โรงเรียนอนุบาลห้วยคต พัฒนาทักษะเกษตร แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ชุมชน-โรงเรียน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05093150259&srcday=2016-02-15&search=no

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 617

เยาวชนเกษตร

สุจิต เมืองสุข

โรงเรียนอนุบาลห้วยคต พัฒนาทักษะเกษตร แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ชุมชน-โรงเรียน

โรงเรียนอนุบาลห้วยคต (บ้านชุมทหารพัฒนา) ตำบลห้วยคต อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี เป็นโรงเรียนที่พิจารณาจากชื่อแล้ว ประเมินว่าน่าจะเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีนักเรียน บุคลากรทางการศึกษาไม่มากนัก ทั้งกิจกรรมใดๆ ที่ดำเนินอยู่ก็น่าจะเล็กๆ กะทัดรัด เช่นเดียวกับชื่อ แต่เมื่อได้สัมผัส สิ่งที่คาดคะเนไว้ไม่ได้เป็นไปตามที่คิด โดยเฉพาะกิจกรรมทางการเกษตรที่ใหญ่เกินกว่าสันนิษฐานจากชื่อโรงเรียนได้

อาจารย์สกล แถบพยัคฆ์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอนุบาลห้วยคต (บ้านชุมทหารพัฒนา) และ อาจารย์นริศรา คำภาพัก ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอนุบาลห้วยคต (บ้านชุมทหารพัฒนา) ให้การต้อนรับผู้มาเยือน ที่สนใจนำข้อมูลการส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมภาคเกษตรของนักเรียนโรงเรียนอนุบาลห้วยคต (บ้านชุมทหารพัฒนา) ไปเผยแพร่ ผ่านนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน

อาจารย์นริศรา ให้ข้อมูลพื้นฐานของโรงเรียนอนุบาลห้วยคต (บ้านชุมทหารพัฒนา) ว่า เป็นโรงเรียนที่เปิดการเรียนการสอนระดับอนุบาลถึงระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อตั้งมาเมื่อ พ.ศ. 2526 บนพื้นที่ 15 ไร่ มีนักเรียน เกือบ 300 คน และมีบุคลากรทางการศึกษา 12 คน ซึ่งกิจกรรมในภาคเกษตรของโรงเรียน มีมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโรงเรียน เพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดหาอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียนรับประทาน ประกอบกับแหล่งซื้อวัตถุดิบมาประกอบอาหารในอดีตอยู่ห่างไกล รวมถึงต้องการให้เด็กได้รับประทานอาหารที่ปลอดสาร ความคิดริเริ่มทำการเกษตร นำผลผลิตที่ได้มาประกอบอาหารรับประทานเองจึงมีขึ้น

โชคไม่ดีเท่าไหร่นักที่เราไปในช่วงฤดูแล้ง ทำให้กิจกรรมหลายกิจกรรมไม่ค่อยสมบูรณ์ และบางกิจกรรมยกเลิกไป เพราะบุคลากรไม่เพียงพอ แม้ว่าจะมีอาจารย์สกล เป็นผู้ดูแลในปัจจุบัน ก็ยังถือว่าไม่สมบูรณ์เท่าไหร่นัก ด้วยสุขภาพของอาจารย์สกลไม่สู้ดี ทำให้บุคลากรที่เหลือต้องช่วยกันคนละไม้ละมือ รวมถึงเด็กนักเรียนที่ต้องรับบทหนัก รับผิดชอบกิจกรรมให้ได้ด้วยตนเอง

แต่ก็ไม่ถือเป็นความโชคร้ายของเด็กนักเรียนที่นี่ เพราะการให้รับผิดชอบกิจกรรมทางการเกษตรด้วยตนเองอย่างเต็มที่ ทำให้เด็กนักเรียนได้รับความรู้ทั้งในเชิงข้อมูลและภาคปฏิบัติ จนสามารถนำไปสานต่อกิจกรรมที่บ้าน เป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัวมาแล้วหลายครอบครัว

พื้นที่ทางการเกษตรของโรงเรียน มีประมาณ 5 ไร่ ประกอบไปด้วย บ่อเลี้ยงปลา การเลี้ยงหมูหลุม การเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์ การเลี้ยงไก่ไข่ การทำก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ แปลงผักสวนครัว และไม้ผล ซึ่งนักเรียนในทุกระดับชั้นจะมีโอกาสได้เข้าพื้นที่เกษตร แต่ยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติ ยกเว้นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ที่ได้ลงมือปฏิบัติจริงไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้ในภาคทฤษฎี

อาจารย์สกล กล่าวว่า กิจกรรมทางการเกษตรตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียน ในระยะแรกเป็นเพียงแปลงผักง่ายๆ การขุดบ่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง เลี้ยงปลาตามธรรมชาติในบ่อ และปลูกไม้ผลไม่มากนัก แต่ทั้งหมดก็ค่อยๆ เจริญเติบโตเป็นรูปธรรม ด้วยการพัฒนาของบุคลากรภายในโรงเรียน เพื่อให้ได้ผลผลิตตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ว่า ต้องการให้แปลงเกษตรที่ดำเนินอยู่ เป็นวัตถุดิบนำมาประกอบอาหารกลางวันให้กับเด็ก ซึ่งเป้าหมายที่วางไว้ต้องการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายจากผู้ปกครอง และต้องการให้เด็กได้เรียนรู้เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันและอนาคต

เด็กนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จะแบ่งกลุ่มตามกิจกรรมที่มีอยู่ จากนั้นจัดเวรดูแลกิจกรรมนั้นๆ ให้ครบทุกวัน ในวันเสาร์และอาทิตย์ นักเรียนจะตกลงกันเองตามความสะดวกของนักเรียนด้วยกันในกลุ่ม เพื่อให้กิจกรรมดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง และได้ผลผลิตที่เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งการแบ่งกลุ่มนั้น เด็กนักเรียนจะแบ่งกลุ่มตามความชอบในกิจกรรมนั้นๆ แต่ถึงอย่างไรก็จะหมุนเวียนกิจกรรมให้ได้ปฏิบัติเหมือนกันทั้งหมด เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ครบทุกกิจกรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ

ปัจจุบัน กิจกรรมที่พักไว้ชั่วคราวรอบุคลากรพร้อมแล้วจะสานต่อ คือ การเลี้ยงหมูหลุม การทำก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ และการเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์ ซึ่งทั้ง 3 สิ่ง เป็นกิจกรรมที่ช่วยปูพื้นฐานให้กับเด็กนักเรียนได้เป็นอย่างดี แต่เนื่องจากบุคลากรไม่เพียงพอ อีกทั้งยังประสบปัญหาพายุฤดูร้อนที่รุนแรง ส่งผลให้หลังคาบ่อซีเมนต์ที่ใช้เลี้ยงกบพังทลาย จึงต้องวางโครงการให้ดีและคำนวณระยะเวลาการเลี้ยงกบให้หลีกเลี่ยงช่วงที่อาจเกิดพายุฤดูร้อนไว้ด้วย

สำหรับแปลงผัก เป็นกิจกรรมที่สามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นกิจกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจและการปฏิบัติของเด็กนักเรียน ในทุกเช้าและเย็น เด็กนักเรียนที่รับผิดชอบจะลงแปลงผัก เพื่อรดน้ำ สังเกต และเก็บถอนวัชพืช มีให้ปุ๋ยบ้างตามระยะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งปุ๋ยที่ใช้นำมาจากศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อำเภอห้วยคต ที่ตั้งอยู่ไกลจากโรงเรียนไม่เท่าไหร่นัก

ไม้ผล มีไม่กี่ชนิด แต่ที่เห็นเป็นแปลงใหญ่ที่สุด คือ กล้วย อาจารย์สกล บอกว่า การปลูกกล้วยไว้จำนวนมาก เพราะพื้นที่บริเวณโรงเรียนมีลักษณะเป็นดินดาน ยากต่อการปลูกพืชให้ได้ผลผลิตดี เพราะดินขาดแร่ธาตุหลายชนิด ไม้ผลที่สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายชนิด และเจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพ ทั้งยังช่วยบำรุงดินให้มีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาอีก คือ กล้วย จึงปลูกกล้วยไว้เต็มแปลงหลายสิบต้น ซึ่งนอกจากกล้วยแล้ว บริเวณขอบบ่อเลี้ยงปลา โรงเรียนได้ปลูกส้มโอ มะขามเทศ มะม่วง สับปะรด ไว้อีกจำนวนหนึ่ง

ไก่ไข่ เป็นอีกกิจกรรมที่สร้างโรงเรือนไว้อย่างแน่นหนา เด็กนักเรียนจะเก็บไข่ไก่ วันละ 2 ครั้ง เช้าและบ่าย การให้อาหารและน้ำจะให้วันละ 2 ครั้ง เช่นเดียวกัน ส่วนการทำความสะอาด ในทุกวันเด็กนักเรียนที่เป็นเวรดูแลจะต้องเก็บกวาดขี้ไก่ไม่ให้หมักหมม และนำขี้ไก่ไปหมักรวมเป็นปุ๋ยชีวภาพ ปัจจุบัน มีไก่ไข่ ประมาณ 70 ตัว เก็บไข่ได้วันละไม่ต่ำกว่า 50 ฟอง ไข่ไก่ที่เก็บได้จะนำไปประกอบอาหารกลางวัน หากเหลือจะขายให้กับผู้ปกครองและครู

การเลี้ยงปลา ทำในบ่อ พื้นที่ 2 งาน เลี้ยงปลากินพืชและปลาที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งนักเรียนที่รับผิดชอบจะต้องนำเศษอาหารที่เหลือทิ้งในทุกวัน นำมาเป็นอาหารให้กับปลา ยกเว้นช่วงปิดเทอม หรือไม่มีเศษอาหารเหลือทิ้งจากโรงอาหาร ก็จะใช้อาหารสำเร็จรูปที่เตรียมไว้แทน อย่างไรก็ตาม การนำเศษอาหารเหลือทิ้งจากโรงอาหารในทุกวันมาเป็นอาหารปลา ก็เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงปลาลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ การจับปลามาเป็นอาหารจะหมุนเวียนกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่น และจะจับปลาในปริมาณที่ต้องการนำมาประกอบอาหารเท่านั้น เพื่อให้ปลาที่เหลืออยู่ขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนปลาในบ่อเลี้ยงต่อไป

ส่วนการเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์ จะลงกบในช่วงที่มั่นใจว่ามีบุคลากรช่วยดูแลเพียงพอ ครั้งละ 5,000 ตัว เมื่อกบเจริญเติบโตเต็มที่พร้อมขาย จะจับมาทำอาหาร ส่วนที่เหลือขายให้กับผู้สนใจในราคา กิโลกรัมละ 80 บาท

นอกเหนือจากการส่งเสริมการเกษตรภายในโรงเรียน อาจารย์นริศรา บอกด้วยว่า พื้นที่ภายในโรงเรียนมีจำกัด ดินไม่อุดมสมบูรณ์ ทำให้การเรียนรู้ไม่ครบถ้วนในทุกมุม จึงประสานกับศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อำเภอห้วยคต จัดพื้นที่ให้เด็กนักเรียนไปเรียนรู้ในวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ มีเจ้าหน้าที่ของศูนย์การเรียนรู้ฯ ถ่ายทอดการดูแลแปลงผัก การปลูกพืช การทำปุ๋ย นอกจากนี้ ยังให้ความรู้เรื่องการเลี้ยงเป็ดไข่ ซึ่งโรงเรียนไม่มีพื้นที่เลี้ยง แต่นักเรียนจะใช้พื้นที่ภายในศูนย์การเรียนรู้ฯ แห่งนี้เป็นที่ทดลองปฏิบัติ ซึ่งไข่เป็ดที่ได้จากศูนย์การเรียนรู้ฯ บางส่วน โรงเรียนจะนำไปประกอบอาหารให้กับนักเรียนด้วย

“การปลูกฝังเรื่องเกษตรให้เด็กเป็นสิ่งจำเป็น เพราะอนาคตเด็กจะทำไว้รับประทานเองที่บ้านได้ ประหยัดค่าใช้จ่าย บางรายอาจทำเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ให้กับครอบครัวเลยก็มี ซึ่งโรงเรียนก็เป็นเพียงสถานที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็ก แต่อีกมุมหนึ่ง เด็กนักเรียนก็สามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับครูและเพื่อนๆ ได้เช่นกัน เพราะพื้นฐานเด็กนักเรียนที่นี่ทำการเกษตรเกือบทุกครัวเรือน สิ่งที่นักเรียนเห็นผู้ปกครองทำ หรือเคยช่วยผู้ปกครองทำมาก่อน ก็จะนำมาสอนเพื่อนนักเรียนด้วยกัน เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างบ้านและชุมชน” อาจารย์นริศรา กล่าว

อาจารย์นริศรา กล่าวอีกว่า นักเรียนของโรงเรียนอนุบาลห้วยคตทุกคน จะได้กินข้าวและอาหารกลางวันฟรีทุกคน ปกติโรงเรียนที่ได้รับงบประมาณอุดหนุนจากรัฐบาลจะได้เป็นค่าอาหารกลางวันเท่านั้น แต่สำหรับโรงเรียนอนุบาลห้วยคต มีข้าวให้ด้วย ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครอง แม้ว่าจะไม่มาก แต่ก็เป็นการช่วยเหลือเด็กนักเรียน ซึ่งที่ผ่านมาโรงเรียนเคยได้รับรางวัลโครงการอาหารกลางวันยั่งยืนระดับประเทศ รางวัลโรงเรียนต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของโรงเรียนในการพัฒนาการเรียนและเด็กนักเรียน

เด็กหญิงพรทิพย์ จันทศรี หรือ น้องกรุ๊ป นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เล่าว่า ชอบกิจกรรมปลูกผักสวนครัวในโรงเรียนมากที่สุด เพราะผักที่ได้นำไปประกอบอาหาร ถ้าทำเป็นอาชีพก็สามารถส่งออกไปขายต่างประเทศได้ ครอบครัวทำไร่อ้อย เมื่อมีเวลาว่างก็ช่วยพ่อและแม่ทำไร่อ้อย แต่การทำไร่อ้อยยากกว่าการทำแปลงผัก เพราะต้องมีเงินทุนสูง ต้องวางระบบการปลูกให้ดี เพื่อให้ได้ผลผลิตสูง ขายได้ราคา

ส่วน เด็กหญิงปรางทิพย์ ไขประภาย หรือ น้องบิวตี้ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 บอกว่า ชอบการปลูกผักสวนครัวที่สุด เพราะปลูกง่าย การดูแลไม่ยาก ผลผลิตที่ได้นำไปประกอบอาหาร เหลือนำไปจำหน่าย และเป็นทางเลือกของเยาวชนในยุคนี้ที่ควรปลูกผักไว้รับประทานเอง เพื่อได้กินอาหารที่ปลอดสาร และลดค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือนลง

ด้าน เด็กหญิงศุคณฑา สมสุด หรือ น้องแพร นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กล่าวว่า ชอบทำการเกษตรมาก ความรู้ที่ได้จากโรงเรียนในการทำการเกษตรได้นำไปปรับใช้ที่บ้าน โดยเลี้ยงไก่ไข่ 15 ตัว และปลูกผักสวนครัว สิ่งที่อยากให้โรงเรียนเพิ่มเติมในแปลงเกษตร คือ การปลูกไม้ผล โดยเฉพาะมะขามเทศ เพราะมีวิตามินซีสูง และนำมารับประทานเล่นได้อีกด้วย

เด็กหญิงพลอยชมพู หมู่มาก หรือ น้องพลอย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กล่าวทิ้งท้ายว่า ชอบการเลี้ยงปลาและปลูกผัก การให้อาหารปลาโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย คือ การนำเศษอาหารเหลือทิ้งจากโรงอาหารมาให้ และควรสังเกตการกินของปลา หากปลาโผล่ขึ้นมากินอาหารน้อย แสดงว่าปลาเริ่มอิ่ม ควรให้อาหารโดยสังเกตการกินด้วย เพื่อไม่ให้อาหารเกินความต้องการมากเกินไป ถ้าอาหารมีมากเกินความต้องการจะทำให้น้ำเน่า ต้องแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลัง เพิ่มต้นทุนการผลิตอีกด้วย

แม้ว่าโรงเรียนอนุบาลห้วยคต (บ้านชุมทหารพัฒนา) จะเป็นโรงเรียนที่ได้รับรางวัลหลากหลายรางวัลมาแล้ว แต่การส่งเสริมและสนับสนุนในมุมของภาคเกษตร ก็ยังคงไม่เพียงพอ หากเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้เยาวชนได้รับความรู้ในเชิงเกษตรอย่างจริงจัง หน่วยงานใดต้องการสนับสนุน หรือเข้าศึกษาดูงาน ติดต่อได้ที่ อาจารย์นริศรา คำภาพัก โทรศัพท์ (095) 634-3179 หรือ อาจารย์สกล แถบพยัคฆ์ โทรศัพท์ (081) 284-0299

สมาชิกยุวเกษตรกรดีเด่นระดับประเทศ เผยเคล็ดลับเด็ด คว้ารางวัล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05088010259&srcday=2016-02-01&search=no

วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 616

เยาวชนเกษตร

สุจิต เมืองสุข

สมาชิกยุวเกษตรกรดีเด่นระดับประเทศ เผยเคล็ดลับเด็ด คว้ารางวัล

เปิดคอลัมน์เยาวชนเกษตร ของนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน ในปี 2559 ด้วยการนำแนวคิดของสมาชิกยุวเกษตรกรดีเด่นระดับประเทศ ของปี 2558 มาเปิดให้ได้เห็นในทุกแง่มุม

อันที่จริง เด็กชายพีรพงษ์ หลงศิริ ปัจจุบัน กำลังศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนวัดพลอยกระจ่างศรี (บุญยังราษฎร์นาวีอุปถัมภ์) ตำบลบางสมบูรณ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ภูมิลำเนาเป็นชาวอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เพราะบ้านที่อาศัยอยู่ปัจจุบัน ตั้งอยู่ หมู่ที่ 8 ตำบลดอนเกาะกา อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ห่างจากโรงเรียนไปเพียง 1 กิโลเมตร เรียกได้ว่าเป็นเด็กชาย 2 จังหวัด และรางวัลที่เด็กชายพีรพงษ์ได้รับไปนั้น ถือว่าเด็กชายพีรพงษ์เป็นเด็กเก่งที่มีความรู้ ความสามารถ ในเชิงเกษตรกรรมของทั้งจังหวัดนครนายก และ จังหวัดฉะเชิงเทรา

ด้วยวัยเพียง 12 ปี ซึ่งอาจจะดูยังเด็กนัก แต่เพราะเด็กชายพีรพงษ์เติบโตมาในชนบท แวดล้อมไปด้วยเกษตรกรรมและธรรมชาติ ทำให้เด็กชายพีรพงษ์ฉายแววแต่เด็ก เริ่มหยิบจับงานเกษตรภายในครอบครัวเท่าที่ทำได้ เมื่อก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียน วิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ซึ่งมีวิชาชีพเกษตรเป็นส่วนหนึ่งในวิชาเรียน ทำให้เด็กชายพีรพงษ์ เข้าใจตัวเองได้ทันทีว่า ชอบการเกษตรกรรม

“ตอนผมอยู่ประถมศึกษา ครูยังไม่ได้ให้หยิบจับอะไรอย่างเต็มที่นัก เพราะยังเล็ก แต่ผมก็ช่วยพี่มัธยมทำทุกอย่างที่พอจะทำได้ ถึงแม้ว่ายังเด็ก ทำไปเล่นไป แต่ก็ถือว่าได้ความรู้จากการลงมือทำ ผมเริ่มจากรดน้ำต้นไม้ และที่ทำบ่อยคือ ล้างคอกหมู เป็นงานที่สนุก แม้จะเลอะเทอะไปบ้าง แต่ผมก็ชอบ”

ตลอดการศึกษาในระดับประถมศึกษาตอนปลาย เด็กชายพีรพงษ์ บอกว่า การเรียนในวิชาอื่นเขาไม่ทิ้ง คงหมั่นฝึกฝนตลอด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งงานเกษตร เพราะถือเป็นงานที่รักและสนุกมาก สำหรับเด็กวัยประถมศึกษาคนนึง เมื่อโรงเรียนจัดตั้งกลุ่มยุวเกษตรกรขึ้น เด็กชายพีรพงษ์ก็ไม่พลาดที่จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม กระทั่งมีการคัดเลือกสมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรภายในจังหวัดเพื่อเป็นตัวแทนระดับจังหวัด ไปแข่งระดับประเทศ เด็กชายพีรพงษ์ ก็ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งคัดเลือกเป็นตัวแทนจังหวัด

ปัจจัยที่ทำให้เด็กชายพีรพงษ์บอกว่า เป็นปัจจัยที่ทำให้เขาได้มีโอกาสเป็นตัวแทนโรงเรียน ก้าวไปสู่ตัวแทนในระดับจังหวัดไปแข่งในระดับประเทศ และท้ายที่สุดคือการคว้ารางวัลสมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรระดับประเทศมาครอง คือ ประสบการณ์ที่เขาได้หยิบจับด้านการเกษตรมาโดยตลอด

ประสบการณ์จริงที่เด็กชายพีรพงษ์เล่า จับใจความได้ว่า ตลอดการศึกษาชั้นประถมศึกษาตอนปลาย เขารับหน้าที่ล้างคอกหมู รดน้ำผัก ช่วยเหลือกิจกรรมเกษตรทุกชนิด กระทั่งเลื่อนระดับการศึกษาขึ้นเป็นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้ก้าวเข้าสู่กิจกรรมเกษตรภายในโรงเรียนเต็มตัว โดยเป็นประธานกลุ่มโรงสีข้าว และ ประธานกลุ่มปศุสัตว์ ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2

กิจกรรมการเกษตรภายในโรงเรียน เป็นสิ่งที่เด็กชายพีรพงษ์ปฏิบัติในทุกวันอย่างไม่บกพร่อง เมื่อรู้ตัวว่ารักเกษตรกรรม ก็หันกลับไปมองที่บ้าน ซึ่งมีพื้นฐานอาชีพเกษตรอยู่แล้ว โดยเด็กชายพีรพงษ์ เล่าให้ฟังว่า เริ่มคิดอยากทำเกษตรด้วยตนเองที่บ้าน เมื่อครั้งศึกษาอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยเริ่มต้นจากการปลูกผักสวนครัว เช่น พริก กะเพรา โหระพา ผักบุ้ง เท่าที่พอจะทำได้

เด็กชายพีรพงษ์ อาศัยอยู่กับพ่อเพียง 2 คน พี่ชายไปเรียนอยู่ต่างจังหวัด ส่วนแม่ทำงานในตัวอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จึงกลับบ้านไม่บ่อยนัก เมื่ออยู่กับพ่อเพียง 2 คน ภาระงานบ้านในครัวเรือนจึงตกเป็นของเด็กชายพีรพงษ์ เพราะพ่อต้องทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัว ด้วยการประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่ทำอยู่อย่างเต็มที่ เด็กชายพีรพงษ์ มีแนวคิดทำการเกษตรที่บ้าน เพราะเห็นว่าน่าจะเป็นหนทางหนึ่งในการช่วยลดค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือน หรือหากจะได้มากกว่านั้น ก็คือนำไปใช้เป็นทุนในการศึกษา เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวในการเรียนของตนเอง

“ผมปลูกผักสวนครัวก็เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำกับข้าว เช่น ตะไคร้ พริก กะเพรา ยี่หร่า ข่า มะกรูด มะนาว ผมเรียนรู้การทำการเกษตรบางส่วนจากพ่อ เช่น การปรับสภาพน้ำในบ่อกุ้ง เพราะที่บ้านทำบ่อกุ้ง พื้นที่ 2 ไร่ นอกจากนี้ยังต้องจ่ายตลาดและทำกับข้าวด้วยตนเอง โดยเรียนรู้จากแม่ครัวในโรงเรียน เพื่อประกอบอาหารกินในครัวเรือน ซึ่งเมล็ดพันธุ์ที่นำมาปลูกที่บ้านก็ขอแบ่งจากโรงเรียนบ้าง”

“การปลูกผักสวนครัว เป็นเพียงการเริ่มต้นที่ไปได้ดี” เด็กชายพีรพงษ์ บอก และเล่าต่อว่า ผักสวนครัวทำมาได้ประมาณ 1 ปี เริ่มอยากเลี้ยงสัตว์ จึงเริ่มเลี้ยงเป็ดไข่ เพราะไข่เป็ดเก็บมากิน ขาย ทั้งยังขายเนื้อเป็ดหลังจากหมดไข่ได้อีก ซึ่งเป็ดที่เลี้ยงมีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ คือ พันธุ์นครปฐม พันธุ์ปากน้ำ และพันธุ์กากี แคมพ์เบลล์ เริ่มจากการทำเล้าให้เป็ดไข่ ขนาด 4×4 เมตร ให้อาหารเช้าและเย็น ตอนกลางวันปล่อยให้หาอาหารกินเองในบ่อเล็กๆ ที่มีน้ำไหลเข้ามาจากแม่น้ำใกล้ๆ เหมือนการเลี้ยงปล่อย ระยะแรกที่เป็ดไข่ก็เก็บไข่มากิน เหลือก็ขายให้ในชุมชน หากยังเหลืออีกก็นำมาทำไข่เค็ม ที่ผ่านมาขายไข่เป็ดในราคา 90-100 บาท ต่อ 30 ฟอง ไข่เป็ดที่เหลือแล้วนำไปทำไข่เค็ม การฝึกทำไข่เค็มหลังจากที่ได้เรียนรู้จากโรงเรียน เมื่อทำไข่เค็มล็อตแรกแล้วเสร็จ ก็นำไปให้เพื่อนบ้านใกล้เคียงชิม ซึ่งก่อนหน้าเลี้ยงเป็ดไข่ เด็กชายพีรพงษ์ ยังทดลองเลี้ยงไก่ไข่ 10 ตัว ทำโรงเรือนให้ หลังจากไก่ไข่ให้ไข่ ก็เก็บไข่กิน เหลือเก็บขายเช่นเดียวกัน

ปัจจุบัน บริเวณที่พักอาศัยยังมีพื้นที่ว่างบริเวณขอบบ่อกุ้ง แต่ดินยังคงเป็นดินเปรี้ยวเช่นเดียวกับบริเวณโรงเรียน เด็กชายพีรพงษ์จึงฟื้นฟูสภาพดินด้วยการรดน้ำหมักชีวภาพ ใส่ปุ๋ยคอก และพรวนดิน อย่างสม่ำเสมอ ทำให้บริเวณขอบบ่อบางจุดสภาพดินเริ่มดี เด็กชายพีรพงษ์จึงหาพืชที่ดูแลง่ายมาลงปลูก และได้กล้วยหอมทองต้นเตี้ยมาลงตามแนวขอบบ่อ 30 ต้น และปลูกพืชอื่นเสริม เช่น ฟักทอง น้ำเต้า ผักบุ้งจีน ทั้งยังแยกหน่อกล้วยหอมทองต้นเตี้ยไว้ หากมีใครติดต่อขอซื้อก็แบ่งขาย เป็นรายได้อีกทาง

กบบูลฟร็อก ก็เป็นประมงอีกชนิดที่เด็กชายพีรพงษ์เลือกทำ เขาซื้อลูกกบมาในราคา ตัวละ 2 บาท ค่อยๆ เลี้ยงจนกระทั่งกบเจริญเติบโต ได้น้ำหนักที่สามารถจับขายได้ และสามารถขายได้ในราคา กิโลกรัมละ 70 บาท

ประสบการณ์ที่เด็กชายพีรพงษ์เล่า เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่เด็กชายพีรพงษ์นำไปเป็นพื้นฐานในการแข่งขันสมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรระดับประเทศ เมื่อถามเด็กชายพีรพงษ์ถึงประสบการณ์ที่นำไปแข่ง เด็กชายพีรพงษ์ บอกว่า เรียบเรียงมาจากประสบการณ์จริงและสิ่งที่สนใจ โดยเริ่มจากครูที่ปรึกษากลุ่มยุวเกษตรกรของโรงเรียนเป็นคนวางกรอบการนำเสนอให้ แต่เนื้อหาการนำเสนอระหว่างที่แข่งขัน เป็นสิ่งที่เด็กชายพีรพงษ์คิดขึ้นมาในขณะนั้นแล้วพูดสดออกไปทันที ไม่ได้ตระเตรียมเนื้อหาการพูดไว้ล่วงหน้า โดยประเด็นหลักที่เด็กชายพีรพงษ์เห็นว่า ควรมีในทุกสถานการณ์ เพราะเป็นแนวคิดและหลักของการทำการเกษตร คือ การใช้ศาสตร์ 3 ศาสตร์ เข้ามาจัดการ ได้แก่ 1. ศาสตร์ชาวบ้าน คือการนำภูมิปัญญาชาวบ้านหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ ศาสตร์สากล คือ การนำงานวิจัยที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ และศาสตร์พระราชา คือ การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาดำเนินการ

“การกำจัดศัตรูพืช มองอย่างง่ายก็ใช้แมลงกำจัดแมลงด้วยกันเอง เช่น การปล่อยให้แมลงหางหนีบ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของตัวห้ำ ช่วยกำจัดเพลี้ยที่มาลงแปลงผัก นำน้ำหมักชีวภาพ (EM) ผสมกับปุ๋ยคอก ทำเป็นแก๊สชีวภาพ ใช้ลดต้นทุนภายในครัวเรือน เป็นต้น”

เด็กชายพีรพงษ์ ยกตัวอย่างการแก้ปัญหาในพื้นที่อำเภอองครักษ์ โดยยกตัวอย่างพื้นที่ภายในโรงเรียน ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินเปรี้ยว การแก้ปัญหาเพื่อให้ปลูกพืชได้ คือ การนำน้ำหมักชีวภาพ (EM) มารด พรวนดินบ่อยๆ ใส่ปุ๋ยคอก ดินที่สภาพเป็นดินเปรี้ยวจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนสภาพเป็นดินเค็ม ซึ่งการนำน้ำหมักชีวภาพ (EM) พรวนดินและใส่ปุ๋ยคอก จะช่วยฟื้นฟูแร่ธาตุในดิน แต่ต้องทำเป็นประจำจึงจะช่วยฟื้นสภาพดินได้

ปัญหาที่สำคัญที่เกิดขึ้นในพื้นที่อำเภอองครักษ์ คือ พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก จะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี แต่ละครั้งจะท่วมนาน 2-3 เดือน การแก้ปัญหาส่วนนี้ เด็กชายพีรพงษ์ บอกว่า จำเป็นต้องปลูกพืชหนีน้ำ โดยการปลูกพืชใส่กระสอบหรือกระถาง เมื่อเกิดภาวะน้ำท่วมก็ย้ายกระสอบหรือกระถางปลูกไปไว้ในที่ที่ไม่ถูกน้ำท่วม ก็จะช่วยต่อชีวิตพืชได้

แม้เด็กชายพีรพงษ์จะได้รับรางวัลระดับประเทศ แต่ฐานะความเป็นอยู่ของเด็กชายตัวเล็กๆ คนนี้ก็ไม่ได้ดีขึ้น โดยเด็กชายพีรพงษ์ ตั้งความหวังไว้ว่า อยากปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ แต่ที่ยังไม่ได้ทำ เพราะต้องใช้ทุนค่อนข้างสูง และอนาคตอยากเรียนทางด้านวิศวกลการเกษตร แต่ยังขาดทุนทรัพย์ทางการศึกษา หากท่านใดยินดีสนับสนุนก็ขอน้อมรับ

ในท้ายที่สุดของการพูดคุย เด็กชายพีรพงษ์ฝากถึงพี่น้องเยาวชนด้วยกัน ให้มองเห็นคุณค่าของการเกษตรกรรม เพราะเป็นรากฐานที่สำคัญของการดำรงชีวิต หากคิดจะทำการเกษตรไม่ต้องกลัวขาดทุน เพราะก่อนลงมือทำสิ่งใด ควรศึกษาหาความรู้ให้แน่นและแม่นยำ หากยังไม่แน่ใจ ไม่ควรเสี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ปัญหาสามารถเกิดขึ้นได้ตลอด ดังนั้น หากพบกับปัญหาก็ควรแก้ไข เพราะปัญหามีไว้ให้แก้ เพียงแต่อย่าท้อเท่านั้นเป็นพอ

สนใจแนวคิดของ เด็กชายพีรพงษ์ หลงศิริ ติดต่อได้ที่ บ้านเลขที่ 42 หมู่ที่ 8 ตำบลดอนเกาะกา อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา โทรศัพท์ (094) 851-7247 หรือโรงเรียนวัดพลอยกระจ่างศรี (บุญยังราษฎร์นาวีอุปถัมภ์) ตำบลบางสมบูรณ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก

ปลุกวัยใส ตื่นรู้ ที่มาอาหารปลอดภัย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05093150159&srcday=2016-01-15&search=no

วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 615

เยาวชนเกษตร

ธนสิทธิ์

ปลุกวัยใส ตื่นรู้ ที่มาอาหารปลอดภัย

เมื่อโลกเปลี่ยนแปลง วิถีการดำเนินชีวิตคนก็เปลี่ยนไป ความเร่งรีบเพื่อให้ก้าวทันตามเข็มนาฬิกาที่หมุนผ่านไปในแต่ละวัน ทำให้หลงลืมรายละเอียดสำคัญบางอย่างของชีวิต โดยเฉพาะเรื่องพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ความสะดวกสบายทำให้ลืมคำนึงความปลอดภัยต่อสุขภาพ เปิดช่องว่างให้สารเคมีที่ปนเปื้อนมากับอาหารเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย ส่งผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ตามมามากมาย ซึ่งไม่เฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น แต่เด็กที่ภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงพอ เมื่อร่างกายได้รับสารพิษ โอกาสเสี่ยงเป็นโรคสูงกว่าคนทั่วไป

ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิสังคมสุขใจ หนึ่งในองค์กรที่ตระหนักและเห็นถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงได้จัดโครงการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ในโรงเรียนขึ้น ภายใต้โครงการสามพรานโมเดล โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้คัดเลือกโรงเรียนในพื้นที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม จำนวน 10 โรงเรียน เข้าร่วมกิจกรรมนำร่อง สร้างองค์ความรู้การทำเกษตรอินทรีย์ครบวงจร เพื่อปลุกจิตสำนึกและกระตุ้นให้เยาวชนตื่นรู้เท่าทันพิษภัยของสารเคมี ใส่ใจเรื่องสุขภาพ และรู้จักเลือกอาหารปลอดภัยได้ด้วยตัวเอง

คุณอรุษ นวราช กรรมการผู้จัดการ สามพราน ริเวอร์ไซด์ และเลขาธิการมูลนิธิสังคมสุขใจ ในฐานะผู้ริเริ่มและขับเคลื่อนโครงการ กล่าวว่า โครงการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ในโรงเรียน เป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้โครงการสามพรานโมเดล จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการสร้างเกราะคุ้มกันภัยด้านสุขภาพ โดยการสร้างองค์ความรู้เรื่องการผลิตห่วงโซ่อาหารอินทรีย์ สอนให้เด็กรู้จักเลือกอาหารปลอดภัย และตระหนักถึงพิษภัยของสารเคมีที่ปนเปื้อนมากับอาหาร

“เราต้องปลุกพลังคนรุ่นใหม่ ให้หันมาเอาใจใส่สุขภาพของตนเองตั้งแต่ร่างกายยังแข็งแรง สอนให้เห็นถึงพิษภัยของสารเคมีที่แฝงมากับอาหาร แนะให้เขารู้จักเลือกอาหารปลอดภัย และเรียนรู้ที่จะผลิตห่วงโซ่อาหารอินทรีย์ได้เอง เพราะการที่สุขภาพจะสมบูรณ์ แข็งแรง นั้น ไม่ใช่เพียงแค่การออกกำลังกาย หากแต่อาหารที่รับประทานเข้าไปมีส่วนสำคัญยิ่ง เมื่อร่างกายได้รับอาหารที่ดี สุขภาพก็จะแข็งแรง สติปัญญาดี ผลการเรียนก็ย่อมดีตามมาด้วย” คุณอรุษ ให้เหตุผลที่ต้องปลุกเยาวชนให้ตื่นรู้ และรู้จักเลือกอาหารปลอดภัยให้กับตัวเอง

ด้าน อาจารย์เกษมสันต์ มีจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านดงเกตุ หนึ่งในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ บอกว่า โรงเรียนให้ความสำคัญกับสุขภาพเด็กอยู่แล้ว โดยดำเนินกิจกรรมตามปรัชญาหลักทฤษฎีเกษตรพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ปลูกผักไว้กินเอง แต่พอโครงการนี้เข้ามา มันช่วยเติมเต็มในเรื่องของการทำเกษตรอินทรีย์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเห็นด้วยอย่างยิ่งที่มูลนิธิให้ความสำคัญเรื่องอาหารปลอดภัย เพราะการที่เด็กๆ ได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง ทำให้เขาได้ซึมซับวิธีการผลิตอาหารอินทรีย์ตั้งแต่วัยเยาว์ และที่สำคัญนอกจากช่วยโรงเรียนประหยัดงบประมาณในการซื้ออาหารกลางวันได้อีกส่วนแล้ว เด็กยังได้กินอาหารที่ปลอดสารเคมี อย่างน้อย 1 มื้อ ต่อวัน

“เด็กที่นี่ส่วนใหญ่พ่อแม่มีอาชีพรับจ้าง ฐานะค่อนข้างยากจน และกว่า 40% เป็นเด็กนอกพื้นที่ ส่วนหนึ่งเป็นเด็กชาวเขา ซึ่งเด็กเหล่านี้โอกาสในการเลือกกินอาหารมีน้อย แม้จะได้รับประทานอาหารกลางวันที่โรงเรียน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย เพราะบางช่วงที่ไม่มีผลผลิต เราต้องสั่งซื้อวัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารมาจากตลาด โอกาสเสี่ยงต่อสารเคมีปนเปื้อนสูงมาก หากเด็กได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายสะสมเป็นเวลานานๆ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บมากกว่าเด็กทั่วๆ ไป เราจึงต้องสร้างเกราะคุ้มกันให้พวกเขา ฝึกสุขนิสัยการกินตั้งแต่วัยเยาว์ เพื่ออนาคตพวกเขาจะได้เติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา”

การทำเกษตรอินทรีย์นั้น ใครๆ ก็ทำได้ แต่จะทำให้ประสบผลสำเร็จ ได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ ต้องอาศัยองค์ความรู้ที่หลากหลาย มาปรับประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ และชนิดของพืชผักที่ปลูก

อาจารย์เกษมสันต์ บอกว่า ทางโรงเรียนไม่มีความรู้ในเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ รู้เพียงแต่ไม่ใช้สารเคมี ซึ่งจริงๆ แล้ว ทุกขั้นตอนต้องสัมพันธ์กัน ทั้งเรื่องน้ำ ดิน ปุ๋ย การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยวผลผลิต จึงส่งเจ้าหน้าที่ไปอบรบหลักสูตรการทำเกษตรอินทรีย์กับโครงการ ได้ความรู้กลับมาถ่ายทอดให้กับเด็กๆ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ สอนให้ทำปุ๋ยหมัก ทำสารสกัดไล่แมลงสูตรต่างๆ เด็กๆ เริ่มสนุกกับการเรียนรู้ในห้องเรียนธรรมชาติที่ได้ลงมือทำจริงด้วยตัวเอง เพราะบางคนไม่เคยจับจอบ จับเสียม เลย

“ยิ่งช่วงเวลาที่ผักกำลังเติบโตงอกงาม ทั้ง ผักบุ้ง คะน้า กวางตุ้ง และผักอื่นๆ มองดูเขียวขจีเต็มแปลง เด็กๆ เขาจะภูมิใจและเฝ้ารอวันเก็บเกี่ยว เพื่ออวดผลงานของตัวเอง ยิ่งมื้อที่ได้รับประทานเมนูอาหารที่ปลูกเอง เด็กจะเกิดความภูมิใจ และเห็นคุณค่าของอาหาร เพราะกว่าผักชุดหนึ่งจะออกมา เขาต้องใช้เวลา ต้องดูแลประคบประหงม นาน 2-3 เดือน ขณะเดียวกันเด็กได้เรียนรู้ทักษะการทำงาน และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์” อาจารย์เกษมสันต์ กล่าว

เสียงใสๆ สะท้อนจากใจเกษตรกรตัวน้อยๆ อย่าง เด็กชายภารดร แซ่โง้ว น้องนัท เด็กนักเรียน ชั้น ป.6 บอกว่า ที่บ้านไม่มีพื้นที่ ไม่เคยทำเกษตรมาก่อน แต่พอได้ทำรู้สึกชอบ และสนุกกับมัน เพราะได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ได้ผลผลิตมานำเข้าห้องครัวของโรงเรียน ปรุงอาหารให้กับเพื่อนนักเรียนได้กินกัน รู้สึกมีความสุขที่เห็นอาหารที่ไม่มีสารพิษ และกิจกรรมนี้มีประโยชน์มาก เราเคยแต่ซื้อผักกิน พอมาทำเองทำให้เรารู้ขั้นตอนการผลิตอาหาร รู้ว่ากว่าเกษตรกรได้ผักมาขายให้เรา เขาต้องใช้เวลาดูแลนานพอสมควรและต้องมีความอดทน ถ้าเลือกได้ หนูอยากเลือกอาหารที่ปลอดภัยให้กับตัวเอง

ช่วงเวลาหลังเลิกเรียน 1 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น ทุกๆ วัน เด็กหญิงเกศินี ตั้งธรรมกร น้องก้อย นักเรียน ชั้น ป.5 จะต้องไปที่แปลงเพื่อเฝ้าดูการเจริญเติบโตของผักที่เขาปลูกไว้ คอยรดน้ำ พรวนดิน ถอนหญ้า เขาบอกว่า มีความสุขกับการได้ทำสิ่งนี้ เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เด็กๆ ควรจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะพ่อแม่ต้องทำงาน เราต้องกินอาหารทุกวัน ถ้าเราไม่รู้จักเลือกหรือไม่รู้การผลิตอาหารด้วยตัวเอง จะทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ ได้ง่าย ส่งผลเสียต่อการเรียน และความรู้เหล่านี้เราสามารถนำไปทำได้เองที่บ้าน ปลูกผักสวนครัวในกระถางไว้กินเอง ไม่ต้องซื้อที่ตลาด เสี่ยงต่อสารเคมี

ดัชนีบ่งชี้ความสุข ความแข็งแรงของร่างกาย ไม่ใช่เพียงแค่การออกกำลังกายเท่านั้น หากแต่การได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์และปลอดภัยจากสารเคมีก็มีส่วนสำคัญยิ่ง แม้เกษตรกรตัวน้อยๆ เหล่านี้ยังเล็กนัก แต่อย่างน้อยวันนี้พวกเขาก็ได้ซึบซับในสิ่งที่ครูได้บ่มเพาะเกี่ยวกับการผลิตห่วงโซ่อาหารแบบไม่พึ่งพาสารเคมี ทั้งปลูกผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ ทำให้เขาเกิดจิตสำนึก และเห็นคุณค่ารู้จักเลือกอาหารปลอดภัยให้กับตัวเอง

6 โรงเรียนนำร่อง บ้านค่าย ระยอง พัฒนาคุณภาพชีวิต โรงเรียนเป็นศูนย์กลาง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05091151258&srcday=2015-12-15&search=no

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613

เยาวชนเกษตร

สุจิต เมืองสุข

6 โรงเรียนนำร่อง บ้านค่าย ระยอง พัฒนาคุณภาพชีวิต โรงเรียนเป็นศูนย์กลาง

ในอดีต วัดและโรงเรียนเป็นสถานที่สำคัญ เป็นศูนย์กลางของชุมชน หากชุมชนเข้มแข็งก็จะช่วยส่งเสริมให้โครงสร้างเศรษฐกิจของชุมชนมีความเข้มแข็งที่ยั่งยืนไปพร้อมกัน มุมมองการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน และการส่งเสริมโครงสร้างเศรษฐกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็งนั้น บริษัท สยามลวดเหล็กอุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าลวดเหล็กแรงดึงสูงสำหรับงานคอนกรีตอัดแรง และลวดเหล็กตีเกลียว ที่ใช้ในการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เล็งเห็นถึงการดำเนินธุรกิจที่ต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โครงการ “การพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยมีโรงเรียนเป็นศูนย์กลาง” จึงเริ่มขึ้น

คุณนิกร อ่อนอ่อง รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส-ทรัพยากรบุคคลและบริหารงานทั่วไป บริษัท สยามลวดเหล็กอุตสาหกรรม จำกัด กล่าวว่า โครงการการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยมีโรงเรียนเป็นศูนย์กลาง เริ่มขึ้นเมื่อปี 2555 โดยนำร่องพัฒนา 6 โรงเรียน จาก 11 หมู่บ้าน ในพื้นที่ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง โดยได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเกษตรและการบริหารจัดการ โดยแบ่งการดำเนินกิจกรรมออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ การมีส่วนร่วมและสร้างความเข้มแข็งของชุมชน การจัดตั้งหน่วยธุรกิจเพื่อสังคมในโรงเรียนและโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน การฝึกอบรมครูและผู้นำ การพัฒนาด้านสังคม และ กองทุนเงินกู้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ

6 โรงเรียนนำร่อง ได้แก่ โรงเรียนบ้านหนองละลอก โรงเรียนวัดละหารไร่ โรงเรียนวัดดอนจันทน์ โรงเรียนบ้านมาบตอง โรงเรียนวัดหนองกระบอก และ โรงเรียนวัดเชิงเนิน

เป็นโอกาสที่ดีของโรงเรียนนำร่อง ทั้ง 6 แห่ง ที่มีหน่วยงานที่มีความรู้เฉพาะทางมาช่วยส่งเสริม และสนับสนุนในการดำเนินกิจกรรมการเกษตรภายในโรงเรียน ทั้งยังส่งเสริมกิจกรรมภายในชุมชน เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งที่ยั่งยืน ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

โรงเรียนบ้านหนองละลอก 1 ใน 6 โรงเรียนนำร่อง ที่นี่มีแปลงเกษตรให้นักเรียนบริหารจัดการ เพื่อเรียนรู้เทคนิคด้านการเกษตร เช่น การปลูกมะนาวนอกฤดู การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ การปลูกพืชสมุนไพร การเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้นักเรียนได้นำความรู้ที่ได้รับไปต่อยอดในเรื่องของการสร้างอาชีพ และการสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวในอนาคต ซึ่งผลผลิตที่ได้จากการทำการเกษตรภายในโรงเรียน มีการบริหารจัดการโดยนำเข้าสู่ระบบสหกรณ์ของโรงเรียน จากนั้นซื้อในราคาถูก นำมาใช้ประกอบอาหารตามโครงการอาหารกลางวันสำหรับนักเรียน ส่วนผลผลิตที่เหลือจะนำไปจำหน่ายในตลาดชุมชน เป็นรายได้คืนให้กับนักเรียนเมื่อสิ้นสุดการเรียนในแต่ละปีการศึกษา

นอกเหนือจากการทำการเกษตรในรูปของการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลผลิต สร้างรายได้ ลดรายจ่ายแล้ว ยังมีการจัดตั้งธนาคารพัฒนาชุมชนและโรงเรียน ซึ่งเริ่มดำเนินการมาแล้วกว่า 1 ปี โดยจัดตั้งในโรงเรียนนำร่อง 6 แห่ง เช่นเดียวกัน

โดย บริษัท สยามลวดเหล็กฯ จัดเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมการบริหารจัดการในระบบธนาคารให้กับนักเรียนและชุมชน เพื่อให้นักเรียนได้รับความรู้ในการบริหารจัดการระบบธนาคาร ต่อยอดไปถึงการบริหารจัดการรายได้มีความสมดุลในอนาคต ส่วนชุมชนก็สามารถเริ่มธุรกิจขนาดเล็ก และสร้างรายได้ภายในชุมชนได้ ซึ่งปัจจุบันมีชาวบ้านเป็นสมาชิกของธนาคาร จำนวน 306 คน และจำนวนหนึ่งเริ่มธุรกิจขนาดเล็กในชุมชนแล้ว เช่น การทำสวนมะนาว การทำขนมขาย เปิดร้านขายของชำ การเพ้นท์แก้ว การเลี้ยงปลา การเพาะเห็ด เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดสามารถเพิ่มรายได้ภายในครัวเรือนมากขึ้น 30-40 เปอร์เซ็นต์

อาจารย์ภัสราภรณ์ ธีร์ธนพงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองละลอก กล่าวว่า ปัจจุบัน โรงเรียนบรรจุวิชาการเกษตรไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอน โดยจะเน้น 2 สาระสำคัญ คือ 1. การงานอาชีพ ซึ่งจะรวมวิชาการเกษตรเข้าไปด้วย โดยคุณครูประจำชั้นจะพานักเรียนมาเรียนที่แหล่งเรียนรู้การเกษตร และ 2. สังคม ศาสนา และวัฒนธรรม โดยจะสอดแทรกแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อปลูกฝังให้เด็กนักเรียนรู้จักการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง เห็นคุณค่าของทรัพยากรต่างๆ มีจิตสำนึกรักสิ่งแวดล้อม ผ่านการทำกิจกรรมร่วมกันจากแหล่งเรียนรู้การเกษตร โดยจะแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบตามระดับชั้น เด็กเล็ก ก็จะมีหน้าที่รดน้ำ ถอนหญ้า ส่วนเด็กโต ก็จะมีหน้าที่พรวนดิน ให้ปุ๋ย เก็บผลผลิต เป็นต้น

“ตอนแรกโรงเรียนก็ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน แต่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจาก บริษัท สยามลวดเหล็กฯ และมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ และจัดส่งเจ้าหน้าที่มาให้ความรู้ สอนเทคนิคการดำเนินกิจกรรมเกษตร การบริหารการเงินในรูปแบบของธนาคาร เพื่อให้มีการออมและสร้างรายได้เพิ่มจากอาชีพที่ทำอยู่ ทำให้นักเรียนและชุมชนมีแหล่งเรียนรู้การเกษตรที่เป็นรูปธรรม รู้เทคนิคการทำเกษตรตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต อีกทั้งยังได้ฝึกทักษะการทำงาน และความรับผิดชอบให้กับนักเรียน ส่วนการเก็บเกี่ยวผลผลิตในแต่ละวัน นักเรียนก็จะนำไปจำหน่ายให้กับผู้ปกครองที่มารอรับนักเรียนในตอนเย็น ซึ่งสามารถสร้างรายได้ประมาณ 2,000-3,000 บาท ต่อเดือน โรงเรียนจะนำเงินส่วนนี้ไปซื้อดิน หรือเมล็ดพันธุ์ เพื่อนำมาปลูกใหม่หมุนเวียนต่อไป”

เพราะกิจกรรมนี้ ทำให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีโครงการเยี่ยมบ้านนักเรียน ปีละ 2 ครั้ง เพื่อติดตามดูการนำความรู้ของนักเรียนที่ได้ไปใช้ประโยชน์ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า ความรู้จากนักเรียนถ่ายทอดสู่ผู้ปกครองไปด้วย ซึ่งถือเป็นความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชนอีกทางหนึ่ง

เด็กหญิงธารารัตน์ เดชกุลรัมย์ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองละลอก เล่าว่า ปัจจุบัน ที่บ้านประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป และปลูกพืชสวนครัวไว้รับประทานกันเอง เช่น มะเขือ ผักชี พริก ต้นหอม เป็นต้น โดยนำเมล็ดพันธุ์จากที่โรงเรียนมาปลูก ส่วนใหญ่ใช้เวลาหลังเลิกเรียนหรือวันหยุด ช่วยรดน้ำ ถอนหญ้า หรือบางทีก็ไปช่วยพ่อกับแม่เก็บผลผลิต แต่ถ้าช่วงไหนที่เก็บได้เยอะก็จะแบ่งไปขาย และแบ่งปันให้เพื่อนบ้านใกล้เคียง

ด้าน เด็กหญิงวัชราภรณ์ โจมเสนาะ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กล่าวว่า อาศัยอยู่กับลุงและป้า โดยที่บ้านประกอบอาชีพกรีดยาง และขายของชำ ทั้งยังปลูกถั่วฝักยาว ผักกวางตุ้ง ฟักทอง ไว้กินในครัวเรือน เพราะมีพื้นที่ปลูกไม่มาก นำความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรมสวนเกษตรในโรงเรียนมาช่วยผู้ปกครองปลูก ทำให้รู้ว่า ผักแต่ละประเภทปลูกอย่างไร ดูแลอย่างไร ซึ่งหากมีปัญหาเรื่องเกษตรก็สามารถไปปรึกษาคุณครูที่ดูแลสวนเกษตรได้ รู้สึกสนุกและมีความสุขที่ได้ช่วยลุงกับป้าทำงาน

ส่วน คุณโชติชัย บัวดิษ ผู้จัดการธนาคารชุมชนบ้านมาบตอง ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง 1 ในพื้นที่ดำเนินการนำร่อง เล่าว่า ความสำคัญของการจัดตั้งโครงการธนาคารชุมชน คือ การมุ่งเน้นการส่งเสริมอาชีพและสร้างวินัยการออมให้กับชุมชน ด้วยการสนับสนุนเงินทุนธนาคาร จาก บริษัท สยามลวดเหล็กฯ ปัจจุบัน มีสมาชิก 112 คน วงเงินกู้รวมกว่า 500,000 บาท โดยมีการบริหารจัดการธนาคารตามระบบธนาคารจริง ซึ่งภาพรวมพื้นฐาน คนในชุมชนส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างถิ่นและหลากหลายอาชีพ เช่น ทำการเกษตร ปลูกมัน ขายก๋วยเตี๋ยว ขายข้าวแกง ซื้อขายผลไม้ เป็นต้น

“เราต้องมีการตรวจสอบข้อมูลของผู้กู้แต่ละรายก่อนว่าประกอบอาชีพอะไร รวมถึงการติดตามผลว่า เมื่อรับเงินไปแล้ว นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์หรือไม่ หรือประกอบอาชีพแล้วเป็นอย่างไรบ้าง เราก็จะให้คำปรึกษาในด้านต่างๆ ตลอดจนช่วยเหลือในการหาตลาดให้กับชุมชนด้วย นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขว่า สมาชิกที่มาสมัครจะต้องซื้อหุ้นกู้ ตั้งแต่ 20 บาท แต่ไม่เกิน 2,000 บาท และจะได้รับเงินปันผลทุกสิ้นปี โดยมีข้อกำหนดว่า สมาชิกแต่ละคนจะต้องฝากสัจจะออมทรัพย์ ซึ่งต้องฝากทุกเดือน ไม่เกิน 500 บาท ดังนั้น ถ้าเรามีสมาชิกมากเราก็จะมีเงินหมุนเวียนในระบบธนาคารที่ดีขึ้น ที่สำคัญสมาชิกแต่ละรายก็จะมีเงินออมทุกเดือนไปโดยปริยาย ซึ่งจากการดำเนินโครงการ นอกจากจะช่วยกระตุ้นให้ชุมชนมีกำลังใจในการประกอบอาชีพมากขึ้นแล้ว ยังคาดว่าชุมชนจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 30-40 เปอร์เซ็นต์ ต่อครัวเรือน”

สำหรับ คุณนงเยาว์ ปลดปลิด ชาวบ้านจากชุมชนบ้านมาบตอง กล่าวว่า เดิมทีเปิดร้านขายของกับหลาน มีรายได้ประมาณ 9,000 บาท ต่อเดือน และคิดอยากมีอาชีพและรายได้เป็นของตนเอง แต่ติดที่ไม่มีทุน ซึ่งหลังจากที่ บริษัท สยามลวดเหล็กฯ และมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ เข้ามาสนับสนุนและให้ความรู้ แนะแนวทางให้การประกอบอาชีพ ทำให้มีความหวังมากขึ้น จึงตัดสินใจกู้เงินจากธนาคารชุมชนมาส่วนหนึ่ง เพื่อมาทำร้านซักรีดเป็นของตัวเอง ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังรับงานได้ไม่เต็มที่ เพราะมีเครื่องซักผ้าเพียงเครื่องเดียว แต่ก็ช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายของอีก ราว 4,500 บาท ต่อเดือน รู้สึกดีใจที่มีโครงการดีๆ เข้ามาช่วยสนับสนุนตรงนี้ ทำให้เราและคนในชุมชนมีชีวิตและความเป็นอยู่ดีขึ้น และยังมีเงินออมเก็บไว้ใช้ในอนาคตอีกด้วย

นับเป็นการคืนกำไรสู่สังคมที่ดี เล็งเห็นแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยเริ่มจากโรงเรียน ซึ่งมีรากฐานที่สำคัญของประเทศ คือ เด็กนักเรียน และต่อเนื่องไปถึงชุมชนที่มุ่งมั่นสร้างความเข้มแข็งสู่ชุมชน ให้ได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน

นิสิตสัตวแพทย์เกษตร ออกค่ายอาสา นำความรู้จากห้องเรียน ลงพื้นที่ปฏิบัติจริง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05093151258&srcday=2015-12-15&search=no

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613

เยาวชนเกษตร

จุไร เกิดควน

นิสิตสัตวแพทย์เกษตร ออกค่ายอาสา นำความรู้จากห้องเรียน ลงพื้นที่ปฏิบัติจริง

ค่ายสัตวแพทย์อาสานิสิต คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำทีมลงปฏิบัติงานในพื้นที่จริง เสริมประสบการณ์วิชาชีพสัตวแพทย์ภาคสนาม ในปีการศึกษา 2558 ในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการเลี้ยงปศุสัตว์หนาแน่น โดยเฉพาะ กระบือ และข้อจำกัดทางปศุสัตว์ เช่น โภชนาการ การดูแลสุขภาพสัตว์ เป็นต้น

คุณณัฐวุฒิ ลิบขาว นิสิตชั้นปีที่ 4 คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประธานโครงการค่ายสัตวแพทย์อาสาพัฒนาชนบท คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ภายใต้ชุมนุมสัตวแพทย์อาสาพัฒนาชนบท กล่าวถึงความสำคัญในการลงพื้นที่ออกค่ายในปีการศึกษา 2558 นี้ว่า ในการลงพื้นที่ครั้งนี้จะดำเนินการครอบคลุม 8 หมู่บ้าน ในจังหวัดสุรินทร์ แต่ละพื้นที่จะออกค่ายต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 2 ปี เนื่องจากมีการเลี้ยงโค-กระบือ เป็นจำนวนมาก

กิจกรรมการออกค่ายที่ลงไปปฏิบัติ มีทั้งการถ่ายพยาธิ และการฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) ในโค-กระบือ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) ในสุนัขและแมว การหยอดวัคซีนในไก่ การทำ Tuberculosis skin test (TB) การเก็บตัวอย่าง Blood & Feces และตรวจทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้น ตลอดจนอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรและเด็กในชุมชน ทำแบบสอบถามข้อมูลเกษตรกร และปรับปรุงแผนที่หมู่บ้านให้เป็นปัจจุบัน โดยจะคัดนิสิตชั้นปี 1-3 ชั้นปีละ 30 คน เข้าร่วมโครงการเตรียมความพร้อมสู่ค่ายสัตวแพทย์อาสาพัฒนาชนบท (pre-camp) เป็นเวลา 1 วัน โดยผู้สอนคือ นิสิตชั้นปี 4-5 ที่จะสอนหลักสำคัญๆ ของวัคซีน ผลกระทบหากสัตว์ไม่ได้รับวัคซีน การปฏิบัติตรวจสุขภาพสัตว์เบื้องต้น การพูดคุยกับชาวบ้านเพื่อทำแบบสอบถาม วิธีการฉีดยา เจาะเลือด เก็บอุจจาระ และบังคับสัตว์ ที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน

โครงการค่ายสัตวแพทย์อาสาพัฒนาชนบท นิสิตสัตวแพทย์เกษตร จะได้รับประสบการณ์ที่ดี ทั้งการทำงานร่วมกัน การพัฒนาทักษะทางการพูด กระบวนการคิด การวางแผน ฝึกความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา บริหารเวลาให้เหมาะสม และคิดสร้างสรรค์กิจกรรม ได้ทบทวนความรู้ ทบทวนฝึกการทำหัตถการ ได้เรียนรู้ทางวิชาการใหม่ๆ จากข้อมูลปัญหาสุขภาพสัตว์ภายในพื้นที่ที่ออกค่าย และเรียนรู้ขนบธรรมเนียม วิถีชีวิต ภาษาของชาวบ้าน และยังเป็นการช่วยเหลือสังคมให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นอีกด้วย

คุณธนพล สันติวัฒนธรรม นิสิตชั้นปีที่ 3 ผู้ซึมซับเรื่องสัตวแพทย์จากครอบครัวมาตั้งแต่เล็กๆ และนับว่าโชคดีที่เป็นนักเรียนผู้มีความสามารถด้านกีฬา ง่ายต่อการตัดสินใจเรียนต่อคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เล่าถึงหน้าที่ในการออกค่าย มีทั้งไปฉีดวัคซีน ถ่ายพยาธิ เจาะเลือด เก็บตัวอย่าง ฯลฯ ให้กับปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงแล้ว และยังพบปัญหา ด้านคอก ด้านโภชนาการ การคุมกำเนิดสุนัข ปัญหาด้านสุขภาพของสัตว์ เป็นต้น ในฐานะสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะแก้ปัญหาสุขภาพสัตว์ให้กับเกษตรกรในชนบทอย่างหวังผล และที่สำคัญต้องบูรณาการองค์ความรู้จากห้องเรียนไปแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรชนบทที่ห่างไกลความเจริญ เพราะการปศุสัตว์ของประเทศไทย ยังขาดความรู้ ความเข้าใจ ยังต้องการความช่วยเหลือของสัตวแพทย์อีกมาก

“การที่จะเป็นอัศวินที่ดีได้นั้น ต้องเป็นคนเลี้ยงม้ามาก่อน รุ่นพี่สัตวแพทย์เกษตรคนหนึ่งเคยสอนผม การจะเป็นสัตวแพทย์ที่ดีต้องเรียนรู้และฝึกปฏิบัติงานจริงตั้งแต่ในชั้นปีต้นๆ การเรียนทำให้เรามีงานทำ แต่กิจกรรมจะทำให้เราทำงานเป็น”

คุณนุสบา เถระกุล นิสิตชั้นปีที่ 1 เล่าว่า การมาออกค่ายครั้งนี้ก็อยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ และได้ร่วมทำงานในด้านต่างๆ ไม่ว่างานทะเบียนเก็บข้อมูล งานเวชภัณฑ์และแล็บ ตั้งแต่ปกป้องกระติกเก็บวัคซีน ฉีดวัคซีน เจาะเลือดเก็บตัวอย่าง ทำแล็บส่องกล้อง งานบังคับจับสัตว์ จากการไปออกค่ายได้เรียนรู้ทั้งการลงพื้นที่ทำงานในฐานะสัตวแพทย์ การปรับตัวการใช้ชีวิตร่วมกันกับคนในบ้านและชาวบ้าน และยังได้พบปัญหาจากโรค Newcastle (โรคคอบิดในไก่ ตายเฉียบพลัน) โรคระบาด ความแห้งแล้งที่ส่งผลกระทบต่อการปลูกพืชอาหารสัตว์ และอัตราการโตของสัตว์ปศุสัตว์ ในฐานะที่จะเป็นสัตวแพทย์ เราต้องรับผิดชอบชีวิตสัตว์ทุกตัว รวมทั้งให้ความรู้กับเจ้าของสัตว์ด้วย

คุณสิริฉัตร ปู่ชู รองประธานค่าย บอกว่า การออกค่าย เราจึงต้องรู้จักนำทฤษฎีเหล่านั้นมาประยุกต์เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์จริง เกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ที่ห่างไกล ได้เข้าถึงการบริการทางด้านสัตวแพทย์มากยิ่งขึ้น รวมถึงมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการเลี้ยงและดูแลรักษาสัตว์ที่ถูกต้อง เพื่อจะนำไปต่อยอดและอยู่อย่างพึ่งตนเองได้ในระดับหนึ่ง การออกค่ายมีคุณค่ามากกว่าความลำบากตอนลงพื้นที่ ถือเป็นความท้าทายหนึ่งที่จะทำให้เราโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และสัตวแพทย์ที่ดีในอนาคต

คุณณัฐวุฒิ กล่าวทิ้งท้ายว่า ค่ายสัตวแพทย์อาสาพัฒนาชนบท ของนิสิตคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นโครงการที่ฝึกให้นิสิตทุกชั้นปี ได้นำความรู้จากในห้องเรียนสู่การปฏิบัติลงพื้นที่จริง โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกลความเจริญที่ยังต้องการความช่วยเหลืออีกมาก นิสิตสัตวแพทย์เกษตร มีจิตอาสาที่จะออกไปรับใช้และช่วยเหลือสังคมชนบทอย่างต่อเนื่อง ดั่งปณิธานของคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ว่า “สัตวแพทย์เกษตร สัตวแพทย์ของประชาชน”

“ห้องเรียนชีวิต” เด็กชาวเขา เชียงราย ฝึกเลี้ยงไก่ไข่เป็นอาหารกลางวัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05095151258&srcday=2015-12-15&search=no

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 613

เยาวชนเกษตร

สาวบางแค 22

“ห้องเรียนชีวิต” เด็กชาวเขา เชียงราย ฝึกเลี้ยงไก่ไข่เป็นอาหารกลางวัน

เยาวชนทุกคนในโรงเรียนนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขา อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ได้เรียนรู้ว่า ไก่ไข่จะเริ่มให้ไข่เมื่ออายุ 19 สัปดาห์ แม่ไก่ไข่จะออกไข่ทุกวัน ช่วยให้พวกเขามีโอกาสรับประทานไข่ไก่สดเป็นอาหารกลางวันที่มีคุณค่าทางโภชนาการบริโภคตลอดช่วงการศึกษา

ทุกวันนี้ เยาวชนทุกคนได้เรียนรู้ “ห้องเรียนชีวิต” ฝึกดูแลฟาร์มไก่ไข่เหล่านี้ด้วยตนเอง ทุกคนได้ทำงานร่วมกันด้วยความสามัคคี ตั้งแต่ การให้อาหาร การแยกไก่เป็นโรค การเก็บรักษาคุณภาพไข่ ทำความสะอาดโรงเรือน รวมทั้งบำรุงรักษาอุปกรณ์ และซ่อมแซมโรงเรือน เรียกว่าเรียนรู้ทักษะจากการปฏิบัติจริง ทำให้เด็กๆ เกิดทัศนคติที่ดีต่ออาชีพการเกษตร สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการประกอบอาชีพได้จริงต่อไปในอนาคต

โรงเรียนนิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขาแห่งนี้ เป็น 1 ใน 6 โรงเรียน ทั่วประเทศ ที่ได้รับทุนโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ประจำปี 2558 จากความร่วมมือ ระหว่าง 4 หน่วยงาน คือ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCC) มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท สนับสนุนโดย เครือเจริญโภคภัณฑ์ ซีพีเอฟ และกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “กองทุนเพื่อการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21” เพื่อสนับสนุนให้เด็กนักเรียนได้บริโภคไข่ไก่ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ช่วยลดปัญหาทุพโภชนาการของเด็กไทยในพื้นที่ห่างไกล

มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท สนับสนุนโดย เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้น้อมนำแนวพระราชดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อแก้ปัญหาภาวะโภชนาการต่ำกว่ามาตรฐานของเด็กไทย มาดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนทั่วประเทศ มาตั้งแต่ปี 2532 โดยหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCC) ให้การสนับสนุนงบประมาณ กระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้เสนอรายชื่อโรงเรียนเพื่อเข้าร่วมโครงการ

ซีพีเอฟ สนับสนุนทุนก่อสร้างโรงเรือนและอุปกรณ์ มอบพันธุ์ไก่ไข่ อาหารสัตว์ วัคซีน และจัดส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงไก่ไข่มาถ่ายทอดองค์ความรู้ในการเลี้ยงไก่ที่ถูกต้อง และติดตามผลการดำเนินโครงการ และภาวะโภชนาการของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง

มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท ได้ดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนอย่างต่อเนื่องมากว่า 25 ปี ปัจจุบัน ช่วยให้เด็กนักเรียนในโรงเรียน กว่า 330 แห่ง ทั่วประเทศ ผ่านพ้นจากภาวะทุพโภชนาการ เพราะได้รับโปรตีนและสารอาหารจำเป็นจากการรับประทานไข่ไก่ 3 ฟอง ต่อสัปดาห์ ช่วยเสริมสร้างโภชนาการที่ดี ช่วยลดปัญหาภาวะทุพโภชนาการ เหลือแค่ ร้อยละ 4-9 จากเดิมที่มีค่าภาวะขาดโภชนาการสูงถึง ร้อยละ 20-25

ขณะเดียวกัน บุคลากรทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องอีกกว่า 5,000 คน ยังได้รับความรู้และเข้าใจกระบวนการบริหารจัดการเลี้ยงไก่ไข่ด้วย กิจกรรมนี้ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านอาหารกลางวัน สำหรับเลี้ยงเยาวชนของโรงเรียนที่ร่วมโครงการแล้ว ทางโรงเรียนยังมีรายได้สะสมจากการเลี้ยงไก่ไข่ในแต่ละรุ่น เป็นกองทุนสำหรับเดินหน้าเลี้ยงไก่ไข่ในรุ่นต่อไปอีกด้วย

ลงนามความร่วมมือ

นายสัตวแพทย์ อยุทธ์ หรินทรานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีการลงนามความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระบบรีดนม แบบ Pipe Line และ Cooling Tank ระหว่าง สหกรณ์โคนมไทยมิลค์ สหกรณ์โคนมปากช่อง และ บริษัท แดรี่ ฮับ ซัพพลาย เชน จำกัด เพื่อดำเนินการปรับปรุงและติดตั้งระบบรีดนม แบบ Pipe Line และ Cooling Tank ให้กับฟาร์มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ณ โรงแรมฮิลล์ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อเร็วๆ นี้

โรงเรียนบ้านใหม่สำโรง สอนวิถีชีวิต ยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05094011158&srcday=2015-11-01&search=no

วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 28 ฉบับที่ 610

เยาวชนเกษตร

สุจิต เมืองสุข

โรงเรียนบ้านใหม่สำโรง สอนวิถีชีวิต ยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

พื้นที่การดูแลของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เขต 2 (อำเภอสีคิ้ว อำเภอปากช่อง อำเภอสูงเนิน) มีโรงเรียนที่อยู่ในการดูแลทั้งสิ้น 220 โรงเรียน ซึ่งโรงเรียนบ้านใหม่สำโรง ตำบลลาดบัวขาว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เป็นหนึ่งในทั้งหมดของโรงเรียนที่อยู่ในการดูแล และได้รับคัดเลือกให้เป็นสถานศึกษาพอเพียง ที่มีการดำเนินกิจกรรมการเกษตร ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการเรียนการสอน

โรงเรียนบ้านใหม่สำโรง เป็นโรงเรียนระดับขนาดกลาง มีการเรียนการสอนระดับก่อนปฐมวัยถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีนักเรียน 201 คน เปิดการเรียนการสอนมาตั้งแต่ ปี 2520 มีพื้นที่ 27 ไร่

นอกเหนือจากพื้นที่ 27 ไร่ ที่แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้สำหรับกิจกรรมเกษตร โรงเรียนยังมีกิจกรรมนอกพื้นที่ เป็นพื้นที่นา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก คุณวรพจน์ สัจจาวัฒนา ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนบ้านใหม่สำโรง ที่เห็นความสำคัญของการปลูกฝังพื้นฐานด้านการเกษตรให้กับเด็ก ได้จัดแปลงนาไว้สำหรับเด็กได้ลงมือปฏิบัติ นับตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการทำนาคือ การเพาะกล้า เพื่อนำกล้าไปปักดำเป็นแถว เรียกว่า การปลูกข้าวต้นเดียว ซึ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกข้าวจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

คุณวรพจน์ อธิบายว่า ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนจะมีอาชีพเกษตรกรรม โดยทำนาเป็นหลัก และปลูกข้าวแบบนาหว่าน แต่เราสอนให้เด็กนักเรียนปลูกข้าวต้นเดียว ด้วยการเพาะกล้าก่อน แล้วนำไปปักเรียง เพื่อลดต้นทุนการผลิต ที่ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวเพียง 1 กิโลกรัม ต่อไร่ จากเดิมเกษตรกรละแวกนี้จะทำนาโดยใช้ต้นทุนเมล็ดพันธุ์ข้าว 20-30 กิโลกรัม ต่อไร่ ทั้งยังเสริมความรู้ให้กับเด็กนักเรียนทราบด้วยว่า ข้าว 1 กอ สามารถแตกเป็นต้นข้าวได้มากถึง 30 ต้น และหากปลูกในระยะที่พอเหมาะ ไม่จำเป็นต้องลงทุนในส่วนของเมล็ดพันธุ์ข้าวมาก แต่ก็ได้ผลผลิตที่ดีได้เช่นกัน

อาจารย์นัฐพงศ์ เถาะสูงเนิน ผู้อำนวยการ โรงเรียนบ้านใหม่สำโรง ให้ข้อมูลว่า การดำเนินกิจกรรมเกษตรภายในโรงเรียน แบ่งออกเป็น การเลี้ยงปลา การเลี้ยงไก่ การเพาะเห็ด และการปลูกพืช ซึ่งแบ่งเป็นพืชผักสวนครัวและไม้ผล นอกจากนี้ ยังนำมูลสัตว์จากการเลี้ยงไก่มาผลิตเป็นปุ๋ยขี้ไก่ ซึ่งการดำเนินกิจกรรมทั้งหมด ตั้งอยู่ในแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และบูรณาการมาเป็นการเรียนการสอนในวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ที่มีส่วนของการเกษตรกรรมเป็นส่วนหนึ่งในรายวิชาด้วย ทั้งนี้ โรงเรียนเห็นความจำเป็นในการให้ความรู้เชิงเกษตรกรรม เนื่องจากต้องการให้เด็กมีวิชาชีพติดตัว รู้จักความพอดี

“บ่อปลาเป็นบ่อดิน มีทั้งหมด 2 บ่อ ขนาด 30×30 เมตร ปล่อยปลากินพืชทั้งหมด เช่น ปลาจีน ปลานิล ปลาทั้งหมดที่ปล่อยเมื่อได้ขนาดรับประทานได้ จะทยอยนำขึ้นมาเข้าโครงการอาหารกลางวัน หากเหลือจากเข้าโครงการอาหารกลางวันแล้ว จะนำไปจำหน่ายผ่านสหกรณ์ของโรงเรียน สำหรับเด็กนักเรียน ครู และผู้ปกครอง รวมถึงชุมชน ก็สามารถมาซื้อได้ในราคาถูกกว่าท้องตลาด”

อาจารย์นุชรดา นิลสูงเนิน อาจารย์ที่ปรึกษากลุ่มโครงงานอาชีพ เรื่อง การเพาะเห็ด เล่าว่า ปกติการเพาะเห็ดจะเลือกเห็ด 2 ชนิด มาเพาะสลับกัน ได้แก่ เห็ดนางฟ้าภูฏานและเห็ดฮังการี เพราะรสชาติของเห็ดทั้ง 2 ชนิด มีความแตกต่าง ซึ่งจะเป็นทางเลือกให้กับผู้ซื้อได้ดี ทำให้ผลผลิตที่ได้จากเห็ดสามารถจำหน่ายออกได้คล่องตัว ซึ่งการเพาะเห็ดของเด็กนักเรียนที่นี่ จะเริ่มตั้งแต่การทำก้อนเชื้อเห็ด เขี่ยเชื้อ เปิดดอก เก็บสดจำหน่าย และแปรรูป เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้อย่างครบวงจร

อาจารย์นุชรดา บอกด้วยว่า ผลผลิตที่ได้จากเห็ดจะนำเข้าโครงการอาหารกลางวัน หากปริมาณมากจะขายสด หากมีเหลืออีกจะนำไปแปรรูปเป็นแหนม หย็อง น้ำพริก ตากแห้ง จำหน่าย เด็กนักเรียนที่นำไปจำหน่ายจะได้เปอร์เซ็นต์กำไรจากการจำหน่าย ร้อยละ 20 บาท ส่วนกำไรทั้งหมดที่ได้จากโครงการจะเฉลี่ยให้กับเด็กนักเรียนที่เข้าร่วมโครงงานอาชีพการเพาะเห็ดเท่าๆ กัน ทั้งหมด เพื่อเป็นแรงจูงใจให้กับเด็ก เนื่องจากที่ผ่านมาการทำโครงงานอาชีพการเพาะเห็ด นักเรียนจะดูแลและลงมือทำเองทุกอย่าง

เด็กชายพิเชฐ หอมสูงเนิน หรือ น้องอ๊อฟ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อธิบายถึงการทำก้อนเชื้อเห็ดนางฟ้าภูฏานว่า ให้นำขี้เลื่อยกองกับพื้นที่สะอาด พรมน้ำพอชุ่ม นำส่วนผสม ประกอบด้วย ขี้เลื่อยยางพารา 100 กิโลกรัม ปูนขาว 1 กิโลกรัม ดีเกลือ 2 ขีด รำอ่อน 5 กิโลกรัม และน้ำ คลุกเคล้าให้เข้ากัน เช็กความชื้น (โดยการปั้นเป็นก้อนได้) แล้วนำไปบรรจุถุง น้ำหนัก ประมาณ 1 กิโลกรัม อัดใส่ถุงให้แน่น ใช้ยางรัดให้แน่น ปิดจุกที่คอขวด นำไปนึ่งในอุณหภูมิน้ำเดือด นาน 3 ชั่วโมง นำออกจากถังนึ่ง ปล่อยให้เย็น วางในสถานที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก เขี่ยเชื้อเห็ดลงในก้อนที่นึ่งแล้วให้เต็มคอขวด (20-30 เม็ด) ขณะเขี่ยต้องให้ปลอดเชื้อโรค โดยใช้แอลกอฮอล์เช็ดมือและอุปกรณ์ที่ใช้เขี่ย จากนั้นตั้งก้อนเชื้อทิ้งไว้จนกว่าเชื้อเห็ดจะเดินเต็มถุง ประมาณ 1 เดือน แล้วนำก้อนเห็ดที่เชื้อเดินเต็มถุงแล้วเข้าโรงเรือน พร้อมเปิดฝาจุกและคอขวด หมั่นดูแลรดน้ำให้ชุ่ม วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ให้มีความชื้นประมาณ 7-10 วัน เห็ดจะเริ่มออกดอก

เด็กชายพิเชฐ กล่าวอีกว่า การเก็บดอก ควรเก็บดอกที่มีขนาดโตเต็มที่ ด้วยการสังเกตหมวกของดอกเห็ด อายุของก้อนเห็ด ประมาณ 3-4 เดือน ถ้าอุณหภูมิเหมาะสม 1-2 วัน จะให้ผลผลิต 1 ครั้ง ต้นทุนในการทำก้อนเชื้อเห็ดอยู่ที่ก้อนละ 4 บาท กำไรต่อก้อน 20 บาท

สำหรับการแปรรูป เด็กหญิงธนสุดาวรรณ สุขสูงเนิน หรือ น้องต่าย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่าว่า การแปรรูปเห็ดจะต้องรอให้มีผลผลิตเหลือจากโครงการอาหารกลางวันและการจำหน่ายเห็ดสด จากนั้นจึงนำเห็ดที่เหลือมาแปรรูป โดยน้องต่ายอธิบายถึงการแปรรูปเห็ดหย็องว่า นำเห็ดมาฉีกให้เป็นเส้นฝอยๆ แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง จากนั้นนำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมัน แล้วนำเห็ดที่ตากนำลงไปทอดจนเหลืองกรอบ แล้วนำกระชอนตักพักจนไม่มีน้ำมัน ตามด้วยนำน้ำมันเทออกใส่ถ้วยจนหมด แล้วนำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมันเล็กน้อย เพื่อเจียวกระเทียมแล้วใส่พริกไทยเล็กน้อย เมื่อเจียวเสร็จเรียบร้อย ให้นำน้ำมันเทออกใส่ถ้วยจนหมด แล้วนำน้ำเปล่าเทลงไปเล็กน้อย นำน้ำตาลปี๊บใส่ในกระทะ คนจนน้ำตาลปี๊บละลาย ใส่ซีอิ๊วขาวเล็กน้อยพอได้กลิ่น คนต่อไปจนเหนียวได้ที่ นำน้ำซอสที่ได้เทราดใส่เห็ดที่ทอดแล้ว แล้วนำกระเทียมเจียวเทผสมลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นนำไปบรรจุใส่ถ้วยพลาสติก นำมาจำหน่ายหรือนำไปรับประทานได้ทันที

ด้าน เด็กหญิงพิชญา เกิดกลาง หรือ น้องเป๊ก นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่าถึงการทำ แหนมเห็ด อย่างย่อให้ฟังว่า การทำแหนมเห็ดไม่ยากอย่างที่คิด เพียงนำเห็ดมาฉีกเป็นเส้น จากนั้นนำมานึ่ง ประมาณ 10 นาที ให้เห็ดสุก แล้วนำเห็ดที่ได้ไปล้างน้ำ 3 รอบ นำเห็ดที่ล้างน้ำแล้วมาใส่กะละมัง นำกระเทียมตำแหลก เกลือ ข้าวเหนียวสุก มาคลุกเคล้าให้เข้ากันจนเหนียว ปั้นเป็นก้อน ทิ้งไว้ 2 วัน จะออกรสเปรี้ยว นำมารับประทานได้ แต่ถ้าต้องการเก็บไว้รับประทานนานกว่านั้น ควรเก็บใส่ตู้เย็น

ส่วน อาจารย์ธีระ โชติกลาง อาจารย์ที่ปรึกษากลุ่มเลี้ยงไก่ไข่ กล่าวว่า การเลี้ยงไก่ไข่จะให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาเป็นผู้ดูแล เพราะเป็นเด็กที่รู้จักความรับผิดชอบในระดับหนึ่งแล้ว โดยจัดเด็ก ห้องละ 2 คน ต่อวัน ดูแลให้อาหารไก่และเก็บไข่ โดยจะให้อาหารวันละ 2 ครั้ง ในเวลา 09.30 น. และเวลา 14.30 น. หลังให้อาหารจะเก็บไข่มาพร้อมกัน ไข่ที่เก็บได้จะใส่ไว้ที่แผงไข่ เมื่อเก็บไข่ตอนเย็นอีกรอบแล้วจึงนำมาส่งให้กับสหกรณ์โรงเรียน ในทุกสัปดาห์ไข่ไก่จะนำมาประกอบอาหารให้กับนักเรียนรับประทาน 3 ฟอง ต่อสัปดาห์ ต่อคน ไข่ไก่ที่เหลือจะจำหน่ายผ่านสหกรณ์ให้กับนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และชุมชน ในราคา 80 บาท ต่อ 30 ฟอง ที่ผ่านมาไข่ไก่ไม่เพียงพอต่อการจำหน่าย เพราะเป็นไข่ไก่สด เก็บขายได้ทุกวัน

“ปัจจุบัน ถ้าใครต้องการซื้อไข่ไก่จากโรงเรียน ต้องลงชื่อไว้ เมื่อไข่ผลิตได้ทันความต้องการก็จะแบ่งขายตามคิวที่ลงชื่อไว้ ตอนนี้คิวยาวไปถึง 2 สัปดาห์ ข้างหน้าแล้ว”

สำหรับแปลงผัก มีเพียงผักที่นำเข้าโครงการอาหารกลางวันได้ เช่น กวางตุ้ง คะน้า ผักบุ้ง กะเพรา และมะนาว เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีไม้ผลเล็กน้อย เช่น มะละกอ กล้วย ปลูกไว้ให้กับเด็กเรียนรู้

โรงเรียนบ้านใหม่สำโรง ตำบลลาดบัวขาว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ยังคงต้องการการสนับสนุนแนวการทำการเกษตรให้กับนักเรียนในรูปแบบที่ต่างกัน หากท่านใดสนใจสนับสนุนเทคโนโลยีการเกษตรให้กับโรงเรียน สามารถติดต่อได้ที่ อาจารย์นัฐพงศ์ เถาะสูงเนิน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านใหม่สำโรง หรือ คุณวรพจน์ สัจจาวัฒนา คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนบ้านใหม่สำโรง โทรศัพท์ (081) 790-4191

ทำหลักสูตรข้าว สอนเองในโรงเรียน โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง เมืองชัยนาท

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05091011058&srcday=2015-10-01&search=no

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 608

เยาวชนเกษตร

สุจิต เมืองสุข

ทำหลักสูตรข้าว สอนเองในโรงเรียน โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง เมืองชัยนาท

โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ที่น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มที่เล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ตั้ง ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางกลุ่มวิสาหกิจที่เป็นที่รู้จักในระดับประเทศ

โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าชัย อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท หากถามหาทางไปโรงเรียน สอบถามถึงแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวตำบลนางลือ-ท่าชัย ก็จะหาได้ง่าย เพราะตั้งอยู่ใกล้เคียง ห่างกันแค่เลี้ยวซ้ายหรือขวาเท่านั้น แต่ถึงอย่างไร โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง ก็ยังไม่มีความโดดเด่นนัก เนื่องจากเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ไม่มีพื้นที่เป็นของตนเอง อาศัยพื้นที่วัดไผ่โพธิ์ทองเป็นที่ตั้งอาคารเรียนและพื้นที่ใช้สอย มีการเรียนการสอนในระดับอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 รวมจำนวนนักเรียนเพียง 69 คน เท่านั้น

อาจารย์ณัฐวัฒน์ ภู่มั่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง เล่าให้ฟังว่า โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทองแห่งนี้ก่อตั้งมานานกว่า 30 ปี มีอาคารเรียนชั้นเดียว 1 หลัง อาคารอเนกประสงค์อีก 1 หลัง และศูนย์เด็กเล็กขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าชัยอีก 1 หลัง ซึ่งทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของวัดท่าโพธิ์ชัย ประมาณ 3 ไร่ ดังนั้น เมื่อโรงเรียนไม่มีพื้นที่บริหารจัดการของโรงเรียนเอง ทำให้ยากต่อการส่งเสริมการเรียนการสอนด้านการเกษตร แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเกษตรให้กับเด็กนักเรียนภายในโรงเรียน โดยกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนขึ้นใหม่ 1 หลักสูตร คือ หลักสูตรข้าว ใช้สอนนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 และสอนสัปดาห์ละ 1 คาบเรียน หลังเลิกเรียน โดยให้อาจารย์ผู้สอนเป็นผู้กำหนด

ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง บอกด้วยว่า เมื่อโรงเรียนไม่มีพื้นที่เป็นของตนเอง ทำให้การจัดการบริหารพื้นที่ทำได้ยากลำบาก อีกทั้งจังหวัดชัยนาทประสบปัญหาภัยแล้ง สภาพดินไม่สมบูรณ์นัก ทำให้โรงเรียนจัดแบ่งพื้นที่จาก 3 ไร่ที่ใช้สอยอยู่ ประมาณ 1 งาน ทำแปลงเกษตรสำหรับปลูกผักสวนครัว เพื่อเป็นกิจกรรมเสริม สอนในวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ กลุ่มวิชาเกษตร ให้กับเด็กได้ลงแปลงจริง สัมผัสกับการปลูกต้นไม้จริง ซึ่งกำหนดให้เป็นพืชผักสวนครัว เนื่องจากเป็นกลุ่มผักที่เจริญเติบโตเร็ว ระยะเวลาการปลูกสั้น การดูแลง่าย และนำมาใช้ประกอบอาหารในชีวิตประจำวันได้ทันที

แม้ว่าสภาพพื้นที่ของโรงเรียนไม่เหมาะสมต่อการทำแปลงเกษตร แต่โรงเรียนก็เล็งเห็นจุดเด่นของพื้นที่ตั้งในเรื่องของการปลูกข้าวและการเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าว รวมทั้งนักเรียนเองเกือบทั้งหมดมีพื้นฐานครอบครัวทำนา และเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าว ส่งให้กับศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวชัยนาท ดังนั้น เมื่อนักเรียนมีประสบการณ์การทำนาจากครอบครัวมาก่อนแล้ว จึงทำให้การนำหลักสูตรข้าวที่เขียนขึ้นมาประยุกต์ใช้และสานต่อได้ง่าย

หลักสูตรข้าว เพิ่งเริ่มนำมาใช้สอนให้กับนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 ในปีการศึกษา 2558 ที่ผ่านมา โดยหลักสูตรข้าวประกอบด้วย 5 รายวิชา คือ

1. การผลิตข้าวเบื้องต้น : วิถีชีวิต การผลิตและการแปรรูปข้าว

2. การปลูกข้าวแบบลดต้นทุน เพิ่มผลกำไร

3. ข้าวกับวิถีธรรมชาติ

4. เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและเทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์ข้าว

5. การแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าว

สำหรับการจัดการเรียนรู้ ซึ่งแบ่งตามโครงสร้างของเนื้อหาเป็น 5 รายวิชา ได้แก่ วิชาการผลิตข้าวเบื้องต้น เพื่อปูพื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยี การผลิตและการแปรรูปข้าว มีการสอดแทรกประเพณี วัฒนธรรมและความเชื่อเกี่ยวกับข้าว และเป็นการปรับทัศนคติที่ดีต่ออาชีพการทำนา โดยรายวิชานี้จะเป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนในรายวิชาอื่นต่อไป ส่วนอีก 4 รายวิชาต่อมา แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ เทคโนโลยีการผลิต และการแปรรูปข้าว โดยสามารถเลือกเรียนรายวิชาใดก็ได้ เมื่อผ่านรายวิชาที่ 1 แล้ว

พื้นที่ที่จำกัด ทำให้อาจารย์ณัฐวัฒน์ บอกว่า เคยคิดจะหาพื้นที่ให้นักเรียนเลี้ยงสัตว์ นอกเหนือจากการปลูกผักสวนครัวบ้าง จึงทดลองเลี้ยงเอง โดยเลือกเลี้ยงจิ้งหรีด เพราะเห็นว่าใช้พื้นที่น้อย แต่เพราะไม่มีประสบการณ์และความรู้ใดๆ จึงทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ และล้มเลิกความคิดที่จะนำจิ้งหรีดมาเลี้ยงเป็นตัวอย่างสอนในโรงเรียนให้กับเด็ก ส่วนไม้ผล พืชไร่ นั้น ต้องใช้พื้นที่ จึงไม่มีโอกาสปลูก มีเพียงกล้วยน้ำว้าไม่กี่ต้นที่ปลูกไว้ เพราะดูแลง่าย และใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนของต้น

“เด็กนักเรียนที่นี่โชคดี มีพื้นฐานการทำนา การเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าว อยู่แล้ว เพราะแต่ละครอบครัวทำนาและเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวส่งให้กับศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวชัยนาท จึงไม่ต้องห่วงเรื่องพื้นฐานการเกษตร เชื่อว่ามีทุกคน แม้กระทั่งเด็กนักเรียนชาวกัมพูชา ที่ย้ายตามพ่อแม่มาเรียนหนังสือ ก็มีพื้นฐานทางการเกษตรอยู่มาก เพราะพ่อแม่จะรับจ้างเพาะกล้าข้าว แต่พอหมดหน้านา พ่อแม่เด็กย้ายถิ่นไปทำงานที่อื่น เด็กกัมพูชาเหล่านี้ก็จะย้ายตามไปด้วย”

สำหรับแปลงผักสวนครัว พื้นที่ประมาณ 1 งาน ของโรงเรียน เป็นแปลงเกษตรให้นักเรียนได้มีโอกาสลงมือจริง นอกจากการเรียนในห้อง ซึ่งผักสวนครัวที่เลือกมาปลูก เป็นผักที่เจริญเติบโตเร็ว ทนต่อโรคและแมลง ระยะเวลาปลูกสั้น เช่น ผักบุ้งจีน คะน้า กวางตุ้ง กะเพรา โหระพา เป็นต้น ซึ่งผักต่างๆ เหล่านี้ เมื่อถึงระยะเวลาเก็บผลผลิตก็จะให้เด็กที่ดูแลแปลงเป็นคนเก็บ แบ่งส่วนหนึ่งเข้าโครงการอาหารกลางวัน และอีกส่วนหนึ่งให้เด็กนักเรียนที่ดูแลแปลงมาโดยตลอด นำกลับบ้านไปประกอบอาหาร เพราะถือเป็นความภาคภูมิใจของตัวนักเรียนเอง

อาจารย์ณัฐวัฒน์ บอกด้วยว่า ผลผลิตที่ได้จากแปลงผักสวนครัวไม่ได้มากมาย แม้บางส่วนจะนำเข้าไปใช้ประกอบอาหารในโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียน แต่ก็ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้เพียงเล็กน้อย เพราะผักที่ได้มีไม่มากนัก แต่สิ่งที่ได้ประโยชน์ยิ่งคือ ได้ผักปลอดสาร และเด็กมีความภาคภูมิใจในผลผลิตของตนเอง

“หลักสูตรข้าว ที่ใช้ส่งเสริมการเรียนการสอนในโรงเรียนทุกระดับชั้นนั้น ได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ขยายพันธุ์ข้าว นำถังดำ จำนวน 200 ถัง และเมล็ดพันธุ์ข้าว มาแจกจ่ายให้กับนักเรียนได้ทดลองปลูกข้าวด้วยตนเอง ที่เราโฟกัสไปที่ข้าว เพราะพื้นที่เรามีจุดเด่นเรื่องการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว และเด็กมีประสบการณ์ตรงจากที่บ้าน จึงเป็นเรื่องง่ายที่ให้เขาได้เรียนรู้”

แม้ว่า โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง จะมีข้อจำกัดหลายด้านในการส่งเสริมด้านการเกษตรให้กับนักเรียน แต่ในทุกขั้นตอนหรือกระบวนการในระหว่างที่เด็กอยู่ในโรงเรียน เมื่อสามารถโยงเข้าสู่ภาคเกษตรได้ อาจารย์ทุกท่านจะไม่รอช้า เช่น หลังรับประทานอาหาร พบว่ามีเศษข้าวเหลือจำนวนมาก หากเป็นโรงเรียนอื่นที่เลี้ยงสัตว์ไว้ก็จะนำไปให้สัตว์กิน แต่สำหรับโรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทองแห่งนี้ ไม่มีพื้นที่เลี้ยงสัตว์ จึงนำข้าวที่เหลือจากการรับประทานของเด็กนักเรียน นำไปตากแดด จากนั้นนำไปคั่ว เพื่อให้ได้ข้าวตากคลุกน้ำตาล มาบรรจุถุงนำไปจำหน่ายให้กับตลาดในชุมชน เป็นการเพิ่มความรู้ด้านการแปรรูปให้กับเด็กนักเรียน และอยู่ใน 1 รายวิชา ของหลักสูตรข้าวด้วย

เด็กชายอภิศร คล้ายมะณี หรือ น้องไกด์ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กล่าวว่า ที่บ้านมีอาชีพทำนาและปลูกกะเพราขาย เมื่อมีกิจกรรมที่โรงเรียนก็ชอบการปลูกผักคะน้ามากเป็นพิเศษ เพราะปลูกง่าย การดูแลทำได้ไม่ยาก แค่รดน้ำเช้า กลางวัน และเย็น ส่วนกิจกรรมที่บ้านรักการทำนามากกว่าการปลูกกะเพรา เคยช่วยพ่อแม่ถอนวัชพืชจากแปลงนา นำกระสอบและดินไปอุดน้ำไม่ให้ไหลเข้า-ออก จากแปลงนา ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ได้ความรู้อย่างมาก

ด้าน เด็กชายกิตติธัช เวียงเป้ หรือ น้องโฟล์ค นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 บอกว่า ที่บ้านทำนา ขายข้าวเปลือกจากแปลงนาของตนเอง มีลูกค้ามาซื้อเยอะเพื่อนำข้าวเปลือกไปหว่าน ที่ผ่านมาเคยช่วยพ่อแม่ทำนา เช่น การนำน้ำเข้า-ออกนา การดำนา ซึ่งการดำนาไม่ใช่เรื่องยาก แม้จะเลอะบ้างก็สามารถล้างออกได้ และอยากบอกเยาวชนท่านอื่นๆ ว่า การทำนาไม่เหนื่อยอย่างที่คิด หากได้ลองแล้วจะติดใจ

ส่วน เด็กหญิงอาภา เชียงอินทร์ หรือ น้องพลอย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เล่าให้ฟังว่า ที่บ้านทำนา แต่ช่วยไม่บ่อยนัก เนื่องจากสนใจการปลูกผักมากกว่า จึงให้เวลากับแปลงผักของโรงเรียน โดยนำผักบุ้งจีนมาปลูก เพราะเป็นพืชที่ปลูกง่าย แต่ต้องการน้ำเยอะ จึงต้องดูแลรดน้ำ วันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน และเย็น ก่อนกลับบ้าน แต่ถึงแม้จะไม่สนใจการทำนามากนัก ก็รู้จักขั้นตอนการทำนา และเคยลงแปลงนาถอนวัชพืชออกจากนา สำหรับวิธีสังเกตต้นข้าวและต้นหญ้า (วัชพืช) ให้ดูที่ปลายใบ จะมีความแตกต่างกัน ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ ต้องอาศัยประสบการณ์

สำหรับ เด็กหญิงสุธิดา แจ่มศรี หรือ น้องฟ้า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กล่าวว่า หลงใหลในการปลูกผักมากกว่าการทำนา เพราะครอบครัวปลูกผักสวนครัวส่งขาย เช่น ฟักทอง มะเขือเทศ ถั่วฝักยาว ซึ่งสิ่งที่ควรให้ความสำคัญในแปลงผักคือ การกำจัดวัชพืชที่เป็นตัวการก่อให้เกิดแมลงศัตรูพืชภายในแปลง ทั้งนี้ เห็นว่า การศึกษาหาความรู้ในเชิงเกษตร จะช่วยให้มีประสบการณ์ในการดำรงชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคต

โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง แม้จะเป็นโรงเรียนที่มีข้อจำกัดหลายด้าน แต่หากมีหน่วยงานให้ความสนใจและพร้อมส่งเสริมให้ความรู้ด้านการทำเกษตรภายในโรงเรียน อาจารย์ณัฐวัฒน์ ภู่มั่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง ยินดีรับไว้ไม่ขัดข้อง เพื่อนำไปเป็นประโยชน์ในการสอนให้กับเด็กนักเรียน โดยติดต่อได้ที่ โรงเรียนวัดไผ่โพธิ์ทอง ตำบลท่าชัย อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท โทรศัพท์ (056) 942-041

โรงเรียน ตชด. บ้านถ้ำหิน สวนผึ้ง มีแหล่งเรียนรู้ ศูนย์กลางเด็ก-ชุมชน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05086010958&srcday=2015-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2558 ปีที่ 27 ฉบับที่ 606

เยาวชนเกษตร

สุจิต เมืองสุข

โรงเรียน ตชด. บ้านถ้ำหิน สวนผึ้ง มีแหล่งเรียนรู้ ศูนย์กลางเด็ก-ชุมชน

สวนผึ้ง เป็นอำเภอที่อยู่ในเขตจังหวัดราชบุรี ซึ่งดูเหมือนไม่ไกลนักหากนับระยะทางจากเมืองหลวงไป แต่เมื่อพิเคราะห์จากพื้นที่ของอำเภอสวนผึ้ง พบว่า เป็นอำเภอที่อยู่ติดชายแดนประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา หรือพม่า มีเพียงภูเขากั้นเขตแดนอยู่เท่านั้น จึงทำให้อำเภอสวนผึ้ง ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีประชากรแฝงอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะบริเวณที่สร้างเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว ผู้หนีภัยการสู้รบ หรือศูนย์อพยพผู้ลี้ภัย มีประชากรที่รอการส่งกลับอยู่หลายพันชีวิต

โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านถ้ำหิน ตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เป็นโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่ยังคงรูปแบบการเรียนการสอน โดยใช้ตำรวจตระเวนชายแดนทำหน้าที่เป็นครูผู้สอน เพราะในอดีตพื้นที่แห่งนี้ทุรกันดารเกินกว่าระบบการศึกษาจากส่วนกลางจะเข้าถึง โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านถ้ำหินแห่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อปี 2527 นับระยะเวลาราว 21 ปี รองรับเยาวชนที่อยู่ในวัยศึกษาทั้งคนไทยและชนเผ่าที่ไร้สัญชาติ รวมถึงเด็กและเยาวชนที่อาศัยอยู่ในค่ายอพยพผู้ลี้ภัยใกล้เคียง เพราะการศึกษาไม่มีแบ่งแยกเชื้อชาติและชนชั้น

พ.ต.ต. วันชัย กุลโสภณ ครูใหญ่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านถ้ำหิน ให้ข้อมูลว่า โรงเรียนแห่งนี้มีพื้นที่ทั้งหมด 13 ไร่ 2 งาน มีบุคลากรทั้งสิ้น 11 คน เป็นตำรวจตระเวนชายแดน 8 คน ครูอัตราจ้าง 1 คน และผู้ดูแลเด็ก 2 คน ซึ่งทั้งหมดแบ่งหน้าที่รับผิดชอบสอนเด็กในระดับปฐมวัย หรือชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 ที่มีอยู่ จำนวน 285 คน เด็กส่วนใหญ่เป็นเด็กในตำบลสวนผึ้ง บางส่วนเป็นเด็กจากชนเผ่าที่ไร้สัญชาติ เช่น กะเหรี่ยง กะหร่าง มอญ พม่า และเด็กที่ย้ายตามบิดามารดาจากถิ่นกำเนิดในภาคใต้ เหนือ กลาง และอีสาน มาประกอบอาชีพในพื้นที่ใกล้เคียง

“โรงเรียนเราทำเกษตรมาตั้งแต่แรก ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เท่าที่จะทำได้ ตอนนี้ก็ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลในการซื้ออาหารให้เด็กนักเรียน คนละ 20 บาท ต่อคน ต่อวัน ซึ่งหากใช้เงิน 20 บาท ซื้อวัตถุดิบมาประกอบอาหาร คงไม่เพียงพอสำหรับให้เด็กนักเรียน 285 คน รับประทานได้ครบทุกคน”

โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านถ้ำหิน ให้ความสำคัญกับการเกษตร เพราะเป็นรากฐานสำคัญในการปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนรักในธรรมชาติ รู้จักอาชีพของบรรพบุรุษตนเอง ทั้งยังสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อลดรายจ่าย หรือสร้างรายได้ หากรู้จักนำไปประยุกต์ใช้ ดังนั้น จึงจัดแบ่งพื้นที่ ประมาณ 5 ไร่ สำหรับทำการเกษตร แบ่งเป็น แปลงปลูกพืชผัก โรงเรือนเลี้ยงไก่ บ่อปลากินพืช คอกหมู และยังปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้นที่รับประทานผลได้ไปทั่วบริเวณโรงเรียน เช่น กล้วย มะละกอ มะม่วง ขี้เหล็ก ลำไย เป็นต้น ซึ่งต้นไม้เหล่านี้จะให้ประโยชน์ไม่ใช่เฉพาะมีผลให้รับประทาน แต่ยังประโยชน์ในส่วนอื่นของต้นไม้ชนิดนั้นๆ ด้วย เช่น กล้วย นอกจากรับประทานผล หัวปลี ยังนำมาประกอบอาหาร ใบตองนำมาเป็นวัสดุห่อหุ้มอาหาร ลำต้น สามารถนำมาใช้ในงานประดิษฐ์ของนักเรียนได้

ครูใหญ่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านถ้ำหิน บอกว่า การสอนการเกษตรให้กับนักเรียน ไม่เฉพาะแค่สอนให้ปลูกต้นไม้ สอนให้เลี้ยงสัตว์ แต่จะสอนให้เด็กเข้าใจและรักในธรรมชาติ โดยผูกโยงไปถึงเรื่องคุณและโทษของสิ่งแวดล้อม เช่น ยกตัวอย่าง ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นใกล้ตัว ได้แก่ ดินโคลนถล่ม หรือเหตุการณ์สึนามิที่เกิดขึ้นในบ้านเรา สิ่งนี้จะทำให้เด็กเข้าใจในธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้รักต้นไม้และการเกษตร ซึ่งเป็นรากฐานของการดำรงชีวิต

สำหรับพื้นที่ทำการเกษตรของโรงเรียน 5 ไร่ แบ่งออกเป็นการเลี้ยงปลากินพืช ในพื้นที่บ่อ ขนาด 3 ไร่ เลี้ยงปลา 3 ชนิด ได้แก่ ปลานิล ปลายี่สก และปลาตะเพียน โดยช่วงที่ปลายังเล็ก จะลงทุนซื้ออาหารเม็ดสำเร็จรูปให้กิน หลังจากนั้นเมื่อปลามีอายุ 3-4 เดือน จะให้อาหารเป็นเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานของเด็ก เป็นการประหยัดต้นทุน ในแต่ละเดือนจะจับปลา 2 ครั้ง นำมาประกอบอาหาร ครั้งละ 28 กิโลกรัม ต่อมื้อ แต่ทั้งนี้ยังคงทำรายการซื้อขายราคาถูก นำเงินหมุนเวียนเข้าสหกรณ์ของโรงเรียน เพื่อเป็นกองทุนสำหรับการเลี้ยงปลาต่อไป นอกจากนี้ ในการเลี้ยงหมู ซึ่งปกติจะเลี้ยงไว้ประมาณ 10 ตัว ก็นำเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานของเด็กนักเรียนมาเป็นอาหารให้หมูเช่นกัน โดยหมูเมื่อโตขึ้นสามารถขายได้ จะขายทั้งตัว เพื่อนำเงินเข้ากองทุนการเลี้ยงหมูที่ผ่านรูปแบบการสะสมของสหกรณ์โรงเรียนต่อไป

พ.ต.ต. วันชัย บอกด้วยว่า มูลหมูมีคุณค่าทางสารอาหารมาก จึงนำมาทำปุ๋ยหมักชีวภาพ สำหรับใช้แทนปุ๋ยบำรุงต้นไม้ การเลี้ยงเป็ดก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้ได้ไข่เป็ดและขายเป็ดนำเงินเข้ากองทุน รวมถึงการเลี้ยงไก่ไข่ จำนวน 200 ตัว เก็บไข่นำมาบริโภคได้ทุกวัน วันละ 180 ฟอง ส่วนไก่เมื่อโตเต็มที่ก็สามารถขายเนื้อได้เช่นกัน นอกจากนี้ ยังเลี้ยงไก่พื้นเมือง ไก่กินเนื้อ อีกจำนวนหนึ่ง สำหรับนำเนื้อไก่มาประกอบอาหาร เป็นการลดต้นทุนวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการประกอบอาหารกลางวันของนักเรียน

“ไก่เนื้อที่โรงเรียนเลี้ยงไว้เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ จะให้ชาวบ้านที่ต้องการเพาะพันธุ์นำไปเลี้ยง เมื่อได้ลูกไก่ก็ให้นำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาคืนให้กับโรงเรียน เป็นการต่อยอดให้กับชาวบ้าน โดยไม่ต้องลงทุนอะไร ทั้งหมดนี้โรงเรียนต้องการเป็นศูนย์กลางของการศึกษาการเกษตรในรูปแบบของเศรษฐกิจพอเพียง และการดำรงชีวิตอย่างเพียงพอ ภายใต้พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

ความมุ่งหวังของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน นอกจากการเป็นศูนย์กลางของการถ่ายทอดและเรียนรู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียงให้กับประชาชนในพื้นที่แล้ว การสอนเด็กนักเรียนให้เข้าใจ ก็เพื่อให้เด็กนำกลับไปถ่ายทอดให้กับครอบครัว นำกลับไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย

นายปราโมทย์ กำเนิดเนตร หรือ น้องซี นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 บอกกับเราว่า เขาเรียนรู้การทำการเกษตรที่โรงเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เพราะใจรัก และต้องการนำความรู้ที่ได้จากโรงเรียนกลับไปใช้ประโยชน์ที่บ้าน ปัจจุบัน ที่บ้านเลี้ยงหมู ซึ่งตนเห็นว่าเป็นการทำการเกษตรที่ง่าย เพราะให้อาหารในตอนเช้าและเย็น ส่วนน้ำก็ให้เฉพาะกลางวันเท่านั้น อาหารก็นำมาจากเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานของเรา ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มเติม เมื่อหมูตัวใหญ่พอก็จับขาย ทำให้มีรายได้มาใช้จ่ายในครอบครัว ส่วนกิจกรรมในโรงเรียน ชอบการปลูกผักสวนครัว เช่น คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้ง เพราะเป็นพืชที่ปลูกง่าย ดูแลง่าย และเก็บผลผลิตนำไปรับประทานหรือจำหน่ายได้เร็ว

ด้าน เด็กหญิงปัณฑิตา แก้วสะอาด หรือ น้องนุ่น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 บอกว่า อนาคตเธออยากเป็นครูตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อนำความรู้ที่ได้มาสอนให้กับน้องๆ และเด็กรุ่นหลัง ส่วนกิจกรรมเกษตรในโรงเรียน ชอบการเลี้ยงไก่ไข่ เพราะสอนให้รู้จักการคำนวณ เช่น การกินอาหารของไก่ การออกไข่ของไก่ในแต่ละวัน ซึ่งเมื่อคำนวณได้ถูกต้องแม่นยำ ก็จะไม่ทำให้เกิดรายจ่ายที่มากเกินไป เช่น การให้อาหารให้พอดีกับความต้องการของไก่ เป็นต้น ซึ่งความรู้ที่ได้รับจากโรงเรียนก็นำไปปรับใช้กับที่บ้าน เพราะที่บ้านเลี้ยงหมู ก็ช่วยพ่อแม่เลี้ยงหมูได้เช่นกัน

สำหรับ เด็กชายแกโด๊ะ พุดดี หรือ น้องแก ชาวกะหร่าง ไม่มีสัญชาติ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 บอกว่า รักการเกษตร อยากทำการเกษตร แต่เพราะมีข้อจำกัดเรื่องที่อยู่อาศัยที่พักพิงในศูนย์อพยพผู้ลี้ภัย ซึ่งมีพื้นที่จำกัด ไม่สามารถทำการเกษตรได้ แม้จะมีพื้นที่บ้างก็ตาม แต่ความเป็นอยู่ในชุมชนที่แออัดทำให้ไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ ศูนย์อพยพผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ ยังอยู่ห่างไกลจากโรงเรียนถึง 11 กิโลเมตร ทำให้หมดเวลาไปกับการเดินทางด้วยส่วนหนึ่ง จึงทุ่มเทให้กับการเกษตรที่โรงเรียนมากกว่า

“ผมชอบเกษตร แต่ไม่มีที่ทำการเกษตร พ่อและแม่รับจ้างทั่วไป เพราะอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพผู้ลี้ภัย ผมชอบการเลี้ยงปลามากที่สุด เพราะเป็นการดูแลที่ง่าย ไม่นานก็จับปลาไปขายได้ รายได้ก็นำเข้าสหกรณ์ของโรงเรียน เมื่อครบปีการศึกษาก็จะได้รับเงินปันผล เป็นรายได้ส่วนหนึ่งนำไปเก็บไว้สำหรับการศึกษาในอนาคต”