หุ้นน้ำมันทิ้งดิ่ง!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/565734

โดย อินเด็กซ์ 51 21 ม.ค. 2559 05:01

 

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 20 ม.ค.59 ปิดที่ 1,248.98 จุด ลดลง 17.03 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 42,510.39 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 62.90 ล้านบาท

มี big lot หุ้น BIGC ราคาเฉลี่ย 233.91 บาท มูลค่ารวม 584.79 ล้านบาท

ตลาดหุ้นไทยร่วงลงแรงตามแรงขายหุ้นพลังงาน ที่ยังโดนกดดันจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ทำนิวโลว์ลงเรื่อยๆ แม้จะมีแรงซื้อคืนหุ้นสื่อสาร โดยเฉพาะ ADVANC-INTUCH แต่ไม่อาจต้านแรงกดจากหุ้นพลังงานได้

บล.ทิสโก้ชี้แม้หุ้นไทยร่วงแรง แต่ดีกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะฝั่งยุโรปและญี่ปุ่นที่ร่วงหนักกว่า จากความกังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หลัง IMF ปรับลดประมาณการการโตของเศรษฐกิจโลกปีนี้เหลือ 3.4% จากเดิม 3.6% และเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากเดิมคาดโต 2.8% เหลือ 2.6%

มองว่าหุ้นไทยปีนี้จะดีกว่าตลาดหุ้นโลก (Outperform) แต่ในช่วงสั้นหุ้นไทยกำลังจะผ่านจุดต่ำสุด ภายในเดือน ม.ค-ก.พ.นี้ โดยดัชนีมีโอกาสลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,180-1,220 จุด ก่อนที่จะค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้น โดยคาดว่าจะกลับขึ้นไปได้ที่ระดับ 1,430 จุด ช่วงไตรมาส 3

แนะกลยุทธ์ลงทุนระยะสั้นทยอยซื้อหุ้นสื่อสารรายตัว ด้านเทคนิคให้แนวรับ 1,240 จุด แนวต้าน 1,260 จุด

บล.กสิกรไทยแนะกลยุทธ์ลงทุนช่วงนี้ ให้เน้น Investment Theme ดังนี้ หุ้น High Dividend Yield และ High Upside ชอบ SPALI-SC-LH-MCS

หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า และ EPS Growth ปี 59 โตโดดเด่น SVI-KCE หุ้นที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันขาลง BA-TOP-IRPC-SPRC และหุ้นเก็งผลประกอบการ 4Q58 เชียร์ TPCH -KAMART -MTLS-GL เด่น

ด้าน บล.ธนชาตมองตลาดน่าจะเริ่มมี Downside Risk จำกัดแล้ว โดยคาดว่าจะมีการ Rebound จากค่าเงินหยวนที่มีเสถียรภาพมากขึ้น และธนาคารกลางสหรัฐฯมีแนวโน้มชะลอขึ้นดอกเบี้ย ลดพฤติกรรม Reverse Carry Trade รวมทั้งสถิติในอดีต 10 ปีที่ผ่านมาหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นในเดือน ก.พ.-เม.ย. มากถึง 70-80%

แนะนำ “ซื้อ” ADVANC และ INTUCH ต่อไป ด้วยอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 4.2% สำหรับกำไรครึ่งปีหลังปี 58 และคาดการณ์ปันผลมากกว่า 8% สำหรับกำไรปี 2016 ขณะที่การชำระค่าใบอนุญาต 900 MHz ที่ล่าช้าของ TRUE และ JAS เป็นโอกาสของ ADVANC ในการย้ายลูกค้า 2G เดิมมายังโครงข่าย 3G-4G ใหม่

และหุ้นแบงก์ที่ Valuation ต่ำ อย่าง KTB-TISCO และ KKP หุ้นกลุ่ม Micro Finance ที่กำไรโต ได้ผลดีจากดอกเบี้ยต่ำหนุนอัตรากำไร ชู SAWAD-GL และ MTLS น่าลงทุน.

อินเด็กซ์ 51

ซื้อคืน!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/565203

โดย อินเด็กซ์ 51 20 ม.ค. 2559 05:01

 

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 19 ม.ค.59 ปิดที่ 1,266.01 จุด เพิ่มขึ้น 20.96 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 45,449.95 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 933.95 ล้านบาท

หุ้นที่ซื้อขายสูงสุด ADVANC ปิด 154 บาท บวก 8.50 บาท, PTT ปิดที่ 211 บาท บวก 13 บาท, KBANK ปิด 160 บาท บวก 7.50 บาท, SCB ปิด 118 บาท บวก 4 บาท และ JAS ปิด 3.06 บาท บวก 0.12 บาท

บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ในช่วงที่ปัจจัยมหภาคยังคงผันผวน คาดว่าหุ้นขนาดกลางและเล็กจะ Outperform ตลาดต่อไป แนะโฟกัสการลงทุนหุ้นที่มี Theme ดังนี้ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาท ได้แก่ KCE-SVI-CPF-GFPT กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคา Commodity ขาลง ได้แก่ KKC-HFT- BCP- IRPC-TOP-EPG-TASCO

กลุ่มอุปโภค-บริโภคที่เตรียมได้อานิสงส์จากการปฏิรูปโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาในประเทศ ได้แก่ COM7-BIG-KAMART-BEAUTY

และกลุ่มท่องเที่ยวที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันขาลงและความเป็นไปได้ในการต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในประเทศ ได้แก่ AAV–BA–NOK–THAI–ERW

บล.ธนชาต มองหุ้น กลุ่มสื่อสาร และธนาคารหนุนการ Rebound ของตลาดหุ้นไทย หลังแรงกดดันจากตลาดหุ้นต่างประเทศลดลง โดยกลุ่มธนาคาร และสื่อสารเด่นกว่าตลาดโดยรวม โดยธนาคารขนาดเล็กอย่าง TISCO KKP ประกาศกำไร 4Q15 ดีกว่าคาด และให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง

แนะนำ “ซื้อ” KKP-TMB และ KTB โดยเฉพาะ KTB ที่ปัจจุบันซื้อขายที่ PE 6 เท่า เท่านั้น และให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 5.2% ในระยะ 3-4 เดือนข้างหน้า และคาดว่าปันผลจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.6% ในปี 59 จากแนวโน้มกำไรที่ขยายตัว 27% y-y (ไม่มีบันทึกสำรองจากกรณีหนี้ SSI แล้ว ขณะที่อาจมีการกลับรายการขายที่ดินที่เป็นหลักประกันของกลุ่ม KMC ที่ศาลฯตัดสินคดีไปแล้วเมื่อปลายปีก่อน)

สำหรับกลุ่มสื่อสาร แนะนำ “ซื้อ” ADVANC และ INTUCH ต่อไป ด้วยอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 4.2% สำหรับกำไร 2H15 และคาดการณ์ปันผลมากกว่า 8% สำหรับกำไรปี 59

ขณะที่การชำระค่าใบอนุญาต 900 MHz ที่ล่าช้าของ TRUE และ JAS เป็นโอกาสของ ADVANC ในการย้ายลูกค้า 2G เดิมมายังโครงข่าย 3G–4G ใหม่!!

อินเด็กซ์ 51

กระชับพอร์ต!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/564653

โดย อินเด็กซ์ 51 19 ม.ค. 2559 05:01

 

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 18 ม.ค.59 ปิดที่ 1,245.05 จุด ลดลง 0.80 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 35,582 ล้านบาท

บล.บัวหลวง แนะกลยุทธ์การลงทุนเดือน ม.ค. เน้นกระชับพอร์ต ให้แนวรับที่ 1,200 จุด ระหว่างนี้แนะ เลือกเล่นสั้นรายตัวโดยต้องวาง Stop loss 3-5% กลุ่มเด่นแนะ ค้าปลีก (COM7-BIGC), กลุ่มพลังงานทดแทน หลัง กกพ.ยืนยันจับสลากโซลาร์หน่วยงานฯ ปลายเดือน ม.ค. และหุ้นส่งออกที่ได้ผลดีจากเงินบาทที่อ่อนค่า

บล.ทิสโก้ ออกบทวิเคราะห์ กรณีกลุ่ม Casino เล็งขายหุ้น BIGC คาดว่าผู้ที่จะมารับซื้อ เชื่อว่าน่าจะเป็น TCC Group (ผ่าน BJC), Central Groups หรือร้านค้าปลีกของญี่ปุ่นอย่าง Aeont ที่มีอยู่แล้วในไทย

โดยทั้ง TCC และ Central groups เป็นผู้ชนะการประมูลขาย Carrefour ในปี 2010 ดังนั้น เชื่อว่าทั้ง 2 รายอาจต้องการช่องทางในไฮเปอร์มาร์เกตของ BIGC ขณะที่ Aeont ก็กำลังวางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในอาเซียน และอาจตัดสินใจเข้าซื้อ BIGC เพื่อเร่งขยายตัวในภูมิภาค

ราคาขายอาจซื้อได้ยาก จึงเชื่อว่าราคาหุ้น BIGC น่าจะไม่มี upside จากปัจจุบันมากจากการคำนวณเบื้องต้น ที่ผ่านมามีการทำ M&A และการประเมินมูลค่าปัจจุบัน (คู่แข่งในท้องถิ่นและภูมิภาค) ระบุว่า ราคาขายที่สูงที่สุดของ BIGC น่าจะอยู่ที่ 248 บาทต่อหุ้น (จาก PE ที่สูงสุดในไทย ตาม PE ของ MAKRO) ซึ่งคิดเป็น PE ปี 2015 ที่ 27.4 เท่า หรือปี 2016 ที่ 25 เท่า

ทั้งนี้ ไม่คิดว่า BIGC จะขายได้ที่ PE ที่ 45 เท่า เท่ากับ MAKRO เนื่องจากการดำเนินงานของ BIGC มีความน่าสนใจน้อยกว่า และการประเมินมูลค่าตลาดโดยรวมต่ำกว่าการเข้าซื้อ MAKRO ในช่วงปี 2013!!

ด้าน บล.ดีบีเอสวิคเคอร์สให้ราคาพื้นฐานหุ้น BIGC ที่ 210 บาท การเก็งกำไรข่าวการถูกซื้อกิจการได้ แต่ควรระมัดระวัง เพราะราคาหุ้นปรับขึ้นมามาก จากกระแสข่าวมีการประเมินว่าอาจขายในราคา 260-300 บาท โดยกลุ่มจิราธิวัฒน์ กลุ่มซีพี และกลุ่ม BJC มีความสนใจที่จะเข้าซื้อหุ้น BIGC ด้วย

ทีมกลยุทธ์เห็นว่าควรระมัดระวังการเข้าซื้อเก็งกำไร เพราะยังไม่มีรายละเอียดที่แน่ชัด สิ่งที่ควรพิจารณาคือ 1. การทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อการขายหุ้น BIGC เกินกว่าหรือเท่ากับ 25% หากไม่ถึงก็จะไม่มีการทำเทนเดอร์ฯ จะเป็นความเสี่ยงของผู้เข้าไปเก็งกำไร 2.ราคาเทนเดอร์ฯ ที่จะเกิดขึ้น โดยที่ราคา 260-300 บาท ยังมีความไม่แน่นอนว่าจะจริงหรือไม่ แต่ถือว่ามีส่วนเพิ่มได้อีก 15-33% จึงคาดว่านักลงทุนที่รักความเสี่ยง (Risk Lover) อาจเข้าไปเก็งกำไร

ทั้งนี้ แนะ “ถือ” เพื่อรอดูสถานการณ์ ล่าสุดหุ้น BIGC ปิดที่ 237 บาท บวก 11 บาท ขึ้นไปสูงสุดที่ 247 บาท!!

อินเด็กซ์ 51

ลงลึกต่อเนื่อง!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/563421

โดย อินเด็กซ์ 51 16 ม.ค. 2559 05:01

 

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 15 ม.ค.59 ปิดที่ 1,245.85 จุด ลดลง 17.44 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 46,226.07 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,074.81 ล้านบาท

หุ้นไทยยืนบวกได้ไม่นาน โดนแรงขายถล่มกดดัชนีลงลึกในช่วงปิดตลาด หลังราคาน้ำมันในตลาดซื้อขายล่วงหน้าปรับตัวลงและมีแนวโน้มจะหลุด 30 เหรียญ/บาร์เรล รวมถึงตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดปรับตัวลง โดยนักลงทุนยังคงมีความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น จากความกังวลเศรษฐกิจจีนชะลอตัวและราคาน้ำมันโลกทรุดตัวต่อเนื่อง

ขณะที่ปัจจัยลบในประเทศ ที่บริษัทจดทะเบียนจะทยอยประกาศผลประกอบการ ไตรมาส 4 ปี 58 ออกมา ซึ่งนักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ประเมินว่า ไม่น่าออกมาดีนัก และคาดว่าน่าจะทำให้นักวิเคราะห์ต้องปรับประมาณการผลประกอบการทั้งปี 58 ลง หลังจากก่อนหน้านี้ได้ปรับลดประมาณการของกลุ่มแบงก์ลง และคาดว่าสัปดาห์หน้าจะเห็นการปรับกลุ่มประมาณการหุ้นกลุ่มอื่นๆลงอีก

บล.ทิสโก้ ให้ติดตามตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4 ของจีนและราคาน้ำมันโลกควบคู่ ที่จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทั่วโลก

แนะกลยุทธ์การลงทุน แนะให้ขายเป็นหลัก โดยเน้นการเก็งกำไรระยะสั้น ส่วนนักลงทุนที่ต้องการเล่นรอบให้รอจังหวะดัชนีอ่อนตัว โดยมีโอกาสหลุดระดับ 1,200 จุด ในไตรมาส 1 ปีนี้ ขณะที่ด้านเทคนิคระยะสั้น ให้แนวรับไว้ที่ 1,240-1,220 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,270-1,280 จุด

“ภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ” นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลัง ว่าจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีและได้ประโยชน์จากการลงทุนของรัฐบาล ทำให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจในการลงทุน
ประกอบกับเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวจะหนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยถือว่าอยู่ในระดับต่ำและมีแนวโน้มปรับตัวลดลงได้อีก แต่คงไม่มาก หรือเรียกว่า Downside จำกัด หากไม่มีปัจจัยลบอื่นเข้ามากระทบเพิ่ม

แต่ยังมีความเสี่ยงจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีทิศทางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้เม็ดเงินที่ลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกไหลออกจากตลาดหุ้น ส่วนการที่ต่างชาติได้ปรับพอร์ตโดยขายหุ้นออกและถือเงินสดไว้นั้น คาดว่าน่าจะเริ่มพิจารณาลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนของภาครัฐ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว อาหาร!!

อินเด็กซ์ 51

ปัจจัยนอกยังกดดัน!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/562929

โดย อินเด็กซ์ 51 15 ม.ค. 2559 05:01

 

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 14 ม.ค.59 ปิดที่ 1,263.29 จุด ลดลง 15.32 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 45,612.41 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 692.04 ล้านบาท

บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ชี้หุ้นไทยปรับตัวลงค่อนข้างแรง ส่วนหนึ่งเป็นแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ สะท้อนได้จากค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง

ประเมินทิศทางตลาดระยะสั้น ลุ้นรีบาวน์ แม้ปัจจัยพื้นฐานจะถูก กดดันด้วยปัจจัยลบจากต่างประเทศ แต่ทางเทคนิค หากดัชนีสามารถยืนเหนือแนวรับสำคัญ 1,260 จุดได้ มีโอกาสรีบาวน์สูง แต่หากหลุด ถือว่าเป็นการจบรอบรีบาวน์

แนะกลยุทธ์ลงทุนเลือกเก็งกำไร หุ้นรายตัว เช่น EPG-BWG-BA-ILINK

ปิดท้าย “วิน อุดมรัชตวนิชย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณประเมินกรอบดัชนีหุ้นไทยปีนี้ ไว้ที่ 1,200-1,500 จุด โดยยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย มีปัจจัยหลักมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ จากทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ปรับลงและการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มเติบโต

ขณะที่การปรับตัวลงของหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ดัชนีลงมาที่ระดับปัจจุบันที่ 1,280 จุด ทำให้อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E ratio) ตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำเพียง 12.4 เท่า ถือว่าถูกหากเทียบกับแนวโน้มการเติบโตของอัตราการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียน โดยคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 3.71% ขณะที่คาดการณ์อัตราการจ่ายปันผลของประเทศในกลุ่ม TIP (ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย) อยู่ที่ระดับ 2.03% และ 2.26% ตามลำดับ

สำหรับหุ้นที่น่าลงทุน แนะเลือกหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง เช่น หุ้นสายการบิน และหุ้นพื้นฐานดีที่ราคายังไม่แพงเกินไป เช่น หุ้นธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งหุ้นที่ได้รับผลดีจากการอ่อนค่าของเงินบาท เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และท่องเที่ยว

กลยุทธ์การลงทุน ในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูงสำหรับผู้ลงทุนระยะยาว แนะให้ทยอยลงทุน เน้นหุ้นปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งเป็นหลักที่จะได้รับผลดีในช่วงที่ตลาดพลิกกลับมาเป็นบวก

ส่วนผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้นได้ไม่มาก ให้รอเพื่อหาจังหวะลงทุนในช่วงที่ราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น!!

อินเด็กซ์ 51

ซื้อคืนหุ้นแบงก์–ปตท.!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/562381

โดย อินเด็กซ์ 51 14 ม.ค. 2559 05:01

 

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 13 ม.ค.59 ปิดที่ 1,278.61 จุด เพิ่มขึ้น 23.31 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 59,258.13 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 322.51 ล้านบาท

หุ้นที่ซื้อขายสูงสุด KBANK ปิด 163 บาท บวก 8.50 บาท, PTT ปิด 227 บาท บวก 13 บาท, ADVANC ปิด 148.50 บาท ลบ 0.50 บาท, SCC ปิด 414 บาท บวก 2 บาท SCB ปิด 123.50 บาท บวก 5 บาท

หุ้นกลุ่ม ปตท.และหุ้นแบงก์ปรับตัวโดดเด่น หลังมีแรงซื้อเข้ามาไล่ราคาหนาแน่น ดันตลาดในภาพรวมปรับตัวขึ้นแรง

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส มองหุ้นกลุ่มแบงก์มีความมั่นคงและ P/BV ต่ำ ปัจจุบันกลุ่มธนาคารมี P/BV อยู่ที่ 1.1 เท่า ลดลงจากระดับสูงสุดของรอบนี้ เมื่อ ก.พ.2015 ที่ 1.9 เท่าอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ผลประกอบการธนาคารไม่ได้ขาดทุน เพียงแต่การเติบโตของกำไรในปี 59 ยังจำกัด จากการเติบโตของสินเชื่อที่ไม่มากและตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูงต่อในยามที่เศรษฐกิจเพิ่งเริ่มฟื้นตัว

แนะทยอยซื้อสะสม เพื่อการลงทุนระยะกลาง-ยาว โดยหุ้น Top Pick ทางพื้นฐานเลือก KBANK เพราะโครงสร้างรายได้และพอร์ตสินเชื่อกระจายตัวดี หุ้นพื้นฐานดีและเทคนิคเด่นชู SCB

ขณะที่ บล.ทิสโก้ วิเคราะห์หุ้นแบงก์ แนะนำเพิ่มสัดส่วนการลงทุนหลังราคาหุ้นปรับตัวลง 31% นับจากต้นปี 58 และอัพเกรดหุ้น TMB คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 58 ของกลุ่มแบงก์ขนาดกลางและสินเชื่อรถยนต์จะโตมากกว่ากลุ่มแบงก์ใหญ่ เนื่องจากมี LLR ที่แข็งแกร่งและคุณภาพสินเชื่อที่ดีกว่ารวมถึงความสามารถในการรักษาระดับของ RoE

แนะให้ “ซื้อ” TMB และ TCAP โดยปัจจุบันมี PBV ที่ 1.25 เท่า และ ได้รับปัจจัยบวกจากการกระตุ้น SME พร้อมทั้งมีโอกาสในการทำ M&A

ส่วน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองว่าต่างชาติให้น้ำหนักกับการผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาล หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้กับเงินลงทุนราว 8 แสนล้านบาทในปีนี้ เชื่อว่ากลุ่มที่เกี่ยวข้องนอกเหนือรับเหมาฯและวัสดุก่อสร้างแล้วหุ้นกลุ่มแบงก์จะเป็นกลุ่มเป้าหมายการลงทุนของต่างชาติ

แนะ “สะสม” KTB ให้ราคาเหมาะสม 19.30 บาท KTB แนวโน้มผลประกอบการปี 59 กำไรสุทธิจะกลับมา โต +10% จากปีก่อน จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ KTB มีจุดเด่นคือการปล่อยสินเชื่อให้โครงการภาครัฐในสัดส่วนสูง จึงได้ประโยชน์โดยตรงจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในปี 59!!

อินเด็กซ์ 51

เด้งคืน!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/561834

โดย อินเด็กซ์ 51 13 ม.ค. 2559 05:01

 

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 12 ม.ค.59 ปิดที่ 1,255.30 จุด เพิ่มขึ้น 20.80 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 46,997.03 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 375.24 ล้านบาท

หุ้นที่มูลค่าซื้อขายสูงสุด ADVANC ปิด 149 บาท บวก 4.50 บาท, PTT ปิด 214 บาท บวก 3 บาท, JAS ปิด 3.10 บาท บวก 0.06 บาท, KBANK ปิด 154.50 บาท บวก 7 บาท และ BEM ปิด 5.85 บาท บวก 0.25 บาท

บล.บัวหลวง มองยังไร้ปัจจัยบวกเข้ามาหนุน แต่ตลาดรีบาวน์ทางเทคนิคหลังนักลงทุนเริ่มเข้ามาซื้อหุ้นสื่อสารและพลังงานคืน หลังราคาปรับลงไปมาก ขณะที่มองแนวโน้มหุ้นไทยระยะสั้นยังมีโอกาสรีบาวน์ได้ต่อ หลังซึมซับรับข่าวด้านลบไประดับหนึ่งแล้ว ด้านเทคนิคให้แนวต้าน 1,262 จุด แนวรับ 1,246 จุด

ขณะที่ “อภิชัย เรามานะชัย” รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.แอพเพิล เวลธ์ มองแนวโน้มตลาดเดือน ม.ค.59 ยังคงผันผวนจากค่าเงินหยวนอ่อนค่าและการชะลอตัวเศรษฐกิจจีน รวมถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯและราคาน้ำมันตลาดโลกลดลง กดดันบรรยากาศการลงทุนตลอดทาง คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,200-1,300 จุด

ขณะที่มีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ช่วยหนุนการบริโภคให้ฟื้นตัว การลงทุนภาครัฐ และการลงทุนเอกชนที่เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว แนะนำซื้อหุ้นกลุ่มสายการบินและท่องเที่ยว, รับเหมาก่อสร้าง, ค้าปลีกน่าลงทุน เลือก AOT-AAV-BA-CENTEL-ERW-CK-STEC-BIGC-ROBINS-HMPRO เป็นหุ้นเด่น

สำหรับผลกระทบจาก January Effects ช่วง 5 ปีหลังมีโอกาสเกิดขึ้นเพียง 60% ในส่วนผลกระทบจากแรงขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอนปีนี้ ไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากต้นทุนการถือครองเฉลี่ยปี 55 อยู่ที่ 1,320 จุด ซึ่งสูงกว่าระดับดัชนีปัจจุบัน

ปิดท้ายมีข่าว ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และประธานกิตติคุณ บริษัท ลีด บิซิเนส จำกัด สถาบันให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาบุคลากรระดับบริหารด้วยมาตรฐานระดับโลก จับมือมหาวิทยาลัยคอร์เนล มหาวิทยาลัยระดับโลก เดินหน้าสร้างผู้นำระดับประเทศเต็มขั้น เตรียมเปิดหลักสูตรพัฒนาศักยภาพผู้บริหาร

เตรียมแถลงข่าววิสัยทัศน์การดำเนินงานในปี 59 พร้อมเปิดตัว 2 หลักสูตรพัฒนาศักยภาพผู้บริหารที่เข้มข้นได้มาตรฐานสากล ในวันพุธที่ 20 ม.ค.นี้ ณ ลีด บิซิเนส เซ็นเตอร์ ชั้น 15 อาคารเซ็น เวิลด์ ทาวเวอร์ เซ็นทรัลเวิลด์!!

อินเด็กซ์ 51

ลงต่อเนื่อง!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/561290

โดย อินเด็กซ์ 51 12 ม.ค. 2559 05:01

 

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 11 ม.ค.59 ปิดที่ 1,234.50 จุด ลดลง 9.68 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 36,577.37 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 256.10 ล้านบาท

ตลาดหุ้นไทยยังคงกังวลกับปัจจัยภายนอกประเทศ ทั้งกรณีความอ่อนแอของเศรษฐกิจและค่าเงินของจีน และราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลง รวมถึงตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่ออกมาแข็งแกร่ง ทำให้ตลาดวิตกว่าการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปลายเดือนนี้อาจส่งสัญญาณเพิ่มความเข้มงวดในการปรับขึ้นดอกเบี้ย ล้วนเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกให้อ่อนแอลงในทิศทางเดียวกัน

บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ปัจจัยหลักมาจากความกังวลเศรษฐกิจจีน ภายหลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาย่ำแย่ ทำให้ตลาดหุ้นจีนผันผวนหนัก และราคาน้ำมันดิบก็ยังปรับตัวลงต่อเนื่องด้วย

นอกจากนี้ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯออกมาแข็งแกร่ง ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มมองกันว่าการประชุมเฟดในช่วงปลายเดือนนี้อาจจะมีการส่งสัญญาณการเดินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น พร้อมระบุว่าการจะหาจุดต่ำสุดของดัชนีรอบนี้ โดยใช้ Valuation ในอดีตมาวิเคราะห์ถือเป็นการยาก เพราะการปรับลงไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐาน

ดังนั้นจึงใช้วิธีดึงสถิติการปรับฐานครั้งสำคัญในอดีตมาวิเคราะห์แทน ซึ่งพบว่า การปรับฐานครั้งสำคัญนับจากปี 1999 เป็นต้นมา จะอยู่ที่ระดับ 23% โดยเฉลี่ย หรือเทียบกับดัชนีระดับ 1,100 จุดในรอบนี้

อย่างไรก็ตาม หากนับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมาจะพบว่า การปรับฐานในระดับมากสุดจะอยู่เพียง 20% เท่านั้น หรือเทียบเท่าดัชนีที่ 1,140 จุดจึงมองระดับดังกล่าวน่าจะเป็นแนวรับสำคัญในรอบนี้

แนะนำหุ้น TCAP ยังเป็นตัวเลือกในกลุ่มแบงก์ที่ปลอดภัยที่สุดและเป็น Top pick ของกลุ่ม จึงแนะ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายที่ 43 บาท

ปิดท้ายมีข่าว ACD เอาใจผู้ถือหุ้น หลังปีก่อนเจรจาลดราคาซื้อหุ้นบริษัทโอริน พร็อพเพอร์ตี้ เจ้าของโครงการคอนโดออริจินส์ บางมด– พระราม 2 ได้สำเร็จแล้ว

ล่าสุดยังได้ปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าหุ้นงวดที่ 2 เมื่อคอนโดฯออริจินส์สร้างเสร็จสมบูรณ์ จากเดิมจะจ่ายหลังการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 ม.ค.นี้ ส่วนเงินค่าหุ้นงวดสุดท้ายกำหนดจ่ายตามเดิมคือเมื่อมีการโอนหุ้น

เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้น ขณะที่ปัจจุบันคอนโดฯได้ใบอนุญาตเปิดใช้อาคารแล้ว รวมถึงเตรียมเอกสารทางราชการไว้รองรับการออกโฉนดและโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดไว้เรียบร้อยแล้ว โดยมียอดขายแล้วเกือบ 90% พร้อมโอน 15 ม.ค.นี้

ความคืบหน้าอื่นๆ เชิญผู้ถือหุ้นมาร่วมอัพเดตในการประชุมผู้ถือหุ้น ในวันพฤหัสบดีที่ 14 ม.ค.นี้!!

อินเด็กซ์ 51