ตัก ตัวละ 7-8 กิโลกรัม เหมือนยกดัมเบลล์ยังไงยังงั้น สวิงที่ตักก็จะใช้ประจำเรือ จะมีอย่างน้อย 2 ปาก เนื่องจากบางครั้งสวิงตกน้ำหรือหักระหว่างทำงานบ้าง หรือบางครั้งคลื่นลมสงบและจำนวนเรือมีไม่มากนัก ก็จะแขวนใบพัดเพื่อไม่ให้เรือเคลื่อนที่แล้วมาช่วยกันตักก็มี ใครเต็มเรือก่อนก็เข้าฝั่งก่อน ใครยังไม่เต็มก็ลอยเรือตักจนเต็มจึงจะตามเข้าแพเพื่อขายให้กับคนรับซื้อเลย เรือโทงขนาดที่ว่าบรรจุแมงกะพรุนได้ถึง 700 ตัว คะเนว่าตัวละ 7 กิโลกรัม นับเป็นน้ำหนักถึง 5 ตัน ทีเดียว

แพที่รับซื้อแมงกะพรุนจะเป็นแพที่ทำขึ้นชั่วคราวตามฤดู พอหมดฤดูรับซื้อก็จะต้องรื้อออกจากหาดทันที จะเรียกว่าแพก็ใช่ที ที่จริงแล้วคือ การทำที่ลำเลียงคล้ายสายพานจากทะเลมาเข้าฝั่ง ยาวประมาณ 20-30 เมตร โดยความสูงจะอยู่ในทะเล ส่วนทางฝั่งให้ลาดลงมา ปลายสายพานที่อยู่ในทะเลจะทำเป็นบ่อตาข่ายเพื่อรับแมงกะพรุนจากเรือ เมื่อเรือตักแมงกะพรุนมาก็จะจับขึ้นจากเรือทีละตัวลงในบ่อตาข่ายโดยนายท้ายเรือ คนงานของแพจะเป็นคนจดจำนวนตัว และออกบิลให้เจ้าของเรือไปรับเงินบนฝั่งทันที สนนราคา ณ วันที่ไปทำข่าว ตัวละ 5 บาท แต่ชาวบ้านบอกว่าช่วงต้นฤดูได้ถึงตัวละ 10 บาท และราคาค่อยๆ ลดลงมา เนื่องจากปริมาณแมงกะพรุนมีจำนวนมากในกลางฤดู ถ้าเรือลำนี้ได้ 700 ตัว คูณ 5 บาท เป็นเงิน 3,500 บาท ก็ถือว่าเป็นรายได้ที่มากทีเดียว และในช่วงนี้จะจับได้ถึง 4 เดือน เป็นอันว่าชาวประมงมีความสุขกันทั่วหน้า แต่ก็ใช่จะจับได้วันละ 700 ตัว ทุกวันนะครับ ลืมบอกไปว่าเจ้าของหาดที่ให้ทำแพรับซื้อแมงกะพรุนจะได้ส่วนแบ่งจากเจ้าของแพ ตัวละ 50 สตางค์ ฤดูหนึ่งๆ ทำรายได้ให้เจ้าของพื้นที่ไม่น้อยทีเดียว

การหมักแมงกะพรุน

เมื่อบ่อตาข่ายในทะเลมีจำนวนแมงกะพรุนที่รับซื้อเต็มบ่อ ก็จะชักรอกขึ้นบนสะพานที่ยื่นมาในทะเลแล้วเทแมงกะพรุนลงมาเพื่อให้ไหลเข้าไปยังฝั่ง โดยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องยนต์แต่อย่างใด เพราะความลาดชันของสะพานและความเป็นเมือกลื่นของแมงกะพรุนจะทำให้ไหลลงมาได้ง่าย โดยจะมีบ่อรับอยู่บนฝั่ง ถือเป็นบ่อแรกอยู่อย่างน้อย 4 บ่อ ขนาดประมาณ 3 คูณ 3 เมตร โดยใช้ผ้าพลาสติกมารองทำเป็นบ่อ ใช้ไม้ตีเป็นรูปสี่เหลี่ยม

ในบ่อแรกจะใส่เกลือ โซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO3) และสารส้ม ดองแมงกะพรุนไม่เกิน 1 วัน แล้วก็จะนำมาใส่บ่อที่ 2 ในช่วงนี้ก็จะตัดส่วนหัวและส่วนหางออกแยกใส่บ่อ โดยแยกส่วนกันคนละบ่อ การตัดส่วนหัวและหางนี้จะจ้างคนงานตัดล้าง โดยคิดเป็นชั่วโมง ชั่วโมงละ 40 บาท เนื่องจากปริมาณแมงกะพรุนที่เข้ามาในแพมีจำนวนไม่แน่นอน คนงานจะต้องทำงานส่วนนี้จนเสร็จ จึงคิดค่าแรงเป็นรายชั่วโมง ส่วนคนงานชายจะคิดค่าแรง ชั่วโมงละ 50 บาท เนื่องจากเป็นงานแบกหาม เคลื่อนย้าย จึงคิดค่าแรงให้มากกว่า

บ่อที่ 2 เมื่อมีการแยกหัวหางออกคนละบ่อก็จะใส่เฉพาะเกลืออย่างเดียวและแมงกะพรุนจะย่อขนาดเล็กลง เมื่อมีการดองในบ่อที่ 2 ประมาณ 1 คืน ก็จะขูดทำความสะอาดอีกรอบด้วยแผ่นไม้ไผ่บางๆ นำมาใส่บ่อที่ 3 และจะใส่เพียงเกลืออย่างเดียวเช่นกัน ในบ่อนี้จะต้องใช้เวลา 1 วัน ก็ใช้ได้แล้ว แต่เนื่องจากปริมาณไม่เพียงพอสำหรับรถบรรทุก 1 คัน จึงจำเป็นต้องรอ 2-3 วัน เพื่อให้มีปริมาณมากพอ จึงจะให้รถมารับไปส่งแพปลาที่จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นแพปลาแหล่งเดียวที่รับซื้อแมงกะพรุนเก็บไว้ในห้องเย็น ส่วนที่เป็นหัวจะเป็นส่วนที่ส่งออกไปต่างประเทศ ส่วนที่บริโภคในไทยจะเป็นส่วนหาง

แมงกะพรุน ปัจจุบันหาซื้อได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากคนมักจะไม่รู้จักวิธีปรุงอาหาร ถ้าได้กินส่วนใหญ่จะมาจากการที่เขาใส่เย็นตาโฟให้กิน แต่จริงแล้วสามารถนำมายำ ลวกจิ้ม หรือใส่บะหมี่สำเร็จรูปกินก็อร่อยได้ง่ายๆ แต่ควรที่จะล้างหลายๆ น้ำ และลวกน้ำเดือดก่อนนำมาปรุงอาหาร จากคุณสมบัติของแมงกะพรุนตามธรรมชาติ น่าจะลองนำมาเป็นเมนูที่บ้าน ถ้ามีโอกาสไปเที่ยวทะเลอย่าลืมซื้อแมงกะพรุนแห้งมาทำกินกันบ้าง อย่ามัวแต่ซื้อปลาเค็มอย่างเดียวเลยนิ

มะไฟจีน ของดีเมืองน่าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05048010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606

เกษตรอินทรีย์และวิถีสุขภาพ

องอาจ ตัณฑวณิช Ongart8117@gmail.com

มะไฟจีน ของดีเมืองน่าน

มะไฟ เป็นผลไม้ที่ไม่นิยมกินกันนัก เพราะเรารังเกียจว่ามีแต่เปลือก เนื้อข้างในก็ค่อนข้างเปรี้ยว แต่ถ้าใครได้ไปเห็นต้นมะไฟตอนที่กำลังออกลูก จะเห็นเป็นพวงระย้าย้อยลงมาแถบลำต้น ไม่ใช่อยู่ที่ปลายกิ่งเหมือนผลไม้แบบอื่น ซึ่งเป็นลักษณะที่มีไม่มากนักสำหรับไม้ผลที่มีลักษณะแบบนี้ สมัยก่อนลูกมะไฟดิบที่ยังมีสีเขียวอยู่ก็นำมาเป็นของเปรี้ยวกินเล่นสำหรับสาวๆ วัยทีนเอจได้เช่นเดียวกับมะม่วง มะปริง มะยม มะดัน โดยผ่าครึ่งกินทั้งเม็ดทั้งเปลือก

การกินผลไม้หรือพืชผักในสมัยก่อนกินกันตามฤดูเหมือนธรรมชาติประทานมาให้ การกินตามฤดูสอดรับกับสุขภาพของร่างกายคนเรา ไม่ต้องขวนขวายหากินกัน การกินของนอกฤดูเป็นของเล่นสำหรับคนรวยๆ ที่เสาะหากินกัน เพื่ออวดบารมีกัน แต่ถามว่าอร่อยจริงเหมือนในฤดูไหม ก็ถือว่าน้อยอย่าง ถ้ามะม่วงน้ำดอกไม้นอกฤดูที่เคยกินยอมรับว่ามีความอร่อยจริงแต่ก็แพง แต่ถ้าเป็นทุเรียนนอกฤดูเคยกินแล้วไม่เป็นสับปะรดจริงๆ เหมือนกินทุเรียนพลาสติกยังไงยังงั้น ราคาก็แพงสุดๆ ก่อนที่จะมานั่งเขียนเรื่อง เข้าไปแวะซื้อกล้วยหอม ปรากฏว่าฟังราคาน่าตกใจ หวีละ 140 บาท แม่ค้าบอกว่าของไม่ค่อยจะมีอีกด้วย

ส่วนก่อนหน้านี้ปลายเดือนกรกฎาคม ไปสำรวจราคาสินค้าในตลาดไท ปรากฏว่าผลไม้ขึ้นแทบทุกรายการโดยเฉพาะส้ม ฝรั่ง สับปะรด มะละกอ โดยเฉพาะมะละกอฮอลแลนด์ มีโอกาสได้เอาไปชั่ง ลูกขนาด 1.8 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 43 บาท คิดเป็นเงิน 86 บาท นี่คิดราคาขายส่งยกลังกันนะครับ ถ้าไปถึงตลาดสดธรรมดาไม่ต้องพูดกันแล้ว นี่เป็นผลพวงที่เกิดจากการที่ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล

ย้อนกลับมาที่ มะไฟจีน ที่เรียกภาษาจีนว่า ฮวงพี้ อึงตั๊ว หว่องตาน อมจ่าย เป็นผลไม้ที่ปลูกได้ดีที่จังหวัดน่าน มะไฟจีนถือเป็นผลไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดน่าน เนื่องจากมะไฟจีนปลูกได้ผลดีในบริเวณริมแม่น้ำน่าน แถบอำเภอเมือง และอำเภอภูเพียง จังหวัดน่านเท่านั้น เคยมีการนำไปปลูกนอกพื้น ที่ปรากฏว่าให้ผลผลิตและคุณภาพด้อยกว่าที่ปลูกตามที่กล่าวไว้ จึงถือว่าเป็นผลไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัด ถึงแม้จะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่มากนัก แต่สันนิษฐานว่ามีคนจีนนำมาปลูกหลายร้อยปีก่อน โดยไม่มีข้อมูลยืนยันว่าปลูกครั้งแรกที่ไหน แต่ปัจจุบันมะไฟจีนมีการปลูกในเชิงเศรษฐกิจที่จังหวัดน่านเพียงแห่งเดียวเท่านั้น

มะไฟจีน มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษว่า Wampee เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์เดียวกับส้ม ไม่ได้อยู่ในวงศ์เดียวกับมะไฟ แต่ผลมีลักษณะคล้ายมะไฟ จะเรียกเป็นมะไฟ มะไฟจีนเป็นไม้ผลยืนต้นไม่ผลัดใบ มีความสูงขนาดกลาง สูงประมาณ 10- 15 เมตร ใบเป็นใบประกอบแตกใบแบบสลับ ใบย่อยรูปโล่หรือรูปไข่ ปลายใบแหลม การออกผลจะเป็นพวงคล้ายพวงมะไฟทั่วไป แต่จะออกที่ปลายกิ่งไม่ใช่โคนอย่างมะไฟทั่วไป ผลมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 1.25-2.00 เซนติเมตร ผิวผลเรียบ ผลอ่อนจะมีสีเขียว สุกจะเป็นสีเหลืองและแก่จัดจะเป็นสีน้ำตาลอ่อน ดอกจะออกปลายเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนผลจะสุกประมาณปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายนของทุกปี เนื้อในค่อนข้างใส ฉ่ำน้ำ มีรสหวานอมเปรี้ยว เปลือกบางติดเนื้อผลและมีกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยที่เปลือกเหมือนกับเปลือกส้ม สามารถกินผลสดได้ทั้งเปลือก เมล็ดล่อน จำนวนเมล็ดใน 1 ผล จะมีตั้งแต่ 1-5 เมล็ด บางผลไม่มีเมล็ด ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของผล เมล็ดมีลักษณะแบนรีและแต้มสีน้ำตาลตรงปลายเมล็ด

มะไฟจีน มีสรรพคุณทางยา สามารถรักษาโรคบางชนิดได้ เช่น โรคกระเพาะ ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ โรคหลอดลมอักเสบ ช่วยเร่งน้ำย่อยและเจริญอาหาร นอกจากนี้ ใบยังแก้รังแคและรักษาผมให้ดำสนิทได้อีกด้วย ส่วนผลดิบนอกจากกินสดได้ สามารถนำมาแปรรูปได้ เช่น ทำไวน์ น้ำมะไฟจีน แยมมะไฟจีน มะไฟจีนเชื่อมแห้ง

กลุ่มแปรรูปผลผลิตมะไฟจีนนี้ โดย คุณวัฒนา ยศอาจ ประธานกลุ่มได้เล่าให้ฟังว่า “มะไฟจีนนี้ มีคนจีนเอามาปลูกหลายชั่วอายุคนแล้ว เมื่อก่อนมีบ้านละต้นสองต้น นำมากินสดๆ กัน แต่มีคนจีนในตลาดได้นำมาทำเป็นมะไฟจีนเชื่อมแห้งกินกันในกลุ่มเล็กๆ และต่อมามีการจำหน่ายเล็กๆ น้อยๆ จึงเห็นว่ามะไฟจีนมีศักยภาพที่จะแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้ จึงรวมกลุ่มกัน เมื่อปี พ.ศ. 2538 เพื่อแปรรูปจำหน่าย ด้วยประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม เสร็จจากฤดูเก็บเกี่ยวก็จะไปทำงานเพื่อเป็นรายได้เสริม เมื่อมีการรวมหุ้นกันเพื่อแปรรูปผลิตภัณฑ์จากมะไฟจีนก็ได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อที่ติดใจ ต่อมาก็ได้รับความช่วยเหลือจากหน่ายงานต่างๆ ของรัฐเข้ามาช่วยเหลือ กลุ่มจึงมีความเข้มแข็งมากขึ้น เมื่อเริ่มมีการจัดการบริหารอย่างเป็นระบบ สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้หลายชนิดเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น นอกจากจะมีการแปรรูปมะไฟจีนแล้ว ยังมีการแปรรูปผลไม้ตามฤดูกาลอีกหลายชนิด เพื่อให้สมาชิกในกลุ่มมีงานทำตลอดปี”

จากจำนวนสมาชิก 35 คน ของกลุ่มมีต้นมะไฟจีนที่สามารถนำมาแปรรูปไม่เพียงพอ จำเป็นต้องรับซื้อจากชาวบ้านด้วย ราคาที่รับซื้อผลสด กิโลกรัมละ 20 บาท ตามคุณภาพของผล ในปีนี้ทางกลุ่มได้รับซื้อผลดิบแล้ว ประมาณ 10 กว่าตัน และจะรับซื้อต่อไปเรื่อยๆ เนื่องจากปีนี้มะไฟจีนออกผลล่าช้าและมีจำนวนมากกว่าปีก่อน ซึ่งคาดว่าจะมีผลผลิตถึงเดือนสิงหาคม ผลมะไฟจีน 1 ตัน แปรรูปแล้วจะได้มะไฟจีนเชื่อมแห้ง ประมาณ 350 กิโลกรัม

การทำมะไฟจีนเชื่อมแห้งมีปัญหาที่ผลผลิตปัจจุบันทางกลุ่มได้ส่งเสริมให้สมาชิกปลูกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการใช้ต้นพันธุ์ที่เสียบยอด การทำต้นพันธุ์จะทำโดยการปลูกต้นมะไฟจีนเป็นต้นตอในถุง ประมาณ 3 ปี เมื่อต้นมีขนาดประมาณนิ้วก้อย ก็จะเสียบยอดด้วยต้นพันธุ์ดี เมื่อนำลงปลูกแล้วต้นที่ได้จะสามารถเริ่มมีลูกได้ เมื่ออายุประมาณ 1-2 ปี ส่วนต้นที่ปลูกจากเมล็ด จะใช้เวลา 5-10 ปี ทีเดียว ต้นที่ได้จากการเสียบยอดเจริญเติบโตได้เร็วมาก

สูตรการทำมะไฟจีนเชื่อมแห้ง

นำมะไฟจีนสด 1 กิโลกรัม น้ำตาลทราย 300 กรัม เกลือ 10 กรัม เป็นส่วนผสม วิธีทำคือจะต้องนำมะไฟจีนมาล้างทำความสะอาดเพื่อคัดคุณภาพของผลก่อน และเด็ดก้านที่มีออกให้หมด แล้วนำมะไฟจีนมาแช่ในน้ำเกลือ 2% นาน 2-3 ชั่วโมง และนำขึ้นมาผึ่งให้น้ำแห้ง จึงบีบเมล็ดออก ต่อมาก็ให้นำมะไฟจีนที่บีบเมล็ดออกนั้นมาคลุกกับน้ำตาลและเกลือตามอัตราส่วนที่บอกไว้ ทิ้งไว้สักพักแล้วให้นำมะไฟจีนใส่ถาดโดยเกลี่ยให้บางที่สุด เพื่อให้โดนแดดโดยทั่วถึงแล้วนำมาตาก การตากของกลุ่มบ้านกอก จะทำในโรงเรือนที่มิดชิด ถูกสุขอนามัย ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในความสะอาด ช่วงระหว่างที่ตากต้องหมั่นกลับมะไฟจีนให้โดนแดดทั่วถึงกัน และเป็นการคลุกเคล้ากับน้ำเชื่อมให้ทั่วถึงด้วย ใช้เวลาตากประมาณ 5-7 วัน แล้วแต่คุณภาพของแดด จนกระทั่งแห้งพอดี ก็นำมาเก็บในภาชนะที่ปิดสนิท โดยฝากแช่มะไฟจีนเชื่อมแห้งนี้ในห้องเย็นของส่วนราชการ เพื่อเป็นการถนอมคุณภาพของมะไฟจีนเชื่อมแห้งให้อยู่ได้นานตลอดปี และการอยู่ในอุณหภูมิที่พอเหมาะจะทำให้สีของมะไฟจีนเชื่อมแห้งสวยอยู่เสมอไม่เปลี่ยนเป็นสีคล้ำเหมือนอยู่ในอุณหภูมิห้อง เมื่อลูกค้ามีความต้องการ จึงนำมาใส่บรรจุภัณฑ์เพื่อจำหน่ายต่อไป

ปัจจุบัน กลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์บ้านกอก ตำบลบ้านท่าน้าว อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน รหัสไปรษณีย์ 55000 เบอร์โทรศัพท์ (089) 759-4199, (083) 154-3323 มีผลิตภัณฑ์ของกลุ่มที่จำหน่ายคือ มะไฟจีนเชื่อมแห้ง มะไฟจีนเม็ดรสบ๊วย กระท้อนเชื่อมแห้ง มะเฟืองเชื่อมแห้ง มะขามป้อมเชื่อมแห้ง มะเขือเทศเชื่อมแห้ง

การตลาด

คุณวัฒนา ประธานกลุ่มเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนผลิตภัณฑ์มะไฟจีนเชื่อมแห้งยังไม่เป็นที่รู้จักของตลาด จึงได้ออกบู๊ธประชาสัมพันธ์ในงานโอท็อป ของกระทรวงพาณิชย์ งานของกรมส่งเสริมการเกษตร งานของธนาคารเกษตรและสหกรณการเกษตร งานของกรมพัฒนาชุมชนบ้าง ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2544 จนปัจจุบัน มะไฟจีนเชื่อมแห้ง เป็นที่รู้จักกันทั่ว จึงมีลูกค้าโทร.มาสั่งให้ส่งทางไปรษณีย์ทุกวัน โดยจำหน่ายในราคา กิโลกรัมละ 300 บาท ซึ่งผู้ซื้อเป็นผู้ออกค่าขนส่ง

นอกเหนือจากนั้นทางกลุ่มได้วางผลิตภัณฑ์จำหน่ายในร้านของฝากทั่วทั้งจังหวัด รวมถึงสนามบินและร้านค้าโอท็อปด้วย โดยจำหน่ายปลีก ในราคากล่องละ 35 บาท 3 กล่อง 100 บาท