ผลไข่เน่า-นามขานไม่ไพเราะ แต่สรรพคุณนั้นเป็นเลิศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05059010259&srcday=2016-02-01&search=no

วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 616

เทคโนโลยีเกษตร

ชำนาญ ทองเกียรติกุล

ผลไข่เน่า-นามขานไม่ไพเราะ แต่สรรพคุณนั้นเป็นเลิศ

ไข่เน่า หรือ คมขวาน หรือ ขี้เห็น ล้วนแต่เป็นชื่อเรียกขานในแต่ละภาคของประเทศไทย

ถือเป็นพรรณไม้ยืนต้นที่เก่าแก่หรือไม้โบราณ เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ขนาดวัยใกล้เกษียณอาจจะเคยได้ยินกันบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่ามีสรรพคุณประโยชน์อย่างไร แค่ได้ยินชื่อว่า ไข่เน่า กลิ่นก็มาแล้ว

แต่มีบุคคลหนึ่งทำงานกับชุมชนในพื้นที่ป่าต่างๆ ของเมืองไทย อย่างเช่น คุณยุทธนา เพชรนิล ผู้จัดการส่วนพัฒนาวิสาหกิจชุมชนพื้นป่าตะวันตกจังหวัดกาญจนบุรี เห็นคุณค่าของ ไข่เน่า ที่ขึ้นตามหัวไร่ปลายนาอยู่มาก ขณะนั้นชาวบ้านในพื้นที่มักจะโค่นล้ม จึงคิดว่าจะมีวิธีทำอย่างไร ที่ชุมชนไม่ต้องโค่นต้นไข่เน่าทิ้ง เพราะเป็นไม้ยืนต้น อีกทั้งสารพัดประโยชน์

คุณยุทธนา เล่าอีกว่า จากที่คลุกคลีเกี่ยวกับสมุนไพรอินทรีย์ในผืนป่าตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นชุมชนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางจังหวัดตาก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ อุทยานแห่งชาติลำคลองงู และอุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี รวมทั้งที่ตำบลแก่นมะกรูด ขอบป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ซึมซับภูมิปัญญาเก่าๆ ที่บรรพบุรุษถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น แต่การที่จะทำให้ชุมชนไม่โค่นต้นไข่เน่าก็ยากพอๆ กับการณรงค์ให้เลิกใช้สารเคมี หันมาให้ใช้เกษตรอินทรีย์ สิ่งแรกคือ ต้องให้ชุมชนเห็นสิ่งที่มีประโยชน์ก่อน

“ก่อนอื่นนั้น ผมก็คิดถึงภูมิปัญญาชาวบ้านถึงสรรพคุณของไข่เน่า ในเรื่องของการบำรุงสมอง บำรุงกระดูก เปลือกใช้รักษาตานขโมย ท้องร่วง เจริญอาหาร ผลสุกใช้รับประทานกับเกลือ รักษาโรคเบาหวาน นั้นคือสิ่งที่ได้บอกกล่าวกับชุมชน แต่กว่าชาวบ้านจะยอมรับเห็นดีด้วย ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน อย่างแรกที่ทำคือ ให้เห็นว่าเราสามารถนำผลของต้นไข่เน่าไปแปรรูปและขายได้ ให้เห็นว่าชาวบ้านจะมีรายได้จากการเก็บไข่เน่ามาขาย หรือนำมาแปรรูป”

“ผมเริ่มทำโครงการไข่เน่าแปรรูปมา ประมาณ ปี 2555 เริ่มจากการซื้อผลไข่เน่าจากชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ชาวบ้านไม่ต้องลงทุนอะไร? เพียงแต่ให้ขยันเก็บเท่านั้น แต่ต้นไข่เน่าจะออกผลผลิตได้ประมาณเดือนสิงหาฯ กันยาฯ เท่านั้น ต้องเก็บสต๊อกเอาไว้เพื่อแปรรูป ครั้งหนึ่งๆ ก็ประมาณ 1,000 กิโลกรัม” คุณยุทธนา กล่าว

แต่สิ่งหนึ่งที่คุณยุทธนาภูมิใจอย่างมาก เพราะตอนนี้ต้นไข่เน่าตามหัวไร่ปลายนายังคงอยู่เหมือนเดิม และตอนนี้เริ่มมีการปลูกเพิ่มกันมากขึ้น จากที่เคยโค่นล้มเห็นว่าเป็นไม้ไร้ประโยชน์ ต้นไข่เน่าต้นหนึ่งกว่าจะให้ลูก ต้นหนึ่งๆ ใช้เวลาในการเจริญเติบโตก็ประมาณ 7-8 ปีทีเดียว เป็นไม้ที่ไม่ค่อยชอบอากาศหนาว เคยคิดจะเปลี่ยนชื่อไข่เน่าเหมือนกัน เพราะฟังดูแล้วไม่ไพเราะ แต่ต้องล้างความคิดนี้ออกไป เพราะโบร่ำโบราณเขาตั้งชื่อกันมาอย่างนี้ก็คงมีเหตุผล

การทำน้ำไข่เน่า

ส่วนประกอบ

1. ผลไข่เน่า 75 กรัม

2. มะขามเปียก 30 กรัม

3. ใบเตย 15 กรัม

4. น้ำเปล่า 2 ลิตร

5. น้ำตาลกรวด 400 กรัม

6. เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีการทำ

1. เติมน้ำ 2 ลิตร ในหม้อ แล้วต้มให้เดือด ใส่ผลไข่เน่า 75 กรัม ต้มเคี่ยวประมาณ 30 นาที

2. ใส่มะขามเปียก 30 กรัม ใบเตยสด 15 กรัม เติมน้ำตาลกรวด 400 กรัม ต้มต่อไปอีก 20 นาที ทิ้งไว้พออุ่นๆ

3. กรองด้วยผ้าขาวบาง รินใส่แก้วดื่มอุ่นๆ หรือเก็บใส่ตู้เย็น

นอกจากจะทำน้ำไข่เน่าแล้ว คุณยุทธนายังมีไข่เน่าแช่อิ่มด้วย สำหรับไข่เน่าแปรรูปที่ทำนี้อยู่ได้นานถึง 6 เดือน

สำหรับผลไข่เน่าที่ยังไม่สุกจะมีสีเขียวและแข็ง ผลสุกแก่เต็มที่สีจะเปลี่ยนเป็นสีดำเทาอ่อนนิ่ม ผลโตประมาณ 1-1.5เซนติเมตร

การขยายพันธุ์ ใช้เมล็ด

สรรพคุณ ผลมีรสหวาน มีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูก ช่วยบำรุงสมอง บำรุงไต ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ผู้สูงวัยช่วยรักษาอาการอัลไซเมอร์ เนื้อไม้ของต้นไข่เน่ามีความแข็งแรงนำมาทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือนได้

ในปัจจุบันนี้ ไข่เน่า ไม่ใช่ต้นไม้หัวไร่ปลายนากันอีกแล้ว หลายคนเริ่มนิยมรับประทานผลไข่เน่ากันมากขึ้น ตามตลาดนัดหรือตามละแวกขายอาหารสมุนไพร ร้านอาหารสุขภาพ จะมีผลไข่เน่ามาวางขาย ทั้งผลสุกและเป็นน้ำแปรรูป รวมไปถึงร้านขายพรรณไม้ จะมีต้นไข่เน่า ไว้จำหน่ายเช่นกัน

ต่อไปถ้าเห็น ผลไข่เน่า วางจำหน่ายที่ไหน ท่านใดที่รักษาสุขภาพก็ลองซื้อหามาลองชิมได้

ตลาดสินค้าไหมในอินโดนีเซีย

นายอภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเป็นทางการ ดังนั้น ในส่วนของกรมหม่อนไหมก็มีการศึกษาข้อมูลด้านหม่อนไหมเพื่อเตรียมพร้อมผลักดันไหมไทยเข้าสู่ตลาดอาเซียน

โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ส่ง นางสาวศิริพร บุญชู ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์และตรวจสอบมาตรฐานหม่อนไหม เดินทางไปศึกษาสถานภาพการตลาดสินค้าไหมในประเทศอินโดนีเซีย ภายใต้โครงการศึกษาสถานภาพการตลาดสินค้าไหมในอาเซียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาโครงสร้างการผลิตและการตลาดสินค้าไหมของประเทศอินโดนีเซีย ศึกษาค่านิยมและพฤติกรรมการซื้อสินค้าไหมของประเทศอินโดนีเซีย และแนวทางในการตรวจสอบมาตรฐานและกฎระเบียบด้านสินค้าไหมประเทศอินโดนีเซีย

โดยจากการศึกษาสถานภาพการตลาดและเก็บข้อมูลสิ่งทอ ณ ตลาดสิ่งทอที่สำคัญ ได้แก่ Sarinah Thamrin Plaza, Jakarta พบว่า การค้าสินค้าไหมในจาการ์ตา ส่วนใหญ่ไม่นิยมนำผ้าไหมหรือสินค้าจากไหมวางขายมากนัก เนื่องจากราคาสูง แต่จะวางจำหน่ายในร้านที่ได้รับความนิยม และเป็นกลุ่มลูกค้าผู้มีฐานะสูง ดังนั้น ตลาดสินค้าไหมจึงค่อนข้างแคบไม่เป็นที่นิยม และที่สำคัญคือ สินค้าที่ผลิตจากไหมหากนำมาวางจำหน่าย ส่วนใหญ่เป็นไหมที่นำเข้าจากจีน เวียดนาม และอินเดีย ส่วนมากเป็นไหมที่มีการผสมกับวัตถุดิบชนิดอื่นปนเข้าไป จึงทำให้สินค้าไม่มีคุณภาพ ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่น

“แต่หากเป็นสินค้าไหมที่ผลิตจากไทย ติดแบรนด์และป้ายว่า ไหมแท้จากไทย จะเป็นสินค้าที่ได้รับความเชื่อมั่นและเป็นที่นิยม ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะรุกการผลิตที่ทำเป็นแบรนด์จากไทยและระบุชัดว่า เป็นไหมแท้จากไทย เพื่อรักษาฐานลูกค้าตลาด Hi End นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาข้อมูลสถิติการนำเข้าส่งออกสินค้าไหม และกฎระเบียบในการนำเข้าส่งออกที่สำคัญของประเทศอินโดนีเซียอีกด้วย” นายอภัย สุทธิสังข์ กล่าว

จากเกษตรเคมี สู่วิถีอินทรีย์ยั่งยืน “ประหยัด ปานเจริญ”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05044010159&srcday=2016-01-01&search=no

วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 614

เทคโนโลยีเกษตร

เบญจรัตน์

จากเกษตรเคมี สู่วิถีอินทรีย์ยั่งยืน “ประหยัด ปานเจริญ”

“กว่าจะก้าวข้ามเคมีได้ เราต้องฝ่าอุปสรรคกันมานานนับ 10 ปี วันนี้เราอยู่อย่างมีความสุข ได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับสังคม ได้มีโอกาสสร้างกุศลที่ยิ่งใหญ่ ด้วยการผลิตอาหารอินทรีย์ให้กับผู้บริโภค”

เสียงสะท้อนจากหัวใจของ “ประหยัด ปานเจริญ” เจ้าของสวนผลไม้กว่า 80 ไร่ ในพื้นที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ที่ครั้งหนึ่งเคยตกเป็นทาสการทำเกษตรแบบเคมี จนเป็นหนี้สินอีนุงตุงนัง ก่อนตัดสินใจหักดิบเคมีมาทำเกษตรอินทรีย์ ใช้เวลาลองผิดลองถูกนับครั้งไม่ถ้วน แต่ด้วย “หัวใจ” ที่มุ่งมั่น และเปี่ยมด้วยพลังศรัทธา ในที่สุดเธอพาครอบครัว “ปานเจริญ” หลุดพ้นจากวงจรเคมี หวนคืนสู่วิถีอินทรีย์ได้สำเร็จ และอยู่กันอย่างมีความสุข

ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน การมาถึงของยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี นอกจากจะเป็นการซ้ำเติมให้เกษตรกรไทยเป็นหนี้เป็นสิน และเจ็บป่วยมากขึ้นแล้ว ยังทำให้เกษตรกรที่รู้ไม่เท่าทันส่วนใหญ่ ต้องสูญเสียที่ทำกินอีกด้วย เช่นเดียวกับ ป้าประหยัด หญิงร่างเล็ก ในวัย 52 ปี ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพลังศรัทธาในเกษตรวิถีอินทรีย์ หัวหน้ากลุ่มเกษตรอินทรีย์บางช้าง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม หนึ่งในสมาชิกของโครงการสามพรานโมเดล ซึ่งขับเคลื่อนโดยมูลนิธิสังคมสุขใจ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)

ป้าประหยัด เล่าจุดเริ่มต้นในวันที่เลือกเดินบนทางสายอาหารเคมีให้ฟังว่า หลังแต่งงาน ก็ตัดสินใจทำอาชีพเกษตรเคมีแบบเต็มตัว ด้วยคิดว่า ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง จะช่วยทำให้ได้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น และได้ราคาสูงขึ้น แต่เมื่อหันหน้าเข้าสู่เกษตรเคมี ทั้ง บริษัทยา บริษัทปุ๋ย ก็เข้ามาชวนเชื่อ อวดอ้างสรรพคุณข้อดีจากผลิตภัณฑ์กันครึกโครม หลายบริษัทเสนอเงื่อนไขพิเศษ ทั้งลดแหลกแจกแถม ทองคำเอย เครื่องใช้ไฟฟ้าเอย ทีวี วิทยุ รวมถึงรถมอเตอร์ไซค์ ที่ต่างหยิบยื่นให้ในฐานะลูกค้า แต่สิ่งตอบแทนเหล่านั้น แทนที่จะทำให้ครอบครัวเรากินอยู่อย่างสุขสบายมากขึ้น กลับยิ่งสร้างภาระทำให้เป็นหนี้เป็นสินเพิ่มขึ้นไปอีก

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต ป้าประหยัด เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีโอกาสได้ทบทวน เปรียบเทียบวิถีเกษตร ที่เธอกำลังทำ กับการทำเกษตรแบบพึ่งพาธรรมชาติ ครั้งสมัยปู่ ย่า ทำนา ทำสวน ประกอบกับการแพ้สารเคมีของสามี และหนี้ธนาคาร 700,000 บาท ที่กู้มาซื้อยา ซื้อปุ๋ย ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะลด

เมื่อไตร่ตรองจนพบว่า ทุกข์ที่ตัวเธอและครอบครัวกำลังประสบ สาเหตุมาจากผลพวงการทำเกษตรเคมี ที่นับวันรายจ่ายเพิ่มทวีขึ้น เธอจึงหารือคู่ชีวิตเพื่อหาทางออกให้หลุดพ้นห้วงแห่งทุกข์นี้ แม้ผู้เป็นสามีจะไม่เห็นด้วย แต่ป้าประหยัดก็ตัดสินใจหักดิบ หยุดทำเกษตรเคมีทันที ทั้งที่ไม่รู้อนาคต

“ตอนนั้นไม่มีทางเลือกอื่น เพราะถ้าเรายังขืนทำเกษตรเคมีต่อไป วันนี้เราคงไม่มีที่ให้ทำกิน เพราะไม่มีเงินส่งดอกเบี้ยให้ธนาคาร แต่ละเดือนๆ ต้องเสียเงินซื้อปุ๋ยเคมี ซื้อยาฆ่าแมลงจำนวนมาก หักลบแล้วแทนที่จะเหลือใช้หนี้ กลับต้องเป็นหนี้เพิ่มขึ้นอีก แถมสุขภาพย่ำแย่ จึงต้องตัดใจหักดิบ ไม่เอาละเกษตรเคมี” ป้าประหยัด เล่าถึงความรู้สึกหักดิบ

แม้อานิสงส์จากการหักดิบครั้งนั้น จะไม่ทำให้ร่ำรวยทันตาเห็น แต่ป้าประหยัดก็บอกว่า อย่างน้อยที่สุดการทำเกษตรอินทรีย์ก็ไม่ทำให้เป็นหนี้มากขึ้น และกว่า 3 ปี ที่ลองผิดลองถูก ท่ามกลางการจับตามองและเสียงดูหมิ่นจากสังคมเกษตรเคมี หลายครั้งล้มลุกคลุกคลาน เพราะปัญหาเรื่องตลาด และผู้บริโภคเองยังขาดความรู้เรื่องประโยชน์จากผักอินทรีย์ แต่ก็ไม่เคยท้อใจ และไม่คิดจะหวนกลับไปทำเกษตรเคมีแบบเดิม กระทั่งมีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการสามพรานโมเดล ภายใต้การนำของ คุณอรุษ นวราช กรรมการผู้จัดการ สามพราน ริเวอร์ไซด์ และเลขาธิการมูลนิธิสังคมสุขใจ

ป้าประหยัด ยอมรับว่า ก่อนจะพบกับโครงการสามพรานโมเดล ตนเองก็ทำเกษตรแบบคู่ขนาน คือทำอินทรีย์ควบกับเกษตรเคมีบางส่วน เพราะตลาดอินทรีย์ตอนนั้นอยู่ในวงแคบๆ ทุกอย่างไม่เอื้อให้ทำเกษตรอินทรีย์เลย กระทั่งทีมเจ้าหน้าที่โครงการสามพรานโมเดล ซึ่งเข้ามาช่วยเรื่องตลาดด้วยความจริงใจ และช่วยเป็นกระบอกเสียงสื่อถึงผู้บริโภคให้เข้าใจวิถีของเกษตรอินทรีย์ ทำให้เรามองเห็นโอกาส มีกำลังใจและเชื่อมั่นในวิถีอินทรีย์มากขึ้น

ปัจจุบัน ผลผลิตของป้าประหยัดและของสมาชิกในกลุ่ม ทั้ง มะม่วง มะพร้าวน้ำหอม ฝรั่ง ชมพู่ ถูกส่งเข้าห้องอาหารของโรงแรมสามพราน ริเวอร์ไซด์ เพื่อไว้บริการสำหรับลูกค้า ส่วนหนึ่งเอาไปวางจำหน่ายที่ตลาดสุขใจ (วันเสาร์-อาทิตย์) และออกตลาดสุขใจสัญจรทุกเดือน ไปตามย่านธุรกิจในเมือง อาทิ SCB สำนักงานใหญ่ SCG สำนักงานใหญ่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะฝรั่งจะขายดีมาก ทั้งแบบชั่งกิโลและคั้นน้ำสดๆ สร้างรายได้แต่ละครั้ง 20,000-30,000 บาท เลยทีเดียว

การได้ร่วมสัญจรไปกับตลาดสุขใจตลอด 1 ปี ที่ผ่านมา เป็นช่องทางให้ป้าประหยัด ซึ่งถือเป็นเกษตรกรต้นน้ำ มีโอกาสได้สื่อสารกับผู้ซื้อ (ปลายน้ำ) โดยตรง

“ช่วงแรกๆ หลายคนพูดเหมือนๆ กันว่า ฝรั่งไม่สวยเลย แต่เมื่อลองได้ชิมแล้ว ทุกคนก็จะพูดเหมือนกันอีกว่า ฝรั่งอินทรีย์รสชาติหวาน กรอบ อร่อยกว่าฝรั่งที่เคยกิน ยิ่งผู้บริโภคเข้าใจ และสัมผัสวิถีอินทรีย์ หลายคนยิ่งเห็นคุณประโยชน์ของผัก ผลไม้อินทรีย์ และยินดีจ่ายโดยไม่ต่อรองราคาเลยสักคำ สิ่งที่เรากังวลตอนนี้คือ ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด”

อินทรีย์ไม่ได้เปลี่ยนชีวิต แต่วิถีอินทรีย์ให้ชีวิตป้าประหยัด ช่วยให้ครอบครัวไม่เป็นหนี้เพิ่มขึ้น และยังมีที่ทำกิน ที่สำคัญทำให้สุขภาพของคนในครอบครัวดีขึ้นด้วย สิ่งแวดล้อมก็ดี ทุกวันนี้ระบบนิเวศในสวนกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง สังเกตได้ว่าแมลงบางชนิดซึ่งหายไปนาน อย่าง หิ่งห้อย ก็เริ่มกลับมาอาศัยอยู่เหมือนเมื่อก่อน

จากประสบการณ์ และจำนวนปีที่ลองผิดลองถูก และความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ที่ได้จากโครงการสามพรานโมเดล ทำให้ป้าประหยัด มีองค์ความรู้มากพอที่จะเปิดสวนของตัวเองเป็นศูนย์เรียนรู้ พร้อมถ่ายทอดประสบการณ์ ให้ผู้ที่สนใจมาศึกษาด้วย เหนืออื่นใด “ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนบ้านหัวอ่าว” หมู่ที่ 5 ตำบลบางช้าง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม แห่งนี้ ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจ ความเชื่อมั่นในการทำเกษตรอินทรีย์ให้กับเกษตรกรที่ได้มาสัมผัสและเรียนรู้ด้วยตัวเอง

“อยากให้คนหันมาทำเกษตรอินทรีย์กันเยอะๆ เพราะเกษตรอินทรีย์มีแต่คุณ ไม่มีโทษ ช่วยสร้างรายได้ที่ยั่งยืนภายในครัวเรือน คืนความสุข และสุขภาพดีให้กับสังคมและชุมชน นอกจากนี้ การทำเกษตรอินทรีย์ช่วยทำให้วงจรสิ่งแวดล้อมกลับมาทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์เหมือนเดิม ที่สำคัญการทำเกษตรอินทรีย์เท่ากับเราได้ทำบุญ ได้ให้สิ่งดีๆ กับชีวิตคนมากมาย ต่างจากเคมีที่ฆ่าผู้ซื้อทางอ้อมด้วยการเอาสารเคมีให้เขากินวันละน้อย ซึ่งเป็นการทำบาปโดยไม่ตั้งใจ”

ปัจจุบัน พื้นที่ 80 ไร่ ของ “สวนปานเจริญ” เต็มไปด้วยผลไม้ ทั้งฝรั่ง มะพร้าว มะม่วง และชมพู่ ที่ปลูกด้วยระบบเกษตรอินทรีย์ ภายใต้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์นานาชาติ หรือ IFOAM (International Federation of Organic Agriculture Movements) และที่สำคัญ “สวนปานเจริญ” กำลังจะได้รับเครื่องหมายการันตีอาหารปลอดภัย จากสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ไทย (มกท.) ในเร็วๆ นี้

แม้วันนี้หนี้ก้อนโตยังไม่ถูกปลดเบ็ดเสร็จ แต่ ป้าประหยัด ปานเจริญ ก็เชื่อมั่นว่า ตราบใดที่ยังดำเนินชีวิตไปตามวิถีอินทรีย์ มีรายได้มั่นคง มีสุขภาพที่ดี มีที่ให้ทำกิน สุดท้าย ความสุขก็จะตามมา ซึ่งนับว่าเป็นเกษตรกรอินทรีย์ต้นแบบอีกคน ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับเกษตรกรเคมีได้กลับมาสู่วิถีอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็กระตุ้นผู้บริโภคให้ตื่นตัวและหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้นด้วย

ลูกหยี จากผลไม้ท้องถิ่น สู่ของดี บ้านนากอ นราธิวาส

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05054151258&srcday=2015-12-15&search=no

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613

เทคโนโลยีเกษตร

สุกรี มะดากะกุล

ลูกหยี จากผลไม้ท้องถิ่น สู่ของดี บ้านนากอ นราธิวาส

ส่วนมากจะรู้จัก ลูกหยี จากที่วางจำหน่ายอยู่ทั่วไป ทั้งในรูปผลสุกบ้าง แปรรูปบ้าง แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักต้นหยี และเห็นต้นหยีจริงๆ

ในประเทศไทย โดยธรรมชาติต้นหยีจะขึ้นอยู่มากมายทั่วไปในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ตั้งแต่ นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ลงไปจนถึงยะลา ปัตตานี และนราธิวาส

สภาพพื้นที่ที่ต้นหยีเจริญเติบโตในธรรมชาติคือ ป่าดิบชื้น ซึ่งเป็นลักษณะนิเวศแบบภาคใต้ตอนล่างไปจนถึงในมาเลเซียตอนบน

ต้นหยี จัดเป็นพืชพันธุ์ไม้ที่หายากประเภทหนึ่ง ถือเป็นพันธุ์ไม้ที่พบไม่แพร่หลายนัก จะพบมากในภาคใต้ตอนล่างแถบแหลมมลายู

โดยมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dialium Cochinchainense Piere ในวงศ์ DIALIUM มีชื่อเรียกอื่นๆ ในท้องถิ่น เช่น ลูกเด็ง กรันยี (มลายู) เขลง ท้องบึ้ง

ลักษณะเป็นไม้ยืนต้น ลำต้นมีเปลือกหยาบ หนา ไม้เป็นไม้เนื้อแข็ง ลักษณะใบเป็นใบเล็ก ปลายใบย่อยแหลมยาวและโค้ง แตกใบสลับ

ต้นหยี จะออกดอกที่ปลายกิ่ง หรือยอดกิ่ง มีลักษณะเป็นช่อสีขาว ผลออกเป็นช่อๆ แบบลำไย เมื่อสุกจะมีเปลือกเป็นสีดำ เนื้อในเป็นสีเหลืองอมส้ม เปลือกบาง เมื่อสุกเนื้อและเปลือกจะแยกออกจากกัน ลักษณะเดียวกันกับมะขาม

ต้นหยีที่ออกผลแล้วมักเป็นต้นเจริญพันธุ์แล้ว ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถตอบได้ว่าจะปลูกต้นหยีให้ได้ผลผลิตแล้วนั้นใช้ระยะเวลาเท่าไหร่แน่นอน แต่เห็นพ้องต้องกันว่าใช้ระยะเวลากว่าจะเก็บผลออกมาได้นั้น อยู่ที่ 15 ปีขึ้นไป และเก็บได้นานมากถึง 50 หรือ 60 ปี เลยทีเดียว

คุณมะตอเฮ ยะโย ผู้ใหญ่บ้านนักพัฒนาแห่งบ้านนากอ และภรรยา คุณอรุณี ยะโย ผู้ก่อตั้งศูนย์ส่งเสริมอาชีพสตรีบ้านนากอ หมู่ที่ 6 ตำบลจอเบาะ อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส เป็นผู้หนึ่งที่เล็งเห็นว่า ในพื้นที่ยังมีต้นหยีของชาวบ้านอยู่มาก และเมื่อถึงฤดูกาลผลไม้แล้ว ลูกหยีมักไม่มีใครสนใจเก็บผลขายเป็นจริงเป็นจังมากนัก มักถูกปล่อยร่วงทิ้งตามโคนต้นทุกปี นานๆ จะมีคนมาขอรับซื้อเพื่อไปขายที่ปัตตานี

จากแนวคิดดังกล่าว จึงทำให้จุดประกายในการนำลูกหยีจากธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ และเริ่มขยายแนวคิดไปสู่ชาวบ้านในพื้นที่

ผู้ใหญ่มะตอเฮ บอกว่า ได้พูดคุยกับชาวบ้าน ลองเก็บผลอย่างจริงจังดูไม่ให้เสียของ และถ้าเอามาแปรรูปจำหน่าย จะเป็นการช่วยให้ชาวบ้านได้มีงานทำในเวลาว่าง หลังจากเสร็จภารกิจหลักแล้ว อีกทั้งสามารถเพิ่มรายได้กับชาวบ้านได้

เมื่อเห็นโอกาสในการเปิดตลาดได้โดยเฉพาะในจังหวัดนราธิวาส จึงคิดลองทำดู และรวบรวมชาวบ้านช่วยกันหาลูกหยี ในพื้นที่ ปรากฏว่าได้รับผลผลิตเป็นจำนวนมาก จากนั้นจึงเริ่มโครงการแรก ผลิตภัณฑ์ลูกหยีฉาบ เคลือบน้ำตาล

คุณมะตอเฮ หรือ แบเฮ เล่าให้ฟังถึงที่มาของลูกหยีบ้านนากอว่า

“ทีแรกนั้น เราเริ่มจากเสริมอาชีพรองมาให้ชาวบ้านอยู่แล้วครับ นอกจากอาชีพหลักคือ กรีดยาง เมื่อถึงหน้าผลไม้ ประจำปี รายได้ชาวบ้านก็จะเพิ่มขึ้นจาก ลองกองบ้าง ผลไม้อย่างอื่นบ้าง และบริเวณนี้เป็นเขตเทือกเขาบูโด ซึ่งมีทรัพยากรที่สมบูรณ์มาก ผลไม้ออกจากที่นี่ไปจำนวนมาก ชาวบ้านยังได้รายได้จากพวกผลไม้อื่นๆ อีก เช่น ส้มแขก หมาก เรามีตู้อบ ซึ่งสามารถอบ รักษาผลผลิตได้ยาวนานอยู่แล้ว 2 อันนี้ คือที่มาแรกเริ่มของกลุ่มสตรีที่นี่เลยครับ ต่อมาเราเห็นว่า ลูกหยี โดนปล่อยทิ้งไว้มาก เครื่องอบก็มีอยู่แล้วน่าจะลองทำดูบ้าง ได้ปรึกษากับภรรยาและเรียกกลุ่มสตรีมาพูดคุย สุดท้ายจึงได้กลายมาเป็นโครงการนี้ สร้างรายได้เพิ่มแก่ชาวบ้านได้จริงๆ”

แรกเริ่มนั้น เกิดจากปัญหา เนื่องจากลูกหยีในพื้นที่นั้นกำลังหายาก ไม่มีใครสนใจเก็บเกี่ยวผลผลิตเท่าที่ควร มักปล่อยทิ้งคาต้นไว้เป็นจำนวนมาก และเพราะต้นหยีนั้นเป็นพืชไม้ยืนต้น ต้นสูงเก็บเกี่ยวยากมาก การเก็บเกี่ยวก็เป็นปัจจัยหลักๆ เลย เพราะต้องใช้คนปีนเท่านั้น ปัจจุบันนี้หาคนปีนเก็บยากมาก ลูกหยีจะออกตามยอด ต้นมีความสูง หากคนไม่เคยเก็บแล้วปีนขึ้นไปเก็บจะอันตรายมาก และตลาดก็มีน้อย ไม่คุ้มค่าจ้างเก็บ สุดท้ายจึงทำให้ชาวบ้านไม่เก็บไปขายกัน

ผู้ใหญ่มะตอเฮ บอกว่า แรงจูงใจสำหรับทำโครงการแปรรูปลูกหยีว่า มองเห็นปัญหาโดยสรุปหลักๆ คือ

หนึ่ง เพราะมีลูกหยีตามธรรมชาติอยู่ในพื้นที่เป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้ใช้ ถูกทิ้งไว้เปล่าประโยชน์

สอง ลูกหยี เป็นของหายาก มีเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น

สาม มีราคาสูง

สี่ เพื่อให้กลุ่มสตรีจะได้สร้างอาชีพ หารายได้เพิ่มขึ้น

ห้า เพื่อการอนุรักษ์ ควรนำมาสร้างมูลค่าให้เกิดประโยชน์ ไม่เช่นนั้นชาวบ้านอาจจะโค่นต้นไว้ทำบ้าน ทำเฟอร์นิเจอร์อย่างอื่น จะทำให้ต้นหยีสูญพันธุ์ได้

เมื่อสำรวจตลาดแล้ว ปรากฏว่าชาวบ้านเกษตรกรส่วนใหญ่ในเขตจังหวัดนราธิวาส มักนำผลผลิตลูกหยีที่เก็บได้ในแต่ละปีไปขายที่จังหวัดปัตตานีแหล่งเดียว เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของจังหวัดไปแล้ว

ความเป็นจริง วัตถุดิบคือลูกหยีนั้นมีอยู่ทั่วไปของจังหวัดนราธิวาสเยอะมาก แต่ตลาดไม่มี หากสามารถทำตลาดได้ หรือผลิตแปรรูปเป็นของตัวเอง เป็นตัวแทนจังหวัดนราธิวาสเอง

อันนี้จึงน่าสนใจมาก พอมองออกได้ว่า อันนี้เป็นช่องทางหนึ่งให้เกิดธุรกิจได้หากทำได้จริง ชาวบ้านจะมีงานทำและสร้างรายได้เข้ามาเป็นรายได้ที่แน่นอนได้อีกทางหนึ่ง

ในปีนี้จึงเริ่มเก็บผลของลูกหยีเป็นปีแรก ลูกหยีออกผลได้เช่นเดียวกับผลไม้ชนิดอื่นๆ ในพื้นที่เริ่มออก ออกช่วงมิถุนายน เก็บผลได้ระยะแรกตั้งแต่สิงหาคม-พฤศจิกายน ผลผลิตแล้วแต่มากน้อยแต่ละปี และแต่ละต้นไม่เท่ากัน

อย่างเช่น ต้นหยีที่อยู่หลังบ้านผู้ใหญ่มะตอเฮ อายุอย่างน้อย 20 กว่าปี เก็บลูกหยีสดได้ร่วมๆ 200 กิโลกรัม ถ้าหากเป็นต้นใหญ่ที่อายุยาวนี้ ก็ออกผลได้มากขึ้น เก็บได้ยาวนานหลายรอบขึ้น

“ผมกับภรรยาได้ปรึกษากันเรื่องนี้ ทรัพยากรเรามีมาก แต่จะทำอย่างไรดี ให้สามารถเก็บเกี่ยวได้ ใช้ประโยชน์ได้ การตลาดก็น่าสนใจ เนื่องจากในตัวจังหวัดนราธิวาสเองยังไม่มี ทางตลาดภาคใต้ตอนบนก็ยังไม่มี เนื่องจากภรรยาผมเดิมเขาเป็นคนจังหวัดชุมพร เราไปเดินที่ตลาดหลังสวน เห็นมีวางขายและราคาสูงมาก และกลับมามองที่บ้านตัวเองเห็นว่าทรัพยากรมีมากมายสามารถหารายได้เข้ามาให้แก่ชาวบ้านและหมู่บ้านได้แน่นอน จึงเริ่มศึกษาหาทางแปรรูปและประชุมกลุ่มสตรี เรียนรู้อยู่นาน จนในที่สุด ปัจจุบันเราได้แปรรูปลูกหยีได้สำเร็จ อย่างแรกเป็น ลูกหยีฉาบ เคลือบน้ำตาล มี 3 รส คือ รสหวาน รสเผ็ดมาก และรสเผ็ดกลางๆ หรือเผ็ดน้อย” ผู้ใหญ่มะตอเฮ กล่าว

กรรมวิธีการเก็บลูกหยีให้ได้ตามมาตรฐานนั้นคือ หลังจากเก็บลูกหยีลงมาจากต้นได้ลูกหยีสด นำมาตากแดดให้แห้งก่อน 1 แดด ในขั้นแรกนี้เพื่อที่จะทำให้เนื้อลูกหยีและเปลือกแยกตัว ล่อนออกจากกัน

จากนั้นไปสู่กรรมวิธีการแกะเปลือก อันนี้ใช้วิธีโบราณเลยคือ นำลูกหยีที่ตากแดดแล้วมาใส่กระสอบข้าวแล้วทุบ โดยทุบทั้งกระสอบ อาศัยว่าเปลือกที่กรอบ จะทำให้เปลือกล่อนออกจากกัน ขั้นตอนนี้สามารถลอกเปลือกได้เร็ว จะเหลือติดอยู่เพียง 30% เท่านั้น จึงเทออกมาใส่ตะกร้า และใช้มือแกะออกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ได้เนื้อลูกหยี 100% เสร็จขั้นตอนที่ 1

ส่วน ขั้นตอนที่ 2 และที่ 3 คือนำเนื้อลูกหยีล้วนๆ ที่ปอกเปลือกเสร็จแล้ว นำมาตากแดดอีก 2 แดด ขั้นตอนนี้เพื่อที่จะทำให้เนื้อลูกหยีเกาะแน่น และล่อนจากเมล็ดได้ดี แล้วนำไปบรรจุในถุงพลาสติกเมื่อได้ตากแดด 1 ตากพร้อมเปลือก 1 แดด และตากเนื้อล้วนๆ อีก 2 แดด

เสร็จกรรมวิธีนี้แล้ว จะเป็นการเก็บรักษาไว้ให้ยาวนานได้มาตรฐาน สามารถเก็บลูกหยีไว้ได้นาน ตั้งแต่ 6 เดือน ไปถึง 1 ปี เป็นอย่างน้อย

เนื่องจากฤดูผลไม้ทางภาคใต้ตอนล่างนี้มักออกช่วงฤดูฝนของทุกๆ ปี จึงทำให้เกิดมีปัญหาในขั้นตอนการตากแดดบ้าง เพื่อแก้ไข ที่นี่จึงใช้ตู้อบแทนการตากแดด ถ้าวันไหนไม่มีแดด ก็จะนำลูกหยีมาใส่ในตู้อบ ใช้เวลา 3 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย ทดลองแกะลูกรับประทานดู ถ้าหากเนื้อล่อนออกจากเมล็ดแล้ว ถือว่าได้มาตรฐานแล้ว สามารถนำไปเก็บบรรจุถุง เก็บเข้าไว้ในโกดังสามารถรักษายืดอายุลูกหยีได้ 6 เดือน ถึง 1 ปี เป็นอย่างน้อย

แม้ว่า ลูกหยีของกลุ่มสตรีบ้านนากอ จะเก็บได้ในปีแรก แต่ผลิตผลที่ได้นั้นก็มากพอที่จะเก็บไปผลิตแปรรูปได้ สามารถมองเห็นช่องทางสร้างรายได้แล้ว

แต่สิ่งที่ต้องทำช่วงนี้คือ การเปิดตลาด ด้วยขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเริ่มต้น การขายจึงส่งขายตลาดค้าปลีกตามหมู่บ้านใกล้เคียง

สำหรับในส่วนขั้นตอนการผลิตลูกหยีฉาบนี้ ทางกลุ่มสตรีได้ให้ข้อแนะนำว่า สิ่งสำคัญอยู่ที่วัตถุดิบ คือลูกหยีนี้ต้องตากแดดให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ แล้วเนื้อต้องล่อนออกจากกัน จึงจะทำให้ได้ผลง่ายและเร็ว ขั้นตอนที่สำคัญมี 4 ขั้นตอน เริ่มจาก

หนึ่ง เตรียมน้ำเชื่อมไว้ในกระทะทองเหลืองเคี่ยวน้ำตาลให้เข้มข้น

สอง ปรุงรสให้ได้ตามต้องการ เช่น รสเผ็ด เติมพริกและเกลือ เมื่อน้ำตาลเชื่อม เชื่อมได้รสชาติตามที่ต้องการแล้ว

สาม นำลูกหยี เทใส่ในกระทะ คลุกเคล้าให้เข้ากัน ลูกหยีจะคล้ายๆ ถูกเคลือบด้วยคาราเมล เหนียวติดกัน พักไว้สักครู่หนึ่ง

สี่ ขั้นตอนสุดท้าย เตรียมน้ำตาลทรายขาวและน้ำลูกหยีที่เคลือบไว้มาลงคลุกกันลงในน้ำตาลอีกครั้งหนึ่ง จะทำให้ลูกหยีแยกออกจากกันเป็นเม็ดๆ ทิ้งไว้สักครู่ เมื่อเย็นลงได้อุณหภูมิปกติแล้ว จึงสำเร็จเสร็จสิ้นขั้นตอน สำหรับฉาบหวาน ก็เพียงไม่ต้องปรุงรสให้เผ็ดเท่านั้น นอกนั้นทำเหมือนกันทุกขั้นตอน

ผู้ใหญ่มะตอเฮ กล่าวถึงอนาคตว่า จะพัฒนาแปรรูปให้ดียิ่งขึ้น ต้องทำอีกหลายด้านควบคู่กัน เช่น พัฒนาทำฉลาก บรรจุภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน ติดต่อขอสนับสนุนหน่วยงานรัฐให้มาเพิ่มความรู้ ศึกษาเรื่องการตลาด พัฒนาผลิตภัณฑ์ ปรึกษากับทาง กรมส่งเสริมอาชีพ จังหวัดนราธิวาส เพื่อพัฒนาเป็นสินค้าโอท็อป (OTOP) ประจำตำบล และพัฒนาให้เป็นลูกหยีแปรรูปที่ขึ้นชื่อของตำบลและของจังหวัดนราธิวาสให้ได้

ดังนั้น สนใจร่วมลงทุน สามารถติดต่อได้ที่ ผู้ใหญ่มะตอเฮ ยะโย โทร. (081) 276-9921