“เปิดฉาก 10 ทีมสุดท้าย โครงการ “My Little Farm ปฏิบัติการค้นหาสุดยอดเด็กไทยหัวใจเกษตร ปี 7” ภายใต้แนวคิด คิดจริง ทำจริง ได้ผลผลิตจริง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05098010459&srcday=2016-04-01&search=no

วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 620

เก็บมาเล่า

“เปิดฉาก 10 ทีมสุดท้าย โครงการ “My Little Farm ปฏิบัติการค้นหาสุดยอดเด็กไทยหัวใจเกษตร ปี 7” ภายใต้แนวคิด คิดจริง ทำจริง ได้ผลผลิตจริง

เมื่อเร็วๆ ณ โรงถ่ายกันตนา มูฟวี่ทาวน์ ศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เปิดบ้านเป็นที่เรียบร้อยสำหรับรายการเรียลลิตี้แข่งขันการเกษตรเพื่อเฟ้นหาเยาวชนที่มีใจรักในการเกษตร กับโครงการ “My Little Farm ปฏิบัติการค้นหาสุดยอดเด็กไทยหัวใจเกษตร ปี 7” เพื่อชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมทุนการศึกษา 100,000 บาท และของรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย โดยได้คัดเลือกโรงเรียนจากทั่วประเทศ คัดสรรให้เหลือเพียง 10 ทีม จาก 10 โรงเรียน เพื่อมาปฏิบัติภารกิจภายใต้โจทย์ พื้นที่ 1 ไร่ เงินทุน 5,000 บาท ระยะเวลา 60 วัน เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ให้มีความรู้ และเป็นการฝึกอาชีพที่มั่นคง เพื่อเป็นเกษตรกรที่มีคุณภาพที่ดีในอนาคต

กรมส่งเสริมการเกษตร, คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรมพัฒนาที่ดิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, สถานีโทรทัศน์ฟาร์ม แชนแนล และสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมช่องมิราเคิล แชนแนล ได้จัดงานเปิดบ้าน “My Little Farm ปฏิบัติการค้นหาสุดยอดเด็กไทยหัวใจเกษตร ปี 7” รายการเฟ้นหาเยาวชนที่มีใจรักในการเกษตร เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผสมผสานความรู้ด้านการเกษตรแบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด คิดจริง ทำจริง ได้ผลผลิตจริง โดยได้รับเกียรติจาก คุณโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ผศ.ดร. สุดเขตต์ นาคะเสถียร คณบดี คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คุณศศิกร ฉันท์เศรษฐ์ ประธานบริหารสายธุรกิจรายการโทรทัศน์ บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ คุณสุรศักดิ์ ซิมตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟาร์ม แชนแนล (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมแถลงข่าวและเปิดโครงการ “My Little Farm ปฏิบัติการค้นหาสุดยอดเด็กไทยหัวใจเกษตร ปี 7 โดยมี 10 ทีม จาก 10 โรงเรียน ที่ถูกคัดสรร ได้แก่ 1. โรงเรียนมัธยมพระราชทานนายาว จังหวัดฉะเชิงเทรา (LF1) 2. โรงเรียนชาติตระการวิทยา จังหวัดพิษณุโลก (LF2) 3. โรงเรียนศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี (LF3) 4. โรงเรียนประชามงคล จังหวัดกาญจนบุรี (LF4) 5. โรงเรียนนครบางยางพิทยาคม จังหวัดพิษณุโลก (LF5) 6. โรงเรียนโพธิธรรมสุวัฒน์ จังหวัดพิจิตร (LF6) 7. โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ จังหวัดนครสวรรค์ (LF7) 8. โรงเรียนท่าชัยวิทยา จังหวัดสุโขทัย (LF8) 9. โรงเรียนมัธยมสุวิทย์เสรีอนุสรณ์ กรุงเทพฯ (LF9) 10. โรงเรียนตลุกดู่วิทยาคม จังหวัดอุทัยธานี (LF10) พร้อมการเปิดเวทีเสวนา “ทริคการเกษตรเพื่อผลผลิตที่งอกงาม” โดยผู้สนับสนุนโครงการจากภาคเอกชน

คุณโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ประธานในพิธี กล่าวว่า “การดำเนินโครงการ My Little Farm ปฏิบัติการค้นหาสุดยอดเด็กไทยหัวใจเกษตร นับว่าเป็นโครงการที่สำคัญและมีความน่าสนใจ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกรมส่งเสริมการเกษตร ในด้านพัฒนาเยาวชนให้มีความรู้ และการฝึกอาชีพที่มั่นคง เพราะจะเป็นหนทางหนึ่งที่กระตุ้นให้เยาวชนไทยหันมาใส่ใจภาคเกษตรกรมากขึ้น”

ด้าน ผศ.ดร. สุดเขตต์ นาคะเสถียร คณบดี คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เผยว่า “ความรู้ต่างๆ ที่ทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มอบให้ จะมุ่งเน้นไปทางด้านวิทยาศาสตร์เกษตร อันเป็นการสร้างสรรค์ วิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ให้สอดคล้องกับการเกษตรในอนาคต โดยเยาวชนในโครงการจะได้รู้และเข้าใจว่า วิทยาศาสตร์เกษตรคืออะไร เป็นการปูพื้นฐานให้กับเยาวชนที่สนใจเรียนต่อด้านการเกษตรในรั้วมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อีกทั้งยังนำองค์ความรู้ที่ได้รับ นำไปต่อยอดพัฒนาการบริหารจัดการด้านเกษตรต่อไป”

ซึ่งกติกาในการแข่งขัน “My Little Farm ปฏิบัติการค้นหาสุดยอดเด็กไทยหัวใจเกษตร ปี 7” ทั้ง 10 ทีม จะได้รับพื้นที่สำหรับทำการเกษตร 1 ไร่ พร้อมเงินทุน 5,000 บาท เพื่อซื้อปัจจัยการผลิต โดยใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 60 วัน ที่จะรังสรรค์พื้นที่ของแต่ละทีม ให้กลายเป็นแปลงการเกษตรที่สามารถสร้างผลกำไร ตามที่วางแผนไว้ เกณฑ์การให้คะแนนจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน 1. การบริหารจัดการพื้นที่ 40% 2. ผลประกอบการทางบัญชี 25% 3. ผลโหวตจากผู้ชมทางบ้าน 20% และ 4. คะแนนจากการตอบปัญหาเชาว์ 15% โดยโรงเรียนที่ชนะเลิศ จะได้รับรางวัลถ้วยรางวัลพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และทุนการศึกษารวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท

มาร่วมเป็นกำลังใจให้กับน้องๆ ทั้ง 10 โรงเรียน ได้ในปฏิบัติการค้นหาสุดยอดเด็กไทยหัวใจเกษตร ในรายการ My Little Farm 7 ออกอากาศทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-10.00 น. ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมช่องมิราเคิล แชนแนล และชมไฮไลต์ได้ใน รายการคนไทยหัวใจเกษตร ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 05.00-05.30 น. ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ http://www.farmchannelthai.com ร่วมโหวตให้คะแนนแต่ละทีม โดยส่ง SMS พิมพ์ LF ตามด้วยหมายเลขทีม แล้วส่งมาที่ 4221606 เริ่มโหวตได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

มทร. ล้านนา เผยเคล็ดลับสูตรอาหาร เพื่อต่อยอดเชิงอุตสาหกรรม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05029010359&srcday=2016-03-01&search=no

วันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 618

เก็บมาเล่า

ธงชัย พุ่มพวง

มทร. ล้านนา เผยเคล็ดลับสูตรอาหาร เพื่อต่อยอดเชิงอุตสาหกรรม

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เป็นมหาวิทยาลัยหนึ่งที่มีแนวทางพัฒนาต่อเนื่องอย่างมีขั้นตอนในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรทางสายวิชาการ ให้มีผลงานวิจัยระดับมาตรฐาน สามารถปฏิบัติได้ถึงในระดับชุมชนให้มีส่วนร่วม ฉบับนี้ผู้เขียนขอนำเสนอส่วนหนึ่งของผลงานวิชาการด้านอาหาร ที่ได้นำเสนอในงานประชุมวิชาการวิจัยและนวัตกรรมสร้างสรรค์ ครั้งที่ 2 ณ โรงแรมดิเอ็มเพรส เชียงใหม่

ซีอิ๊วจากถั่วเหลืองผสมงา

ซีอิ๊ว เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักถั่วเหลือง จัดเป็นอาหารที่เป็นทั้งอาหารเพื่อสุขภาพและเป็นอาหารที่ได้จากการหมักตามธรรมชาติ ขณะเดียวกัน ในพื้นที่ภาคเหนือยังมีผลผลิตทางการเกษตรอีกชนิดหนึ่งคือ งาขี้ม้อน ซึ่งเป็นงาพื้นเมือง ใช้ปรุงอาหารได้หลายประเภท เช่น เป็นส่วนผสมของน้ำพริก เครื่องแกง ผสมกับข้าวเหนียวทำเป็นข้าวแดกงา คณะทำงานประกอบด้วย ผศ. นิอร โฉมศรี สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร สถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร และคลินิกเทคโนโลยีนครนายก เกิดแนวคิดและจัดทำโครงการปรับปรุงคุณภาพซีอิ๊วด้วยการหมักถั่วเหลืองผสมกับงาขี้ม้อน ที่สกัดน้ำมันออกแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการพัฒนา ปรับปรุง สนับสนุนการผลิต และบริโภคอาหารโปรตีนจากถั่วเหลือง เป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับงาขี้ม้อนที่สกัดเอาน้ำมันออกแล้ว ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการอาหารหมักและผู้ประกอบการในเชิงอุตสาหกรรม สามารถนำไปต่อยอดให้เป็นผลผลิตที่แปลกใหม่ที่ใช้แต่ถั่วเหลืองเพียงอย่างเดียว ผู้บริโภคทั่วโลกจะได้รู้จักผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยอีกทางหนึ่ง

ทางเลือกใหม่ การผลิตไวน์ข้าวไทย

กระบวนการผลิตไวน์ข้าวไทยในปัจจุบันจะใช้ลูกแป้ง ซึ่งเป็นกล้าเชื้อจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมัก ลูกแป้งที่ใช้ผลิตไวน์ข้าวไทย หรือสาโท เป็นกล้าจุลินทรีย์ที่เก็บในรูปเชื้อแห้ง ใช้ในการผลิตอาหารหมักหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จุลินทรีย์ที่อยู่ในลูกแป้งนั้น มีทั้งรา และยีสต์ มีหน้าที่สำคัญคือใช้ย่อยสลายโครงสร้างแป้งให้เป็นน้ำตาล บางครั้งอาจพบว่า ในกระบวนการย่อยแป้งนั้นไม่สมบูรณ์ คือได้น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวน้อย ดังนั้น การพัฒนาให้กระบวนการสมบูรณ์และยังคงลักษณะเฉพาะของการเป็นวัตถุดิบข้าวไทย ที่มีลักษณะกลิ่นหอมคล้ายใบเตยของข้าวหอมมะลิ ที่เป็นสายพันธุ์ข้าวของไทย

กระบวนการผลิตไวน์ข้าวไทยแบบรูปแบบใหม่ที่ศึกษาวิจัยนี้ จะไม่ใช้ลูกแป้งในกระบวนการหมัก และลดขั้นตอนการหมักโดยทั่วไป เป็นการหมักแบบ 2 ขั้นตอน ตามภาพประกอบ นับเป็นทางเลือกใหม่ที่เกษตรกร ผู้ประกอบการ สามารถนำไปต่อยอดในเชิงธุรกิจได้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ผศ. นิอร โฉมศรี สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร สถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร โทร. (082) 034-5886

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์จากการศึกษาวิจัยด้านอาหารนั้น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ยังได้มีผลงานที่ออกสู่สังคมอีกมาก เช่น หมูยอคั่วกลิ้ง หมูยอพะแนง หมูยอคั่วกลิ้ง เป็นการศึกษาวิจัยเพื่อหาอัตราส่วนที่เหมาะสม จำนวน 3 สูตร เพื่อหาสูตรที่ดีที่สุดให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคมากที่สุด มีคุณค่าทางโภชนาการ พบว่า สูตรหมูยอคั่วกลิ้งที่ได้รับการยอมรับคือ สูตรที่ใช้หมูบด ร้อยละ 63 มันหมูแข็ง ร้อยละ 15.5 น้ำแข็ง ร้อยละ 15.5 พริกแกงคั่วกลิ้ง ร้อยละ 8 กระเทียม ร้อยละ 2.1 ตะไคร้ ร้อยละ 2.0 วีทกลูเตน ร้อยละ 1.5 ใบมะกรูด ร้อยละ 1 น้ำมันถั่วเหลือง ร้อยละ 1 แป้งมัน น้ำตาล ผงชูรส ร้อยละ 0.6 พริกไทย ร้อยละ 0.5 มิกซ์ฟอสเฟต ร้อยละ 0.4 ดินประสิว ร้อยละ 0.1 หลังจากได้สูตรหมูยอคั่วกลิ้งที่เหมาะสมแล้ว ได้นำไปทดสอบคุณค่าทางโภชนาการ พบว่า ให้พลังงาน 108.6 กิโลแคลอรี โปรตีน 9.6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 2.3 กรัม ไขมัน 6.6 กรัม ไยอาหาร 0.5 กรัม แคลเซียม 11.4 มิลลิกรัม เหล็ก 0.6 มิลลิกรัม และวิตามินเอ 2.7 RE หมูยอพะแนง สูตรที่ได้รับการยอมรับอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงมากที่สุด คือ เนื้อหมูบด ร้อยละ 53 มันหมูแข็ง ร้อยละ 13 น้ำแข็ง ร้อยละ 13 พริกแกงพะแนง ร้อยละ 8.4 กะทิ ร้อยละ 3.4 กระเทียม ร้อยละ 1.8 ใบโหระพา ร้อยละ 1.7 วีทกลูเตน ร้อยละ 1.3 พริกชี้ฟ้า ร้อยละ 1.3 ใบมะกรูด ร้อยละ 0.7 แป้งมัน น้ำตาล ผงชูรส ร้อยละ 0.5 พริกไทย ร้อยละ 0.4 มิกซ์ฟอสเฟต ร้อยละ 0.3 และดินประสิว ร้อยละ 0.1 เมื่อนำหมูยอพะแนงไปทดสอบคุณค่าทางโภชนาการของอาหาร พบว่า ให้พลังงาน 126.6 กิโลแคลอรี โปรตีน 10.6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 3.0 กรัม ไขมัน 7.8 กรัม ไยอาหาร 0.8 กรัม แคลเซียม 18.3 มิลลิกรัม เหล็ก 0.9 มิลลิกรัม และวิตามินเอ 6.4 RE

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อาจารย์อัจฉรา ดลวิทยาคุณ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง ผู้เขียนขอขอบคุณข้อมูลจากกองประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา โทรศัพท์ (053) 921-444 http://www.rmutl.ac.th

พืชผักแม่โจ้ จัดเต็ม พร้อมโชว์ Organic Farm ในงานเกษตรแห่งชาติ “59

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05065150259&srcday=2016-02-15&search=no

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 617

เก็บมาเล่า

พืชผักแม่โจ้ จัดเต็ม พร้อมโชว์ Organic Farm ในงานเกษตรแห่งชาติ “59

สาขาพืชผัก คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ พร้อมโชว์ Organic Farm และจัดเต็มหลากหลายกิจกรรมด้านพืชผัก คอยต้อนรับผู้มาร่วมงานวันเกษตรแห่งชาติ 2559 ระหว่าง วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึง 6 มีนาคม 2559 ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ฉันทนา วิชรัตน์ คณะผลิตกรรมการเกษตร ผู้รับผิดชอบโครงการ กล่าวว่า “สำหรับงานวันเกษตรแห่งชาติปีนี้ พวกเราชาวพืชผักแม่โจ้ ขอบคุณผู้บริหารที่ทำให้เกิดโอกาสแห่งการเรียนรู้ของทั้งครู ศิษย์ และเกษตรกร เราต่างทุ่มเทเพื่องานนี้ เราได้จัดเตรียมเนรมิตพื้นที่ในส่วนงานด้านพืชผักหลากหลายกิจกรรม โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัทเมล็ดพันธุ์ชื่อดังของเมืองไทย มาร่วมจัดแสดงพันธุ์พืชและเทคโนโลยีการดูแลรักษา ชมพันธุ์พืชนามพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นงานการปรับปรุงพันธุ์โดยทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ชมแปลงสาธิตด้านการผลิตผัก การฝึกอบรมระยะสั้นหลายหลักสูตร และไฮไลต์สำคัญที่เราจัดเตรียมไว้เพื่อทุกท่าน คือชมตัวอย่างการทำฟาร์มเกษตรอินทรีย์ทุกขั้นตอนกระบวนการ ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ที่รักสุขภาพและอยากทำเกษตรอินทรีย์ได้ลงมือทำ ซึ่งตอนนี้เราได้เดินหน้าจัดเตรียมงานกันอย่างเต็มที่ อย่าลืมนะคะ…มางานเกษตรแห่งชาติครั้งนี้ ถ้ามาไม่ถึงสาขาพืชผัก ถือว่ายังมาไม่ถึงงานค่ะ…”

สำหรับกิจกรรมด้านพืชผักที่ทุกท่านจะได้พบในงานวันเกษตรแห่งชาติ “59 อาทิ การจัดแสดงแปลงสาธิตพืชผักและเทคโนโลยีจากบริษัทเมล็ดพันธุ์ชั้นนำระดับประเทศ 12 บริษัท ชมแปลงสาธิตวิธีเกษตร วิถียั่งยืน Organic farm บนพื้นที่ 1 ไร่ พื้นที่สาธิตให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการเกษตรอินทรีย์ โดยผู้มาเข้าชมอุทยานเกษตรอินทรีย์จะได้รับความรู้ด้านการทำเกษตรอินทรีย์ การบริหารจัดการดิน/น้ำ โรค แมลง ในระบบเกษตรอินทรีย์อย่างครบถ้วน, เทคโนโลยีการผลิตผักในโรงเรือน อาทิ สตรอเบอรี่ แคนตาลูป, พืชผักและจินตนาการ, มหัศจรรย์พืชผัก ผู้ชมจะได้พบกับพันธุ์ผักนามพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แก่ ถั่วฝักยาวสีม่วง “สิรินธร เบอร์1”, ถั่วฝักยาวลายเสือ “จักรพันธ์ เบอร์ 1”, “พริกขี้หนูปู่เมธ เบอร์ 1” ชมอุโมงค์ผักนานาชนิด กิจกรรมตัดผักจากแปลง (Pick your own) ให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมแปลงผักสามารถเลือกซื้อผักในราคาพิเศษโดยการลงไปตัดผักจากแปลงด้วยตัวเองได้ทุกวัน และพิเศษในวันสุดท้ายของการจัดงาน จะเปิดพื้นที่ทั้ง 9 ไร่ ให้ลงไปเลือกตัดเก็บด้วยตัวเอง นอกจากนั้น ยังจัดให้มีการอบรมระยะสั้นให้กับเกษตรกร ดังนี้

หลักสูตรที่ 1 การเพาะเห็ดเศรษฐกิจสู้ภัยแล้ง

วัน/เดือน/ปี เวลา เรื่อง

28 ก.พ. 2559 10.00-12.00 น. การเพาะเห็ดฟางในตะกร้าจากวัสดุหาง่ายในท้องถิ่น

29 ก.พ. 2559 10.00-12.00 น. การเพาะเห็ดสกุลนางรมอย่างง่าย ได้ผลดี ด้วยฟางหมัก

1 มี.ค. 2559 10.00-12.00 น. โอกาสทองของการเพาะเห็ดเมืองร้อน อายุสั้น ด้วยเห็ดขอนขาว

2 มี.ค. 2559 10.00-12.00 น. เพาะเห็ดแบบเลียนธรรมชาติ ต้นทุนต่ำ ด้วยขอนไม้หาง่ายในชุมชน

3 มี.ค. 2559 10.00-12.00 น. เห็ดเมืองหนาวศักยภาพสูง โอกาสของคนภาคเหนือ ด้วยเห็ดหอม

4 มี.ค. 2559 10.00-12.00 น. การเพิ่มมูลค่าจากฟางเปลี่ยนเป็นเงิน เสริมเศรษฐกิจครอบครัว ด้วยเห็ดฟาง

5 มี.ค. 2559 10.00-12.00 น. ยุคดูแลสุขภาพด้วยเห็ดหลินจือ ให้คุณค่าเวชโอสถ ลดการพบหมอ

รับหลักสูตรละ 50 คน ณ ฐานเรียนรู้การผลิตเห็ดเศรษฐกิจ สาขาพืชผัก มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สำรองการเข้าอบรมได้ที่ โทรศัพท์ (053) 873-670, (053) 878-596

หลักสูตรที่ 2 การอบรมปลูกผัก

วัน/เดือน/ปี เวลา เรื่อง

28 ก.พ. 2559 09.00-12.00 น. ปลูกผักสามัญประจำบ้าน

1 มี.ค. 2559 09.00-12.00 น. การเพาะต้นกล้างอก

3 มี.ค. 2559 09.00-12.00 น. ปลูกผักสามัญประจำบ้าน

5 มี.ค. 2559 09.00-12.00 น. การเพาะต้นกล้างอก

รับหลักสูตรละ 50 คน ณ สาขาพืชผัก มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สำรองการเข้าอบรมได้ที่ โทรศัพท์ (053) 873-670, (053) 878-596

อย่าลืม…27 กุมภาพันธ์ ถึง 6 มีนาคม 2559 ตลอดระยะเวลา 9 วัน ในงานวันเกษตรแห่งชาติ “59 ที่ทุกท่านจะได้พบกับมหัศจรรย์แห่งพืชผัก อย่าลืมนะคะ…มางานเกษตรแห่งชาติครั้งนี้ ถ้ามาไม่ถึงสาขาพืชผัก ถือว่ายังมาไม่ถึงงาน?

ตัวอย่างสินค้าเกษตร ที่ขาดดุลการค้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05060010259&srcday=2016-02-01&search=no

วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 616

เก็บมาเล่า

สุขสันต์ สุทธิผลไพบูลย์

ตัวอย่างสินค้าเกษตร ที่ขาดดุลการค้า

ในอดีตกาล คนไทยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เมื่อผลิตข้าว ยางพารา ไม้สัก ดีบุก และอื่นๆ เหลือจากการบริโภคและใช้ในประเทศ ก็ส่งออกเป็นรายได้นำมาพัฒนาประเทศ

เช่นเดียวกัน หลายทศวรรษที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุ นักลงทุนไทยและต่างชาติใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งโรงงานผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปเพื่อใช้และบริโภค เมื่อเหลือก็ส่งออก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีรายได้จากการส่งออก ดังนั้น จึงมองแต่เฉพาะการส่งออกด้านเดียว นักบริหารระดับสูงต่างพูดกันแต่รายได้ส่งออกเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ในช่วงเศรษฐกิจดี หรือลดลงเท่านั้นเปอร์เซ็นต์ช่วงชะลอตัว หาคิดเฉลียวใจว่า ยังมีการซื้อสินค้าที่ผลิตไม่ได้หรือไม่เพียงพอ ต้องนำเข้าเป็นรายจ่ายอีกด้านหนึ่ง เหมือนกระเป๋าอีกข้างหนึ่งมีรูรั่ว เงินไหลออก การทำบัญชีก็เช่นกัน เมื่อมีรายรับก็ต้องมีรายจ่าย หรือเหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ ตามธรรมดาการค้าของชาติต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งมีทั้งการขายและการซื้อสินค้าผสมผสานกันไป ถ้ามูลค่าส่งออกมากกว่ามูลค่านำเข้า เรียกว่าได้เปรียบการค้าหรือเกินดุล ในทางตรงกันข้าม มูลค่าส่งออกน้อยกว่ามูลค่านำเข้า ซึ่งเป็นการเสียเปรียบการค้าหรือขาดดุล กรณีติดลบนี้อาจชดเชยได้จากการท่องเที่ยว หรือเข้าขั้นต้องนำเงินตราต่างประเทศที่สำรองไว้มาใช้ ซึ่งเป็นสภาวการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ของนักบริหารและวิชาการ

จากหนังสือสถิติการค้าสินค้าเกษตรไทยกับต่างประเทศ ปี 2557 ศูนย์สารสนเทศการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ซึ่ง คุณจิตราภรณ์ ทองประดิษฐ์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ที่ดำเนินการหนังสือเล่มนี้ รวมทั้งให้ข้อมูลปริมาณและมูลค่านำเข้าส่งออก สินค้านอกการเกษตร และสินค้าเกษตร โดยภาพรวมประเทศไทยต้องเสียเปรียบดุลการค้า ตั้งแต่ปี 2554 สำหรับปี 2557 สินค้านำเข้ามูลค่า 7,425,834 ล้านล้านบาท ส่วนสินค้าส่งออกมีเพียง 7,314,700 ล้านล้านบาท จึงขาดดุล 111,134 ล้านบาท แต่มูลค่าสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ส่งออก 1,309,291 ล้านล้านบาท ขณะที่มูลค่านำเข้ามีเพียง 447,167 ล้านบาท ซึ่งเกินดุล 862,124 ล้านบาท ถ้าวิเคราะห์เจาะลึกถึงสินค้าบางชนิดจะเห็นว่า ทั้งปริมาณและมูลค่าการนำเข้ามากกว่าการส่งออก ในที่นี้ขอยกตัวอย่างสินค้าดังกล่าว ปี 2557 จากศูนย์สารสนเทศการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ด้วยความร่วมมือจากกรมศุลกากร และที่ผลิตได้ ปี 2556/57 และ 2557/58 จาก คุณมณฑาทิพย์ ชีไธสง นักสถิติ ฝ่ายวิเคราะห์และวางระบบข้อมูล ศูนย์สารสนเทศ กรมส่งเสริมการเกษตร แสดงว่าการผลิตไม่เพียงพอ ดังต่อไปนี้

ถั่วเขียวผิวดำ หรือเกษตรกรและพ่อค้าเรียกกันว่า ถั่วแขก เป็นพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่ง บางพันธุ์เลื้อยคลุมดิน บางพันธุ์ต้นตั้งตรงเหมือนถั่วเขียว ฝักป้อม สั้น ยาว 5 เซนติเมตร เป็นรูปทรงกระบอกตรงๆ ไม่โค้งเหมือนฝักถั่วเขียว เมล็ดเหมือนเมล็ดถั่วเขียว แต่สีดำด้าน ตาเมล็ดใหญ่สีขาว อุดมด้วยกรดฟอลิก ด้วงถั่วเขียวไม่กัดกินทำลายเหมือนถั่วเขียว ชาวญี่ปุ่นนิยมใช้เพาะถั่วงอกบริโภคแทนผัก ซึ่งนำมาส่งเสริมให้ปลูกเมื่อ 45 ปี ที่ผ่านมา แหล่งปลูกอยู่ทางจังหวัดเพชรบูรณ์ สุโขทัย พิจิตร ลำปาง ลพบุรี นครสวรรค์ อุตรดิตถ์ นอกนั้นปลูกกันประปรายทั่วไป โดยใช้ปลูกหลังเก็บข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตอนปลายฤดูฝน ปัจจุบัน พ่อค้าเพาะถั่วงอกใช้ถั่วนี้กันแพร่หลาย เพราะราคาถูกกว่าถั่วเขียวผิวมัน ผลิตผลที่ได้ในปี 2557 ปริมาณ 15,146 ตัน ส่งออก 6,027 ตัน แต่นำเข้า 8,382 ตัน มูลค่า 226 ล้านบาท จากประเทศเมียนมา แสดงว่าผลิตไม่พอกับความต้องการ ทางราชการน่าจะแนะนำส่งเสริมขยายพื้นที่ปลูกในแหล่งดังกล่าว

ถั่วเขียวผิวมัน เป็นพืชตระกูลถั่ว ช่วยปรับปรุงบำรุงดินให้ดีขึ้น อายุสั้นประมาณ 75 วัน เกษตรกรปลูก 3 รูปแบบด้วยกัน คือ อาศัยน้ำฝนก่อนทำนาปี ปลายฤดูฝนในที่ไร่ และหลังนาปี โดยให้น้ำ 1 ครั้ง ก่อนไถหว่านคราดกลบ ถ้าหว่านในชุดดินที่อุ้มน้ำความชื้นได้ดีก็ได้ แต่ให้ผลผลิตน้อย พอมีรายได้ตอบแทนบ้าง แหล่งปลูกที่สำคัญลดหลั่นลงมา ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ ตาก นครสวรรค์ พะเยา สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร สระบุรี แพร่ อุตรดิตถ์ ลพบุรี อุทัยธานี ชัยภูมิ ขอนแก่น ผลิตผลที่ได้ทั้งประเทศ ปี 2557 ปริมาณ 73,576 ตัน ใช้บริโภคและแปรรูปเป็นวุ้นเส้น แป้งถั่วเขียว ส่งออก 8,697 ตัน แต่นำเข้า 22,359 ตัน มูลค่า 700 ล้านบาท จากประเทศเมียนมา ออสเตรเลีย จีน อินโดนีเซีย ซึ่งผลิตไม่พอกับความต้องการ น่าจะหาทางส่งเสริมให้ปลูกกันมากขึ้น โดยไม่ต้องนำเข้าเสียเงินตราต่างประเทศ

ถั่วลิสง เป็นพืชปรับปรุงบำรุงดินเหมือนถั่วอื่นๆ เกษตรกรส่วนมากปลูกเพื่อขายฝักสดรายได้ดี ประชาชนนิยมบริโภคเป็นของว่างกินเล่น ส่วนที่ปลูกขายเมล็ดแห้งมีน้อย ประกอบกับต้องลงทุนมาก ดูแลรักษามากกว่าถั่วเขียว ปลูกกันประปรายทุกภาค การปลูกมี 2 ลักษณะ คือ ปลูกช่วงฤดูแล้งเดือนพฤศจิกายน-เมษายน และฤดูฝนช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ทั้งในนาและที่ไร่ ปลูกกันมาก ได้แก่ จังหวัดลำปาง เชียงใหม่ พะเยา ขอนแก่น อุตรดิตถ์ แม่ฮ่องสอน น่าน ลพบุรี ปริมาณการผลิตทั้งประเทศ 20,396 ตัน ส่งออก 290 ตัน แต่นำเข้า 60,270 ตัน มูลค่า 1,502 ล้านบาท จากประเทศจีน เมียนมา อินเดีย สปป. ลาว เวียดนาม การแนะนำส่งเสริมให้เป็นถั่วฝักแห้งคงยาก เพราะเกษตรกรไม่ยอมรับ ปลูกพืชอื่นง่าย มีรายได้ดีกว่า

ถั่วเหลือง นอกจากเป็นพืชปรับปรุงบำรุงดินเหมือนถั่วอื่นๆ แล้ว ยังมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีน้ำมันในเมล็ดมาก จึงบีบอัดได้น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งประชาชนนิยมใช้ปรุงอาหาร นอกจากนี้ ยังนิยมกินเล่นในรูปถั่วแระเหมือนถั่วลิสง ส่วนกากใช้เป็นส่วนผสมแทนปลาป่นในอาหารสัตว์บก สัตว์น้ำ เกษตรกรปลูก 4 ลักษณะ คือ ปลูกอาศัยน้ำฝนก่อนทำนาปี ในที่ไร่ปลายฤดูฝน และฤดูแล้งหลังนาปี ทั้งใช้น้ำกับไม่ใช้น้ำ จังหวัดที่ปลูกกันมาก ได้แก่ ลำปาง เชียงใหม่ พะเยา อุตรดิตถ์ น่าน แม่ฮ่องสอน แพร่ ตาก ลพบุรี ขอนแก่น นอกนั้นปลูกกันทั่วไป ผลิตผลที่ได้ทั้งประเทศ ปี 2557 รวม 59,204 ตัน ส่งออก 11,596 ตัน แต่นำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองตัดแต่งพันธุกรรม (GMOs) จากสหรัฐอเมริกา บราซิล อาร์เจนตินา 1,898,295 ตัน มูลค่า 34,996 ล้านบาท และกากถั่วเหลืองจาก 3 ประเทศข้างต้นอีก 2,889,223 ตัน มูลค่า 54,403 ล้านบาท รวมมูลค่า 89,399 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินมหาศาล ที่เคยเสนอแนวทางลดการนำเข้าได้ แต่นักบริหารทุกระดับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่สนใจ จึงต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นทุกปีตลอดไป

งา เป็นพืชน้ำมันที่มีสารอาหารมากคือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมงกานีส แมกนีเซียม กับสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยกำจัดหญ้าได้อีกด้วย แบ่งเป็น 3 ชนิด ตามสีเปลือกเมล็ด คือ งาดำ งาขาว งาแดง เกษตรกรนิยมปลูกงาแดง เพราะทนทานต่อสิ่งแวดล้อมดีกว่างาชนิดอื่น เกษตรกรปลูกงาดำมากที่จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี แม่ฮ่องสอน และอื่นๆ ได้ผลิตผล 1,796 ตั้น งาขาวปลูกที่นครสวรรค์ ลพบุรี แม่ฮ่องสอน ตาก พะเยา นอกนั้นปลูกทั่วไป ได้ผลผลิต 350 ตัน ส่วนมากนิยมใช้งาดำ งาขาว ทำขนม และงาแดงปลูกที่นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ ลพบุรี เชียงใหม่ สุโขทัย ใช้บีบน้ำมันมีผลิตผล 4,834 ตัน รวม 3 ชนิด ปี 2557 ปริมาณ 6,980 ตัน ส่งออก 5,749 ตัน แต่นำเข้า 14,073 ตัน มูลค่า 388 ล้านบาท การแก้ไขปัญหานี้คือ การขยายพื้นที่ปลูกในแหล่งเดิม และพื้นที่ใหม่ใกล้เคียงเพื่อให้เกษตรกรมั่นใจมีตลาดแน่นอน

จากเอกสารการปลูกมันฝรั่งของกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งได้รับข้อมูลกล่าวคือ เป็นพืชล้มลุกตระกูลเดียวกันกับพริก มะเขือ มะเขือเทศ ยาสูบ ฯลฯ ชอบอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิ 15-18 องศาเซลเซียส ช่วงเวลากลางวันสั้น กลางคืนยาว ทำให้เจริญเติบโตมีผลผลิตสูง ฤดูปลูกในที่ราบช่วงเดือนพฤศจิกายน-กลางธันวาคม เก็บเกี่ยวเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ส่วนที่ปลูกในฤดูฝนเขตที่สูง ตั้งแต่ 800 เมตร ขึ้นไป ไม่ควรแนะนำ เพราะเป็นการทำลายป่าอนุรักษ์ต้นน้ำลำธาร พันธุ์มันฝรั่ง แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ พันธุ์บริโภคสด อายุ 100-120 วัน และพันธุ์ส่งโรงงาน แปรรูปเป็นมันทอดแผ่นบางๆ อายุเท่ากับพันธุ์บริโภคสด ฝ่ายวิเคราะห์และวางระบบข้อมูล ศูนย์สารสนเทศ กรมส่งเสริมการเกษตร ให้ข้อมูลพื้นที่ปลูกรวมกันไป ไม่ได้ระบุเป็นพันธุ์ชนิดไหน ปี 2557 พื้นที่ปลูกมันฝรั่งทางภาคเหนือ จังหวัดที่ปลูกมากลดหลั่นจากจังหวัดตาก 17,270 ไร่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ลำพูน เพชรบูรณ์ ลำปาง จนถึงแม่ฮ่องสอน 285 ไร่ รวม 42,368 ไร่ ได้ผลิตผลประมาณ 95,840 ตัน ภาคอีสาน ได้แก่ จังหวัดสกลนคร 1,136 ไร่ นครพนม 680 ไร่ ได้ผลิตผลรวม 3,429 ตัน รวมทั้งหมด 99,269 ตัน ส่งออก 172 ตัน แต่นำเข้า 53,350 ตัน มูลค่าประมาณ 787 ล้านบาท การเพิ่มปริมาณการผลิต กรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล และกรมส่งเสริมสหกรณ์ มีเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัด อำเภอ ที่กำกับดูแลชุมนุมสหกรณ์การเกษตร สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์เฉพาะทางในพื้นที่อยู่แล้ว น่าจะสำรวจตรวจดูไม่กี่จังหวัดว่า มีมันฝรั่งชนิดไหนปลูกมากน้อยเท่าไร โดยเพิ่มพื้นที่ปลูกชนิดที่ยังขาดอยู่ ส่วนที่ปลูกเกินจะต้องให้ปรับเปลี่ยนมาปลูกที่ยังขาดอยู่แทน มิฉะนั้นราคาตกต่ำขาดทุน

ข้าวโพดคั่ว เท่าที่ทราบยังไม่มีคุณภาพดีเหมือนต่างประเทศ แต่มีบางพันธุ์อยู่ในธนาคารเชื้อพันธุ์ ซึ่งเป็นงานยาก ใช้เวลานาน ท้าทายอาจารย์นักวิจัย เกษตรกรจึงไม่ได้ปลูกกัน และกรมส่งเสริมการเกษตรไม่มีข้อมูลนี้ มีแต่เฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวโพดฝักสด ข้าวโพดฝักอ่อน ปี 2557 มีปริมาณนำเข้า 7,762 ตัน มูลค่า 182 ล้านบาท แต่มีข้อมูลส่งออก 112 ตัน มูลค่า 5.6 ล้านบาท คงใช้ปริมาณนำเข้าส่งกลับไปประเทศเพื่อนบ้าน ฟิลิปปินส์ สปป.ลาว เมียนมา สิงคโปร์ ก็ได้ อนึ่ง วิธีการที่ง่ายในอดีตคือ มีหลายพืชที่นำพันธุ์เข้ามาปลูก จนได้สายพันธุ์ที่ปรับตัวดีกับสภาพดินฟ้าอากาศของเรา เช่น ถั่วลิสงพันธุ์ไทนาน 9 จากไต้หวัน มาใช้เป็นพันธุ์พ่อแม่ผสมกับพันธุ์อื่น ที่มีคุณสมบัติดีบางประการ จนได้สายพันธุ์ใหม่ตามที่ต้องการ

นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอื่นที่ผลิตไม่พอกับความต้องการ อาทิ ฝ้ายปลูกไม่ได้ผล เพราะสภาพภูมิอากาศเหมาะกับการเจริญเติบโตขยายพันธุ์ของแมลงศัตรูฝ้ายในฤดูฝน อาทิ หนอนเจาะสมอฝ้าย เพลี้ย จักจั่น เพลี้ยไฟ อื่นๆ จึงต้องนำเข้าในปี 2557 ปริมาณ 322,280 ตัน มูลค่าประมาณ 21,987 ล้านบาท แต่ทว่ามีโรงงานปั่นเส้นด้าย ย้อมสี ทอผ้า และสิ่งทอผลิตเสื้อผ้าอยู่ก่อนแล้ว สินค้านมและผลิตภัณฑ์นับหมื่นล้านบาท พันธุ์ไก่เลี้ยง และอื่นๆ อนึ่ง การที่จะทราบสินค้าเกษตรวัตถุดิบตัวใด ผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการ ก็ให้เอาปริมาณการผลิตในประเทศ รวมกับปริมาณนำเข้า แล้วหักด้วยปริมาณส่งออก ผลลัพธ์คือปริมาณการผลิตที่ไม่เพียงพอกับความต้องการ

เท่าที่ทราบมานานกว่า 10 ปีแล้วว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีส่วนราชการในสังกัด กระทรวงพาณิชย์ และส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้องรวมอยู่ด้วย ในรูปแบบบูรณาการ แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง การบริหารงานใหม่ ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นลักษณะปิด มีเฉพาะกรมสำนักงานในสังกัด โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ ส่วนราชการที่ไม่อยู่ภายใต้กลุ่มภารกิจ กลุ่มภารกิจด้านพัฒนาการผลิต กลุ่มภารกิจบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิต และกลุ่มภารกิจด้านส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรและระบบสหกรณ์ ในที่นี้มีข้อคิดเห็นในกลุ่มที่ 4 คือ น่าจะได้พิจารณาประกาศว่า พ่อค้านักธุรกิจทุกรายที่มาซื้อสินค้าเกษตรจากเกษตรกร จะต้องจดทะเบียนกับสำนักงานสหกรณ์จังหวัดในพื้นที่ กับทำพันธสัญญากับกลุ่มเกษตรกรสหกรณ์ ในแต่ละพื้นที่ ตำบล อำเภอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ในขณะเดียวกันสำนักงานสหกรณ์จังหวัด จะต้องให้เกษตรกรทุกรายเป็นสมาชิกกลุ่มเกษตรกรสหกรณ์ด้วย โดยให้มีระเบียบวินัย รู้รักสามัคคีจากใจจริง รวมตัวกันผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ในระดับท้องถิ่น จังหวัด ประเทศ เพื่อเสริมสร้างความก้าวหน้าในอาชีพที่มั่นคงเป็นปึกแผ่น ไม่ใช่ต่างคนต่างกลุ่มปลูกกันไปไร้ทิศทางเหมือนปัจจุบัน

“สถานีปลูกคิดปันสุข บ้านแป้นใต้”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05062010259&srcday=2016-02-01&search=no

วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 616

เก็บมาเล่า

“สถานีปลูกคิดปันสุข บ้านแป้นใต้”

เอสซีจี รวมพลังชุมชน ขยายผลโครงการเอสซีจี รักษ์น้ำเพื่ออนาคต จากฝายชะลอน้ำที่สร้างความสมดุลทางธรรมชาติ สู่การปรับกระบวนการคิด ใช้งานวิจัยเป็นเครื่องมือในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและต่อยอดไปสู่ชุมชนที่เข้มแข็ง พร้อมเปิดตัว “สถานีปลูกคิดปันสุข บ้านแป้นใต้” จังหวัดลำปาง แบ่งปันความรู้ให้ชุมชนอื่นนำไปปรับใช้ ให้แก้ปัญหาและพึ่งพาตนเองได้เพื่อความสุขที่ยั่งยืน

คุณอาสา สารสิน กรรมการ และประธานคณะกรรมการกิจการสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี กล่าวในโอกาสเปิด “สถานีปลูกคิดปันสุข บ้านแป้นใต้” อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง ว่าชุมชนบ้านแป้นใต้ ได้น้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้านการอนุรักษ์น้ำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยเข้าร่วมโครงการ “เอสซีจี รักษ์น้ำเพื่ออนาคต” ด้วยการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้ผืนป่า และคืนความสมดุลสู่ระบบนิเวศตามธรรมชาติอย่างยั่งยืน นำไปสู่การปรับกระบวนการคิด ใช้งานวิจัยเป็นเครื่องมือในการปรับเปลี่ยนวิถีชิวิตจนสามารถพัฒนาชุมชนให้กลับมายืนหยัดได้อย่างมั่นคง พึ่งพาตนเองบนวิถีแห่งความพอเพียง จากผลสำเร็จดังกล่าวจึงร่วมกับเอสซีจี จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ “สถานีปลูกคิดปันสุข บ้านแป้นใต้” เพื่อถ่ายทอดแนวทางให้ชุมชนอื่นนำไปปรับใช้ ให้สามารถแก้ปัญหาและพึ่งพาตนเองได้เพื่อความสุขที่ยั่งยืน

“ผลจากการสร้างฝายชะลอน้ำ พบความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด คือป่าฟื้นคืนกลับมาสมบูรณ์ เกิดซูเปอร์มาร์เก็ตในป่า ทำให้ป่าของบ้านแป้นใต้กลับมาเป็นอู่ข้าวอู่น้ำให้กับชุมชนอีกครั้ง แต่ผลการวิจัยพบว่าชุมชนมีสารพิษตกค้างในร่างกาย เอสซีจีจึงส่งเสริมชุมชนบ้านแป้นใต้ ใช้เครื่องมือ “กระบวนการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น” โดยร่วมเก็บข้อมูลและจัดทำ “งานวิจัยฟื้นฟูและอนุรักษ์วิถีการบริโภคอย่างยั่งยืน บ้านแป้นใต้” และสามารถนำแนวทางดังกล่าวไปเผยแพร่สู่ชุมชนที่ต้องการพัฒนาตนเองสู่ความยั่งยืนในอนาคต” คุณอาสา กล่าว

คุณวริษา จิตใหญ่ ผู้ใหญ่บ้าน บ้านแป้นใต้ กล่าวว่า วิถีชีวิตดั้งเดิมของคนในชุมชนบ้านแป้นใต้ประกอบอาชีพทำไร่เลื่อนลอย ต้องพึ่งพิงธรรมชาติเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่มีการดูแลรักษา แต่หลังจากชุมชนเข้าร่วมโครงการ “เอสซีจี รักษ์น้ำเพื่ออนาคต” มากว่า 5 ปี โดยเริ่มจากการสร้างฝายชะลอน้ำ จนป่าฟื้นกลับมาสมบูรณ์กว่าเดิม มีอาหารจากป่ากลับคืนมามากกว่า 100 ชนิด และช่วงนั้นชุมชนมีปัญหาสุขภาพจากสารพิษ จึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะแก้ปัญหาให้ชุมชน และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ เอสซีจี ลำปาง ได้แนะนำเครื่องมือการวิจัยเพื่อท้องถิ่นมาใช้แก้ปัญหา ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตและอาชีพอย่างจริงจัง สามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืน

“จากการทำงานวิจัยท้องถิ่น ทำให้เกิดการเรียนรู้และหาคำตอบได้ว่า สร้างฝายชะลอน้ำแล้วได้อะไร เพราะนำไปสู่การบริหารจัดการดิน น้ำ และป่า ทำให้ป่าของบ้านแป้นใต้มีพืชผักและสมุนไพรเกิดขึ้นมากมาย ผลการเก็บข้อมูลพบว่า นอกจากจำนวนชนิดของสมุนไพรเพิ่มขึ้นแล้ว ชาวบ้านแป้นใต้ยังมีความรู้ในการใช้สมุนไพรมากมาย จึงเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตและการบริโภค นำสมุนไพรพื้นบ้านมาล้างสารพิษ ทำให้ผลการตรวจสารพิษในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว และยังนำสมุนไพรไปใช้ทำลูกประคบ น้ำมันเหลือง การอบสมุนไพร และนวดแผนไทย ช่วยรักษาโรคและรับใช้ดูแลสุขภาพของคนในชุมชน” คุณวริษา กล่าว

สถานีปลูกคิดปันสุข คือ ชุมชนที่เปิดต้อนรับผู้สนใจให้แวะมาศึกษาเยี่ยมเยือน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเรียนรู้การพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ด้วยการปลูกคิด ให้มีกระบวนการคิดที่ทันสมัย เป็นเหตุเป็นผล คิดนอกกรอบ ใช้ปัญญาแก้ปัญหา เพื่อให้สามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ รู้เท่าทันสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมปันสุข เมื่อชุมชนพึ่งพาตนเองได้ ก็พร้อมที่จะแบ่งปันประสบการณ์ ทั้งที่เป็นอุปสรรคและผลสำเร็จให้กับทุกคนได้นำไปปรับใช้อย่างเหมาะสมกับแต่ละท้องถิ่นชุมชน เพื่อเป้าหมายคือ ความสุขอย่างยั่งยืน

เอสซีจี ได้ร่วมกับชุมชนเปิด “สถานีปลูกคิดปันสุข บ้านเตย” เป็นแห่งแรก ที่ชุมชนบ้านเตย อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2557 เพื่อส่งเสริมชุมชนถอดบทเรียนจากโครงการนวัตกรรมเพื่อการฟื้นฟูดินเค็ม และเปิด “สถานีปลูกคิดปันสุข ฮอมผะหญา สาสบหก” เป็นแห่งที่ 2 ที่ชุมชนบ้านสาสบหก อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2557 เพื่อถอดบทเรียนการทำงานร่วมกับชุมชน และตัวอย่างผลสำเร็จที่เกิดขึ้นจริงจากการสร้างฝายชะลอน้ำ และล่าสุดได้เปิด “สถานีปลูกคิดปันสุข บ้านแป้นใต้” ที่ชุมชนบ้านแป้นใต้ อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง เพื่อรวบรวมองค์ความรู้ และกระบวนการดำเนินงานที่ทำให้ชุมชนปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและต่อยอดไปสู่ชุมชนที่เข้มแข็ง ทั้งนี้ เอสซีจี มุ่งหวังว่าสถานีปลูกคิดปันสุขจะขยายผลไปยังชุมชนอื่นๆ ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายชุมชนเข้มแข็งและช่วยขับเคลื่อนชุมชนให้สามารถพัฒนาความคิดและพึ่งพาตนเองเพื่อความสุขที่ยั่งยืนต่อไป

“คนไทยใจเกษตร” งานวันเกษตรแห่งชาติ 2559 ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05063010259&srcday=2016-02-01&search=no

วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 616

เก็บมาเล่า

“คนไทยใจเกษตร” งานวันเกษตรแห่งชาติ 2559 ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับ จังหวัดเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จัดงาน วันเกษตรแห่งชาติ ประจำปี 2559 ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ – 6 มีนาคม 2559 ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. จำเนียร ยศราช อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า “ในปี 2559 มหาวิทยาลัยได้รับเกียรติจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เป็นเจ้าภาพจัดงานวันเกษตรแห่งชาติ ประจำปี 2559 ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 84 พรรษา ในปี พ.ศ. 2559 เป็นการเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนทางวิชาการและเทคโนโลยีด้านการเกษตร การเผยแพร่และถ่ายทอดความรู้ทางการเกษตรและเทคโนโลยี ส่งเสริมกิจกรรมของนักศึกษาให้โอกาสแสดงออกเชิงวิชาการและทักษะด้านต่างๆ กระตุ้นและส่งเสริมการขยายตัวของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเกษตร และให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของอาชีพเกษตรในฐานะผู้ผลิตอาหารและเป็นครัวของโลกในอนาคต และเพื่อประกาศเจตนารมณ์ของการมุ่งสู่การเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรอินทรีย์ มหาวิทยาลัยสีเขียว และมหาวิทยาลัยที่เป็นสังคมเชิงนิเวศ ซึ่งเราได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายส่วน เช่น กระทรวงศึกษาธิการ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้มีการพูดคุยหารือในการร่วมสนับสนุนให้การจัดงานในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเพื่อคนไทยทั้งประเทศ งานวันเกษตรแห่งชาติ 2559 ในครั้งนี้นับเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศที่รวบรวมหลากหลายกิจกรรม รวมเอาทุกเรื่องราวเกี่ยวกับการเกษตร ยกมาไว้ด้วยกันที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Organic Land ดินแดนแห่งการมีสุขภาพที่ดี ที่ได้จัดเตรียมไว้ให้พี่น้องประชาชนได้มีความสุขในการมาเที่ยวชมงานวันเกษตรแห่งชาติ 2559 ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่”

สำหรับรูปแบบการจัดงานภายใต้แนวคิด “คนไทยใจเกษตร” ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อรวบรวมเอาองค์ความรู้ทางด้านการเกษตรในทุกรูปแบบมาเผยแพร่ส่งต่อสู่เกษตรกรและพี่น้องชาวไทย และได้นำ “ควาย” สัตว์ที่เป็นตัวแทนของภาคการเกษตรไทย มีบทบาทสำคัญเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทยมาตั้งแต่อดีต เป็นรากเหง้าเป็นทุนและปัจจัยการผลิตทางการเกษตร มาเป็นสัตว์นำโชค “มาสคอต” ในการจัดงาน มีชื่อว่า “คุณบัฟ” เพื่อสื่อให้ทุกคนได้ทราบว่า งานนี้จัดขึ้นเพื่อคนไทยโดยแท้จริง…

สัญลักษณ์ (LOGO) การจัดงานใช้ตัวย่อ NAF@MJU (National Agricultral Fair 2016@Maejo University) Happy Agriculture 2016 เพื่อให้ทุกๆ คนมีความสุข คนเรียนเกษตรมีความสุข คนทำเกษตรมีความสุข และคนมาเที่ยวงานเกษตรก็มีความสุข

ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์พาวิน มะโนชัย รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและเครือข่าย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการดำเนินงานวันเกษตรแห่งชาติ 2559 กล่าวเพิ่มเติมว่า “งานวันเกษตรแห่งชาติ 2559 ครั้งนี้ เราจัดยิ่งใหญ่จริงๆ ซึ่งภายในงานมีกิจกรรมมากมาย เช่น นิทรรศการโครงการพระราชดำริฯ ทั้งภาครัฐและเอกชน, การประชุม เสวนาวิชาการระดับชาติ นานาชาติ เช่น การเสวนา International Organic Agriculture in Asia Symposium, การเสวนาเกษตรอินทรีย์พุทธเกษตร โดย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี, การประกวดโครงงานนวัตกรรมการเกษตร, การจัดแสดงและประกวดพืช สัตว์ ประมง, เทคโนโลยีการเกษตรและนวัตกรรมด้านพลังงานทดแทน, แปลงสาธิตและอบรมหลักสูตรระยะสั้นด้าน พืช ผัก สมุนไพร ปุ๋ยอินทรีย์ เห็ด ข้าว ฯลฯ, การออกร้านจำหน่ายสินค้า ชม ช็อป ชิมผลผลิตเมนูอาหารอินทรีย์แม่โจ้ และพบกับกิจกรรม Wheel A Dish – The Gourmet Series “Only at NAF 2016″, MJU Organic Farm การท่องเที่ยวแบบ Agro Tourism, ศิลปวัฒนธรรม อาทิ การแสดงโชว์การต่อสู้ว่าวไทย จุฬา-ปักเป้า การแข่งขันหมากรุกไทย การแข่งขันหมากรุกคน ซึ่งหาชมได้ยากมาก, กิจกรรมความบันเทิง คอนเสิร์ตศิลปินดัง อาทิ พี สะเดิด, หงา คาราวาน, เอกชัย ศรีวิชัย และศิลปินอื่นๆ ตลอดทุกวัน ทุกค่ำคืน ซึ่งตอนนี้ทุกส่วนฝ่ายได้จัดเตรียมงานกันอย่างเต็มที่ เราจะเนรมิตความมหัศจรรย์ต้อนรับคนไทยทั้งประเทศ ตลอด 9 วัน ให้เป็นความมหัศจรรย์แห่งความสุข”

อย่าลืม…วันที่ 27 กุมภาพันธ์ – 6 มีนาคม 2559 มาเที่ยวงานวันเกษตรแห่งชาติ 2559 มาเติมเต็มความสุขกันอย่างเต็มที่ มาเติมสุขภาพดีกัน ถ้วนหน้า Happy Agriculture 2016 “คนไทย ใจเกษตร” ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่

งานนวัตกรรมไผ่แห่งชาติ ที่ลำปาง การก้าวสู่ “มหานครไผ่”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05061010159&srcday=2016-01-01&search=no

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 614

เก็บมาเล่า

นัย บำรุงเวช

งานนวัตกรรมไผ่แห่งชาติ ที่ลำปาง การก้าวสู่ “มหานครไผ่”

ความต้องการไม้ไผ่เพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ นั้นมีมาก รวมทั้งการทำเยื่อกระดาษ ทำกระดานอัด ทำไม้ปาร์เกต์ และอื่นๆ

ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไผ่ธรรมชาติประมาณ 28,000,000 ไร่ แต่มีพื้นที่ปลูกป่าไผ่ประมาณ 2,850,000 ไร่ (ข้อมูล ปี 2553) ปริมาณไม้ไผ่ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่

ลำปางมีพื้นที่ป่าไผ่มากเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศ มีโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน 8 โรง (ข้อมูล ปี 2558) ที่ไม่ขึ้นทะเบียนเป็นโรงงานขนาดเล็กหรือเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนจำนวนมาก ดำเนินธุรกิจแปรรูปผลิตผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ ได้แก่ ไม้เสียบอาหาร ตะเกียบ ไม้จิ้มฟัน ภาชนะใส่อาหาร และก้านธูป เป็นต้น

ไม้ไผ่สร้างรายได้ให้แก่ผู้ผลิตปีละหลายร้อยล้านบาท ลำปางได้ชื่อว่าเป็นเมืองไม้ไผ่แห่งหนึ่งของภาคเหนือ ดังนั้น การจัดงาน “งานนวัตกรรมไผ่แห่งชาติ” จึงเป็นเรื่องที่สอดรับกัน

“งานนวัตกรรมไผ่แห่งชาติ” จัดขึ้นระหว่าง วันที่ 20-21 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ณ จังหวัดลำปาง นับเป็นงานระดับประเทศเกี่ยวกับเรื่องของไม้ไผ่

งานนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือขององค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง สภาเกษตรกรแห่งชาติ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ลำปาง (ธ.ก.ส. ลำปาง)

จุดประสงค์ของงานเพื่อส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้เรื่องไผ่แก่เกษตรกร กลุ่มเครือข่ายอาชีพขององค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปางและประชาชนผู้สนใจให้สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในการปลูกไผ่ เพื่อเพิ่มมูลค่าแบบครบวงจร นำไปสู่การส่งเสริมหรือเพิ่มช่องทางการประกอบอาชีพ สร้างรายได้แก่ประชาชนภายในจังหวัดลำปาง และช่วยลดปัญหาการว่างงาน ตรงตามยุทธศาสตร์การพัฒนาขององค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปางด้านการส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนบนวิถีเศรษฐกิจพอเพียง

อีกทั้งเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีรายได้จุนเจือครอบครัว เพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า ส่งเสริมสนับสนุนการพาณิชย์การลงทุนเพื่อผลิตและจำหน่ายสินค้าบนพื้นฐานองค์ความรู้เชิงสร้างสรรค์ด้านการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพในภาพรวมของจังหวัด

แต่ที่สำคัญคือ การผลักดันให้จังหวัดลำปางเป็นมหานครไผ่ หรือ “Bamboo City”

ใน “งานนวัตกรรมไผ่แห่งชาติ” มี พลเอกฉัตรชัย สาลิกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงาน โดยมี คุณสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง กล่าวต้อนรับ และ คุณประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวรายงานจุดประสงค์การจัดงาน

พลเอกฉัตรชัย กล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงและควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบันคือ การปลูกป่า และการรักษาป่าอันเป็นต้นน้ำลำธารที่สำคัญ ซึ่งไผ่ถือเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของป่า แม้ว่าทางจังหวัดได้มีนโยบายที่ชัดเจนในการสร้างป่าชุมชน โดยมีไผ่เป็นต้นไม้นำร่อง

“แต่ในประเทศไทยยังให้ความสนใจต่อการสนับสนุนการปลูก การแปรรูป ผลิตภัณฑ์จากไผ่ยังไม่เป็นที่กว้างขวางนัก และมีการลงทุนเพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นการสร้างคุณค่าและมูลค่าของไผ่นั้นน้อยมาก จึงเป็นโอกาสที่ภาครัฐ ภาคเอกชน หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จะหันมาให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง เพื่อพัฒนาและส่งเสริมให้ไผ่เป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่ง และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องแบบครบวงจร ตั้งแต่การผลิต การแปรรูป และการตลาด ซึ่งจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้อย่างมหาศาล”

พลเอกฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการส่งเสริมของภาครัฐในการเข้ามาดูแลเรื่องไผ่ มี 2 หน่วยงานหลัก คือ กระทรวงทรัพยากรฯ และกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญเรื่องไผ่ มีนักส่งเสริมการเกษตรที่ลงพื้นที่ในระดับตำบล สามารถดำเนินการส่งเสริมเกษตรกรที่มีความสนใจและต้องการความรู้ในขั้นตอนการเพาะปลูก การดูแล การแปรรูป และการนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ โดยมีสภาเกษตรกรแห่งชาติเป็นแกนกลางในการเชื่อมโยงหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เชิญผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถเรื่อง “ไผ่” จากทุกภาคส่วน ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ตั้งแต่การเพาะปลูก การแปรรูป การค้า

“การส่งเสริมและการลงทุนมาร่วมมือกันในวันนี้ จึงเป็นโอกาสให้ประเทศของเราได้พัฒนาให้ “ไผ่” มีคุณค่าและสร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นพืชเพื่อเศรษฐกิจ พลังงาน สังคมและพืชเพื่อสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ จะได้มีนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไปทบทวนศึกษาและร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาไผ่ของชาติอย่างครบวงจรต่อไป เมื่อดูจากหน่วยงานทุกภาคส่วน ที่เรียกว่าประชารัฐ เพื่อเรียนรู้การปลูกและพัฒนาไผ่ ซึ่งมีโอกาสสำเร็จได้ในเวลาอันใกล้” พลเอกฉัตรชัย กล่าว

นอกจากนี้ ภายในงานมีนิทรรศการและองค์ความรู้ที่น่าสนใจเกี่ยวกับไม้ไผ่ อาทิ บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติจากแป้งมันสำปะหลัง เช่น ถ้วย จาน ซึ่งจะย่อยสลายโดยการฝังกลบตามธรรมชาติภายใน 3 เดือน ใช้ได้เพียงครั้งเดียว สามารถรองรับอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -18 ถึง 98 องศา และบรรจุภัณฑ์ เป็นภาชนะใส่อาหารจากเยื่อชานอ้อยผสมเยื่อไผ่ ปลอดภัยกับผู้ใช้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ส่วนนิทรรศการ ประกอบด้วย

ไผ่ใช้เป็นอาหาร ไผ่ใช้เป็นอาหารได้หลายอย่าง โดยเฉพาะหน่อไม้

ไผ่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยและใช้สอย สร้างบ้านเพื่ออยู่อาศัย เป็นเครื่องจักสาน เครื่องใช้ในครัวเรือน เฟอร์นิเจอร์เครื่องเรือน เครื่องมือการเกษตร เครื่องมือดักจับสัตว์ต่างๆ เครื่องดนตรี ฯลฯ

ไผ่ใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม เส้นใยไผ่เป็นเส้นใยที่มีคุณภาพดี คุณสมบัติให้สัมผัสที่นุ่มสบาย ไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง ดูดซับความชื้น ระบายอากาศได้ดี ป้องกันแบคทีเรีย ป้องกันแสงยูวี และไม่ต้องรีดก่อนใส่

ไผ่เป็นยารักษาโรค เป็นพืชสมุนไพรได้ ทั้ง ใบ ยอดอ่อน กาบใบ เนื้อเยื่อ รากและตาไม้

ไผ่ใช้เป็นพลังงาน ใช้เป็นเชื้อเพลิงให้พลังความร้อนสูง ถ่านไผ่มีคาร์บอนมาก มีน้ำมันมาก แต่เหลือเป็นเถ้าน้อย

ไผ่กับสิ่งแวดล้อม ป่าไผ่ที่มีความหนาแน่นมากจะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจนสู่ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมได้สูงกว่าพืชอื่น ประมาณร้อยละ 30

ไผ่ในอุตสาหกรรม ในอุตสาหกรรมแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ

ไผ่เป็นเวชสำอาง เช่น สบู่ แชมพู ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก น้ำแร่ธรรมชาติจากต้นไผ่ และอื่นๆ (จีนผลิตเป็น ยาย้อมผม สเปรย์น้ำยาดับกลิ่นเท้า แปรงสีฟัน ฯลฯ) ถ่านกัมมันต์ (Activated Carbon) ที่นำมาผ่านการสังเคราะห์ทางเคมี ในกระบวนการผลิต ต่างจากถ่านฟืนที่ใช้หุงต้มหรือให้ความร้อน ถ่านที่เผาแล้วเกิดรูพรุนจำนวนมาก ซึ่งรูพรุนมีคุณสมบัติในการดูซับสารต่างๆ ที่อยู่ในรูปของเหลวและก๊าซได้ดี

จึงมีการนำ Activated Carbon ผสมกับเครื่องสำอาง ใช้กรองกลิ่นและก๊าซอันไม่พึงประสงค์ในหน้ากากกรองสารพิษ ใช้ฟอกอากาศในเครื่องปรับอากาศ ใช้ในไส้กรองอากาศเครื่องยนต์และท่อไอเสีย Activated Carbon จากถ่านไม้ไผ่ที่เผาด้วยความร้อน 1,000 องศา เป็นถ่านบริสุทธิ์มีรูพรุนมากกว่าถ่านทั่วไปถึง 4 เท่า และดูดซับกลิ่นได้มากกว่าถ่านทั่วไป 6 เท่า

จุดสนใจของงานมาอยู่ที่ไผ่ใช้เป็นพลังงาน เป็นพืชพลังงานทดแทน ไผ่เมื่อถูกเผาจะเกิดควันและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อย ไม้ไผ่จะให้ค่าความร้อน 5,800- 6,400 กิโลแคลอรี ต่อกิโลกรัม (Kcal/Kg) ส่วนถ่านไผ่จะให้ค่าความร้อน 6,800-4,400 กิโลแคลอรี ต่อกิโลกรัม (Kcal/Kg)

มูลนิธิพัฒนาชุมชนผาปัง มี คุณรังสฤษฎ์ คุณชัยมัง เป็นประธานที่ปรึกษามูลนิธิพัฒนาชุมชนผาปัง ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 3 ตำบลผาปัง อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง ได้พัฒนาการใช้ถ่านไผ่เป็นเชื้อเพลิงต้นกำลัง ชุมชนตำบลผาปัง มีการปลูกต้นไผ่นำมาใช้ประโยชน์ ปีละ 1,095 ตัน นำมาทำตะเกียบ ถ่านอัดแท่ง เศษไม้ไผ่ใช้ผลิตเป็นปุ๋ยดินขุยไผ่ ธูปหอมไล่ยุง ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการอบอิฐบล็อก ทำเครื่องสำอางจากผงละอองไผ่ และวัสดุเครื่องใช้จากไม้ไผ่ สร้างรายได้เป็นจำนวนมาก

อีกจุดที่ดึงดูดผู้มาชมงานมากอยู่ที่รถจักรยานยนต์ เครื่องสูบน้ำ เครื่องปั่นไฟ และรถบรรทุกที่ใช้ถ่านไผ่เป็นเชื้อเพลิงต้นกำลัง มูลนิธิพัฒนาชุมชนผาปัง ร่วมกับ Mr. Koen Van Looken วิศวกรอิสระชาวเบลเยียม ที่เชี่ยวชาญด้านระบบก๊าซซิไฟเออร์ (Gasifier)

เดิม Mr. Koen Van Looken เคยทำการวิจัยอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคหนองคาย เมื่อทราบว่ามูลนิธิพัฒนาชุมชนผาปังทำเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับไผ่และทำเชื้อเพลิงถ่านไผ่ จึงสนใจเข้ามาร่วมงานกับมูลนิธิพัฒนาชุมชนผาปัง เกี่ยวกับการจัดทำระบบก๊าซซิไฟเออร์ (Gasifier)

ก๊าซซิไฟเออร์ เป็นกระบวนการที่นำเชื้อเพลิงแข็งประเภทต่างๆ มาทำให้อยู่ในสถานะก๊าซ ก๊าซที่ได้จากกระบวนการก๊าซซิไฟเออร์นำไปใช้แทนก๊าซเชื้อเพลิงและน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ทุกประเภท แต่ค่าพลังงานต่อปริมาตรจะต่ำกว่าก๊าซธรรมชาติและก๊าซหุงต้ม การเผาถ่านไม้ไผ่เพื่อผลิตก๊าซสะอาดเป็นเชื้อเพลิงให้กับรถมอเตอร์ไซค์ เครื่องสูบน้ำ เครื่องปั่นไฟ และรถบรรทุกเล็ก

จากการทดลองกับรถบรรทุกเล็กไม่แตกต่างจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไป บรรจุถ่านไม้ไผ่ลักษณะเป็นแท่งๆ ขนาดเท่าตะเกียบ จำนวน 5 กิโลกรัม รถยนต์จะวิ่งได้ระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร ถ้าบรรจุถ่านไผ่อัดแท่งจำนวน 25 กิโลกรัม รถยนต์จะขับไปได้ไกลถึง 500 กิโลเมตร ราคาถูกกว่าก๊าซรถยนต์ ใช้เป็นก๊าซในการหุงต้มอาหาร ถ่าน 1 กิโลกรัม ใช้ได้นาน 2 ชั่วโมง

หากผลิตเป็นน้ำมันเอทานอล ก๊าซโซฮอล์ 95 ใช้ไม้ไผ่จำนวน 1,000 กิโลกรัม ผลิตน้ำมันเอทานอล 200 ลิตร

นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาจากวิทยากรและปราชญ์ในเรื่องไผ่จากทั่วประเทศ มีหลายหัวข้อด้วยกันล้วนเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เช่น ไผ่นวัตกรรมแปรรูปไม้เพื่อการก่อสร้าง, ไผ่นวัตกรรมแปรรูปไม้เพื่อการผลิตเส้นใย, ไผ่นวัตกรรมแปรรูปไม้เพื่อการผลิตภาชนะไบโอ, ไผ่นวัตกรรมแปรรูปไม้เพื่อการผลิตตะเกียบ, ไผ่เพื่อการผลิตถ่านประสิทธิภาพสูง, ไผ่เพื่อการผลิตเวชสำอาง, ไผ่เพื่อสุขภาพและพลังงาน, ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดน่าน นำผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ พันธุ์ไผ่ มาจัดแสดงและได้แนะนำ ชาใบไผ่ ให้ลองชิมกัน

หลังจาก “งานนวัตกรรมไผ่แห่งชาติ” นี้ไปแล้ว ต้องรอดูกันว่า จังหวัดลำปางจะได้เป็นมหานครไผ่ หรือ “Bamboo City” ได้จริงหรือไม่…

มทร. ศรีวิชัย แปรรูปผลตาลโตนดสุก เป็นแป้งแบบผง สู่ผลิตภัณฑ์ขนมไทย รสชาติดีเยี่ยม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05084010159&srcday=2016-01-01&search=no

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 614

เก็บมาเล่า

วศินี จิตภูษา/รายงาน

มทร. ศรีวิชัย แปรรูปผลตาลโตนดสุก เป็นแป้งแบบผง สู่ผลิตภัณฑ์ขนมไทย รสชาติดีเยี่ยม

ผ.ศ.ชไมพร เพ็งมาก อาจารย์ประจำคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช ทุ่งใหญ่ นำส่วนลูกตาลสุกซึ่งไม่ค่อยมีใครนำมาใช้ประโยชน์ ส่วนใหญ่จะปล่อยให้สุกคาต้นและหล่นเน่าเสียไป จึงทำการวิจัยนำลูกตาลสุกมาแปรรูปเป็นแป้งตาลโตนดแบบผง โดการนำมายีเอาเนื้อออกเพื่อใช้ทำขนมตาล ซึ่งสามารถทำได้บางฤดูกาลเท่านั้น อีกทั้งการเตรียมเนื้อลูกตาลสุกก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ต้องใช้เวลามาก มีขั้นตอนที่ยุ่งยากและไม่สามารถเก็บเนื้อลูกตาลสุกไว้ได้นาน การนำเนื้อลูกตาลสุกมาทำให้แห้งเป็นผงจึงเป็นการแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี และเนื้อตาลสุกมีเบต้าแคโรทีนเกือบเท่ากับแครอท เรียกได้ว่ามีคุณค่าทางสารอาหารมากมาย

สำหรับวิธีทำแป้งตาลโตนด นำลูกตาลสุกมาล้างให้สะอาด ลอกเปลือกดำออกให้ เอาดีตาลออกเพื่อไม่ให้เนื้อตาลมีรสขม (ดีตาลมีลักษณะแข็งอยู่ระหว่างเม็ดลูกตาล) ยีลูกตาลกับน้ำทีละน้อย กรองด้วยตะแกรงตาถี่เพื่อกรองเอาเส้นใยออก เทใส่ผ้าดิบใช้เชือกผูกให้แน่น แขวนหรือหาของหนักทับไว้ 1 คืน รุ่งขึ้นเกลี่ยเนื้อตาลในถาด นำเข้าตู้อบลมร้อน โดยใช้อุณหภูมิในการอบแห้ง 65 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 ชั่วโมง บด แล้วผ่านตะแกรงร่อนขนาด บรรจุในถุงลามิเนตชนิด ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เหมาะสมในการนำไปทดแทนส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ขนมไทย เพราะจะทำให้ผสมกับส่วนผสมอื่นได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตามการอบแห้งเนื้อตาลสุก จะเกิดการเปลี่ยนสีเมื่อเก็บไว้นาน โดยจะมีค่าความเข้มของสีลดลง ดังนั้นเพื่อป้องกันการเปลี่ยนสี เราสามารถให้ความร้อนที่อุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียส ตุ๋นเนื้อตาลสุกด้วยเวลาอย่างน้อย 5 นาที ก็สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์เปอร์ออกซิเดสในเนื้อลูกตาลสุกได้ทั้งหมด

การให้ความร้อนกับเนื้อลูกตาลสุกก่อนทำแห้งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ทำให้สีของเนื้อลูกตาลสุกเกิดการเปลี่ยนแปลง การใช้เวลาในการให้ความร้อนเพิ่มขึ้นจะทำให้ปริมาณน้ำในวัตถุดิบลดลง เป็นผลให้ปริมาณของแข็งเพิ่มขึ้นจึงทำให้ค่าสีเพิ่มขึ้น แต่เวลาในการให้ความร้อนที่เพิ่มขึ้นไม่มีผลต่อปริมาณเบต้าแคโรทีนที่เหลืออยู่

การเก็บแป้งตาลในสภาวะสุญญากาศสามารถรักษาสีและปริมาณเบต้าแคโรทีนได้ดีกว่าการบรรจุในบรรยากาศปกติ เพราะแป้งตาลที่เก็บในบรรยากาศปกติจะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของเบต้าแคโรทีน ทำให้สีของแป้งตาลจางลง (โดยปกติสามารถเก็บได้นานมากกว่า 4 สัปดาห์)

จะเห็นได้ว่า ตาลโตนดที่มีมากในภาคใต้ โดยเฉพาะลูกตาลสุกที่ส่วนใหญ่หลายๆคนอาจมองข้ามไป สามารถนำมาใช้ประโยชน์อะไรได้มากมาย และยังนำมาแปรรูปเป็นแป้งตาลโตนดแบบผง นำไปเป็นส่วนผสมของขนมไทยได้หลากหลายชนิด เช่น ขนมชั้น ขนมถ้วย ขนมปุ้ยฝ้าย ฯลฯ รับประกันรสชาติดีเยี่ยม หอมหวาน ปลอดภัย เพราะเป็นแป้งที่สกัดมาจากธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ผ.ศ.ชไมพร เพ็งมาก อาจารย์ประจำคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช ทุ่งใหญ่ โทรศัพท์ 08-7204-4941

ภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ปรับตัวให้อยู่รอด ได้อย่างไร?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05046151258&srcday=2015-12-15&search=no

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613

เก็บมาเล่า

ธนสิทธิ์ เหล่าประเสริฐ

ภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ปรับตัวให้อยู่รอด ได้อย่างไร?

ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ที่อยู่ในภาวะชะลอตัว จากปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ แม้รัฐบาลจะพยายามเร่งแก้ไขอย่างเต็มที่ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในภาคเกษตร นั้นมีอยู่อย่างมากมาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการดำรงชีวิต จึงทำให้มีคำถามตามมาว่า แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรให้สามารถอยู่ได้?

ในขณะที่กำลังช่วยค้นหาคำตอบจากคำถามดังกล่าว พอดีได้รับข่าวสารเผยแพร่ที่น่าสนใจจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หรือ สศก. ซึ่งเป็นข้อมูลที่น่าสนใจในการนำเสนอทางออกให้กับเกษตรกร โดยมีถึง 8 แนวทาง ที่เกษตรกรสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อให้สามารถอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน

แต่ก่อนจะเข้าเรื่องราวดังกล่าว ยังมีผลการศึกษาที่น่าสนใจจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร โดยเป็นหน่วยงานในสังกัด คือ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 9 สงขลา (สศท.9) ที่นำเสนอผลการศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับการปรับตัวของเกษตรกรยางพาราท่ามกลางวิกฤตราคายางพาราตกต่ำในจังหวัดสงขลา

ทั้งนี้ คุณพลเชษฐ์ ตราโช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 9 สงขลา (สศท.9) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ได้เปิดเผยถึงผลการศึกษาการปรับตัวของเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราท่ามกลางวิกฤตราคายางพาราตกต่ำในจังหวัดสงขลา ปี 2558 ว่าหลังจากที่ราคายางพาราตกต่ำมาอย่างต่อเนื่อง เกษตรกรชาวสวนยางของจังหวัดสงขลาซึ่งมีพื้นที่ปลูก (ข้อมูล ปี 2557) จำนวน 2,066,960 ไร่ พื้นที่กรีด 1,665,037 ไร่ ผลผลิตรวมทั้งจังหวัดมีปริมาณ 501,008 ตัน และมีผลผลิตต่อไร่ 290 กิโลกรัม

โดยผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรชาวสวนยางพาราได้ปรับตัวเพื่อการอยู่รอดในสถานการณ์วิกฤตราคายางพาราตกต่ำใน 4 ด้าน ดังนี้

ด้านที่ 1 การลดรายจ่ายในภาคการเกษตร เกษตรกรชาวสวนยาง ร้อยละ 73 มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการลดรายจ่ายในภาคเกษตรของชาวสวนยาง โดยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในเรื่องการใช้ปุ๋ย คือเกษตรกร ร้อยละ 14 จะงดการใส่ปุ๋ยในปีนี้ และร้อยละ 12 ใส่ปุ๋ยในปริมาณที่ลดลง โดยเกษตรกร ร้อยละ 46 ปรับเปลี่ยนชนิดของปุ๋ย จากปุ๋ยเคมีเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยเคมีผสมอินทรีย์ หรือเปลี่ยนการซื้อปุ๋ยจากยี่ห้อที่มีราคาแพงไปซื้อยี่ห้อที่มีราคาถูกกว่า และเกษตรกร ร้อยละ 27 ไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในด้านการลดรายจ่ายในภาคเกษตร

ด้านที่ 2 การเพิ่มรายได้ในภาคการเกษตร เกษตรกรชาวสวนยาง ร้อยละ 34 มีการปรับตัวในด้านการเพิ่มรายได้ในภาคการเกษตร เช่น การรับจ้างกรีดยางพารา ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น เฉลี่ยครัวเรือนละ 26,600 บาท ต่อปี การปลูกพืชร่วมกับยางพาราเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ ทำให้เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น ครัวเรือนละ 10,194 บาท ต่อปี การเลี้ยงสัตว์เพื่อเพิ่มรายได้ ทำให้เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น ครัวเรือนละ 5,595 บาท ต่อปี โดยเกษตรกร ร้อยละ 66 ไม่ได้มีการปรับตัวหรือไม่เพิ่มกิจกรรมในด้านการเพิ่มรายได้ในภาคการเกษตร

ด้านที่ 3 การลดรายจ่ายนอกภาคเกษตร เกษตรกรชาวสวนยาง ร้อยละ 91 มีการปรับตัวโดยการลดรายจ่ายนอกภาคเกษตรที่สำคัญคือ รายจ่ายที่ใช้ในการบริโภคในครัวเรือน เช่น ลดรายจ่ายในด้านการบริโภคสินค้าที่ไม่จำเป็นลง เฉลี่ยครัวเรือนละ 8,331 บาท ต่อปี และลดรายจ่ายด้านจัดซื้อเครื่องอุปโภคลง เฉลี่ยครัวเรือนละ 2,864 บาท ต่อปี ในขณะที่เกษตรกร ร้อยละ 9 ไม่สามารถลดรายจ่ายด้านบริโภคและอุปโภคลงได้

ด้านที่ 4 การเพิ่มรายได้นอกภาคเกษตร เกษตรกรชาวสวนยาง ร้อยละ 25 ประกอบอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้นอกภาคเกษตร ได้แก่ อาชีพรับจ้างทั่วไป ขายของตลาดนัด และรับเหมาก่อสร้าง ทำให้มีรายได้จากอาชีพเสริม เฉลี่ยครัวเรือนละ 73,250 บาท ต่อปี โดยเกษตรกร ร้อยละ 75 ไม่มีการปรับตัวในด้านการเพิ่มรายได้นอกภาคเกษตร

“อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการปลูกยางพาราในอนาคตพบว่า เกษตรกรยังคงปลูกยางพาราเหมือนเดิม แต่จะมีการหาพันธุ์ยางพาราที่ให้ผลผลิตสูงปลูกทดแทนยางพาราพันธุ์เดิม เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเหมาะสมกับการปลูกยางพาราและความถนัดของเกษตรกร แต่ความคาดหวังให้บุตรหลานมาทำการเกษตรนั้น เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่คาดหวังให้บุตรหลานมาทำการเกษตร สืบเนื่องจากราคาของผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ไม่แน่นอน และต้องการให้บุตรหลานได้ทำงานในด้านอื่นมากกว่า” คุณพลเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย

จากการอยู่ให้รอดของเกษตรกรจากผลการศึกษาดังกล่าว คงทำให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า เกษตรกรไทยนั้นเป็นนักสู้ แต่จะสู้และรอดได้อย่างไรต่อไปในอนาคต คราวนี้มาดูผลบทวิเคราะห์สู่การปรับโครงสร้างในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ชี้ว่า ส่วนของภาคเกษตรจะต้องปรับโครงสร้างภาคเกษตรอย่างเร่งด่วน โดยการดำเนินการประกอบด้วย 8 ด้านสำคัญ คือ

หนึ่ง เน้นโครงการร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน (Public Private Partnership : PPP) ให้มากขึ้น เนื่องจากแต่เดิมโครงการความร่วมมือในลักษณะนี้จะเป็นไปเพื่อการดำเนินการในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ หรือเมกะโปรเจ็กต์ (mega project) ดังนั้น จึงควรขยับขยายไปสู่โครงการขนาดที่เล็กลงมาถึงระดับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs เพื่อให้เกิดการร่วมมือ

สอง เน้นการพึ่งพาตนเอง (Self Sufficient) ให้มากขึ้น จะเห็นได้ว่าประเทศไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเกษตรบางชนิด เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด และพืชอื่นๆ อีกหลายชนิด ดังนั้น จึงควรเร่งพัฒนาผลิตสินค้าเกษตรเพื่อสามารถทดแทนการนำเข้า เช่น ส่งเสริมการปลูกถั่วเหลือง ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย สุโขทัย แพร่ แม่ฮ่องสอน และอื่นๆ ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พื้นที่จังหวัดนครราชสีมา สระบุรี ลพบุรี และอื่นๆ เป็นต้น หรือพัฒนาพันธุ์ให้สามารถให้ผลผลิตสูง ต้านทานโรคและแมลง

สาม เน้นพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรปลายน้ำ โดยเน้นการแปรรูปสินค้าเกษตร เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (value added) เช่น การคัดแยกเกรดสินค้า การสร้างเรื่องราวให้กับสินค้า (history) เน้นการค้นคว้าวิจัยเพื่อรองรับสรรพคุณเพื่อสุขภาพ รวมถึงพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้มีความน่าสนใจมากขึ้น กำหนดตำแหน่งทางการตลาดที่ชัดเจน เป็นต้น เพื่อเป็นการยกระดับสินค้าให้มีความพิเศษมากกว่าสินค้าทั่วไป (blue ocean strategy) เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ๆ ให้มากขึ้น

สี่ เน้นผลักดันส่งเสริมเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเกษตรรูปแบบใหม่ๆ รวมถึงเทคโนโลยีที่ได้รับการวิจัยแล้วว่าได้ผลนำไปสู่การประยุกต์ใช้ที่แท้จริง เช่น นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีชีวภาพ อย่างการทำการเกษตรภายในอาคาร (indoor) การเกษตรกลางแจ้งรูปแบบใหม่ (outdoor) ที่อาศัย drone เครื่องจักรสมัยใหม่ ทดแทนแรงงานคนที่มีแนวโน้มอายุเพิ่มมากขึ้น การผลิตปุ๋ยอินทรีย์เคมีนาโนอัดเม็ดแบบละลายช้า ซึ่งขณะนี้ สวทช. ได้ดำเนินการวิจัยและกำลังอยู่ในระหว่างการขยายผลให้กว้างขวางขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าปุ๋ยดังกล่าวได้ หรือมุ้งกันยุงที่มีการเคลือบสารฆ่าแมลง โดยใช้เทคโนโลยีนาโน วัสดุปรับปรุงดินจากผักตบชวา โดยใช้เทคโนโลยีเร่งให้เกิดการย่อยสลายผักตบชวาได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการเตรียมขยายผลไปสู่ระดับอุตสาหกรรม เป็นต้น

ห้า เน้นส่งเสริมการปลูกพืชรองแซมพืชหลัก กรณีเกษตรกรผู้ปลูกไม้ยืนต้น เช่น ยางพารา ที่กินระยะเวลาดังกล่าวนานถึง 7 ปี ดังนั้น จึงควรส่งเสริมให้มีการปลูกพืชแซม เช่น พืชล้มลุกทั้งหลายก่อนที่ยางพาราจะให้ผลผลิต เช่น พริกไทย แตงโม ถั่วต่างๆ หรือสับปะรด เพื่อเป็นการเสริมรายได้ให้แก่เกษตรกร

หก เน้นส่งเสริมการปลูกพืชแบบหลายชนิด (multiple cropping) หรือการปลูกพืชมากกว่า 1 ชนิด ขึ้นไป ในพื้นที่เดียวกันในรอบปี เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงด้านรายได้และราคา อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มรายได้ต่อหน่วยพื้นที่และเป็นการสร้างสมดุลทางสิ่งแวดล้อมด้วย

เจ็ด เน้นสินค้าเกษตรสำหรับการบริโภคภายในประเทศให้เพียงพอมากขึ้น นอกจากเพื่อเป็นการลดการนำเข้าแล้วยังเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและความมั่นคงทางด้านอาหารสำหรับประชากรในประเทศ รวมถึงการปกป้องสินค้าเกษตรภายในประเทศ ไม่ให้สินค้าเกษตรจากต่างประเทศเข้ามาโจมตีตลาดสินค้าไทยได้ เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศไทย เช่น การผลิตกล้วย พืชผักต่างๆ ให้เพียงพอกับการบริโภคภายในประเทศ เพื่อรองรับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวให้สามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น

แปด เน้นสินค้าเกษตรเข้าสู่ยุค “คุณภาพและคุณธรรม” โดยเกษตรกรผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ผู้ผลิตหรือผู้แปรรูปต้องรับซื้อผลผลิตอย่างมีคุณธรรม เพื่อนำไปแปรรูปได้สินค้าที่มีคุณภาพ โดยไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ จนทำให้มีปัญหาในการขับเคลื่อน Value Chain เช่น การผลิตข้าวปลอดภัย (GAP) ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน และมีคุณภาพ ทำให้ผู้ผลิตเกิดความเชื่อมั่นที่จะรับซื้อในราคาที่สูงกว่าข้าวทั่วไป

ทั้งนี้หมดนี้ คืออีกหนึ่งมุมมอง ที่เป็นข้อแนะนำของการอยู่อย่างไรให้รอดในช่วงภาวการณ์แบบนี้…ของเกษตรกรไทย

ตามไปดู การนำงานวิจัยสู่ไร่นา วันถ่ายทอดเทคโนโลยี หมู่บ้านกังหันลม และนาแปลงใหญ่ อำเภอกันทรวิชัย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05042011158&srcday=2015-11-01&search=no

วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 610

เก็บมาเล่า

อำพน ศิริคำ

ตามไปดู การนำงานวิจัยสู่ไร่นา วันถ่ายทอดเทคโนโลยี หมู่บ้านกังหันลม และนาแปลงใหญ่ อำเภอกันทรวิชัย

ปัจจุบันพบว่า “งานวิจัย” หลายชิ้นถูกเก็บไว้บนหิ้ง ไม่ได้นำมาประยุกต์ใช้ หรือพัฒนาต่อยอด และขยายผลสู่เกษตรกรหรือชุมชน จึงไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด

ท่านที่เคารพครับ!! เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการจัดงาน การนำงานวิจัยสู่ไร่นา วันถ่ายทอดเทคโนโลยี หมู่บ้านกังหันลม และนาแปลงใหญ่ อำเภอกันทรวิชัย ณ บริเวณบ้านกุดหัวช้าง ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม โดยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม สำนักงานเกษตรอำเภอกันทรวิชัย เทศบาลตำบลขามเรียง ศูนย์วิจัยข้าวชุมแพ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.), (องค์การมหาชน) และผู้นำหมู่บ้านของตำบลขามเรียง

โดย คุณชยาวุธ จันทร ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม เป็นประธานเปิดงาน และ ศาสตราจารย์ ดร. วิเชียร มากตุ่น คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) กล่าวรายงาน และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วิรัติ ปานศิลา ประธานสภาคณาจารย์ มมส. ร่วมเป็นเกียรติในงานด้วย

คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มมส. กล่าวว่า มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้มีนโยบายในการขับเคลื่อนระบบและกลไกการบริการวิชาการ และการทำงานวิชาการรับใช้สังคม ภายใต้ชื่อ “โครงการหนึ่งหลักสูตร หนึ่งชุมชน” ซึ่งหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเคมี ได้จัดทำกิจกรรม “โครงการการทำนาแบบโยนกล้า เป็นการบูรณาการ โดยการจัดกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำนาแบบโยนกล้า และการใช้กังหันลมผันน้ำเข้านา แทนการใช้เครื่องสูบน้ำให้กับเกษตรกรในหมู่บ้านกุดหัวช้าง ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ บริเวณรอบๆ หมู่บ้านกุดหัวช้าง มีเกษตรกรทำนาแบบโยนกล้ามากขึ้น และมีกังหันลมที่ใช้ในการเกษตร 7 ตัว ซึ่งกังหันลมผลิตได้ง่าย ใช้แรงลมในการผันน้ำเข้านา ลงทุนครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป สามารถลดรายจ่ายของเกษตรกรได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท ต่อเดือน ดังนั้น จึงได้ร่วมกับสำนักงานเกษตรอำเภอกันทรวิชัย เทศบาลตำบลขามเรียง และชุมชน จัดตั้งเป็นหมู่บ้านกังหันลม เพื่อใช้ประโยชน์ในการทำการเกษตรต่อไป ซึ่งจัดงานเปิดตัวกังหันลม เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ณ ที่แห่งนี้

นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนทุนจากคลินิกเทคโนโลยี กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายใต้ชื่อโครงการ “การถ่ายทอดการผลิต และการประยุกต์ใช้จุลินทรีย์ท้องถิ่นในการทำการเกษตร” มาปรับใช้เป็นปุ๋ยกับระบบผลิตของเกษตรกร เนื่องจากเป็นเทคนิคที่สอดคล้องกับสภาพของท้องถิ่นที่แตกต่างกัน เพราะมีการนำเอาจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดิน ที่มีความอุดมสมบูรณ์ภายในท้องถิ่นนั้นๆ มาทำเป็นหัวเชื้อสำหรับนำไปขยายและประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ ได้แก่ ช่วยปรับปรุงบำรุงดินให้ดีขึ้น สามารถปลูกพืชงอกงาม ให้ผลผลิตสูง ทำให้ธรรมชาติเกิดความสมดุล โรคและแมลงศัตรูพืชลดลง ทำให้ช่วยลดต้นทุนการผลิต เกษตรกรสามารถพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น โดยได้ดำเนินกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่อง

กิจกรรมการถ่ายทอดความรู้ การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว และถ่ายทอดการแปรรูปข้าว โดยการทำข้าวห่อสาหร่าย หรือ ซูชิ จากข้าวเจ้าแดงพันธุ์ทับทิมชุมแพ ซึ่งเป็นข้าวที่มีชื่อเสียงทางด้านสารต้านอนุมูลอิสระ และสารที่มีประโยชน์สูง โดยได้รับความอนุเคราะห์จาก คุณรณชัย ช่างศรี รักษาราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์วิจัยข้าวชุมแพและคณะ

สำหรับการแปรรูปจากข้าวที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ใช้เป็นส่วนผสมร่วมในผลิตภัณฑ์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรแม่บ้านเกษตรกรมะค่าทรัพย์ทวี ได้แก่ ลูกประคบหน้าเด้ง-หน้าใส ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) – สวก. ประกอบไปด้วย กิจกรรมการดูพันธุ์ การสร้างเตาอบสมุนไพรพลังงานแสงอาทิตย์ และการตลาด จากการทำวิจัยในครั้งนี้ ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ขึ้นมาใหม่ 2 ชนิด ได้แก่ สมุนไพรแช่เท้า และลูกประคบหน้าเด้ง-หน้าใส

กิจกรรมฝึกผลิตขยายเชื้อราไตรโคเดอร์ม่าให้กับเกษตรกร เพื่อใช้ควบคุมโรคไหม้ข้าวทดแทนสารเคมี โดยสำนักงานเกษตรอำเภอกันทรวิชัย

“กิจกรรมที่สร้างสีสันภายในงาน ได้แก่ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม ประธานเปิดงาน ลงทุนถอดกางเกงเปลี่ยนมานุ่งผ้าขาวม้าโยนกล้ากับชาวนา และนักศึกษาชาวต่างชาติ จากนั้นได้ทอดแหอีกด้วย มีเกษตรกรที่ร่วมโครงการนาแปลงใหญ่ และเกษตรกรบริเวณหมู่บ้านกุดหัวช้าง เข้าร่วมงานประมาณ 120 คน

ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่า โครงการนำงานวิจัยสู่ไร่นา วันถ่ายทอดเทคโนโลยี หมู่บ้านกังหันลม และ นาแปลงใหญ่ อำเภอกันทรวิชัย ณ บริเวณหมู่บ้านกุดหัวช้าง นับได้ว่าเป็นโครงการที่ดี ที่นำงานวิจัยหลากหลายกิจกรรมมาสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม และบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การเปลี่ยนวิถีการทำนามาเป็นการทำนาแบบโยนกล้า ซึ่งช่วยประหยัดเมล็ดพันธุ์ข้าว ลดปัญหาโรคแมลงศัตรู และเพิ่มผลผลิต การใช้จุลินทรีย์พื้นบ้าน ช่วยฟื้นฟูดิน ปลอดภัยจากสารเคมี กังหันลมวิดน้ำเข้านา เป็นพลังงานจากธรรมชาติที่ไม่มีวันหมด เป็นการลดภาวะโลกร้อนได้ด้วย การรู้จักเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้เองได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งการส่งเสริมและอนุรักษ์สมุนไพรไทย ซึ่งเป็นแนวทางที่ดีที่ควรส่งเสริม สนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง สำหรับเป็นต้นแบบให้ชุมชนได้มาศึกษาเรียนรู้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. มัณฑนา นครเรียบ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มมส. ผู้รับผิดชอบโครงการ โทร. (089) 422-4764 กล่าวว่า ได้ร่วมกับ คุณอำพน ศิริคำ เกษตรอำเภอกันทรวิชัย จัดโครงการนำงานวิจัยสู่ไร่นามาแล้วหลายครั้ง เพื่อนำองค์ความรู้ใหม่ๆ ไปแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรในพื้นที่

คุณรณชัย ช่างศรี รักษาราชการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยข้าวชุมแพ โทร. (043) 311-155, (093) 327-3358 กล่าวว่า ข้าวเจ้าพันธุ์ทับทิมชุมแพ (ข้าวเจ้าสายพันธุ์ SRN 06008-18-1-5-7-CPA-20) เกิดจากการผสมพันธุ์ ระหว่างข้าวเจ้าพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 กลายพันธุ์จากรังสี ทรงต้นเตี้ย (Semi-dwarf KDML105) ที่มีลักษณะต้านทานต่อโรคไหม้ ไม่ไวต่อช่วงแสงเป็นพันธุ์แม่ กับข้าวเจ้าพันธุ์สังข์หยด เป็นข้าวเจ้าที่มีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดง ไวต่อช่วงแสง อายุหนัก ต้นสูง เป็นพันธุ์พ่อ สำหรับข้าวพันธุ์ทับทิมชุมแพ จัดเป็นข้าวเจ้า ไม่ไวต่อช่วงแสง คุณภาพการสีดี มีอะมิโลสต่ำ มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระฟีโนลิก และฟลาโวนอยด์สูง จึงได้นำมาทำผลิตภัณฑ์อาหารของญี่ปุ่น คือ “มากิ ซูชิ” โดยใช้ข้าวทับทิมชุมแพแทนข้าวญี่ปุ่น ซึ่งให้สารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า โดยมีวิธีทำดังนี้

ส่วนประกอบ

1. น้ำส้มสายชู 120 มิลลิลิตร

2. น้ำตาล 0.5 ช้อนโต๊ะ

3. เกลือ 0.5 ช้อนชา

4. สาหร่ายทะเลแผ่นใหญ่ แตงกวา แครอต หรือส่วนผสมอื่นตามชอบ

การเตรียมน้ำปรุงข้าว

ผสมน้ำส้มสายชู น้ำตาล และเกลือ ลงในหม้อ นำไปตั้งไฟอ่อนๆ แล้วคนจนส่วนผสมละลาย

การเตรียมข้าว

นำข้าวกล้องทับทิมชุมแพหุงสุก ใส่ลงในชามผสม พรมน้ำปรุงข้าวทีละน้อยให้ทั่ว ใช้พายคลุกให้เข้ากัน จนเห็นเมล็ดข้าวใสเป็นมันวาว

วิธีทำ

1. วางแผ่นสาหร่ายลงบนเสื่อสำหรับม้วนซูชิ ตักข้าวซูชิลงบนแผ่นสาหร่ายแล้วเกลี่ยให้ทั่ว

2. นำส่วนผสม เช่น ปูอัด ไข่ม้วน แตงกวา ยำสาหร่าย ฯลฯ วางลงบนข้าว อาจใส่วาซาบิลงไปด้วยก็ได้

3. ค่อยๆ ยกเสื่อม้วนซูชิ โดยม้วนให้แน่น

4. ตัดซูชิให้ได้ขนาดพอดีคำ และควรเช็ดมีดด้วยผ้าสะอาดชุบน้ำหมาดๆ เพื่อให้ตัดได้ง่ายขึ้น

5. จัดเรียงให้สวยงามพร้อมเสิร์ฟ กับซอสโซยุและวาซาบิ

ท่านที่เคารพครับ!! จะเห็นว่างานวันถ่ายทอดเทคโนโลยี หมู่บ้านกังหันลม และนาแปลงใหญ่ เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการลดต้นทุนการผลิต โดยนำพลังงานจากธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นพลังงานที่สะอาด ลงทุนครั้งเดียวใช้ได้หลายปี และยังบูรณาการลงในพื้นที่นาแปลงใหญ่ ตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีกด้วย