วิฟ เอเชีย 2017 สุดยอดงานนิทรรศการปศุสัตว์ครบวงจร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05092011059&srcday=2016-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 632

เทคโนฯ ปศุสัตว์

จิรวรรณ โรจนพรทิพย์

วิฟ เอเชีย 2017 สุดยอดงานนิทรรศการปศุสัตว์ครบวงจร

“เส้นทางสายไหม” (Silk Road) ได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางการค้าสำคัญในอดีต เชื่อมโยงการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างภูมิภาคตะวันออกกับตะวันตก ทว่ายุคสมัยนี้ อุตสาหกรรมงานแสดงสินค้านานาชาติ (Exhibitions) นับเป็นสะพานเชื่อมโยงการค้าที่สำคัญของทุกมุมโลกเข้าด้วยกัน เพราะเป็นด่านแรกในการเปิดประตูการค้าและการลงทุน ทำให้ผู้ผลิต ผู้ซื้อ และผู้ขายในแต่ละอุตสาหกรรมมาพบกัน รวมทั้งเจรจาทางธุรกิจ (Business Matching) สร้างโอกาสทางการแข่งขันและเพิ่มมูลค่าทางการค้า ช่วยส่งเสริมให้เกิดห่วงโซ่มูลค่า (Global Value Chain) ทางการค้าและการลงทุนในระยะยาว

ชมเทคโนโลยีปศุสัตว์ระดับโลก ที่งาน “วิฟ ไชน่า 2016”

งานแสดงเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านปศุสัตว์ “วิฟ ไชน่า 2016” (VIV CHINA 2016) จัดโดยบริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ ยุโรป จำกัด จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 6-8 กันยายน 2559 ณ ศูนย์แสดงสินค้า ไชน่า อินเตอร์เนชันแนล เอ็กซิบิชั่นส์ เซ็นเตอร์ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน นับเป็นสะพานที่เชื่อมโยงการค้าของโลกตะวันออกกับโลกตะวันตกได้อย่างลงตัว

“วิฟ ไชน่า 2016” จัดเป็นประจำทุกๆ 2 ปี ในปี 2014 มีผู้เข้าร่วมงาน 140 ประเทศ แต่ปีนี้มีผู้เข้าร่วมงานหลากเชื้อชาติมากขึ้น โดยกลุ่มใหญ่ 33% เป็นกลุ่มผู้ค้าจากสหรัฐอเมริกา ตลอด 3 วันของการจัดงาน นับเป็นช่วงเวลาที่เยี่ยมยอดสำหรับการเรียนรู้ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านปศุสัตว์ครบวงจร

ภายในงานมีผู้ประกอบการจีนและต่างชาติ ประมาณ 500 ราย นำสินค้าปศุสัตว์นานาชนิดมาเปิดการขายในตลาดจีน ประเภทพันธุ์สัตว์ ยาสัตว์ อาหารสัตว์ อุปกรณ์เครื่องมือประเภทโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ โรงฆ่าสัตว์ เครื่องฟักไข่ และกิจกรรมเสวนาทางวิชาการ เช่น ธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืนของจีน การจัดการอาหารและการควบคุมสุขภาพสัตว์ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นต้น

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในระยะหลังภาคปศุสัตว์ของจีนขยายตัวมากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสัตว์ปีก สังเกตได้จากวันแรกของการเปิดงาน วิฟ ไชน่า 2016 HatchTech, HuaYu และบริษัท ไฮ-ไลน์ จำกัด (Hy-Line) ได้ร่วมการเซ็นสัญญาความร่วมมือก่อสร้างโรงเพาะฟักที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่มณฑลเหอเป่ของจีน โดยมีกำลังการผลิตรวม 55 ล้านตัน เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในอนาคต

คุณโทมัส ดิซอน ผู้จัดการด้านการตลาด บริษัท ไฮ-ไลน์ จำกัด ผู้พัฒนาสายพันธุ์ไก่ไข่รายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทได้นำเสนอสายพันธุ์ไก่ไข่ที่เหมาะสำหรับการเลี้ยงเชิงพาณิชย์จำนวน 5 สายพันธุ์ ได้แก่ 1. สายพันธุ์ ไฮ-ไลน์ ซิลเวอร์ บราวน์ ไข่เปลือกสีน้ำตาลเข้ม 2. สายพันธุ์ไฮ-ไลน์ โซเนีย เปลือกไข่สีน้ำตาลอ่อน 3. ไฮ-ไลน์ W-36 เปลือกไข่สีขาว 4. ไก่ไข่พันธุ์ไก่ไฮ-ไลน์ บราวน์ เปลือกไข่สีน้ำตาล ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดจีนและไทย และ 5. ไก่ไข่สายพันธุ์ ไฮ-ไลน์ W-80 ลักษณะเปลือกไข่สีขาว ที่มีลักษณะเด่นคือ เลี้ยงได้ในระบบโรงเรือนและเลี้ยงปล่อยตามธรรมชาติ เนื่องจากไก่ไข่สายพันธุ์นี้ เลี้ยงง่าย เติบโตเร็ว สามารถประหยัดต้นทุนการผลิตได้ต่ำกว่าไก่ไข่พันธุ์ทั่วไปถึง 10% โดยจะนำสินค้าออกจัดแสดงในงานวิฟ เอเชีย 2017 ที่กรุงเทพฯ ในปีหน้าด้วย

เตรียมพบ “วิฟ เอเชีย 2017” ต้นปีหน้า

การเยี่ยมชมงานแสดงสินค้า “วิฟ ไชน่า 2016” ในครั้งนี้ ถือเป็นการชิมลางบรรยากาศการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีด้านวงการปศุสัตว์ของจีน ก่อนพบกับงานแสดงสินค้า “วิฟ เอเชีย 2017” สุดยอดงานนิทรรศการด้านปศุสัตว์และประมงครบวงจรของภูมิภาคเอเชีย กำหนดจัดงาน ระหว่างวันที่ 15-17 มีนาคม 2560 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ

“วิฟ เอเชีย 2017” จัดขึ้นโดย บริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด ซึ่งเป็นกิจการร่วมทุนระหว่าง บริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ ยุโรป จำกัด จากประเทศเนเธอร์แลนด์ และ บริษัท ทีซีซี เอ็กซิบิชั่น แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จำกัด ผู้นำตลาดการจัดงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรของไทย

คุณปนัดดา อรรถโกวิท ผู้จัดการโครงการวิฟ เอเชีย กล่าวว่า งานวิฟ เอเชีย ถูกจัดขึ้นทุก 2 ปี เป็นงานนิทรรศการระดับเอเชียที่วงการปศุสัตว์ทั่วโลกต่างรู้จักและให้ความสำคัญในมาเยี่ยมชมงานเพิ่มขึ้นทุกปี ในครั้งนี้ผู้จัดมุ่งเน้นให้มีทุกธุรกิจและบริการเพื่อครอบคลุมตั้งแต่การเพาะเลี้ยงสัตว์ จนกระทั่งถึงการแปรรูปเพื่อใช้บริโภค (From Feed to Food) ภายในงานจะเป็นแหล่งพบปะของนักธุรกิจชั้นแนวหน้าระดับโลก ทั้งในเอเชียและยุโรปที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิต การแปรรูปสัตว์ปีก เนื้อหมู ผลิตภัณฑ์จากนม และสัตว์น้ำครอบคลุมสินค้าปศุสัตว์และประมงครบทุกมิติ ถือเป็นงานใหญ่ที่สุดในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก

“วิฟ เอเชีย 2017 กลับมาอีกครั้ง โดยเน้นสร้างภาพลักษณ์และกิจกรรมภายในงานให้ตอบโจทย์ผู้เข้าชมงานจากนานาชาติมากกว่าเดิม คาดว่าจะมีผู้ประกอบไทย-ต่างชาติสนใจเข้าร่วมงานครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 40,000 ราย แบ่งเป็นลูกค้าต่างชาติ 60% และคนไทย 40% เมื่อ 2 ปีก่อนมีมูลค่าการซื้อขายสินค้าภายในงานวิฟ เอเชีย ประมาณ 13,616 ล้านบาท คาดว่า ปีหน้าจะมียอดซื้อขายภายในงานเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 30% เนื่องจากมีฐานกลุ่มลูกค้าใหม่จำนวนมากจากภูมิภาคเอเชีย ภูมิภาคตะวันออกกลาง ทวีปแอฟริกา” คุณปนัดดา กล่าว

ด้าน คุณเซนยา แอนโทชิน ผู้จัดการงานแสดงนิทรรศการ วิฟ เอเชีย กล่าวว่า งานวิฟ เอเชีย เป็นนิทรรศการธุรกิจปศุสัตว์ที่ได้รับความนิยมจากบริษัทชั้นนำกว่า 1,000 บริษัททั่วโลก ทั้งในยุโรป อเมริกา และเอเชีย คาดว่า 5 ประเทศแรกที่จะมีบริษัทเข้าร่วมจัดงานมากที่สุดคือ ประเทศจีน เนเธอร์แลนด์ ประเทศไทย สหรัฐอเมริกา และประเทศฝรั่งเศส จุดเด่นพิเศษของการจัดงาน วิฟ เอเชีย ในครั้งนี้ ผู้จัดงานได้ขยายพื้นที่การจัดงานใหญ่ที่สุด จัดสรรพื้นที่โดยรวม 4 ห้องโถงใหญ่เข้าด้วยกัน ทำให้ค้นหาที่ตั้งจุดแสดงของสินค้าได้ง่ายขึ้น และเพิ่มกลุ่มธุรกิจสุขภาพและโภชนาการของสัตว์เลี้ยงขนาดเล็ก ประเภทสุนัข แมว ฯลฯ ภายใต้ชื่อ VIV Asia of Pet Health and Nutrition ไว้ในพาวิลเลี่ยนและจัดการประชุม PETSConnect Asia

มาครั้งเดียว เที่ยวชมได้ 3 งาน

ช่วงการจัดงาน ระหว่างวันที่ 15-17 มีนาคม พ.ศ. 2560 เรียกได้ว่าเป็นสัปดาห์ธุรกิจของคนในวงการเกษตรและปศุสัตว์อย่างแท้จริง เพราะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่จะจัดงานแสดงสินค้าเกษตร 3 งาน ในช่วงเวลาเดียวกัน ได้แก่ งาน วิฟ เอเชีย และ “ฮอร์ติ เอเชีย 2017” (Horti ASIA 2017) ซึ่งเป็นงานแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพืชพรรณ ผัก ผลไม้ ดอกไม้ และกล้วยไม้ ระดับนานาชาติ

นอกจากนี้ ลูกค้ายังมีโอกาสชม “อะกริเทคนิก้า เอเชีย” ซึ่งเป็นงานแสดงเทคโนโลยีเครื่องจักรเกษตรที่ใหญ่ที่สุดของโลก จัดโดยสมาคมเกษตรแห่งเยอรมนี โดยมีเป้าหมายเปิดตลาดเอเชียเป็นครั้งแรก สาเหตุที่เลือกจัดงานที่ประเทศไทยซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางการค้าของทวีปเอเชียนั่นเอง โดยคัดสรรเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับพื้นที่การเกษตรของตลาดเอเชีย ซึ่งมีบริษัทชั้นนำระดับโลกร่วมสนับสนุนการจัดงานอย่างเป็นทางการ ได้แก่ AGCO/Massey Ferguson, CLAAS, Fliegl, LOVOL, Maschio Gaspardo และ POTTINGER ล้วนเป็นบริษัทที่โดดเด่นด้านเทคโนโลยีการเกษตรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

ปัจจุบันเกษตรกรจำเป็นต้องลดต้นทุนการผลิต นำไปสู่การปรับใช้เครื่องจักรกลการเกษตรมากขึ้น เนื่องจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน และการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดโลก การจัดงานครั้งนี้จึงเน้นนำเสนอเทคโนโลยีสมัยใหม่ทางด้านวิศวกรรมการเกษตรจากจีน เดนมาร์ก ฯลฯ มาช่วย ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตการปลูกข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง ครบทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมดิน เพาะปลูก ระบบน้ำ เก็บเกี่ยวผลผลิต ตลอดจนการเก็บรักษา ขนส่ง และการผลิตพลังงานทดแทน นอกจากนั้น ยังมีพาวิลเลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตพลังงานทดแทน ที่นำชีวมวลมาเปลี่ยนเป็นแก๊สเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในอุตสาหกรรมการเกษตร

ด้านสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ยังสนับสนุนการเชิญผู้ซื้อรายใหญ่ทั่วภูมิภาคเอเชียมาร่วมงาน ภายใต้แคมเปญ Hosted Buyer Program เพื่อรองรับผู้บริหารจากบริษัทชั้นนำมากกว่า 150 คนทั่วเอเชีย โดยมอบอภินันทการห้องพักรับรองตลอดระยะเวลาการเข้าชมงานที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เพื่อยกระดับธุรกิจการเกษตรแห่งอาเชียให้เป็นส่วนหนึ่งในเครือข่ายธุรกิจระดับโลก ผู้สนใจสามารถส่งใบสมัครเพื่อร่วมโครงการได้ที่ buyer@agritechnica-asia.com หรือติดต่อทีมจัดงานได้ที่ http://www.agritechnica-asia.com/visiting เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 ธันวาคม 2559

เปิดให้ชมงานฟรี แต่ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า

คุณปนัดดา กล่าวว่า ในปีหน้าได้กำหนดกติกาเข้าชมงานใหม่ โดยกำหนดให้ลูกค้าลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีล่วงหน้า ผ่านเว็บไซต์ WWW.VIV.NET ตั้งแต่ วันที่ 1 ธันวาคม 2559 ถึง 17 มีนาคม 2560 (ไม่อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีเข้าร่วมชมงาน เพราะภายในงานมีการจัดแสดงอุปกรณ์เครื่องจักร) หากใครมาลงทะเบียนหน้างานจะถูกเรียกเก็บค่าเข้าชมคนละ 500 บาท เพื่อนำเงินรายได้ดังกล่าวไปบริจาคเป็นทุนการศึกษาแก่เยาวชนต่อไป เหตุผลที่ต้องการตั้งกติกาดังกล่าวเพื่อประหยัดเวลาในการลงทะเบียนและต้องการประวัติลูกค้าและวัตถุประสงค์การเข้าชมงานเพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ปรับปรุงการจัดงานครั้งต่อไปให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

“ทางคณะผู้จัดงานขอเรียนเชิญเกษตรกรทุกท่านเข้าร่วมงานครั้งนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นเกษตรกรรายเล็กหรือรายใหญ่ ทุกท่านมีบทบาทเป็นนักธุรกิจเหมือนกัน เพียงลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้าครั้งเดียวสามารถเดินเที่ยวชมได้ทั้ง 3 งาน คุณสามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำธุรกิจ และติดตามความเคลื่อนไหวนวัตกรรมเทคโนโลยีของวงการปศุสัตว์ พืชไร่ พืชสวน ได้อย่างเต็มที่” คุณปนัดดา กล่าวในที่สุด

“ใกล้บ้าน” ตลาดเริ่มต้นของหมูหลุมและไก่ไข่ในป่าไผ่ ที่ราชบุรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05082010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606

เทคโนฯ ปศุสัตว์

ธนสิทธิ์ เหล่าประเสริฐ

“ใกล้บ้าน” ตลาดเริ่มต้นของหมูหลุมและไก่ไข่ในป่าไผ่ ที่ราชบุรี

“คำถามหนึ่งที่ผมพบทุกครั้งคือ เลี้ยงแล้วขายที่ไหน”

คุณสุพจน์ สิงห์โตศรี เกษตรกรผู้น้อมนำแนวพระราชดำริแบบเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำรงชีวิตจนประสบความสำเร็จ และได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้เข้ารับรางวัลเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพเลี้ยงสัตว์ ประจำปี 2558 กล่าวถึงคำถามยอดนิยมที่เกษตรกรผู้มาศึกษาดูงานจากทั่วประเทศเกี่ยวกับการเลี้ยงหมูหลุม รวมถึงการเลี้ยงไก่ไข่ในสวนและกิจกรรมอื่นบนวิถีการดำรงชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงที่ฟาร์ม ซึ่งตั้งอยู่ บ้านเลขที่ 95/1 หมู่ที่ 9 ตำบลดอนแร่ อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี โทร. (081) 857-3593

ก่อนจะได้รับคำตอบ คุณสุพจน์ สิงห์โตศรี ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับด้านการตลาดของหมูหลุมที่เลี้ยงว่า ในแต่ละปีจะผลิตลูกหมูปีละ 400 ตัว โดยจะนำมาแบ่งขายเป็นลูกหมูหย่านมและอนุบาล ปีละประมาณ 200 ตัว ที่เหลือจะเลี้ยงเอง ประมาณปีละ 200 ตัว นอกจากนี้ ยังขายเป็นหมูพันธุ์ให้แก่ผู้สนใจ ปีละประมาณ 50 ตัว

โดยมีสัดส่วนการจำหน่ายคือ ชุมชนในตำบล 50-60% ชุมชนเมือง 15% ชุมชนตำบลอื่น 5% กรุงเทพฯ 20-30% และส่วนที่เหลือได้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ จำหน่ายทั้งให้กับลูกค้าที่สั่งซื้อจากจังหวัดต่างๆ และวางจำหน่ายที่ร้านเกษตรชนบทของตนเอง โดยที่ร้านจะเน้นขายเนื้อหมูหลุมอินทรีย์ ผัก ผลไม้ และไข่เป็ด ไข่ไก่ อินทรีย์ หมูหลุมบดเกรด A ภายใต้ตราสัญลักษณ์ G-PORK

จากการทำตลาดดังกล่าว ส่งผลให้มีรายได้จากการจำหน่ายหลังหักต้นทุน เฉลี่ยเดือนละ 45,000 บาท หรือปีละ 540,000 บาท มีรายได้ในแต่ละเดือน คือขายลูกหมู 8,000 บาท ขายหมูขุน 25,000 บาท ขายมูลหมูหลุม 12,000 บาท

สิ่งหนึ่งที่คุณสุพจน์ได้อธิบายคือ รูปแบบของหมูที่เลี้ยงจะเน้นใช้ คำว่า หมูปลอดภัย

“เพราะหมูของเรานั่นไม่ได้ฉีดยา ไม่ได้ทำวัคซีน แต่เรายังมีการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ต้องซื้อจากท้องตลาด ซึ่งไม่รู้ว่าเป็น จีเอ็มโอ หรือเปล่า ดังนั้น เราจึงใช้คำว่า ปลอดภัยไปก่อน ซึ่งในอนาคตอีกไม่นานจะมีการก้าวไปสู่การทำเป็นหมูอินทรีย์”

“ส่วนคำตอบเรื่องตลาดที่ผมอธิบายให้ทุกคนได้รับรู้คือ ที่มาของทั้งหมดนี้ เราผลิตเพื่อกินกันก่อนในชุมชน เอาใกล้บ้านก่อน เมื่อแรกๆ อย่างเรื่องหมู ผมจะขายตามราคาประกาศให้กับพ่อค้าคนกลาง แต่พบว่าไม่ได้กำไรมาก จึงคิดถึงเรื่องการชำแหละและจำหน่ายเอง โดยส่งหมูที่ได้ขนาดเข้าโรงชำแหละ แล้วเอากลับมาในชุมชน มาถามทุกคนที่อยู่ในหมู่บ้านว่า ใครต้องการปริมาณเท่าไร เนื้ออะไร อาทิตย์แรกๆ เรามีปริมาณหมูที่ขายเพียง 1-2 ตัวเอง พอหลังจากนั้นก็ขยับขึ้นมา อาทิตย์หนึ่งเป็น 4-5 ตัว ดังนั้น แรกเลยขอให้มองตลาดในชุมชนก่อน”

“เมื่อคนในชุมชนบริโภคแล้ว หมูของเราติดตลาด เราจะมีตลาดที่สอง คือเอาไปขายในตัวเมือง ซึ่งเราทำอยู่ 2 วิธี โดย หนึ่ง เราไปเปิดร้านจำหน่ายเอง โดยใช้ชื่อว่า ร้านเกษตรชนบท สอง การจำหน่ายแบบ “เดลิเวอรี่” หรือการขายตรง ลูกค้าตรงจุดนี้จะมีทั้งจากผู้มาเยี่ยมชมฟาร์ม คนที่มากินก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นที่ร้านเกษตรชนบท กินแล้วชอบก็จะสั่งซื้อ ส่วนตลาดที่สาม ที่กำลังดำเนินการคือ ได้เปิดขายทางเว็บไซต์เกษตรชนบท และทางเฟซบุ๊ก รวมถึงทางกลุ่มไลน์”

“อย่างในไลน์ของผมจะมีการตั้งกลุ่ม เป็นผู้บริโภคหมูหลุม ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ตามโซนที่พักอาศัย ซึ่งเขารวมกันซื้อ รวมกันสั่งเข้ามา ผมจะจัดส่งให้ โดยแพ็กหนึ่งจะมีน้ำหนักประมาณ 0.5 กิโลกรัม พร้อมติดโลโก้ฟาร์ม G-PORK จัดส่งไปทางรถตู้ โดยคิดกล่องบรรจุและค่าขนส่ง กล่องละ 160 บาท กล่องหนึ่งจะบรรจุได้ไม่เกิน 24 กิโลกรัม”

“อีกหนึ่งช่องทางจำหน่ายคือ กลุ่มพ่อค้าคนกลางที่มารับไปจัดส่งให้พ่อค้า ปัจจุบัน มีอยู่ 4 เจ้า เขาจะเข้ามารับทุกวันจันทร์ พฤหัสบดี เสาร์ และอาทิตย์ นอกจากผลิตภัณฑ์หมูแล้ว ยังรับไข่ไก่ที่เลี้ยงด้วย โดยมีความต้องการอาทิตย์ละ 3,000 ฟอง”

“อย่างเรื่องไข่ไก่นั้น มีความน่าสนใจ เพราะทางพ่อค้าบอกว่า ถ้ามีปริมาณส่งได้อาทิตย์ละ 5,000 ฟอง เขาก็รับหมด แต่ตอนนี้เราผลิตได้เพียง อาทิตย์ 1,000 กว่าฟองเท่านั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งเสริมการเลี้ยง โดยให้ผู้สนใจในชุมชนเลี้ยงในสวนไผ่ของตนเอง โดยราคาส่งให้พ่อค้าที่หน้าฟาร์ม แผงละ 150 บาท และพ่อค้าจะไปขายต่อในราคา ฟองละ 8 บาท”

“ตอนนี้ต้องบอกว่า หมูหลุมที่เลี้ยงไม่เพียงพอกับความต้องการ ล่าสุดมีเชฟจากโรงแรมและร้านอาหารอีก 3-4 ราย ติดต่อเข้ามา ว่าต้องการเนื้อหมูหลุมจากเรา แต่เราไม่มีเนื้อหมูส่งให้”

คุณสุพจน์ บอกว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ด้วยการยึดผลิตที่เน้นคุณภาพเป็นหลัก จึงทำให้หมูที่ชำแหละออกมา 1 ตัว ขายได้หมด

“แต่ก่อนนี้การชำแหละหมู 1 ตัว เป็นเรื่องที่ทุกข์มากเลย เพราะกังวลว่า ส่วนอื่นที่เหลือ นอกจากเนื้อหมูแล้ว จะขายให้ใคร แต่ตอนนี้ไม่มีปัญหา ไม่พอ ทุกอย่างทุกชิ้นส่วนมีคนเอาหมด จนชาวบ้านมาบอกว่า คนในชุมชนไม่ได้กินแล้ว”

“ผมว่าสิ่งสำคัญที่เป็นอยู่ในตอนนี้คือ การหากันไม่เจอ ระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ แต่พอหากันเจอแล้วปรากฏว่าของไม่เพียงพอที่จะป้อนให้ได้ตามต้องการ ดังนั้น จึงต้องรีบสร้างผลผลิตเพื่อให้เพียงพอกับตลาด” คุณสุพจน์ กล่าว

ไก่ไข่ในป่าไผ่

การเลี้ยงไก่ไข่ในป่าไผ่ เป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจของฟาร์มแห่งนี้ โดยจะนำแม่ไก่ไข่มาปล่อยเลี้ยงในป่าต้นไผ่รวก ตั้งแต่เป็นลูกเจี๊ยบ ในพื้นที่ 100 ตารางเมตร จะเลี้ยงไก่ไข่ ประมาณ 20 ตัว

“เลี้ยงมาเป็นปีที่ 3 แล้ว แม่ไก่ไข่ยังให้ได้ดีมาก ต่ำสุดที่เก็บได้ต่อวัน 18 ฟอง”

ในส่วนของการเลี้ยงไก่ไข่ คุณสุพจน์ บอกว่า ยังไม่เป็นรูปแบบการเลี้ยงลักษณะปศุสัตว์อินทรีย์ เพียงแต่เน้นการเลี้ยงให้ไก่ไข่ได้อยู่อย่างสบายมากกว่า หรือที่ภาษาทางวิชาการ จะเรียกว่า แฮปปี้ชิกเก้น

การเลี้ยงในลักษณะนี้ สิ่งที่ดีคือ แม่ไก่ไข่สามารถให้ไข่ได้นานขึ้นและคุณภาพของไข่จะดี เมื่อตอกไข่ออกมาดู จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ส่วนของไข่แดงนั้นจะนูนกว่าไข่ไก่ที่เลี้ยงในลักษณะกรงตับ อีกทั้งความเข้มข้นของไข่แดงและไข่ขาวมากกว่า เรียกว่ามีปริมาณสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายคนเรามากกว่า

“อาหารที่ใช้เลี้ยงยังใช้อาหารเม็ดสำเร็จรูป แต่ปริมาณอาหารที่ให้ต่อวันจะลดลง จาก 150 กรัม ต่อตัว ต่อวัน เป็นเพียง 100 กรัม เท่านั้น นอกจากนี้ เสริมด้วยเศษพืชผักผลไม้ที่มีอยู่”

ในส่วนของการปลูกไผ่รวก คุณสุพจน์ บอกว่า ปกติชาวสวนทั่วไปจะใช้ระยะปลูก ประมาณ 4×4 เมตร แต่ที่ฟาร์มจะเน้นการปลูกให้ถี่ เหลือเพียง 2×2 เมตร และไผ่นั้นมีข้อดีคือ มีปริมาณรากและใบมาก ทำให้มีการดูดน้ำมาหล่อเลี้ยงลำต้นมาก สิ่งที่ตามมาคือ ทำให้มีการคายน้ำมาก ส่งผลให้ในพื้นที่ป่าไผ่มีความชื้น ความเย็นมาก แม่ไก่ไข่สามารถอยู่ได้อย่างสบาย

“และถ้าสังเกต จะเห็นว่าเรามีการติดไฟไว้ให้แม่ไก่ด้วย สาเหตุเพื่อป้องกันงูเหลือมที่จะเข้ามากินไก่ในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเป็นศัตรูสำคัญ แต่เมื่อมีการเปิดไฟให้แสงสว่างแล้ว งูเหลือมจะไม่เข้ามากิน เพราะไม่ชอบแสงสว่าง” คุณสุพจน์ กล่าว

สูตรเลี้ยงหมูหลุม ของ สุพจน์ สิงห์โตศรี

จากข้อมูลของกรมปศุสัตว์ บอกว่า “หมูหลุม” เป็นภาษาชาวบ้านที่เรียกการเลี้ยงหมูแบบขุดหลุมลึก โดยมีวัสดุรองพื้นหลุม มีแนวคิดตามหลักการของ “เกษตรกรรมธรรมชาติ” เป็นการเกษตรที่ไม่เพียงแต่คำนึงถึงผลผลิตจากการเกษตรเท่านั้น แต่มีแนวคิดอยู่เบื้องหลังของการทำงาน เป็นการทำการเกษตรแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความเป็นองค์รวมของระบบนิเวศด้านการเกษตร วงจรชีวภาพห่วงโซ่อาหาร ดิน พืช สัตว์ จุลินทรีย์ พลังงานธรรมชาติหมุนเวียนจากพลังงานแสงแดดและน้ำ นำมาเป็นปัจจัยในการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน พืชที่ปลูกส่วนหนึ่งนำมาเลี้ยงสัตว์ สัตว์ถ่ายมูลออกมาก็นำปุ๋ยมูลสัตว์มาเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน เพื่อการปลูกพืช รวมถึงด้านเศรษฐกิจและสังคมของท้องถิ่น และการพึ่งพาตนเองในด้านการผลิตและการบริโภคขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่เหมาะสมกับทรัพยากร ภูมิปัญญาในท้องถิ่น และวัฒนธรรมที่มีในชุมชน โดยมีเป้าหมายการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน การอยู่ดีกินดีของคนชนบท และสุขภาพของประชากร นำไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจนในที่สุด

พันธุ์หมูที่เลี้ยง

พันธุ์ดูร็อกเจอร์ซี่ อัตราการเจริญเติบโตดี เนื้อมาก แข็งแรง ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี แต่เลี้ยงลูกไม่เก่ง จึงเหมาะสำหรับใช้เป็นพ่อพันธุ์

พันธุ์แลนด์เรซ หูปรก ลำตัวยาว รูปร่างมีมัดกล้ามเนื้อ ให้ลูกดก และเลี้ยงลูกเก่ง

พันธุ์ลาร์จไวท์ หูตั้ง ลำตัวยาว ขาแข็งแรง มีความสามารถในการเป็นแม่พันธุ์ที่ดี ให้ลูกดกและเลี้ยงลูกเก่ง เหมาะสำหรับใช้เป็นแม่พันธุ์

อาหารที่ใช้เลี้ยง ใช้อาหารข้น 50% และอาหารหมัก 50% เพื่อลดต้นทุนค่าอาหาร โดยเน้นการใช้พืชจากธรรมชาติที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น เช่น นำต้นกล้วยมาหั่นเป็นชิ้นๆ หมักในภาชนะ

สูตรอาหารหมักคือ หยวกกล้วยหรือพืชผัก 100 กิโลกรัม น้ำตาลทรายแดง 4 กิโลกรัม เกลือ 1 กิโลกรัม หมักไว้ 4-5 วัน สูตรอาหารข้น ผสมเองโดยเลือกใช้วัตถุดิบที่บดละเอียดร่วมกับปลายข้าวบด และใช้น้ำมันมะพร้าวเพื่อเพิ่มพลังงาน ใช้เหล้า-ยาดอง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำ 10 ลิตร ให้หมูกิน สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อช่วยให้หมูเจริญอาหารและลดความเครียด

นอกจากนี้ ยังใช้จุลินทรีย์ท้องถิ่นที่มีบทบาทในการย่อยสลาย ทำให้อัตราแลกเนื้อได้ดีขึ้นและเกิดเป็นปุ๋ยหมักชีวภาพ พร้อมกันนี้ยังมีการตัดหญ้าสดให้หมูกินทุกวัน โดยให้กินประมาณครึ่งกิโลกรัม ต่อตัว

การดูแลสุขภาพ เน้นสร้างภูมิต้านทานโรคโดยยึดหลักธรรมชาติ ด้วยการให้กินอาหารปลอดสารเคมี พื้นคอกรองด้วยวัสดุจากธรรมชาติ ทำให้หมูสามารถขุดคุ้ยได้ออกกำลังกาย มีน้ำดื่มสะอาด ภายในคอกสะอาด ไม่มีการสะสมของเชื้อโรคและไม่แออัด รวมทั้งใช้น้ำหมักผลไม้และจุลินทรีย์ท้องถิ่นให้หมูกิน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

คอกเลี้ยง ขุดคอกลึก ประมาณ 60-70 เซนติเมตร ใส่แกลบ หรือขี้เลื่อย หรือขุยมะพร้าว หรือก้อนเชื้อเห็ด หรือหญ้าแห้ง โดยเฉลี่ย หมู 1 ตัว จะใช้วัสดุแห้ง ประมาณ 100 กิโลกรัม แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นละประมาณ 30 เซนติเมตร ใส่ดินแดง (หรือดินเดิม) ผงถ่าน เกลือทะเล ไอเอ็มโอ 3 และจุลินทรีย์ ราดให้ชุ่ม ทิ้งไว้ 7 วัน จากนั้นปล่อยลูกหมูลงได้อัตราการปล่อย 2 ตารางเมตร ต่อตัว รดน้ำจุลินทรีย์ในคอกสัปดาห์ละครั้ง และทำความสะอาดคอก 1-2 สัปดาห์ ต่อครั้ง

เมื่อจับหมูออกจากคอกหมด จะขุดปุ๋ยออกทั้งหมด พักคอกไว้ ประมาณ 1 สัปดาห์ และเริ่มใส่วัสดุแห้งเพื่อรองรับลูกหมูรุ่นใหม่ และดำเนินการเลี้ยงตามระบบต่อไป

ทั้งหมดนี้คือ อีกหนึ่งความน่าสนใจที่เกิดขึ้น ที่จังหวัดราชบุรี…