เที่ยวเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี อลังการน้ำพุดนตรี..สีสันแห่งรัตติกาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/585956

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 5 มี.ค. 2559 05:01

 

ทะเลสาบเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี.

ลมหนาวโบกโบยมาทักทายขนาดนี้ ไม่รีบขึ้นเหนือไปสัมผัสอากาศเย็นๆ ก็ดูจะเป็นการปล่อยโอกาสดีๆให้ผ่านเลยไปแบบน่าเสียดาย ว่าแล้ว ทีมเที่ยวตามตะวัน ก็แบกเป้ขึ้นหลัง มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยการสนับสนุนของ สายการบินแอร์เอเชีย สายการบินราคาประหยัดที่ดีที่สุดในโลก จากความเห็นของนักเดินทางมากกว่า 18 ล้านคนทั่วโลก

เชียงใหม่มีอะไรน่าเที่ยว คำตอบคือ เยอะแยะไปหมด จนเลือกไม่ถูก แต่คราวนี้เราจะไปสัมผัสบรรยากาศเก่าๆ สมัยวัยเด็กที่เคยร้องไห้กระจองอแงขอพ่อแม่ไปเที่ยวเขาดิน วันเสาร์-อาทิตย์นั่นละ…

แสง สี เสียง น้ำพุดนตรี…เทคโนโลยีจากเยอรมนี.

แน่นอนที่สุด ทริปนี้เราจะไปเที่ยว…เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี หลังจากที่ไม่เคยไปเยือนสวนสัตว์กลางคืนแห่งแรกของประเทศไทยมาหลายปี

และเมื่อไปถึงจึงรู้ว่าเราเชยมาเสียนาน เพราะวันนี้ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี เขาปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งกลางวัน กลางคืน แม้จะยังคงคอนเซปต์การเป็นสวนสัตว์กลางคืนที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ตาม

“พ่อเพชร” เสือโคร่งขาว ตัวแรกของไนท์ซาฟารี.

ดร.ศราวุฒิ ศรีศกุน ผอ.สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ซึ่งดูแลเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี เปิดบ้านภายในสวนสัตว์ต้อนรับคณะของเราอย่างอบอุ่น พร้อมกับให้ความมั่นใจว่าการมาเที่ยวที่นี่ของเราเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว เพราะเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีมีขนาดใหญ่เป็น 2 เท่าของไนท์ซาฟารีสิงคโปร์ เน้นความเป็น Nature Theme Park ซึ่งจะแตกต่างจากสวนสัตว์ทั่วๆไป แม้แต่ซาฟารีในแอฟริกา เพราะที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ป่าได้อย่างใกล้ชิด ที่แม้แต่ในแอฟริกาก็อาจจะดูพฤติกรรมของสัตว์ป่าได้ยากกว่าที่นี่

เริ่มทักทายกันตั้งแต่ทางเข้าสวนสัตว์ ที่จัดเป็นลานสัตว์ป่าหิมพานต์ ปลุกเร้าอารมณ์ความสนใจของนักท่องเที่ยวให้ฮึกเหิมประหนึ่งนายพรานกำลังจะเข้าป่าล่าสัตว์ยังไงยังงั้น

กวาง…สัตว์ฝูงใหญ่ที่สุด ที่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว.

โซนแรกของการสัมผัสบรรยากาศความเป็นซาฟารี เริ่มกันที่โซนที่เรียกว่า สะวันนา ซาฟารี (Savanna Safari) การเข้าชมใช้การนั่งรถลาก (Tram) เปิดโล่งขนาด 50 ที่นั่ง ซึ่งประดับด้วยลวดลายสัตว์ป่าชนิดต่างๆ ซึ่งพอรถเริ่มขยับเราก็เริ่มเห็นเจ้ากวางน้อยเป็นร้อยๆตัววิ่งไล่กันอยู่ใกล้ๆ ไม่กลัวคน

ไปอีกสักพัก ก็เจอทั้งยีราฟ ม้าลาย เดินเข้ามาทักทายแบบเป็นมิตร รวมทั้งเจ้าจิงโจ้แดง จิงโจ้ถือกำเนิดในออสเตรเลียมานานกว่า 1 ล้านปี ถือเป็นสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบันที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ มันสามารถกระโดดได้ไกลถึง 2 เมตร

วัววาตูซี่..วัวที่มีเขาใหญ่ที่สุดในโลกจากแอฟริกา.

และแล้วก็เข้าสู่โซนที่สอง เรียกว่า Predator Prowl เป็นโซนของสัตว์นักล่าทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเสือโคร่งขาว สิงโต ไฮยีน่าลายจุด ซึ่งหลังจากที่พวกเราเดินทางกลับมาไม่นานก็ได้ทราบข่าวร้ายว่า “พ่อเพชร” เสือโคร่งขาวตัวแรกของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ที่ออกมาอวดโฉมให้พวกเราเห็นในวันนั้นได้จากไปแล้ว จากการป่วยด้วยโรคติดเชื้อในกระแสเลือด ถือเป็นการสูญเสียสัตว์ที่มีคุณค่าของสวนสัตว์ไปอย่างน่าเสียดาย

นอกจากเสือโคร่งขาวแล้ว ในโซนนี้ยังมีเสือจากัวร์ซึ่งถือว่าเป็นเสือที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก เสือลายเมฆ ที่ ผอ.ศราวุฒิ บอกว่า เหลืออยู่ไม่กี่ตัวในโลกเพราะใกล้สูญพันธุ์เต็มทีแล้ว

เสือลายเมฆ..สัตว์อีกชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์.

เสร็จจากกิจกรรมนั่งรถชมสัตว์ ซึ่งเริ่มตั้งแต่บ่ายสามโมงเย็นไปจนถึงสี่โมงครึ่งแล้ว ก็ได้เวลาแว่บไปพักผ่อนอาบน้ำอาบท่า เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่บรรยากาศของการเที่ยวสวนสัตว์ในเวลากลางคืน สมกับชื่อไนท์ซาฟารี ซึ่งพฤติกรรมของสัตว์ในเวลากลางวันและกลางคืนจะต่างกัน โดย เฉพาะเจ้านักล่าทั้งหลาย ที่มักจะกระฉับกระเฉงในช่วงกลางคืนมากกว่ากลางวัน ซึ่งนอกจากจะชมสัตว์แล้ว ในวัน พระจันทร์เต็มดวง เรายังสามารถ “ชมจันทร์” ได้อย่างสวยงามในบริเวณนี้ด้วย

เราเลือกที่จะชมไนท์ซาฟารีในช่วงหัวค่ำ เพราะต้องการจะกลับมาให้ทันการแสดงน้ำพุดนตรี ที่จะมีทุกวันในช่วงสองทุ่ม และสามทุ่ม ที่ ผอ.เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี การันตีว่าเป็นแสง สี เสียง ของน้ำพุดนตรี (Musical Fountain&amp ; Water Screen) ที่สวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

คินคาจู…สัตว์เล็กๆที่น่ารัก.

ซึ่งก่อนที่จะไปชมน้ำพุดนตรี ใครที่อยากถ่ายรูปกับลูกสัตว์ ทางสวนสัตว์ไนท์ซาฟารี ก็มี Photo corner ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกับลูกสัตว์ที่เกิดใหม่ โดยเฉพาะสัตว์นักล่าอย่างลูกเสือโคร่งขาว, ลูกสิงโต, ลูกเสือโคร่งอินโดจีน โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด

และแล้วก็ถึงเวลาชมการแสดงน้ำพุดนตรี ที่ต้องบอกว่ายิ่งใหญ่อลังการสมกับที่รอคอย โดย เฉพาะน้ำพุที่พุ่งขึ้นสูงถึง 12 เมตร แผ่ขยายวงกว้างออกไปถึง 20 เมตร โดยเป็นเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมนี ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดสำหรับการท่องเที่ยวที่นี่

ลานสัตว์ป่าหิมพานต์..ทางเข้าไนท์ซาฟารี.

คืนนี้พวกเราเลือกที่จะพักในรีสอร์ตของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี เพื่อสัมผัสบรรยากาศของการนอนในสวนสัตว์จริงๆ ซึ่งบ้านพักที่นี่ก็สะดวกสบาย เป็นลักษณะของบ้านตากอากาศชั้นเดียว แต่ละหลังตกแต่งสไตล์ซาฟารี สวยงามแปลกตา ที่เห็นแล้วให้ความรู้สึกของการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจริงๆ

น่าเสียดายที่เรามีเวลาไม่มากสำหรับการพักผ่อนคราวนี้ เพราะต้องเดินทางต่อไปยังที่อื่นๆที่สวยงามของจังหวัดเชียงใหม่ต่อ เพื่อสัมผัสอากาศหนาวเย็นให้คุ้มค่า

ยีราฟ..ทักทายนักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด.

เสือจากัวร์..เสือที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก.

ตอนขับรถกลับออกมาเห็นทะเลสาบใหญ่ มีคนปั่นเรือจักรยาน ที่เรียกว่า Paddle Boat ยิ่งถ้าคนที่เป็นคู่รักด้วยแล้ว การได้ปั่นเรือจักรยานล่องไปตามสายน้ำ ที่มีทั้งฝูงหงส์ขาวและหงส์ดำ ดูแล้วโรแมนติกชะมัด

นี่ถ้าอากาศเย็นกว่านี้อีกนิด ฮัลสตัทท์ก็ฮัลสตัทท์เถอะ รับรองไม่ได้เงินเราแน่ เห็นแล้วก็อด ภูมิใจแทนคนเชียงใหม่ไม่ได้ ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวดีๆแบบนี้อยู่ใกล้บ้าน

ไม่ต้องนั่งเครื่องบินมาไกลจากกรุงเทพฯ ถึงกว่า 800 กิโลเมตร…กว่าจะได้สัมผัสบรรยากาศดีๆแบบนี้!

ย้อนอดีตวิถี..คนริมน้ำ “จันทบูร–ควนคราบุรี”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/582697

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 27 ก.พ. 2559 05:01

 

ทอดสายตาจุดชมวิว “เนินนางพญา”

ห้วงเวลาหนึ่ง ถ้าปล่อยให้มือและสมองได้หยุดพัก แล้วพากายและใจไปเสพและสัมผัสธรรมชาติ ชีวิตคงจะดีและมีสีสันไม่น้อย

และทริปนี้ จันทบุรี…หรือชื่อเดิมของเมืองว่า “ควนคราบุรี” คือจุดหมายปลายทางที่เราจะไปปักหมุดบันทึกความประทับใจกับการสัมผัสธรรมชาติ ที่มีการ์ตูนนิสต์ชื่อดัง อย่าง “น้าชัย” หรือ ชัย ราชวัตร เป็นหัวหน้าทัวร์กิตติมศักดิ์นำเที่ยว แค่เริ่มคิดก็สนุกซะแล้ว

จุดลั่นชัตเตอร์หน้าโบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล

รูปหล่อพระนางมารีอา ประดับพลอย 2 แสนเม็ด

รถตู้เคลื่อนพาหนีกรุง มุ่งไปทางด่วนมอเตอร์เวย์ เพียง 2 ชั่วโมงเศษ เราก็ได้ไปเช็กอินที่แรกกันที่ “ชุมชนริมน้ำจันทบูร” ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่อยู่ติดกับแม่น้ำจันทบุรี มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ที่กลุ่มชนชาวจีน ญวน และเวียดนาม อพยพมาตั้งถิ่นฐานริมแม่น้ำจันทบุรี ปัจจุบันยังมีวิถีชีวิตของย่านการค้าเก่าให้เห็นในฐานะเป็นศูนย์การค้าที่รุ่งเรืองมากในอดีต

ชาวบ้านดั้งเดิมยังคงอาศัยปักหลักใช้ชีวิตเรียบง่ายริมฝั่งแม่น้ำ เป็นเสน่ห์ที่ทำให้ที่นี่ยังคงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวคลาสสิก ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดหากมีโอกาสได้มาเยือนจันทบุรี ยังไม่ทันเริ่มเดินสำรวจ เสียงน้ำย่อยในท้องก็ร้องออกมาพร้อมๆกัน พวกเราเลยลงความเห็นว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ว่าแล้ว หัวหน้าทัวร์กิตติมศักดิ์ ของเรา ก็เดินนำไปยัง “ร้านเจ๊อี๊ด” ร้านก๋วยเตี๋ยวทะเลเลื่องชื่อของชุมชนริมน้ำจันทบูร ที่เปิดขายมานานหลายสิบปี

แซ่บสะกดใจกับ “ยำไก่หิมพานต์”

ทีเด็ดของร้านนี้ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ก็คือ “เมนูรวมเจ้าสมุทร” ก๋วยเตี๋ยวต้มยำใส่เครื่องทะเลแน่นๆ ทั้งกุ้ง กั้ง ปู ปลาหมึก รวมมาในชามเดียว ราดด้วยน้ำซุปต้มยำรสชาติจี๊ดจ๊าดสะเด็ดยาด ส่วนอีกเมนูที่เด็ดไม่แพ้กัน ได้แก่ “ข้าวหน้าทะเล” เสิร์ฟตามมาติดๆ ข้าวสวยร้อนๆ ใส่เนื้อกุ้ง ปู กั้ง พร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด ตักราดบนเนื้อทะเลชุ่มๆ บอกได้คำเดียวว่าฟิน

อิ่มหนำสำราญกันแล้วก็ได้เวลาเดินเล่น เลียบริมน้ำจันทบุรี ไปตามถนนสุขาภิบาล ความยาวราว 1 กิโลเมตร สองข้างทางขนาบด้วยบ้านไม้เก่าและตึกปูน สร้างผสมผสานตามแบบสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมไทย จีน ญวณ ฝรั่งเศส มีเอกลักษณ์พิเศษ สังเกตได้จากช่องลม ระเบียง ซุ้มประตู ที่มีลวดลายที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ ฝีมือการฉลุลายของช่างฝีมือจันทบุรี บางหลังมีการอนุรักษ์ให้สวยงาม บางหลังก็เสื่อมสลายผุพังไปตามสภาพ

เมนู “รวมเจ้าสมุทร” จานเด็ดร้าน “เจ๊อี๊ด”

และก็เหมือนตลาดเก่าริมน้ำทั่วๆไป ที่บ้านบางหลังเปิดหน้าร้านขายอาหารโบราณ ทั้งผัดไทยโบราณ ไอศกรีมจรวด ขนมไทย ร้านขายสมุนไพรจีน หรือแม้แต่ของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อ เลือกสรรตามความพอใจ อีกส่วนหนึ่ง คนรุ่นใหม่เข้าไปปรับแต่งบ้านเก่าให้เป็นร้านกาแฟ เค้กโฮมเมด ร้านนมสด ฯลฯ

ที่สะดุดตาเห็นจะเป็นบ้านหลังหนึ่ง มีเลขหน้าบ้านว่าเป็นบ้านเลขที่ 69 เป็นบ้านเก่าของขุนอนุสรสมบัติ ปัจจุบันจัดเป็นศูนย์เรียนรู้ชุมชน ริมน้ำจันทบุรี รวบรวมประวัติ ความเป็นมาของย่านเมืองเก่าจันทบุรี ถือเป็นอาคารอนุรักษ์หลังหนึ่งที่สมบูรณ์ที่สุดของชุมชนแห่งนี้ อีกด้านหนึ่งของบ้านเปิดเป็นโรงแรมที่พักให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสบรรยากาศเก่าอย่างเต็มอิ่ม

ให้อาหาร “เจ้ากระต่ายน้อย”

นอกจากเดินเล่นเพลินๆแล้ว ชุมชนริมน้ำเก่าแก่แห่งนี้ ยังมีจุดถ่ายรูปให้บรรดาชาวอินดี้ และฮิปสเตอร์ได้ลั่นชัตเตอร์กันเพียบ ทั้งมุมกำแพงอิฐเก่า ประตูไม้เก่า ที่มีความพยายามสร้างสรรค์งานศิลปะบนกำแพงบ้านให้คนต่างถิ่นได้โพสท่าถ่ายรูปเก๋ไก๋แบบไม่มีเบื่อหลังเดินจนสุดทาง เราเดินวกกลับมาทางเดิม ข้ามสะพานไม้เล็กๆ ที่เรียกว่าสะพานนิรมล เป็นสะพานข้ามแม่น้ำจันทบุรี ไปยัง อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล หรือ โบสถ์คาทอลิกจันทบุรี สถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่เก่าแก่ และงดงามที่สุดในประเทศไทย ภายในตกแต่งด้วยกระจกสีที่เรียกว่า “สเตนกลาส” เป็นภาพนักบุญ อาสนวิหารแห่งนี้ คริสต์ศาสนิกชนได้ร่วมกันสมทบทุนกว่า 10 ล้านบาท จัดสร้างรูปหล่อพระนางมารีอาประดิษฐาน ฝีมือช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ทำด้วยทองคำขาวน้ำหนัก 76 กก. สูง 1.20 เมตร ประดับด้วยพลอยที่นำมาจากทั่วโลก ผสมกับพลอยจันทบุรี โดยช่างต้องทำการฝังทีละเม็ดจนครบ 2 แสนเม็ด รวมทั้งสิ้น 2 หมื่นกะรัต ใช้เวลาสร้างนานถึง 7 เดือน จึงแล้วเสร็จ

ออกจากโบสถ์คริสต์ ไปต่อกันที่ “จุดชมวิวเนินนางพญา” ที่ว่ากันว่า ถ้าไม่มาที่นี่ ก็ไม่ถึงจันทบุรี และเมื่อมาถึงก็จริงอย่างคำคนลือ เพราะกวาดสายตามองไปรอบๆ ต้องยอมสยบให้กับวิวสวยๆ 360 องศา ที่เห็นทั้งถนนเฉลิมบูรพาชลทิตเลียบหาดโค้งตามภูเขา ท้องฟ้าสีคราม น้ำทะเลใสแจ๋ว แถมที่นี่ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของจันทบุรีด้วย

น้าชัยและพี่จ่อยในวันสบายๆ

หลังรับลมชมวิวกันหนำใจได้เวลาเดินทางต่อไปยัง อ.ท่าใหม่ เพื่อเสพธรรมชาติ ที่ “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ที่นอกจากจะได้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งอนุบาลสัตว์ทะเลแล้ว ระหว่างทางเดินศึกษาธรรมชาติของอ่าวคุ้งกระเบน ซึ่งเป็นป่าชายเลน ยังมีต้นไม้นานาพันธุ์ ที่ทำให้บรรยากาศรื่นรมย์ไม่น้อยเลยทีเดียว

สูดโอโซนศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน

เที่ยวแบบเสาะหาสรรสาระหลายก็ได้เวลาเข้าที่พัก คืนนี้น้าชัยนำเสนอ “แรบบิซ ฮิลล์ รีสอร์ท” ซึ่งเป็นรีสอร์ตบนเนินเขาส่วนตัว ตั้งอยู่ที่เขาวงกต อ.แก่งหางแมว ที่นี่มีจุดชมวิวที่เราสามารถมาชมแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ได้แบบอารมณ์ร่มๆในใจ เห็นนามสกุลเจ้าของรีสอร์ตแล้ว ก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นน้องสาวคนสุดท้องของน้าชัย ชื่อ “พี่จ่อย” อรุณี กตัญญุตานันท์ นั่นเองพี่จ่อยบอกว่า ทำรีสอร์ตแห่งนี้ เพราะต้องการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพักผ่อนแบบปล่อยอารมณ์ให้ผ่อนคลายไปกับธรรมชาติ

ห้องพักของเราคืนนี้ ชื่อว่า “สวีทตี้ บันนี่ พูลวิลล่า” เป็นพูลวิลล่าแบบ 2 ห้องนอน ตั้งอยู่บนเนินเขา มีจากุซซี่ส่วนตัวไว้แช่ผ่อนคลาย หรือถ้าใครไม่อยากแช่ตัวให้ผิวแห้ง ก็สามารถที่จะนอนบนฟูกนุ่มๆ ชมวิวแบบ 180 องศา ของอุทยานแห่งชาติเขาชะเมาได้

เดินทอดน่องที่ “ตลาดจันทบูร” เก่าแก่ แต่คลาสสิก

ห้องพักของที่นี่มีหลายแบบ สร้างลดหลั่นไปตามสภาพพื้นที่ที่เป็นเนินสูงต่ำ เน้นการดีไซน์แบบเรียบหรู นอกจากพักผ่อนแล้ว ที่นี่ยังมีห้องสำหรับคู่ฮันนีมูน และกิจกรรมหลากหลายทั้งขี่จักรยานเสือภูเขา ให้อาหารกระต่ายในฟาร์ม หรือจะอบสมุนไพรให้สดชื่นก็แล้วแต่ที่สบายใจกันเลย

แล้วก็ถึงเวลาอาหารค่ำ พี่จ่อยลำเลียงเมนูจานเด็ดออกมาให้ชิมไม่ขาดสาย ทั้ง ยำไก่หิมพานต์ ไก่ต้มกระวาน ผัดปลากะพงทอดยำสมุนไพร หมูชะมวง ยำหมูยอ พิซซ่า โฮมเมด ปิดท้ายด้วยของหวานรสเลิศอย่าง “อัฟโฟกาโต” ที่ใช้กาแฟเอสเพรสโซ่เข้มข้นราดใส่ไอศกรีมวานิลลา แถมแต่งลูกเล่นด้วยช็อกโกแลตแท่ง แบบว่า…มันเริ่ดมากจริงๆ

มุมสวีตเอกเขนกในพูลวิลล่า

ที่พักชิคๆ “แรบบิซ ฮิลล์ รีสอร์ท”

น่าเสียดายที่เวลาดีๆ มักจะอยู่กับเราไม่นาน หลังพักผ่อนสุขกาย อุ่นใจได้ไม่กี่ชั่วโมง ก็ต้องกลับสู่โหมดปกติของชีวิตมนุษย์เงินเดือน

แต่ไม่ว่าจะยังไง เสน่ห์ของจันทบุรีที่ได้มาเยือนคราวนี้ บอกได้เลยว่า ครั้งหน้าจะมาอีก…อดใจรอไม่นาน…!!!

เปิดโลก…เมลเบิร์น เมืองหลวงแห่งรัฐวิกตอเรีย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/579611

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 20 ก.พ. 2559 05:01

 

สวนพฤกษศาสตร์เมลเบิร์น

ขึ้นชื่อว่าการเรียนภาษาหรือซัมเมอร์ คอร์สในต่างประเทศแล้ว ออสเตรเลียน่าจะเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายของนักเรียนไทยจำนวนไม่น้อย ล่าสุด เฟอร์เธอร์ เอ็ดดูเคชั่น ร่วมกับ Brighton Secondary College แนะนำการศึกษาต่อและเรียนภาษาอังกฤษในเมืองเมลเบิร์น ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก โดย The Economist Intelligent Unit ติดต่อกันถึง 5 ปี

สถานีรถไฟเก่า ฟลินเดอร์ส

อุ่นเครื่องในเมลเบิร์นกันที่ สถานีรถไฟเก่า ฟลินเดอร์ส (Flinders Street Station) ที่คล้ายกับหัวลำโพงบ้านเรา คือเป็นจุดศูนย์กลางของเมือง แต่ก็มีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ เพราะเป็นสถานีรถไฟที่มีอายุยาวนานมากกว่า 150 ปี

ต้องบอกว่า เมลเบิร์นเป็นเมืองที่มีกลิ่นอายความเป็นยุโรปอยู่ค่อนข้างมาก แถมยังเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของออสเตรเลีย รองจากซิดนีย์ เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของรัฐวิกตอเรีย จึงมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะและประวัติศาสตร์อยู่ไม่น้อย เหมาะสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่จะได้ใช้โอกาสทั้งการเรียนภาษา หาความรู้รอบตัวและประสบการณ์ไปพร้อมๆกัน

ถนนในเมลเบิร์น..รถยนต์ รถราง จักรยานใช้ถนนเดียวกัน

อีกอย่างที่เป็นเสน่ห์ของเมลเบิร์น คือ การวางผังเมืองที่ช่วยให้ทุกการเดินทางท่องเที่ยวสะดวกสบาย เราซื้อบัตร myki card ราคา 6 เหรียญใช้สำหรับการเดินทางภายในเมลเบิร์น บัตรนี้เราสามารถใช้ขึ้นได้ทั้งรถไฟ รถราง และรถบัส เรียกว่าสะดวกมากๆ พอเงินใกล้หมดก็ใช้ระบบการเติมเงิน เหมือนเติมเงินในบัตรโทรศัพท์บ้านเรา

และอย่างที่เกริ่นไว้ในตอนแรก การวางผังเมืองที่ดี ทำให้ง่ายต่อการเดินทางโดยเฉพาะภายในเมือง ไม่ว่าจะอยู่ที่จุดไหนของเมืองก็สามารถที่จะเดินทางไปตามจุดต่างๆได้อย่างสะดวก ด้วยบริการคมนาคมที่ทั่วถึง อาจจะเรียกว่าทุกตารางนิ้วเลยก็ว่าได้ ขึ้นรถไฟ ต่อรถบัส นั่งรถรางชมเมือง ชีวิตดีๆ แบบนี้จะหาที่ไหนได้

กระท่อมกัปตันคุก ภายในสวนฟิตซ์รอย

เรานั่งรถรางไปลงที่ สวนฟิตซ์รอย (Fitzroy Gardens) ซึ่งเป็นสวน สาธารณะขนาดใหญ่ของเมือง ไฮไลต์ของสวนนี้ คือ กระท่อมกัปตันคุก (Cook’s Cottage) นักสำรวจชาวอังกฤษ ผู้ค้นพบทวีปออสเตรเลีย และขั้วโลกใต้ กระท่อมที่ว่านี้ ไม่ใช่ของดั้งเดิมแท้ๆ แต่ถูกย้ายมาจาก Yorkshire ในอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ.1934 และนำมาสร้างให้เหมือนของเดิมในวาระการเฉลิมฉลองนครเมลเบิร์นครบรอบ 100 ปี ภายในกระท่อมกัปตันคุกจัดแสดงเครื่องใช้ เครื่องแต่งกายสมัยอังกฤษ เข้ามาในดินแดนออสเตรเลียยุคแรกๆ น่าสนใจไม่น้อย

มหาวิหารเซนต์แพทริกส์

จากสวนฟิตซ์รอยไปไม่ไกล เป็นที่ตั้งของ ST. Patrick’s Cathedral หรือมหาวิหารประจำเมือง ที่มีความสวยงาม ยิ่งใหญ่ ไม่ต่างกับมหาวิหารสวยๆในยุโรป ด้านในมหาวิหารโอ่อ่า ประดับด้วยกระจกสีงดงามมาก ถือเป็นมหาวิหารที่เก่าแก่ เพราะสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1858 เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ตามแบบฉบับของนิกายโรมันคาทอลิก ถามคนเมลเบิร์นได้ความว่า ยังมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนานับตั้งแต่เริ่มสร้างมหาวิหารมาจนถึงปัจจุบันนานกว่า 150 ปี

ตกค่ำได้เวลารื่นรมย์กับสีสันยามค่ำคืนของเมลเบิร์น เพื่อนฝรั่งที่ถูกส่งมาดูแลพวกเราแนะนำให้ไปที่ถนน Brunswick Street ซึ่งเป็นย่านบันเทิงอีกย่านหนึ่งของชาวเมลเบิร์น มีร้านอาหาร บาร์ไวน์ ร้านเหล้า น่ารักๆอยู่หลายร้าน จิบไวน์ ออสซี่แกล้มกับแกะย่างรสเลิศที่แทบไม่ต้องปรุงหรือใส่ซอสใดๆเพิ่ม ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอีกที เลยเที่ยงคืนไปหลายนาทีแล้ว

อาคารอนุสรณ์ ทหารผ่านศึก

วันรุ่งขึ้น เรามีโปรแกรมไปเที่ยว พิพิธภัณฑ์เมลเบิร์น (Melbourne Museum) ซึ่งเป็นที่รวบรวมวิวัฒนาการต่างๆของเมลเบิร์นและรัฐวิกตอเรีย ตัวพิพิธภัณฑ์เป็นอาคารสูง 6 ชั้น ด้านตะวันออกของตัวอาคารเป็นที่รวบรวมศิลปวัฒนธรรมของชาวออสเตรเลีย ส่วนด้านตะวันตกเป็นผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, สิ่งแวดล้อมและพัฒนาการของมนุษย์ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

อีกมุมหนึ่งของพิพิธภัณฑ์เป็น พิพิธภัณฑ์ป่าไม้จำลอง ซึ่งประกอบด้วยพันธุ์ไม้กว่า 8,000 ชนิดในรัฐวิกตอเรีย การแสดงศิลปะและวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองของรัฐวิกตอเรีย ที่ทำให้เราได้เรียนรู้อดีตของเมืองหลวงเก่าแห่งนี้อย่างละเอียดครบถ้วน

ภายในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ..เมลเบิร์น อควาเรียม

ต่อจากพิพิธภัณฑ์เมลเบิร์น ได้เวลาอาหารกลางวัน เจ้าภาพแนะนำร้านอาหารย่านถนนลียอง หรือ Lygon Street ที่มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “ลิตเติ้ลอิตาลี” เพราะเป็นย่านที่ชาวอิตาเลียนอพยพกันมาตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลก ถนนสายเล็กๆ แต่มีทั้งร้านกาแฟ ร้านอาหาร ห้องเสื้อแฟชั่น และร้านขายสินค้าเล็กๆน้อยๆ น่าเดินดีเหมือนกัน แต่เพราะช่วงบ่ายเราต้องไปต่อกันที่ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ (Melbourne Aquarium) ที่ต้องบอกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่มากๆอีกแห่งหนึ่ง ภายในพิพิธภัณฑ์ทำเป็นอุโมงค์โค้งแก้วใส ที่สามารถเดินลอดอุโมงค์ไปได้ และระหว่างทางก็จะได้ชื่นชมกับความงดงามของโลกใต้ทะเลและเหล่าสัตว์น้ำนานาชนิดทั้งปลาฉลาม ปลากระเบน รวมถึง Seadragon ที่ไม่แน่ใจว่าภาษาไทยจะเรียกว่าอะไร เป็นสัตว์น้ำที่มีให้ชมเฉพาะในออสเตรเลีย เท่านั้น

ตึกวิกตอเรียน อาร์ต เซ็นเตอร์

ออกจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ รถแล่นผ่านตึกสูงรูปร่างคล้ายหอไอเฟล มันคือ Victorian Arts Centre เป็นสถานที่สำหรับการแสดงศิลปะทุกแขนงจากทั่วโลก เช่น ละครเวที บัลเล่ต์ คอนเสิร์ต คล้ายๆกับโอเปร่าเฮาส์ในซิดนีย์ ไปอีกไม่ไกลมากเป็นอาคารคล้ายๆ อาคารโบราณ เรียกว่า Shrine of Remembrance หรืออาคารอนุสรณ์สถานทหารผ่านศึก ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงทหารชาวออสเตรเลียที่สละชีพเพื่อชาติในสงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามมลายู สงครามเวียดนาม และสงครามอื่นๆ รูปร่างของอาคารคล้ายกับมอโซเลียมแห่งฮาลิคาร์นาสซุส ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณ

สวนพฤกษศาสตร์เมลเบิร์น

ปิดท้ายกันที่ Royal Botanic Gardens Melbourne ซึ่งถือว่าเป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง พอๆกับสวนคิวการ์เด้นในอังกฤษ เมืองไทยเราไม่ค่อยมีสวนสวยๆ แบบนี้มากนัก เห็นแล้วเลยอดตื่นเต้นไม่ได้

ไบรท์ตัน คอลเลจ โรงเรียนชั้นนำในเมลเบิร์น

แต่ด้วยเวลาอันน้อยนิดแค่ไม่กี่วัน ทำให้ยังไม่ได้สัมผัสเมลเบิร์นอย่างเต็มที่ นี่ถ้าย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กได้ จะสมัครมาเรียนซัมเมอร์ คอร์ส ที่นี่สักครั้ง เหมือนที่เด็กไทยหลายคนมีโอกาสมาเรียน ซึ่งถ้าใครสนใจเรียนภาษาหรือคอร์สต่างๆ ในเมลเบิร์น ลองเข้าไปหาข้อมูลกันได้ที่ www.FurtherEducation.co.th หรือที่อีเมล info@furthereducation.co.th เผื่อจะได้สัมผัสเมลเบิร์นในมุมที่หลากหลาย ที่อาจทำให้คุณหลงรักเมืองแห่งศิลปะและวัฒนธรรมแห่งนี้จนถอนตัวไม่ขึ้นเลยละ…..!!!!!!

แช่ตัว..เสริมพลัง-เสริมบารมี ที่…”สะดือมังกร”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/576464

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 13 ก.พ. 2559 05:01

 

จุดสะดือมังกรที่หาดเตยงาม..

ตรุษจีนที่ผ่านมา “พี่หน่อย” สุลัดดา ศรุติลาวัณย์ ผอ.สำนักงานการท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย สำนักงานพัทยา และ “พี่อู๋” เอิบลาภ ศรีภิรมย์ ผอ.กองการตลาดภาคตะวันออก ททท. ชวนไปฉลองเทศกาลปีใหม่ของชาวจีนที่เมืองพัทยา โดยมีไฮไลต์สำคัญอยู่ที่หาดเตยงาม อ่าวนาวิกโยธิน สัตหีบ…

สุลัดดา ศรุติลาวัณย์ ผอ.สำนักงาน ททท.พัทยา นำทีมแช่ตัวที่สะดือมังกร.

ไฮไลต์ที่ว่าก็คือ การแช่ตัวในน้ำทะเลบริเวณจุดที่เรียกว่า “สะดือมังกร” ซึ่งถือว่าเป็นการเสริมดวง เสริมบารมี และหากใครมีเคราะห์ก็ถือเป็นการสะเดาะเคราะห์ไปในตัวด้วย

เราไปถึงหาดเตยงามภายในหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน สัตหีบ ราว 10 โมงเช้า ถือเป็นฤกษ์งามยามดี ผู้บริหารกิจการการท่องเที่ยว หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ให้การต้อนรับพร้อมมอบหมายให้ พ.จ.ท.นิกรณ์ พูลปาน หรือ พี่เป้ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ กิจการการท่องเที่ยว หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายและแนะนำสถานที่ให้พวกเราได้รู้จักและเข้าใจ รวมถึงปฏิบัติตามพิธีกรรมได้อย่างถูกต้อง

สุดยอดข้าวหลามช็อต..แม่นิยม.

รถรางคันใหม่ล่าสุดของฝ่ายกิจการการท่องเที่ยวพาเราเลียบทะเลหาดเตยงาม ไปจนถึงจุดที่ลงแช่ตัวที่เรียกว่า “สะดือมังกร” บริเวณทางแยกบ้าน น.14 หน้าสโมสรประดู่คู่

พี่เป้ อธิบายถึงความสำคัญของ สะดือมังกร ว่า เป็นจุดที่มีฮวงจุ้ยดี มีลักษณะคล้ายรูปมังกรหมอบ หัวอยู่ทางด้านแหลมปู่เจ้า หางอยู่ทางด้านเขาสูง ลักษณะที่เรียกว่าหน้ามีน้ำ หลังพิงเขา ตรงบริเวณกลางอ่าวมีกระแสน้ำวนคล้ายสะดือมังกร มีความเชื่อว่าเมื่อได้อาบหรือแช่ตัวในอ่าวนี้แล้วจะมีพลังพิเศษ และเป็นสิริมงคลทำให้มีความเจริญก้าวหน้าในทุกๆด้าน หายจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

แม่นิยมวัย 84 ปี.

ส่วนอีกตำนานหนึ่ง บอกว่า สมัยหนึ่งเคยมีเรือสำเภาจีนเข้ามาในบริเวณอ่าวเตยงาม และเห็นว่าเป็นสถานที่ที่มีภูมิสถาปัตย์ที่ดีมาก เพราะมีภูเขาล้อมรอบ มีเขาสูงอยู่ด้านหลัง และยังมีปรากฏการณ์กระแสน้ำวน เป็นคลื่นลูกใหญ่ คล้ายสะดือมังกร ซึ่งลักษณะเช่นนี้ถือเป็นพื้นที่ที่มีพลังธรรมชาติสูง หากใครมีความเชื่อความศรัทธา ได้อาบหรือแช่ตัวภายในน้ำทะเลบริเวณนี้ จะสามารถเพิ่มพลังธรรมชาติ เป็นการเสริมบารมีทุกๆด้าน และสามารถปกปักรักษาตัวให้แคล้วคลาดจากภยันตราย

ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อและศรัทธาของคนที่ไปทำพิธีนี้ ซึ่งในการทำพิธีก็จะมีขั้นตอนที่จะเริ่มตั้งแต่การจุดธูป 9 ดอก และเทียน 1 เล่ม พร้อมดอกไม้ ไหว้เจ้าที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยหันหน้าไปทางภูเขาที่เป็นที่ตั้งของศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ถือว่าเป็นหัวของมังกร ทำการสักการะกรมหลวงฯ พระบิดาของทหารเรือไทย จากนั้นให้ทำจิตใจให้สงบและเดินลงสู่ทะเล โดยแช่ตัวในทะเลระดับอก ตั้งจิตอธิษฐานให้สิ่งไม่ดีไหลไปกับทะเล จากนั้นหันหน้าไปทางทิศเหนือ หรือทิศตะวันออก อธิษฐานขอสิ่งที่ต้องการ ประมาณ 10-15 นาที แล้วนำน้ำทะเล ขึ้นมาลูบที่ศีรษะ ใบหน้า แล้วเดินขึ้นจากทะเลโดยไม่ต้องหันหลังกลับไปมองอีก

ปราสาทสัจธรรม.

เคล็ดความเชื่ออีกอย่างสำหรับการแช่ตัวที่สะดือมังกร ก็คือ เมื่อกลับขึ้นมาแล้วให้นำเสื้อผ้าชุดที่ลงแช่ตัวบริจาคเป็นทาน ไม่ต้องเก็บกลับมาใช้อีก…เป็นอันเสร็จพิธี

ชาวจีนตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งนิยมมาแช่ตัวที่สะดือมังกร ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 9 และวันตรุษจีนเป็นประจำ ส่วนคนทั่วไปมักมาแช่ตัวในวันพระขึ้น 15 ค่ำ หรือวันพระใหญ่ เช่น มาฆบูชา หรือวิสาขบูชา ฯลฯ

พรหม 4 หน้ากับช้าง 3 เศียร ที่ปราสาทสัจธรรม.

หลังรับพลัง เสริมบารมีจนเต็มอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาเที่ยววิถีไทยตามคอนเซปต์ของ ททท.ในปีนี้ กันต่อ ที่ ปราสาทสัจธรรม ปราสาทไม้หลังใหญ่ ที่แหลมราชเวช อ่าววงพระจันทร์ ซึ่งใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 35 ปี ก็ยังไม่แล้วเสร็จ โดยปราสาทแห่งนี้สร้างด้วยไม้แกะสลักทั้งหลังเป็นทรงไทยจัตุรมุข ใช้การตกแต่งด้วยศิลปะสมัยใหม่ที่ผสมผสานตั้งแต่อยุธยาตอนต้นมาจนถึงรัตนโกสินทร์

ไม้ที่นำมาสร้างปราสาทส่วนใหญ่เป็นไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้แดง ไม้ตะเคียน ไม้พันซาด ไม้เคี่ยมคะนอง และไม้สักทอง ที่สามารถรองรับน้ำหนักได้เป็นพันตัน

แซลมอนจี๊ดจ๊าด…ที่ร้านภูแอทเลิฟ.

ที่เข้มขลังมากๆ เห็นจะเป็น เสาเอก ของปราสาท ที่ทำจากไม้ตะเคียนทองอายุมากกว่า 600 ปี ส่วนที่เป็นความพิเศษอีกอย่างของการออกแบบและก่อสร้างปราสาทแห่งนี้ ก็คือ การไม่ใช้ตะปูหรือนอตแม้แต่ตัวเดียวในการสร้าง แต่จะใช้การเข้าไม้แบบโบราณ เช่น การตอกสลัก เข้าลิ่ม เข้าหางเหยี่ยว ที่เป็นภูมิปัญญาการยึดต่อไม้แบบโบราณ

ความหมายของการสร้างปราสาทแห่งนี้ เป็นไปตามชื่อของปราสาท คือ “สัจธรรม” ที่ผู้สร้างต้องการสะท้อนให้เห็นถึงความจริงของชีวิต ตั้งแต่การเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง ไปจนถึงวันหลุดพ้น การเวียนว่ายตายเกิด และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติโดยไม่แบ่งแยกชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ ส่วนหนึ่งของความหมายในแต่ละส่วนของปราสาทมาจากความเชื่อในศาสนาฮินดูด้วย

บรรยากาศร้ายภูแอทเลิฟ.

ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ เหนือมุขของปราสาทด้านทิศเหนือ จำหลักเป็นรูปพรหมพักตร์ขนาดใหญ่ หรือพรหม 4 หน้า ซึ่งมีความหมายถึงการมีพรหมวิหาร 4 ในการดำรงชีวิตนั่นเอง

ออกจากปราสาทสัจธรรมแวะกินอาหารเย็นกันที่ร้านปลาทอง แล้วไปต่อที่งานตรุษจีนพัทยา จัดได้ยิ่งใหญ่ แต่เสียดายคนน้อยไปนิด เลยทำให้ดูเหงาๆไปบ้าง

ต้มยำกุ้งในมะพร้าวอ่อน

ขากลับ ขับรถแบบชิลๆ เรื่อยมาตามถนนสุขุมวิท แวะซื้อ ข้าวหลามช็อต ร้านแม่นิยม ซอยตรงข้ามวัดตาลล้อม ใกล้ตลาดหนองมน ข้าวหลามรสเลิศ ไม่หวานมาก เพราะเจ้าของ คุณยายนิยม ที่วันนี้อายุ 84 ปีแล้ว บอกว่า อยู่ที่การปรุงรสที่แตกต่างจากร้านอื่น รวมถึงเผาด้วยฟืนไม่ใช้แก๊สทำให้มีความหอม อร่อย จนได้รับรางวัลที่ 1 ของการประกวดข้าวหลามอยู่หลายปี

แวะกินกลางวันที่ ร้านภูแอทเลิฟ ถนนข้าวหลามตัดใหม่ ที่ต้องบอกว่าร้านน่ารักสมชื่อมีมุมถ่ายรูปเก๋ๆหลายมุม แถมอาหารรสเด็ดอย่าง กุ้งอบชีส แซลมอนจี๊ดจ๊าด และ ต้มยำกุ้งมะพร้าวอ่อน ใครไปชลบุรีไม่ได้กินร้านนี้ถือว่าตกเทรนด์

2 วันกับการขับรถสู่เมืองตะวันออกที่ไม่ไกลกรุงเทพฯ ได้เติมเต็มความสุขให้ชีวิต แบบนี้..ไม่ใช่แค่ slow life แต่เป็นการชาร์จแบตให้กลับมาสู้กับความจอแจ วุ่นวายในเมืองหลวงได้เยอะทีเดียว.

พิพิธภัณฑ์รำลึก “โตโยต้า” ความมุ่งมั่น…แห่งยนตรกรรมสายพันธุ์ปลาดิบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/573168

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 6 ก.พ. 2559 05:01

 

โตโยต้า เซลิก้า…สปอร์ตพันธ์ุแท้รุ่นแรกของโตโยต้า

โตโยต้า…เชื่อว่าเมื่อพูดชื่อนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก อย่างน้อยมากกว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเราต่างต้องเคยนั่ง หรือขับรถยนต์ ยี่ห้อนี้กันมาบ้าง และวันนี้เราจะพาไปเที่ยว Toyota Commemorative Museum of Industry and Technology หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกชื่อสั้นๆว่า Toyota Techno Museum

การประกอบรถยนต์…

ในญี่ปุ่นมีพิพิธภัณฑ์โตโยต้าอยู่ 3 แห่ง คือ Toyota Automobile Museum หรือพิพิธภัณฑ์รถยนต์ ซึ่งจัดแสดงรถโมเดลหายากทั้งฝั่งยุโรปและเอเชียตั้งแต่ยุค 1800-1960, Plant Tour and Toyota Kaikan Museum หรือหอศิลป์โตโยต้า เป็นสถานที่จัดแสดงนวัตกรรมรถยนต์รุ่นใหม่ๆ และโรงงานผลิตรถยนต์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ แต่ต้องจองล่วงหน้า และ Toyota Commemorative Museum of Industry and Technology หรือพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นอนุสรณ์และความภาคภูมิใจของโตโยต้า โดยใช้พื้นที่ซึ่งเป็นโรงงานเก่าที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของโตโยต้ากรุ๊ป จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ เพื่อถ่ายทอดวิธีการผลิตและจิตวิญญาณของความมุ่งมั่น ผ่านประวัติศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของโตโยต้ามานับเป็นเวลามากกว่า 90 ปี

หุ่นจำลองแสดงการขึ้นรูปรถยนต์โตโยต้ายุคแรก

โตโยต้า เทค– โน มิวเซียม ตามชื่อเรียกของคนญี่ปุ่นแห่งนี้ ตั้งอยู่ในเมืองนาโกยา การเดินทางไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ต้องบอกว่าไม่ยากเลย แค่นั่งรถไฟของบริษัท Mietetsu จากสถานีนาโกยา ไปลงที่สถานีซาโก (Sako) แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะถึงตัวพิพิธภัณฑ์ รูปร่างหน้าตาเป็นตึกอิฐแดงโบราณ ซึ่งเป็นอาคารเก่าแก่สมัยที่โตโยต้ายังไม่ได้เริ่มทำธุรกิจรถยนต์เหมือนทุกวันนี้

รถยนต์ A1…คันแรกของโตโยต้า

รถยนต์รุ่น AA

มีคำถามว่า แล้วก่อนที่จะมาผลิตรถยนต์ โตโยต้าทำอะไรมาก่อน คำตอบอยู่ที่ห้องโถงห้องแรกของพิพิธภัณฑ์ ที่จัดแสดง กี่ทอผ้าแบบวงกลมขนาดใหญ่ หรือเรียกอีกอย่างว่าเครื่องทอผ้าแบบหมุนเวียน ซึ่งถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของโตโยต้า เนื่องจากกี่ทอผ้าเครื่องนี้ คิดค้นและออกแบบโดย ซากิชิ โตโยดะ บิดาของ คีชิโร โตโยดะ ผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์โตโยต้า ในปี ค.ศ.1906 ถือเป็นกี่ทอผ้ารุ่นแรกที่สามารถ ทอผ้าในลักษณะสามมิติทำให้ได้ผ้าผืนใหญ่ขึ้นโดยใช้เวลาทอเพียงไม่นาน

หุ่นยนต์ทำหน้าที่รีดเหล็กเพื่อขึ้นรูปประกอบรถยนต์

นอกจากนี้ กี่ทอผ้าเครื่องนี้ ยังมีความหมายเชิงปรัชญาว่าเป็นเสมือน “จิตวิญญาณแห่งการค้นคว้าและความคิดสร้างสรรค์” อันเป็นจุดเริ่มต้นของโตโยต้า

ด้านหลังกี่ทอผ้ายักษ์เป็นประตูทางเข้าพิพิธภัณฑ์ โดยโซนแรกเป็นการแสดงวิวัฒนาการของการทอผ้า ปั่นด้าย เริ่มตั้งแต่เครื่องปั่นด้ายด้วยมือนำเข้าจากเมืองจีน พร้อมกับเกษตรกรรมการปลูกฝ้าย โซนนี้มีสาวญี่ปุ่นหน้าตาจิ้มลิ้มคอยสาธิตวิธีการปั่นด้ายโดยใช้อุปกรณ์ทำมือเหมือนในยุคก่อน จากนั้นก็เริ่มสาธิตการปั่นด้ายสไตล์โตโยต้า ด้วยเครื่องทอผ้ามือเดียวที่ใช้งานได้ง่าย ผลิตโดย ซากิชิ โตโยดะ ว่ากันว่าเครื่องทอผ้ารุ่นนี้เป็นเครื่องแรกที่ได้รับการจดสิทธิบัตรในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก

การทดลองผลิตรถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าครั้งแรกของโตโยต้า

ซากิชิได้คิดค้นอุปกรณ์ทอผ้ามากมาย สิ่งประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือเครื่องทอไฟฟ้าอัตโนมัติซึ่งเขานำมาจากหลักการ จิโดกะ คือ เครื่องจะหยุดตัวเองเมื่อเกิดปัญหาขึ้น…ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบการผลิตของโตโยต้า

ในโซนที่แสดงถึงอุตสาหกรรมทอผ้านี้ ได้จัดแสดงจุดเริ่มต้นในธุรกิจของโตโยต้าไว้อย่างละเอียด ไปจนถึงเครื่องทอผ้าอัตโนมัติรุ่น G ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังเครื่องปั่นด้ายด้วยมือถึง 34 ปี โดย ซากิชิ ได้คิดค้นเครื่องทอผ้าอัตโนมัติโตโยดะ ที่เปลี่ยนกระสวยได้โดยไม่ต้องหยุดเดินเครื่อง

กี่ทอผ้าเครื่องแรกในห้องโถงของพิพิธภัณฑ์

จบจากโซนทอผ้า ก็จะเป็นโซนวิวัฒนาการอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ หรือที่เรียกว่า Automotive pavilion เรื่องราวในโซนนี้ แสดงให้เห็นวิวัฒนาการของการผลิตรถยนต์โตโยต้าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

เริ่มตั้งแต่การตีโป่งขึ้นรูปโลหะแผ่นให้เป็นโครงของรถ การเคาะ ดัด ตัด กลึง หล่อ เพื่อให้เป็นโครงรถยนต์ที่มีความสวยงาม และออกมาเป็นรถยนต์สุดคลาสสิก ขนาดสี่ที่นั่งคันแรก รุ่น A1 ในปี ค.ศ.1936 หรือที่ต่อมามีการผลิตเพื่อจำหน่ายเต็มรูปแบบโดยใช้ชื่อว่า โตโยต้า AA ทำให้โตโยต้าสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดรถยนต์จากฟอร์ดที่เป็นรถยนต์นำเข้ารุ่นเดียวในสมัยนั้นได้

พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 ที่วัดนิตไทจิ

ต่อไปก็เป็นโซนการผลิตรถยนต์รุ่นต่างๆของโตโยต้าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้ง Corolla รุ่นแรก, Celica รุ่นแรก, Corona รุ่นแรก Camry และ Prius ไปจนถึงรถยนต์ประหยัดพลังงานแห่งอนาคตที่ใช้กระแสไฟฟ้าแทนน้ำมันเชื้อเพลิง

ซึ่งก่อนจะถึงโซนจัดแสดงวิวัฒนาการของรถยนต์รุ่นต่างๆมีการจัดแสดงสมรรถนะของชิ้นส่วนรถยนต์แต่ละชิ้น ทั้งเกียร์ เพลา เสื้อสูบ เครื่องยนต์ โช้กอัพ ฯลฯ เรียกว่าเปลือยให้เห็นความแข็งแรง คงทนของชิ้นส่วนแต่ละชิ้นเพื่อสร้างความมั่นใจในความเป็นโตโยต้าอย่างชัดเจน

หุ่นยนต์ดนตรี…

ที่น่าสนใจคือ เครื่องประกอบขึ้นรูปรถยนต์ซึ่งเป็นระบบอัตโนมัติ มีการสาธิตให้เห็นการประกอบชิ้นส่วนแต่ละชิ้นกว่าจะเป็นรถยนต์คันหรูว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง ตรงจุดนี้ดูเหมือนจะเป็นที่สนใจของเด็กที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์มากกว่าจุดอื่นๆ เพราะทั้งสนุกและเพลิดเพลิน

บรรยากาศภายในโบสถ์วัดนิตไทจิ

ก่อนออกจากพิพิธภัณฑ์ ตรงประตูทางออก หุ่นยนต์โตโยต้า 2 ตัว บรรเลงดนตรีส่งทั้งสีไวโอลิน และเป่าทรัมเป็ต ดูน่ารักไปอีกแบบ สำหรับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คิดค่าเข้าชม 500 เยน หรือประมาณ 100 กว่าบาท ถือว่าถูกมาก แถมเด็กเล็กและคนแก่อายุเกิน 65 ปี ให้เข้าชมฟรี เห็นแล้วอิจฉาคนญี่ปุ่นจริงๆจากพิพิธภัณฑ์โตโยต้า เราแวะไปเที่ยว วัดนิตไตจิ หรือ นิตไทจิ (Nittaiji) ซึ่งถือเป็นวัดแห่งความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ชื่อเต็มๆของวัดนี้ คือ คาคูโอ-ซาน นิตไตจิ เป็นวัดแรกที่เป็นศูนย์รวมของทุกนิกายในญี่ปุ่น และเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุบางส่วนที่ประดิษฐานอยู่ที่ภูเขาทอง วัดสระเกศ มาไว้ที่นี่ โดยเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานด้วยพระองค์เอง ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และได้พระราชทานพระพุทธรูปสัมฤทธิ์อายุกว่าหนึ่งพันปีให้ด้วย

วัดนิตไทจิ

วัดนิตไทจิ เป็นวัดศิลปะสไตล์ญี่ปุ่น แต่ภายในอาคารตกแต่งสไตล์ไทยๆ มีบรรยากาศที่สงบเงียบ มีการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้ในบริเวณวัดด้วย ซึ่งถ้ามีโอกาสไปเที่ยวนาโกยา ควรหาเวลาไปเที่ยววัดนิตไทจิ เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นใกล้ชิดระหว่างไทยกับญี่ปุ่นรวมถึงความศรัทธาในฐานะชาวพุทธที่ไม่แตกต่างกัน

ฝาท่อน่ารักๆที่เมืองนาโกยา

สำหรับนาโกยา มีเที่ยวบินของสายการบินไทย (TG) บินตรงเครื่องออกประมาณเที่ยงคืน ไปถึงนาโกยาเช้าเที่ยวต่อได้ทันที ใครที่เบื่อโตเกียว โอซากา จะลองหันมาเที่ยวญี่ปุ่นแถบโชริวโด นาโกยาแทนก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว….

เที่ยว 1 วัน มหัศจรรย์เมือง…ตามพรลิงค์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/569904

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 30 ม.ค. 2559 05:01

 

นิทรรศการจำลองแสดงเมืองตามพรลิงค์ในอดีต

มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวเมืองนครศรีธรรมราชคราวนี้ บอกตามตรงว่า “ใจหาย” เพราะแม้จะได้รับการโปรโมตให้เป็นอีกเมืองต้องห้ามพลาด แต่ก็เชื่อว่ามีหลายคนที่มองข้ามผ่านเมืองแห่งความงดงามและมีเสน่ห์แห่งนี้ไปอย่างน่าเสียดาย

สายการบินนกแอร์มีเครื่องออกเดินทางไปนครศรีธรรมราชตั้งแต่เช้าตรู่ ไปถึงเมืองนครฯราว 8 โมงเช้า ได้เวลาหาของอร่อยๆ รองท้องกันก่อน และที่ถือว่าเป็นร้านอาหารเช้าชื่อดังของเมืองนี้ แน่นอนต้องร้านนี้เลย “โกปี๊” ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นร้านกาแฟ แต่ก็มีอาหารขึ้นชื่ออีกหลายอย่างที่เห็นแล้วอดใจแทบไม่ไหว

หุ่นจำลองแสดงการค้าขายกับต่างชาติของตามพรลิงค์

สินค้านำเข้าที่สำคัญในพุทธศตวรรษที่ 18

จิบกาแฟขมรสเข้ม กับข้าวเหนียวหลากหลายหน้า เข้าตำรากาแฟขมต้องกินกับขนมหวาน ได้อารมณ์ฟินสุดๆ อย่างน้อยก็สลัดความง่วงที่ติดค้างมาตั้งแต่บนเครื่องให้หายวับไปได้ เปลี่ยนเป็นอาการตาสว่างขึ้นมาแทน แถมจิบกาแฟไป นั่งมองบรรยากาศเก่าๆ ของร้านเก่าแก่ที่อายุอานามมากกว่า 70 ปี ชวนให้คิดถึงหนังสือที่เคยอ่านเป็นหนังสือนอกเวลาตอนเด็กๆ อย่าง “อยู่กับก๋ง” ชะมัด ก็บรรยากาศมันเป็นแบบนั้นจริงๆ

นอกจากกาแฟ แล้ว ร้านนี้ยังมีอาหารอร่อยอีกหลายอย่างทั้งหมั่นโถว บักกุ๊ดเต๋ แต่ที่เลือกสั่งคราวนี้เป็นข้าวขาหมู หน้าตาดูดีทีเดียว…

อิ่มแปล้!!แล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางต่อไปยังพิพิธภัณฑ์เมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเคยได้ยินมาว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมืองนครศรีธรรมราชไว้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ต้องแปลกใจเล็กๆ ที่เมื่อไปถึง พิพิธภัณฑ์กลับดูวังเวง เงียบเหงา แทบไม่มีคน ไม่ต่างอะไรกับพิพิธภัณฑ์หลายแห่งที่ทำได้อย่างมีคุณภาพ แต่มีคนให้ความสนใจน้อยกว่าการเปิดห้างสรรพสินค้าใหม่ๆ

พิพิธภัณฑ์เมืองนครศรีธรรมราช

ชั้นล่างของ พิพิธภัณฑ์เมืองนครศรีธรรมราช มีตัวหนังตะลุง ซึ่งถือว่าเป็นมหรสพที่เป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมของภาคใต้ที่ยังคงสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน

เมื่อเดินเข้าไปห้องด้านในของพิพิธภัณฑ์ จะเป็นการแสดงประวัติศาสตร์ของเมืองนครฯ ตั้งแต่สมัย พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ที่ยังเป็นอาณาจักรตามพรลิงค์ เรื่อยมาจนถึงสมัยของ พระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมราช และเรื่องราวของการเป็นศูนย์กลางเผยแผ่พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ไปยังอาณาจักรสุโขทัยและดินแดนทั่วแหลมมลายู กระทั่งตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรฟูนันและอาณาจักรศรีวิชัย และต่อมาได้รวมกับอาณาจักรสุโขทัยและอาณาจักรอยุธยา

พระพุทธรูปเก่าแก่ในวิหาร…วัดพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช

ที่น่าสนใจคือ วงกลม 12 นักษัตร ซึ่งใช้เป็นตัวแทนของอาณาจักรตามพรลิงค์ 12 เมือง และสัตว์ประจำแต่ละปีนักษัตรก็ถูกกำหนดให้เป็นตราประจำเมืองของแต่ละเมืองด้วย เช่น ม้า เป็นตราประจำเมืองตรัง แพะ เป็นตราประจำเมืองชุมพร หรือไก่ เป็นตราประจำเมืองสงขลา เป็นต้น

เมื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองคร่าวๆแล้ว ขึ้นบันไดไปชั้นบนของอาคารพิพิธภัณฑ์ส่วนหน้า จะเป็นการแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาโดยเฉพาะการสร้างวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จากนั้นเป็นเรื่องของนิทรรศการการค้าขายในสมัยก่อนและการติดต่อกับชาวต่างชาติของเมืองตามพรลิงค์ มีการฉายวีดิทัศน์โดยจำลองเรือสมุทรโบราณเป็นที่นั่งชม ระหว่างชมวีดิทัศน์ก็จะมีน้ำและทำให้เรือโยกโคลงเหมือนกำลังล่องเรือไปยังเมืองท่าค้าขายทางทะเลที่สำคัญของอาณาจักรตามพรลิงค์ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-19

หุ่นแสดงชาวต่างชาติที่มีทั้งแขก ฝรั่ง จีน

เรียกว่าทำได้ดีทีเดียว เสียดายที่คนไปชมน้อยมาก ก็คงต้องขอแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะไปเที่ยวเมืองนครศรีธรรมราช ก่อนจะไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ลองแวะมาที่พิพิธภัณฑ์เมือง เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองนครฯเสียก่อน รับรองว่าการท่องเที่ยวของคุณจะต้องสนุกแน่

จากพิพิธภัณฑ์เมือง เราไปต่อกันที่ วัด พระมหาธาตุวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระบรมธาตุเจดีย์เมืองนครศรีธรรมราชที่ศักดิ์สิทธิ์มากๆ

คนนครฯเรียกวัดพระมหาธาตุแห่งนี้ว่า วัดพระธาตุ ถือเป็นโบราณสถานสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีพระบรมธาตุเจดีย์ ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า กรมศิลปากรได้จดทะเบียนวัดพระมหาธาตุฯ เป็นโบราณสถาน นับเป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้

ขาหมูรสเลิศร้านโกปี๊

ขนมจีนร้านบ้านขนมจีนเมืองคอน

พิธีปฏิบัติอย่างหนึ่งของที่นี่ ซึ่งเราได้เห็นการจำลองพิธีดังกล่าวมาแล้วจากพิพิธภัณฑ์เมืองนครศรีธรรมราช นั่นก็คือ “พิธีนำผ้าขึ้นพระธาตุ” ซึ่งเชื่อกันว่า หากใครได้นำผ้าขึ้นธาตุ และบนขอพรในเรื่องใดก็ตาม เช่น ขอให้หายเจ็บหายไข้ ขอให้ได้ลูก ขอเรื่องการงานการเรียน ก็มักจะสำเร็จสมหวัง

พิธีจัดงานแห่ผ้าขึ้นพระธาตุจะมีในช่วงวันมาฆบูชาซึ่งกำลังจะมาถึงในเดือน ก.พ.นี้ และวันวิสาขบูชา ในเดือน พ.ค.ของทุกปี ถือเป็นงานบุญใหญ่ที่จะมีผู้คนจากทุกสารทิศมาร่วมพิธีกันอย่างคับคั่ง

รอยพระพุทธบาทที่พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช

ความมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งของพระบรมธาตุเจดีย์ที่นครศรีธรรมราช ก็คือ พระบรมธาตุแห่งนี้จะไม่มีเงาทอดลงพื้นไม่ว่าแสงอาทิตย์จะส่องกระทบไปทางใด…ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครหาคำตอบได้

รอบๆ องค์พระบรมธาตุเจดีย์ จะมีเจดีย์บริวาร เป็นเจดีย์เล็กๆ รายล้อม ทั้งหมด 149 องค์ เป็นเจดีย์ที่ลูกหลานบรรพบุรุษได้สร้างไว้สืบต่อกันมาเรื่อยๆ เพื่อบรรจุอัฐิของญาติ ผู้ล่วงลับไปแล้ว โดยอธิษฐานว่าขอให้ญาติของตนได้มาเกิดในศาสนาของพระพุทธองค์อีกครั้งในภพหน้า ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่ง unseen ที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน

ร้านโกปี๊…ตำนานร้านแตเตี้ยมเมืองนคร

กาแฟขมกับชาเย็น

ข้างๆ เจดีย์พระบรมธาตุมีวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ และรอยพระพุทธบาท ที่เชื่อกันว่าเป็นรอยพระพุทธบาทของจริงที่พระพุทธองค์เคยเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ เนื่องจากที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ

นิทรรศการแสดงพิธีแห่ผ้าห่มพระธาตุ

กราบไหว้องค์พระบรมธาตุและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาหาของอร่อยใส่ท้องอีกรอบ คนท้องถิ่นที่นี่แนะนำเมนูขนมจีน โดยเฉพาะ ร้านขนมจีนเมืองคอน ซึ่งถือเป็นอีกร้านที่ขึ้นชื่อ มีน้ำราดให้เลือกหลายอย่าง ทั้งน้ำยากะทิ น้ำยาป่า น้ำพริก แกงไตปลา ซึ่งบอกได้เลยว่าแค่ยกมาก็น้ำลายสอเสียแล้ว และยังมีข้าวยำรสชาติจัดจ้านของเมืองใต้ให้ลิ้มลองด้วย

ตัวหนังตะลุง…สัญลักษณ์มหรสพของเมืองใต้

ก่อนกลับ ไม่ลืมแวะกราบศาลหลักเมือง ซึ่งนอกจากความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ที่นี่ยังก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัย ทรงเหมราชลีลา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของศาลหลักเมืองที่มีอยู่แห่งเดียวในภาคใต้ด้วย

ป้ายเมืองนครศรีธรรมราช

ทริปนี้แค่หนึ่งวันก็ได้ทั้งอิ่มท้อง อิ่มบุญ อิ่มใจ…ให้รู้ว่าเมืองไทยยังมีที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกมากที่คนไทยไม่ควรพลาด…!!!!!!

“คันจัง-เคจัง” สุดยอดส์ปูดองเกาหลี แวะดู “เรือเต่า” ที่บ้านเกิด…ยี ซุน ชิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/566378

 

เกาะแก่งต่างๆของทะเลทางใต้ในเกาหลี.

จากปูซานทริปพาสื่อมวลชนเยือนแดนกิมจิของ สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ วันนี้ เราออกเดินทางสู่เมือง จางซึงโป โปรแกรมของเราคือการไปเที่ยวที่ แฮคึมกัง (Haegeumgang) ที่ถือว่าเป็นเกาะธรรมชาติที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของท้องทะเลทางใต้ในเกาหลี ในบรรดาเกาะต่างๆ ที่มีมากกว่า 400 เกาะในทะเลฮัลลยอ เช่น เกาะคอเจ ทงยอง นัมเฮ ยอซู ฯลฯ

ทะเลฮัลลยอ.

ว่ากันว่า คึมกัง คือชื่อภูเขา คึมกังซาน (Geumgangsan) ซึ่งเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในคาบสมุทรเกาหลีอยู่ในเกาหลีเหนือ ส่วนแฮ (hae) แปลว่าทะเลหรือมหาสมุทร แฮคึมกัง จึงน่าจะหมายถึง ภูเขาคึมกัง แห่งท้องทะเล

เรือแล่นมาประมาณเกือบชั่วโมง ก็แวะจอดที่ แฮคึมกัง เพื่อให้ผู้โดยสารออกไปถ่ายรูปด้านนอกเรือได้ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็แทบไม่ได้ภาพสวยๆ เพราะนักท่องเที่ยวเกาหลีต่างพากันเฮละโลออกไปถ่ายรูป ทำให้ไม่มีมุมไหนที่จะได้ภาพสุดประทับใจที่ แฮคึมกัง เลย แถมคู่รักบางคู่ยังบรรจงถ่ายเซลฟี่รูปหวาน นานเสียจนเรือออกแล้วนั่นละ

จากแฮคึมกังไปอีกไม่กี่นาที ก็ถึงจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวทางเรือในวันนี้ นั่นก็คือ เกาะแวโด ซึ่งมีการจัดสวนพฤกษศาสตร์ไว้อย่างสวยงามแบบตะวันตก

ประภาคารที่เกาะแวโด.

เกาะนี้เป็นเกาะของเอกชน เจ้าของคือลี ชาง โฮ ซึ่งเป็นญาติของเจ้าของเกาะนามิ ค่าเรือและค่าเที่ยวชมเกาะคิดเหมาต่อคน 28,000 วอน หรือประมาณเกือบ 900 บาท เป็นเกาะที่มีเรือเข้าออกตามตารางเวลา แต่ในวันที่คลื่นลมรุนแรงเรือจะไม่ออกไปเกาะเด็ดขาด การไปเที่ยวจึงต้องโทร.สอบถามสภาพอากาศก่อนเดินทางการเดินเที่ยวบนเกาะใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ก่อนลงจากเรือกัปตันจะนัดเวลาให้มาพร้อมกันที่เรือ ถ้าใครมาไม่ทันก็ต้องเสียค่าเรือเพิ่มอีกกว่า 10,000 วอน เพื่อนั่งเรือลำอื่นกลับเข้าฝั่ง

ภาพมุมสูงของเกาะแวโด.

นอกจากสวนพฤกษศาสตร์แล้ว สิ่งที่เจ้าของเกาะแวโดพยายามปั้นแต่งให้มีความสวยงาม เห็นจะเป็นมุมถ่ายรูปสวยๆ และรูปปั้นประติมากรรมตามแบบตะวันตก ซึ่งคนเกาหลีนิยม เหมือนสมัยที่คนไทยเห่อสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งใหม่ๆนั่นละ เก้าอี้ต้องหลุยส์ เสาต้องโรมัน อะไรประมาณนี้ แต่โดยส่วนตัวแล้ว เราชอบเกาะของเมืองไทยที่เป็นธรรมชาติมากกว่า แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ของการเที่ยวเกาหลีในอีกรูปแบบหนึ่ง

ต้นไม้สวยงามบนเกาะ.

จากเกาะแวโดนั่งเรือกลับเข้าฝั่งประมาณเกือบอีกหนึ่งชั่วโมง มื้อกลางวันวันนี้ เราจะได้กินอาหารขึ้นชื่อของเมืองคอเจโด ที่ชื่อว่า “คันจัง–เคจัง”

คันจัง-เคจัง..ปูดองเกาหลี.

คันจัง-เคจัง คือ ปูดองซีอิ๊ว ที่ว่ากันว่า ถ้าอยากกินปูดองเกาหลีที่อร่อยที่สุดต้องมาที่เมืองนี้ กินร้านไหนก็อร่อย แต่ละร้านมักมีรูปดาราเกาหลีติดโชว์ไว้ว่า ร้านนี้ดาราคนไหนบ้างที่เคยแวะเวียนมากิน เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ต่างกับเมืองไทยเท่าไหร่

ครั้งแรกที่คนเสิร์ฟยกชามปูดองมาวางบนโต๊ะ บางคนในกลุ่มของเราทำท่าทางเหมือนไม่กล้ากิน แต่พอคนหนึ่งคีบปูดองเข้าปาก แล้วบอกว่ามันยอดส์มาก…ต้องลอง เท่านั้นละ คนที่สองที่สามก็เริ่มทำตามและไม่ช้าปูในชามก็อันตรธานไปจนหมดสิ้น

หลังอิ่มท้องกับปูดองและปลาทอดสุดอร่อยแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติฮันยอซูโด (Hallyeosudo National Park) ซึ่งมีรถเคเบิลคาร์พาขึ้นไปชมวิวบนยอดเขาด้วย ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เกาหลีพยายามหาจุดขายการท่องเที่ยวต่างจังหวัดสำหรับนักท่องเที่ยว ที่คุ้นเคยกับกรุงโซลจนทะลุปรุโปร่งแล้ว

ออกจากอุทยานแห่งชาติ Hallyeosudo เดินทางต่อไปยังเมืองทงยอง เมืองนี้นอกจากจะเป็นเมืองท่าที่สวยงามแล้ว ยังเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่สำคัญเมืองหนึ่ง ในฐานะบ้านเกิดของ นายพล ยี ซุน ชิน แม่ทัพเรือฝ่ายซ้ายแห่งมณฑลจอนลา ขุนพลที่นำทัพรบกับญี่ปุ่นจนได้รับชัยชนะ ในสงครามอิมจิน

เรื่องราวของนายพลยี ซุน ชิน มีการสร้างเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ที่ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า The Admiral Roaring Currents เป็นมหากาพย์ภาพยนตร์ที่เกาหลีใต้ทุ่มทุนสร้างกว่า 300 ล้านบาท

เรือโคบุกซอน…หรือ เรือเต่า ที่เมืองทงยอง.

ที่ท่าเรือของเมืองทงยอง มีการจำลอง “เรือเต่า” หรือที่เรียกว่า “เรือโคบุกซอน” เรือรบหุ้มเกราะลำแรกของโลกที่นายพลยี ซุน ชิน สั่งให้สร้างขึ้น 12 ลำ แต่สามารถรบชนะกองทัพเรือญี่ปุ่นกว่า 300 ลำได้ ไว้ที่ท่าเรือด้วย

เรือโคบุกซอน หรือเรือเต่านี้ มีลักษณะแปลกกว่าเรืออื่นๆ ตรงที่ดาดฟ้าของเรือหุ้มด้วยหลังคาเหล็ก มีเดือยแหลมยื่นออกมา ไว้สำหรับแทงผู้ไม่หวังดีที่จะกระโดดข้ามมา ดังนั้นในการรบกับญี่ปุ่นเมื่อพวกซามูไรจะกระโดดบุกเข้าเรือ ก็ถูกเดือยแหลมตำขา ทำให้ทำอะไรไม่ได้ ส่วนด้านหน้าเรือเป็นหัวมังกร มีไว้เพื่อข่มขวัญเหล่าศัตรู

ยี ซุน ชิน ถือเป็นขุนพลและเป็นวีรบุรุษของชาวเกาหลี มีการสร้างอนุสาวรีย์ของเขาไว้ที่กรุงโซล ตกแต่งด้วยกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้หลากสี ทุกวันจะมีช่วงเวลาในการเปิดน้ำพุสูงกว่า 20 เมตรเป็นแนวยาวรอบอนุสาวรีย์ด้วย

จุดชมวิวบนหมู่บ้านทงพีรัง.

ไม่ไกลจากท่าเรือเมืองทงยอง เดินขึ้นไปบนเนินเขาใกล้ๆ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่การท่องเที่ยวเกาหลีต้องการโปรโมต นั่นก็คือ หมู่บ้านทงพีรัง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้าน Wall Printing Village ที่มีศิลปินพากันมาวาดรูปตามกำแพง ด้านบนเป็นจุดชมวิวที่มองลงจะเห็นท่าเรือเมืองทงยอง และที่จุดชมวิวนี้เองที่เราได้เห็นพระจันทร์ขึ้นทั้งๆที่พระอาทิตย์ยังไม่ทันตกดิน เป็นการปิดทริปท่องเที่ยวต่างจังหวัดเกาหลีที่น่าประทับใจ ก่อนที่เราจะต้องรีบกลับไปเก็บข้าวของเพื่อเข้าสู่กรุงโซล เพื่อสัมผัสบรรยากาศในอีกรูปแบบหนึ่งของเกาหลี…ในวันต่อไป..!!!

ภาพเขียนบนกำแพงที่หมู่บ้านทงพีรัง.

พระจันทร์ขึ้นก่อนพระอาทิตย์.

“ฟลอร่า คาร์นิวัล”พาเหรดไม้งามแห่งอีสานใต้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/563153

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 16 ม.ค. 2559 05:01

 

ขบวน Wonder of  Color กับราชินีแห่งท้องทะเล

ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ คุณเอ๋ หรือ “พรทิพย์ อัษฎาธร” นักธุรกิจสาวสวยคนเก่งแห่งเพ ลา เพลิน เปิดบ้านอุทยานการเรียนรู้เมืองบุรีรัมย์ ขนทัพสื่อมวลชนร่วมงาน ฟลอร่า คาร์นิวัล The Dazzling Flora Carnival 2015 @ Play La Ploen ที่ว่ากันว่างานนี้ทุ่มงบประมาณมหาศาลกว่า 50 ล้านบาท ให้เป็นงานอภิมหาพาเหรดดอกไม้นานาพันธุ์แห่งแดนอีสานใต้กันเลยทีเดียว

ขึ้นเครื่องจากดอนเมืองไปบุรีรัมย์ใช้เวลาแค่อึดใจไม่ถึงชั่วโมง คุณเอ๋ เปิดยิ้มสวยใสมาต้อนรับบรรดาสื่อมวลชนและซุปเปอร์สตาร์จากกรุงเทพฯด้วยตนเอง

โรงเรือนดอกไฮเดรนเยีย…สีสดใส

หลังจิบน้ำสมุนไพรพอหายเหนื่อย ก็ได้เวลาตะลุยเพ ลา เพลิน ที่มีเนื้อที่มากกว่า 300 ไร่ ในช่วงเวลาปกติ คุณเอ๋ บอกว่า ที่นี่จะมีโรงเรือนที่เปิดให้เข้าชมทั้งหมด 6 โรง ตั้งแต่โรงเรือนแรกซึ่งจัดแสดงพันธุ์ไม้ตามฤดูกาล โรงเรือนที่สอง เป็นไม้ประเภทเฟิร์น ที่จัดแสดงตามคอนเซปต์ป่าดึกดำบรรพ์ ส่วนโรงเรือนที่สาม เป็นการจัดแสดงสับปะรดสีและพืชกินแมลง สีสันแห่งธรรมชาติ ออกจากโรงเรือนที่สามเดินลัดเลาะต่อเชื่อมมาอีกด้าน เป็นโรงเรือนใหญ่ที่จัดแสดงกล้วยไม้สายพันธุ์ต่างๆภายใต้คอนเซปต์กินรี ที่ดูมีความเป็นไทยร่วมสมัยอยู่ไม่น้อย ต่อด้วยโรงเรือนที่ห้า ที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นพืชทะเลทราย ภายในมีทั้งพืชทะเลทรายและรูปปั้นฟาโรห์ เพราะแนวคิดการจัดแสดงของโรงเรือนหลังนี้คือ พีระมิด ปิดท้ายที่โรงเรือน

หลังสุดท้าย เป็นเรื่องราวศิลปะอีสานใต้ ออกแนวแอดเวนเจอร์เล็กๆ เด็กๆนักเรียนที่มาดูต่างปีนป่าย ให้ความสนใจสิ่งแสดงต่างๆกันอย่างสนุกสนาน

บรรดาคนหน้าขาว..และดาวตลก

นอกจากโรงเรือนต่างๆแล้ว ที่นี่ยังมีโรงเพาะพันธุ์ไม้ดอกเมืองหนาว โดยเฉพาะทิวลิปสายพันธุ์ฮอลแลนด์ ซึ่งนำเข้ามามากกว่า 250,000 ต้น หลากหลายสีสัน ทั้งแดง เหลือง ชมพู และที่พิเศษสุดสำหรับปีนี้ คุณเอ๋ บอกว่า จะมีทิวลิปสีดำ หรือ Black Tulip มาโชว์ให้ดูด้วย ซึ่งถ้าใครไปเที่ยวในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ บอกได้เลยว่าเป็นช่วงที่จะได้เห็นดอกไม้สดสีสวยๆเบ่งบานต้อนรับผู้มาเยือนแบบที่ไม่ต้องบินไปดูถึงยุโรป

นอกจากอุทยานไม้ดอกที่สวยงามแล้ว ส่วนด้านข้างของเพ ลา เพลิน ยังมีสวนน้ำ และเครื่องเล่นสำหรับกิจกรรมแอดเวนเจอร์ ที่บางครั้งก็เปิดให้เด็กๆได้เข้ามาเล่นเพื่อเรียนรู้ เป็นการเพิ่มพูนทักษะและประสบการณ์ด้วย

หลังเที่ยวชมบริเวณโดยรอบแล้ว ก็ได้เวลาไปพักผ่อน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการชม “ฟลอร่า คาร์นิวัล” ที่คนจัดการันตีว่าเลิศหรูอลังการ เพราะทั้งดอกไม้และดาราที่ขนมาแสดงในครั้งนี้นั้นเรียกว่ากระหึ่มอีสานใต้กันเลยล่ะ

ญาญ่าญิ๋ง..ในชุดไข่มุกราคา 1 ล้านบาท

แดดร่มลมตก ผู้คนนับพันคนเริ่มทยอยเข้างานมาชมความตระการตาของสีสันขบวนคาร์นิวัลอลังการ ส่วนใหญ่จับจองที่นั่งบนสแตนด์เพื่อให้มองเห็นภาพชัดๆ สื่อมวลชนเตรียมเข้าประจำจุดบันทึกภาพ บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก สนุกสนาน

คุณเอ๋บอกว่า จัดงานนี้ไม่ได้คิดเรื่องกำไรหรือขาดทุน แต่ต้องการขอบคุณผู้ที่มีอุปการคุณกับเพ

ลา เพลิน โดยเฉพาะลูกค้าและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยี่ยมชมอุทยานดอกไม้ เพ ลา เพลิน ในโอกาสครบรอบ 2 ปี สำคัญที่สุดคือ ต้องการสร้างสรรค์สิ่งดีๆสำหรับคนบุรีรัมย์

ทันทีที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ไฟแสงสีก็เริ่มสาดใส่ขบวนคาร์นิวัล เสียงพิธีกรประกาศต้อนรับแขกผู้มีเกียรติเข้าสู่งาน

“เต้ย-พงศกร เมตตาริกานนท์” กับขบวน Land before time

เปิดฉากด้วยขบวนพาเหรดของเหล่าตัวตลก คนหน้าขาว นักมายากล แต่งตัวหลากสีสัน เดินแจกลูกโป่งตามรายทางล่อตาล่อใจเด็กๆ มีเหล่านักเต้นสาวงามเดินเรียงเป็นแถว สร้างความสนุกสนานเป็นการโหมโรงก่อน จากนั้นก็เข้าสู่คาร์นิวัลขบวนแรก ที่ใช้ชื่อ
ธีมว่า Miracle of Holland เป็นขบวนที่ออกแบบตกแต่งในธีมดอกไม้เมืองหนาวหลากสีสัน เช่น ลิลลี่ ทิวลิป ไฮเดรนเยีย สายพันธุ์จากฮอลแลนด์

งานนี้ได้รับความร่วมมือจากสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ร่วมประดิษฐ์ขบวนให้วิจิตรตระการตา มีหอคอยกังหันสัญลักษณ์ของฮอลแลนด์ ล้อมด้วยดอกทิวลิปประดิษฐ์หลากสีสันขนาดใหญ่ยักษ์ มีนางเอกสาว “เบลล่า ราณี แคมเปน” มาเป็นเซเลบสวมชุดราชินีดอกไม้โบกมือยิ้มรับผู้ชม

ขบวนคลีโอพัตรา

กังหันและทิวลิปฮอลแลนด์

ขบวนที่สอง เป็นขบวนที่ใช้ชื่อว่า Land Before Time ขบวนนี้พอเคลื่อนเข้าสู่งาน ก็เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชม แนวคิดการจัดขบวนเป็นการนำพืชในยุคดึกดำบรรพ์ เช่น เฟิร์น มอส มาตกแต่งจำลองเป็นป่าดึกดำบรรพ์ มีตัวไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านบนตัวรถ การแต่งกายและการแสดงประกอบในขบวนจะสื่อถึงมนุษย์ถ้ำ มี “เต้ย-พงศกร เมตตาริกานนท์” ใส่ชุดที่ทำมาจากเฟิร์น ลักษณะคล้ายมนุษย์ถ้ำ หรือคนป่า ดูน่าเกรงขามทีเดียว

ส่วนไฮไลต์ที่อลังการงานสร้างและได้รับเสียงปรบมือกึกก้องที่สุด เห็นจะเป็นขบวนคาร์นิวัลที่ใช้ชื่อว่า Wonder of Color คอนเซปต์ของขบวนนี้คือ การจำลองพันธุ์พืชทั้งในผืนน้ำและผืนดิน การแสดงและเครื่องแต่งกายจะเน้นสีสันในท้องทะเล มีทั้งฝูงปลา แมงกะพรุน ม้าลาย แต่ที่ดูโดดเด่น เห็นจะเป็นเงือกสาวพราวเสน่ห์ ที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็น “เจ้าหญิงแห่งท้องทะเล” รับบทบาทโดย “ญาญ่าญิ๋ง-รฐา โพธิ์งาม” ที่มาในชุดไข่มุกอลังการมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท…ซึ่งต้องบอกว่า งานนี้น้องญิ๋งเธอโดดเด่นเป็นสง่าสมค่าราชินีแห่งท้องทะเลจริงๆ

ฟาโรห์..ในโรงเรือนพืชทะเลทรายที่เพ ลา เพลิน

โรงเรือนกินรี…จัดแสดงกล้วยไม้สายพันธุ์ต่างๆ

ตามติดด้วยขบวน Kinnaree ที่สื่อถึงเรื่องราวแห่งป่าหิมพานต์ มีการแสดงโชว์นางกินรีมาร่ายรำจนถูกนายพรานจับไป ขบวนนี้ได้เซเลบ สาวสวยไฮโซ อย่าง “นุ่น-วรนุช ภิรมย์ภักดี” มาสวมใส่ชุดกินรีสีขาว พร้อมปีกขนาดใหญ่ร่ายรำผสมผสานกับความเป็นโมเดิร์นเข้ากับวรรณคดีไทย ต่อด้วยขบวน Cleopatra ที่มีน้อง “เมญ่า-นนธวรรณ ทองเหล็ง” แต่งเป็นคลีโอพัตราเน้นสีทองทั้งตัว เรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมอย่างกึกก้อง

ตุ๊กตาคิวปิดในสวนไม้เมืองหนาว

ปิดท้ายด้วยขบวน Art of lsarn ที่โชว์ศิลปวัฒนธรรมของภาคอีสาน ที่มีทั้งเสียงแคนและการฟ้อนรำแบบอีสาน เน้นความทันสมัยในการตัดเย็บผ้าพื้นเมือง ขบวนนี้ มี “พอร์ช-ศรัณย์ ศิริลักษณ์” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมบรรดาแฟนคลับถือป้ายเดินกรี๊ดตามขบวนตลอดเส้นทาง

ปิดฉากค่ำคืนฟลอร่า คาร์นิวัล ด้วยคอนเสิร์ต จากนักร้องสาว ลีเดีย เมญ่า และนักร้องหุ่นท้วมอารมณ์ดี แคลอรี่ส์ บลาห์ บลาห์…

ที่ประทับใจคนดูจนแทบไม่หลับไม่นอน…กันเลยทีเดียว…!!!!

ไปกิน…”หมึกดุ๊กดิ๊ก” ที่ปูซาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/559850

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 ม.ค. 2559 05:01

 

เปิดเส้นทางบินตรงจากดอนเมืองสู่อินชอน ประเทศเกาหลีใต้ วันละ 2 เที่ยวบิน สำหรับ สายการบินไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์…สายการบินราคาประหยัดที่ให้บริการเส้นทางการบินระยะไกล สายการบินแรกของประเทศไทย

เที่ยวบินที่ XJ700 ออกจากดอนเมืองตีสองยี่สิบนาที ถึงอินชอน 09.40 น. ตามเวลาเกาหลีใต้ ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง

ปลาหมึกตัวโตที่สับใส่ปากแล้วยังดินดุ๊กดิ๊ก

ตามแผนเดิมคือเราต้องนั่งรถไฟ AREX หรือแอร์พอร์ต เรลโรด เอ็กซ์เพรส ต่อไปยังสนามบินกิมโปเพื่อขึ้นเครื่องบินในประเทศไปเมืองปูซาน เมืองท่าสำคัญที่สุดของเกาหลีใต้ และเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของเกาหลีใต้รองจากกรุงโซล แต่เนื่องจากเราใช้เวลาต่อคิวในการตรวจเอกสารเข้าเมืองค่อนข้างนานจึงต้องเปลี่ยนแผนเป็นนั่งรถบัสจากสนามบินอินชอนไปยังสนามบินกิมโปแทน

ราว 1 ชั่วโมงเราก็มาถึงสนามบินกินแฮในเมืองปูซาน อากาศในช่วงบ่ายค่อนข้างอุ่นสบายไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป “พิณ” ไกด์สาวชาวเกาหลีที่พูดไทยได้ชัดเจน นำเสนออาหารมื้อกลางวันแบบเร่งรัดที่ร้านบุฟเฟ่ต์บลูโกกิที่ ตลาดปลาชากัลชิ ซึ่งเป็นตลาดค้าปลาและอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออก และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของปูซานด้วย

สุกี้ซีฟู้ด

หลังอิ่มอร่อยกับหมูย่างรสเลิศแล้ว ก็ได้เวลาออกไปเดินชมตลาดปลาซึ่งตั้งอยู่บริเวณท่าเรือ ซึ่งท่าเรือที่ปูซานนี้ ถือเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีและเป็นท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก

บรรยากาศในตลาดค่อนข้าง คึกคัก แม่บ้านเกาหลีเริ่มออกมาจับจ่ายเลือกซื้ออาหารทะเลทั้งแบบสดๆและแบบแห้งจากร้านแผงลอยขนาดเล็กที่ตั้งเรียงรายสองฝั่งถนน อาหารทะเลสดๆถูกลำเลียงออกมาจัดวางให้ดูน่ากิน มีทั้งปูอลาสก้า ซึ่งส่วนใหญ่นำเข้ามาจากรัสเซีย กุ้งตัวโตๆไปจากเมืองไทย ส่วนกุ้งมังกรอย่างล็อบสเตอร์ถูกส่งมาจากแคนาดา ส่วนปลาหมึกยักษ์ตัวใหญ่ๆนำเข้ามาจากเปรูเป็นส่วนมาก

ภาพบ้านที่หมู่บ้านคัมชอนอดีตและปัจจุบัน

พิณ บอกว่า ทุกวันจะมีเรือจากรัสเซีย จีน ไทย ญี่ปุ่น และประเทศแถบอเมริกาใต้เข้ามาที่ท่าเรือแห่งนี้ตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะในช่วงเช้า ส่วนอาหารทะเลขึ้นชื่อที่เป็นของเกาหลีจริงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกหอย ปลาหมึก และปลาทะเลหลากหลายชนิด รวมถึงปลาไหลทะเลด้วย

พูดถึงปลาหมึก มาถึงแหล่งอาหารทะเลขึ้นชื่อของเกาหลีอย่างปูซานแล้ว ต้องไม่พลาดเมนูเด็ดอย่าง “ซันนักจี” (Sannakji) หรือ ปลาหมึกดุ๊กดิ๊ก เมนูที่ชาวเกาหลีนิยมรับประทานกันมาก

หลายคนอิดออดตอนที่แม่ค้าสับปลาหมึกแล้วตัวมันยังดิ้นดุ๊กดิ๊กๆอยู่ แต่พอมีคนแรกนำร่องคีบเข้าปากแล้วบอกว่าอร่อย… เท่านั้นละ ทุกคนก็พร้อมที่จะคีบเจ้าปลาหมึกดุ๊กดิ๊กเข้าปากกันคนละคำสองคำ นี่ถ้ามีน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดจัดจ้านจากเมืองไทยไปด้วย คงวาง ตะเกียบไม่ลงแน่ๆ

ภาพถ่ายหมู่บ้านคัมชอนมุมสูงจากจุดชมวิว

การกินหมึกดุ๊กดิ๊กหรือซันนักจีนี้ มีเคล็ดลับอยู่บ้างตรงที่ต้องราดน้ำมันงาลงไปในปลาหมึกเพื่อให้เกิดความลื่น คนเกาหลีบอกว่า ความอร่อยของเมนูนี้อยู่ที่ปลาหมึกที่ยังคงดิ้นดุ๊กดิ๊กในปาก เวลากินเขาบอกว่าต้องเคี้ยวให้ละเอียดก่อนค่อยกลืน เพราะไม่เช่นนั้นปุ่มตรงหนวดหมึกอาจจะดูดติดปากหรือคอทำให้สำลักหรือติดคอได้

ท่าทางตื่นเต้นของการคีบหมึกดุ๊กดิ๊กเข้าปาก

นี่ถ้าเป็นช่วงแดดร่มลมตก เห็นทีคงได้นั่งกินหมึกดุ๊กดิ๊กแกล้มโซจูแก้หนาว ได้อารมณ์ฟินทุกๆ ปีในช่วงเดือนตุลาคม จะมีเทศกาลอาหารทะเลที่เรียกว่า เทศกาลชากัลชิ ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวเกาหลีและชาวต่างชาติเดินทางมาร่วมงานนี้เป็นจำนวนมาก ความสนุกสนานเพลิดเพลินอยู่ที่การเดินกินอาหารทะเลสดๆริมถนน ชมการแสดงดนตรี การละเล่นและกิจกรรมต่างๆ คล้ายๆกับงานกาชาดหรืองานเทศกาลของดีอ่างศิลาบ้านเรายังไงยั้งงั้นละ…

อาหารทะเลสดๆ ที่ตลาดปลาชากัลชิ

เราใช้เวลาเดินชมตลาดปลาประมาณ 30 นาที ก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยัง “หมู่บ้าน วัฒนธรรมคัมชอน” ซึ่ง การท่องเที่ยวเกาหลีใต้ ต้องการจะประชาสัมพันธ์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเมืองปูซาน

จริงๆ แล้วเรามองเห็นหมู่บ้านคัมชอนตั้งแต่ตอนยืนอยู่ตรงท่าเรือแล้ว อาคารสีสันแปลก ตาเบียดแทรกกันอยู่บนภูเขาอีกด้านหนึ่งตรงข้ามกับตลาดชากัลชิ มองไกลๆ เหมือน ตึกในเขาวงกต

ภาพเขียนเจ้าชายน้อยหน้าประตูบ้านที่หมู่บ้านคัมชอน

เรื่องราวของหมู่บ้านคัมชอนในฐานะของแหล่งท่องเที่ยวอาจจะเพิ่งเป็นที่รู้จักไม่นาน แต่จริงๆ แล้ว หมู่บ้านแห่งนี้ถูกค้นพบตั้งแต่เมื่อ 60 กว่าปีก่อน เป็นหมู่บ้านที่ผู้อพยพหนีภัยจากสงครามเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้มารวมตัวอยู่ด้วยกัน ในช่วงเวลานั้นที่นี่ถูกเรียกขานว่าเป็น “สลัม” ด้วยบ้านที่ปลูกติดๆกัน นอกจากผู้อพยพภัยสงครามแล้ว ที่นี่ยังมีนักบวชมารวมอยู่ด้วยกันอีกกลุ่มหนึ่ง จึงมีชื่อเรียกหมู่บ้านนี้อีกชื่อหนึ่งว่า “แทกึกโด” หรือ หมู่บ้านศาสนา

ปูอลาสก้าจากรัสเซีย

แทกึกโด หรือหมู่บ้านคัมชอน ถูกทิ้งร้างให้อยู่ในสภาพทรุดโทรมมานาน กระทั่งผู้นำหมู่บ้านเกิดไอเดียที่จะปรับปรุงหมู่บ้านครั้งใหญ่ ในปี ค.ศ.2009 จึงได้เชิญบรรดาศิลปินนักเรียนและจิตรกรมาช่วยกันตกแต่งหมู่บ้านขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นจุดสนใจและดึงดูดผู้คนให้มาเที่ยวมากขึ้น ศิลปินนับสิบมาช่วยกันตกแต่ง เสริมจินตนาการให้กับหมู่บ้านด้วยสีพาสเทลหลากสีสัน และ รูปปั้นแบบต่างๆ ทั้งรูปปั้นนกบนหลังคา รูปปั้นฝูงปลาบนระเบียงไม้ จนทั่วทั้งหมู่บ้านมีสีสันสดใส และได้รับการขนานนามใหม่ว่า…“ซานโตรีนีแห่งเกาหลี” ที่กำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนหมู่บ้านแห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

กุ้งจ่อมสูตรเกาหลี

ออกจากหมู่บ้านคัมชอน เรามีโปรแกรมต้องไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Oryukdo Islands Skywalk ซึ่งเป็นสะพานกระจกเหนือหน้าผา มองไปจะเห็นเกาะ Oryuk สัญลักษณ์ของปูซาน ซึ่งน่าเสียดายที่เราไปถึงในช่วงพระอาทิตย์ตกเสียแล้ว เลยได้ชื่นชมแค่บรรยากาศยามค่ำคืนและสายลมทะเลที่พัดเข้าใส่จนหนาวสั่น…

อาหารค่ำในปูซานเป็นสุกี้ซีฟู้ดหม้อโต ที่ดูเหมือนการกินมื้อนี้จะ Slow food เพราะทั้งเพลียทั้งหมดแรง ตื่นขึ้นมาเช้าวันแรกในปูซาน เกือบจำไม่ได้ว่าหลับไปตอนไหน….!!!!

ท่าเรือใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้

ฮักกันแน่นตึ๊บ…ม่วนชื่น…เมืองลาว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/556861

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 2 ม.ค. 2559 05:01

 

พระธาตุหลวงเวียงจันทน์

…“ถึงดาวเดือนเคลื่อนฟ้า ลาลา

เปล่งประดุจสุริยะพราว ผ่านพ้น

ฤดูฤดีแนบแอบหนาว นอนเอย

จากเวียงจันทน์ข้ามค้น ขอบฟ้า มาฝัน…”

โคลงสดที่พิธีกรหนุ่มใหญ่ อย่าง กฤษณะ ละไล จากเนชั่นทีวี ร่ายให้พวกเราฟังกลางทะเลสาบเขื่อนน้ำงึมวันนั้น ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงกิจกรรมดีๆอย่าง “SCG Sharing the Dream” ที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง SCG นำทุนการศึกษา 230 ทุน ไปมอบให้กับเด็กนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของ สปป.ลาว เป็นอีกหนึ่งของกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ของมิตรประเทศสองฝั่งโขงอย่างไทย-ลาวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

นักเรียนที่ได้รับทุนครั้งนี้ แต่ละคนจะส่งเรียงความเข้ามาให้คณะกรรมการตัดสิน ซึ่งเรื่องราวในเรียงความส่วนใหญ่เป็นชีวิตจริงของเด็กๆที่ต้องอยู่กับความยากจน การด้อยโอกาสทางการศึกษา ที่ฟังไปพลางคุยไปพลางก็พานให้คนสัมภาษณ์น้ำตาจิไหลตามน้องๆไปด้วย

วันแรกในลาว หลังจากที่อิ่มหนำสำราญอาหารพื้นเมืองลาวที่ ร้านอาหารครัวลาว ปิดท้ายด้วย บัวลอยฟรุตสลัด ที่หวานกลมกล่อมชุ่มน้ำ ผลไม้ครบในถ้วยเดียวแล้ว พวกเราก็พากันไปเดินย่อยอาหารที่ตลาดนัดสินค้าพื้นเมืองในบรรยากาศถนนคนเดินริมแม่น้ำโขงก่อนกลับเข้าที่พัก หลับแบบสบายดีเมืองลาวตลอดทั้งคืน

แม่หญิงลาว-ไทยแยกกันไม่ออก

พระจันทร์ยังไม่ทันลาท้องฟ้าก็ได้เวลาออกไปตักบาตรข้าวเหนียวพระสงฆ์ที่ วัดองค์ตื้อ งานนี้สาวไทย สาวลาว แต่งกายละม้ายคล้ายคลึงกันไปหมดนุ่งซิ่นสีสด ห่มสไบ ตามแบบฉบับแม่ญิ๋งลาว

บรรยากาศการตักบาตรข้าวเหนียวในช่วงเช้ามืด

การตักบาตรข้าวเหนียวนั้น เป็นประเพณีของคนลาวที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งนอกจากจะเป็นการทำบุญตามประเพณีของชาวพุทธแล้ว คนลาวยังมีความเชื่อว่าหลังตักบาตรเสร็จให้ปั้นข้าวเหนียว 4 คำไว้ในกระติ๊บ โดยเชื่อว่าเป็นการเสริมความร่ำรวย ให้เงินทองไหลมาเทมาไม่มีหมด โดย 1 คำแรกให้ใส่ไว้ในกระติ๊บเรียกว่า ขวัญข้าว ส่วนอีก 3 คำที่เหลือให้วางไว้ตามรั้ว ตามต้นไม้ หรือกระถางต้นไม้ สำหรับไหว้พระรัตนตรัย ทำบุญให้สรรพสัตว์

สรีรสังขารของสมเด็จสังฆราชลาว

และถือว่าเป็นโชคดีของพวกเราที่มาตักบาตรที่วัดองค์ตื้อ เลยได้มีโอกาสเข้าไปกราบไหว้สักการะสรีรสังขารของ พระอาจารย์ใหญ่ ดร.มหาผ่อง ปิยะทีโร (สะมาเลิก) ประธานองค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว (อพส.) สมเด็จพระสังฆราชประจำ สปป.ลาวรูปที่ 4 ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเถระ 2 ฝั่งโขง เพราะพื้นเพเดิมนั้น ท่านเป็นคนอุบลราชธานี แม่เป็นชาวจำปาสัก ถือเป็นพระเถระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นที่เคารพศรัทธาของคนลาว ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา สิริรวมอายุ 100 ปี 6 เดือน 81 พรรษา

ถือเป็นบุญยิ่งที่ได้มีโอกาสครั้งนี้…..

สำหรับกำหนดการวันนี้ ทาง SCG จะพาไปตะลอนเวียงจันทน์ สวรรค์ริมฝั่งโขง โดยเริ่มที่ วัดสีสะเกด หรือที่ชื่ออย่างเป็นทางการว่า วัดสะตะสะหัสสาราม เป็นวัดที่สร้างขึ้นแห่งแรกในนครเวียงจันทน์ บางคนเรียกสั้นๆว่า วัดแสน มาจากคำว่า “สตสหัสส” แปลว่า 100,000 ส่วน อาราม แปลว่า วัด สาเหตุที่เรียกเช่นนี้ เพราะพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชและพุทธศาสนิกชนชาวลาวในอดีต ทรงสร้างพระพุทธรูปทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่ประดิษฐานไว้ทั่ววัด 100,000 องค์ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 6,820 องค์เท่านั้น แต่ก็ยังถือว่าเป็นวัดที่มีพระพุทธรูปมากที่สุดในนครหลวงเวียงจันทน์

วัดนี้มีความเชื่อมโยงกับไทยเพราะเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นพระยาจักรี ประมาณปี พ.ศ. 2321 ได้รับพระบัญชาจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีให้ยกทัพไปทวงถามเครื่องบรรณาการจากลาว ลาวไม่ให้จึงสู้รบกัน ลาวรบแพ้ ในฐานะที่เจ้าพระยาจักรีเป็นนักรบผู้ทรงธรรมและเคยบวชเรียนหลายพรรษา เมื่อชนะศึกแล้วจึงนำพาทหารสยามบูรณะซ่อมแซมวัดนี้เพื่อเป็นพุทธบูชาอุทิศส่วนกุศลให้ทหารทั้ง 2 ประเทศที่เสียชีวิต และถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าสถาปัตยกรรมเกือบทั้งหมดของวัดนี้เป็นสถาปัตยกรรมไทย และถือเป็นวัดเดียวที่ไม่ถูกเผาทำลายในช่วงที่เกิดสงครามเวียงจันทน์

มาถึงเวียงจันทน์แล้ว ต้องแวะไปเยี่ยมเยียน อนุสาวรีย์ประตู หรือ ประตูชัย ที่ยังเห็นซึ่งในช่วงที่เราไปนั้น ยังมีบรรยากาศของการเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปี แห่งการสถาปนา สปป.ลาว มีการประดับตกแต่งและติดธงชาติตามจุดต่างๆ อย่างสวยงาม ประตูชัยนี้ได้รับอิทธิพลมาจากประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพราะครั้งหนึ่งลาวเคยตกเป็นดินแดนในอาณานิคมของฝรั่งเศสมาก่อน แต่แม้ว่าจะได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศสแต่ก็ยังคงมีกลิ่นอายของลาวจากสถาปัตยกรรมส่วนยอดด้านบนที่มีลักษณะเป็นปูนปั้นใต้ซุ้มประตูโค้ง

นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมทิวทัศน์ของนครเวียงจันทน์จากด้านบนสุดของประตูชัยได้ แต่ต้องขึ้นบันไดวนไป 147 ขั้น โดยการขึ้นไปนั้น ลาวจะมีการเก็บ “ค่าปี้” หรือ ค่าตั๋ว สำหรับคนที่ต้องการขึ้นไปด้านบน

พระประธานหน้าพระธาตุหลวง

ชมประตูชัยแล้วก็ไปต่อกันที่ วัดพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า พระเจดีย์โลกะจุฬามณี ซึ่งเป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของ สปป.ลาว รูปทรงจะคล้ายพระธาตุพนมของไทย ผู้สร้างพระธาตุหลวง คือ พระเจ้าจันทบุรีประสิทธิศักดิ์ หรือ บุรีจันอ้วยล้วย เจ้าเหนือหัวผู้ครองนครเวียงจันทน์พระองค์แรก พระธาตุแห่งนี้เป็นที่บรรจุพระอุรังคธาตุส่วนหัวหน่าว 27 องค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนอนองค์ใหญ่ที่วัดพระธาตุหลวง

ทะเลสาบเขื่อนน้ำงึม

กราบไหว้ขอพรพระธาตุกันเสร็จเรียบร้อย SCG จัดโปรแกรมอาหารกลางวันบนเรือยนต์ กลางทะเลสาบเขื่อนน้ำงึม ซึ่งเป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งแรกของลาว ระหว่างที่เรือแล่นไปได้มีโอกาสแวะ “ดอนท้าว ดอนนาง” เกาะสถานเรือนจำของนักโทษชาย นักโทษหญิง กลางเขื่อน ที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป แต่ให้พวกเราได้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ฝีมือผู้ต้องขัง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกระติ๊บข้าวและงานจักสาน ชมความงดงามของ “ภูผาด่าง” ที่ตั้งตระหง่านขนานไปกับน้ำบนเขื่อนสีเขียวมรกตลึก 60 ม. ตัดกับท้องฟ้าที่ฟ้าใส เป็นบรรยากาศที่งดงามไปอีกแบบ

จุดแวะซื้อผลิตภัณฑ์ฝีมือนักโทษลาว

ผลิตภัณฑ์ฝีมือ นักโทษชาย-หญิง

เพียง 48 ชั่วโมง ในเมืองที่กำลังเติบโตอย่างเวียงจันทน์ เราได้มองเห็นชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งของคนลาว การยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างแนบแน่นและฝังลึก ไม่ว่าจะเป็นการกินอยู่ แต่งกาย การใช้ภาษา ที่ต้องบอกว่า ถ้าเลือกได้บางครั้งการนั่งรถไฟฟ้า เดินห้างหรูหราในเมืองใหญ่ๆอาจเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย เยิ่นเย้อ ต่างจากความสุขที่ได้จากการนั่งสามล้อ ถีบจักรยาน สานกระติ๊บใส่ข้าวเหนียว เอาไว้เปิบอย่างม่วนชื่น…กับครอบครัว เป็นความสุขที่ต่อให้มีเงินล้นฟ้า…ก็หาซื้อมาไม่ได้….

สะบายดี…เมืองลาว ขอให้เฮาฮักกันแน่นตึ๊บ ม่วนชื่นเช่นนี้ตลอดไปเด้อ…..!!!!