สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดพระนครศรีอยุธยา เพาะพันธุ์ปลาบึก มีลูกปลาพันธุ์แท้ แข็งแรง เผยแพร่สู่เกษตรกร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05075150259&srcday=2016-02-15&search=no

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 617

เทคโนโลยีการประมง

สุรเดช สดคมขำ

สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดพระนครศรีอยุธยา เพาะพันธุ์ปลาบึก มีลูกปลาพันธุ์แท้ แข็งแรง เผยแพร่สู่เกษตรกร

ปลาบึก (Mekong giant catfish) เป็นปลาน้ำจืด ที่ไม่มีเกล็ด ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จัดเป็นปลาที่อยู่ในกลุ่มสัตว์หายาก และใกล้สุญพันธุ์ แหล่งที่อยู่อาศัยของปลาบึกตามธรรมชาติ พบได้ในแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำสงคราม แม่น้ำงึม การกระจายตัวของปลาบึก พบตั้งแต่สาธารณรัฐประชาชนจีน จนถึงสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

เมื่อประมาณ ปี 2526 ประเทศไทยได้เพาะพันธุ์ปลาบึก โดยใช้พ่อแม่พันธุ์จากแม่น้ำโขงได้สำเร็จเป็นครั้งแรก โดยกรมประมง แต่จำนวนลูกปลายังมีปริมาณไม่มากพอ จากนั้นจึงดำเนินการเพาะพันธุ์อีกครั้งในปีถัดมา ทำให้ได้ลูกปลาบึกเป็นจำนวนมาก จึงส่งไปทดลองเลี้ยงในบ่อดิน เพื่อใช้สำหรับเป็นพ่อแม่พันธุ์ในศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด และสถานีประมงน้ำจืดของกรมประมงทั่วประเทศ

ต่อมาในปี 2544 กรมประมง สามารถผสมเทียมโดยการใช้พ่อแม่พันธุ์ปลาบึกในบ่อดินสำเร็จเป็นครั้งแรก ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา ซึ่งเป็นปลาบึกรุ่นลูก (F1) ทำให้ได้ลูกปลารุ่นหลาน (F2) เป็นครั้งแรก จากนั้น กรมประมง ได้กระจายลูกปลาบึกไปทั่วทั้ง 4 ภาค ทำให้สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด เลขที่ 32 หมู่ที่ 2 ตำบลโพแดง อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้นำมาเพาะเลี้ยงเช่นกัน

บทบาท

และความรับผิดชอบของศูนย์

คุณวินัย จั่นทับทิม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด เล่าให้ฟังว่า ที่ศูนย์แห่งนี้เริ่มมีการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาบึกในบ่อดิน เมื่อ ปี 2541 ปลาบึกที่เลี้ยงมีความยาวต่อตัว เฉลี่ย 1.40 เมตร น้ำหนักตัวเฉลี่ย 20 กิโลกรัม ต่อมาจึงนำมาเลี้ยงในบ่อซีเมนต์

“ปลาบึก ที่เราได้มาคือ ได้มาจากภาคเหนือ ผสมพันธุ์ใกล้แม่น้ำโขง ก็แจกกันมาทั่วทั้งหมด ก็มีส่วนหนึ่งที่มาศูนย์แห่งนี้ และก็มาทำการเลี้ยง ซึ่งปลาที่ส่งมาที่นี่ ก็ได้มาจากชาวบ้านที่ได้จากการพระราชทานนำไปเลี้ยง พอตัวใหญ่เขาก็ไม่อยากเลี้ยง ก็ส่งคืนมา ทางกรมประมงก็เก็บคืนมา เราก็มาเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ดู” คุณวินัย เล่าถึงความเป็นมา

การนำมาเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ คุณวินัย บอกว่า มีความสะดวกในการจัดการ เมื่อปลาบึกถึงระยะผสมพันธุ์ และที่สำคัญประหยัดพื้นที่ในการเลี้ยง เมื่อเทียบกับการเลี้ยงในบ่อดิน

“เราก็ทำการศึกษานำมาเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ แทนที่จะเลี้ยงในบ่อดินใหญ่ๆ เราก็มาปรับหลายเรื่อง ไม่ว่าจะการให้อาหาร คุณสมบัติน้ำให้เหมาะสมเราดูหมด เพื่อให้การเลี้ยงในบ่อซีเมนต์เป็นธรรมชาติมากที่สุด เหมือนเขาได้อยู่ที่บ้านเขา คือแม่น้ำ มันก็จะทำให้เขาสามารถเจริญเติบโต และพร้อมมีไข่ได้” คุณวินัย กล่าว

อาหารที่ให้พ่อแม่พันธุ์ จะเป็นอาหารที่ทางศูนย์ผสมเอง ประกอบไปด้วยอาหารเม็ดสำเร็จรูป โปรตีน 30 เปอร์เซ็นต์ บดละเอียด 875 กรัม วิตามินซี 5 กรัม วิตามินรวม 5 กรัม น้ำมันปลา 5 กรัม สไปรูไลน่า 10 กรัม แป้งสาลี 100 กรัม สารเหนียว 50 กรัม นำมาผสมกับน้ำสะอาด ปั้นเป็นก้อนให้มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 เซนติเมตร โยนให้กินวันละ 1 ครั้ง เวลาประมาณ 15.00 น.

เพาะพันธุ์ได้ง่าย

ไม่แตกต่างจากปลาชนิดอื่นๆ

คุณวินัย บอกว่า การเพาะพันธุ์ปลาบึกในบ่อซีเมนต์นั้น ทำด้วยวิธีเดียวกันกับปลาที่เลี้ยงในบ่อดิน

“วิธีที่เพาะ ก็เป็นเหมือนวิธีทั่วๆ ไป ของการเพาะพันธุ์ปลา คือการฉีดฮอร์โมน ขั้นแรกเราต้องเลือกก่อน โดยเลือกแม่ปลาที่มีไข่แล้ว แต่ไข่ยังไม่ตกมา เราก็จะฉีดฮอร์โมนไปเร่งอีกหน่อยหนึ่ง พอเสร็จแล้วเราก็รอเวลา เพื่อให้ไข่มันแก่เต็มที่ ไข่ก็จะไหลออกมา จากนั้นเราก็บีบน้ำเชื้อผสม คนให้เข้ากัน เรียกแบบนี้ว่าการผสมเทียม” คุณวินัย อธิบายวิธีการเพาะพันธุ์

พอประมาณ 24 ชั่วโมง ไข่จะฟักออกเป็นตัว หลังจากไข่ฟักออกเป็นตัว ใช้เวลาอนุบาลในบ่อฟักไข่ ประมาณ 5 วัน โดยในวันแรกให้โรติเฟอร์เป็นอาหาร ต่อมาจึงให้ไรแดง

จากนั้น นำลูกปลาที่ได้ทั้งหมดมาอนุบาลในบ่อดิน ขนาด 2 ไร่ อาหารในระยะนี้เป็นรำและปลาป่น ในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 เมื่อลูกปลาอายุได้ประมาณ 15 วัน จึงเปลี่ยนเป็นอาหารเม็ดลอยน้ำที่มีโปรตีน 30 เปอร์เซ็นต์ ในระยะอนุบาลใช้เวลาประมาณ 30 วัน ปลาบึกจะมีไซซ์ขนาด 1-2 นิ้ว

ลูกปลาบึกที่เพาะพันธุ์มา เรื่องอาการของการเกิดโรคไม่มี ค่อนข้างจะเป็นปลาที่มีความแข็งแรง เมื่อเทียบกับปลาอื่นๆ

ปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ

และจำหน่ายให้เกษตรกร

“พอลูกปลาบึกเรามีความแข็งแรง เราก็จะทำตามนโยบายของกรมประมง นำปลาบางส่วนปล่อยลงตามแหล่งน้ำธรรมชาติ และอีกส่วนหนึ่งก็จำหน่ายให้กับเกษตรกร หรือผู้ที่สนใจ อยากจะเลี้ยงดูเล่นๆ ที่บ้าน” คุณวินัย เล่าถึงจุดประสงค์ของการเพาะพันธุ์

สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดแห่งนี้ จำหน่ายลูกปลาบึกไซซ์มาตรฐาน ราคาอยู่ที่ตัวละ 40-100 บาท โดยราคาขึ้นอยู่กับขนาดไซซ์ของลูกปลาบึก

คุณวินัย ยังบอกอีกด้วยว่า ปลาบึกที่ศูนย์แห่งนี้ เป็นปลาพันธุ์แท้แน่นอน ผู้ที่ซื้อไปเลี้ยงไม่ต้องกลัวเรื่องของปลอม ซึ่งหากไปซื้อจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจได้ปลาที่ได้รับการผสมมากมายหลายสายพันธุ์ เพราะลูกปลาขนาดเล็กบางครั้งผู้ที่ไม่มีความชำนาญมากพอ อาจดูลักษณะไม่ออก ว่าเป็นลูกปลาบึกหรือปลาสวาย

ปลาบึกเลี้ยงเองตามบ้าน

ขนาดตัวอาจสู้ตามแหล่งน้ำธรรมชาติไม่ได้

คุณวินัย บอกว่า ปลาบึกที่เลี้ยงเองที่บ้าน ผู้ที่เลี้ยงต้องทำใจยอมรับเรื่องขนาดของปลาบึก ว่าไม่สามารถเติบโตได้ดีเหมือนในแม่น้ำ

“คนที่สนใจเลี้ยงปลาบึกนี่มีหลายแบบ บางคนอยากมีไว้ประดับบารมี บางคนก็เลี้ยงไว้เยอะๆ เพื่อจะเอาไว้กิน แต่ปลาบึกที่คนนิยมกินจะเป็นปลาบึกใหญ่ ตัวละ 100 กิโลกรัมขึ้น มันที่ติดกับเนื้อจะหนา อย่างที่เรามาเลี้ยงกันเองนี่ บางทีมันจะไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ตัวจะคล้ายๆ ปลาสวาย เพราะอาหารเราเป็นคนกำหนดให้ ปลาบึกเขาจะชอบหรือเปล่าไม่รู้ ซึ่งถ้าคนที่เลี้ยงเอามาขาย บางทีราคาอาจจะสู้ปลาที่จับมาจากธรรมชาติไม่ได้” คุณวินัย อธิบาย

บ่อน้ำภายในบ้าน

เหมาะที่จะปล่อยปลาบึกทิ้งไว้

คุณวินัย ได้กล่าวแนะนำ สำหรับคนที่สนใจ พร้อมทั้งแนะนำเพื่อสร้างรายได้ว่า

“ปลาบึก ถ้าเลี้ยงก็ควรเป็นอาชีพเสริม หรือว่าปล่อยไว้ในบ่อเพื่อเพิ่มผลผลิต เพราะปลาบึกอาจต้องใช้เวลาเลี้ยงที่นาน กว่าจะได้ตัวใหญ่ตามที่ตลาดต้องการ หากเลี้ยงเป็นการค้า มันจะไม่ค่อยได้อะไร เพราะเรารอนาน ทุนอาจเสียได้ อีกอย่างผลผลิตของมันอาจจะโตไม่เท่าปลาจากแหล่งธรรมชาติ”

“วิธีการเลี้ยงปลาบึกนี่ เลี้ยงได้ง่ายมาก จะเห็นได้ว่าไม่มีข่าวด้านลบเกี่ยวกับปลาบึก เช่น เลี้ยงแล้วไม่โต เลี้ยงแล้วเป็นโรค ข่าวในทำนองนี้จะไม่ค่อยมี อีกอย่างปลาบึกเป็นปลาที่ปรับตัวง่าย กินอาหารผสม กินอาหารเม็ด ได้เหมือนแบบปลาอื่นเลย ก็เอาไปปล่อยเล่นๆ ดูครับ”

สำหรับท่านใดที่สนใจ อยากมีปลาบึกไว้ดูเล่นๆ ที่บ่อหรือสระน้ำภายในบ้าน ก็สามารถติดต่อได้ที่ สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด หมายเลขโทรศัพท์ (035) 704-171

 

คนเดิมบางนางบวช เลี้ยงกบ เป็นอาชีพเสริม แปรรูปสร้างรายได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05081150159&srcday=2016-01-15&search=no

วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 615

เทคโนโลยีการประมง

สุรเดช สดคมขำ

คนเดิมบางนางบวช เลี้ยงกบ เป็นอาชีพเสริม แปรรูปสร้างรายได้

เศรษฐกิจทุกวันนี้ อาจเรียกว่าเป็นยุคข้าวยากหมากแพง การทำมาหากินของคนในสังคมเป็นเรื่องที่ลำบาก เพราะรายรับอาจไม่เพียงพอต่อรายจ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งปัญหานี้มิได้เป็นแต่เพียงประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตไม่ดีเท่าที่ควร จนเกิดสภาวะเครียดทางจิตใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงของคนในยุคนี้

ประเทศไทย นอกจากต้องเจอปัญหาเศรษฐกิจแล้ว ยังต้องประสบกับวิกฤตเรื่องน้ำ ซึ่งกรมชลประทานได้รายงานสถานการณ์น้ำใน 4 เขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ว่ายังมีน้ำเกณฑ์ที่น่าเป็นห่วง แม้จะมีปริมาณน้ำฝนที่ตกลงภายในเขื่อนแล้วก็ตาม ทำให้ชาวนาที่เคยทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง คือ นาปี และนาปรัง ต้องหยุดทำนาปรังลงพร้อมทั้งการเกษตรอื่นๆ ด้วย เพื่อให้ปริมาณน้ำมีใช้ถึงฤดูฝนใหม่ที่จะมาถึง

เกษตรกรทำนาเช่น คุณเกษร ป้องฉิม อยู่บ้านเลขที่ 65/2 หมู่ที่ 1 ตำบลนางบวช อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ต้องเจอกับปัญหานี้เช่นกัน ซึ่งเธอมีอาชีพทำนาเป็นรายได้หลักของครอบครัว ในช่วงที่ไม่ได้ทำนาเช่นนี้ เธอยังมุ่งมั่นหาอาชีพเสริม ด้วยการเลี้ยงกบและเลี้ยงปลาดุก และนำกบที่เลี้ยงมาเพิ่มมูลค่า ด้วยการประกอบอาหารขาย เป็นการสร้างรายได้เป็นอย่างดี

เลี้ยงกบ หลังจากว่างทำนา

คุณเกษร เล่าว่า ครอบครัวของเธอทำนามากว่า 20 ปี แต่ระยะหลังๆ ราคาข้าวไม่แน่นอน ทำให้ต้องเริ่มมองหาอาชีพเสริม เพื่อให้มีรายได้มากขึ้น

“ทำนามานานมาก บางทีรายได้มันไม่เพียงพอ เมื่อประมาณ ปี 54 ก็เลยลองหากบมาเลี้ยงดู ก็เลยเริ่มเลี้ยง ตอนนั้นไปซื้อที่อื่นมาก่อน 200 ตัว พอมันโต ก็จับมายำทำเป็นกับข้าวขาย ก็คิดว่ามันน่าจะไปได้ ก็เลยอยากเลี้ยงจริงจังเลยทีนี้” คุณเกษร เล่าถึงความเป็นมา

จากการซื้อลูกกบตัวเล็กๆ มาเลี้ยงในคราวนั้น อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของการหารายได้เสริม คุณเกษร บอกว่า ตัดสินใจเป็นที่แน่นอนแล้วว่า จะเลี้ยงกบ จึงได้ไปหาคนที่ขายกบให้กับเธอในทันที

“เราก็ไปเลย ไปหาคนที่เขาขายให้ คือไหนๆ จะทำแล้ว ต้องลองผิดลองถูกดู ก็นานเหมือนกันกว่าจะทำได้ เรียกง่ายๆ ไปบ้านเขานี่ ไม่รู้เขาจะเบื่อไหม ต้องทำให้ได้ เพราะเราต้องเพาะพันธุ์เองให้ได้ ต้องถามให้หมด ดีนะเขาไม่หวงความรู้เลย เขาสอนบอกหมด เราก็เลยทำได้” คุณเกษร กล่าวพร้อมหัวเราะ เมื่อนึกถึงตัวเธอเองในสมัยนั้น

เลี้ยงให้โต ขายได้ทำอย่างไร

ในขั้นตอนแรก คุณเกษร เล่าว่า เตรียมรองซีเมนต์ ขนาดกว้าง 80 เซนติเมตร มาวางซ้อนกัน จำนวน 2-3 วง เพื่อให้มีความสูงเล็กน้อย จากนั้นนำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาเลี้ยง เธอบอกว่า เลี้ยงในช่วงนี้นานพอสมควรประมาณเกือบ 1 ปี

เมื่อเข้าช่วงฤดูฝน จึงนำมาผสมพันธุ์ตามที่เธอได้เรียนรู้มา โดยดูความพร้อมของพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่เลี้ยงไว้ว่า มีความพร้อมในการผสมพันธุ์มากน้อยเพียงใด

การให้กบผสมพันธุ์นั้น ปล่อยกบให้มีตัวผู้และตัวเมียในอัตราส่วนที่เท่ากัน คือ 5 ต่อ 5 ทิ้งไว้ประมาณ 1 คืน กบจะออกไข่ ซึ่งเตรียมสถานที่ไว้เป็นที่สำหรับเพาะพันธุ์โดยเฉพาะ จากนั้นแยกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กลับสู่รองซีเมนต์เดิมที่เลี้ยงแยกไว้ดังเดิม ไข่ที่ออกมาใช้เวลาประมาณ 1 คืน ลูกกบ (ลูกอ๊อด) จะออกจากไข่

หลังจากที่ลูกกบออกจากไข่ คุณเกษร บอกว่า ปล่อยไว้อย่างนั้น ประมาณ 3-5 วัน จึงให้อาหารที่เป็นไข่ต้มหรือไข่ตุ๋นให้ลูกกบกิน เช้าและเย็น กินแบบนี้ประมาณ 1 เดือน ในระยะนี้ต้องถ่ายน้ำทุก 3 วัน จนกว่าได้ระยะที่หางของลูกกบหายไป

เมื่อครบกำหนด ก็ย้ายลูกกบลงไปเลี้ยงในกระชัง ขนาด 4×4 เมตร สูง 150 เซนติเมตร ที่อยู่ในบ่อดิน พื้นของกระชังจะใช้แผ่นโฟมลองข้างใต้ไว้ เนื่องจากกบเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ บางครั้งจะไม่ได้อยู่ในน้ำตลอดเวลา การเตรียมแผ่นโฟมก็เพื่อให้กบได้มีที่สำหรับอยู่บนบก

“พอเราใส่ในกระชังนี่ อาหารก็เปลี่ยนเป็นอาหารเม็ด ที่มีโปรตีน 25 หรือ 30 เปอร์เซ็นต์ ก็ได้ ให้กินแบบนี้ไปตลอดเลย ก็เลี้ยงไปประมาณ 3 เดือน ตัวใหญ่ได้ขนาด เดี๋ยวก็ขายได้” คุณเกษร กล่าว

ด้านการดูแล คุณเกษร บอกว่า บางครั้งเรื่องโรคก็มีเกิดขึ้นบ้าง เช่น กบจะเป็นโรคตาแดง ตาขาว อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษา โดยดูตามอาการว่าเป็นมากหรือน้อย อาการที่เกิดโรคจะเป็นช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ส่วนสัตว์อื่น เช่น นก งู ก็ขึงตาข่ายไว้

บ่อดินที่ใช้เลี้ยงกบนั้น ภายในบ่อยังมีการเลี้ยงปลาดุกไว้ เมื่ออาหารที่เหลือจากการให้กบ หรือบางครั้งมีกบตายก็สามารถให้เป็นอาหารของปลาดุกได้ ถือว่าเป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์เลยทีเดียว

ควรหา พ่อพันธุ์

แม่พันธุ์ ใหม่ๆ เสมอ

ด้านการผสมพันธุ์ คุณเกษร อธิบายให้ฟังว่า หลังจากที่นำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาผสมกันแล้ว ต้องย้ายไปขังแยก โดยตัวผู้ก็อยู่ในรองซีเมนต์ตัวผู้ ตัวเมียก็อยู่ในรองซีเมนต์ตัวเมีย ห้ามนำมาขังรวมกัน

การคัดพ่อพันธุ์แม่พันธุ์นั้นดูตัวที่สวย ตัวโตใหญ่มีลักษณะที่ดี หากต้องการให้ลูกกบที่ได้จากการผสมพันธุ์ดี มีคุณภาพ คุณเกษร บอกว่า จำเป็นต้องหาพันธุ์ดีจากฟาร์มอื่นมาผสม เช่น ถ้าใช้แม่พันธุ์จากฟาร์มคุณเกษร ก็จะหาพ่อพันธุ์จากฟาร์มอื่นมาช่วยผสมด้วย

“หากเราเอากบจากคอกเดียวกันมาผสม มันก็เหมือนเอาพี่น้องกันมาผสม มันเป็นเลือดชิด อันนี้มันไม่ดี เพราะลูกออกมาไม่ดีด้วย จะคอเอียง พิกลพิการไปหมด อันนี้ก็หลักการง่ายๆ บางคนที่เลี้ยงใหม่อาจไม่ทันคิด” คุณเกษร อธิบาย

ช่วงที่เหมาะจะผสมพันธุ์กบมากที่สุด โดยคุณเกษรทำมาตลอดคือ ช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนตุลาคม

ยำกบ รสเด็ด

อาหารที่หลายๆ คนชอบ

คุณเกษร เล่าว่า กบที่เจริญเติบโตได้ขนาด ก็สามารถขายได้ทันทีไม่ต้องรอส่งขายที่ไหน เนื่องจากก่อนหน้านั้น ตอนที่เธอเริ่มเลี้ยงใหม่ๆ ก็ทำยำขายเป็นกับข้าวอยู่แล้ว ทำให้ไม่กังวลในเรื่องนี้

“กบที่เลี้ยงโตนี่ ไม่ได้เอาไปขายที่อื่นเลย เราก็ยำขายเอง เพิ่มมูลค่าเราเอง เพราะยำกบขายตามตลาดนัด ที่หลักๆ ก็ร้านน้องสาว เพราะช่วงเย็นจะทำกับข้าวขายกันอยู่แล้ว ทำให้เรามีกำไรมากขึ้น เพราะไม่ต้องไปรับจากที่อื่นมา เราก็มาเลี้ยงเองทำเอง ต้นทุนเราก็ต่ำลง เรียกง่ายๆ กำไรเราก็ได้มากขึ้น” คุณเกษร อธิบาย

ราคากบที่คุณเกษรขายมีราคาที่แตกต่างกัน กบที่ทำเสร็จเรียบร้อยคือ ตัดหัว ตัดขา เอาไส้ออกจากตัวแล้ว พร้อมนำไปประกอบอาหาร ขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 120-125 บาท แต่ถ้าเป็นกบที่ยังไม่ได้ทำ ขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 80 บาท ส่วนยำกบที่ทำขาย อยู่ที่ตัวละ 30 บาท ซึ่งทางคุณเกษรจะทำยำให้กับลูกค้าเอง พร้อมกินกับข้าวสวยร้อนๆ ได้ทันที

นอกจากจะเป็นที่ถูกใจของหลายๆ คนแล้ว คุณเกษร เล่าว่า มีลูกค้าจากจังหวัดอื่น มารับซื้อกบถึงที่บ้าน เป็นผลจากการที่เธอไปขายตามตลาดนัด ทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

เลี้ยงอย่างอื่นมาก็เยอะ

แต่ กบ ทำรายได้ดี

“ก่อนหน้านี้ เลี้ยงอย่างอื่นมาก็ไม่สำเร็จ เลี้ยงหมูด้วยนะช่วงนั้น ก็ไม่ได้อะไร แต่กบนี้เลี้ยงไป มันดีกว่าอย่างอื่น ได้ไวแป๊บเดียวโต บางทีนะเอากำไรเสริมตรงนี้แหละ ไปช่วยเป็นทุนในการทำนาด้วย เพราะว่านาที่ทำก็เช่าเขา ทุนเราเลยสูง การหาอาชีพเสริมนี่แหละดีที่สุด เพราะนาเราก็ต้องหยุดทำช่วงนี้ ช่วงรอข้าวโตเราก็ต้องหาเงินด้วย แต่ทำตัวนี้มันยังช่วยเสริมให้เราได้ เงินเราก็จะพอเหลือเก็บเหลือใช้” คุณเกษร กล่าว

สำหรับท่านที่สนใจหรืออยากเลี้ยง คุณเกษร ให้คำแนะนำว่า “สำหรับคนที่สนใจ ก็อยากให้ดูเรื่องตลาดไว้ก่อน เพราะการเลี้ยงนี่มันไม่ยาก เราเองก็ทำได้ ลองผิดลองถูกมา ยังทำได้ ส่วนการขายนี่คุณต้องแปรรูปให้ได้ เพราะว่าถ้าจะรอขายส่งอย่างเดียวมันจะไม่ได้ ควรหาช่องทางอื่นไว้ด้วย” คุณเกษร กล่าวแนะนำ

จะเห็นได้ว่าการหารายได้เสริมนั้น เราไม่ควรทำอาชีพหลักเพียงอย่างเดียว รายรับที่ได้อาจไม่เพียงพอต่อรายจ่าย เหมือนเช่น คุณเกษร ที่การดำเนินชีวิตของเธอไม่ขอรอเวลา แต่กลับเดินอยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ทำให้การเลี้ยงกบ ณ ปัจจุบัน เป็นการสร้างรายได้เสริมที่ดี เพียงแค่เปิดใจเรียนรู้ ลองทำ ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม คุณเกษร ป้องฉิม หมายเลขโทรศัพท์ (087) 764-5921

เทคนิคการเลี้ยงกุ้งก้ามแดง กุ้งเศรษฐกิจตัวใหม่ ที่ตลาดต้องการ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05075151258&srcday=2015-12-15&search=no

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613

เทคโนโลยีการประมง

การุณย์ มะโนใจ

เทคนิคการเลี้ยงกุ้งก้ามแดง กุ้งเศรษฐกิจตัวใหม่ ที่ตลาดต้องการ

คุณภูลิช ชวาลกานต์ ลูกชายเจ้าของร้านเอเย่นต์ หนังสือเหรียญทอง ในตลาดเมืองพะเยา สนใจทำอาชีพเสริมในช่วงเย็น จึงศึกษาทางอินเตอร์เน็ตและผู้เลี้ยงที่จังหวัดเชียงราย พบว่าการเลี้ยงกุ้งก้ามแดง น่าจะทำได้ เพราะนิสัยของกุ้งก้ามแดงชอบหากินในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นเวลาที่ว่างจากงานที่ร้านพอดี

จากการศึกษาข้อมูลทางวิชาการและการปฏิบัติจริงจากเกษตรกรรายอื่นพบว่า กุ้งก้ามแดง หรือกุ้งเครย์ฟิช มีถิ่นกำเนิดที่ ออสเตรเลีย ขนาดโตเต็มที่ 12 นิ้ว อายุเฉลี่ย 4 ปี ในธรรมชาติ ถ้าเลี้ยงใส่ตู้กระจก อยู่ได้ 2-3 ปี อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเลี้ยง 25-28 องศา ถือว่าอากาศและอุณหภูมิในบ้านเรากำลังดี

กุ้งก้ามแดง เป็นกุ้งที่มีการเจริญเติบโตค่อนข้างเร็วและมีขนาดใหญ่ ลักษณะเด่นคือ มีขนาดใหญ่และสีของกุ้งมีการเปลี่ยนแปลงตลอด แต่สีที่พบมากที่สุดคือ สีเขียว สีน้ำตาล และสีน้ำเงิน ซึ่งคนไทยจะเรียกว่า บลูล็อปเตอร์ บางที่ก็เลี้ยงไว้เพื่อความสวยงามแล้วนำไปจำหน่ายได้ในราคาสูง

กุ้งชนิดนี้มีจุดเด่นอีกอย่างคือ แถบข้างของก้ามจะมีสีแดงและสีส้ม เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งแถบสีเหล่านี้จะพบกับกุ้งเพศผู้เท่านั้น ส่วนเพศเมียจะไม่มีแถบสี กุ้งชนิดนี้เลี้ยงง่าย ปรับตัวได้เร็วและภูมิต้านทานโรคสูง ปัจจุบัน เกษตรกรนำมาเลี้ยงเป็นกุ้งเนื้อ และเป็นที่ต้องการของตลาด การเริ่มต้นเลี้ยงกุ้งก้ามแดง แบบเลี้ยงเพื่อเศรษฐกิจ ทำได้ดังนี้

การเตรียมน้ำ…ต้องเตรียมน้ำ ยกตัวอย่างเลี้ยงในตู้ 24 นิ้ว ใส่น้ำ ประมาณ 50 ลิตร เติมเกลือแกงไป ประมาณ 2-4 ช้อนโต๊ะ เปิดออกซิเจนทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง ไม่ต้องใส่น้ำยาลดคลอรีน ก่อนนำกุ้งลงตู้ให้เอาถุงใส่กุ้งลอยน้ำทิ้งไว้ 15 นาที เพื่อปรับอุณหภูมิให้กับกุ้ง กรณีเลี้ยงบ่อดิน บ่อผ้าใบพลาสติก ใส่น้ำ ความสูง 30-40 เซนติเมตร เติมเกลือ อัตราน้ำ 1,000 ลิตร ต่อ 1 กิโลกรัม ปั๊มออกซิเจน หรือใบพัดปั่นน้ำ ในบ่อทิ้งไว้ 5-6 ชั่วโมง ค่อยนำกุ้งลง แล้วแต่ขนาดของบ่อ ปรับอุณหภูมิการเลี้ยงไว้ที่ 20-30 องศาเซลเซียส

สังเกตการลอกคราบของกุ้ง ซึ่งช่วงเวลานี้กุ้งจะบอบบางและอ่อนแอมาก จะสังเกตได้ดังนี้ ปริมาณการกินอาหารน้อยลง รอยต่อของลำตัวจะเปิด จับดูที่เปลือกหัวจะนุ่มนิ่ม แสดงว่าใกล้ลอกคราบ แต่ถ้าหัวเปิดแล้วตัวยังแข็งอยู่ แสดงว่ายังไม่ลอกคราบ อาจจะเกิดจากการที่กุ้งกินอาหารมากเกินไป ทำให้เปลือกบริเวณรอยต่อยกขึ้นเหมือนลอกคราบ การถ่ายน้ำในกรณีเลี้ยงตู้ ควรถ่ายทุกๆ 7-10 วัน ส่วนบ่อดิน บ่อผ้าใบพลาสติก สูบน้ำเก่าออกเติมน้ำใหม่เข้า ทุก 2 สัปดาห์ ไม่ควรเปลี่ยนน้ำทิ้งทั้งหมด จะทำให้กุ้งน็อกน้ำได้

อาหาร…สำหรับกุ้งชนิดนี้กินได้ทั้งพืชและสัตว์ และอาหารเม็ด ยกตัวอย่างอาหารของกุ้งก้ามใหญ่ เช่น สาหร่ายหางกระรอก แครอต และพืชน้ำอื่นๆ ประเภทเนื้อสัตว์จะเป็นพวก กุ้งฝอยต้ม เนื้อปลาตัวเล็กๆ หนอนแดง กรณีเลี้ยงในตู้หรือบ่อพลาสติก

การเพาะพันธุ์กุ้งก้ามใหญ่…จะเริ่มผสมพันธุ์ที่ขนาด ประมาณ 3 นิ้ว ขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ และสายพันธุ์) หลังจากผสมแล้ว ตัวเมียจะปล่อยไข่ออกมาใต้หาง และใช้เวลา 30 วัน ลูกจะเป็นตัวแล้วจะลงดิน อัตราการผสม ตัวผู้ 1 ตัว ต่อ ตัวเมีย 3 ตัว

แนวทางการเลี้ยงแบบสวยงาม…กุ้งเครย์ฟิช สามารถนำมาเลี้ยงในตู้ปลาได้ แต่หากเลี้ยงรวมกันหลายตัว ควรจะเลี้ยงในตู้ปลาขนาดใหญ่ ที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 24 นิ้ว เพราะกุ้งเครย์ฟิช มีนิสัยค่อนข้างก้าวร้าว และหวงถิ่นที่อยู่ เมื่อมีเนื้อที่กว้างจะทำให้กุ้งแต่ละตัวสามารถสร้างอาณาเขตของตนเองได้ หากนำมาเลี้ยงรวมกันอย่างหนาแน่นจะพบว่า กุ้งเครย์ฟิช ขนาดเล็กมักถูกรังแกและมีโอกาสที่จะถูกกุ้งเครย์ฟิชที่มีขนาดใหญ่กว่ากินเป็นอาหารได้ นอกจากนี้ ควรใส่ขอนไม้ กระถางต้นไม้แตกๆ หรือ ท่อพีวีซี ตัดเป็นท่อนๆ เพื่อให้กุ้งเครย์ฟิชได้หลบอาศัยในเวลากลางวัน เพราะปกติช่วงกลางวันเป็นเวลาที่มันจะอยู่เงียบๆ แต่จะออกมาหาอาหารในเวลากลางคืนมากกว่า

สำหรับการตกแต่งตู้เลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชนั้น หากชอบให้ตู้โล่งก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่ควรใส่ ท่อพีวีซี ลงไปด้วย เพื่อให้กุ้งได้ใช้ในการหลบซ่อนตัว แต่หากต้องการให้ตู้เลี้ยงมีความสวยงามก็สามารถใช้กรวดปูพื้นตู้ได้ แต่มักพบว่า กุ้งเครย์ฟิชมีนิสัยชอบขุดคุ้ยกรวดเพื่อสร้างเป็นที่กำบังในเวลากลางวัน จึงทำให้ไม่เป็นเหมือนครั้งแรกที่แต่งไว้ ทั้งนี้ จึงควรจะปูกรวดให้หนา ไม่ต่ำกว่า 5 เซนติเมตร เพื่อให้กุ้งเครย์ฟิชขุดกลบลำตัวได้ แต่ไม่ควรปูพื้นตู้ด้วยทราย เพราะมีความหนาแน่นสูง หากกุ้งเครย์ฟิชมุดลงไปแล้วอาจทำให้ขาดอากาศหายใจได้

ผู้เลี้ยงไม่จำเป็นที่จะต้องติดตั้งปั๊มออกซิเจนในตู้เลี้ยงก็สามารถทำได้หากเลี้ยงจำนวนน้อย แต่หากต้องการจะติดตั้งเครื่องปั๊มออกซิเจนก็ปล่อยอากาศให้น้ำกระเพื่อมเบาๆ ก็พอ ส่วนระบบกรองน้ำ ควรใช้ชนิดกรองบน กรองแขวน หรืออาจจะใช้กรองฟองน้ำที่เป็นตุ้มก็เพียงพอ แต่ไม่ควรใช้ชนิดกรองใต้ตู้ เพราะกุ้งเครย์ฟิชมักจะขุดกรวดขึ้นมา

อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมในการเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชคือ ประมาณ 23-28 องศาเซลเซียส ค่าพีเอช ที่เหมาะสมคือ ประมาณ 7.5-10.5 แต่หากน้ำมีความกระด้างสูง ก็สามารถใส่เกลือลงไปในตู้ได้ เพื่อเป็นการปรับสภาพน้ำ นอกจากนี้ เกลือยังช่วยเสริมแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อการลอกคราบและสร้างเปลือกใหม่ด้วย สำหรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ควรจะเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆ แต่ทีละน้อย เพื่อป้องกันอุณหภูมิเปลี่ยนฉับพลัน และน้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำสะอาด

กุ้งเครย์ฟิช สามารถกินอาหารได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นพืชผัก เศษเนื้อสัตว์ หรือให้อาหารเม็ดสำเร็จรูปชนิดจมก็ได้ เพื่อความสะดวก แต่ไม่ควรให้อาหารบ่อย 2-3 วัน ให้ครั้งหนึ่งก็พอ และควรให้น้อยๆ แต่พอดี เพื่อป้องกันการตกค้างของอาหาร ซึ่งจะทำให้น้ำเน่าเสีย ส่งผลต่อการเกิดโรคได้ และควรให้อาหารในเวลากลางคืน เพราะตามธรรมชาติ กุ้งเครย์ฟิช เป็นสัตว์ที่หาอาหารกินในเวลากลางคืน

สำหรับการเพาะพันธุ์กุ้งเครย์ฟิชนั้นไม่ยาก เพราะสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี และสามารถขยายพันธุ์ได้ง่าย เพียงนำกุ้งเครย์ฟิชตัวผู้กับตัวเมียมาปล่อยรวมกัน แต่ต้องมั่นใจว่าเป็นตัวผู้กับตัวเมีย โดยสังเกตที่อวัยวะสืบพันธุ์ตรงช่วงขาเดิน กุ้งตัวผู้มีอวัยวะคล้ายตะขอบริเวณขาเดินคู่ที่สองและสาม ซึ่งตะขอนี้เอาไว้เกาะตัวเมียตอนผสมพันธุ์ ส่วนตัวเมียจะมีอวัยวะสืบพันธุ์เป็นแผ่นทรงวงรี บริเวณขาเดินคู่ที่ 3

กุ้งเครย์ฟิช ใช้เวลาผสมพันธุ์นานกว่า 10 นาที หลังจากนั้น สามารถย้ายกุ้งตัวเมียไปยังตู้อนุบาลได้ เพื่อเป็นการเตรียมที่อยู่สำหรับลูกกุ้ง หลังจากนั้น ตัวเมียจะทยอยผลิตไข่ขึ้นมาไว้บริเวณขาว่ายน้ำเป็นกระจุก มองคล้ายพวงองุ่น หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว ตัวเมียจะหาที่หลบซ่อนนอนนิ่งไม่ยอมกินอะไร ระยะเวลาที่ตัวอ่อนใช้ในการพัฒนารูปร่างนั้นจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ปริมาณอาหาร และคุณภาพน้ำด้วย โดยเฉลี่ยไข่จะพัฒนาจนเป็นตัวอ่อนเหมือนโตเต็มวัย ภายใน 3-4 สัปดาห์ หลังจากนั้น ลูกกุ้งจะถูกปล่อยให้ว่ายน้ำเป็นอิสระ ในการผสมพันธุ์แต่ละครั้งแม่กุ้งสามารถให้ลูกกุ้งได้มากถึง 300 ตัว ซึ่งพ่อแม่กุ้งไม่มีพฤติกรรมกินลูกกุ้งเป็นอาหาร และลูกกุ้งก็จะอยู่ไม่ห่างพ่อแม่นัก เพื่อคอยเก็บเศษอาหารที่เหลือจากพ่อแม่กินเป็นอาหารนั่นเอง

ตัวอ่อนของกุ้งเครย์ฟิช มีขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร โดยจะกินเศษอาหารก้นตู้เป็นหลัก สามารถให้ไส้เดือนฝอย ไรทะเล เป็นอาหารเสริมได้ แต่ควรระวังเรื่องคุณภาพน้ำด้วย อย่าปล่อยเศษอาหารเหลือทิ้งจนเน่าเสีย ซึ่งควรให้อาหารอย่างเพียงพอ เพราะตัวอ่อนจะมีพฤติกรรมกินกันเอง

ตู้อนุบาลตัวอ่อนควรมีพื้นที่ และวัสดุหลบซ่อน โดยเฉพาะกระถางต้นไม้ เพราะในช่วงเดือนแรก ลูกกุ้งจะลอกคราบบ่อย ทำให้ลำตัวอ่อนนิ่ม และมีเปอร์เซ็นต์ถูกกินเป็นอาหารมากขึ้น เมื่อลูกกุ้งมีอายุประมาณ 1 เดือน จะเริ่มมีสีสันเหมือนตัวโตเต็มวัย

การลอกคราบเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการเจริญเติบโตของกุ้งเครย์ฟิช เพราะแสดงถึงขนาดลำตัวที่โตมากขึ้น ซึ่งลูกกุ้งจะลอกคราบเดือนละครั้ง โดยมีระยะห่างในการลอกคราบแต่ละครั้งจะยาวนานขึ้นเมื่อกุ้งเจริญเติบโตขึ้น และเมื่อกุ้งเครย์ฟิชโตเต็มที่จะลอกคราบเพียงปีละครั้งเท่านั้น ในการลอกคราบแต่ละครั้ง กุ้งเครย์ฟิชจะมีลำตัวนิ่มและอ่อนแอมาก จึงต้องหาที่ปลอดภัยสำหรับหลบซ่อนและค่อนข้างอยู่นิ่งๆ ประมาณ 2-3 วัน จนกว่าเปลือกจะแข็งเป็นปกติ

อย่างไรก็ตาม หากเห็นว่า กุ้งเครย์ฟิชกำลังลอกคราบ ไม่ควรรบกวน เพราะอาจทำลายความต่อเนื่องของกระบวนการลอกคราบได้ หากกุ้งเครย์ฟิชตกใจอาจทำให้การลอกคราบไม่สมบูรณ์เต็มที่ โดยชิ้นส่วนของเปลือกชุดเก่ายังติดอยู่บริเวณก้าม ในขณะที่เปลือกชุดใหม่เริ่มแข็งตัว อาจทำให้เกิดความผิดปกติได้ อาทิ มีเปลือก 2 ชั้น ทับกัน หรือก้ามบิดเบี้ยวผิดรูปได้

จากประสบการณ์การเลี้ยงของคุณภูลิช ซึ่งเลี้ยงเครย์ฟิชหลายพันธุ์ ประกอบด้วย พันธุ์ก้ามแดง พันธุ์ยัมปี้ และพันธุ์สายพี ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 8-12 เดือน สามารถขายได้ ขนาดจะอยู่ที่ 20 ตัว ต่อกิโลกรัม ราคาหน้าฟาร์ม จะอยู่ที่ 500-800 บาท ต่อกิโลกรัม แต่ยัมปี้จะแพงกว่าไปกิโลกรัมละ 100 บาท และยัมปี้เป็นกุ้งน้ำเย็น จะเจริญเติบโตได้ในหน้าหนาว แต่ก้ามแดง หน้าหนาวจะจำศีล ไม่ค่อยโต ส่วนสายพี จะโตเร็ว 3 เดือน สามารถจับขายได้ หากเลี้ยงในบ่อดินจะโตเร็วกว่าเลี้ยงในบ่อพลาสติก แต่ข้อเสียคือ สีไม่สวย แก้ด้วยการนำมาเลี้ยงในบ่อน้ำไหล ประมาณสัก 1 สัปดาห์ จะทำให้สีสวยขึ้น ขนาดบ่อที่ทำอยู่ ขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 3 เมตร สูง 40 เซนติเมตร ใส่น้ำสูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร ลงทุนบ่อหนึ่ง ประมาณ 1,200 บาท อาหารที่ใช้เลี้ยง ใช้อาหารไก่เล็ก ไส้เดือน ผักสด สาหร่าย ปล่อยลูกกุ้ง 200 ตัว ต่อบ่อ หรือประมาณ 40 ตัว ต่อตารางเมตร แต่ต้องระวังศัตรูของลูกกุ้งคือ กบ เขียด และระมัดระวังอย่าใช้สารเคมีใกล้บ่อเลี้ยง เนื่องจากกุ้งจะไวต่อสารเคมีมาก ในบ่อให้ปล่อยปลาหางนกยูงเพื่อช่วยกินลูกน้ำป้องกันการแพร่ขยายของยุง และปล่อยหอยขมลงไป เพื่อกินขี้กุ้ง กินปรสิตที่จะมาเกาะอาศัยกุ้ง จะทำให้กุ้งโตช้า หากไม่เลี้ยงเพื่อขายเนื้ออาจเลี้ยงเป็นลูกกุ้งพันธุ์ จำหน่ายให้กับผู้ต้องการเลี้ยง เพราะปัจจุบันลูกกุ้งพันธุ์ ขึ้นราคาจาก ตัวละ 4-5 บาท เป็นตัวละ 15-20 บาท

จะเห็นได้ว่าการเลี้ยงกุ้งก้ามแดง เป็นอาชีพที่ผู้สูงวัยสามารถทำได้ เพราะถือเป็นงานเบา การดูแลและให้อาหารก็เป็นช่วงค่ำ ตามนิสัยของกุ้งที่ออกหากินในเวลากลางคืน

สนใจรายละเอียด หรือจะดูงานการเลี้ยง ติดต่อ คุณภูลิช ชวาลกานต์ ร้านเหรียญทอง ในตลาดเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา ยินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์

เลี้ยงปลานิลในบ่อกุ้ง ของ วิมลมาศ เปี่ยมสมบูรณ์ ที่ราชบุรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05077151258&srcday=2015-12-15&search=no

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613

เทคโนโลยีการประมง

สุรเดช สดคมขำ

เลี้ยงปลานิลในบ่อกุ้ง ของ วิมลมาศ เปี่ยมสมบูรณ์ ที่ราชบุรี

ราชบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางด้านตะวันตก ที่ภูมิประเทศมีความหลากหลาย จากพื้นที่ที่ราบต่ำลุ่มแม่น้ำแม่กลองอันอุดมสมบูรณ์ สู่พื้นที่สูงทิวเทือกเขาตะนาวศรี ทอดตัวยาวทางทิศตะวันตกจรดชายแดนไทย-พม่า

ถือเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชผัก และผลไม้เศรษฐกิจนานาชนิด เรียกได้ว่ามีการทำการเกษตรที่หลากหลาย ด้านการประมงที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในจังหวัดราชบุรีคือ การเลี้ยงกุ้งทะเล กุ้งก้ามกราม และปลาสวยงาม สร้างรายได้หลักพันล้านบาทต่อปี ดังเช่น เกษตรกรรายนี้ ที่เลี้ยงกุ้งมามากกว่า 10 ปี พร้อมทั้งมีการพัฒนานำปลานิลมาเลี้ยงผสมกับกุ้งภายในบ่อ จนสร้างรายได้เป็นที่น่าภาคภูมิใจ คือ คุณวิมลมาศ เปี่ยมสมบูรณ์

คุณวิมลมาศ อยู่บ้านเลขที่ 178/2 หมู่ที่ 3 ตำบลบางแพ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี

พิษเศรษฐกิจ ปี 40

ก้าวสู่ชีวิตเกษตรกร

คุณวิมลมาศ เล่าว่า ช่วงแรกประกอบธุรกิจส่วนตัวในรูปแบบบริษัท ด้วยสภาวะเศรษฐกิจ ปี 2540 จึงเลิกทำธุรกิจนั้นและเปลี่ยนมาเริ่มเลี้ยงกุ้ง

“เมื่อก่อนนะ พี่ทำธุรกิจด้านอื่นก่อน ที่ไม่เกี่ยวกับวงการกุ้งเลย ทำเป็นรูปแบบบริษัทมาก่อน ที่เป็นธุรกิจส่วนตัวของพี่เอง พอโดนสภาวะเศรษฐกิจ ปี 40 สิ่งที่พี่ทำมาก็เลยเลิกไป เลยหันมาทำด้านการเกษตรแทน คือ เพาะเลี้ยงกุ้ง” คุณวิมลมาศ กล่าวด้วยรอยยิ้ม ของชีวิตที่หันมาทำเกษตรด้านการประมง

เมื่อเริ่มเลี้ยงกุ้งได้ประมาณ 5 ปี เธอจึงสมัครเข้าเป็นสมาชิกชมรมผู้เลี้ยงกุ้ง เพื่อศึกษาและแลกเปลี่ยนวิชาความรู้ที่มีภายในชมรม ตลอดจนช่วยงานภายในชมรมทุกด้าน จากนั้นเมื่อมีความชำนาญมากขึ้น บวกกับศักยภาพของคุณวิมลมาศ จึงทำให้ได้ขึ้นเป็นประธานชมรม จึงนำเพื่อนๆ เกษตรกรมาศึกษาดูงานที่ฟาร์มของเธอ มีการสอนการเลี้ยงและพัฒนามากยิ่งขึ้น

คุณวิมลมาศ เล่าว่า จากการรวมกลุ่มของชมรม ทำให้สามารถกำหนดราคาไปในทิศทางเดียวกันได้ พร้อมทั้งสินค้าที่จะขายก็มีส่งให้กับพ่อค้าแม่ค้าตลอด ไม่ขาดช่วงเหมือนทำฟาร์มเดี่ยวๆ เพียงลำพัง อีกทั้งสมาชิกภายในชมรมสามารถซื้ออาหารสำหรับเลี้ยงกุ้งได้ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป เพราะทางชมรมติดต่อกับทางบริษัทโดยตรง ทำให้ประหยัดต้นทุนมากขึ้น

คุณวิมลมาศ เล่าต่อว่า พอปี 2555 จึงมีการพัฒนาการเลี้ยง โดยนำปลานิลมาเลี้ยงผสมกับกุ้งภายในบ่อ ปลานิลถือว่าเป็นปลาเศรษฐกิจที่เป็นที่นิยมรับประทาน ในช่วงแรกที่ยังไม่รู้วิธีการเลี้ยงมากนัก เลี้ยงแบบลองผิดลองถูกมานานนับปี

“กว่าเราจะมาถึงวันนี้เนี่ย คิดค้นกันมาเป็นปีนะคะ คือขั้นตอนแรก เอาปลามาปล่อยก่อนในบ่อ ซึ่งมันเป็นการยากที่จะจับแต่ละครั้ง เพราะว่าจับกุ้งไปก็เจอปลา หรือไม่รู้ว่า บางทีหว่านอาหารกุ้งไป ปลาจะกินหรือเปล่า พอมาปล่อยรวมกันนี่มั่วไปหมด ตอนหลังก็มาเปลี่ยน เอากระชังใส่ลงไปเลี้ยงปลา ผลสรุปคือ ทำด้วยวิธีนี้ดี ทุกอย่างเป็นระเบียบมากขึ้น” คุณวิมลมาศ กล่าวด้วยสีหน้าที่นึกถึงเหตุการณ์ของการลองผิดลองถูกในสมัยนั้น

จากการเลี้ยงผสมกัน 3 ชนิด คือ กุ้งขาว กุ้งก้ามกราม และปลานิล คุณวิมลมาศ บอกว่า ถือเป็นที่น่าพอใจ เพราะเมื่อเวลาที่ราคากุ้งตกต่ำ ยังมีปลานิลคอยช่วยเสริมทางการตลาด หากเลี้ยงกุ้งเพียงอย่างเดียวแบบสมัยก่อน หรือช่วงเวลาที่เกิดโรคระบาด เช่น อีเอ็มเอส ตัวแดง จะไม่มีผลผลิตอื่นมาแทน แต่การเลี้ยงปลานิลภายในบ่อกุ้ง ทำให้มีการค้าขายที่หลากหลายมากขึ้น โรคระบาดก็ค่อนข้างน้อยลง

วิธีการเลี้ยง

และดูแล ทำอย่างไร

คุณวิมลมาศ เล่าว่า เมื่อทดลองจนประสบผลสำเร็จแล้ว จึงเลี้ยงปลานิลร่วมกับกุ้งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยมีวิธีการ ดังนี้

ขั้นตอนแรก ซื้อพันธุ์ลูกปลานิลที่ดีมีคุณภาพ จากแหล่งฟาร์มที่เชื่อถือได้ นำมาอนุบาลลงในกระชังมุ้งเขียว 5,000 ตัว ต่อกระชัง เลี้ยงประมาณ 20 วัน การให้อาหาร 3 มื้อ เช้า กลาง และเย็น

จากนั้น ย้ายปลานิลมาลงในกระชังที่มีตาข่ายเท่าตาปู ขนาด 7×15 เมตร เลี้ยงลูกปลานิลอีก 40 วัน จะได้ปลานิล ขนาด 20 ตัว ต่อกิโลกรัม แบ่งปลานิลมาเลี้ยงในกระชังที่มีตาข่าย ขนาด 3 เซนติเมตร เลี้ยงอยู่ที่ 2,500-3,000 ตัว ต่อกระชัง ใช้เวลาเลี้ยงอีกประมาณ 1 เดือน จะได้ปลานิล ขนาด 4-5 ตัว ต่อกิโลกรัม

เมื่อปลานิลได้ตามขนาดที่ต้องการแล้ว คุณวิมลมาศ บอกว่า จะนำมาปล่อยเลี้ยงภายในบ่อกุ้งขาว และก้ามกราม เลี้ยงไปอีกประมาณ 3 ถึง 3 เดือนครึ่ง เพื่อเวลาที่กุ้งและปลาโตได้ขนาดจะทำให้สามารถจับขายพร้อมกันได้ตามเวลาที่กำหนด

บ่อกุ้งที่เตียมไว้เรียบร้อย มีขนาดประมาณ 4 ไร่ นำกระชังสำหรับใช้เลี้ยงปลานิล ตาข่าย 6 เซนติเมตร ขนาด 7×15 เมตร สูง 180 เซนติเมตร ขึ้นไป นำมาปักภายในบ่อกุ้ง จำนวน 4 กระชัง ให้กระชังสำหรับเลี้ยงปลานิลอยู่ใต้ใบพัดตีน้ำในบ่อกุ้ง เพราะปลานิลจะว่ายทวนน้ำ ทำให้ดูปราดเปรียวและแข็งแรง ปล่อยปลานิล ขนาด 4-5 ตัว ต่อกิโลกรัม ลงไป 1,000-1,100 ตัว ต่อกระชัง ทุกกระชังจะปล่อยปลานิลจำนวนเท่านี้

จากนั้น นำกุ้งขาวมาปล่อยลงในบ่อ จำนวน 100,000 ตัว ต่อบ่อ ขนาด 4 ไร่ อีกประมาณ 10 วัน จึงนำกุ้งก้ามกรามปล่อยตามลงไป จำนวน 20,000 ตัว ต่อบ่อ 4 ไร่

การให้อาหาร กุ้งจะให้อาหาร 2 มื้อ คือ เช้า และเย็น ส่วนปลานิลจะให้กิน 3 มื้อ

“ช่วงที่ปล่อยกุ้งใหม่ๆ จะใช้อาหารที่มีโปรตีน 42 เปอร์เซ็นต์ ให้เช้า ตอน 7 โมง และเย็น ประมาณ 4 โมงเย็น พอเลี้ยงไปอายุกลางๆ ก็ให้โปรตีน 38 เปอร์เซ็นต์ แล้วอาจตบท้ายด้วยอาหารที่มีโปรตีน 42 เปอร์เซ็นต์ อีกครั้งหนึ่ง โดยดูตามความเหมาะสม เพราะราคากุ้งแต่ละช่วงในท้องตลาดไม่เท่ากัน เราอาจต้องให้อาหารที่มีโปรตีน 35 เปอร์เซ็นต์ เพื่อรอราคาอีกที”

“ส่วนปลานิล พี่ก็ให้ 3 มื้อ คือ เช้า กลางวัน เย็น เป็นอาหารปลา ช่วงแรกเป็นอาหารปลาดุก ช่วงสุดท้ายก็เป็นอาหารปลากินพืช ที่มีโปรตีน 30 เปอร์เซ็นต์ และตบท้ายด้วย 32 เปอร์เซ็นต์ ที่เราให้อย่างนี้เพราะว่า ช่วงก่อนจับเนี่ย ตัวโปรตีนของปลากินพืชจะมาช่วยสร้างสันโหนกให้ปลาสวย มีความหนาขึ้น สวยขึ้น แต่ทุกอย่างอยู่ที่พันธุ์ปลาด้วย ถ้าลูกปลาที่มามีคุณภาพ มันก็เลี้ยงง่าย แต่ถ้าลูกปลาไม่ดี ทำยังไงเขาก็ไม่สวย” คุณวิมลมาศ อธิบายถึงการให้อาหารกุ้งและปลานิล

วิธีการดูแล คุณวิมลมาศ เล่าว่า การเติมน้ำลงภายในบ่อจะดูตามความเหมาะสม โดยใช้การสังเกตของตนเอง เพราะในแต่ละฤดูน้ำภายในบ่อจะไม่เท่ากัน หากน้ำภายในบ่อมีระดับลดลง ก็จะค่อยๆ เติมลงไป จะไม่เติมแบบรวดเร็ว หรือเลี้ยงไปประมาณ 2 เดือน อาจมีการเติมน้ำช่วงนี้อีกครั้งก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีการเติมจุลินทรีย์และธาตุแร่ทุก 20-25 วัน

ด้านความเค็มของน้ำภายในบ่อที่ใช้เลี้ยงนั้น อยู่ที่ 1-2 ppt จะไม่เกิน 3 ppt เพราะถ้าหากความเค็มมากเกินไป คุณวิมลมาศ บอกว่า กุ้งก้ามกรามจะเจริญเติบโตได้ไม่ดี ส่วนปลานิลหากอยู่ในความเค็มมาก ปลานิลจะไม่สวยและเติบโตได้ไม่ดี

กังหันตีน้ำจะเปิดทุก 1-2 ชั่วโมง ต่อครั้ง หรือดูตามสภาพอากาศ ถ้าอากาศมีฝนตกอาจจะต้องเปิดเครื่องตีน้ำตลอดเวลา จะปิดระบบช่วงที่ให้อาหารเท่านั้น นอกจากนี้ ทางบ่อของเธอยังมีการเติมออกซิเจนภายในบ่อด้วย เพื่อเสริมออกซิเจนนอกเหนือจากเครื่องตีน้ำ

เมื่อเลี้ยงได้ประมาณ 2 เดือน คุณวิมลมาศ จะเอาไอ้โง่ลงภายในบ่อ จำนวน 30 ปาก เพื่อดักกุ้งขาว ได้ประมาณ 200 กิโลกรัม ต่อบ่อ ไซซ์ขนาด 100 ตัว ต่อกิโลกรัม นำไปขายที่แพ จากวิธีนี้จะทำให้ประชากรกุ้งภายในบ่อเบาบางลง เพราะกุ้งก้ามกรามอยู่ข้างล่างใต้บ่อบนพื้นดิน กุ้งขาวจะอยู่ชั้นบน ส่วนปลานิลก็ยังคงอยู่ในกระชังดังเดิม จากระบบนี้ทำให้น้ำคงที่ และไม่เกิดความยุ่งยากเหมือนอดีต

ด้านการตลาด

คุณวิมลมาศ เล่าว่า หลังจากที่ใช้ไอ้โง่ดักกุ้งขายไปช่วงแรกแล้วนั้น จะเลี้ยงต่อไปอีก ประมาณ 1 ถึง 1 เดือนครึ่ง มีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อถึงที่หน้าฟาร์ม ในระยะนี้ปลานิลจะมีขนาดเป็นที่ต้องการของตลาด อยู่ที่ไซซ์ 1.0-1.3 กิโลกรัม ในขั้นตอนการจับ ต้องจับปลานิลขายให้หมดเสียก่อน แล้วจึงจะจับกุ้งขายได้ ปลานิลขายส่ง อยู่ที่ราคา 60 บาท ต่อกิโลกรัม ซึ่งต้องดูว่าตลาดช่วงนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งราคาอาจมีขึ้นลงตามกลไกของตลาด

ด้านราคากุ้ง มีแม่ค้ามารับซื้อถึงหน้าฟาร์มเช่นกัน โดยแม่ค้าคนกลางจะเป็นผู้ติดต่อกับทางตลาดต่างๆ เอง การที่มารับซื้อกุ้งที่หน้าฟาร์ม จะได้กุ้งที่สด มีคุณภาพ ซึ่งคุณวิมลมาศให้ข้อคิดว่า จะไม่มีการค้าขายที่กำไรเกินจริง เพราะทุกอย่างต้องเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน แม่ค้าอยู่ได้ เราก็ต้องอยู่ได้ ซึ่งราคาแต่ละไซซ์มีความแตกต่างกัน เช่น

กุ้งก้ามกรามตัวผู้ ถ้ามีขนาดไซซ์ 8-10 ตัว ต่อกิโลกรัม จะอยู่ที่ราคา 420-370 บาท หรือถ้าขนาดไซซ์ 18-20 ตัว ต่อกิโลกรัม จะอยู่ที่ราคา 220-200 บาท ส่วนกุ้งก้ามกรามตัวเมียโปร่งไข่ ขนาดไซซ์ 25 ตัว ต่อกิโลกรัม อยู่ที่ราคา 190 บาท และ 40 ตัว ต่อกิโลกรัม อยู่ที่ราคา 140 บาท ซึ่งขนาดของกุ้งนั้นทางบ่อเป็นผู้กำหนดเอง ว่าต้องการขายที่ไซซ์ขนาดใด ยิ่งขายไซซ์กุ้งที่มีขนาดใหญ่ อาจจะใช้ระยะเวลาเลี้ยงที่นาน แต่ก็จะได้ราคาสูง

ด้านกุ้งขาว ขนาดไซซ์ 51-55 ตัว ต่อกิโลกรัม ราคาอยู่ที่ 175 บาท หรือ 136-140 ตัว ต่อกิโลกรัม ราคาอยู่ที่ 102 บาท เรียกได้ว่าจำนวนยิ่งเล็กลงตามไซซ์ ราคาก็จะยิ่งลดลง โดยทางผู้รับซื้อจะมีทีมงานมาคัดแยกไซซ์ และแยกประเภทเองที่หน้าบ่อ

สำหรับท่านที่สนใจอยากเลี้ยงเพื่อประกอบเป็นอาชีพ หรือสร้างรายได้เสริม คุณวิมลมาศ แนะนำว่า “สำหรับคนที่เลี้ยงหรือว่าอยากทำ สิ่งที่พี่อยากให้ตัดออกไปก่อนคือ คำว่า โลภ ให้เอาคำพอเพียงมาอยู่ในตัวเองก่อน โดยมานั่งวิเคราะห์หากันว่า สมมุติเราลงทุนสูง ว่าเมื่อได้กลับมานี่มันคุ้มไหม แต่ในขณะที่เราลงทุนไปเรื่อยๆ สม่ำเสมอ แล้วเราได้กลับมาอย่างสม่ำเสมอเนี่ย เราทำใจได้ไหมกับผลตอบรับนั้น อย่างช่วงแรกๆ ที่พี่ทำ เราเคยจับขายกันได้เป็นหลักล้าน แต่เดี๋ยวนี้หลักแสน ทุกคนจะต้องเกิดความรู้สึกแน่นอน แต่มานะมาขนาดนี้แล้ว แต่อยากให้ปรับความคิดกันใหม่ เราลองมาเดินตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง แล้วเราลองใช้แนวทางการเลี้ยงของเรา โดยเอาตัวเราเอง โดยเดินไปอย่างง่ายๆ เรียบๆ เราก็จะประสบความสำเร็จ โดยที่เราไม่ต้องเหนื่อยมาก ตลาดจะขึ้นจะลง เราคุมต้นทุนของเราไว้ เราก็จะอยู่ของเราได้ ไม่ต้องไปวิตกกังวล ส่วนเรื่องความเค็ม ถ้าทางภาครัฐเขาไม่ให้ใช้ความเค็ม เราก็ไม่ต้องใช้สูง และสำคัญที่สุดเราเป็นระบบปิด ความเค็มมันก็ไม่ไปไหน มันก็อยู่ของมันอยู่อย่างนี้ ขอให้เราจัดการให้ดีอย่างเดียวพอ” คุณวิมลมาศ กล่าวด้วยแววตาและสีหน้าที่มากด้วยประสบการณ์ที่ได้ประสบพบเจอมาจนถึงปัจจุบัน

ข้อเสนอแนะจาก

สำนักงานประมงจังหวัดราชบุรี

คุณอำนาจ จีนขาวขำ นักวิชาการประมงชำนาญการ สำนักงานประมงจังหวัดราชบุรี ได้กล่าว และฝากเตือนถึงเกษตรกรที่ทำด้านการประมงว่า “ตอนนี้ที่อยากเตือนก็คือ เรื่องปัญหาภัยแล้ง มีการประกาศเตือนอยู่ ทั้งประมงอำเภอ ผ่านตามสื่อต่างๆ โดยรัฐบาลประกาศมาแล้วว่า มีแนวโน้มที่จะต้องรับมือภัยแล้ง ปี 58/59 สำหรับด้านประมงเนี่ยก็มีการประชาสัมพันธ์ให้เตรียมตัวก่อน เพื่อป้องกันความเสียหาย ที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ขอให้เกษตรกรติดตามข่าวสาร การพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด และก็ขอให้ปฏิบัติตามอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งระวังโรคระบาดในช่วงดังกล่าว เพราะกำลังจะเข้าหนาว ก็จะเกิดโรคภัยระบาด ช่วงนี้ก็อาจจะตรวจคุณภาพน้ำเบื้องต้น คอยเช็กคอยสังเกต การให้อาหารก็อาจจะลดน้อยลง เพราะช่วงนี้สัตว์น้ำก็อาจจะไม่ค่อยกินเยอะ สภาพบ่อก็ต้องคอยตรวจไม่ให้น้ำรั่วซึมออกไป อาจจะต้องเตรียมแหล่งน้ำสำรอง เพื่อให้มีเพียงพอต่อการเพาะเลี้ยงระหว่างนี้ หากสัตว์น้ำที่ได้ขนาดหรือพร้อมขายก็ขอให้ขายได้เลย เพื่อลดปริมาณสัตว์น้ำภายในบ่อลง เพราะหากแน่นเกินไป การใช้น้ำจะมาก และการใช้ออกซิเจนก็จะมากไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็อยากจะส่งเสริมให้เกษตรกรลดรายจ่าย ก็คือจะส่งเสริมเรื่องการเลี้ยงกบ เลี้ยงปลาดุก เพราะสองชนิดนี้ใช้น้ำน้อย ในช่วงสภาวะแล้งนี้”

“ส่วนเกษตรกรที่ยังไม่ขึ้นทะเบียน ก็อยากจะฝากว่า การขึ้นทะเบียนก็มีประโยชน์หลายอย่าง เพราะก็ไม่ได้เสียตังค์แต่ประการใด เพราะเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนแล้ว หากเกิดภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง อุทกภัย น้ำท่วมต่างๆ ก็จะได้รับการชดเชยตามระเบียบต่างๆ จากทางราชการ อีกอย่างจะทำให้เป้าหมาย หรือการช่วยเหลือทางด้านงบประมาณ ก็จะชัดเจน เพราะว่าเป็นฐานข้อมูลในการวางแผน ตลอดจนการดำเนินโครงการในอนาคตต่อไป” คุณอำนาจ กล่าว

สำหรับท่านใด หรือหน่วยงานใด สนใจศึกษาดูงานการเลี้ยงปลานิลในบ่อกุ้ง สามารถติดต่อได้ที่ คุณวิมลมาศ เปี่ยมสมบูรณ์ ประธานชมรมผู้เพาะเลี้ยงกุ้งคุณภาพจังหวัดราชบุรี หมายเลขโทรศัพท์ (086) 796-0231, (032) 381-299

ดิชา นุวงษ์วรรณ์ เลี้ยงปลาหมอ สร้างรายได้ ที่บางปลาม้า สุพรรณบุรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05089011158&srcday=2015-11-01&search=no

วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 610

เทคโนโลยีการประมง

สุรเดช สดคมขำ

ดิชา นุวงษ์วรรณ์ เลี้ยงปลาหมอ สร้างรายได้ ที่บางปลาม้า สุพรรณบุรี

ในสมัยผู้เขียนเป็นเด็ก สิ่งที่สนุกสนานตามวัยในช่วงวันหยุด หากไม่ไปเล่นสนุกกับเพื่อนๆ จะตามยายไปหาปลา ตามคลองแถวหัวคันนาบริเวณชายทุ่ง มีท้องทุ่งเขียวชอุ่มมองแล้วสบายตา บวกกับลมพัดเย็นสบาย ปลาที่หาได้ส่วนใหญ่จะใช้คันเบ็ดไม้ไผ่ที่ทำง่ายๆ ตามภูมิปัญญาชาวบ้าน เหยื่อที่ใช้สำหรับล่อปลามาติดเบ็ดจะเป็นกุ้งฝอย ไส้เดือน กุ้งฝอยหาช้อนตามแม่น้ำ ส่วนไส้เดือนขุดตามบริเวณบ้าน อาจเรียกได้ว่าเป็นการหาปลาที่ต้นทุนต่ำแบบชาวบ้านเราๆ ทำกัน

ปลาที่ตกได้จะเป็น ปลาช่อน ปลาซิว แต่ที่ติดเบ็ดหลักๆ คือ ปลาหมอ จะติดเบ็ดได้ง่ายที่สุด เวลาจับต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะครีบปลาหมอถ้าได้ทิ่มเข้าไปในนิ้วมือจะมีอาการปวดมาก ซึ่งต้องใช้เวลาหลายวันกว่าอาการปวดจะหาย บางคนนิ้วบวมเป็นหนองก็มี

ปลาหมอ นำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย ทั้งแกง ต้ม ทอด ปิ้งกินกับน้ำพริกกะปิ หรือน้ำพริกเผา ซึ่งเป็นอะไรที่ค่อนข้างเข้ากันได้ดี เพราะรสหวานของเนื้อปลา บางครั้งเมื่อปิ้งเสร็จก็นำไปตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาทำเป็นปลาป่น ทำเป็นพริกน้ำปลาหวานสำหรับกินกับยอดสะเดาลวก เพราะความหวานจะช่วยตัดรสขมของยอดสะเดา นึกแล้วอดน้ำลายสอมิน้อย

ปัจจุบัน ปลาหมอ หายากกว่าสมัยก่อน เพราะระบบธรรมชาติที่เปลี่ยนไป บวกกับจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้จำนวนปลาหมอตามแหล่งธรรมชาติลดน้อยลง อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการ รสชาติเนื้อปลาที่นิ่มอร่อยทำให้เป็นที่ติดใจของใครหลายๆ คน แต่ปัจจุบันไม่ต้องกังวลว่า ปลาหมอ จะมีไม่เพียงพอสำหรับบริโภคอีกแล้ว ได้มีการเพาะเลี้ยงปลาหมอมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค จึงได้นำปลาหมอมาเลี้ยงในบ่อดิน คือ คุณดิชา นุวงษ์วรรณ์

คุณดิชา อยู่บ้านเลขที่ 68/1 หมู่ที่ 3 ตำบลวังน้ำเย็น อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี

จากพนักงานโรงงาน สู่เกษตรกร

คุณดิชา เล่าว่า สมัยก่อนเป็นพนักงานโรงงาน ได้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เกิดความคิดไม่อยากเป็นลูกจ้างไปตลอดชีวิต จึงมองหาอาชีพที่คิดว่าเป็นนายตัวเอง มีรายได้ที่แน่นอน มีความสนใจที่จะเลี้ยงปลาในบ่อดิน เริ่มแรกเดิมทีคุณดิชาเล่าว่า สนใจจะเลี้ยงปลาดุก แต่เพื่อนที่รู้จักแนะนำให้เลี้ยงปลาหมอ เพราะมีความแข็งแรง อดทน ไม่ตายง่าย ทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี

“ตอนแรกไม่ได้สนใจปลาหมอ สนใจปลาดุก ได้ศึกษาปลาดุกก่อน มีเพื่อนบอกว่า เพื่อนเขาเลี้ยงปลาหมออยู่ บอกปลาหมออึดกว่า ทำไมไม่ลองเลี้ยงปลาหมอดู เพราะปลาดุกมีคนทำเยอะแล้ว ก็เลยหันมาหาปลาหมอ ใช้เวลาศึกษานานเหมือนกัน ว่าที่เขาว่าปลาหมออึดทนนะ ว่ามันจริงไหม” คุณดิชา กล่าว

เริ่มต้นก่อนที่จะเลี้ยงปลาหมอ คุณดิชา เล่าว่า ศึกษาทุกอย่างที่เกี่ยวกับปลาหมอ ไม่ว่าจะหาหนังสือมาอ่าน ตลอดจนศึกษาหาความรู้จากเว็บไซต์ต่างๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้กับสิ่งที่คุณดิชาจะลงมือทำ เพราะเชื่อว่าการศึกษาหาความรู้ก่อนลงมือปฏิบัติสำคัญมาก ต้องให้รู้ทั้งข้อดีและข้อเสีย ตลอดจนวิธีการต่างๆ เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด เพราะเงินทุนที่ใช้ต้องให้เกิดประโยชน์สูงสุด มิเช่นนั้นจะกลายเป็นขาดทุน และเพิ่มหนี้สินได้ หากไม่คิดให้รอบคอบ

วิธีการเลี้ยงดูแล ทำอย่างไร

คุณดิชา เล่าว่า เมื่อศึกษาหาข้อมูลพอสมควร จึงลงมือปฏิบัติ โดยขั้นตอนแรกสำรวจพื้นที่ที่บ้าน ว่าต้องการขุดบ่อสำหรับเลี้ยงปลาหมอตรงบริเวณไหน เริ่มแรกเดิมทีคุณดิชาทดลองเลี้ยงเพียง 1 บ่อ แต่ตอนนี้ขุดเพิ่มอีก 2 บ่อ รวมตอนนี้มีทั้งหมด 3 บ่อ

บ่อที่ขุดสำหรับเลี้ยงปลาหมอ อยู่ที่ขนาด 10×20 เมตร ความลึกของบ่อ ประมาณ 2 เมตร คุณดิชา บอกว่า บ่อสำหรับเลี้ยงใครมีพื้นที่มากก็สามารถทำให้ใหญ่กว่าของคุณดิชาได้ เมื่อขุดบ่อได้ขนาดตามที่ต้องการแล้ว ก็ปรับสภาพดิน ด้วยการโรยปูนขาวที่ก้นบ่อ เพื่อปรับสภาพดินและฆ่าเชื้อโรค จากนั้นตากบ่อไว้ ประมาณ 7 วัน พอครบกำหนดก็เตรียมสูบน้ำเข้าภายในบ่อ ในระยะแรกก้นบ่ออาจเกิดไรแดงให้ลูกปลาหมอได้กิน

คุณดิชา เล่าว่า ก่อนที่จะปล่อยลูกปลาลงบ่อ จะสูบน้ำลงไปในบ่อให้มีระดับน้ำ ประมาณ 120 เซนติเมตร แล้วรักษาระดับน้ำไว้เช่นนี้ จนกว่าลูกปลามีอายุได้ประมาณ 1 เดือน พอเข้าสู่เดือนที่ 2 จะเพิ่มระดับน้ำขึ้นมาอยู่ที่ 140 เซนติเมตร พอลูกปลาหมอเข้าเดือนที่ 3 เพิ่มระดับน้ำขึ้นเป็น 180 เซนติเมตร พอครบเดือนที่ 4 ระดับน้ำจะอยู่ที่ 2 เมตร จนกว่าปลาหมอจะได้ขนาดส่งขายได้

ส่วนพันธุ์ปลาที่นำมาปล่อย คุณดิชา บอกว่า จะเลือกลูกปลาหมอจากฟาร์มที่เชื่อถือได้ เพราะถ้าเลือกลูกปลาหมอมาไม่ดี โอกาสจะเป็นเพศผู้หมดค่อนข้างมาก โดยปลาที่คุณดิชาเลี้ยงเป็นพันธุ์ชุมพร 1 ขนาดประมาณ 2-3 เซนติเมตร (ไซซ์ใบมะขาม) ราคาตัวละ 80 สตางค์ เป็นปลาหมอที่ผ่านการแปลงเพศแล้ว จะเอาเพศเมียเป็นหลัก เพราะเพศเมียจะเจริญเติบโตได้ดีกว่าเพศผู้ มีขนาดใหญ่กว่า ส่วนใหญ่ที่เลี้ยงต้องเป็นเพศเมีย ฟาร์มที่คุณดิชาเลือกซื้อลูกปลาหมอมา จะเป็นฟาร์มของเอกชนที่เชื่อถือได้ เนื่องจากหน่วยงานรัฐยังไม่มีลูกปลาหมอมากพอต่อความต้องการของเกษตรกร อาจต้องรอหลายเดือนกว่าจะได้รับ

ในบ่อของคุณดิชา ขนาด 10×20 เมตร ปล่อยลูกปลาหมออยู่ที่ 5,000 ตัว ต่อบ่อ แต่ถ้าใครจะปล่อยถึง 10,000 ตัว ต่อบ่อ ก็ทำได้

“ที่บ่อผม จะใส่ลูกปลาที่ 5,000 ตัว ต่อบ่อ พอลูกปลาหมอลงบ่อแล้ว ผมก็จะใช้ยาปฏิชีวนะผสมกับอาหารให้กิน เพราะขณะที่ลูกปลาหมอขนส่งมา อาจจะช้ำใน จึงจำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะให้กิน ส่วนการรักษาผิวที่เกิดจากบาดแผล ผมจะสาดเกลือเม็ดลงไปในบ่อ เพื่อรักษาบาดแผลของลูกปลา และทำให้ลูกปลาดูกระปรี้กระเปร่า” คุณดิชา กล่าว

การให้อาหาร ช่วงที่ปล่อยลูกปลาไปแรกๆ ยังไม่ได้ให้อาหาร เพราะในบ่อจะมีไรแดงอยู่ ลูกปลาสามารถกินได้ พอเลย 7 วัน ก็จะเริ่มให้อาหาร ระยะ 1 เดือนแรก คุณดิชาเล่าว่า จะให้วันละ 4 ครั้ง ดูตามการกินของลูกปลาหมอ ว่าอิ่มมากน้อยแค่ไหน จากการสังเกตของคุณดิชาเอง

“ผมจะให้อาหารวันละ 4 ครั้ง ให้จนอิ่ม ดูจากจำนวนอาหารที่ลอย ถ้าอาหารลอยเยอะ ผมก็จะหยุดให้ นั้นแสดงว่าปลาอิ่มแล้ว ซึ่งผมก็จะสังเกตของผมเอง มันอยู่ที่เทคนิคใครเทคนิคคนนั้น โดยถ้าปลาไม่สนใจกินอาหารแล้ว เราก็ค่อยๆ หยุด เรียกว่าให้จนอิ่ม จะให้กะปริมาณอาหารเป็นกิโล ช่วงนี้อาจจะยังคำนวณไม่ได้ ให้แบบนี้ประมาณ 1 เดือน จึงค่อยปรับลดอาหารลงมา อาหารที่ให้ช่วงนี้จะเป็นอาหารเม็ดเล็ก เป็นอาหารลูกอ๊อด” คุณดิชา อธิบายการให้อาหารระยะ 1 เดือนแรก

เมื่อลูกปลาหมอได้ 1 เดือนขึ้นไป ก็จะเปลี่ยนอาหารเป็นอาหารปลาดุก เบอร์ 1 มีจำนวนโปรตีน ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ให้ 3 ครั้ง ต่อวัน และเมื่อครบ 2 เดือนขึ้นไป จะให้ 2 ครั้ง ต่อวัน พอปลาหมอปากเริ่มใหญ่ขึ้น คุณดิชาจะเปลี่ยนอาหารเป็นเบอร์ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ดูตามขนาดของปากปลาหมอเป็นหลัก ถ้าปากใหญ่มากกว่าเดิมก็จะเปลี่ยนขนาดของอาหาร

“ผมจะดูที่ปากปลาเป็นหลัก ว่าพอระยะ 2 เดือนไปแล้ว จะกินอาหาร เบอร์ 2 ได้ไหม ถ้ากินได้ก็จะเปลี่ยนเป็น เบอร์ 2 แต่ค่อยๆ เปลี่ยน ไม่ได้เปลี่ยนทีเดียวนะ จากนั้นก็เลี้ยงด้วยอาหาร เบอร์ 2 ตลอดไปเลย ให้ 2 ครั้ง เหมือนเดิม เช้า เย็น จนถึงช่วงขายปลาเลย ปลาที่เขานิยม จะประมาณ 5 เดือน” คุณดิชา สรุปการให้อาหาร

การดูแลรักษาโรค

และศัตรูของปลาหมอ

คุณดิชา เล่าว่า ที่ฟาร์มจะดูตามสภาพแวดล้อม ช่วงที่ฝนตกบ่อยๆ จะโรยปูนขาวข้างๆ บ่อ เพราะเวลาที่น้ำฝนตกลงมา อาจจะนำเชื้อโรคตามมาด้วย หรือน้ำฝนเองมีสภาพเป็นกรด ก็จะโรยปูนขาวเพื่อที่เวลาน้ำฝนตกลงมาจะได้ช่วยปรับสภาพน้ำไปด้วย ทำให้น้ำในบ่อมีสภาพที่ดีขึ้น ไม่เป็นกรดด่างมากเกินไป

เมื่อปลามีอายุได้ตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป ก็จะมีการถ่ายน้ำออกจากบ่อ โดยดูว่าน้ำในบ่อมีสภาพอย่างไร เขียวมากเกินไหม เพราะถ้าสภาพน้ำไม่ดีปลาหมอจะเครียด กินอาหารได้น้อย จะถ่ายน้ำออก เอาน้ำใหม่เข้าไป จากนั้นสาดเกลือลงไปในบ่อหลังถ่ายน้ำ

“ผมจะถ่ายน้ำออก แล้วใส่น้ำใหม่เข้าไป เพื่อให้น้ำมีสภาพดีขึ้น ถ่ายออก 3 ใน 5 ของบ่อ หากไม่ถ่ายน้ำออกบ้าง น้ำในบ่อสภาพไม่ดี ปลาก็จะไม่ค่อยกินอาหาร ทำให้การเจริญเติบโตของปลาหมอช้าลง เพราะเกิดสภาวะเครียดจากสภาพแวดล้อม นอกจากถ่ายน้ำแล้ว ผมก็จะสาดเกลือเม็ดลงในบ่อ เดือนละ 2 ครั้ง อัตราการสาดเกลือเม็ด อยู่ที่ 20 กิโลกรัม ต่อบ่อ”

“สิ่งที่ต้องระวังอีกอย่าง ที่ปลาจะไม่ค่อยกินอาหาร ก็เรื่องฟ้าผ่า ฟ้าร้อง เสียงดังต่างๆ การรบกวนจากคน ถ้าเราไปยุ่งกับบ่อมาก ปลาตกใจ ทำให้ปลาไม่ค่อยกินอาหาร 2-3 วัน มันเกิดความครียด ต้องระวัง” คุณดิชา กล่าว

ด้านศัตรูที่มากินปลาหมอ คุณดิชา บอกว่า จะเป็นพวก นกกระยาง งู กบ เพราะลูกปลาหมอตัวเล็กๆ ระยะ 2-3 เซนติเมตร กบสามารถกินได้ ทำให้จำนวนปลาหมอลดน้อยลง ส่วนนกกระยาง คุณดิชาจะขึงตาข่ายกันที่ปากบ่อ เพื่อกันนกกระยางลงมากินปลาหมอ

ตลาดส่วนใหญ่ มีคนมาจับถึงบ่อเลี้ยง

คุณดิชา เล่าว่า ปลาหมอที่ขายส่วนใหญ่ อายุประมาณ 5 เดือน โดยไซซ์ที่นิยม จะประมาณ 4-5 ตัว ชั่งน้ำหนักได้ 1 กิโลกรัม ถือเป็นไซซ์ปานกลาง ขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 60 บาท ถ้า 7-9 ตัว ชั่งน้ำหนักได้ 1 กิโลกรัม ขายอยู่ที่ กิโลกรัมละ 40 บาท ส่วนไซซ์ใหญ่สุด 2-3 ตัว ได้ 1 กิโลกรัม อยู่ที่ราคา 80 บาท แต่ไซซ์ขนาดนี้มีจำนวนไม่มาก จะเป็นไซซ์ปานกลางส่วนใหญ่ที่ขายออกได้ดี

ตลาดส่วนใหญ่ที่คุณดิชานำปลาไปขายจะเป็นตลาดขายปลา (แพปลา) โดยตรง ห่างจากบ้าน ประมาณ 10 กิโลเมตร

“แพปลาที่นี่ มันเป็นตลาดใหญ่เลย จะมีพ่อค้าแม่ค้าจากที่อื่นมารับ เราก็เอาปลาเราไปขายที่นี่ได้ จะมีทั้งเจ้าประจำ เจ้าขาจรมารับไป ก็มีทั้งชาวบ้านแถวนี้ มาจากที่อื่นก็มี เอาปลาเรามาแลกเปลี่ยนกัน คนที่มาซื้อก็จะมาเอาไปขายต่อ เพราะผมเหมือนเป็นผู้ผลิตอย่างเดียว ผมส่วนใหญ่จะขายจำนวนมากๆ ไซซ์ก็จะเป็น 5-6 ตัว โล ไซซ์นี้จะนิยมมาก เพราะเขามารับไปย่างขาย”

“ส่วนที่บ่อผม ถ้ามีขนาดเท่าๆ กัน ผมจะขายแบบยกบ่อ ผมจะวิดน้ำออกเอง ส่วนคนที่มารับซื้อ เขาจะมีคนมาจับเองที่บ่อเรา สมมุติว่าปลาเราพร้อมที่จะขายแล้ว ก็ไปบอกเขาให้เตรียมมาจับ เขาก็จะเตรียมทีมงานมาเอง เราก็อาจจะต้องจ่ายค่าจับให้ไป มากน้อยอยู่ที่ตกลง” คุณดิชา กล่าว

เมื่อถามถึงผลตอบแทนที่ได้รับ ว่าผลกำไรเป็นที่น่าพอใจไหม เพราะระยะเวลาที่รอจนกว่าจะขายปลาหมอได้ ใช้เวลาประมาณ 5 เดือน ช่วงนั้นคุณดิชาเองก็ไม่ได้ประกอบอาชีพเสริม อาจจะต้องใช้เงินอย่างเดียว คุณดิชา ตอบว่า

“มันอยู่ที่น้ำหนักปลาด้วย ว่าอัตราการรอดตายมันเยอะไหม ถ้ารอดมากเราก็ได้มาก คราวนี้ดูที่ลูกปลาครั้งแรกที่เอามาใส่บ่อด้วย เพราะถ้าเป็นตัวผู้เยอะ เราก็จะได้ปลาตัวใหญ่ๆ น้อย น้ำหนักก็จะหาย ถ้าตัวผู้มาเยอะเกิน เจ๊งอย่างเดียว เลือกซื้อลูกปลาต้องดูที่เป็นเจ้าหลักๆ ฟาร์มที่เชื่อถือได้ อย่างขาจรมาขายตามบ้านเราไม่เอา เพราะเขาขายแล้วก็ไป เราไม่รู้ว่าลูกปลาจะดีไหม แต่ฟาร์มใหญ่ๆ นี่ เขาจะต้องรักษามาตรฐาน ควรเลือกฟาร์มแบบนี้”

“ส่วนค่าตอบแทน เราขายได้ทั้งบ่อ ถ้าปลาได้ 900 กิโล ผมได้ราคากิโลละ 70 บาท ก็ประมาณ 63,000 บาท หักค่าอาหาร ค่าลูกปลา สัก 35,000 ก็เหลือประมาณ 28,000 ต่อบ่อ ผมมี 3 บ่อ ก็จับสลับกันไป เงินก็หมุนเวียนตลอด เราก็ได้เงินแบบไม่ขาดช่วง ผมกะว่าจะขุดบ่อเลี้ยงเพิ่มอีก เท่ากับเราก็ไม่ต้องเว้นช่วงนาน” คุณดิชา อธิบายผลตอบแทนที่ได้รับ

การขยายพันธุ์

คุณดิชา เล่าว่า การขยายพันธุ์นั้นสามารถทำได้ แต่การที่จะให้เป็นปลาหมอที่แปลงเพศแล้วอาจจะยาก เพราะยังไม่มีความชำนาญมากนัก แต่อนาคตคิดที่จะทำแน่นอน เพราะกลัวว่าถ้าคุณดิชาขยายพันธุ์เพื่อที่จะขาย เกิดมีลูกค้าซื้อไปแต่ละรุ่นของลูกปลาหมอที่ทำออกมาเกิดเป็นเพศผู้หมด คุณดิชาอาจจะโดนตำหนิได้ แต่ถ้าจะเพาะเพื่อนำมาเลี้ยงเองในบ่อของคุณดิชาเองน่าจะทำได้ ทำให้เป็นการลดต้นทุนการซื้อลูกปลาหมอ เพราะสำหรับคุณดิชาเองยังต้องเรียนรู้อีกมาก แต่จากการเลี้ยงโดยซื้อลูกปลามาเลี้ยงให้โตแล้วขาย สำหรับคุณดิชาถือว่าเป็นที่น่าพอใจ เพราะจากหลายๆ ฟาร์มก็ยังใช้วิธีนี้อยู่

ท่านใดที่สนใจจะเลี้ยงปลาหมอเป็นอาชีพหลัก หรืออาชีพเสริม ต้องศึกษาหาข้อมูลให้ละเอียดรอบคอบด้วยนะครับ เพราะทุกอย่างที่ทำมีต้นทุนแทบทั้งสิ้น เพราะปลาเป็นสิ่งมีชีวิต บางครั้งการตายเป็นเรื่องธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้น เราต้องทำใจให้เป็นกลาง เรียนรู้ให้มากๆ โดยอาจจะเริ่มเลี้ยงจากบ่อเล็ก เมื่อสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ก็ค่อยๆ ขยายต่อไป ส่วนเรื่องตลาดก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน อาจต้องศึกษาหาข้อมูล หรือแหล่งขายให้ดี อย่างคุณดิชาเองมีตลาดขายปลาอยู่ใกล้บ้าน จึงทำให้ไม่เปลืองค่าขนส่ง มีคนมาติดต่อซื้อถึงที่บ้าน ทำให้ไม่ว่าเลี้ยงออกมามากน้อยแค่ไหน ก็มีตลาดสำหรับขาย

สำหรับท่านใดที่มีข้อสงสัยในการเลี้ยง หรืออยากศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทาง คุณดิชา นุวงษ์วรรณ์ ยินดีให้คำแนะนำ และสามารถสอบถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ครับ ที่หมายเลขโทรศัพท์ (061) 605-9396

เลี้ยงตะพาบน้ำ ส่งออกนอก งานสร้างรายได้ ของ ปัทมา คงสำราญ ที่สุพรรณบุรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05078011058&srcday=2015-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 608

เทคโนโลยีการประมง

สุรเดช สดคมขำ

เลี้ยงตะพาบน้ำ ส่งออกนอก งานสร้างรายได้ ของ ปัทมา คงสำราญ ที่สุพรรณบุรี

เมื่อเอ่ยถึงสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สิ่งที่ทุกคนนึกถึงคงหนีไม่พ้น กบ เต่า ตะพาบน้ำ ฯลฯ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ที่รู้จักกันมานาน และเป็นอาหารที่หลายๆ ท่านชอบรับประทาน

ในอดีตสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชาวบ้านออกหาเมื่อเข้าสู่ฤดูฝน เช่น กบ อึ่งอ่าง ส่วน เต่า และตะพาบน้ำ จะได้จากไซที่นำไปดักปลา บางครั้งในไซดักปลาก็จะได้เต่าและตะพาบน้ำติดมาด้วย ซึ่งในความเชื่อของสังคมไทย เชื่อว่าเต่าเป็นสัตว์ที่มีอายุยืน จึงไม่นิยมรับประทานเต่ามากนัก เพราะกลัวว่าเมื่อรับประทานแล้วจะทำให้อายุสั้น แต่จะนำตะพาบน้ำมาประกอบอาหารเสียเป็นส่วนใหญ่

ตะพาบน้ำ จัดได้ว่าเป็นสัตว์น้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในประเภทสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ โดยอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำต่างๆ เช่น ห้วยหนอง คลอง บึง ของประเทศไทย เมื่อสมัยก่อนการจะได้ตะพาบน้ำมาแต่ละครั้ง จะเป็นผลพวงจากการไปหาปลาตามแหล่งน้ำต่างๆ เช่น การทอดแห การลงอวน ซึ่งนานๆ ครั้งจะได้ตะพาบน้ำติดมากับแหหรืออวน อาจกล่าวได้ว่าเป็นการยากที่จะได้ตะพาบน้ำติดมา เมื่อเทียบกับปริมาณปลาต่างๆ ในแหล่งน้ำ เมื่อได้ตะพาบน้ำมาก็จะนำมาประกอบอาหาร ต่อมามีการนำมาเป็นอาหารมากขึ้น ทำให้ตะพาบน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติเริ่มเหลือน้อยลง

แต่ปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องยากต่อไปที่จะหาเนื้อตะพาบน้ำมาเพื่อประกอบอาหาร มีการนำตะพาบน้ำมาเลี้ยงเพื่อให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งตะพาบน้ำที่นำมาเลี้ยงเป็นตะพาบน้ำพันธุ์ไต้หวัน เรียกได้ว่าประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากตลาดต่างประเทศมีความต้องการ ทำให้มีผู้สนใจที่จะเลี้ยงเป็นอาชีพ หรือหาเป็นรายได้เสริม ดังเช่นเกษตรกรรายนี้ คือ คุณปัทมา คงสำราญ

ฟาร์มคุณปัทมา คงสำราญ ตั้งที่อยู่ บ้านเลขที่ 138/3 หมู่ที่ 3 ตำบลวังลึก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี

ทำนา ทำสวน เปลี่ยนมา

เลี้ยงตะพาบน้ำ สร้างรายได้

เดิมทีก่อนที่จะมาทำฟาร์มเลี้ยงตะพาบน้ำ ได้ทำไร่ และได้นำผลผลิตที่ได้ไปขายตามตลาดเช้า จึงทำให้ได้รู้จักกับเกษตรกรรายหนึ่ง ซึ่งได้เลี้ยงตะพาบน้ำมาก่อน ทำให้คุณพ่อและคุณแม่ของคุณปัทมาเกิดความสนใจในการเลี้ยงตะพาบน้ำ จึงได้ไปศึกษากับเกษตรกรรายดังกล่าวที่มาแนะนำ ตะพาบน้ำที่นำมาเลี้ยงเป็นตะพาบน้ำพันธุ์ไต้หวัน เหตุที่ไม่สามารถนำตะพาบน้ำพันธุ์ไทยมาเลี้ยงได้ เนื่องจากตะพาบน้ำพันธุ์ไทยยังถือว่าเป็นพันธุ์สัตว์น้ำที่ได้รับการคุ้มครอง จึงได้นำลูกตะพาบน้ำพันธุ์ไต้หวันมาเลี้ยงแบบระบบเนื้อมาปล่อยลงบ่อ

“ตะพาบน้ำเลี้ยงเนื้อ เราไม่ต้องจัดการอะไรมาก เพราะว่าตลาดที่เราต้องการส่งมันมีอยู่แล้ว เป็นของที่ตลาดต้องการ ช่วงที่ตลาดต้องการ ตอนที่เริ่มทำ เมื่อปี 2538 เรียกได้ว่า ทำมาเกือบ 20 ปีแล้ว” คุณปัทมา กล่าว

ตะพาบน้ำที่นำมาปล่อยลงบ่อตอนเลี้ยงครั้งแรก คุณปัทมา เล่าว่า มีจำนวน 2,000 ตัว มาปล่อยลงบ่อที่เตรียมไว้ ซึ่งขุดบ่อดิน ขนาด 15×20 เมตร ปล่อยตะพาบน้ำได้ 1,000-2,000 ตัว ใช้กระเบื้องลอน ยาวขนาด 1.50 เมตร ฝังลงดินประมาณ 30 เซนติเมตร ใส่น้ำให้มีระดับ 80 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร

ในปีแรกๆ ที่ทำ จะใช้บ่อดิน เพราะเป็นการประหยัดต้นทุน เมื่อฟาร์มมีขนาดใหญ่ขึ้นก็เริ่มทำบ่อปูน การทำบ่อปูน จะขุดให้ได้ระดับลาดเอียงที่ 45 องศา ขนาด 15×20 เมตร ฝังกระเบื้องลอนใต้ดินเหมือนบ่อดิน แต่ขอบบ่อควรมีกระเบื้องลอน สูงประมาณ 40-60 เซนติเมตร เพื่อกันตะพาบน้ำออกจากบ่อ

วิธีการเลี้ยงดู ทำอย่างไร

การเลี้ยงดู อาหารที่ให้ตะพาบน้ำกิน คุณปัทมา เล่าว่า “อาหารช่วงที่ให้จะมีปลาบด อาหารหมู อาหารปลาดุก ผสมกับข้าว จะทำให้ลดต้นทุน เพราะข้าวที่นำมาเป็นส่วนผสม ทำให้ประหยัดต้นทุนไปเยอะ”

จะเห็นได้ว่า การจะประกอบอาชีพต่างๆ สิ่งที่ทุกคนต้องใส่ใจคือ การลดต้นทุนให้มากที่สุด ซึ่งหมายถึง การนำมาซึ่งผลกำไรที่เราต้องการ เพราะถ้าเราไม่มีการเตรียมการที่ดี ทำให้ต้นทุนเราสูงโดยไม่จำเป็น บางฟาร์มที่มีทุนมากหน่อยอาจจะมีการผสมหมู ปลาสด เข้าไป เพื่อให้ตะพาบน้ำเจริญเติบโตได้ดี

“การให้อาหารที่ดี ควรวางด้านใดด้านหนึ่งของบ่อ หรือด้านที่วิดน้ำออก และให้พ้นจากผิวน้ำ 1-2 เซนติเมตร คอยสังเกตดู ซึ่งตะพาบน้ำจะกินอาหารหมดภายใน 2-3 ชั่วโมง ถ้าหมดก่อนเวลาที่กำหนด ควรเพิ่มอาหาร หรือหมดหลังจาก 3 ชั่วโมง ควรลดปริมาณอาหารลง มิเช่นนั้นน้ำในบ่ออาจเกิดการเน่าเสียจากอาหารที่ให้มากไป เกินความจำเป็น” คุณปัทมา กล่าว

วิธีการป้องกันโรค

คุณปัทมา เล่าว่า “ช่วงต้นฤดูฝน ตะพาบน้ำจะมีอาการอ่อนแอ พอเรารู้ว่าช่วงฝนจะมา เราอาจจะต้องให้ยากันไว้ก่อน โดยให้อาทิตย์เว้นอาทิตย์ และช่วงที่น่าเป็นห่วงอีกทีก็ช่วงปลายฤดูหนาว จะเกิดโรคที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ช่วงฤดูหนาวถ้าอากาศหนาวตะพาบน้ำจะเจริญเติบโตช้า เนื่องจากกินอาหารได้น้อยลง เมื่อเติบโตช้าทำให้แบคทีเรียเข้าไปได้ง่าย อาจทำให้ตะพาบน้ำอ่อนแอและตายได้”

ฤดูฝนที่ฟาร์มของคุณปัทมาจะใช้สารปฏิชีวนะหลายตัว เพื่อป้องกันโรคที่จะเกิดกับตะพาบน้ำ การใช้แต่ละครั้งก็จะดูความเหมาะสมของฤดูกาล ยาที่ให้จะมีตั้งแต่ให้ตะพาบน้ำกินและสาดลงบ่อ อาจเรียกได้ว่าเป็นความชำนาญของเจ้าของฟาร์มที่จะต้องรู้โดยประสบการณ์ ว่าแต่ละช่วงควรดูแลอย่างไร ศัตรูที่ต้องระวังที่จะมากินลูกตะพาบน้ำขนาดเล็ก ได้แก่ นกกระยาง งู กบ เพราะตะพาบน้ำขนาดเล็กกระดองยังอ่อน ทำให้สัตว์ดังกล่าวกินตะพาบน้ำเป็นอาหาร อาจป้องกันด้วยการนำตาข่ายมากั้นไว้ให้รอบขอบบ่อที่เลี้ยง

ตลาดส่วนใหญ่ส่งนอก

ขนาดตะพาบน้ำที่ตลาดต้องการ จะอยู่ที่อายุประมาณเกือบ 8 เดือน ถึง 1 ปี ซึ่งจะมีน้ำหนักที่ 800 กรัม ถึง 1 กิโลกรัม ต่อตัว ราคาจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 220 บาท ซึ่งราคาจะแพงไปตามขนาด ยิ่งตะพาบน้ำมีขนาดใหญ่ราคาจะแพง ถ้ามีขนาด 1.5 กิโลกรัม ขึ้นไป จะขายกิโลกรัมละ 320 บาท

ตลาดส่งขาย จะเป็นตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ คือ ประเทศจีน จะนิยมรับประทานเนื้อตะพาบน้ำมาก ทำให้ฟาร์มของคุณปัทมามีการตลาดที่แน่นอน สามารถป้อนเข้าตลาดได้ตามที่ต้องการ โดยที่ฟาร์มของคุณปัทมาจะมีบริษัทส่งออกมารับถึงที่ เมื่อตะพาบน้ำได้ขนาดตามที่ต้องการ

คุณปัทมา บอกว่า จะไม่ค่อยได้จับขายหน้าฟาร์ม เพราะการที่ลงไปจับในบ่อ หรือไปกวนตะพาบน้ำอาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ จะทำให้เกิดโรคตามมา ซึ่งส่วนใหญ่จะวิดน้ำออกทั้งบ่อ แล้วจับตะพาบน้ำขายทีเดียว เมื่ออายุครบกำหนดตามที่ต้องการของบริษัทส่งออก

วิธีการขยายพันธุ์เพื่อการค้า

เมื่อเริ่มเลี้ยงชุดแรกจนส่งขายได้จนหมด คุณปัทมาได้นำชุดใหม่มาลงบ่อ เพื่อให้ได้ลูกตะพาบน้ำสำหรับขาย

“เมื่อทางการตลาดเริ่มดีขึ้น ราคาก็โอเค พอรับได้ พอมีกำไร เมื่อขายชุดแรกออกไป ก็สั่ง พ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ เข้ามา อัตราที่สามารถเลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ได้ อยู่ที่ 1,000 ตัว ต่อบ่อ แต่ที่บ่อเราเอาแม่พันธุ์ 500 ตัว พ่อพันธุ์ 200 ตัว เพราะพ่อพันธุ์สามารถผสมกับแม่พันธุ์ได้หลายตัว” คุณปัทมา กล่าว

เมื่อตะพาบน้ำผสมพันธุ์แล้ว ถึงระยะวางไข่จะมีที่สำหรับให้ตะพาบน้ำวางไข่โดยเฉพาะ จากนั้นก็นำไข่ที่ได้จากที่วางไข่ นำมาฟักในที่สำหรับฟัก เพื่อให้ได้ตัวอ่อนที่สมบูรณ์

“พอเราฟักลูกเสร็จ ก็จะมีคนรับซื้อลูก รับซื้อไข่ต่อไป ลูกตะพาบน้ำจะมีปัญหาเรื่องการส่งออก เพราะเวลาส่งขายอัตราการตายจะสูง ซึ่งถ้าทำไม่ดีเกิดเชื้อรากับลูกตะพาบน้ำ ต่อมาก็จะส่งเป็นไข่ออกไป ให้ลูกค้าไปฟักเอง การดูไข่ว่าผสมเรียบร้อยไหม ให้ดูที่สีของเปลือก มีสีขาวขุ่น กับขาวใส ถ้าสีขาวขุ่นครึ่งฟอง แสดงว่าฟองนั้นติดเชื้อ มีการผสมแล้ว” คุณปัทมา กล่าว

การดูสีของไข่ตะพาบน้ำ อาจไม่ต้องใช้เทคนิคอะไรมาก มีหลักการดังที่คุณปัทมากล่าวข้างต้น ไข่ที่มีเชื้อผสมเรียบร้อย ทางฟาร์มของคุณปัทมาจะขายอยู่ที่ ฟองละ 3 บาท ส่วนลูกตะพาบน้ำที่ฟักได้ระยะ 1 เดือน ตัวยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ขายอยู่ที่ตัวละ 8 บาท

สำหรับผู้ที่สนใจจะเลี้ยงตะพาบน้ำ เพื่อเป็นอาชีพเสริม คุณปัทมา แนะนำว่า “ควรที่จะมีใจรัก ศึกษาหาข้อมูลก่อน เพราะบางทียังมีรายละเอียดที่ต้องศึกษาให้รอบคอบ บางทีเราอาจคิดว่า เราทำได้ แต่ที่จริงอาจมีอะไรที่มากกว่านั้น”

ผู้ที่มีปัญหาต่างๆ ก็สามารถติดต่อมาที่คุณปัทมาได้ ทางฟาร์มยินดีให้คำแนะนำ ทางด้านการเลี้ยง การให้อาหาร การตลาด ส่วนผู้ศึกษาข้อมูลดีแล้ว ต้องการจะลงทุนแต่ยังหาตลาดไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะหาซื้อลูกตะพาบน้ำได้ที่ไหน ก็ติดต่อซื้อได้ที่คุณปัทมา เมื่อเลี้ยงจนตะพาบน้ำใหญ่แล้วทางคุณปัทมาจะเป็นสื่อกลางติดต่อพ่อค้าคนกลางเพื่อตกลงราคาการขายกันเอง โดยไม่รับหัวคิวแน่นอน

หากมีข้อสงสัย หรืออยากเยี่ยมชมฟาร์ม ก็ติดต่อกับทางฟาร์มของ คุณปัทมา คงสำราญ ยินดีให้ข้อมูล ติดต่อทางหมายเลขโทรศัพท์ (087) 711-9474

“ปลาค้อสมเด็จพระเทพ” ปลาค้อชนิดใหม่ ค้นพบโดย ทีมนักวิจัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05080011058&srcday=2015-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 608

เทคโนโลยีการประมง

สุจิตรา ราชจันทร์

“ปลาค้อสมเด็จพระเทพ” ปลาค้อชนิดใหม่ ค้นพบโดย ทีมนักวิจัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้

ทีมนักวิจัย จากคณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อภินันท์ สุวรรณรักษ์ ได้ค้นพบปลาค้อชนิดใหม่ ได้รับพระราชทานนามว่า “ปลาค้อสมเด็จพระเทพ”

ปลาค้อสมเด็จพระเทพ เป็นกลุ่มปลาค้อที่มีขนาดใหญ่ มีความโดดเด่นจากปลาค้อชนิดอื่นๆ ด้วยการที่มีเกล็ดปกคลุมตลอดทั้งลำตัว ซึ่งเป็นลักษณะของกลุ่มปลาตะเพียน บริเวณท้องมีเกล็ดแบบใส แตกต่างจากปลาค้อโดยทั่วไปที่มีเกล็ดฝังใต้ผิวหนัง หรือไม่ก็จะเห็นเพียงบางส่วน และมักไม่พบเกล็ดบริเวณท้องและระหว่างครีบหู เส้นข้างตัวสมบูรณ์ มีจำนวนเกล็ดบนเส้นข้างตัว แถบดำที่ฐานของครีบหลังสมบูรณ์ที่ต่างจากกลุ่มของปลาค้อชนิดอื่นๆ ที่มีจุดหรือแถบที่ฐานของครีบหลังไม่ต่อเนื่องกัน แถบสีดำที่ฐานของครีบหางที่มีลักษณะเป็นเสี้ยวพระจันทร์ยาวต่อเนื่องกันจากด้านล่างสุดถึงด้านบนสุด ช่องปากมีขนาด 0.86-1.19 เท่า ของความกว้าง ตามีขนาดค่อนข้างเล็ก 13.71?0.89% HL หนวดค่อนข้างยาวคล้ายกับปลาค้อในสกุล Nemacheilus หนวดเส้นนอกที่จะงอยปากยาวถึงตาและหนวดที่ขากรรไกรยาวถึง 2 ใน 3 ของความยาวหัว ครีบหลังอยู่ในตำแหน่งค่อนมาทางด้านหลังของจุดเริ่มต้นครีบท้อง มีก้านครีบอ่อนของครีบหลัง 6.5-7.5 ก้าน ครีบก้นมีก้านครีบอ่อนที่แตกปลาย 5.5 ก้าน ครีบท้องมีก้านครีบอ่อนที่แตกปลาย 7-8 ก้าน มีเกล็ดพิเศษ

ที่ฐานครีบท้อง ครีบหูกลม มีก้านครีบอ่อนที่แตกปลาย 8-10 ก้าน รูก้นอยู่ใกล้กับครีบก้นมากกว่าครีบท้อง ด้านบนและด้านล่างของคอดหางมีสันยกตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ครีบหางมีก้านครีบอ่อนที่แตกปลาย 8+8 ก้าน ครีบหางเว้าเข้าเล็กน้อย มีจำนวนข้อกระดูกสันหลังส่วนท้อง 19 ข้อ และมีข้อกระดูกสันหลังส่วนหาง 11 ข้อ

สีในขณะมีชีวิต ลำตัวมีสีพื้นเป็นสีน้ำตาล และมีลายรูปทรงอิสระสีส้มสดคล้ายเสือ ส่วนท้ายทอยมีรูปสามเหลี่ยม ระหว่างตามีรูปร่างคล้ายมงกุฎสีส้ม เป็นที่มาของชื่อสามัญว่า “Crown scaly stream loach” ด้านล่างของปากมีแต้มสีดำ แถบดำที่บริเวณฐานของครีบหางเป็นพระจันทร์เสี้ยว แถบสีดำที่ฐานของครีบหลังยาวต่อเนื่องกัน ครีบทุกครีบสีใส ครีบหูและครีบท้องใส สีในขณะที่เก็บรักษาในแอลกอฮอล์ ลำตัวมีสีน้ำตาลทึบแสง ส่วนของสีส้มสดหายไป

ความแตกต่างของเพศ เพศผู้มีแผ่นหนังใต้ตาเป็นรูปช้อน ครีบหูหนากว่าและมีตุ่มสิวจำนวนมาก ครีบหูมีความยาวมากกว่า ก้านครีบที่แตกปลายก้านแรกของครีบหูในเพศผู้มีขนาดใหญ่กว่าเพศเมีย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อภินันท์ สุวรรณรักษ์ ผู้ค้นพบ กล่าวว่า

“ปลาค้อชนิดนี้ เก็บตัวอย่างได้จากห้วยน้ำปาน บ้านน้ำคูน หมู่ที่ 2 ตำบลภูคา อำเภอปัว จังหวัดน่าน ในลำธารขนาดเล็ก พื้นท้องน้ำเป็นหินขนาดใหญ่ มีน้ำน้อย ด้านบนมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุม ริมตลิ่งชัน น้ำใส ระดับความสูงจากระดับทะเลปานกลาง 721 เมตร ลำธารมีความกว้าง 3 เมตร ความลึก 20 เซนติเมตร ชนิดปลาที่พบด้วยกันในสถานที่เก็บตัวอย่าง ได้แก่ ปลาค้อน่าน และปลาค้างคาวดอยตุง ตัวอย่างต้นแบบเก็บที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (Maejo Aquati Resources Natural Museum : MARNM 5555) ปัจจุบันยังพบการแพร่กระจายเฉพาะในลุ่มน้ำน่านตอนบนเท่านั้น ซึ่งเป็นต้นน้ำสำคัญของประเทศไทย เพราะปลาเหล่านี้สามารถใช้เป็นดัชนีบ่งชี้ความสมบูรณ์ของธรรมชาติได้เป็นอย่างดี เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติที่สะอาด กินแมลงน้ำและตะไคร่น้ำเป็นอาหาร โดยแมลงน้ำและตะไคร่น้ำจะต้องอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่สะอาดเช่นกัน พันธุ์ปลาค้อดังกล่าวนี้มีจำนวนน้อยมาก จึงอยากฝากให้ช่วยกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติ รักษาป่า รักษาแหล่งน้ำธรรมชาติ ขณะนี้กำลังหาแนวทางเพื่อการอนุรักษ์แหล่งน้ำธรรมชาติ สร้างความยั่งยืนของความหลากหลายทางชีวภาพน้ำ ดิน และป่าไม้ ร่วมกับชุมชนในพื้นที่ต่อไป ร่วมกันดูแลป่า ดูแลปลาค้อสมเด็จพระเทพ”

เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมายุ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จึงได้ขอพระราชทานนามชื่อพันธุ์ปลาค้อที่ค้นพบใหม่นี้ว่า “Schistura sirindhornae” ชื่อสามัญว่า Crown Scaly Stream Loach ชื่อไทยว่า “ปลาค้อสมเด็จพระเทพ” พระองค์ได้พระราชทาน พระราชานุญาตโดยให้ศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขยายพันธุ์ รวมทั้งการอนุรักษ์ เพื่อจัดทำรายงานรวบรวมกราบบังคมทูลประกอบพระราชดำริต่อไป นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อมหาวิทยาลัยแม่โจ้ อย่างหาที่สุดมิได้

ซีพีเอฟ จับมือ กรมประมง ฝ่าวิกฤติโรค อีเอ็มเอส หนุนลูกกุ้งที่ปราศจากเชื้อ เลี้ยงแบบ “เพชรบุรีโมเดล”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05083011058&srcday=2015-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 608

เทคโนโลยีการประมง

ธนสิทธิ์ เหล่าประเสริฐ

ซีพีเอฟ จับมือ กรมประมง ฝ่าวิกฤติโรค อีเอ็มเอส หนุนลูกกุ้งที่ปราศจากเชื้อ เลี้ยงแบบ “เพชรบุรีโมเดล”

นางมนทกานติ ท้ามติ้ม ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งเพชรบุรี กรมประมง เผย การจัดการบ่อเลี้ยงกุ้งในรูปแบบ “เพชรบุรีโมเดล” ที่ใช้สาหร่ายทะเลช่วยบำบัดเชื้อโรค ร่วมกับการใช้ลูกพันธุ์กุ้งของ ซีพีเอฟ ที่มีคุณภาพ และปราศจากเชื้อ ได้มีส่วนช่วยให้การเลี้ยงกุ้งได้ผลสำเร็จที่น่าพอใจ พร้อมถ่ายทอดต่อเกษตรกรสามารถนำไปปรับใช้กับฟาร์มได้ทันที

ในปี 2557 ที่ผ่านมา ผลการศึกษาจากหลายหน่วยงานต่างยืนยันเป็นที่แน่นอนแล้วว่า โรค อีเอ็มเอส ในกุ้ง เกิดจากเชื้อแบคทีเรียวิบริโอ พาราฮีโมไลติคัส สายพันธุ์ AHPND ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งเพชรบุรี กรมประมง ได้พัฒนารูปแบบการเลี้ยงกุ้ง เรียกว่า “เพชรบุรีโมเดล” โดยนำธรรมชาติช่วยบำบัดเชื้อที่มาของโรคในกุ้ง ด้วยการนำสาหร่าย และจุลินทรีย์ ผนวกกับการใช้ลูกพันธุ์กุ้งที่มาจากโรงเพาะฟักกุ้งที่มีมาตรฐานและปราศจากเชื้อ ที่สามารถลดโอกาสการติดเชื้อโรคต่างๆ ที่สร้างความเสียหายให้กับกุ้งได้มากขึ้น นางมนทกานติ กล่าว

ด้าน น.สพ. สุจินต์ ธรรมศาสตร์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ สนับสนุนศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งเพชรบุรี ด้วยการผลิตลูกพันธุ์กุ้งที่มีคุณภาพ ปราศจากโรค ได้มาตรฐานสูง รวมถึงใช้เครื่องมือตรวจสอบการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียที่แม่นยำทุกขั้นตอน โดยมองว่าความร่วมมือกับกรมประมงจะมีส่วนช่วยพัฒนากระบวนการฟาร์มเลี้ยงกุ้งที่ยั่งยืน สร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ได้นำไปต่อยอดสร้างความสำเร็จในการเลี้ยงกุ้ง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมกุ้งของประเทศต่อไป

นางมนทกานติ กล่าวต่อว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งเพชรบุรี กรมประมง ได้พัฒนา “เพชรบุรีโมเดล” มาใช้กับการเลี้ยงกุ้งด้วยการจัดการบ่อเลี้ยงกุ้ง โดยนำธรรมชาติช่วยบำบัดเชื้อโรคในบ่อเลี้ยงด้วยสาหร่ายทะเลและจุลินทรีย์ พร้อมกับใช้เทคนิคการเลี้ยงแบบผสมผสาน ทั้งการให้อาหาร การลดปริมาณสารอินทรีย์ สร้างสภาพแวดล้อมของบ่อให้เกิดความสมดุลของปริมาณแบคทีเรีย เพื่อลดโอกาสการติดโรค สร้างภูมิต้านทานให้กับกุ้ง ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ การเตรียมบ่อเลี้ยงกุ้ง การเตรียมน้ำที่ใช้เลี้ยง เทคนิคการให้อาหารกุ้ง และการจัดการระหว่างการเลี้ยง

การเตรียมบ่อเลี้ยงกุ้งของเพชรบุรีโมเดล ประกอบด้วย บ่อเลี้ยงกุ้ง 1 ไร่ ต่อบ่อพักน้ำที่มีการเลี้ยงสาหร่ายทะเล 1 ไร่ โดยทั้งสองบ่อจะบำบัดเชื้อโรคการฆ่าเชื้อล่วงหน้า ประมาณ 1 เดือน ด้วยการใส่วัสดุปูนร้อน เช่น ปูนเปลือกหอยเผา พร้อมกับจุลินทรีย์ คราดเลนออกจากก้นบ่อ พร้อมมีระบบเพิ่มอากาศก้นบ่อเลี้ยงกุ้ง เพื่อเตรียมบ่อให้สะอาดก่อนการปล่อยน้ำสำหรับการเลี้ยงกุ้ง และเลี้ยงสาหร่ายทะเลต่อไป

สำหรับบ่อพักน้ำที่ใช้เลี้ยงสาหร่ายทะเล ขนาด 1 ไร่ ติดตั้งราวไม้ไผ่ จำนวน 4 ราว สำหรับแขวนแผงเลี้ยงสาหร่ายทะเล หนักประมาณ 5-10 กิโลกรัม สำหรับชนิดของสาหร่ายทะเลต้องเลือกให้เหมาะสมกับระดับความเค็ม ซึ่งที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งเพชรบุรีเลือกใช้สาหร่ายพวงองุ่น ที่เหมาะกับความเค็ม 25-30 ส่วน ต่อน้ำทะเล 1,000 ส่วน

บ่อเลี้ยงสาหร่ายจะทำหน้าที่เป็นบ่อพักและบำบัดน้ำที่ผันเข้ามาเพื่อใช้เลี้ยงกุ้ง สาหร่ายทะเลจะช่วยให้น้ำสะอาด ใสขึ้น ช่วยควบคุมแบคทีเรียและแพลงตอนให้ลดลง รวมทั้งทำหน้าที่ผลิตออกซิเจนเติมให้กับน้ำอีกด้วย

โดยใช้เวลาพักและบำบัดน้ำและปรับความเค็ม 2 สัปดาห์ ก่อนถ่ายน้ำเข้าสู่บ่อเลี้ยงกุ้ง พักน้ำไว้ ประมาณ 7 วัน ก่อนปล่อยลูกกุ้งลงสู่บ่อเลี้ยง โดยใช้อัตราการปล่อยลูกกุ้ง 100,000 ตัว ต่อบ่อ 1 ไร่

ส่วนเทคนิคการเลี้ยง จะมีการปรับการให้อาหารเพื่อลดปริมาณสารอินทรีย์ในช่วงแรกของการเลี้ยง จึงให้อาร์ทีเมียตัวเต็มวัยแทนอาหารกุ้ง ใส่ในบ่อเลี้ยง ประมาณ 10 กิโลกรัม ต่อกุ้ง 100,000 ตัว ก่อนปล่อยลูกกุ้ง 1 วัน และให้ต่อเนื่องในช่วง 7 วันแรก ของการเลี้ยง เมื่อครบ 7 วัน จึงให้อาหารสำเร็จรูปทั้ง 5 มื้อ เพื่อรักษาสมดุลของจุลินทรีย์และควบคุมเชื้อแบคทีเรียในตัวกุ้ง โดยเติมจุลินทรีย์ที่ผ่านการหมักทั้งในอาร์ทีเมียและอาหารเม็ดก่อนให้กุ้งกิน ในอัตราส่วน 1 ลิตร ต่ออาร์ทีเมีย 1 กิโลกรัม

นอกจากนี้ อาจมีการเสริมวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ในอาหาร เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานและช่วยให้กุ้งลอกคราบดีขึ้น

ในช่วงเดือนแรกของการเลี้ยง ไม่มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำ หลังจากนั้น จึงเติมหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำโดยหมุนเวียนน้ำ ระหว่างบ่อเลี้ยงกุ้งและบ่อเลี้ยงสาหร่ายทุกสัปดาห์ หรือตามความเหมาะสม และในระหว่างการเลี้ยงจะมีการเติมจุลินทรีย์ ปม.1 เพื่อรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในน้ำอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาการเลี้ยง

ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งเพชรบุรี ยังเน้นให้ความสำคัญกับลูกกุ้งที่มีคุณภาพ แข็งแรง ที่มาจากโรงเพาะฟักลูกกุ้งที่มีกระบวนการจัดการการเลี้ยงที่มีมาตรฐานสูง รวมทั้งการควบคุมคุณภาพและตรวจสอบคุณภาพอย่างเคร่งครัดจนมั่นใจได้ว่าลูกกุ้งปราศจากเชื้อที่ก่อให้เกิดโรค

“และจากการที่ศูนย์ทดลองใช้พันธุ์ลูกกุ้งของ ซีพีเอฟ มา 4 รอบ การเลี้ยงที่ผ่านมา ใช้ระยะการเลี้ยง 70 วัน ประสบความสำเร็จทุกรุ่น ผลผลิต 1,025 กิโลกรัม ต่อไร่ ขนาดกุ้งที่จับได้ ประมาณ 80 ตัว ต่อกิโลกรัม มีอัตราแลกเนื้อ ประมาณ 1.25 กุ้งมีอัตรารอด ร้อยละ 82 ทั้งนี้ กรมประมง ยังได้ถ่ายทอดแนวทางการจัดการบ่อกุ้ง แบบเพชรบุรีโมเดล และการใช้พันธุ์ลูกกุ้งที่มีมาตรฐานสู่เกษตรกร เพื่อสร้างผลผลิตกุ้งที่ดีต่อไป” นางมนทกานติ ท้ามติ้ม กล่าวทิ้งท้าย

ปลาหมอแปลงเพศ และงานดีๆ ที่วิทยาลัยเกษตรฯ อุดร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05089150958&srcday=2015-09-15&search=no

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 607

เทคโนโลยีการประมง

ทะนุพงศ์ กุสุมา ณ อยุธยา

ปลาหมอแปลงเพศ และงานดีๆ ที่วิทยาลัยเกษตรฯ อุดร

วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุดรธานี สถานศึกษาอาชีวศึกษาต้นแบบเกษตรอินทรีย์และประมง ได้รับการรับรองคุณภาพการศึกษา จากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) และได้ผลิตบุคลากรเป็นกำลังสำคัญด้านการเกษตรเพื่อพัฒนาประเทศ สถาบันแห่งนี้มีอายุครบ 80 ปี ไปเมื่อปี 2556

วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุดรธานี จัดตั้งและจัดการเรียนการสอนครั้งแรก เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2476 โดยมีเจตนารมณ์เพื่อเป็นสถานที่อบรมสั่งสอนบุตรหลานเกษตรกรให้มีความรู้ด้านเกษตรไปถ่ายทอดต่อบิดา มารดา หรือเครือญาติที่มีอาชีพทำการเกษตร อันจะเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศอีกทางหนึ่ง

ทั้งยังเป็นสถานศึกษาที่มีความพร้อมในการจัดการศึกษาอาชีวศึกษาเกษตร เนื่องจากมีพื้นที่เพื่อการศึกษาและงานฟาร์ม จำนวน 486 ไร่ มีการจัดการเรียนการสอนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และในระดับปริญญาตรีสายปฏิบัติการด้านเกษตรกรรมและบริหารธุรกิจ โดยให้บริการผู้เรียนทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน

เมื่อคราวทีมงานเทคโนโลยีชาวบ้านลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมสถานศึกษาแห่งนี้ พร้อมกับได้รับฟังข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอนในปัจจุบัน ตลอดจนวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจจากคณาจารย์และผู้บริหาร

อาจารย์อุดมภูเบศวร์ สมบูรณ์เรศ ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาแห่งนี้ กล่าวว่า วิทยาลัยแห่งนี้เริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2476 เรื่อยมา จนถึงเวลาหนึ่งต้องหยุดไปเป็นเวลา 24 ปี จากนั้นเริ่มมาเปิดดำเนินการอีกครั้งเมื่อปี 2504 พร้อมกับจัดแผนการเรียนการสอนแบบใหม่ ดังนั้น ในปี 2558 นี้ จึงนับเป็นปีที่ 82 ของการก่อตั้งวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุดรธานี

สำหรับกระบวนการจัดการเรียนการสอนมีตั้งแต่ระดับ ปวช., ปวส. หลายสาขา อีกทั้งในปี 2558 นี้ ได้เปิดระดับปริญญาตรี สาขาประมง ขณะเดียวกันทางสถาบันได้ตระเตรียมเพื่อจะเปิดสอนระดับปริญญาตรี สาขาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งถือเป็นสาขาดีเด่นของวิทยาลัยแห่งนี้

นอกจากนั้น งานฟาร์มที่โดดเด่นจะเป็นทางด้านประมง เพราะสามารถตอบสนองต่อเกษตรกรในพื้นที่หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่อุดรธานี หนองคาย เนื่องจากชาวบ้านยึดอาชีพเลี้ยงปลากันจำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงที่เลี้ยงปลากระชัง

ปัจจุบัน มีนักศึกษารวมทั้งสิ้น 600 คน มีสาขาที่เปิดสอน ได้แก่ ประเภทวิชาเกษตรกรรม วิชาพาณิชยกรรม วิชาประมง วิชาบริหารธุรกิจ และหลักสูตรปริญญาตรีเทคโนโลยีบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

“ในกระบวนการสอนจะเน้นให้นักศึกษาทุกคนปฏิบัติจริง อีกทั้งทุกคนต้องมีโครงการเป็นของตัวเอง เป็นการบูรณาการด้านการเรียนการสอนเข้าด้วยกัน พร้อมไปกับโครงการหารายได้ระหว่างเรียนด้วย อาทิ ถ้านักศึกษากำลังทำโครงการเลี้ยงปลาจะต้องถอดบทเรียนออกมาให้เป็นรูปธรรมของหลักวิชาการที่ชัดเจนและจับต้องได้ มิได้ต้องการให้เลี้ยงปลาเพื่อสร้างเงินเท่านั้น”

ปลาหมอแปลงเพศ “ปลาหมอ…นะฮ้า”

ปลาหมอไทย เป็นปลาพื้นบ้านของประเทศที่มีรสชาติดี ทั้งยังเป็นที่นิยมบริโภคของประชาชนทั่วทุกภาค ปัจจุบันปลาหมอไทยในแหล่งธรรมชาติมีจำนวนลดลง อันเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม ความแห้งแล้ง ขณะเดียวกันมีการจับปลาเพื่อบริโภคเพิ่มมากขึ้น กระทั่งทำให้จำนวนปลาหมอไทยไม่เพียงพอแก่ความต้องการ

อาจารย์วิชาญ อิสิชัยกุล หัวหน้าแผนกวิชาประมง กล่าวว่า เหตุผลที่ทางวิทยาลัยต้องมีการเพาะ-ขยายพันธุ์ปลาหมอ เป็นเพราะปลาตามแหล่งทางธรรมชาติลดลงอย่างมาก จนชาวบ้านมักจับปลาที่มีขนาดเล็กมาบริโภค ถ้าเป็นเช่นนี้การแพร่ขยายพันธุ์ปลาอาจไม่ทันต่อความต้องการ ขณะเดียวกันถ้าต้องการจับปลาขายในเชิงพาณิชย์จะต้องเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่

ทำไม ต้องแปลงเพศ

ขนาดของปลาหมอไทยเพศเมียจะโตกว่าเพศผู้ 3-4 เท่า อีกทั้งยังมีราคาสูงกว่า ดังนั้น จึงจำเป็นต้องแปลงเพศปลาหมอทุกตัวให้เป็นเพศเมียด้วยการผสมฮอร์โมนเพศเมียในอาหาร เพื่อให้ลูกปลาหมอกิน จึงจะทำให้ได้ลูกปลาหมอเพศเมียมากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้นแล้ว ปลาหมอที่แปลงเพศเมียจะมีการเจริญเติบโตดีกว่าปลาหมอทั่วไป

การแปลงเพศปลาหมอจะต้องคัดสายพันธุ์จากปลาที่มีขนาดตัวใหญ่ ดังนั้น จึงนำสายพันธุ์มาจากทางจังหวัดสุราษฎร์ธานีและชุมพร เนื่องจากปลาหมอทางภาคใต้มีลักษณะใหญ่ คือประมาณ 200 กรัม ต่อตัว หรือประมาณ 5 ตัว ต่อกิโลกรัม

กระบวนการแปลงเพศจะเริ่มตั้งแต่ช่วงที่ปลามีอายุประมาณ 2-3 วัน โดยจะให้อาหารปลาที่ผสมฮอร์โมนเพศเมีย และจะให้ปลากินอาหารเช่นนั้นอยู่นานประมาณ 21 วัน จึงจะทำให้ปลาทุกตัวเป็นเพศเมีย อย่างไรก็ตาม ถ้าอุณหภูมิในน้ำต่ำจะมีผลต่อการแปลงเพศ เพราะทำได้น้อยลง

ต้นทุนเฉลี่ย อยู่ที่ตัวละ 30 สตางค์ ประมาณ 30 วัน จึงขายได้ ราคาตัวละ 80 สตางค์ ใช้เวลารวมทั้งสิ้น 4 เดือน สามารถจับขายส่งตลาดได้ ที่ผ่านมาทางวิทยาลัยขายเอง ราคากิโลกรัมละ 80-100 บาท ส่วนตลาดทั่วไป ขายกิโลกรัมละ 120-150 บาท แล้วที่แม่ค้าปิ้งขายกัน 3 ตัว 100 บาท

สถานที่เพาะสามารถทำได้ทั้งในวงบ่อซีเมนต์หรือในกระชัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของสถานที่ แต่นิยมเลี้ยงในบ่อดินมากกว่า ถ้าเป็นบ่อพลาสติกก็เลี้ยงได้เพราะปลาชนิดนี้มีอวัยวะช่วยในการหายใจ เลี้ยงได้เช่นเดียวกับปลาดุก แม้แต่พื้นที่แคบก็สามารถเลี้ยงได้ ปัญหาเรื่องโรคที่ผ่านมายังไม่พบ เนื่องจากโดยธรรมชาติปลาหมอเป็นปลาประจำถิ่นที่มีความอดทน แข็งแรง และเลี้ยงง่าย

“การแปลงเพศปลาหมอ ดำเนินมา 2 ปีแล้ว ตอนนี้ตลาดมีความต้องการมาก ผลิตไม่ทัน ลูกค้าเป็นเกษตรกรที่นำไปทดลองเลี้ยง คาดว่าจำนวนความต้องการจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ทั้งนี้เพราะยอดสั่งจองเข้ามามากแล้ว ผู้อ่านท่านใดสนใจสามารถติดต่อได้ที่ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุดรธานี โทรศัพท์ (042) 266-103-4”

แนะแนวส่งเสริมให้ชาวบ้านเพาะเห็ดสร้างรายได้

การเพาะเห็ด เป็นอาชีพมีความสำคัญในทางเศรษฐกิจอาชีพหนึ่ง เนื่องจากการเพาะเห็ดทำให้สมาชิกในครอบครัวได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัย หรือสามารถพัฒนาให้เป็นอาชีพหลัก สร้างรายได้อย่างดีในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ทั้งนี้เพราะเป็นการลงทุนต่ำที่ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่า

แต่เนื่องจากมีชาวบ้านจำนวนมากที่ยังไม่มีความรู้ถึงการเพาะเห็ดที่ถูกต้อง อาจารย์อุไร เชี่ยวชาญ หัวหน้างานแนะแนวอาชีพและจัดหางานฟาร์มธุรกิจเห็ดบอกว่า ทางวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุดรธานีได้จัดให้มีการแนะแนวและส่งเสริมให้ชาวบ้านเพาะเห็ดหลายชนิดที่ตลาดต้องการ อย่างที่ทำง่ายและลงทุนน้อยก็เป็นการเพาะเห็ดในท่อนไม้ เพราะหาได้ง่ายตามหมู่บ้าน และใช้เวลาเพียง 1-2 เดือน เก็บผลผลิตได้แล้ว

หรือแม้แต่การเพาะเห็ดในถุงพลาสติกเพราะเป็นที่นิยมกันมาก โดยจะใช้ขี้เลื่อยไม้ยางพาราเป็นหลัก ทั้งนี้สมัยก่อนอาจหาไม่ง่ายและราคาสูง แต่ในปัจจุบันหาได้ง่ายและราคาไม่สูง นอกจากนั้น อาจใช้อาหารเสริมที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่น เช่น ปลายข้าว เปลือกมันสำปะหลังเพื่อลดต้นทุน และอีกอย่างที่ต้องการจะแนะนำและส่งเสริมคือ การเพาะเห็ดในตะกร้า หรือในกระสอบ

สำหรับขั้นตอนการอบรม อาจารย์อุไรให้รายละเอียดว่า จะเริ่มตั้งแต่การผสมขี้เลื่อยเพื่อทำก้อนเชื้อ สอนวิธีนึ่ง การเขี่ยเชื้อเห็ด ตลอดจนการขาย การตลาด ทั้งนี้จะใช้วิทยากรในวิทยาลัยให้ความรู้ในทุกขั้นตอน โดยใช้เวลารวมทั้งสิ้น ประมาณ 4-5 วัน โดยผลที่เกิดขึ้นหวังว่าจะเป็นการแนะนำสำหรับไว้ใช้เป็นอาหารในครัวเรือน หรือถ้าบางรายสนใจต้องการต่อยอดใช้ประกอบอาชีพสร้างรายได้

“การแนะแนวและส่งเสริมนี้ ทำมาแล้วเป็นเวลา 8 ปี มีพื้นที่ซึ่งออกเดินทางไปแนะนำส่งเสริม เป็นจังหวัดแถวเลย หรือหนองบัวลำภู ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ความถี่หรือจำนวนครั้งในการออกไปส่งเสริมจะมากน้อยขึ้นอยู่กับงบประมาณในแต่ละคราวที่ทางวิทยาลัยได้รับ นอกจากนั้น ยังเป็นหลักสูตรหลักที่เปิดสอนในวิทยาลัยอยู่แล้ว อีกทั้งยังเปิดสอนให้บุคคลภายนอกที่สนใจด้วย ที่ผ่านมามีหลายคนยึดเป็นอาชีพแล้วประสบความสำเร็จ”

ปลูกผักอินทรีย์แบบไร้ดิน จากน้ำในบ่อเลี้ยงปลา

ปลอดภัยทั้งสุขภาพ พร้อมสร้างรายได้ที่ดี

ในปัจจุบัน ผัก เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญต่อเกษตรกรไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากการผลิตผักให้ผลตอบแทนเร็วกว่าพืชชนิดอื่น สามารถผลิตได้หลายครั้งในรอบปี และการที่ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพ เห็นความสำคัญของการบริโภคผัก ทำให้ความต้องการบริโภคผักเพิ่มสูงขึ้น ผลผลิตผักที่ออกมาจึงไม่พอกับความต้องการของผู้บริโภค ฉะนั้นมีเกษตรกรบางรายมองเห็นผลตอบแทนตัวเงินมากกว่าความสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค จึงนำสารเคมีมาใช้เพื่อเร่งผลผลิตให้เร็ว

เกษตรอินทรีย์ เป็นระบบเกษตรทางเลือกหนึ่งที่ใช้พื้นฐานของหลักการทางนิเวศวิทยามาประยุกต์กับการทำเกษตร โดยมีจุดประสงค์หลักในการทำเกษตรแบบยั่งยืน ให้ผลผลิตที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและผู้ผลิต และในขณะเดียวกันก็ช่วยอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อม

โดยใช้หลักการสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ ก่อให้เกิดการผลิตที่เน้นการผสมผสานเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เป็นการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรในไร่นาให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การใช้เศษพืชเป็นอาหารสัตว์และใช้มูลสัตว์และวัตถุอินทรีย์อื่น เป็นสารบำรุงดิน

ด้วยเหตุนี้การแปลงเพศปลาหมอจึงผุดเป็นแนวคิดต่อยอดถึงการนำน้ำในบ่อเลี้ยงปลามาใช้ประโยชน์ด้วยการปลูกผัก รวมถึงยังมุ่งศึกษาถึงความเหมาะสมของต้นทุน ทั้งนี้ยังถือเป็นโจทย์สำคัญของกรณีศึกษาโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุดรธานี เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนการผลิต การตลาด และการกำหนดราคาจำหน่ายผักอินทรีย์ต่อไป

คุณพิศ หมอยาดี รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทรัพยากร เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ ตลอดจนขอบเขตและวิธีการวิจัยของแนวคิดนี้ว่า เพื่อต้องการศึกษาระบบการปลูกผักไร้ดินแบบอินทรีย์โดยใช้น้ำจากการเลี้ยงปลา และต้องการศึกษาต้นทุนการผลิตระบบปลูกผักไร้ดิน โดยใช้ท่อ พีวีซี ของบริษัท อุตสาหกรรมท่อน้ำไทย จำกัด ชนิดผักที่เหมาะสมและเจริญเติบโตได้ดีกับรูปแบบการผลิตผักอินทรีย์ ต้นทุนการผลิตผักอินทรีย์เฉลี่ย โดยจะครอบคลุมผัก จำนวน 4 ชนิด อันได้แก่ ผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักสลัดม่วง และผักขึ้นฉ่าย อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าผักที่ตอบสนองได้ดีคือ ผักขึ้นฉ่าย

“หลังจากได้นำผลงานชิ้นนี้ไปออกแสดงที่งานต่างๆ ได้รับความสนใจมาก เพราะแนวทางที่ทำนั้นเกษตรกรหลายพื้นที่ซึ่งเลี้ยงปลาอยู่สามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที ถึงแม้ไม่ใช่บ่อซีเมนต์ แต่เป็นบ่อพลาสติกก็ทำได้ เพียงนำท่อ พีวีซี มาต่อแล้วเจาะหลุมเพื่อใช้ปลูกผักเท่านั้น แต่ถ้าในพื้นที่นั้นมีไม้ไผ่อยู่สามารถนำไม้ไผ่มาแทนท่อ พีวีซี ได้”

รองผู้อำนวยการ กล่าวเพิ่มเติมว่า อายุปลูกผักใช้เวลา 45 วัน สามารถเก็บได้ แต่ถ้าเป็นการปลูกลงดินต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน จึงเก็บได้ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างหรือความสมบูรณ์ของผักอาจขึ้นอยู่กับส่วนผสมของปุ๋ยคอก แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนของอัตราปุ๋ยคอก เพราะเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของการทดลอง

ทั้งยังระบุว่า ข้อดีของแนวทางนี้คือเป็นการลงทุนปลูกผักแบบใช้ทุนหมุนเวียน เพราะต้นทุนแทบจะใช้ไม่มาก เพราะทุกอย่างมีอยู่ในพื้นที่แล้ว เพียงลงทุนซื้ออุปกรณ์หรือเมล็ดพันธุ์เท่านั้น อย่างที่เลี้ยงปลาหมอในวิทยาลัย มีจำนวน 600 ตัว ต้นทุน 50 บาท ต่อกิโลกรัม ขายในราคา 80-90 บาท ต่อกิโลกรัม มีกำไรดี แล้วยังนำน้ำกลับมาใช้หมุนเวียน

ท่านผู้อำนวยการสถาบันแห่งนี้เพิ่มเติมว่า อีกไม่นานแนวทางเดียวกันนี้จะทดลองทำในลักษณะ ทรีอินวัน (3 in 1) หมายถึง ใน 1 ภารกิจ จะได้ผลลัพธ์ถึง 3 อย่าง กล่าวคือ ชั้นล่างเป็นบ่อเลี้ยงปลา ถัดขึ้นมาทำเป็นที่เลี้ยงไก่ แล้วชั้นบนสุดเป็นที่ปลูกผัก

“จุดประสงค์ของแนวคิดนี้จะทำให้ลดต้นทุนได้อย่างมาก ขณะเดียวกันจะได้ผลตอบแทนสูง อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้อยู่ระหว่างการปรับสูตรปุ๋ยคอกเพื่อให้เหมาะกับพืชแต่ละชนิด”

ท้ายนี้ทางทีมงานเทคโนโลยีชาวบ้าน ใคร่ขอขอบพระคุณ อาจารย์อุดมภูเบศวร์ สมบูรณ์เรศ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุดรธานี พร้อมทั้งคณาจารย์ท่านอื่น ได้แก่ คุณพิศ หมอยาดี รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทรัพยากร คุณนิศิษฐ์ เชี่ยวชาญ รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนากิจการนักเรียน นักศึกษา ครูอุไร เชี่ยวชาญ หัวหน้างานแนะแนวอาชีพและการจัดหางานฟาร์มธุรกิจเห็ด ครูวิชาญ อิสิชัยกุล หัวหน้าแผนกวิชาประมง และ ครูสุรศักดิ์ โนราช หัวหน้างานโครงการพิเศษและบริหารชุมชน

ผู้อ่านท่านใดที่สนใจต้องการผลิตภัณฑ์การเกษตรที่เป็นผลงานของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุดรธานี หรือสนใจแนวทางการทำเกษตรแบบใด สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทรศัพท์ (042) 266-103-4 หรือ http://www.udcat.ac.th

ชุมชน “ลีเล็ด” ฟื้นป่าชายเลน แหล่งเกิดหอยแครง อ่าวบ้านดอน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05085150858&srcday=2015-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 605

เทคโนโลยีการประมง

ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง srangbun@hotmail.com

ชุมชน “ลีเล็ด” ฟื้นป่าชายเลน แหล่งเกิดหอยแครง อ่าวบ้านดอน

“เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ ชักพระประเพณี” ขึ้นต้นด้วยประโยคนี้ เชื่อว่าหลายคนคงเดาออกแล้วว่า หมายถึง จังหวัดสุราษฎร์ธานี อันเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกของบ้านเรา

วันก่อน เรือโทภัทรชัย ขันธหิรัญ เลขานุการกรมการปกครอง นำคณะสื่อมวลชนจากส่วนกลางหลายสิบชีวิตไปศึกษาดูงานในพื้นที่ต่างๆ ของเมืองคนดีแห่งนี้ เพื่อไปดูความเข้มแข็งของคณะกรรมการหมู่บ้าน ในการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน ซึ่งแต่ละจุดมีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป อย่างจุดแรกไปกันที่ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านปากคลองน้อย หมู่ที่ 5 ตำบลคลองน้อย อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ยึดหลักคุณธรรม

ที่นี่แม้จะมีประชากรแค่ 500 กว่าคน เป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่ามีเงินสัจจะหมุนเวียนถึง 24 ล้านบาท ถือเป็นหมู่บ้านที่ประสบความสำเร็จในการออมทรัพย์ ซึ่งสมาชิกมีทั้งฝากและกู้ โดยส่วนใหญ่นำเงินกู้ไปใช้ในเรื่องการเกษตรและการทำอาชีพต่างๆ อาทิ ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร กลุ่มเพาะเห็ด กลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษ บ้านพักโฮมสเตย์ การเลี้ยงหมูหลุม และกลุ่มใบตอง ฯลฯ พอได้เงินมาก็นำไปใช้หนี้ เรียกว่ากู้ไปเพื่อต่อยอดธุรกิจ ไม่ได้กู้ไปซื้อโทรศัพท์มือถือหรือของฟุ่มเฟือยอะไร

คุณนพดล บุญช้าง ประธานกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านปากคลองน้อย เล่าให้ฟังว่า กลุ่มออมทรัพย์แห่งนี้ก่อตั้งเมื่อปี 2534 มาจากกลุ่มสัจจะ สมาชิกเริ่มแรกมี 51 คน เงินสะสม 5,900 บาท ถึงปัจจุบันมีสมาชิก 585 คน มียอดเงินสัจจะสะสม 24 ล้านบาท และตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา ก็ได้รับรางวัลต่างๆ หลายรางวัล อาทิ รางวัลกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตดีเด่น ระดับจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปีนี้ได้เกียรติบัตรผ่านเกณฑ์หมู่บ้านรักษาศีล 5 และได้รางวัลชนะเลิศโครงการคัดเลือกหมู่บ้านดีเด่น (บ้านสวย เมืองสุข) ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับเขต

ประธานกลุ่มออมทรัพย์แห่งนี้ บอกอีกว่า ปัจจัยที่ทำให้กลุ่มออมทรัพย์ประสบความสำเร็จเพราะสมาชิกและกรรมการ รวมทั้งชาวบ้านในหมู่บ้านยึดหลักคุณธรรม 5 ประการ คือ ความซื่อสัตย์ ความเสียสละเพื่อส่วนรวม รับผิดชอบร่วมกัน เห็นอกเห็นใจ และไว้วางใจซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ ยังเน้นการมีส่วนร่วมและปลุกจิตสำนึกของสมาชิก ซึ่งในแต่ละปีทางกลุ่มออมทรัพย์จะจัดสวัสดิการให้สมาชิกหลายรูปแบบ

วันที่ไปนั้น ทางกลุ่มอาชีพต่างๆ ได้นำผลิตภัณฑ์มาโชว์ มาขายด้วย อย่างเช่น ผักปลอดสารพิษ ผลไม้ ทั้งเงาะ มังคุด และผลไม้พื้นเมือง อย่าง ม่วงมุด ที่ใช้แกงส้ม หรือกินผลดิบหรือสุกก็ได้ ผลิตภัณฑ์จักสาน ที่ทำเป็นตะกร้า กระจาดใส่ของ ผลิตภัณฑ์จากน้ำมันมะพร้าว รวมทั้งขนมตาลและขนมจาก เสียดายช่วงนั้นกระท้อนยังไม่แก่จัด พวกเราเลยอดกินกระท้อนที่เขาว่ากันว่าอร่อยนักอร่อยหนา และเป็นผลไม้ที่ทำได้หลากหลายเมนู

ต้นแบบหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง

เรือโทภัทรชัย ให้ข้อมูลว่า บ้านปากคลองน้อย เป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบที่ใช้แนวทางตามพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเน้นให้หมู่บ้านพึ่งพาตัวเอง และถ้ามีผลผลิตเหลือก็ให้นำไปขาย กรมการปกครองเองก็มีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนในเรื่องนี้อยู่แล้ว และมีหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงกระจายอยู่ทั่วประเทศ

จุดเด่นของหมู่บ้านนี้คือ การดำเนินงานของกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านปากคลองน้อย ซึ่งปัจจุบันมียอดเงินสัจจะสะสมจำนวน 24 ล้านบาท นับว่าเป็นเงินหมุนเวียนไม่ใช่น้อยเลย ถือว่าเป็นความร่วมมืออย่างดีระหว่างคณะกรรมการหมู่บ้าน ชาวบ้าน และหน่วยราชการต่างๆ ในพื้นที่ที่ช่วยเป็นพี่เลี้ยงและให้คำแนะนำต่างๆ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นเกิดจากความสามัคคีกัน

ขณะที่ คุณสุริยัณห์ จิรสัตย์สุนทร นายอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ระบุว่า กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านปากคลองน้อยมาจากกลุ่มสัจจะ และแม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ก็มีศักยภาพ และผู้นำหมู่บ้านแต่ละยุคก็สืบทอดกันมา โดยเฉพาะในเรื่องความซื่อสัตย์ ซึ่งการจะนำไปเป็นแบบอย่างให้หมู่บ้านใดทำตามก็ต้องดูความพร้อมด้วย เนื่องจากเรื่องเงินเป็นเรื่องที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อการเบี่ยงเบน

นับเป็นหมู่บ้านตัวอย่างจริงๆ เพราะชาวบ้านมีฐานะความเป็นอยู่ค่อนข้างดี เนื่องจากแต่ละครัวเรือนยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเน้นการพึ่งตัวเอง ซึ่งแต่ละบ้านจะปลูกพืชผักสวนครัวและผลไม้ไว้ บางบ้านเหลือกินก็เก็บไปขาย

เลี้ยงหอยแครง ได้ปีละ 11 ล้าน

อีกจุดหนึ่งที่คณะสื่อฯ ไปกันคือ ศูนย์ศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน ตำบลลีเล็ด อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อไปดูความเข้มแข็งของคณะกรรมการหมู่บ้าน ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จุดนี้พวกเราต่างสนุกสนานกันใหญ่ เพราะหลังจากฟังการบรรยายของ คุณประเสริฐ ธัญจุกรณ์ กำนันตำบลลีเล็ด เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้นั่งเรือหางยาวล่องไปในป่าชายเลนของหมู่บ้าน ออกไปยังอ่าวบ้านดอน ซึ่งเป็นแหล่งที่หอยแครงเกิดเองโดยธรรมชาติ เนื่องจากเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เป็นจุดที่น้ำทะเลและน้ำจืดไหลมาบรรจบกันพอดี

คุณประเสริฐ ในฐานะผู้นำคนสำคัญในการอนุรักษ์ผืนป่าชายเลนแห่งนี้ เล่าว่า เมื่อ 10 กว่าปีก่อน พื้นที่ของตำบลลีเล็ด ซึ่งติดกับทะเล อันเป็นส่วนหนึ่งของอ่าวบ้านดอน มีปัญหาเรื่องการบุกรุกป่าชายเลน ทำประมงผิดกฎหมายและการปล่อยน้ำเสียจากการเลี้ยงกุ้งลงสู่ทะเล ดังนั้น จึงมีการรวมกลุ่มกันในปี 2545 ตั้งเป็นคณะกรรมการ 45 คน จาก 8 หมู่บ้าน เพื่อออกตรวจตราไม่ให้คนตัดไม้ทำลายป่า และไม่ให้ใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมาย โดยมีเรือตรวจการณ์ และออกมาตรการข้อบังคับต่างๆ เพื่อรักษาผืนป่าชายเลนและทรัพยากรที่มีอยู่

คณะกรรมการทั้งหมดของหมู่บ้าน แยกเป็นหลายชุดและมีหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น มีคณะกรรมการชุมชนประมงต้นแบบ คณะกรรมการหมู่บ้านทุกส่วน คณะกรรมการดูแลป่าชายเลน สภาเด็กและเยาวชน สภาที่ปรึกษาการจัดการทรัพยากร ฯลฯ ซึ่งผลจากความร่วมมือร่วมใจดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบัน มีพื้นที่ป่าชายเลน หรือป่าอนุรักษ์เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 8,000 ไร่

จากเดิมในปี 2534 มีป่าชายเลนเหลืออยู่เพียง 3,400 ไร่ และปี 2548 มี 5,085 ไร่ ซึ่งเป็นผืนป่าที่เกิดขึ้นใหม่ โดยเฉพาะในช่วงปี 2549-2550 รวมทั้งยังมีทรัพยากรทางน้ำเกิดขึ้นจำนวนมาก ทั้งกุ้ง หอย ปู และปลา และยังเป็นแหล่งเกิดหอยแครงในอ่าวบ้านดอนอีกด้วย โดยที่ผ่านมาเกษตรกรบางคนมีรายได้จากการเลี้ยงและขายหอยแครงในปีหนึ่งถึง 11 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีการตั้งกลุ่มชุมชนลีเล็ดนำเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ เมื่อปี 2547 โดยหวังให้การท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นเครื่องมือ เป็นกุศโลบายในการอนุรักษ์ทรัพยากร แต่ปรากฏว่าสามารถจัดการการท่องเที่ยวได้ดีจนได้รับรางวัลระดับประเทศหลายรางวัล เช่น มาตรฐานโฮมสเตย์ไทย อีกรางวัลที่ยิ่งใหญ่คือ รางวัลกินรีทองคำ ประเภทการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ รางวัลที่ 1 ระดับประเทศ ปี 2551 และปี 2553 ได้รับรางวัลการจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริ ในระดับประเทศ ซึ่งมีมูลนิธิอุทกพัฒน์เข้ามาดูแลหมู่บ้านด้วย อีกทั้งยังมีนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศมาเที่ยวที่ป่าชายเลนแห่งนี้เพิ่มมากขึ้นทุกปีๆ

“ปัจจุบัน บ้านลีเล็ด สามารถทำให้คนที่นี่เข้ามามีส่วนร่วม ตัวชี้วัดการมีส่วนร่วมคือกลุ่มต่างๆ ในชุมชนที่จะช่วยกันทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องมาตลอด อีกอย่างเรื่องทรัพยากร เรามีป่าเพิ่มขึ้น เรียกว่า ป่ารุกทะเล โดยเฉพาะเมื่อปี 2549-2550 ที่นี่มีชื่อเสียงมากเรื่องของป่ารุกทะเล เนื่องจากป่าเกิดรุกไปในทะเลทุกปี ทำให้มีสัตว์น้ำเพิ่มขึ้น คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจับสัตว์น้ำ” คุณประเสริฐ กล่าวและว่า สิ่งที่ชาวลีเล็ดภูมิใจมากคือ คนของหมู่บ้าน จากที่เคยทำลาย เคยตัดไม้ทำลายป่า เคยใช้อุปกรณ์ประมงผิดกฎหมาย ได้กลับตัวกลับใจแล้วมาร่วมกันเป็นอาสาสมัคร อนุรักษ์สัตว์น้ำ และเป็นสมาชิกของกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชน นี่คือรางวัลที่ยิ่งใหญ่ และป่าชายเลนของลีเล็ดถือเป็นมหาวิทยาลัยธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่

พืช-สัตว์ อุดมสมบูรณ์

วันนี้แม้ว่าป่าชายเลนของหมู่บ้านลีเล็ดจะไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังก้องโลก แต่ก็มีนักท่องเที่ยวและนักเรียน นักศึกษา มาใช้บริการกันตลอด ซึ่งชาวบ้านต่างชอบอกชอบใจ เพราะทำให้พวกเขาได้ถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ความเชี่ยวชาญที่แต่ละคนมี ไม่ว่าจะเป็นการทำขนมจาก การเย็บจากทำหลังคา การทำกะปิ การทำใบยาสูบ รวมถึงการเล่นลิเกป่า และรำมโนราห์

อย่างที่บอกไป ที่นี่ได้รับรางวัลด้านการท่องเที่ยวและอนุรักษ์ธรรมชาติมากมายหลายรางวัล ซึ่งปัจจัยสำคัญคือ ชาวบ้านต่างร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาผืนป่าแห่งนี้ จนความอุดมสมบูรณ์กลับคืนมา โดยผู้มาเยือนสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตาตัวเอง ช่วงล่องเรือจะได้เห็นต้นไม้หลากหลายชนิด อาทิ ลำพู โกงกาง แสม ถั่ว ลำพูหิน ตะบูน ส่วนจำพวกสัตว์ ก็มี ลิงแสม นกกระยาง นกกะปูด หิ่งห้อย งู ผึ้ง ต่อ ปูทะเล ปูเปี้ยว หอยจุ๊บแจง หอยกัน ฯลฯ ซึ่งล้วนแสดงถึงระบบนิเวศวิทยาที่ไม่ถูกมนุษย์ทำลายเหมือนสมัยก่อน

หลังพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า หากนั่งล่องเรือไป ก็จะได้เรียนรู้วัฏจักรชีวิตของหิ่งห้อย และถ้ามีเวลาก็ทำประโยชน์ให้กับสังคมโดยการร่วมกันปลูกป่าชายเลน และยังสามารถร่วมออกหาปลา ถีบกระดาน จับปู กับชาวประมง นอกจากนี้ ยังสามารถใช้บริการโฮมสเตย์ของบ้านลีเล็ดได้อีกด้วย ซึ่งจะได้กินอาหารท้องถิ่นต่างๆ ที่พวกเขาปลูกและหาได้ในผืนป่าและท้องน้ำแห่งนี้ ทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา ส่วนผักพื้นบ้าน เช่น นกจาก ลูกจากอ่อน ลูกเถาคัน ลูกลำแพน ดอกลำพู เหม่งมะพร้าว ฯลฯ

ว่าไปแล้วที่นี่ใช่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่ผลิตภัณฑ์ชุมชนก็มีอะไรน่าสนใจหลายอย่าง เช่น ผลิตภัณฑ์จากก้านจาก โดยทำเป็น เสวียนหม้อ กรอบรูป จานรองแก้ว ถาด กระเช้า หรือ กะปิ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น และผลิตภัณฑ์จากเปลือกหอยกัน เช่น โมบาย ฯลฯ

อ่านถึงตรงนี้ สนใจอยากจะไปเที่ยวอย่างมีสาระและช่วยลดโลกร้อน ติดต่อ คุณประเสริฐ ธัญจุกรณ์ ได้ที่ โทร. (081) 271-0017 หรือสอบถามกับ คุณศิริพงษ์ เวชสุวรรณ์ โทร. (089) 970-4838