จิบเบียร์ “ชิงเต่า” เคล้ากลิ่นอายเยอรมัน ในวันเริ่มต้นแห่งมิตรภาพ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/619701

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 พ.ค. 2559 05:01

 

แกรนด์เมอร์เคียว ชิงเต่า…โรงแรมที่มีวิวทะเลทุกห้อง

โบอิ้ง 777-200 ของสายการบินนกสกู๊ต เที่ยวบินที่ XW086 นำเราสู่ท่าอากาศยานชิงเต่าหลิ่วถิง อินเตอร์เนชั่นแนล แอร์พอร์ต (Qingdao Liuting International Airport) ในช่วงค่ำคืนของฤดูหนาว หลังจากที่หลับสบายกับที่นั่งชั้นธุรกิจ อันกว้างขวางห่างพอยืดแขนเหยียดขาได้สบายๆนานกว่า 5 ชั่วโมง

อาคารพิพิธภัณฑ์โรงเบียร์ชิงเต่า

เรามีกำหนดการเยือนชิงเต่า 3 คืน 4 วัน เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในเมืองที่ได้ชื่อว่ามีอ่าวที่สวยงามที่สุดในโลก แถมยังเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ไม่ว่าจะเป็นตึกรามบ้านช่องกว่า 90% เป็นแบบยุโรปเกือบทั้งหมดเหตุเพราะที่นี่เป็นดินแดนซึ่งเคยตกเป็นอาณานิคมของเยอรมันนานหลายปี เลยทำให้เมืองนี้ดูแตกต่างจากเมืองอื่นๆของจีน

อลังการอาหารเมืองชิงเต่า

ด้วยเพราะเวลาที่เรามาถึงชิงเต่าราวสามทุ่ม ของเวลาในเมืองจีนที่เร็วกว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมง ทำให้ต้องรีบเดินทางเข้าที่พักเพื่อเก็บแรงเอาไว้ตะลุยเมืองสวยๆในวันรุ่งขึ้น

แต่ก่อนที่จะเข้านอน มารู้จักชิงเต่ากันสักนิดก่อนดีกว่า……!!

เมืองชิงเต่า ตั้งอยู่ทางตะวันออกของจีน ถ้าดูในแผนที่จะเห็นว่าไปอีกนิดก็จะถึงญี่ปุ่นและเกาหลีใต้และเป็นเมืองชายทะเล ในเขตมณฑลชานตง เมืองนี้มีความน่าสนใจหลายอย่างทั้งในแง่ภูมิประเทศที่อยู่บริเวณปากแม่น้ำฮวงโหบริเวณที่ไหลลงสู่ทะเลป๋อไห่ มีอาณาเขตติดต่อกับมณฑล เหอเป่ย เหอหนัน อันฮุย และเจียงซู มีภูเขาเหลาซานซึ่งเป็นภูเขาที่มีน้ำแร่บริสุทธิ์จากธรรมชาติเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญนอกเหนือจากที่อื่นๆอีกมาก มายแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมเยอรมนีถึงเลือกที่จะยึดครองเมืองนี้ แถมยังทิ้งมรดกการทำเบียร์ชั้นเลิศไว้ให้กับจีน จนกลายมาเป็นเบียร์ชิงเต่า เบียร์แบรนด์ดังที่ส่งออกไปขายยังต่างประเทศถึง 80 ประเทศทั่วโลก

เบียร์ชิงเต่า..รสละมุน

3 คืนในเมืองที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเยอรมัน โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ชิงเต่า หนานชาง รีสอร์ต เปิดห้องสวีตสุดหรูให้พัก ถึงแม้โรงแรมจะอยู่ไกลจากตัวเมืองที่ต้องนั่งรถราว 1 ชั่วโมง แต่ความสวยงามของห้องพักที่มีวิวติดทะเลทุกห้องก็ดูจะคุ้มค่ากับการนั่งรถยาวๆไป-กลับทุกวัน เพราะพอขึ้นห้องพัก ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆ ความเหนื่อยล้าก็ดูจะหายเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว

ผัดเป๋าฮื้อ..ที่ภัตตาคาร Chuangeyushuijiao

เกี๊ยวปลาหมึกซิกเนอเจอร์ของเมือง

หลับสบายแบบไม่ทันได้ฝันแล้วก็เริ่มออกไปตะลุยชิงเต่ากันดีกว่า เริ่มที่ วัดจ้านซาน ซึ่งแม้จะไม่ใช่วัดเก่าแก่ เพราะอายุแค่ 70 ปี แต่ก็เป็นวัดแห่งเดียวในตัวเมืองชิงเต่า ภายในวัดมีเจดีย์ 7 ชั้นตั้งตระหง่านอยู่ริมเขา ทางด้านใต้ของวัดมีทะเลสาบเล็กๆที่มีทางเดินรอบทะเลสาบ อากาศค่อนข้างหนาว เย็น ซึ่งก็ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของการเดินเที่ยวชมและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของฝ่ายมหายาน โดยเฉพาะพระโพธิสัตว์ปางต่างๆ ทั้ง พระโพธิสัตว์สมันตภัทร พระโพธิสัตว์มัญชุสี พระโพธิสัตว์กวนอิม 11 พระเศียร ที่เรียกว่า เอกะทศมุขี ซึ่งไม่ค่อยเห็นในที่อื่นๆมากนัก

จะด้วยเหตุผลที่เมืองนี้มีประชากรน้อยเพียงแค่ 7 ล้านคน หรือเพราะยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวมากนัก หรือเป็นเพราะตัวเมืองตั้งอยู่ในเขตมรสุมมีฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงที่สั้นแต่มีฤดูหนาวที่ยาวนาน อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 11-14 องศาเซลเซียส ส่วนในฤดูร้อนอุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 25 องศา–เซลเซียส ซึ่งถ้าเทียบกับเมืองไทยตอนนี้ก็น่าที่จะย้ายไปอยู่ไม่น้อย

อาคารพิพิธภัณฑ์ที่ทำการเก่าประเทศเยอรมนี

หลังจากเที่ยวชมวัดจ้านซาน อธิษฐานขอพรแล้ว ก็ได้เวลาไปลิ้มรสอาหารของเมืองชิงเต่า ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอาหารขึ้นชื่อของจีน

อย่างที่บอกชิงเต่าเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลชานตง อาหารของชานตง เป็นอาหารที่อยู่ใน 8 ตระกูลอาหารที่สำคัญที่สุดของจีน เรียกว่า อาหารหลู่ ซึ่งไปเมืองอื่นๆก็อาจจะไม่ได้กินอาหารแบบนี้ งานนี้นกสกู๊ตเลยเลือกภัตตาคารที่ขึ้นชื่อในการปรุงอาหารหลู่ อย่าง Chuangeyushuijiao ให้พวกเราได้ไปลิ้มรสอาหารกันแบบอลังการงานสร้าง ทั้งออร์เดิร์ฟและจานหลัก นับแบบรีบๆก็ได้ถึง 19 เมนู ทั้ง หอยยำผัดผักโขม ยำสาหร่าย สลัดผักราดซอสถั่ว ยำแมงกะพรุน ปลาหมึกผัดต้นหอม กระดูกหมูทอดพริก กุ้งลวก ปูผัดพริกเสฉวน ซุปหอยนางรมและเต้าหู้ ปลานึ่งซีอิ๊ว และที่ต้องลองคือ อาหารขึ้นชื่ออย่างเกี๊ยวสารพัดชนิด ทั้ง เกี๊ยวปลาเหลือง เกี๊ยวปลาหมึก เกี๊ยวหอย เกี๊ยวผักกาดขาว ส่วนจานที่พลาดไม่ได้เห็นจะเป็น ผัดเป๋าฮื้อ ที่ใช้หอยเป๋าฮื้อสดๆมาผัดกับซอสสไตล์ชานตง อร่อยอย่าบอกใครจริงๆ

ตราสัญลักษณ์เบียชิงเต่าบ่งบอกอายุของเบียร์คุณภาพอายุ 113 ปี

อิ่มจนท้องแทบแตกแล้ว ก็ได้เวลาไปชมสถานที่สำคัญๆในเมืองกันต่อ โปรแกรมตอนบ่าย เริ่มที่ “พิพิธภัณฑ์ที่ทำการเก่าประเทศเยอรมนี” (Site Museum of the Former German Governor’s Residence) เป็นอาคารที่สร้างคล้าย ปราสาทสไตล์ยุโรปสร้างด้วยหินแกรนิต ชนิดพิเศษของชิงเต่า เป็นหินแกรนิตจากเขาเหลาซาน ตัวอาคารเป็นสีเหลืองสด หลังคาสีแดง ออกแบบโดยสถาปนิกชาวเยอรมัน มองทีแรก…อ๊ะ! นี่มันตึกทรงเยอรมันชัดๆ อาคารแห่งนี้ใช้เวลาสร้าง ถึง 3 ปี เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1908 และหลังจากที่เยอรมันคืนชิงเต่าให้กับจีนแล้ว ที่นี่ยังเคยใช้เป็นที่พักของผู้นำจีนและบุคคลสำคัญๆอีกหลายคน อย่างเช่น ประธานเหมา เจอ ตุง ก็เคยมาพักและใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ทำงานในวันพักผ่อนด้วย

ถนนในเมืองชิงเต่า

ออกจากพิพิธภัณฑ์ที่ทำการเก่าเยอรมันก็มาถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย นั่นคือการไปชมโรงงานผลิตเบียร์ชื่อดังอย่าง “TSINGTAO” ซึ่งเป็นเบียร์แห่งชาติยี่ห้อเดียวของจีน อักษรที่ขวดจะเขียนต่างจากชื่อเมืองที่ใช้ตัว “Q” หรือ QINGDAO อย่างไรก็ตาม บรรดากูรูเบียร์ยืนยันว่า เบียร์ชิงเต่าที่อร่อยที่สุดต้องดื่มที่ชิงเต่าเท่านั้น เพราะเป็นเบียร์ที่ผลิตจากน้ำแร่ซึ่งมาจากภูเขาเหลาซาน ถือเป็นเบียร์ชิงเต่า…ออริจินัล ถ้าดื่มที่อื่นรสชาติอาจจะผิดเพี้ยน เพราะปัจจุบันมีโรงเบียร์ชิงเต่าถึง 70 โรงงานทั่วประเทศจีน แต่ถ้าจะดื่มชิงเต่าแบบอร่อยสุดๆต้องเป็นโรงงานที่ 1 และ 6 ซึ่งจะดูได้จากตัวเลขเล็กๆใต้ฝาและด้านล่างของกระป๋องเบียร์

ถังเบียร์โบราณที่พิพิธภัณฑ์โรงเบียร์ชิงเต่า

โรงเบียร์แห่งนี้เริ่มต้นจากชาวเยอรมันร่วมกับพ่อค้าชาวอังกฤษก่อตั้งขึ้นในปี 1903 ใช้เทคโนโลยีการหมักบ่มและวัตถุดิบจากประเทศเยอรมนี หลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 โรงงานแห่งนี้จึงถูกเปลี่ยนมือไปเป็นของทหารญี่ปุ่น เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม โรงงานก็ตกอยู่ในมือของพรรคก๊กมินตั๋งและกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งในเดือน มิ.ย. ปี 1949 เมื่อทหารกองทัพปลดปล่อยแห่งพรรคคอมมิวนิสต์มีชัยชนะเหนือพรรคก๊กมินตั๋งในเมืองชิงเต่า และยึดโรงเบียร์แห่งนี้เป็นวิสาหกิจของรัฐอย่างเต็มตัว

ดูโรงงานผลิตแล้วก็ต้องจิบเบียร์กันซักเล็กน้อยละ ซึ่งต้องบอกเลยว่า นุ่มมากๆ ยิ่งอากาศหนาวเย็นติดระดับ 6 องศา รสชาติของเบียร์ชิงเต่าก็ยิ่งละมุนมากขึ้น…

แต่ที่ชวนให้หัวใจหายหนาวน่าจะเป็นบรรยากาศของการดื่มเบียร์…และมิตรภาพครั้งใหม่ที่กำลังเริ่มต้น..!!

วัยเก๋าเอาท์ติ้ง@ตาก สุดประจิมที่ริมเมย…!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/616226

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 7 พ.ค. 2559 05:01

 

เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็น “วัยเก๋า” ก็ต่อเมื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยภูมิภาคภาคเหนือเชื้อเชิญให้ไปเที่ยวตามแบบวิถีเหนือ…วิถีไทย ใส่ใจสุขภาพ กับกิจกรรม “วัยเก๋า เอาท์ติ้ง @ ตาก”

กระยาสาทกวนใหม่ๆ หอมอร่อยของบ้านคุณต่าย อ.เมืองตาก

ททท.พานั่งรถตู้ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ 6 โมงเช้า มุ่งตรงไปยังจังหวัดตาก หนึ่งในเมืองนำร่องการเป็นต้นแบบเมืองอารยะ สถาปัตย์ เมืองที่มีการออกแบบ จัดทำ ปรับปรุงและพัฒนาสิ่งอำนวย ความสะดวกในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นประโยชน์โดยตรงต่อการเสริมสร้างสุขภาพ คุณภาพชีวิตที่ดี จุดแรกไปเยี่ยมเยียน ชมการสาธิตและร่วมทดลองทำกระยาสารท ไส้เมี่ยง ถั่วสมุนไพร ของกินขึ้นชื่อประจำถิ่นเมืองตาก ที่บ้านคุณต่ายหรือคุณวาสนา เอี่ยมสืบทับ ตำบลวังหิน อำเภอเมืองตาก เจ้าตำรับขนมอร่อยสารพัดชนิดจนได้ Otop 5 ดาว โดยเฉพาะกระยาสารทที่กรอบ นุ่ม หอม หวาน มัน และขนมกวนคล้ายกาละแม ที่หวานเหนียวนุ่มอร่อยมาก ชิมจนไม่อยากวางกล่อง

ไม้กลายเป็นหินใหญ่ที่สุดในเอเชียและยาวสุดในโลก ที่วนอุทยานแห่งชาติเขาพระบาท

จากบ้านขนมอร่อย ก็ไปตื่นตะลึงกับ “ไม้กลายเป็นหิน” มหัศจรรย์ธรรมชาติฟอสซิลไม้กลายเป็นหินใหญ่ที่สุดในเอเชียและยาวที่สุดในโลก 72.22 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เมตร มีอายุกว่า 8 แสนปี ที่วนอุทยานแห่งชาติเขาพระบาท เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าสลิดโป่งแดง ก่อนมุ่งหน้าไปอำเภอแม่สอด ขอดอดไปชม “กระทงกะลา” ที่สวยงามขึ้นชื่อลือชาของเมืองตาก ใช้ลอยกันในงานลอยกระทงสายที่จังหวัดตากจัดขึ้นทุกปีจนมีชื่อเสียงโด่งดัง ที่วิทยาลัยนอร์ทเทิร์นตาก ฝีมือการทำกระทงกะลาของน้องๆ นักศึกษาบอกได้คำเดียวว่า “เยี่ยม” มาก จากนั้นก็มุ่งตรงสู่อำเภอแม่สอด เมืองชายแดนพม่าชื่อดัง นั่งรถเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปแค่อึดใจหนึ่งก็ถึงแล้ว

โรงแรม J 2 ที่พักเก๋ในตัวเมืองแม่สอด

เดินทางกันจนเหนื่อยล้า ตะลอนทัวร์จนท้องร้อง หลังเก็บข้าวของ เข้าพักที่โรงแรม J2 โรงแรมเล็กๆ แต่น่ารักนอนสบาย ในอำเภอ แม่สอดแล้วเป้าหมายต่อไปคือการกิน กิน กิน มีคนบอกว่ามาที่นี่ต้องกินกุ้งดีๆตัวใหญ่ๆ

กุ้งตัวเขื่องจากแม่น้ำสาละวินในพม่าที่ร้าน บ.กุ้งเผา อ.แม่สอด

ใครจะคิดว่า กลางหุบเขาเมืองแม่สอดจะมีกุ้งสดๆตัวโตๆให้เลือกรับประทานกันหลายร้านมาก หลังถกเถียงกันพักใหญ่ว่าจะกินกุ้งดีที่แม่สอดร้านไหน ผลที่สุดตกลงกันได้ ไปกินที่ร้าน บ.กุ้งเผา ของเฮียเบี้ยวชาวอยุธยา ที่มาปักหลักขายซีฟู้ดน้ำจิ้มสุดแซ่บแกล้มน้ำเก๊กฮวย มีฟอง ก่อนกลับไปนอนตีพุงเพราะความอิ่มแปล้

ที่นั่งแช่เท้าแบบรวมของบ่อน้ำพุร้อนบ้านน้ำนัก

นักท่องเที่ยวนั่งแช่เท้าที่บ่อน้ำพุร้อนบ้านน้ำนัก

รุ่งเช้าอากาศกำลังดี น้องเชอรี่แห่ง ททท.ตากและน้องปาล์มจาก ททท.กรุงเทพฯ พาไปนั่งแช่น้ำอุ่นและออนเซนแบบไทยๆ ที่บ่อน้ำพุร้อนห้วยน้ำนัก แหล่งน้ำแร่ธรรมชาติที่มีคุณประโยชน์ ช่วยฟื้นฟูร่างกาย อยู่ในพื้นที่ ต.พบพระ อ.พบพระ เขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ บ่อน้ำร้อนที่นี่ เป็นบ่อน้ำร้อนตามธรรมชาติ ปราศจากกลิ่นกำมะถัน อุณหภูมิในวันที่ไป ประมาณ 59 องศาเซลเซียส แม้ต้มไข่ไม่สุกแต่ขาก็เกือบพองไปเหมือนกัน บ่อน้ำร้อนที่นี่มีด้วยกัน 3 บ่อ ใครที่อยากแช่ตัวออนเซนแบบไทยๆ มีทั้งห้องแช่แบบรวมและแบบเดี่ยว ที่สำคัญที่บ่อน้ำพุร้อน “บ่อช้าง” มีบริษัทผลิตน้ำแร่มาขอนำน้ำจากบ่อนี้ ไปบรรจุใส่ขวดขายเพราะมีแร่ธาตุสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย

น้ำพุร้อนที่มีแร่ธรรมชาติช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย

ห้องแช่น้ำพุร้อนแบบรวมของ บ่อน้ำพุร้อนบ้านน้ำนัก อ.พบพระ

ชมบ่อน้ำพุร้อนนั่งแช่เท้าคลายเมื่อย ก็เดินทางไปชม “สวนส้มร่มเกล้า” ของคุณหมวยหรือคุณอำไพ หญิงเก่งคนหนึ่งแห่งอำเภอพบพระ ฟังคุณหมวยเล่าประวัติชีวิต การบุกเบิกทำสวนส้มที่รังสิตตั้งแต่ยังสาวๆ ก่อนมาทำสวนส้มสายน้ำผึ้งที่อำเภอพบพระแล้ว รู้สึกทึ่งศรัทธาและปลื้มในความเก่ง แกร่ง กล้า สามารถ ชนิดชายอกสามศอกยังต้องอาย

ส้มสายน้ำผึ้งที่ออกเต็มต้นของสวนส้มร่มเกล้า อ.พบพระ

สวนส้มร่มเกล้าของคุณหมวย เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรที่สำคัญ หลายคนมาศึกษามาฝึกงานจนออกไปเป็นเถ้าแก่ไร่ส้มตามอย่าง ร่ำรวยไปหลายรายก็มี ส่วนเราคงเป็นได้แค่ “นกน้อยในไร่ส้ม” ที่ขอชื่นชมในความสำเร็จของคุณหมวยและครอบครัวอย่างจริงใจ ได้เห็นต้นส้มสายน้ำผึ้งออกผลเต็มต้นแล้วชื่นใจแทนคุณหมวย ซึ่งเจ้าตัวเล่าว่าแต่ละวัน จะเดินตรวจสวนส้มทุกแปลง วันละนับสิบกิโลเมตร ดูแลต้นส้มอย่างใกล้ชิดทุกต้น แต่ละปีก็ต้องคอยศึกษาพัฒนาให้ส้มออกดอกออกผลตามฤดูกาล หรือนอกฤดูบ้าง เพื่อสร้างเม็ดเงินให้สมกับหยาดเหงื่อและน้ำพักน้ำแรงที่ทุ่มเทให้กับสวนส้มแห่งนี้

“น้องนุ่น-ชิชนก” กับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแปรรูป อาทิ น้ำนมมะคาแดเมีย ของสวนส้มร่มเกล้า

นอกจากส้มแล้ว คุณหมวยยังมีมะคาเดเมีย อโวคาโด และไม้ผลอีกหลายชนิดที่ทำเงินให้อีกมากมาย รวมทั้งน้ำผลไม้สดจากผลไม้ในไร่ของ “น้องนุ่น-ชิชนก” ลูกสาววัย 27 ที่ทำขึ้นเพราะใจรักในเรื่องสุขภาพ ที่ยังเพิ่งเติบโตและค่อยเป็นค่อยไป แต่ที่คุณหมวยบอกว่าไม่เคยคิดทำเป็นอาชีพในชีวิตนี้เลยก็คือ “การเลี้ยงสัตว์” ทุกชนิดเพราะไม่อยากทำบาป และแม้จะอยู่ในวัย 53 ปีแล้วแต่คุณหมวยยังแข็งแรงกระฉับกระเฉง อาจจะเป็นเพราะได้อยู่กับธรรมชาติและอากาศที่ดี ทั้งออกกำลังกายด้วยการเดินดูสวนส้ม จึงทำให้เธอยังเหมือนสาวสะพรั่งวัยกระเตาะ

กุหลาบเคลือบสารเซลิก้าเพื่อคงความสวยงามนานเป็นปี

จากสวนส้มมาด้วยความรู้สึกประทับใจคุณหมวยมากๆ จนถึงไร่กุหลาบปฐมเพชร ที่เป็นไร่กุหลาบมหัศจรรย์ มีพืชผักสารพัดปลูกแซมให้ได้เงินได้ทองทั้งปี กุหลาบที่นี่นอกจากขายดอกสดๆแล้ว ส่วนหนึ่งยังถูกนำมาแช่ด้วยทราย “ซิลิก้า” เพื่อคงความสวยไว้ได้นานนับปี ที่น่าสนใจนอกจากกุหลาบคือ “ละมุดมาเลเซีย” ลูกใหญ่น้ำหนัก 4 ผล 1 กิโลกรัม ที่ทำเงินได้ดีไม่น้อยหน้ากุหลาบเช่นกัน เที่ยวสวนส้มสวนกุหลาบแล้วก็ไปต่อยังวัด “ไทยวัฒนาราม” หรือวัดแม่ตาวเงี้ยว ที่ตำบลท่าสายลวด ที่มีสถาปัตยกรรมของพุทธศาสนานิกายมหายาน ได้รับอิทธิพลศิลปะแบบไทยใหญ่ของพม่า ที่วัดนี้ยังมีพระพุทธไสยาสน์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากพระพุทธไสยาสน์วัด พระนอนจักรสีห์ มีความยาว 93 ศอก สร้างด้วยปูนปั้นเป็นลักษณะของศิลปะพม่า เลียนแบบพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในโลกในพม่า ชานนครย่างกุ้งอีกด้วย

ได้เวลาเย็นย่ำก่อนกลับที่พัก แวะไปที่คลัง 9 แหล่งขายจักรยานมือสองจากญี่ปุ่นชื่อดัง ที่หลายคนลงทุนดั้นด้นขับรถจากกรุงเทพฯมาเฟ้นหาซื้อจักรยานไปปั่นออกกำลังกายตามกระแสฮิต เพราะที่นี่คือของดีราคาถูก

โรตีโอ่ง อาหารเช้าของแม่สอดแห่งเดียวในประเทศ

เมื่อมาแม่สอดก็ต้องลองใช้ชีวิตแบบคนท้องถิ่น ที่กินโรตีกับชาหรือกาแฟในตอนเช้า และโรตีแบบฉบับพิมพ์นิยมของที่นี่ก็ต้องเป็นโรตีโอ่งที่ร้านโรตีแม่สอด ที่ถือเป็นสภากาแฟของชาวแม่สอดมาทุกยุคทุกสมัย จากนั้นเดินทางเข้าวัดทำบุญสักการะ “หลวงพ่อทันใจรัตนมุงเมือง” วัดไทยสามัคคี ที่ชนะการประกวด รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยดีเด่นประเภทองค์กรเอกชนในปี 2558 หลังไหว้พระและเดินชมพิพิธภัณฑ์โฮงหลวง ที่มีงานไม้แกะสลักทั้งเก่าทั้งใหม่ รวมทั้งของเก่าที่น่าสนใจและน่าชมมาก ที่ต้องกล่าวถึงอย่างขาดไม่ได้นั่นก็คือก๋วยเตี๋ยวและขนมจีนภายในโรงทาน ที่บริการฟรีแก่ผู้มาทำบุญไหว้พระ ขอบอกเลยว่าต้องกินเพราะอร่อยมาก

เจดีย์เลียนแบบเจดีย์ชเวดากอง ที่วัดไทยวัฒนาราม

เมืองตากวันนี้ยังมีมนต์เสน่ห์มากมายให้สัมผัส เป็นเมืองที่เหมาะกับนักท่องเที่ยววัยเก๋า ที่ต้องการไปไหว้พระ แช่บ่อน้ำร้อน ชมดอกไม้ เที่ยวไร่ส้ม หาความเบิกบาน หาความสุขและแรงบันดาลใจดีๆที่เหมือนเป็นสิ่งช่วยเพิ่มพลังใจให้กับชีวิต…!!!

สัมผัสพลัง “เมตตา-ศรัทธา-ปัญญา” ที่ “มหาเจดีย์โพธินาถจำลอง” แห่งที่สองของโลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/613019

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 30 เม.ย. 2559 05:01

 

พระมหาธาตุเจดีย์ไตรรัตนพุทธญาณรังสีปฐมวีมงคล.

ไปดูเจดีย์เนปาลในเมืองไทยกันมั้ย” เพื่อนสาวอารมณ์ศิลป์เอ่ยปากชวน ตอนแรกก็งงๆอยู่ว่า เจดีย์เนปาลในเมืองไทยมีด้วยหรือ และอยู่ที่ไหน

คำตอบคือ อยู่ที่เชียงใหม่ ว่าแล้วก็ขับรถขึ้นเหนือกันเลย โดยมีจุดหมายปลายทางที่ “อาศรมพรหมธาดาพุทธาสถาน” อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่

ทางขึ้นมหาเจดีย์.

จากตัวเมืองเชียงใหม่ขับรถไปตามถนน สายเชียงใหม่-ฮอด ราว 60 กิโลเมตร ผ่านวัดพระบรมธาตุศรีจอมทอง ขับตรงไปจนถึง สถานีตำรวจจอมทองจะเห็นสี่แยกไฟแดง ให้เลี้ยวขวาเข้าซอยข้างที่ว่าการอำเภอจอมทอง ขับไปตามป้ายสถานปฏิบัติธรรมนิโรธรรม แค่นิดเดียวก็จะเห็นมหาเจดีย์หน้าตาเหมือนกับมหาเจดีย์โพธินาถ ที่กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล ตั้งตระหง่านอยู่บนสันเขาเล็กๆ ตรงทางเข้าเขียนว่า “อาศรมพรหมธาดาพุทธาสถาน” แน่ใจได้ว่ามาไม่ผิดที่แน่ๆ

องค์พระพุทธรูปตระห่าน.

ทันทีที่เลี้ยวรถเข้าสู่อาศรม เราสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบที่แฝงด้วยพลังแห่งเมตตาของสถานที่ แม้ว่าอากาศจะร้อนจัด แต่ใจเรากลับไม่ร้อน มีแต่ความมุ่งมั่นศรัทธาที่จะขึ้นไปกราบองค์มหาเจดีย์ ตามความตั้งใจเท่านั้น

ด้านหน้าองค์มหาเจดีย์มีรูปปั้นองค์มหาเทพตามความเชื่อฮินดู.

“มหาเจดีย์โพธินาถจำลอง” องค์นี้มีชื่อเรียกว่า “พระมหาธาตุเจดีย์ไตรรัตนพุทธญาณรังสีปฐวีมงคล” เป็นเจดีย์รูปทรงศิลปะแบบเนปาลขนาดเท่ากันกับมหาเจดีย์โพธินาถ ซึ่งเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล ด้านบนแต่ละด้านของเจดีย์มีรูปดวงตาที่สาม หรือ Wisdom Eyes ที่บางครั้งก็เรียกว่า Buddha Eyes ที่มีผู้ให้ความหมายแตกต่างกันไป บ้างก็ว่าเป็นดวงตาเห็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่บางคนเชื่อว่า การกระทำทุกอย่างของมนุษย์จะอยู่ในสายตาของพุทธะเสมอ

องค์มหาเจดีย์ถ่ายจากระยะไกล.

แต่ถ้าดูตามความหมายของชาวเนปาลซึ่งเรียกดวงตาคู่นี้ว่า “ฮัมมิกะ” (Hermika) แปลว่า “ดวงตาเห็นธรรม” ซึ่งมิใช่ดวงตาแห่งพระพุทธเจ้า หากแต่เป็นดวงเนตรขององค์ “อวโลกิเตศวร” พระโพธิสัตว์ผู้เป็นใหญ่ในโลก ที่ทรงมองลงมาเบื้องล่างอย่างมีเมตตา แม้จะทรงสั่งสมทานบารมีจนพร้อมจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่พระองค์กลับยังไม่ไปไหน ทรงสถิตอยู่เพื่อ คอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากให้ก้าวพ้นบ่วงทุกข์ไปสู่แดนนิพพานอันเป็นสุขนิรันดรพร้อมๆกันเสียก่อน

ประวัติการสร้าง พระมหาธาตุเจดีย์ไตรรัตนพุทธญาณรังสีปฐวีมงคล เขียนไว้ว่า ครูบาเจ้าตรัยเทพ จันทวัณโณ ซึ่งเป็นผู้สร้างและพัฒนาอาศรมพรหมธาดาแห่งนี้ ได้จำลองแบบงานสถาปัตยกรรมมาจาก เจดีย์โบดะนาถของเนปาล ถือเป็นมหาเจดีย์โพธินาถจำลององค์แรกของประเทศไทย และเป็นองค์ที่สองของโลก

Wisdom Eyes ตาที่สาม หรือดวงตาแห่งปัญญา.

ครูบาตรัยเทพ จันทวัณโณ.

นอกจากมหาเจดีย์องค์ใหญ่แล้ว สิ่งปลูกสร้างภายในบริเวณอาศรมพรหมธาดา ครูบาเจ้าตรัยเทพได้สร้างให้กลมกลืนและสอดคล้องกับสภาพพื้นที่บนไหล่เขา โดยมีหลักการ คือ การรักษาต้นไม้ทุกต้นไว้อย่างสมบูรณ์ โดยการเว้นต้นไม้ไว้ระหว่างทางเดินรอบๆสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

พระฤาษีในอาศรมพรหมธาดา.

สำหรับรูปปั้นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ คนที่มาที่นี่อาจจะดูแปลกๆที่มีทั้งรูปปั้นองค์เทพตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งดูเหมือนจะมีเกือบครบทุกองค์ โดยเฉพาะองค์หลักๆอย่างเช่น พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ ฯลฯ และยังมีรูปปั้นของพระโพธิสัตว์หรือองค์เทพตามความเชื่อของจีน ศาสดาของศาสนาคริสต์ ไปจนถึงรูปปั้นของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหญิงและชาย อย่างเช่น ท่าน ก.เขาสวนหลวง หรือ อุบาสิกากี นานายน ผู้ล่วงลับ ซึ่งครูบาเจ้าตรัยเทพ ให้เหตุผลของการสร้างสิ่งเหล่านี้ว่า ไม่ต้องการให้ยึดติดเฉพาะนักบวชหรือนักปฏิบัติในพุทธศาสนาเท่านั้น

วันที่ครูบาเจ้าตรัยเทพไปกราบหลวงปู่จันทา.

ครูบาตรัยเทพ บอกว่า อาศรมพรหมธาดาพุทธาสถานเปิดกว้างให้ทุกเชื้อชาติ ทุกชนชั้นและทุกศาสนา เข้ามาศึกษาเพื่อปฏิบัติธรรมเพราะศาสดาของทุกศาสนาล้วนสอนคนให้มีเมตตา สอนให้เป็นคนดี สอนให้อยู่ในสังคมอย่างเกื้อหนุน จุนเจือ มีความรักความสามัคคีต่อกันทั้งสิ้น ทุกคนรู้หลักและคำสอนของศาสดาได้จากการอ่านการสอน แต่คนที่รู้แจ้งคนที่รู้ธรรมนั้นมีน้อยเพราะไม่ลงมือฝึกปฏิบัติ

“แท้ที่จริงแล้วนักปฏิบัติธรรมมีทุกเชื้อชาติ ทุกชนชั้นและทุกศาสนา สิ่งที่แตกต่างกันเป็นแค่แนวทางหรือวิธีการปฏิบัติ และชื่อเรียกที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของชนชาติและศาสนานั้นๆ แต่จุดมุ่งหมายอันเดียวกัน คือ ความสงบแห่งจิต เพื่อให้เกิดปัญญา” ครูบาเล่าให้ฟังถึงแนวคิดในการจัดสร้างรูปปั้นหรือสถานที่ต่างๆ ภายในอาศรม

รูปหล่อและสังขารหลวงปู่จันทา อนากุโล.

นอกจากนี้ ที่อาศรมพรหมธาดาแห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานสรีระสังขารของ “หลวงปู่จันทา อนากุโล” อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าเกษมสุข อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ซึ่งมรณภาพตั้งแต่เดือน ต.ค.2553 ในท่านั่ง และร่างยังไม่เน่าเปื่อย ลูกศิษย์ของหลวงปู่ได้นำสรีระสังขารของท่านมาไว้ที่นี่ตามเจตนารมณ์ของหลวงปู่เคยบอกไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะละสังขาร

แผนที่ทางไปอาศรมพรหมธาดา.

เรื่องราวของหลวงปู่จันทากับครูบาเจ้าตรัยเทพนั้นมีความอัศจรรย์เป็นอย่างมาก โดยหลวงปู่เชื่อว่า ครูบาเจ้าตรัยเทพเป็นอาจารย์ของท่านเมื่อชาติก่อน เมื่อท่านเห็นรูปถ่ายของครูบาเจ้าตรัยเทพ ก็ทราบโดยญาณและบอกว่านี่คืออาจารย์ของท่าน และท่านอยากไปกราบครูบาเจ้าตรัยเทพมาก แต่ครูบาเจ้าตรัยเทพ เห็นว่าท่านเป็นพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ต้องไปกราบท่านก่อน ครูบาเจ้าตรัยเทพจึงได้ไปกราบหลวงปู่จันทาที่ปราจีนบุรีและหลวงปู่จันทาก็ได้มาเยี่ยมครูบาเจ้าตรัยเทพที่เชียงใหม่บ่อยๆ จนกระทั่งหลวงปู่จันทาอาพาธหนักและได้เรียกหาครูบาเจ้าตรัยเทพทุกวัน พระยาวซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากจึงได้โทรศัพท์แจ้งแก่ครูบาเจ้าตรัยเทพ เพียงครูบาเจ้าตรัยเทพบอกว่า “ไม่ต้องห่วงอะไร” เท่านั้น หลวงปู่จันทาก็หลับตามรณภาพด้วยความสงบ ร่างกายยังอ่อนนิ่มเหมือนคนนอนหลับ เป็นเรื่องราวที่เล่าต่อกันมาจนถึงวันนี้

หากมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่ แนะนำให้แวะไปกราบนมัสการองค์มหาเจดีย์โพธินาถจำลองแห่งนี้สักครั้ง เพื่อสัมผัสพลังแห่งศรัทธา เมตตา และปัญญาอย่างแท้จริง.

เดินทอดน่อง…มองงานศิลป์ ที่ “อโกร่า แกลเลอรี่” นิวยอร์ก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/609445

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 23 เม.ย. 2559 05:01

 

ถนนย่านเชลซี ในนิวยอร์ก.

20 พ.ค.-9 มิ.ย. 2559 นี้ งานศิลปะของ “บรรเจิด เหล็กคง” ศิลปินไทยที่มีความโดดเด่นในการสร้างสรรค์งานประติมากรรมโครงเหล็กที่พลิ้วไหว และเอกลักษณ์ในแบบไทย จะได้ไปจัดแสดงที่อโกร่า แกลเลอรี่ นิวยอร์ก (Agora Gallery) ถือเป็นศิลปินไทยคนแรกที่ได้รับเชิญจากแกลเลอรี่ชื่อดังที่เป็นความใฝ่ฝันของศิลปินในแวดวงศิลปะทั่วโลก

งานศิลปะที่จัดแสดงในอโกร่า แกลเลอรี่.

การไปจัดแสดงงานของ บรรเจิด…ครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก สิงห์ปาร์ค เชียงราย ภายใต้ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ซึ่งเป็นองค์กร โซเชียล เอ็นเตอร์ไพรส์ (Social Enterprise) ก่อตั้งขึ้นเพื่อดำเนินกิจการเพื่อสังคม

และเพื่อเป็นการปูพื้นให้คนไทยได้รู้จักและร่วมภูมิใจกับศิลปินไทยครั้งนี้ ตราชู กาญจนสถิตย์ ผู้บริหารระดับสูงของสิงห์ปาร์ค จึงเชิญสื่อมวลชนไทยกลุ่มเล็กๆเดินทางไปเปิดประสบการณ์ด้านศิลปะ ด้วยการเยี่ยมชม อโกร่า แกลเลอรี่ 1 ใน 6 แกลเลอรี่ ที่ได้รับการยกย่องเป็นแกลเลอรี่เปิดแสดงศิลปะร่วมสมัยที่ดีที่สุดในนิวยอร์ก

งานศิลปะเศียรพระพิฆเนศของบรรเจิด เหล็กคง.

หนุมานสู้กับวิรุณจำบัง.

นั่งเครื่องราว 17 ชั่วโมงจากเมืองไทย หลับบ้างตื่นบ้าง เผลอแป๊บๆ เราก็มายืนอยู่กลางมหานครนิวยอร์กเมืองใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา และด้วยความที่เป็นเมืองใหญ่นี่เองที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ ทั้งตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจกับหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวที่ดูทันสมัย สมกับเป็นมหานครเอกที่เจริญที่สุดของโลกจริงๆ

แต่แม้ว่านิวยอร์กจะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเงิน โดยเฉพาะเป็นที่ตั้งของตลาดหุ้นใหญ่อย่างแนสแด็ก (NASDAQ) แต่อีกด้าน มหานครแห่งนี้ยังเป็นที่รวบรวมงานศิลปะ วัฒนธรรมและความบันเทิงที่หลากหลายไว้ได้อย่างน่าทึ่ง โดยทั้งศิลปิน ผู้สะสมผลงานศิลปะ รวมถึงคนที่มีรสนิยมวิไลในการเสพงานศิลป์จากทั่วทุกมุมโลก ต่างก็นิยมเดินทางแวะเวียนมาเดินทอดน่อง มองงานศิลป์ที่นิวยอร์กกันอย่างไม่ขาดสาย

งานประติมากรรมปูนปั้นที่กำลังจัดแสดงชุด เศษส่วนของความจริง.

การเดินทางมานิวยอร์กกับสิงห์ปาร์คครั้งนี้ ทำให้ได้ความรู้เพิ่มเติมว่า ไม่ใช่แค่เป็นแหล่งของงานศิลปะเท่านั้น แต่นิวยอร์กยังเป็นจุดกำเนิดของศิลปะสมัยใหม่ อย่างศิลปะแนวอิมเพรสชั่นนิสต์ ที่ผู้คนให้ความนิยมมากในยุคหลังศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา

เรามาถึง อโกร่า แกลเลอรี่ ในย่านเชลซี ในช่วงสายๆของวัน สังเกตว่า ตึกเก่าๆในย่านนี้มากกว่า 200 คูหา ถูกดัดแปลงเป็นแกลเลอรี่เพื่อแสดงผลงานศิลปะ ที่ทั้งนิวยอร์กเกอร์และศิลปินทั้งหลาย ต่างรู้กันดีว่า หากต้องการจะเสพงานศิลป์ระดับโลกแล้ว ต้องมาเดินที่ย่านนี้ เพราะเป็นแหล่งรวมแกลเลอรี่ศิลปะในนิวยอร์ก ที่ถือว่ามีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่ง

หนึ่งในงานศิลปะที่เตรียมจัดแสดงที่อโกร่า แกลเลอรี่.

แองเจล่า ดี เบลโล (Angela Di Bello) ผู้อำนวยการของอโกร่า แกลเลอรี่ มาให้การต้อนรับ คณะด้วยตนเอง เธอบอกว่า เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่เร็วๆนี้จะมีงานแสดงงานศิลปะของศิลปินไทยที่นี่ ชื่อว่า งาน “BANJERD LEKKONG A SOLO EXHIBITION” ซึ่งโดยส่วนตัวของเธอเองแล้ว เธอบอกว่า ตื่นเต้นที่จะได้ชมงานศิลปะชุดนี้ เพราะเป็นงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีความโดดเด่นและน่าสนใจมาก

แองเจล่า บอกว่า อโกร่า แกลเลอรี่ ถือเป็นแกลเลอรี่ชั้นแนวหน้าที่จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยที่มีคุณค่าทางศิลปะ และเป็นผลงานมีความหลากหลาย ทั้งภาพวาด ภาพถ่าย งานปั้น หรืองานที่มีแนวคิดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงผลงานที่มีความแปลกใหม่ ที่แกลเลอรี่อื่นๆอาจมองข้าม

บรรเจิด เหล็กคง กับงานประติมากรรม เหล็กชุดทศกัณฐ์ท่ายืนสู้รบ.

“ดิฉันอยากบอกว่าเราเปิดกว้างมากๆทั้งด้านเทคนิคและเนื้อหาที่ศิลปินต้องการสื่อ สำหรับการเลือกสรรงานศิลปะมาจัดแสดงในแกลเลอรี่ของเรา เพราะศิลปะคือการแสดงออกอย่างอิสระที่ไม่ถูกจำกัด” แองเจล่าบอกพร้อมกับเล่าให้คณะสื่อมวลชนและผู้บริหารสิงห์ปาร์คฟังว่า ก่อนหน้านี้มีงานศิลปะของศิลปินที่เป็นเด็กผู้หญิงอายุเพียง 4 ขวบ แต่มีพรสวรรค์ทางศิลปะที่เกินวัย และไม่น่าเชื่อว่า งานของเด็กอายุ 4 ขวบ ถูกขายไปในราคาร่วมล้านดอลลาร์สหรัฐฯหลังจัดแสดงในอโกร่า แกลเลอรี่ เพียงแค่ 2 สัปดาห์

สำหรับงานศิลปะที่จัดแสดงในอโกร่า แกลเลอรี่ ส่วนใหญ่เป็นงานศิลปะร่วมสมัยที่เรียกว่า Contemporary Art ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของแกลเลอรี่แห่งนี้ ที่ได้ชื่อว่าเป็นแกลเลอรี่ชั้นแนวหน้าที่จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยที่มีคุณค่าทางศิลปะ

ในช่วงที่เราไปเยี่ยมชมอโกร่า แกลเลอรี่ เป็นช่วงที่กำลังมีการจัดแสดงงานศิลปะในคอนเซปต์ ชื่อ เศษส่วนของความจริง หรือ Fragmented Reality มีทั้งผลงานจากทันตแพทย์ซึ่งหันมาสวมบทบาทศิลปินนักปั้น โดยค้นพบวิธีการปั้นด้วยวัสดุที่แปลกใหม่

ผลงานของศิลปินอาหรับที่ใช้อักษรวิจิตรหรือ Calligraphy ซึ่งเป็นตัวอักษรอาหรับแบบดั้งเดิม ผสมผสานเข้ากับเทคนิคการใช้สีอคริลิกที่ดูทันสมัย เพิ่มกลิ่นอายของความเป็นกราฟฟิตี้ในนิวยอร์ก หรือจะเป็นผลงานของศิลปินแนวร่วมสมัยอีกคน ที่เลือกใช้เทคนิคสีน้ำและสีอคริลิกเล่าเรื่อง โดยการแต้มจุดสีทีละจุดจนเต็มภาพ ถ่ายทอดภาพด้วยมุมสูง มีลูกเล่นให้ผู้ชมสามารถหมุนเฟรมภาพเพื่อมองมุมที่แตกต่างจากเหล่าจุดสี ราวกับเคลื่อนไหวได้ รวมถึงผลงานในรูปแบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย ภาพพิมพ์ ไปจนถึงการถ่ายทอดผลงานในแนวแอบสแตรกต์ Abstract ที่สร้างความหลากหลายให้กับการแสดงผลงานในคอนเซปต์นี้

อโกร่า แกลเลอรี่.

เราเดินทอดน่อง เสพงานศิลป์ จนอิ่มเอม แว่บหนึ่งที่นึกถึงวันที่ผลงานของศิลปินไทยอย่างบรรเจิดจะได้มาจัดแสดงที่นี่ ภาพของงานประติมากรรมโครงเหล็กในชุดหนุมาน (Hanuman), รามเกียรติ์ (Ramakien / Ramayana) รวมทั้งชิ้นงาน ‘สิงห์’ (Singha) ที่แสดงให้เห็นถึงความวิจิตรงดงามของศิลปะและวรรณคดีไทย ผุดเข้ามาในความคิด ภาพของงานประติมากรรมโครงเหล็ก อย่าง ทศกัณฐ์ท่ายืนสู้รบ, สิงห์, หนุมานไทย, หนุมานบาหลีหยอกเย้า, หนุมานสู้รบกับวิรุณจำบัง, หนุมานมาน (ใหญ่เท่าคนจริง), หนุมานหาวเป็นดาวเดือน, เศียรพระพิฆเนศ, นกฮูกขย้ำดวงจันทร์ นกอินทรีขย้ำพระอาทิตย์ …เหมือนกำลังวางอยู่ข้างหน้าอย่างเต็มตา

นี่แค่คิดยังตื่นเต้นขนาดนี้ ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ สงสัยทั้งฝรั่ง ทั้งศิลปินและคนเสพงานศิลป์จากทั่วโลก คงต้องตะลึงกับงานของศิลปินไทยอย่างสะท้านสะเทือนแน่ๆ.

“ฮ่องกง-เกาลูน” ไปกี่ครั้งก็ (ยัง) ไม่เบื่อ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/606083

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 16 เม.ย. 2559 05:01

 

บรรยากาศที่รีพัลส์ เบย์.

ยุคสมัยที่ค่าเครื่องบินแพงกว่ารถทัวร์ไม่มาก แถมถ้าซื้อผ่านระบบอินเตอร์เน็ตไว้ก่อน แบบกำหนดวันเดินทางแน่นอนในช่วงโปรโมชั่น ก็อาจจะได้ราคาถูกแบบเหลือเชื่อ เพราะ ฉะนั้น ในยุคนี้อย่าว่าแต่ในประเทศเลย แม้แต่ต่างประเทศ คนกระเป๋าเบาๆ เก็บเงินไม่นานก็ออกไปท่องโลกได้ตามใจแล้ว

เมื่อเร็วๆนี้ คุณเด่น ยุทธศักดิ์ ศิริรักษ์ ผอ.ฝ่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัยการเดินทาง Tune Protect Travel ร่วมกับสายการบินไทยแอร์เอเชีย ชวนสื่อมวลชนคนคุ้นเคย 10 กว่าชีวิต บินลัดฟ้าสู่ฮ่องกง-เกาลูน ในชื่อทริป “อันซีนฮ่องกง” อาจจะดูเหลือเชื่อไปสักนิด ก็ฮ่องกงน่ะ คนไทยไปจนปรุแล้ว จะมีตรงไหนอันซีนได้อีก แต่เอาเข้าจริงๆสิ่งที่เราคิดว่าเคยเห็นอาจจะเห็นไม่จริงก็ได้ นี่ถือว่าเข้าทางอันซีนได้เหมือนกัน…

ทันทีที่เครื่องบินลำใหญ่ของสายการบินไทยแอร์เอเชีย ที่ FD 508 ลดระดับลงสู่ท่าอากาศยานเชค แลป ก๊อก พวกเราเริ่มทำตามคำสั่งของกัปตัน คือ นั่งรัดเข็มขัดอยู่กับที่ เก็บโต๊ะหน้าที่นั่งในระดับตรง และเปิดม่านหน้าต่าง…แค่อึดใจ เครื่องบินลำใหญ่ก็เปิดล้อทิ้งตัวลงสู่รันเวย์อย่างนิ่มนวล…

กระเช้าลอยฟ้าที่นองปิง.

ใช้เวลาไม่นานในการผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง เราก็ออกตะลุยเที่ยวฮ่องกงกันเลย…งานนี้ Tune ประกันภัย ส่งน้องๆสาวๆหนุ่มๆตามประกบดูแล พร้อม คุณวินนี่…บุษกร ห่อ มัคคุเทศก์ไทยที่ไปเสียดุลการค้าให้คนฮ่องกง…อันนี้แอบเม้าท์ ก็พาพวกเราขึ้นรถบัสมุ่งหน้าสู่เมืองตุงซุง เพื่อนั่งกระเช้าลอยฟ้า ชมทัศนียภาพจากเบื้องบนลงไปยังความเวิ้งว้างของทะเลจีนใต้และผืนดินทิวเขาแมกไม้ที่ถูกจัดสรรให้ลดหลั่นกันอย่างเป็นธรรมชาติ ไปยังหมู่บ้านนองปิง บนเกาะลันเตา ระยะทางราว 5.7 กิโลเมตร

25 นาที จากกลางเมืองตุงซุงเราก็มาถึงหมู่บ้านนองปิง จากนั้นเดินเท้าต่อไปยัง วัดโปหลิน หรือ วัดพระใหญ่ลันเตา เพื่อกราบนมัสการองค์พระใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่เหนือยอดเขา

องค์พระใหญ่ลันเตานี้ สร้างด้วยทองสัมฤทธิ์ โดยคณะสงฆ์แห่งวัดโปหลิน หนัก 250 ตัน สูง 34 เมตร ดูงดงาม สงบ องค์พระประทับนั่งอยู่บนฐานกลีบบัว ยกพระหัตถ์ขวาและแบพระหัตถ์ด้านซ้ายไว้บนตัก พระเนตรจ้องมองลงมา เหมือนว่ากำลังประทานพรแก่ผู้ที่มากราบไหว้

มีคนบอกว่า ถ้าอยากให้ศักดิ์สิทธิ์ระหว่างทางเดินขึ้นให้ทำสมาธินับขั้นบันไดซึ่งมีอยู่ 268 ขั้นจากตีนเขาสู่ยอดเขา แล้วอธิษฐานขอพรจะสมหวังตามที่ขอ นอกจากองค์พระใหญ่แล้ว บนยอดเขายังสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเกาะฮ่องกงได้แบบพาโนรามา 360 องศา เรียกว่าเป็นการมองฮ่องกงแบบเบิร์ด อาย วิว กันเลยทีเดียว

เย็นวันแรก ต้อนรับสู่ฮ่องกงด้วยอาหารค่ำแบบซีฟู้ด ที่หมู่บ้านชาวประมง ลียุนมุน ก่อนเข้าพักที่ฝั่งเกาลูน เตรียมพร้อมเพื่อตะลุยฮ่องกงต่อในวันรุ่งขึ้น

คณะสื่อมวลชนถ่ายรูปที่หน้าองค์พระใหญ่ลันเตา.

โปรแกรมวันที่สองในฮ่องกง Tune ประกันภัย พาคณะของพวกเราไปยังตำบลซ่าถิ่น ชานเมืองฮ่องกง เป้าหมายแรกของการเดินทางวันนี้ คือ วัดแชกงหมิว หรือวัดกังหันนำโชค เป็นวัดเก่าแก่ของฮ่องกง ที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง กว่า 400 ปีมาแล้ว มีรูปปั้น เจ้าพ่อแชก๊ง และดาบไร้พ่ายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประจำวัด เชื่อกันว่า ถ้าอยากรวย ค้าขายมีกำไร ต้องมาขอพรที่นี่ เพราะศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการขอโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทอง

ตามตำนานเล่าว่า ปลายราชวงศ์ชิง แผ่นดินจีนลุกเป็นไฟ มีการก่อกบฏ แข็งเมืองค่อนประเทศ แต่มีนายทหารชาตินักรบคนหนึ่ง ชื่อว่า “ขุนพลแชก๊ง” ซึ่งเก่งกาจสามารถยกทัพไปปราบกบฏจนราบคาบทั่วประเทศ ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นนักรบที่ไม่เคยพ่ายแพ้ ส่วนดาบประจำกาย เรียกว่า “ดาบไร้พ่าย” ที่ชาวจีนในรุ่นต่อมาได้ยึดถือเป็นสิริมงคลในด้านการต่อสู้และฮวงจุ้ย

ถึงขนาดที่ธนาคารแบงก์ออฟไชน่า ได้จำลองดาบไร้พ่ายไปเป็นแบบสร้างอาคารสำนักงานใหญ่ เรียกว่าตึกใบมีด ซึ่งเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเกาะฮ่องกง

เทพแชก๊ง….เทพเจ้าแห่งโชคลาภที่วัดแชกงหมิว.

อีกอย่างที่คนส่วนใหญ่ที่มาไหว้เทพแชก๊งขอพรที่วัดแชกงหมิวแล้วไม่ลืมที่จะเช่าบูชา ติดไม้ติดมือกลับไปด้วย ก็คือ “กังหันนำโชค” ซึ่งเป็นจี้อันเล็กๆ เชื่อกันว่าถ้าใครแขวนกังหันนำโชคไว้กับตัว ก็จะหมุนเงินหมุนทองเข้ามาใส่ในกระเป๋าได้ง่าย และหมุนเอาความไม่ดี ความโชคร้ายออกไปจากตัวด้วย

วัดหวังต้าเซียน.

ไหว้เทพขอโชคลาภกันแล้ว ถ้ามีโชคลาภแต่เจ็บป่วยก็คงไม่ดีแน่ ว่าแล้วก็ไปต่อกันที่ วัดหวังต้าเซียน วัดที่มีผู้คนมากราบไหว้ขอพรขอให้มีสุขภาพแข็งแรง เป็นหนึ่งในวัดที่โด่งดังที่สุดของฮ่องกง นอกจากเรื่องสุขภาพแล้ว วัดหวังต้าเซียนยังมีผู้คนมาขอพรในเรื่องของความรักด้วย

จึงไม่แปลกที่จะเห็นผู้คนตั้งแต่วัยหนุ่มสาวไปจนถึงคนรุ่นอาม่า อากง มาขอพรที่วัดแห่งนี้ แม้จะยืนไหว้ที่เดียวกัน แต่ขอในเรื่องต่างกันแน่นอน…

โรงแรมริตส์ คาร์ตัน ฮ่องกง ..โรงแรมที่สูงที่สุดในโลก.

ตกบ่ายแวะไปจิบกาแฟกันในย่านเก่าแก่ของฮ่องกง ที่ฮอลลีวูด สตรีท เป็นย่านเก่าแก่ที่เคยเป็นฉากดังของหนังหลายเรื่อง อย่างเช่น Rush Hour คนฮ่องกงเคยคุยโม้นิดๆให้ฟังว่า จริงๆแล้วคำว่า Hollywood นั้น ที่ฮ่องกงเรียกชื่อนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1844 ก่อนที่อเมริกาจะมีฮอลลีวูดเสียอีก เหตุผลเพราะว่าย่านนี้ มีต้น Holly เยอะมาก ก็เลยเรียกว่า Hollywood ง่ายๆสั้นๆแบบนี้ละ

ทั้งถนนเป็นร้านกาแฟ ร้านขายของแนวชิคๆ ดีไซน์เก๋ๆ แค่เดินดูก็เพลินตา เพลินใจแล้ว….

บรรยากาศภายในโอโซนบาร์.

ตกค่ำวันนี้ ทีมงานจะพาเราไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่กับ OZONE BAR บาร์ที่อยู่สูงที่สุดบนเกาะฮ่องกง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของคนที่พอมีอันจะกิน เป็นบาร์กินดื่มแบบเบาๆบนชั้น 118 ของโรงแรมริตซ์ คาร์ลตัน บริการหรูอย่างมีระดับ แอบเปิดดูเมนู แค่เบียร์ขวดเล็กๆก็ดริงก์ละ 120-150 เหรียญฮ่องกง หรือประมาณ 500-700 บาทไทย ตามแต่ชนิดของเบียร์ และถ้าจะนั่งโซฟาด้านนอกที่สามารถชมวิวแบบ 360 องศาของเกาะฮ่องกง พร้อมรับลมเย็นๆแล้วล่ะก็ ต้องจ่ายค่าที่นั่งเพิ่มอีกประมาณ 1,000 เหรียญฮ่องกง หรือราว 4,700 บาทไทยต่อโซฟา 1 ชุด ที่นั่งได้ประมาณ 4 คน…สมกับเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสิงคโปร์และซูริก

แพงขนาดนี้ สำหรับเรา ขอแค่เคยไปก็พอละ… ถือว่าครั้งหนึ่งในชีวิต…!!

เจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ที่รีพัลส์ เบย์.

บอกลาฮ่องกงวันสุดท้ายกันที่ วิคตอเรียพีค และรีพัลส์เบย์ อ่าวที่เต็มไปด้วยเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อของคนฮ่องกง ทั้ง พระสังกัจจายน์ เจ้าสมุทร พระกาฬ เทพแห่งวาสนา เทพแห่งดวงชะตา เทพเจ้าแห่งโชคลาภ และเจ้าแม่กวนอิมพระโพธิสัตว์ที่เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวจีน

ก่อนที่เครื่องบินของไทยแอร์เอเชียที่ FD505 จะพาเรากลับเมืองไทยอย่างปลอดภัยแถมอุ่นใจกับ Tune ประกันภัยตลอดการเดินทาง…!!

กินปู-ดูซากุระ-ไหว้พระญี่ปุ่น ฟินสุดขั้ว….ทัวร์แดนซามูไร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/602991

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 เม.ย. 2559 05:01

 

มีโอกาสแพ็กกระเป๋าติดตามผู้โชคดี 20 คน ที่สามารถพิชิตรางวัลจากแคมเปญ “อร่อยสุดฟิน ลุ้นเที่ยวญี่ปุ่นฟรี” ของ บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ในนาม “ดีแทครีวอร์ด” และ บริษัทยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นเนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KFC ไปตะลุยญี่ปุ่นเมื่อปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ต้องบอกว่าเป็นทริปที่ฟิน..สุดๆ ไม่ใช่แค่อากาศที่หนาวเหน็บถึง 7 องศา แต่บรรยากาศของการ กินช็อป เที่ยว จุใจอย่างเต็มอิ่ม ทำให้หายเหนื่อยกันไปเยอะทีเดียว…

เรือรอยัล II สร้างตามแบบเรือรบ ระดับเฟิร์สคลาสของกองทัพฝรั่งเศส.

จุดหมายแรกของการเดินทางครั้งนี้ เริ่มต้นที่ ปราสาทโอซากา ที่เป็นเสมือนตำนานความยิ่งใหญ่ของแดนซามูไร ในยุคอะซุชิโมะโมะยะมะ หรือราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น และเป็น 1 ใน 4 ปราสาทของญี่ปุ่นที่สวยงามติดอันดับโลก ซึ่งถ้าโชกุน อิเดโยชิ โตโยโตมิ ยังมีชีวิตอยู่ คงนั่งยิ้มภาคภูมิใจกับสมบัติที่ตัวเองสร้างขึ้นแน่ๆ

ตัวปราสาทถูกสร้างอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา ล้อมรอบด้วยป้อมปราการหินขนาดใหญ่ ชั้นบนสุดของปราสาทแห่งนี้สามารถชมวิวทิวทัศน์ของเมืองโอซากาได้แบบ 360 องศา ภายในตัวปราสาทจัดแสดงเรื่องราวความเป็นมา ตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ต่างๆของ โชกุน อิเดโยชิ โตโยโตมิ ไว้อย่างครบถ้วน

ปราสาทโอซากา.

ลานสกี..ฟูจีเทน.

ออกจากปราสาทโอซากา ก็ได้เวลาไปย้อนรอย “อิคคิวซัง” ที่ “ปราสาททอง” หรือ วัดคินคะคุจิ ซึ่งสร้างโดย “โชกุน อาชิคางะ โยชิมิสึ” เพื่อใช้เป็นที่พักผ่อน ตัวปราสาทประดับทองคำเปลวทั้งหลัง มี “นกฟินิกส์” ประดับอยู่บนยอดปราสาท ตั้งตระหง่านริมสระน้ำขนาดใหญ่ เวลาที่ต้องแสงพระอาทิตย์ จะปรากฏภาพของตัวปราสาททองสะท้อนเป็นเงาในผืนน้ำสวยงามเกินบรรยาย ภายหลังบุตรชายของท่านโชกุนได้ยกให้เป็นที่ตั้งของวัด
ตัวปราสาทเดิมถูกไฟไหม้เมื่อปี พ.ศ.2493 ก่อนจะสร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2498

จากโอซากามุ่งหน้าสู่เกียวโต เป้าหมายคือ วัดคิโยมิสึ หรือวัดน้ำใส ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ชมซากุระ และใบไม้แดงที่มีชื่อเสียงมากของเมืองเกียวโต โดยเฉพาะในช่วงฤดูการชมดอกไม้หรือใบไม้ พอตกค่ำจะมีการเปิดไฟส่องต้นไม้และอาคารของวัด ดูสวยงามแปลกตาไปจากตอนกลางวัน

ขาปูยักษ์.

วัดคิโยมิสึ เป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น อายุกว่า 1,200 ปี ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาอิงาชิยามามีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านทำให้เป็นที่มาของชื่อ “วัดน้ำใส” และยังเป็น 1ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

ก่อนเข้าวัดแนะนำให้ล้างมือและบ้วนปากเสียก่อน ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมของการเข้าวัดญี่ปุ่น ที่ทุกวัดมักจะมีบ่อน้ำพร้อมกระบวยให้คนที่จะเข้าวัด ตักมาล้างมือทั้งสองข้าง จากนั้นใช้มือรองน้ำจากกระบวยบ้วนปากก่อนจะเข้าไปไหว้พระ

จุดเด่นของวัดน้ำใส คือ ระเบียงวิหารใหญ่ที่ก่อสร้างโดยใช้ท่อนซุงวางเรียงซ้อนกันทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ขึ้นมาเป็นเสาและคานรองรับ โดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว แต่ใช้วิธีโบราณ คือ การเข้าลิ่มตอกสลักไม้ แทน ภายในวัดประดิษฐาน “เทพเอปิสึ” เทพเจ้าแห่งความร่ำรวย มั่งคั่ง และพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ที่นี่เราสามารถถ่ายภาพวิวเมืองเกียวโตจากระเบียงไม้ของวิหารใหญ่ ก่อนจะลงมาดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์สามสาย ที่ไหลลงมาจากเทือกเขาตามธรรมชาติ โดยความเชื่อของคนญี่ปุ่นเชื่อว่า น้ำแต่ละสายสามารถขอพรในเรื่องต่างๆกันได้ สายที่ 1 หมายถึงความร่ำรวย สายที่ 2 หมายถึงความสวยงาม ถ้าผู้ชายก็ขอให้มีหน้าตาดีได้ และสายที่ 3 คือ ความมีสุขภาพที่แข็งแรง เอาเป็นว่า ดื่มทั้ง 3 สาย จะได้ทั้งรวย สวย หล่อ และแข็งแรง ครบถ้วนความปรารถนาของมนุษย์…

คณะผู้ร่วมเดินทางในทริป “อร่อยสุดฟิน ลุ้นเที่ยวญี่ปุ่นฟรี”.

นอกจากไหว้พระ ขอพรแล้ว สิ่งที่ถูกใจนักช็อป นักชิมไทยมากเห็นจะเป็นสองข้างทางเดินขึ้นสู่ตัววัด ที่มีร้านค้าตบแต่งสมัยเอโดะ เรียงรายอยู่เต็มสองข้างทาง ผู้คนทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่แม้ในวันธรรมดา สามารถเลือกซื้อสินค้าพื้นเมืองขึ้นชื่ออย่าง ขนมโมจิ ชาเกียวโตแท้ๆ ตุ๊กตาเกียวโต เครื่องปั้นเซรามิก และไฮไลต์อีกอย่างคือ…คุณจะได้เห็นสาวๆญี่ปุ่นใส่ชุดกิโมโน เดินอวดสายตาชาวโลกกันอย่างคึกคักที่นี่ด้วย

วันรุ่งขึ้น โปรแกรมเที่ยวของเราฟังดูน่าตื่นเต้น เพราะต้องออกไปล่องเรือโจรสลัด กลางทะเลสาบฮามานะ หรือทะเลสาบปลาไหล เพราะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาไหลที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ในเขตอุทยานแห่งชาติฮาโกเน ในเมืองฮามามัทซึ ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองโตเกียวและเมืองนาโกยา ในจังหวัดชิซุโอกะ ที่นี่ถือเป็นแหล่งกำเนิดการทำฟาร์มปลาไหลที่มีชื่อเสียงมาเป็นร้อยๆปี ปลาไหลยี่ห้อทะเลสาบฮามานะ (Hamana) ถือเป็นปลาไหลที่มีชื่อเสียงมากในญี่ปุ่น

จากทะเลสาบฮามานะก็ได้เวลาไปล่องเรือโจรสลัดกันที่ทะเลสาบอาชิ เรือลำนี้มีชื่อว่า รอยัล II หรือรอยัล 2 นั่นเอง เป็นเรือที่ออกแบบตามเรือรอยัลหลุยส์ซึ่งเป็นเรือรบระดับเฟิร์สคลาสของกองทัพฝรั่งเศส ในช่วงศตวรรษที่ 18

สาวญี่ปุ่นในชุดกิโมโน.

การล่องเรือที่นี่ในแต่ละฤดูกาลจะแตกต่างกันไป ถ้าเป็นฤดูร้อนก็จะได้สัมผัสกับลมพัดเย็นสบาย โดยเฉพาะในช่วงแดดร่มลมตก แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ก็จะเต็มไปด้วยสีสันของใบไม้สีแดงที่สวยงาม ราวกับภาพวาด ส่วนฤดูหนาวก็จะเห็นหิมะตกปกคลุมภูเขา เป็นความงามที่เหนือคำบรรยายจริงๆ

ระหว่างล่องเรือชมทะเลสาบ เราสามารถที่จะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิและประตูศาลเจ้าฮาโกเน ซึ่งพวกเราได้มีโอกาสขึ้นไปสักการะศาลเจ้าแห่งนี้ เพื่อเป็นสิริมงคลกันด้วย

ผู้คนหนาแน่นเพื่อเข้าชมวัดน้ำใส.

หลังเที่ยวจนจุใจก็ได้เวลาละลายเงินเยนกันเสียที และทันทีที่รถบัสเข้าจอดในที่จอดรถของโกเทมบะ แฟคทอรี่ เอ้าต์เล็ต จากที่มาด้วยกันก็แยกย้ายกระจัดกระจายกันไปจนแทบหากันไม่เจอ เพราะที่นี่มีสินค้าแบรนด์เนมจากทุกมุมโลกให้เลือกซื้ออย่างจุใจ ก่อนที่จะไปปิดท้ายวันกันด้วย “ขาปูยักษ์” ที่ให้กินแบบไม่อั้น

เนื้อปูหวานสดก็จริง แต่ถ้าไม่มีน้ำจิ้มซีฟู้ดที่ไกด์พกใส่ลังไปจากเมืองไทย คงกินได้ยาก ถึงแม้เขาจะให้กินได้จนพุงปริก็ตาม

ธารน้ำ 3 สาย ที่วัดน้ำใส.

และเพื่อให้มาถึงญี่ปุ่นแบบญี่ปุ่นจริงๆ คืนนี้ เราจึงตัดสินใจเปลื้องผ้าลงแช่ออนเซ็นเพื่อขจัดความเมื่อยล้า ก่อนที่จะหลับสบายแบบลืมเหนื่อยทั้งคืน

และเพื่อสุดฟินแบบชื่อทริป รุ่งขึ้นเรามีนัดกับหิมะขาวๆที่ลานเล่นสกี “ฟูจิเทน” ซึ่งเป็นลานสกีที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของญี่ปุ่น เด็กๆชาวญี่ปุ่นจะมาหัดเล่นสกีกันคึกคักในช่วงวันหยุด จากนั้นก็ไปต่อกันที่ “พิพิธภัณฑ์แผ่นดินไหว” หรือ EARTH QUAKE MUSEUM ซึ่งจำลองรูปแบบการเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดเสมือนจริง ประมาณว่าเล่นเอาคนเข้าไปตื่นเต้นนึกว่าเป็นเรื่องจริงกันเลยละ…

ระเบียงวัดน้ำใส.

แล้วก็มาถึงไฮไลต์ที่หลายคนใฝ่ฝันนั่นก็คือ การได้ชมภูเขาไฟฟูจีแบบเต็มตา ซึ่งบางครั้งภูเขาไฟที่ว่านี้ก็ขี้อายเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะส่วนยอดไม่ค่อยจะเผยโฉมออกมาให้เห็นสักเท่าไหร่ มองไปกี่ทีก็มีแต่เมฆปกคลุมตลอด

จบทริปกันที่โตเกียว แดนสวรรค์ของนักกิน นักช็อป โดยเฉพาะย่านดังอย่างชินจุกุและฮาราจุกุ งานนี้คุณสาวๆเบิกบาน แต่สุภาพบุรุษกระเป๋าฉีกกันเป็นแถว โดยเฉพาะรองเท้ายอดฮิตอย่างโอนิสุกะ ไทเกอร์ ที่บรรดาคนไทยขนซื้อกันเป็นหอบๆกลับบ้าน และสุดท้ายไม่พลาดการชม “ซากุระ” แรกแย้มกลางสวนอุเอโนะ ที่คนญี่ปุ่นนิยมไปนั่งดูดอกไม้กันทั้งครอบครัว ดูอบอุ่นและโรแมนติกมาก มีอีก 2-3 ที่ในโตเกียวที่คิดว่าคนไทยคงไปกันมาหมดแล้วละ ไม่ว่าจะเป็นวัดอาซากุสะ วัดนาริตะซัง ..
.
ก่อนจะโบกมือบ๊ายบาย…..ซาโยนาระ เจแปน แล้วบินกลับถึงเมืองไทยด้วยหัวใจที่เบิกบาน….เต็มๆ!!

ตะลอนทัวร์ “พิพิธภัณฑ์ไทย” เปิดประสบการณ์…ย้อนเวลาหาอดีต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/599526

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 2 เม.ย. 2559 05:01

 

ภารดี เทศรัตนวงศ์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายสื่อสารองค์กรและธุรกิจสัมพันธ์ บริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ส่งบัตร “มิวพาส” หรือ Muse Pass 2559 มาให้ พร้อมเชิญชวนให้ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กว่า 40 แห่ง ทั่วประเทศไทยให้ได้ในรอบ 1 ปีนี้

ตื่นเต้นขึ้นมาทันที สำหรับคนชอบเที่ยวพิพิธภัณฑ์อย่างเราๆ…จะไปได้ครบมั้ย เริ่มต้นที่ไหนก่อนดี พิพิธภัณฑ์ไหนบ้างที่น่าสนใจ…

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติธรณีวิทยา เฉลิมพระเกียรติ ปทุมธานี.

นึกถึงเวลาไปต่างประเทศแล้วต้องไปรอคิวเพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ในฝรั่งเศส บริติช มิวเซียม ที่ถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรื่องราวทั้งโลกไว้ในที่เดียว ในกรุงลอนดอน และอีกหลายๆแห่ง แต่สำหรับพิพิธภัณฑ์ไทยแล้ว อย่าว่าแต่เข้าคิวเลย ขนาดเดินเข้าไปในห้องจัดแสดงงานของพิพิธภัณฑ์หลายๆแห่ง ยังรู้สึกวังเวงบอกไม่ถูก และเพราะเหตุนี้เอง สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ จึงจัดทำ “บัตรมิวพาส” เพื่อกระตุ้นให้คนไทยโดยเฉพาะเด็กๆ หันมาสนใจเที่ยวพิพิธภัณฑ์กันให้มากขึ้น

กระดูกไดโนเสาร์ชิ้นแรกของไทย.

ราเมศ พรหมเย็น ผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) บอกว่า เมืองไทยมีพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้จำนวนมากมายกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ เป็นพื้นที่ที่พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวอันหลากหลาย ตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ หุ่นฟิกเกอร์ร่วมสมัย ไปจนถึงความเป็นมาของชาเขียวพร้อมดื่ม ตลอดจนประสบการณ์อันน่าทึ่งอีกนับไม่ถ้วนที่ควรค่าแก่การไปสัมผัสสักครั้ง

เชิญชวนกันขนาดนี้ ไม่ไปคงไม่ได้แล้ว ว่าแล้วก็เริ่มต้นที่พิพิธภัณฑ์ใกล้ๆในกรุงเทพฯกันก่อนเลย “มิวเซียมสยาม” จุดหมายแรกของการเที่ยวพิพิธภัณฑ์ด้วยบัตรมิวพาส ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับวัดโพธิ์ หรือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ที่สามารถเดินทางไปได้ทั้งทางรถ ทางเรือ หรือจะนั่งรถ MRT มาลงที่หัวลำโพง ต่อสามล้อ แท็กซี่มาอีกนิดก็ถึงแล้ว

พิพิธภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ.

สำหรับที่มิวเซียมสยามนี้ ต้องบอกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ ที่มุ่งเน้นให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำให้เรื่องราวต่างๆมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้เทคนิคการตั้งคำถามชวนสงสัยให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วม เช่น ห้องแรก ที่ใช้ชื่อว่า ห้องเบิกโรง เป็นห้องที่จะพาเราย้อนกลับไปสู่อดีตต้นกำเนิดจากสุวรรณภูมิสู่สยามประเทศ จนถึงประเทศไทย ห้องที่สอง ชื่อ ห้องไทยแท้ เป็นห้องที่ตั้งคำถามกับคนที่เข้าไปชมว่า “ไทยแท้แท้คืออะไร” แต่ไม่ได้ มีคำตอบให้อย่างชัดเจน แค่สร้างบรรยากาศในห้องให้ดูเป็นไทยแบบไทยๆ ด้วยการจัดแสดงรถตุ๊กตุ๊กครึ่งคัน แผงส้มตำไก่ย่าง รูปปั้นนางกวัก แม่ค้าหาบเร่ขายผลไม้ เชื่อว่าแค่นี้ก็ตอบคำถามได้ชัดเจนแล้วว่า นี่ละคือความเป็นไทยแท้ๆของคนไทยนั่นเอง

ลอตเตอรี่ฉบับแรกของสยาม จากพิพิธภัณฑ์สุขสะสม.

จาก มิวเซียมสยาม ไปไม่ไกล เป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์กรมที่ดิน ซึ่งตั้งอยู่บนถนนพระพิพิธ ใกล้ๆ กับวัดราชบพิธฯ ใครที่สนใจเรื่องของทะเบียนกรมที่ดิน การออกโฉนด การรังวัดที่ดิน เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆในการรังวัดที่ดินตั้งแต่สมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศตั้งกรมทะเบียนที่ดิน สังกัดกระทรวงเกษตราธิการ ตั้งแต่ ร.ศ.120 หรือประมาณปี พ.ศ.2444 แนะนำว่าให้ไปที่นี่ได้เลย จะได้รู้จักทั้งกล้องที่ใช้ดูแนวเขตที่ดิน เครื่องคำนวณแบบมือหมุน รวมถึงแบบพิมพ์โฉนดที่ดินฉบับแรกของประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องน่าสนใจที่ไม่มีสอนในโรงเรียนแน่นอน

ด้านหน้าของบัตร “มิวพาส”.

จาก พิพิธภัณฑ์กรมที่ดิน แวะหาของอร่อยๆย่านพาหุรัด แน่นอน นักเรียนอินเดียอย่างเราไม่พลาดร้านประจำ รอยัล อินเดีย ใครที่อยากรู้ว่าอาหารแขกร้านไหนอร่อย แนะนำร้านนี้เลย อร่อย ไม่แพง ว่าแล้วก็สั่ง ซาโมซา กรอบๆ หอมๆ กลิ่นเครื่องเทศ สูตรเด็ดของที่นี่ คือ น้ำจิ้มเผ็ดใส่ใบมินต์หอมๆ มาเรียกน้ำย่อยขณะรอแป้งนานอบร้อนๆจากเตา กินคู่กับแกงกะหรี่ชีส ที่หากินที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าที่นี่

อิ่มท้องแล้ว ได้เวลาไปต่อกันที่ พิพิธภัณฑ์บ้านหมอหวาน แค่ชื่อก็น่าสนใจละ หมอหวานเป็นใคร ผู้หญิงหรือผู้ชาย และสำคัญขนาดไหนถึงต้องมีพิพิธภัณฑ์เป็นของตัวเองกันเลยทีเดียว

วิษณุ เจริญศิลป์ รองผู้ว่าการ ททท. และราเมศ พรหมเย็น ผอ.สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ แถลงข่าวเปิดตัวบัตร “มิวพาส”.

ชื่อพิพิธภัณฑ์บ้านหมอหวาน แต่รูปร่างลักษณะของพิพิธภัณฑ์ไม่ได้เป็นตัวบ้าน หากแต่เป็นตึกสไตล์โคโลเนียล หลังไม่ใหญ่โตนัก อยู่ในย่านเสาชิงช้า ป้ายหน้าบ้านเขียนไว้ว่า “บำรุงชาติสาสนายาไทย” คนในย่านนั้นไม่ได้เรียกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ แต่เรียกว่า “บ้านหมอหวาน” เพราะเจ้าของบ้านเดิมชื่อ นายหวาน รอดม่วง เป็นหมอแผนโบราณ เจ้าของสูตรยาหอมโบราณ 4 ตำรับ คือ ยาหอมสุรามฤทธิ์, ยาหอมอินทรโอสถ, ยาหอมประจักร์ และยาหอมสว่างภพ แต่ละตำรับมีสรรพคุณแตกต่างกันไป ตั้งแต่บำรุงหัวใจ แก้วิงเวียน หน้ามืด แก้จุกเสียด แน่นท้อง ขับลม บำรุงโลหิต เรียกว่า มียาหอมหมอหวานติดบ้าน รักษาได้ทุกอาการกันเลยทีเดียว ภายในพิพิธภัณฑ์บ้านหมอหวานจัดแสดงเครื่องมือโบราณที่ใช้ในการปรุงยา ตอกเม็ดยา บด ฝน อายุกว่า 100 ปี มีโอกาสควรหาเวลาไปสักครั้ง อย่างน้อยก็ได้เห็นภูมิปัญญาของคนไทยสมัยก่อนในการคิดค้นหยูกยารักษาโรคแบบไม่อายฝรั่ง

ชุดยาและอุปกรณ์พิมพ์เม็ดยา อายุกว่า 100 ปี.

จากฝั่งพระนคร ขึ้นสะพานพระราม 8 ลอดซุ้มนางพญาน่าเกรงขามบนสะพาน ไปทางพุทธมณฑลสาย 2 เป้าหมายอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ชื่อน่ารักๆ พิพิธภัณฑ์สุขสะสม ที่ซึ่งทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังย้อนเวลากลับไปหาความสดใสในวันเด็กด้วยของเล่นและข้าวของโบราณมากมาย ที่เจ้าของ คือ คุณธีรวัฒน์ เจริญทวีสิทธิ์ บอกว่า มีมากกว่า 2 แสนชิ้น ทั้งโทรศัพท์เก่า เครื่องเล่นปาจิงโกะ สมัยโบราณ รถไฟเล็กของเล่นโบราณ ฝาขวดน้ำอัดลม ที่จำได้ว่าตอนเด็กๆวิ่งแย่งกันเก็บฝาที่เราเรียกว่าฝาเบียร์ เอามาใช้แทนเงินเวลาเล่นเกมสนุกๆ กบเหลาดินสอ ช้อนสังกะสี ที่สะดุดตาเห็นจะเป็นเรียงเบอร์และลอตเตอรี่ฉบับแรกของสยาม ที่หาดูได้ยาก และอีกสารพัดสิ่งที่คนสะสมก็สะสมด้วยความสุข คนไปดูก็มีความสุขจากการสะสม เรียกว่าสมชื่อ สุขสะสมจริงๆ

หุ่นแบทแมนสังกะสีจากญี่ปุ่น จากแบทแคท มิวเซียมแอนด์ทอยส์ ไทยแลนด์.

ยังมีอีกหลายพิพิธภัณฑ์ที่อยากไป ยิ่งเห็นรูปที่ท่านผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายสื่อสารองค์กรและธุรกิจสัมพันธ์ แนบมาให้ด้วย ยิ่งกระตุกต่อมอยากให้พลุ่งพล่าน ทั้งพิพิธภัณฑ์สิรินธร ที่กาฬสินธุ์ ที่มีกระดูกไดโนเสาร์ ชิ้นแรกของไทย พิพิธภัณฑ์ศูนย์ประติมากรรม กรุงเทพ พิพิธภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งก็ไม่ต้องรีบร้อน เพราะอ่านด้านหลังบัตรยังใช้ได้อีก 1 ปี รับรองว่ายังไงก็จะพยายามเที่ยวให้ครบ 40 พิพิธภัณฑ์ หรืออย่างน้อยก็สักครึ่งหนึ่งก็ยังดี

พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม.

สำหรับบัตรของเรานั้นได้มาฟรี แต่ถ้าใครสนใจอยากได้บัตรมิวพาส พาลูกหลานไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ต่อเติมความฝันและจินตนาการที่สำคัญกว่าความรู้ ก็สอบถามไปได้ที่ 0-2225-2777 ต่อ 123 หรือ http://www.facebook.com/ musepass บัตรราคาถูกมาก แค่ 199 บาท แต่ถ้าใช้บัตรเครดิตของบริษัทบัตรกรุงไทย ซื้อ 1 ใบ แถมอีก 1 ใบ

ส่งเสริมการเรียนรู้กันขนาดนี้ ปิดเทอมนี้ แทนที่จะอุ้มลูกจูงหลานไปเดินตามห้างสรรพสินค้า หาเวลาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ไทยๆกันบ้าง เวลาบอกใครเขาว่าเป็นคนไทย จะได้รู้เรื่องอะไรๆ ที่เป็นไทยๆ ไปคุยให้เขาฟัง…ไม่ตกเทรนด์กันเสียทีเดียว.

บอลลูน เลิฟ…รักลอยลม…ชมเจียงฮาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/596044

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 26 มี.ค. 2559 05:01

 

ผ่านพ้นวันแห่งความรัก–“วาเลนไทน์เดย์” ไปไม่นาน ขอถือโอกาสเก็บตกบรรยากาศงาน “SINGHA PARK CHIANG RAI INTERNATIONAL BALLOON FIESTA” มาเล่าสู่กันฟัง เป็นไอเดียสำหรับการไปท่องเที่ยวในช่วงต้นฝน ปลายฝน ต้นหนาว และปลายหนาวในปีนี้และปีหน้ากันสักนิด…

ทริปนี้เป็นทริปรักจัดให้จริงๆ เพราะไปไวมาไวเหลือเกินแค่ 2 วัน 1 คืน…แต่ชื่นมื่นไปหลายปีทีเดียว…

น้อง “โอปอล” พีอาร์สาว บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ชักชวนพี่ๆสื่อมวลชนกว่า 10 คนไปร่วมทริป ออกจากกรุงเทพฯโดยเครื่องบินถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย บึ่งรถไปไม่ไกล ผ่านวัดร่องขุ่น ของ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ไปนิดเดียว เราก็ไปถึงสิงห์ปาร์ค อาณาจักรแห่งความรัก และความสุขบนดอยสูงของบริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง…

คู่รักฉลองแต่งงานเทศกาลบอลลูน

บรรยากาศค่อนข้างคึกคักในวันที่เราไปถึง เหตุเพราะวันนี้จะมีการแข่งขันบอลลูนชิงรางวัลหลายรายการในพื้นที่กว้างขวางกว่า 8,700 ไร่ของสิงห์ปาร์ค รวมถึงจะได้ชมบรรยากาศการปล่อยบอลลูนขึ้นฟ้าอันละลานตาอีกด้วย

แดดร่มลมนิ่ง ความตื่นตาตื่นใจเริ่มขึ้นเมื่อบอลลูนหลากรูปแบบ หลายรูปร่าง ถูกลมเป่าพองให้เห็นสัดส่วนลอยผงาดสู่ท้องฟ้า จากพื้นดินโล่งกว้างขวางกลายเป็นแน่นขนัดด้วยบอลลูนมากกว่า 30 ลูก จาก 15 ประเทศ สนนราคาบอลลูนแต่ละลูกแพงไม่ใช่เล่น ถ้ารูปทรงหยดน้ำธรรมดาราคาราว 3 ล้านบาท ถ้ารูปร่างแปลกประหลาดแหวกแนว ราคาก็เพิ่มขึ้นอีกเป็นลูกละราว 4 ล้านบาท

บอลลูนแต่ละลูกได้รับการปรุงแต่งพ่นลมร้อนเข้าไปให้ล่องลอยและถูกบังคับทิศทางให้ลอยพาทีมงานบนบอลลูนแข่งหยิบผืนธงปักกลางบึงน้ำกว้าง ทั้งแข่งทิ้งลูกบอลลงจากบอลลูนตกลงในตะกร้ากลางบึงน้ำ ท่ามกลางเสียงเชียร์ลุ้นของผู้คนดังเป็นระยะ บรรยากาศตื่นเต้นเร้าใจ โดยเฉพาะทีมงานบอลลูนที่สามารถคว้ารางวัล ซึ่งรวมเป็นเงินสดก็เกือบครึ่งล้านบาท

บอลลูนแน่นขนัดสิงห์ปาร์ค

ตกค่ำ การแสดงบอลลูนโชว์ แสง สี เสียง ตระการตาก็ทำให้ผู้คนภายในสิงห์ ปาร์คค่ำคืนนั้นซึ่งรวมกันทั้งคนไทย คนฝรั่ง คนจีน และอื่นๆที่น่าจะเฉียดหมื่นชีวิต ต่างเพลิดเพลินกับความงามแปลกตา เพลิดเพลินกับการถ่ายรูปในสวนสนุกบอลลูนและยังได้สัมผัสประสบการณ์ขึ้นบอลลูนลอยฟ้า

ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้สนุกสุดมันส์กับคอนเสิร์ตสุดพิเศษในงาน ที่แต่ละวันทางผู้จัดได้คัดสรรวงดนตรีเอาใจกลุ่มคนอย่างทั่วถึงทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นเยาว์ ไม่นับรวมถึงกิจกรรมการละเล่นหลากหลาย

โดยเฉพาะการโหนสลิงซิปไลน์ เหินเวหาสูงเทียบเท่าตึก 8 ชั้น ด้วยระยะทางการโรยตัวไกลกว่า 500 เมตร ทำเอาผู้เล่นทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็กและผู้ใหญ่ส่งเสียงวีดว้ายกันเกือบตลอดค่ำคืน สนุกกันแบบสุดเหวี่ยงจริงๆ

บอลลูนพ่นลมร้อน

สำหรับไฮไลต์สุดพิเศษในเช้าวันแห่งความรัก คือ “การจดทะเบียนสมรสของคู่รักผู้โชคดี 21 คู่” และคู่รักต่างชาติ 1 คู่ ที่เริ่มพิธีการตั้งแต่เช้า ทั้งพิธีตักบาตรร่วมขันตามธรรมเนียมประเพณีไทย ตามด้วยการเข้าตามตรอกออกตามประตู “จดทะเบียนสมรส” และ กิจกรรม “Balloon Love” ที่เปิดโอกาสให้คู่บ่าวสาวหมาดๆได้ขึ้นบอลลูนบอกรักบนฟากฟ้าและพากันลอยละล่องเที่ยวชมทิวทัศน์จังหวัดเชียงรายแบบพาโนราม่า 360 องศา

เชื่อแน่ว่ากิจกรรมนี้ต้องทำให้คู่รักสร้างชาติทั้งหมดต้องประทับใจไม่รู้ลืมไปตลอด…

งานนี้ต้องบอกว่า คนจัดจัดอย่าง “ใจถึง” ทั้งทุ่มทุน ทั้งเปิดโอกาสสร้างความประทับใจให้ผู้คนหลายกลุ่ม ไล่ตั้งแต่ทีมงานแข่งบอลลูนจากหลายประเทศ คู่รักคู่สมรสและเหล่าญาติพี่น้องจากทั่วสารทิศ ตลอดจนชาวบ้านและนักท่องเที่ยวเข้าไปเยือนชมกันมากมาย

แสงสีภายในงานสิงห์ปาร์ค

สำหรับสิงห์ปาร์ค เชียงราย ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเชียงราย ที่มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนไปเยี่ยมชมวันละเป็น หมื่นคน โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวที่อากาศเย็นๆ มีทั้งไร่ชา และที่ให้ถ่ายรูปน่ารักๆ เดิมที่นี่คือ ไร่บุญรอด ที่เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2526 ใช้เป็นพื้นที่เพื่อการเกษตรหลากหลาย ตั้งแต่ไร่ชาอู่หลง ปลูกพุทราซื่อหมี่ มะเฟืองยักษ์หวาน มัลเบอรี่ สตรอเบอรี่ พืชผักสดอีกนานาชนิดและพืชเศรษฐกิจอีกหลายอย่าง รวมถึงยางพาราตามปรัชญาหลักของเจ้าของสถานที่ที่มุ่งเน้นทำเกษตรแบบผสมผสาน มุ่งรักษาสมดุลของธรรมชาติและการอยู่ร่วมกันกับชุมชนอย่างกลมกลืน และสุดท้ายคือ ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเชียงราย ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรสร้างความสุขให้ผู้มาเยือนมากกว่าคำนึงถึงผลกำไร

หนูน้อยเล่นซิปไลน์โรยตัวลงจากหอสูง

นอกเหนือจากการปลูกพืชนานาพันธุ์ให้ผู้คนเข้าไปชมแล้ว พื้นที่แห่งนี้ยังจัดกิจกรรมสันทนาการอีกหลากหลาย ตั้งแต่จุดชมชีวิตสัตว์ ประกอบด้วยยีราฟ ม้าลายและวัววาตูซี่ มีเส้นทางขี่จักรยานออกกำลังกายปั่นชมเส้นทางสวยงามภายในไร่ ฯลฯ

ซึ่งหากใครมีโอกาสแวะเวียนไปเที่ยวจังหวัดเชียงราย นอกจากขึ้นดอยไหว้พระแล้ว หากมีเวลาจะแวะมาหาอารมณ์ชิลๆแบบฟินสุดๆที่นี่ ก็ไม่เสียเวลามากนัก อย่างน้อยเงินไทยก็ไม่ไหลไปไหน กินใช้กันอยู่ในประเทศนี่ละ…..!!

ท่องแดน…อ้อมกอดหิมาลัย จิบชาที่ “ดาร์จีลิ่ง-สิกขิม”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/592680

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 19 มี.ค. 2559 05:01

 

เมื่อเร็วๆนี้ “พี่ปุ๊” สมทรง สัจจาภิมุข รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ ผจก.ทั่วไปบริษัท เอส.เอส.แทรเวิลเซอร์วิส เอ่ยปากชวนไปเที่ยวสิกขิม

และดาร์จีลิ่ง ในทริป “DESTINATION EAST” ครั้งที่ 6 ที่สมาพันธ์อุตสาหกรรมอินเดีย (CII) และรัฐเบงกอลตะวันตก จัดขึ้น เพื่อโปรโมตการท่องเที่ยวของอินเดีย

สตาร์ตจุดแรกกันที่กัลกัตตา หรือโกล–กาตา เมืองหลวงเก่าของอินเดีย และเป็นเมืองแรกที่อังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถนนทุกสายและสถาปัตยกรรมในเมืองนี้จึงยังคงมีกลิ่นอายของฝรั่งเมืองผู้ดีติดๆอยู่กับกลิ่นแขกๆของคนอินเดียในปัจจุบัน

คืนแรกในกัลกัตตา นอนหลับๆตื่นๆด้วยเสียงแตรรถที่ไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่นัก วันรุ่งขึ้นจึงออกเดินทางต่อไปยังเมืองดาร์จีลิ่ง โดยเครื่องบินภายในประเทศ เพื่อไปลงที่สนามบินบักโดกรา ก่อนนั่งรถไต่ระดับขึ้นไปยังเมืองตากอากาศบนยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,134 เมตรที่ซึ่งนักล่าอาณานิคมอังกฤษชื่นชอบและขนานนามว่าเป็น “ราชินีแห่งขุนเขา” (The Queen of Hills)

สถูปดุ๊ดดุล โชดเต็น ศาสนสถานสำคัญในเมืองกังต็อก

ถนนคนเดิน มหาตมะคานธี มาร์ก หรือถนนเอ็มจีมาร์ก

รถยนต์ขนาดเล็กพาพวกเราเดินทางขับลัดเลาะไปตามไหล่เขาสูงชัน สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นสน ต้นสักขนาดใหญ่ และที่น่าตื่นตาตื่นใจเห็นจะเป็นไร่ชาเขียวขจีที่ไกลสุดลูกหูลูกตา

ระหว่างการเดินทางอันยาวนานในอินเดีย ซึ่งถนนแคบ และรถก็สามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วจำกัด การแวะเที่ยวและพักไปด้วยระหว่างทางจึงเป็นเหมือนเทคนิคของการท่องเที่ยวในอินเดียที่ทำให้ไม่เบื่อและไม่เหนื่อยจนเกินไปนัก

ระหว่างทางเราแวะเที่ยวชม วัดกูม (Ghoom Monas– tery) ซึ่งเป็นวัดพุทธแบบวัชร–ยานอันเก่าแก่ของดาร์จีลิ่ง เสียงบทสวดมนต์ของพระทิเบต คลอเคล้าด้วยเสียงดนตรี ที่ฟังแล้วทำให้ใจสงบ นิ่ง และเย็นกว่าที่คิด

กระดิ่ง หรือระฆังขนาดเล็ก “ฉื่อโป” ฉิ่งฉาบ กลองเล็กรัวถี่ และแตรยาวที่เป่าสลับกับจังหวะของการสวดมนต์ในแต่ละท่อน ด้วยลีลาหนักเบา เร่ง ช้า อย่างลงตัว เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่น่าประทับใจ และทำให้เห็นว่าธรรมะและการสวดมนต์บางทีก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าเบื่อเสมอไป

“Toy Train” หรือ Darjeeling Himalayan Railway รถไฟหัวจักรไอน้ำที่ดาร์จีลิ่ง

ออกจาก วัดกูม เราเดินทางต่อเป้าหมายอยู่ที่ไร่ชาในดาร์จีลิ่ง เมืองตากอากาศของพวกอังกฤษ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการปลูกชาซึ่งฝรั่งนำมาเผยแพร่ให้แขกทำส่งไปขายในยุโรป ตลอดเส้นทางเรียกว่าถ้าไม่หลับก็มีลุ้น เพราะรถที่แล่นสวนไปสวนมาเป็นระยะชวนให้หวาดเสียว

เท่านั้นยังไม่พอ นอกจากรถยนต์แล้ว บางทียังมีรถไฟขบวนเล็ก “Toy Train” หรือ Darjeeling Himalayan Railway ซึ่งเป็นรถไฟหัวจักรไอน้ำสมัยอังกฤษเข้ามายึดครอง วิ่งสวนไปมาให้ทึ่งอีกต่างหาก

หลับๆตื่นราว 4-5 ชั่วโมงเราก็มาถึงที่พัก Mayfair รีสอร์ต…รีสอร์ต 5 ดาว กลางหุบเขาสูง ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นราว 4 องศา ที่ต้องถือว่าคุ้มค่ากับการเดินทางอันยาวนาน เพราะบรรยากาศแบบนี้ไม่ใช่ใครก็จะมาได้ง่ายๆ

ระฆังมนตรา “กงล้อธรรม” ที่จารึกคาถา “โอม มณี ปัทเมหุม”

อากาศที่หนาวเย็นชวนให้ร่างกายที่อ่อนล้าเรียกร้องหาที่นอนอันอ่อนนุ่ม คืนแรกบนยอดเขาสูง พวกเราส่วนใหญ่จึงเข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำด้วยความอ่อนเพลีย ที่สำคัญ พรุ่งนี้เช้าเราต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อไปรอชมแสงแรกของดวงอาทิตย์สะท้อนกับยอดเขาคันเช็งจุงก้า ที่ไทเกอร์ฮิลล์ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลต์ของทริปนี้

โชคของพวกเราไม่ค่อยดีนัก ที่วันนี้ดินฟ้าอากาศไม่เป็นใจ ม่านหมอกหนาทึบปกคลุมท้องฟ้าตั้งแต่เช้ามืด เราจึงได้เห็นเพียงดวงอาทิตย์สีส้มผลุบโผล่ขึ้นมาแบบขมุกขมัว โดยมียอดเขาคันเช็งจุงก้า ภูเขาสูงอันดับ 3 ของโลกที่มองเห็นอย่างเลือนรางเป็นฉากหลัง

หลังชมพระอาทิตย์ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจให้เราได้เห็นอย่างเต็มตานักแล้ว ช่วงสายๆเราเดินทางต่อไปยังไร่ชา Glenburn Tea Estate ซึ่งเป็นแหล่งผลิตชาชื่อดังในแถบชานเมืองดาร์จีลิ่ง

เป็นครั้งแรกของเราที่ได้มีโอกาสจิบชารสเลิศ นุ่มนวลทั้งกลิ่นและรส พร้อมชมกระบวนการผลิตชาตั้งแต่การปลูก บ่มใบชา จนมาเป็นชาชั้นดีให้เราดื่มและส่งไปขายไกลถึงอังกฤษและอีกหลายประเทศในยุโรป โดยที่นี่ถือได้ว่าเป็นแหล่งปลูกชาที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก…เลยทีเดียว

ตัวแทนบริษัทนำเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกบริเวณวัดรุมเต็ก

หลังจากอังกฤษได้บุกเบิกนำชาอู่หลงจากจีนมาทดลองปลูกจนมีคุณภาพทัดเทียมทั้งคิดค้นกรรมวิธีจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว จนอินเดียเป็นผู้ผลิตและส่งออกชารายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก

จิบชาแบบผู้ดีกันแล้วก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยัง เมืองกังต็อก รัฐสิกขิม ที่ถือว่าเป็นดินแดนในอ้อมกอดของภูเขาหิมาลัยอย่างแท้จริง

กังต็อก เมืองเล็กๆทางตอนเหนือของอินเดียมีชายแดนติดกับทิเบต เนปาลและภูฏาน เราใช้เวลาเกือบครึ่งวันเพื่อเดินทางมาที่นี่ ระหว่างทางต้องผ่านด่านเข้าเมืองของรัฐสิกขิม ที่เรียกว่า ด่านรังโป เพื่อทำเอกสารผ่านแดน กว่าจะถึงโรงแรมที่พักที่ชื่อว่า Terrace Valley Hotel ในเมืองกังต็อกก็ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว

อรุณสวัสดิ์สิกขิมด้วยอาหารเช้าแบบจีนปนแขก ก่อนเดินทางไปยัง วัดรุมเต็ก (Rumtek Monastery) วัดศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในสิกขิม ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง 1,550 เมตร ห่างจากตัวเมืองกังต็อกประมาณ 24 กิโลเมตร

วัดแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ Dharma Chakra Center หรือ ศูนย์ธรรมจักร ซึ่งเป็นศูนย์กลางเผยแผ่พระพุทธศาสนาในช่วงศตวรรษที่ 9 และเสื่อมลงเรื่อยๆ จนมาถึงสมัยพระสังฆราชการ์มาปาที่ 16 ซึ่งลี้ภัยมาจากทิเบตเพราะถูกจีนเข้ายึดครองได้บูรณะวัดแห่งนี้ขึ้นมาใหม่กระทั่งแล้วเสร็จเมื่อปี 1966

ภาพพุทธประวัติ หรือภาพ “ทังก้า” (Thangka) 1 ในเทพที่ปกปักคุ้มครองวัดรุมเต็ก

ปัจจุบันนอกจากเป็นศูนย์รวมใจของชาวพุทธในเมืองกังต็อกแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ Karma Shri Nalanda สถาบันการศึกษาพระพุทธศาสนาชั้นสูงอีกด้วย

จากวัดรุมเต็กเราเดินทางต่อไปยัง ทิเบตโทโลยี่ Tibetology อาคารพิพิธภัณฑ์ สถาปัตยกรรมแบบทิเบต ซึ่งเป็นที่เก็บโบราณวัตถุล้ำค่า เช่น พระพุทธรูป

ภาพพุทธประวัติ หรือภาพ “ทังก้า” (Thangka) ที่หาดู ได้ยากอีกแห่งหนึ่ง จากนั้นเที่ยวชม (สถูปดุ๊ดดุล โชดเต็น) Do-Drul Choten ที่อยู่ใกล้ๆกัน องค์สถูปรายล้อมด้วยระฆังมนตรา ที่จารึกคาถาโอม มณี ปัทเมหุมเอาไว้

ช่วงเย็นๆมีโอกาสเดินทอดน่องท้าลมหนาวที่ถนนคนเดิน มหาตมะคานธี มาร์ก (Mahatma Gandhi Road) หรือถนนเอ็มจีมาร์ก เมืองสิกขิม คล้ายถนนคนเดินในบ้านเราที่มีชาวบ้านเอาสินค้าพื้นเมืองมาขายเป็นของฝากติดไม้ติดมือที่ราคาไม่แพงมากนัก

ขากลับจากสิกขิม ผ่านดาร์จีลิ่ง เราทอดสายตามองกลับขึ้นไปยังเมืองบนยอดเขา ความรู้สึกยามนี้เหมือนกำลังอยู่ในอ้อมกอดมนตรา…

เป็นมนตราแห่งรัก และความสงบ…ที่ยิ่งใหญ่ในหัวใจเหลือเกิน…

โรแมนติก…อันดามัน อัศจรรย์ “หัวใจมรกต”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/589246

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 12 มี.ค. 2559 05:01

 

อ่าวเขาควาย-ทะเลแหวกระนอง.

หลายคนเคยไปสัมผัสประสบการณ์ประทับใจ สุดทางฝันฝั่งอันดามันเมืองระนอง จังหวัดที่มีสมญานาม “ดินแดนฝนแปดแดดสี่” เมืองเล็กๆ

น่ารัก มีสถานที่เที่ยวทั้งเชิงธรรมชาติ เชิงสุขภาพ เชิงวัฒนธรรม ให้เลือกตามความชอบ ที่ขึ้นชื่อเด่นๆ เช่น ธารน้ำแร่ร้อน ภูเขาหญ้าสีทอง น้ำตกหงาว เกาะพยาม คอคอดกระ และ หาดแหลมสน ยาวสุดตา

ระนอง ยังเป็นเมืองชายแดน สามารถเชื่อมต่อไปประเทศเมียนมาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันได้สะดวก และจากเกาะแก่งทะเลอันดามัน ฝั่งพม่า ยังลัดเลาะเที่ยวท่องล่องเรือชมเกาะแก่งทะเลอันดามัน ฝั่งไทย อาทิ เกาะพยาม เกาะกำ อ่าวเขาควาย หรือทะเลแหวก จ.ระนอง หมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา เรียกว่ารอนแรมลอยทะเลกันตั้งแต่เช้า กว่าจะได้ขึ้นฝั่งอาบน้ำจืดก็พลบค่ำ ทริปเช่นนี้เหมาะกับผู้ที่รักหาดทราย สายลม เกลียวคลื่น ท้องทะเล และไม่กลัวไข่เค็ม!!!

พายคยัคเที่ยวเกาะตาฟุก.

เริ่มต้นจากตัวเมืองระนอง มุ่งสู่ท่าเรือแกรนด์อันดามัน ทำเอกสารข้ามแดนด้วยบัตรประชาชนใบเดียว แล้วลงเรือเร็วข้ามสู่โรงแรมแกรนด์อันดามัน บนเกาะสน หรือเกาะตะเตชุน ใกล้กับ “วิคตอเรีย พอยท์” จ.เกาะสอง ฝั่งพม่า ที่นี่เป็นโรงแรม 4 ดาว และมีกาสิโนที่เป็นสากล

หากใครมาถึงช่วงเช้า ลุยเที่ยวต่อได้เลย ถ้าใครมาถึงช่วงเย็น ต้องนอนค้างสัก 1 คืน ถ้านอนไม่หลับแนะให้ลองแวะไปเสี่ยงโชคเล่นๆ แต่มีเคล็ดลับจากอาซิ้มคนหนึ่ง แกแนะให้ถอดกุงเกงลิงทิ้งไว้ในห้อง อย่าใส่เข้าไป แกว่าปล่อยโล่งๆโตงเตงนี่ล่ะ เล่นแล้วมือขึ้นนัก ส่วนจะเจ๋งจริงหรือเจ๊งจริง ไม่ยืนยัน เพราะปกติซิ้มแกไม่เคยนุ่งอยู่แล้ว???

ปลาสิงโต.

บอย ธนวัฒน์ ชาวสมุทร กรรมการผู้จัดการ แกรนด์อันดามัน ทราเวล ธุรกิจร่วมเครือฯ เล่าว่า เดิมโรงแรมนี้ชื่ออันดามันคลับ หลังจากผู้บริหารรายใหม่ที่เป็นนักธุรกิจชาวระนอง เข้ามาเทกโอเวอร์ กิจการได้เปลี่ยนชื่อเป็นแกรนด์อันดามัน จึงต้องการลบภาพลักษณ์เดิมๆของกาสิโน เพื่อให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของครอบครัวอย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากโรงแรมและกาสิโน ที่นี่ยังมีสนามกอล์ฟมาตรฐาน, ร้านดิวตี้ฟรี, กิจกรรมแอดเวนเจอร์ อาทิ ขับรถเอทีวี เครื่องเล่นซิปไลน์ พายเรือคยัค ไว้ให้บริการด้วย ต่อมาเมื่อได้รับสัมปทานดูแลเกาะอนุรักษ์แห่งอื่นๆเพิ่มจากทางการพม่า จึงได้จัดทริปดำน้ำชมปะการัง ทั้งแบบเช้าไปเย็นกลับ และแบบ 3 วัน 2 คืน เพิ่มเข้ามาด้วย

บอย ย้ำว่า การมาเที่ยวทะเลอันดามัน ฝั่งพม่า ถึงอย่างไรก็ต้องผ่าน จ.ระนอง ซึ่งฝั่งไทยจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย ทั้งการขนส่ง ร้านอาหาร และธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะที่พัก เพราะโรงแรมแกรนด์อันดามัน มีห้องพักจำกัด ยิ่งช่วงวันหยุดจะรับได้แค่ 20 ห้องเท่านั้น ฉะนั้นอีก 80 เปอร์เซ็นต์ จะกระจายไปยังโรงแรมแห่งอื่นๆในพื้นที่

เกาะหัวใจมรกต.

จากท่าเรือโรงแรม เราเปลี่ยนไปนั่งสปีดโบ๊ต ใช้เวลาราว 45 นาที ก็มาถึง เกาะฮอร์สชู (Horse Shoe) จุดแรกในการดำน้ำแบบสน็อกเกอริ่งของทริป เกาะนี้เป็นเกาะสัมปทานรังนกของคนพม่า ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเหยียบชายหาด ระดับน้ำแถวนี้มีความลึก 2-3 เมตรเท่านั้น แค่ก้มหน้ามองผ่านหน้ากากดำน้ำก็ได้เห็นปะการังสมอง ปะการังเขากวาง และฝูงปลาสีสวยประจำถิ่นว่ายหากินกันชิลๆ

หลังวอร์มร่างกายและรื้อฟื้นการดำน้ำด้วยสน็อกเกิลอยู่พักใหญ่ เราขึ้นเรือต่อไปยังอีกเกาะที่อยู่ไม่ไกลกันนักชื่อว่า เกาะดอกไม้ ได้ชื่อนี้เพราะ
มีดอกไม้ทะเลเยอะและมีปลานีโม่ด้วย รวมทั้งเป็นบ้านของฉลามหูดำตัวจิ๋วแหวกว่ายกันฝูงใหญ่ แต่ถ้าใครไปเจอตัวแม่มันเข้าก็ไม่ต้องห่วง พี่ไกด์บอกว่า ฉลามมันกลัวจระเข้ (ล้อเล่นอ่ะ)

เพลิดเพลินกับการดำน้ำดูปะการังหลายชั่วโมงจนท้องร้องจ๊อกๆ ไกด์พาเราขึ้นเรือแล่นต่อไปยัง เกาะตาฟุก (Dunkin Island) เกาะขนาดย่อมที่มีพันธุ์ไม้ป่าดิบชื้นขึ้นปกคลุมหนาแน่น โดยเฉพาะไม้เรือนยอด ทันทีที่เรือแล่นเข้าเวิ้งอ่าว สาวๆหลายคนส่งเสียงร้องว้าว!!! เมื่อได้เห็นหาดทรายขาวละเอียดทอดตัวเป็นแนวโค้งยาว ตัดกับน้ำทะเลสีเทอร์ควอยซ์ใสแจ๋ว มองเห็นปะการังและฝูงปลาหลากสีนานาพันธุ์แหวกว่ายกันเริงร่า

ป่าปะการังเกาะฮอร์สชู.

พอก้าวเท้าลงจากเรือสัมผัสบนทรายนุ่มๆ พลันได้ยินเสียงร้องคุ้นหูดังแว่วอยู่เหนือหัว ชวนให้เงยหน้ามองหาเจ้าของเสียงที่กำลังโผลงเกาะต้นไทรใหญ่ เหลือเชื่อที่เกาะแห่งนี้เป็นแหล่งอาศัยของฝูงนกเงือกไม่ต่ำกว่า 10 ตัว ซึ่งถือเป็นดัชนีบ่งชี้ความสมบูรณ์ของผืนป่า นี่ไง…พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าในทะเลมี (นก) เงือกจริงๆนะ

หลังอิ่มท้องกับมื้อเที่ยง บางคนขอตัวไปเล่นน้ำส่องหากุ้งมังกรตัวโต บ้างพายเรือคยัคอาบแดด หรือออกเดินสำรวจหามุมเก๋ๆ ถ่ายรูปไว้อัพเฟซ ยอมรับว่าธรรมชาติบนเกาะนี้สมบูรณ์จริงๆ คนงานเฝ้าเกาะกระซิบว่า ไม่กี่วันก่อนเพิ่งพบร่องรอยแม่เต่าทะเลขึ้นมาขุดหลุมวางไข่ทิ้งไว้ ถ้าไม่มีมนุษย์หรือสัตว์อื่นไปรบกวน อีกราว 2 เดือน คงได้กินปลากริมไข่เต่า เอ๊ย…เห็นลูกเต่าน้อยคลานต้วมเตี้ยมกลับสู่อ้อมกอดแห่งท้องทะเล

ปะการังหลากสีเกาะดอกไม้.

ออกจากเกาะตาฟุกในช่วงบ่าย เราเดินทางสู่ เกาะหัวใจมรกต (Cock’s Comb) ตัวเกาะขนาดใหญ่ ปกคลุมด้วยต้นไม้เขียวขจี มีแนวสันเขารูปหัวใจ โอบล้อมผืนน้ำสีเขียวมรกตไว้เบื้องล่าง ซึ่งต้องมองจากมุมสูงถึงจะเห็นหัวใจทั้งดวง โดยทางทัวร์มีแนวคิดจะนำเรือลากร่มชูชีพมาให้บริการนำนักท่องเที่ยวขึ้นไปชมภาพมุมสูงด้วย

ฝูงปลาหน้าทางเข้าหัวใจมรกต.

ทางเข้า-ออกหัวใจมรกต มีเพียงทางเดียวและต้องว่ายน้ำเข้าไปเท่านั้น จะมีเชือกโรยไว้ให้นักดำน้ำใช้พยุงตัวขณะว่ายผ่านอุโมงค์ เมื่อเข้าไปข้างในจะไม่มีหาดทราย มีแค่แพไม้ไผ่ที่ผูกไว้ให้ยืนพักเหนื่อย ระดับน้ำไม่ลึกมากแค่ 2-3 เมตร แต่มีกับดักเป็นเจ้าหอยเม่นหนามแหลมตัวอันตราย อย่าเผลอไปเหยียบมันเข้าเชียว

ภายในหัวใจมรกต คือระบบนิเวศอันสมบูรณ์ของอาณาจักรปะการังและดอกไม้ทะเล เปรียบเสมือนป่าดงดิบแห่งท้องทะเล เป็นบ้านของปลาหลากสายพันธุ์ ช่วงที่ว่ายน้ำผ่านเข้าปากอุโมงค์ จะมีฝูงปลานับหมื่นตัวมารวมกันเป็นกลุ่มก้อน เพื่อหลบบรรดานักล่าผู้หิวโซ จากภาพถ่ายใต้น้ำที่ทีมงานคุณบอยถ่ายไว้ ยืนยันได้ว่าน่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหน ยิ่งถ้าวันที่คลื่นลมเป็นใจ ทะเลไม่พิโรธ อาจเห็นกระเบนแมนตา และฉลามวาฬ มาว่ายโชว์โฉมให้ดูเป็นขวัญตา

ใครอยากไปส่องหัวใจมรกต กลางทะเล อันดามันกับหวานใจ ช่วงฤดูกาลนี้เหมาะสุดๆ ฟ้าสวย น้ำใส คลื่นลมสงบ วันลาพักร้อนเหลือเยอะ และโบนัส (คง) ยังไม่หมด ลองหาข้อมูลกันเอาเองที่ http://www.grandandamantravel.com

ขอให้สนุกสุขสันต์ชุ่มฉ่ำกับทริปอันดามันแสนโรแมนติก แล้วอย่าลืม…ทริกที่อาซิ้มแกบอกล่ะ.