“ทองระยอง” รสอร่อย หวานอมเปรี้ยว ไม่กัดลิ้น คว้ารางวัลชนะเลิศ “สับปะรดกินผลสด “

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05050151258&srcday=2015-12-15&search=no

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613

เทคโนฯ การเกษตร

สาวบางแค 22

“ทองระยอง” รสอร่อย หวานอมเปรี้ยว ไม่กัดลิ้น คว้ารางวัลชนะเลิศ “สับปะรดกินผลสด “

หากอยากมีหุ่นสวยเป๊ะ และสุขภาพดียั่งยืนจนถึงวัยสูงอายุนั้น ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปรับพฤติกรรม กิน-อยู่ให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด นิสัยการกินมีส่วนสำคัญ ต้องกินให้เป็น เน้นกินอาหารคลีนที่ผ่านการปรุงแต่งน้อยที่สุด เพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

ในฉบับนี้ ขอนำเสนอ “สับปะรดพันธุ์ทองระยอง” ผลไม้เพื่อสุขภาพอีกชนิด ที่สาวกเฮลตี้ไม่ควรพลาด สับปะรดพันธุ์ทองระยอง เป็นผลไม้เศรษฐกิจพันธุ์ใหม่ของจังหวัดระยอง เกษตรกรชาวจังหวัดระยองได้นำสับปะรดกลุ่ม “ควีน” มาปลูกและพัฒนาจนได้สายพันธุ์ที่มีคุณภาพและรสชาติอร่อยเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค เมื่อเร็วๆ นี้ มีการประกวด ผัก ผลไม้ ที่สวนนงนุช จังหวัดชลบุรี สับปะรด “ทองระยอง” ได้รับรางวัลชนะเลิศ ประเภทสับปะรดกินผลสด ในกลุ่มควีน ปัจจุบัน เกษตรกรในจังหวัดระยองปลูกในพื้นที่หลายพันไร่ แต่ยังไม่พอกับความต้องการของตลาด

จุดเริ่มต้น

ที่ผ่านมา เมืองไทยปลูกสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียเป็นส่วนใหญ่ โดยผลผลิตประมาณ ร้อยละ 70-80 จะส่งเข้าโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อใช้ในการแปรรูปเป็นสับปะรดกระป๋อง และผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากสับปะรด เช่น น้ำสับปะรด สับปะรดกวน และสับปะรดแช่แข็ง ส่วนผลผลิตที่เหลืออีกประมาณ ร้อยละ 20-30% ถูกใช้เพื่อบริโภคผลสดภายในประเทศ

คุณศราวุธ เรืองเอี่ยม ที่ปรึกษาสมาคมชาวไร่สับปะรดไทย อาศัยอยู่ บ้านเลขที่ 82 หมู่ที่ 5 ตำบลแม่น้ำคู้ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง 21140 โทร. (081) 862-0073 คุณศราวุธได้เล่าถึงสับปะรดพันธุ์นี้ให้ฟังว่า สับปะรดพันธุ์ทองระยอง เป็นสับปะรดกลุ่ม “ควีน” เช่นเดียวกับสับปะรดพันธุ์ ภูเก็ต ภูแล สวี ตราดสีทอง สับปะรดพันธุ์ทองระยองถูกนำมาปลูกที่อำเภอเขาชะเมามาเกือบ 20 ปีมาแล้ว โดยกลุ่มผู้ปลูกยางพาราและชาวสวนไม้ผลของอำเภอแกลง ในอดีตผลผลิตที่ได้จะจำหน่ายเฉพาะในเขตพื้นที่เขาชะเมาเท่านั้น และรู้จักกันดีในชื่อ สับปะรดหนาม หรือสับปะรดใต้

จังหวัดระยอง นับเป็นแหล่งปลูกสับปะรดที่สำคัญของภาคตะวันออก โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอนิคมพัฒนาและปลวกแดง (โดยเฉพาะตำบลตาสิทธิ์ อำเภอปลวกแดง มีพื้นที่ปลูกสับปะรดมากที่สุด 6,720 ไร่) เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมปลูกสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียส่งขายโรงงานเป็นหลัก และแบ่งผลผลิตจำนวนหนึ่งส่งขายตลาด เนื่องจากมีผู้บริโภคจำนวนมากนิยมบริโภคสับปะรดผลสด

ช่วงที่ผ่านมา เกิดปัญหาสับปะรดเข้าโรงงานเป็นจำนวนมาก ทำให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ราคาถูก จึงปรับแผนการตลาดใหม่ หันมาผลิตสับปะรดผลสดป้อนตลาดมากขึ้น เนื่องจากตลาดนิยมบริโภคสับปะรดกลุ่ม “ควีน” เป็นจำนวนมาก เกษตรกรจึงหันมาปลูกสับปะรดกลุ่มควีนในท้องถิ่น คือสับปะรดหนาม มาปลูกขยายในพื้นที่อำเภอปลวกแดง อำเภอนิคมพัฒนา อำเภอบ้านค่าย ฯลฯ ต่อมาสับปะรดพันธุ์นี้ถูกตั้งชื่อใหม่ตามถิ่นปลูก ว่า “สับปะรดพันธุ์ทองระยอง”

คุณชุรีรัตน์ สาเสาร์ โทร. (081) 340-3241 นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญงาน สำนักงานเกษตรอำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง กล่าวว่า สับปะรดพันธุ์ทองระยอง เป็นสับปะรดที่พัฒนาสายพันธุ์มาจากกลุ่มควีน สับปะรดพันธุ์ทองระยอง มีลักษณะเด่นอยู่ที่ขอบใบ ต้น จุก จะมีหนามสั้นและแหลมคม มีผลเป็นทรงกระบอก น้ำหนักลูก ประมาณ 0.7-1.5 กิโลกรัม ตาสับปะรดนูนไม่แบน เมื่อผลแก่จัดเปลือกและเนื้อในจะเป็นสีเหลืองทอง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รสชาติหวานนำเปรี้ยว เนื้อกรอบ แกนกรอบ กินได้หมด เนื้อแน่นไม่เป็นโพรง ที่สำคัญไม่มีปัญหากัดลิ้นเหมือนกับสับปะรดทั่วไป

การปลูกดูแล

การปลูกสับปะรดพันธุ์ทองระยองนั้น ใช้หลักการเดียวกับการปลูกสับปะรดทั่วไป โดยคัดเลือกพื้นที่ที่น้ำไม่ท่วมขัง และสามารถระบายน้ำได้ดี หากปลูกซ้ำในแปลงสับปะรดเดิม ควรตีเหง้าแล้วไถปั่นตอและใบสับปะรดเก่าออกก่อน โดยไถกลบทิ้งไว้ ประมาณ 1 เดือน จึงค่อยไถพรวนดินใหม่อีกครั้ง

หน่อพันธุ์ที่นำมาใช้ ควรคัดเลือกหน่อพันธุ์ที่มีขนาดเท่ากัน และนำหน่อพันธุ์ไปชุบน้ำยากันราก่อนปลูกลงหลุม สับปะรดพันธุ์ทองระยอง ปลูกได้ตลอดทั้งปี โดยปลูกแบบแถวคู่ ในระยะห่าง ประมาณ 40 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างร่อง ประมาณ 80 เซนติเมตร ขุดหลุมปลูกให้มีความลึก ประมาณ 10-15 เซนติเมตร โดยปลูกหน่อแบบตั้งตรง ไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง สำหรับพื้นที่ 1 ไร่ สามารถปลูกหน่อสับปะรดทองระยองได้ ประมาณ 6,000 ต้น หลังปลูกสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตภายใน 135 วัน

ผลสุกสังเกตได้จากเปลือกสับปะรดมีสีเหลืองอมส้ม หรือใบเล็กๆ ของตาย่อยเริ่มเหี่ยวแห้ง ร่องตาผลตึงเต็มที่ และมีกลิ่นหอม ก็สามารถเก็บผลผลิตออกขายได้ ปัจจุบัน ผลผลิตสับปะรดพันธุ์ทองระยองไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด จึงมีพ่อค้าแม่ค้ามาจับจองผลผลิตกันถึงในไร่ ตั้งแต่สับปะรดยังไม่สุก โดยราคาขายส่งอยู่ที่ ลูกละ 20-40 บาท ตามขนาดของผล

“ทองระยอง”

สินค้า จีไอ ตัวใหม่ของระยอง

ปัจจุบัน ชาวไร่สับปะรดในจังหวัดระยองได้ปลูกสับปะรดพันธุ์ทองระยองอย่างกว้างขวาง ในพื้นที่อำเภอเขาชะเมา วังจันทร์ บ้านค่าย ปลวกแดง กว่า 6,000 ไร่ กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดจังหวัดระยอง ภายใต้การนำของ คุณเสถียร เสือขวัญ และ คุณวุฒิ ปะสิงชอบ ได้รวมกลุ่มกันพัฒนายกระดับการผลิตและการตลาด “สับปะรดหนาม” ให้เป็นสินค้าเด่นประจำจังหวัด พร้อมร้องขอให้ทางสภาเกษตรกรจังหวัดระยอง เกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด และเกษตรและสหกรณ์จังหวัดระยอง ช่วยกันยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสับปะรดพันธุ์ใหม่นี้ว่า สับปะรดพันธุ์ “ทองระยอง”

เนื่องจากสับปะรดทองระยอง เป็นสินค้าที่เป็นอัตลักษณ์ชุมชน จังหวัดระยองเตรียมยื่นขอจดทะเบียน “สับปะรดทองระยอง” เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) กับกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ ทางจังหวัดระยองวางแผนประชาสัมพันธ์ “สับปะรดพันธุ์ทองระยอง” ในฐานะผลไม้รสเด็ด ที่มีความอร่อยคู่กับทุเรียน มังคุด คู่กับเกาะเสม็ด ดังคำขวัญของจังหวัดระยองตลอดไป

เกษตรกรยืนยัน

“ทองระยอง” ปลูกง่าย ขายดี

คุณเสถียร เสือขวัญ ประธานกลุ่มเกษตรกรชาวสวนผู้ปลูกสับปะรดจังหวัดระยอง อยู่บ้านเลขที่ 257/1 หมู่ที่ 1 ตำบลตาสิทธิ์ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง 21140 โทร. (081) 523-8114 กล่าวว่า ผมปลูกสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียเพื่อส่งโรงงานอุตสาหกรรมมาตลอด 35 ปี มีกำไรทุกฤดูกาลเก็บเกี่ยว จนกระทั่ง ปี 2555 มีเกษตรกรหันมาปลูกสับปะรดส่งโรงงานเพิ่มมากขึ้น เกิดปัญหาผลผลิตล้นตลาด และขายผลผลิตได้ราคาถูก

คุณเสถียร จึงปรับแผนการผลิตใหม่ โดยหันมาปลูกสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย เพื่อส่งขายตลาดบริโภคผลสด พร้อมปรับปรุงการผลิตให้สับปะรดมีรสชาติหวานฉ่ำถูกใจผู้บริโภค โดยอาศัยเทคนิคการนำระบบน้ำมาใช้เพื่อลดระยะเวลาการผลิตและเพิ่มผลผลิตสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย และใช้เทคนิควิธีการจัดการต่างๆ เช่น การชุบหน่อพันธุ์ การผสมปุ๋ย การบังคับดอก การปูผ้าในแปลงปลูก มาใช้จัดการในไร่ เพื่อให้ได้สับปะรดพันธุ์ปัตตาเวียมีขนาดผลใหญ่ รสชาติหวาน เนื้อนุ่ม ตรงตามความต้องการของตลาดบริโภคผลสด

นอกจากนี้ คุณเสถียร ยังเพิ่มโอกาสทางการขาย โดยนำสับปะรดสายพันธุ์ใหม่ๆ เช่น เพชรบุรี 1 หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อสับปะรดฉีกตามาปลูก พร้อมกับ สับปะรดพันธุ์ MD 2 ที่มีจุดเด่น รสชาติเปรี้ยวหวาน สามารถบังคับให้สับปะรดออกดอกได้ง่ายและมีอายุการเก็บเกี่ยวที่เร็วกว่าสับปะรดพันธุ์อื่นๆ และปลูกสับปะรดพันธุ์ทองระยอง ที่มีจุดเด่นด้าน รสชาติอร่อย หวานอมเปรี้ยว ไม่กัดลิ้น เพื่อขายตลาดบริโภคผลสดอีกทางหนึ่ง

คุณปิยะ โกสินทร์จิตต์ อุปนายกสมาคมชาวไร่สับปะรดไทย โทร. (081) 865-2302 ซึ่งมีพื้นที่ปลูกสับปะรดพันธุ์ทองระยองในพื้นที่จังหวัดระยองและชลบุรี เปิดเผยว่า สับปะรดพันธุ์ทองระยอง ปลูกดูแลง่าย เหมือนกับสับปะรดสายพันธุ์ทั่วไป ขณะนี้สับปะรดทองระยองกำลังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคจำนวนมาก เพราะมีรสชาติโดดเด่นโดนใจผู้บริโภค ปัจจุบัน สามารถขายปลีกผลสดได้ในราคาสูง ถึงผลละ 40 บาท

คาดว่าหลังจากจังหวัดระยองได้ยื่นขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) สับปะรดทองระยองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยิ่งทำให้สินค้าชนิดนี้ขายดีและเป็นที่ต้องการของตลาดในวงกว้างมากขึ้น จะทำให้เกษตรกรจำนวนมากสนใจปลูกสับปะรดทองระยองมากขึ้น ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต

คืนธรรมชาติให้ “แม่แจ่ม” ที่เชียงใหม่ สวยใสไร้หมอกควัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05052151258&srcday=2015-12-15&search=no

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613

เทคโนฯ การเกษตร

พิงค์บุ๊ก

คืนธรรมชาติให้ “แม่แจ่ม” ที่เชียงใหม่ สวยใสไร้หมอกควัน

“แม่แจ่ม” ในความทรงจำ เป็นอำเภอเล็กๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ การเดินทางมาแม่แจ่มค่อนข้างลำบาก ถนนหนทางคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองลับแลในอ้อมกอดของหุบเขา

แม้การเดินทางจะเหนื่อยยากสักเพียงใด แต่หลายคนก็ตกหลุมรัก “แม่แจ่ม” ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเยือน เพราะแม่แจ่มเป็นเมืองสงบ แวดล้อมไปด้วยขุนเขาป่าไม้ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์

โดยหากมาเยือนช่วงฤดูฝน จะได้เห็นภาพทุ่งนาขั้นบันไดเขียวขจีเต็มท้องทุ่ง

แต่หากมาช่วงปลายฝนต้นหนาว ท้องทุ่งนาจะเปลี่ยนเป็นสีทองเหลืองอร่ามตา เป็นภาพความทรงจำอันงดงามที่น่าประทับใจของใครหลายๆ คน

หุบเขาข้าวโพด ที่แม่แจ่ม

วันเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ แม่แจ่ม ในวันนี้ ไม่ใช่เมืองปิดอีกต่อไป เพราะกระแสทุนนิยมเข้ามาครอบครองการใช้ประโยชน์ในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม ทำให้แม่แจ่มกลายเป็นหุบเขาแห่ง ข้าวโพด (corn valley) ซึ่งพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่เป็นเกษตรแบบพันธสัญญา (contract farming) โดยมีกลุ่มทุนเข้ามาส่งเสริมการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้แก่เกษตรกร ตั้งแต่ ปี 2538 เป็นต้นมา

ข้อจำกัดของการทำเกษตรในอำเภอแม่แจ่มคือ ที่นี่เป็นเขตเขาสูง มีน้ำสำหรับเพาะปลูกเพียงปีละครั้ง เมื่อนายทุนเข้ามาส่งเสริมปลูกข้าวโพดที่ให้ผลผลิตดี ใช้น้ำน้อย ปลูกดูแลง่ายแค่ 3-4 เดือน ก็เก็บผลผลิตออกขายได้แล้ว ที่สำคัญขายผลผลิตได้ราคาดี ชาวบ้านจึงแห่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มากกว่า 100,000 ไร่ หรือ ร้อยละ 80 ของพื้นที่การเกษตรทั้งหมด

หลังฤดูเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มักเหลือขยะที่เป็นตอซังและเปลือกข้าวโพดมากกว่า 3,000-5,000 ตัน ต่อปี ขยะทางธรรมชาติเหล่านี้จะถูกเผาทำลายในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับเพาะปลูกข้าวโพดรุ่นต่อไปในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนของทุกปี ซึ่งการเผาไร่ข้าวโพดถือเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ เพราะตรวจพบจุดความร้อน (hot spot) ในพื้นที่อำเภอแม่แจ่มมากกว่าพื้นที่อื่นๆ

คืนธรรมชาติ ให้แม่แจ่ม

ปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ เป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกคนจะต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด ล่าสุด คุณปวิณ ชํานิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ สั่งบูรณาการทุกภาคส่วนทั้งจังหวัด พร้อมเซ็นสัญญาความร่วมมือกับ คุณสุเมธ ภิญโญสนิท ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด เพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันจังหวัดเชียงใหม่อย่างยั่งยืน โดยพุ่งเป้าเน้นหนักในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม อำเภอเชียงดาว และอำเภอสะเมิง ที่มีปัญหาหมอกควันรุนแรง เนื่องจากพบจุดพิกัดความร้อน (hot spot) สูงในปีที่ผ่านมา โดยวางเป้าหมายลดปัญหาหมอกควันลงทั้งจังหวัดอย่างน้อย ร้อยละ 20

ผศ.ดร. สมเกียรติ ชัยพิบูลย์ ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์และพยากรณ์ทางการเกษตร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เปิดเผยว่า โครงการธรรมชาติปลอดภัย เครือเจริญโภคภัณฑ์ในแม่แจ่มเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ ปี 2555 โดยเริ่มจากการ “ระเบิดจากข้างใน” คือรับฟังปัญหาและความต้องการจากชาวบ้าน นำมาสู่การร่วมกันคิดกับชาวบ้านจนตกผลึกว่า ควรจะพัฒนาในเรื่องอะไรเพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชน

“น้ำ” คือ คำตอบ

พัฒนาอาชีพชาวบ้าน

“น้ำ” คือคำตอบของการพัฒนาอาชีพของชาวบ้าน โดยมีดอยอินทนนท์เป็นแหล่งต้นน้ำหลักที่ให้น้ำได้ตลอดทั้งปี โครงการธรรมชาติปลอดภัยได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำแก่ชาวบ้าน เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการน้ำสำหรับพัฒนาอาชีพ ภายใต้การดูแลของทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้

“ไม่มีน้ำ ไม่มีอาชีพ” ชาวบ้านได้ร่วมมือร่วมใจกันสร้าง “บ่อพวง” ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ให้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำเพื่อการเกษตรแก่ชุมชน จนถึงวันนี้ มีประมาณ 40 บ่อ รองรับผู้ใช้น้ำได้ราว 300 ครัวเรือน เมื่อมีน้ำแล้ว ขั้นต่อมาของโครงการคือ การสร้างอาชีพ

ที่ผ่านมาชาวบ้านที่นี่ยึดอาชีพการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากเป็นพืชที่ปลูกง่าย ใช้น้ำน้อย แต่เมื่อวันนี้มีแหล่งเก็บกักน้ำ ทำให้สามารถนำน้ำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างทั่วถึงแล้ว ชาวบ้านจึงมีทางเลือกมากขึ้น โดยหันมาปลูกพืชผักอายุสั้น ที่มีตลาดรองรับแน่นอน เช่น กะหล่ำปลี ผักกาด มะเขือ ถั่วฝักยาว ฯลฯ ควบคู่กับการเลี้ยงสัตว์ เช่น หมูหลุม

การเพาะเห็ดฟาง

จาก “ฟางข้าวโพด”

มหาวิทยาลัยแม่โจ้ วางแผนแก้ไขปัญหาการเผาตอซังข้าวโพดได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยสนับสนุนให้โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 เป็นศูนย์เรียนรู้และเผยแพร่วิธีการเพาะเห็ดจากเปลือกข้าวโพดให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่ และขยายผล ถ่ายทอดความรู้การปั้นก้อนตอซังข้าวโพดสำหรับเพาะเห็ดให้กับโรงเรียนในอำเภอแม่แจ่มทั้งหมด เพื่อให้แต่ละโรงเรียนนำไปทำต่อ เพื่อช่วยลดปัญหาการกำจัดตอซังข้าวโพดด้วยการเผาให้น้อยลง พร้อมสร้างรายได้ให้กับชุมชนได้อีกทางหนึ่งด้วย

การเพาะเห็ดฟางจากเศษฟางข้าวโพดเป็นเรื่องง่าย ที่ใครๆ ก็ทำได้ เริ่มจากเตรียมวัสดุอุปกรณ์ ได้แก่ ฟางข้าวโพดแห้ง 100 กิโลกรัม ดีเกลือ 20 กิโลกรัม ยิปซัม 20 กรัม ปูนขาว 1 กิโลกรัม รำละเอียด 5-8 กิโลกรัม น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม

ขั้นตอนการปั้นก้อนฟางข้าวโพดสำหรับเพาะเห็ด เด็กนักเรียนจะคัดแยกฟางข้าวโพด 100 กิโลกรัม นำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน หลังจากนั้น จะนำฟางข้าวโพดมากองบนพื้นโดยกระจายให้เท่าๆ กัน นำรำละเอียด กากน้ำตาล ดีเกลือ และยิปซัม โรยให้ทั่วผสมให้เข้ากัน นำถุงพลาสติกทนร้อนมาบรรจุฟางข้าวโพดที่ใช้หมักให้มีน้ำหนักทั้งก้อน ประมาณ 0.8-1 กิโลกรัม นำคอขวดมาสวมทับที่ถุงพลาสติกทนร้อน แล้วปิดทับด้วยจุกประหยัด นำก้อนที่บรรจุถุงไปนึ่ง ใช้เวลานึ่งประมาณ 3 ชั่วโมง โดยประมาณ นำก้อนเห็ดออกจากเตานึ่งแล้วนำมาวางบนพื้นเพื่อให้ก้อนเห็ดเย็น

ขั้นตอนการใส่เชื้อเห็ด เริ่มจากเทเชื้อก้อนเห็ดใส่ก้อนเห็ด (1 ขวดเชื้อเห็ด) จะใส่ได้ประมาณ 40-50 ถุง นำก้อนเห็ดที่ใส่เชื้อเห็ดแล้วนำไปเก็บไว้ในห้องที่มืด เพื่อรอให้เชื้อเดินเต็มถุง ใช้เวลา 25-30 วัน นำก้อนเห็ดมาเปิดดอก

กลุ่มวิสาหกิจชุมชน

เกษตรธรรมชาติปลอดภัย

ปัจจุบัน ชาวบ้านในโครงการได้ร่วมกันจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนขึ้นมา ชื่อว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรธรรมชาติปลอดภัย เพื่อเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายผลผลิต/สินค้าของสมาชิกไปยังผู้บริโภค ปัจจุบันผลผลิตในโครงการ ส่วนใหญ่นำไปจำหน่ายให้กับโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ซึ่งเป็นโรงเรียนกินนอน สำหรับใช้ปรุงเป็นอาหารเลี้ยงเด็กนักเรียน จำนวนกว่า 1,000 คน รวมทั้งส่งจำหน่ายให้กับผู้ค้าในตลาดแม่แจ่มอีกช่องทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลในละแวกใกล้เคียงให้ความสนใจรับซื้อผลผลิตของกลุ่มด้วยเช่นกัน

ทางกลุ่มจึงต้องวางแผนขยายการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นด้วย ในระยะยาวจะส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูก “ลำไย” เป็นไม้ผลหลัก รองลงมาคือ เงาะ และผลไม้อื่นๆ ในระยะยาวจะพัฒนาพื้นที่แห่งนี้เป็น “ชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” โดยก่อสร้างหอคอยเฝ้าระวังไฟไว้ในใจกลางพื้นที่สำหรับใช้เฝ้าระวังไฟป่า แล้วยังใช้เป็นจุดท่องเที่ยวชมทัศนียภาพที่สวยงามของอำเภอแม่แจ่มในอนาคต

ปลูกผักหวานป่าแซมสวนหม่อน ที่ชัยภูมิ ของ “ป้าคำพุฒิ แสนสิบ” รวยปีละหลายแสนบาท

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05041151058&srcday=2015-10-15&search=no

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 609

เทคโนฯ การเกษตร

ปรัชญา รัศมีธรรมวงศ์

ปลูกผักหวานป่าแซมสวนหม่อน ที่ชัยภูมิ ของ “ป้าคำพุฒิ แสนสิบ” รวยปีละหลายแสนบาท

“ผักหวานป่า” เป็นผักพื้นบ้านที่พบเห็นได้ง่ายในเขตพื้นที่ราบสูง ที่เป็นป่าเต็งรัง ป่าไผ่ รวมอยู่ในกลุ่มพวกป่าเบญจพรรณ ผักหวานป่ามีลักษณะใบใหญ่ กลมยาว หนา หากสนใจอยากปลูกผักหวาน แต่ไม่รู้วิธีปลูก ต้นผักหวานมักจะไม่ค่อยโต การปลูกผักหวานให้ได้ผลผลิตที่ดี ต้องปลูกเลียนแบบธรรมชาติ โดยปลูกผสมผสานกับพืชไร่ไม้ผลอื่นๆ เพื่ออาศัยร่มเงาไม้พี่เลี้ยงช่วยพรางแสงแดดในแปลงเพาะปลูก จุดยากลำบากในการปลูกผักหวานป่าคือ ต้นกล้า ที่เกิดจากการเพาะเมล็ด เมื่อนำไปปลูกในดิน ต้องระวังไม่ให้รากขาดและรากต้องตั้งตรงลงดิน มิฉะนั้น ต้นผักหวานจะไม่เจริญเติบโต

ผักหวานป่า เป็นสินค้าขายดี เป็นที่ต้องการของตลาดตลอดทั้งปี ผลผลิตในช่วงนอกฤดู ซื้อขายในราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 200 บาท ผลผลิตในช่วงฤดู ราคาขายอยู่ที่ กิโลกรัมละ 70 บาท ดอกผักหวานป่ามีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 300 บาท ผักหวานป่าจึงเหมาะสำหรับปลูกในเชิงการค้า เพราะมีรสชาติอร่อย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีทั้งวิตามิน โปรตีน กากใยอาหาร ช่วยย่อยอาหารได้ดีมาก แถมเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยา ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ลดอาการอักเสบทางผิวหนัง ลดน้ำตาลในเลือด ละลายไขมัน ฯลฯ

ศูนย์เรียนรู้ การปลูก

ผักหวานป่า จังหวัดชัยภูมิ

ปัจจุบัน มีแหล่งปลูกและขยายพันธุ์ผักหวานป่าและผักหวานบ้านในหลายพื้นที่ เช่น บ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ขอนแก่น ชัยภูมิ ฯลฯ ในฉบับนี้ ขอพาท่านผู้อ่านไปเยี่ยมชม “ศูนย์เรียนรู้ การปลูกผักหวานป่า” ของ “ป้าคำพุฒ แสนสิบ” บ้านเลขที่ 71/1 หมู่ที่ 7 บ้านโนนผักหวาน ตำบลแหลมทอง อำเภอภักดีชุมพล จังหวัดชัยภูมิ 36260

สำหรับ “ศูนย์เรียนรู้ การปลูกผักหวานป่า” แห่งนี้ อยู่ภายใต้การสนับสนุนของ กศน. ตำบลแหลมทอง ที่ผ่านมา ทาง กศน. ตำบลแหลมทอง เปิดกลุ่มโครงการจัดการศึกษาต่อเนื่องแบบบูรณาการด้านอาชีพ หลักสูตรการปลูกผักหวานป่า ณ บ้านโนนผักหวาน โดยให้ ป้าคำพุฒิ แสนสิบ เป็นวิทยากร สอนเยาวชนและชาวบ้านที่สนใจหลักสูตรนี้อย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน ครอบครัวป้าคำพุฒิมีอาชีพปลูกผักหวานป่าแซมในสวนหม่อน ลำไย พริก เงาะ ปลูกแบบผสมผสาน บนพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ ในอดีตครอบครัวป้าคำพุฒิมีอาชีพรับจ้างเลี้ยงไหม มาตั้งแต่ ปี 2528 จนกระทั่ง ปี 2543 เจอปัญหาราคาเส้นไหมตกต่ำ จากเดิมที่เคยซื้อขายในราคา กิโลกรัมละ 170 บาท ก็ร่วงหล่นเหลือแค่ 80 บาท ต่อกิโลกรัม รายได้หดหาย แถมมีปัญหาใบหม่อนไม่พอเลี้ยงหนอนไหม จึงพยายามมองหาอาชีพใหม่เพื่อเป็นรายได้เสริมเลี้ยงครอบครัว จังหวะนั้นเจอเพื่อนบ้านปลูกผักหวานป่าขาย กิโลกรัมละ 200 บาท ได้ผลกำไรดี จึงเกิดความสนใจ ขอให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สาขาชัยภูมิ พาไปดูงานเรื่องการปลูกผักหวาน ที่บ้านหมอ จังหวัดสระบุรี

ปลูกผักหวานป่า

แซมพืชไร่ไม้ผล

ป้าคำพุฒิ ได้นำต้นผักหวานป่ามาทดลองปลูก จำนวน 150 ต้น โดยปลูกผักหวานป่าเลียนแบบธรรมชาติ ปลูกแซมในสวนหม่อน ลำไย พริก เพื่อให้เป็นไม้พี่เลี้ยง ให้มีแสงแดดรำไร ต้นผักหวานป่าเจริญเติบโตดี ปลูกประมาณ 4 ปี ก็เริ่มเก็บยอดผักหวานออกขายได้ ป้ากับเพื่อนเกษตรกรจะรวมกลุ่มกันขายผักหวานป่าให้แม่ค้า ในราคากิโลกรัมละ 200 บาท ปัจจุบัน สวนผักหวานป่าแห่งนี้มีอายุครบ 10 ปีแล้ว ยังให้ผลผลิตที่ดี ผักหวานป่า เป็นพืชที่ทนแล้ง ใช้น้ำน้อย จะเข้าสู่ช่วงพักต้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม ของทุกปี เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูแล้งจะสามารถเก็บผักหวานป่าออกขายได้

ป้าคำพุฒิ บอกว่า ที่นี่เก็บผักหวานป่าออกขายปีละครั้ง โดยเก็บยอดผักหวานป่าในลักษณะผักสด และเก็บใบผักหวานป่ามาแปรรูปในลักษณะใบชา ต้นผักหวานป่าเมื่อมีอายุมากขึ้นจะมีเมล็ด สามารถนำมาเพาะขยายพันธุ์ได้ ผักหวานป่าจะมีเมล็ดปีละครั้ง จะสุกประมาณปลายเดือนเมษายน-ต้นเดือนมิถุนายน เมล็ดจะมีอัตรางอกลดลงอย่างเร็วมาก เมล็ดแก่ที่หลุดร่วงจากต้น ต้องเร่งเพาะเมล็ดภายใน 15 วัน หากปล่อยทิ้งไว้ เปอร์เซ็นต์การงอกก็จะลดลงเรื่อยๆ

จากปีแรกที่ปลูกต้นผักหวานป่า จำนวน 150 ต้น ปัจจุบัน ป้าคำพุฒิ สามารถขยายพันธุ์ต้นผักหวานป่าได้เพิ่มขึ้นเป็น 2,000-3,000 ต้น มีรายได้จากการเก็บผักหวานป่าออกขาย ปีละ 200,000 บาท และเก็บเมล็ดผักหวานป่า จากป่าชุมชนแถวบ้านมาเพาะขยายพันธุ์ จำหน่ายต้นกล้าแก่เกษตรกรและประชาชนที่สนใจ ในราคา ต้นละ 25 บาท ต้นกล้าที่เกิดจากการเพาะเมล็ดดสามารถเติบโต แข็งแรง เป็นที่ต้องการของตลาดทั่วไป

คำแนะนำ

ในการปลูกผักหวานป่า

ป้าคำพุฒิ บอกว่า ปลูก 4 ปี ก็เก็บยอดขายได้แล้ว เวลาขุดดินใส่ต้นกล้าผักหวานป่าลงไป ระวังอย่าให้รากขาด เพราะต้นผักหวานป่าจะไม่เจริญเติบโต ไม่แตกยอด เวลาปลูกควรใส่ปุ๋ยคอกบำรุงดินลงไป ต้นผักหวานป่ามีอายุยืน 50-100 ปี แถมดอกผักหวานป่ายังขายได้ราคาดีอีกต่างหาก ขายส่งในราคา กิโลกรัมละ 300 บาท ตลาดนิยมดอกผักหวานป่า เพราะถือว่าเป็นของแปลก เป็นยาดี ขายแยกดอก แยกใบ

โดยธรรมชาติแล้ว ต้นผักหวานป่า มักพบเห็นได้ตามป่าเบญจพรรณ ที่มีไม้ยืนต้นหลากหลายชนิด หากเรานำมาปลูกในพื้นที่เรือกสวนไร่นา จำเป็นต้องสร้างบรรยากาศภายในสวนให้มีร่มเงาเหมือนป่าตามธรรมชาติ โดยปลูกผักหวานป่าแซมกับไม้ผลไม้ยืนต้น ประเภทต้นลำไย มะยงชิด ต้นหม่อน หากปลูกผักหวานป่าแบบพืชเชิงเดี่ยว ต้นผักหวานป่าจะแสดงอาการใบเหลืองและมีโอกาสตายได้

เพื่อช่วยให้ต้นผักหวานป่าเจริญเติบโตเร็ว และแตกยอดได้ดี ควรตัดยอดบ่อยๆ เพื่อกระตุ้นให้ต้นผักหวานป่าแตกยอดใหม่ได้มากขึ้น เทคนิคนี้ได้ผลดีเมื่อทำกับต้นผักหวานป่าที่มีอายุมากแล้วเท่านั้น นอกจากนี้ การขุดรากผักหวานป่าที่เป็นต้นแก่แล้ว สามารถช่วยให้เกิดการแตกต้นใหม่ได้เช่นกัน สำหรับต้นผักหวานป่าที่ปลูกตามธรรมชาติ แค่ดูแลใส่ปุ๋ยคอก ใส่ปุ๋ยขี้ไหมใต้ต้นผักหวานป่า ก็ทำให้ต้นผักหวานในชุมชนแห่งนี้มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร คือมีลักษณะยอดใหญ่ และอ่อน มีรสชาติหวาน มัน กรอบ

ที่ผ่านมาครอบครัวป้าคำพุฒิได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สาขาชัยภูมิ จำนวน 5,000 บาท เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนทำนารอบสอง ป้าคำพุฒิ กู้เงิน 200,000 บาท มาใช้ก่อสร้างโรงเรือนเลี้ยงไหม ปัจจุบัน ป้าคำพุฒิมีรายได้จากการทำสวนผักหวานป่าผสมผสานกับสวนผลไม้ สร้างรายได้ก้อนโต หักค่าใช้จ่ายแล้วยังมีเงินเหลือเก็บเหลือใช้ สามารถชำระเงินกู้กับ ธ.ก.ส. ได้หมดแล้ว ปัจจุบัน ฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวป้าคำพุฒิก็ดีขึ้นเรื่อยๆ และสวนแห่งนี้ก็กลายเป็นศูนย์เรียนรู้เรื่องการปลูกผักหวานป่า ที่ผู้สนใจต่างแวะเวียนกันเข้ามาหาความรู้ได้อย่างต่อเนื่อง

สูตรปุ๋ยขี้ไหม

ป้าคำพุฒิ แนะนำเคล็ดลับการผลิตปุ๋ยขี้ไหมเพื่อใช้ในไร่นา โดยนำขี้ไหม น้ำหนัก 50 กิโลกรัม กากน้ำตาล จำนวน 1 ถัง สาร พด. 2 นำมาหมัก ประมาณ 1 เดือน ก็นำไปใช้งานได้ โดยใช้ปุ๋ยขี้ไหม อัตราส่วน 5 ลิตร ผสมน้ำ 200 ลิตร ฉีดพ่นในสวนผักหวานป่า ช่วยให้ต้นและใบผักหวานป่าเขียวเข้ม เติบโต งาม ช่วยประหยัดต้นทุนได้ดี

แกงผักหวาน

ใส่ไข่มดแดง…อร่อยเด็ด

ป้าคำพุฒิ มีเมนูอร่อยประจำบ้านมาฝากกันคือ แกงผักหวานใส่ไข่มดแดง เป็นเมนูรับแขก ที่ใครก็ยอมรับว่า มีรสชาติอร่อยเด็ด ป้าคำพุฒิ บอกว่า หมู่บ้านโนนผักหวาน โดยรอบเป็นป่าเขาเป็นธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ จึงมีไข่มดแดงที่สร้างรังบนต้นไม้เป็นจำนวนมากในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนของทุกปี แกงผักหวานใส่ไข่มดแดง ถือเป็นอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านแห่งนี้

หากใครอยากลิ้มรสแกงผักหวานใส่ไข่มดแดง ก็ให้เตรียมวัตถุดิบสำคัญไว้ให้พร้อม ได้แก่ ผักหวาน ที่ล้างสะอาดแล้วเด็ดเอาแต่ยอดอ่อน ไข่มดแดง เห็ดขอนขาว น้ำปลาร้า น้ำเปล่า กระเทียม หอมแดง ตะไคร้ ข่า และพริกสด วิธีการทำ เริ่มจากใส่น้ำลงในหม้อต้มให้เดือด ใส่พริกสดลงไป ใส่เครื่องสมุนไพร กระเทียม ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด หอมแดง ลงไป ใส่ไข่มดแดงที่เตรียมไว้ ใส่น้ำปลาร้า ใส่ผักหวานเป็นลำดับสุดท้าย คนให้เข้ากัน รอให้วัตถุดิบสุกเข้ากัน ตักใส่ถ้วยรับประทานได้เลย รับรองอร่อยเด็ด จนต้องขอตักเพิ่มเป็นถ้วยที่สอง

หากผู้อ่านท่านใดสนใจ สั่งซื้อต้นกล้า และยอดผักหวานป่า สามารถติดต่อกับ ป้าคำพุฒิ แสนสิบ ที่ ตำบลแหลมทอง อำเภอภักดีชุมพล จังหวัดชัยภูมิ โทร. (087) 864-2716, (085) 205-7873 รับรองไม่ผิดหวัง