แนวหน้า Talk : ‘รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร’ ส่งกลับ‘อุยกูร์’ประเด็นร้อน‘ไทย’ ในความขัดแย้งของมหาอำนาจ

แนวหน้า Talk : ‘รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร’  ส่งกลับ‘อุยกูร์’ประเด็นร้อน‘ไทย’  ในความขัดแย้งของมหาอำนาจ

แนวหน้า Talk : ‘รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร’ ส่งกลับ‘อุยกูร์’ประเด็นร้อน‘ไทย’ ในความขัดแย้งของมหาอำนาจ

วันเสาร์ ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ในรอบ 1 เดือนมานี้ หนึ่งในเรื่องที่เป็นประเด็นร้อนทางการเมืองและสังคมไทย คือ “การส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับประเทศจีน” หลังถูกควบคุมตัวในสถานกักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) มานานถึง 10 ปี ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากชาติตะวันตก รวมถึงเครือข่ายคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศ มองว่ารัฐบาลไทยละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง เพราะส่งกลับไปในที่ที่คนเหล่านั้นอาจได้รับอันตราย

ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็ตอบโต้ว่า ที่ผ่านมาไม่มีประเทศใดเลยแสดงความจำนงอย่างชัดเจนในการรับชาวอุยกูร์ไปเป็นผู้ลี้ภัย อีกทั้งทางการจีนเองก็ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร ให้คำมั่นว่าจะดูแลชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับไปเป็นอย่างดีเนื่องจากไม่ใช่บุคคลที่มีคดีความร้ายแรงติดตัว และพร้อมให้ฝ่ายไทยไปเยี่ยมได้ทุกเมื่อ จนมีการเชิญตัวแทนสื่อมวลชนไทยติดตามคณะผู้แทนรัฐบาลไทยไปเยี่ยมกันมาแล้วตามที่ปรากฏเป็นข่าว

รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่วันที่ 19 มี.ค. 2568 ชวนพูดคุยกับ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในประเด็นนี้ โดย รศ.ดร.ปณิธาน ฉายภาพเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ในประเทศจีน ซึ่งเนื้อที่กว้างใหญ่กว่าไทยทั้งประเทศถึง 3 เท่า มีประชากรชาวอุยกูร์ราว 10 ล้านคน จากประชากรทั้งหมดในพื้นที่ราว 25 ล้านคน

ซึ่งหากย้อนไปราว 10-20 ปีก่อน ซินเจียงยังมีเศรษฐกิจที่ไม่ดี แต่ปัจจุบันมีการเปิดพื้นที่มากขึ้น และก่อนหน้าคณะสื่อไทย ก็เคยมีสื่อต่างประเทศเข้าไปในสถานที่ที่ถูกเรียกว่าสถานกักกันหรือสถานฝึกอาชีพ ขณะที่สถานการณ์ความไม่สงบก็น้อยลงไปมาก หากเทียบกับในอดีตที่ทางการจีนระบุว่ามีชาวอุยกูร์บางส่วนเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้าย รวมถึงมีรายงานการจับกุมและซ้อมทรมานผู้ต้องสงสัยโดยทางการจีนปรากฏในองค์การสหประชาชาติ (UN) และชาติตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี

“คนไทยส่วนใหญ่ก็รู้สึกว่าน่าจะต้องส่งกลับทุกชุดทุกกลุ่มที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จะได้ไม่เป็นภาระของคนไทย พม่านับแสนรายอยู่ในค่ายที่ต้องส่งกลับ ยังมีอีกหลายชาติมาก ฉะนั้นพื้นฐานคือต้องส่งกลับ แต่ถ้าตามกติกาสากลซึ่งเราเป็นภาคีอยู่ต้องไม่ให้เขาอันตราย และถ้าเกิดเขาต้องการไปประเทศที่ 3 ก็ต้องพยายามประสานให้เขาไป 173 คนที่เป็นผู้หญิงและเด็ก ที่เราส่งไปก่อนล่วงหน้า ที่เราส่งไปแต่แรก เข้ามา 300 กว่าคน เราส่งไปที่ตุรกี ก็อยู่เรียบร้อยดี

ทั้งหมดเหล่านี้วันนี้เราต้องคุยอย่างเข้มข้นว่าเรากำลังถูกล้อม กำลังถูกกดดัน กำลังจะต้องเข้าไปสู่การเจรจากับสหรัฐฯ เหมือนกับจีน ในการกำหนดกำแพงภาษี และเขาพูดชัดเจนว่าเขาจะใช้เงื่อนไขเหล่านี้กดดันเรา ฉะนั้นถ้าจีนช่วยเรามากกว่านี้ ก็จะต้องให้เรากลับมาดูใหม่ หรือดู
ตอนนี้เลยให้ได้มากที่สุด เอาสัก 39 คนก็ได้ 38 คน 30 คนอะไรก็ว่าไป แล้วตรงนี้ก็จะเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่เราจะกลับไปคุยกับสหรัฐฯ กับทางยุโรป ซึ่งเขาก็เปิดช่องว่าถ้าเราตรวจสอบได้ว่าปลอดภัยจริงก็มาคุยกันใหม่”

อนึ่ง นอกจากไทยจะต้องพิสูจน์แล้ว จีนก็ต้องพิสูจน์เช่นกันว่าดูแลชาวอุยกูร์ที่รับกลับไปเป็นอย่างดี เพราะจีนเป็นประเทศที่ค้าขายกับประเทศต่างๆ รวมทั้งกับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เป็นคนหนึ่งที่ติดตามสถานการณ์ของชาวอุยกูร์มานาน 10-20 ปี จนถูกทางการจีนขึ้นบัญชีสั่งห้ามเข้าพื้นที่ และเมื่อต้นปี 2568 ได้กล่าวในการแถลงเข้ารับตำแหน่งต่อที่ประชุมรัฐสภา ว่าจะเจรจากับทางการไทย พร้อมกับมีกระแสข่าวว่ามีความพยายามติดต่อมาที่ไทย

จึงเกิดคำถามคาใจว่า ในเมื่อ รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ เชื่อว่าคุยได้และเชื่อว่าไทยยังไม่ส่งตัวชาวอุยกูร์ให้จีน ถึงขั้นคาดหวังกันว่าความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ จะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่รวมถึงมีรายงานข่าวโดยอ้างบุคคลที่เป็นวงใน ยืนยันว่ามีความพยายามติดต่อจริง แต่เรื่องนี้ก็ต้องให้ฝ่ายค้านไปตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ แต่เมื่อไทยส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไปจีน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาประณามไทยอย่างรุนแรงและไม่เคยเป็นมาก่อน รวมถึงออกคำสั่งห้ามบุคคลของทางการไทยที่เกี่ยวข้องกับการส่งชาวอุยกูร์กลับจีนเดินทางเข้าสหรัฐฯ

ซึ่งคำสั่งดังกล่าวจะมีผลกระทบมาก เพราะมีเจ้าหน้าที่ของทางการไทยที่ทำงานร่วมกับทางการสหรัฐฯ ทั้งภารกิจดูแลความปลอดภัยชาวอเมริกันในไทย และดูแลความปลอดภัยชาวไทยในต่างประเทศ มีวงสนทนาระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหมและสภาความมั่นคงฯของทั้ง 2 ประเทศ สลับไป-มาในทุกปีก็ต้องหยุดและปรับเปลี่ยน โดยเรื่องนี้หากไทยยืนยันความปลอดภัยของชาวอุยกูร์ได้ ผลกระทบในส่วนนี้ก็จะน้อยลง จึงเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการในระยะสั้น

ส่วนในระยะกลางซึ่งไทยยังมีวาระเรื่องเขตการค้าเสรีกับยุโรป รวมถึงกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกันอย่างมาก และต้องพยายามปกป้องไม่ให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบมากนัก ทั้งนี้ แม้จะไม่มีการข่มขู่ แต่ไทยมีแนวโน้มถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 10 เนื่องจากไทยค้าขายได้ดุลการค้าสหรัฐฯ ส่วนเรื่องการระงับวีซ่าจะมีใครบ้างที่โดนก็ต้องดูว่าสหรัฐฯ จะแรงแค่ไหน เพราะที่ผ่านมาผิดคาดหมด ที่เชื่อว่าสหรัฐฯ จะไม่แรงกับแคนาดา เม็กซิโก ยุโรป เอาเข้าจริงคือแรงหมด หลายคนก็บอกว่าต้องระวังมาก

“ในชั้นต้นเขาคิดว่าไม่ได้แรงไปถึงฝ่ายการเมืองในระดับสูงสุด อย่างดีถึงขั้นรัฐมนตรีก็ถือว่าหนักแล้ว แต่ที่แน่ๆ เจ้าหน้าที่ประจำทั้งกระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม สำนักงานสภาความมั่นคง ก็ต้องมาไล่ดูว่าใครจะโดนบ้างที่เกี่ยวข้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เอาง่ายๆ ที่ไปชุดนี้ 20 กว่าคน จะโดนกี่คน เอาง่ายๆ เลย ถ้าเป็นอเมริกันก็บอกว่าชุดที่ไปจีนทั้งหมดนี่แหละเกี่ยวข้อง ไม่ต้องพิสูจน์ทราบอะไร ใครไม่ไปก็ยังไม่โดน ก็ยังได้ แต่มันมีอีกเรื่อง มันแปลกมาก เพราะพ่วงครอบครัวไปด้วย

อันนี้ผมก็ไม่เคยเห็น ทำงานทางด้านความมั่นคงมา 30 กว่าปี ครอบครัวเกี่ยวข้องอะไรด้วย ถ้าเป็นเรื่องยาเสพติดเราเข้าใจเพราะเป็นการฟอกเงินอาจจะมาที่ครอบครัว แต่อันนี้ถ้าไปดูอีก 3 กลุ่ม 43 ประเทศที่ออกข่าวมาพอๆ กันว่าเป็นกลุ่มประเทศซึ่งทางสหรัฐฯ เขาจะจัดเรื่องไม่ให้เข้าเมือง หรืออาจต้องกลับจากสหรัฐฯ ด่วนๆ เลย มีหลายประเทศที่อยู่ในเอเชีย เป็นประเทศที่เขาบอกว่ามันมีปัญหาเรื่องความมั่นคง ปัญหาความรั่วไหลเรื่องความลับ มีเรื่องการเข้าไปขโมยความลับผ่านทางโครงการฝึกศึกษา ไปเรียนหนังสือแล้วไปขโมยไฮเทคเขา แล้วไปฟอกเงิน พวกนี้ก็จะโดนไปด้วยเยอะถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อันนี้มันโผล่มาพ่วงตรงเราด้วย”

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการระบุว่าสมาชิกในครอบครัวนั้นรวมถึงใครบ้างและคนที่อยู่ในสหรัฐฯอยู่แล้วจะต้องออกจากสหรัฐฯ หรือไม่แต่ทั้งหมดนี้จะเป็นแรงกดดันให้ไทยต้องยอมสหรัฐฯ ต้องซื้อสินค้าสหรัฐฯ มากขึ้น ส่วนกรณีที่ทางการจีนออกแถลงการณ์ปกป้องไทยและตอบโต้สหรัฐฯ มีข้อสังเกตเรื่องการใช้ถ้อยคำที่ฝ่ายจีนใช้คำทำนองว่า “ทั้งไทยและจีนรู้สึก…” ซึ่งในทางการทูตหรือว่าผิดปกติเพราะดูเหมือนจีนมาครอบงำไทย แต่ทางจีนก็อาจรู้สึกว่าไทยโดนโจมตีอย่างหนักจึงต้องช่วย พร้อมกับย้อนไปเทียบสหรัฐฯ ที่ผลักดันคนนับแสนออกนอกประเทศ

ซึ่งด้านหนึ่งแม้ท่าทีของจีนจะได้ใจคนไทย แต่อีกด้านหนึ่งเชื่อว่าทางกระทรวงการต่างประเทศคงกังวลเพราะจะดูเหมือนไทยอยู่ในกำกับของจีน และทางฝ่ายนักการเมืองในสหรัฐฯ ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.)ก็เข้าใจและมีภาพจำอย่างคลาดเคลื่อนว่าไทยเป็นลูกน้องจีน อย่างตนไปสหรัฐฯ ทีไรก็ต้องเถียงเสมอว่าไทยไม่ได้เป็นลูกน้องใคร แต่ระยะนี้ก็อาจถูกมองว่าเอียงไปทางจีน เพราะทุนจีนสีเทาก็ไม่ปราบ ธุรกิจจีนก็เข้ามาเกะกะระรานธุรกิจไทย เวลาจีนมาปราบปรามองค์กรอาชญากรรมก็ดูเหมือนจะชี้นำไทย

กระทั่งล่าสุดคือเรื่องอุยกูร์ เกิดคำถามว่ามีการพูดคุยกันในระดับสูงแล้วหันหลังให้สหรัฐฯ หรือไม่ แถมจีนยังเป็นฝ่ายแถลงปกป้องไทยอีก อนึ่ง นักวิชาการของสถาบันยุทธศาสตร์สหรัฐฯ (CSIS) ก็กล่าวกับสื่อต่างประเทศว่าเวลานี้ไทยจะไม่ทำอะไร เหมือนกับไทยกำลังกบดาน เหมือนกับแอฟริกาใต้ที่กบดานหลังทูตถูกสหรัฐฯ ขับไล่ เพราะกลัวว่าจะโดนหนักขึ้น แต่ตนมองว่าการทำแบบนี้ไม่ช่วยอะไร เพราะในเมื่อไทยจะโดนอยู่แล้วก็ต้องเจรจา ยิ่งหากมีข้อมูลว่าชาวอุยกูร์ที่กลับจีนไปแล้วปลอดภัยก็ส่งให้สหรัฐฯ ไปเลย และแถลงข่าวด้วยว่าส่งข้อมูลให้สหรัฐฯ แล้ว

หรือก็คือต้องโยนลูกไปให้สหรัฐฯ อย่าให้อยู่ในมือไทย เพราะแม้ทางการไทยจะมีอำนาจดำเนินการตามกฎหมายไทยในพื้นที่ของประเทศไทย แต่เราพึ่งพาสหรัฐฯ ได้กำไรจากสหรัฐฯ แต่ในเมื่อสหรัฐฯ กำลังจะทะเลาะกับจีนมากขึ้น ไทยก็ต้องทำอะไรมากกว่าเดิม จะนิ่งๆ เฉื่อยๆ เหมือนเดิมไม่ได้ กระทรวงการต่างประเทศของไทยต้องยืนหยัดแสดงบทบาท และจริงๆ กรณีชาวอุยกูร์ 40 คน ไทยไม่ควรส่งให้ไปทั้งหมดเว้นแต่ทางการไทยจะสามารถดูได้ทั้งหมด แต่เรื่องนี้ยอมรับว่าทำยากเพราะคณะทำงานอาจเกรงใจทั้งจีน สหรัฐฯ ฝ่ายข้าราชการประจำและฝ่ายการเมือง

“ผมก็โดนมาแล้ว คุณก็คงคิดในใจ ตอนอาจารย์ไปอยู่ตรงนั้นไม่เห็นทำอะไรเลย พูดจาก็น้อย ตอนนี้ออกมาพูดได้ ก็แน่นอนเวลาอยู่ในกรอบมันก็ทำได้น้อย เคยอยู่นอกแถวตอนนี้อยู่ในแถวเรียบร้อยก็ธรรมดา แต่ว่าคราวนี้มันหมิ่นเหม่ มันผกผัน มันหัวเลี้ยวหัวต่อ จริงๆ ต้องยืนยันจากเจ้าหน้าที่ประจำว่าต้องทำแบบนี้ๆ เพราะเราเห็นแล้วว่าแนวจีนเอาเรื่องอยู่ เขาคงจะต่อรองได้เยอะถ้าเราไม่แข็งขืนแต่แรก

แล้วหลายครั้งที่เราแข็งขืนตั้งแต่แรกมันอาจจะช่วยได้สุดท้ายตอนนี้ผมคิดว่ากระทรวงความมั่นคงสาธารณะ(ของจีน) คงไม่ตัดสินใจอะไรมากกว่านี้ ถ้าจะให้ดูอะไรให้ครบต้องคุยกับประธานาธิบดีเลย ให้เขาสั่งลงมา คล้ายๆ กับที่เราเคยทำ คงจะนึกออก กระทรวงกลาโหมอเมริกัน ยามวิกฤตต้มยำกุ้งบอกไม่ช่วยไทยแล้วเพราะเจรจาไม่ได้ เราต้องซื้อเครื่องบิน F-18 เขา ต้องเสียค่าปรับ ทหารก็บอกคุยไม่ได้แล้ว พวกผมต้องช่วยกันเขียนหนังสือไปถึงคลินตัน (บิล คลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น) โดยตรง ให้คนที่เขาสนิทส่งไปให้เลย”

ซึ่งเมื่อผู้นำสหรัฐฯ เห็นจดหมาย ได้เข้าใจก็เห็นว่าต้องช่วยไทยและต้องช่วยหลายเรื่องด้วย ดังนั้นตนเชื่อว่า กรณีของ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน หากไม่มีเรื่องดีลลับอะไรตามที่เคยปฏิเสธกันไว้ ไทยก็ต้องขอติดตามดูชาวอุยกูร์เยอะๆ หรือทั้งหมดแล้วให้ผู้นำจีนสั่งการลงมา โดยหากดูได้ไม่ครบทุกคนในวันที่คณะผู้แทนไทยไปเยือน ก็ต้องแถลงว่าภายใน 1 เดือนจะสามารถดูได้ทั้งหมด ในมุมของไทยก็จะสามารถปลดพันธนาการได้ หรือไม่ถูกกดดันมากนัก

ส่วนชาวอุยกูร์ที่ยังเหลือค้างอยู่ในประเทศไทย ทราบว่ามี 2 คน ที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดีในชั้นศาลในคดีวางระเบิดศาลพระพรหม คงไปไหนไม่ได้แน่ๆ แต่ที่เหลือซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเสียชีวิตไปแล้ว 2 คน ในส่วนที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งเข้าใจว่าอยู่ในเรือนจำเพราะหลบหนีออกจากห้องกักของ ตม. ก็น่าจะลดโทษให้ได้ เพราะก็น่าเห็นใจเนื่องจากห้องกักไม่เหมือนกับเรือนจำสภาพความเป็นอยู่ลำบาก จะออกกำลังกาย รับประทานอาหารหรือสวดมนต์ก็ยาก ตนมองว่ากลุ่มนี้ส่งกลับได้แต่ต้องรับประกันความปลอดภัยด้วย

นอกจากนั้นยังมีอีก 17 คนที่มีหมายจับในคดีวางระเบิดศาลพระพรหมและท่าน้ำสาทร ซึ่งยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ เรื่องนี้ทางการจีนรู้ดีเพราะเขาก็ติดตามอยู่ รวมถึงที่มีการพูดถึงชาวอุยกูร์ที่ยังไม่ปรากฏชื่อ ท่ามกลางชาวต่างชาตินับล้านที่เข้า-ออกประเทศไทยโดยไม่มีระบบตรวจสอบ ก็ต้องไปดูให้ดีว่าจะไปโผล่ตรงไหน แต่ส่วนที่เหลือหากทยอยส่งกลับได้สำเร็จก็ไม่น่ายากแล้ว

ในท้ายที่สุด มีข้อสังเกตว่า ประเทศไทยอยู่กำลังในความขัดแย้งระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจ ดังนั้นควรวางตัวอย่างไร อย่างแรกตามตำราของต่างประเทศ มีคำว่า “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” จะจีนหรือสหรัฐฯ ก็คบเท่าที่ได้ประโยชน์ มองผลประโยชน์แห่งชาติเป็นหลัก ขณะที่ตำราไทยมีคำว่า “อย่าเลือกข้างโดยไม่จำเป็น” แต่ก็ยอมรับว่าทำได้ยากในปัจจุบันชาติต่างๆ รู้หมดแล้วจึงพยายามบีบกันใหญ่

“เมื่อโดนบีบแล้ว อย่างนั้นก็ต้องยังไม่เลือกข้างแต่ว่าไม่ลู่ลมเพราะเดี๋ยวรากโคนจะล้มหมด ก็เอาเป็นว่าเราเข้าไปประกบแต่ละขั้ว อย่างเช่น เวียดนาม ตุรกี อินเดียทำเข้าไปประกบแล้วดูว่าเราจะต่างตอบแทนแลกผลประโยชน์อย่างไร ถ้าจะให้เราซื้อของมากขึ้นคุณก็ต้องมาช่วยตรงนี้เรา อันนี้ต้องประกอบทีมใหม่แล้วก็ส่งเข้าไปเจรจาปรับสมดุลขึ้นไปใหม่ อยู่เฉยๆ ไม่ได้”

หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ

แนวหน้า Talk ครั้งที่ 2 รวมพลคนรักแนวหน้าเหนียวแน่น

แนวหน้า Talk ครั้งที่ 2 รวมพลคนรักแนวหน้าเหนียวแน่น

แนวหน้า Talk ครั้งที่ 2 รวมพลคนรักแนวหน้าเหนียวแน่น

วันพุธ ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2568, 14.32 น.

ปิดฉากไปอย่างสวยงามสำหรับ “แนวหน้า TALK ครั้งที่ 2” ตอน “คมมีดโกนโบกสะบัด ปวงประชาจึงร่วมกันขจัดทุรชน” จัดโดย แนวหน้าออนไลน์ ซึ่งได้รับเกียรติจาก ชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีหลายสมัย ขึ้นเวทีทอล์คพร้อมด้วย นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่คุ้นหน้าคุ้นตา ได้แก่ สนธิยา ชื่นฤทัยในธรรม, อาร์ต-อรรทิตย์ฌาณ คูหาเรืองรอง, ฟ้าคราม-ชวิศร์ ชูประทุม, ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข, บุญยอด สุขถิ่นไทย, สมชาย แสวงการ, นิติธร ล้ำเหลือ, จตุพร พรหมพันธุ์  รวมไปถึงคนดังทางเมืองก็มาร่วมฟังกันคับคั่ง นอกจากฟังทอล์คการเมืองแล้วผู้ร่วมงานยังได้เพลิดเพลินไปกับมินิคอนเสิร์ตจาก สุชาติ ชวางกูร งานนี้ผู้บริหารแนวหน้านำโดย ผาณิต พูนศิริวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่, ผรณเดช พูนศิริวงศ์, อัญชะลี ไพรีรัก ให้การต้อนรับแฟนคลับที่ซื้อบัตรร่วมงานเต็มความจุ 1,053 ที่นั่ง เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568 ณ โรงละครเคแบงค์สยามพิฆเนศ ห้างสรรพสินค้าสยามสแควร์วัน เขตปทุมวัน

บรรยากาศภายในงานยังมีการออกร้านจำหน่ายสินค้ามากมาย อาทิ ร้านวิสาหกิจแนวหน้าเพื่อสังคม นำผลิตภัณฑ์แบรนด์ “ลองนา” อาทิ น้ำหมักจุลินทรีย์ แชมพู-ครีมนวดผม พญาหม่องน้ำสำหรับแก้อาการปวดเมื่อย, ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว แบรนด์ Dr.Mallika, ร้านธรรมธุรกิจ นำผลิตภัณฑ์ผักสด ผลไม้ ไข่ไก่ ข้าวสาร ปลอดสารพิษมาจำหน่าย, น้ำพริกเฉลิมไทย เป็นต้น 

038

แนวหน้า Talk ครั้งที่ 2 รวมพลคนรักแนวหน้าเหนียวแน่น

แนวหน้า Talk ครั้งที่ 2 รวมพลคนรักแนวหน้าเหนียวแน่น

แนวหน้า Talk ครั้งที่ 2 รวมพลคนรักแนวหน้าเหนียวแน่น

วันพุธ ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ปิดฉากไปอย่างสวยงามสำหรับ “แนวหน้า TALK ครั้งที่ 2” ตอน “คมมีดโกนโบกสะบัด ปวงประชาจึงร่วมกันขจัดทุรชน” จัดโดย แนวหน้าออนไลน์ ซึ่งได้รับเกียรติจาก ชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีหลายสมัย ขึ้นเวทีทอล์กพร้อมด้วยนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่คุ้นหน้าคุ้นตา ได้แก่ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม,อาร์ต-อรรทิตย์ฌาณ คูหาเรืองรอง, ปรเมษฐ์ ภู่โต, ฟ้าคราม-ชวิศร์ ชูประทุม, ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข, บุญยอด สุขถิ่นไทย,สมชาย แสวงการ, นิติธร ล้ำเหลือ, จตุพร พรหมพันธุ์ รวมไปถึงคนดังทางการเมืองก็มาร่วมฟังกันคับคั่ง นอกจากฟังทอล์กการเมืองแล้วผู้ร่วมงานยังได้เพลิดเพลินไปกับมินิคอนเสิร์ตจาก สุชาติ ชวางกูร งานนี้ผู้บริหารแนวหน้านำโดยผาณิต พูนศิริวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฯ, ผรณเดช พูนศิริวงศ์,อัญชะลี ไพรีรัก ต้อนรับแฟนคลับที่ซื้อบัตรร่วมงานเต็มความจุ 1,053 ที่นั่ง เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568 ณ โรงละครเคแบงค์สยามพิฆเนศ ห้างสรรพสินค้าสยามสแควร์วัน เขตปทุมวัน

บรรยากาศภายในงานยังมีการออกร้านจำหน่ายสินค้ามากมาย อาทิ ร้านวิสาหกิจแนวหน้าเพื่อสังคมนำผลิตภัณฑ์แบรนด์ “ลองนา” อาทิ น้ำหมักจุลินทรีย์แชมพู-ครีมนวดผม พญาหม่อง สำหรับแก้อาการปวดเมื่อย,ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว แบรนด์ Dr.Mallika, ร้านธรรมธุรกิจนำผลิตภัณฑ์ผักสด ผลไม้ ไข่ไก่ ข้าวสารปลอดสารพิษมาจำหน่าย,น้ำพริกเฉลิมไทย เป็นต้น

ชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภาและอดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีแนวหน้า TALK ครั้งที่ 2

ชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภาและอดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีแนวหน้า TALK ครั้งที่ 2

ผาณิต พูนศิริวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ บจก. นสพ.แนวหน้า มอบพวงมาลัยขอบคุณท่านชวน หลีกภัย

ผาณิต พูนศิริวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ บจก. นสพ.แนวหน้า มอบพวงมาลัยขอบคุณท่านชวน หลีกภัย

อัญชะลี ไพรีรัก แม่งานใหญ่ แนวหน้า Talk ครั้งที่ 2

อัญชะลี ไพรีรัก แม่งานใหญ่ แนวหน้า Talk ครั้งที่ 2

สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม

สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม

สมชาย แสวงการ

สมชาย แสวงการ

ปรเมษฐ์ ภู่โต

ปรเมษฐ์ ภู่โต

จิตรกร บุษบา

จิตรกร บุษบา

ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข

ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข

เสริมสุข กษิติประดิษฐ์

เสริมสุข กษิติประดิษฐ์

ปิดฉากด้วยการถ่ายภาพกรุ๊ปฟี่กับผู้มาร่วมงาน นำโดย อัญชะลี ไพรีรัก, เสริมสุข กษิติประดิษฐ์, จิตรกร บุษบา, บุญระดม จิตรดอน, กิตติมา ธารารัตนกุล, ปรเมษฐ์ ภู่โต,
ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข, อรรทิตย์ฌาณ คูหาเรืองรอง, ชวิศร์ ชูประทุม และ บุญยอด สุขถิ่นไทย

ปิดฉากด้วยการถ่ายภาพกรุ๊ปฟี่กับผู้มาร่วมงาน นำโดย อัญชะลี ไพรีรัก, เสริมสุข กษิติประดิษฐ์, จิตรกร บุษบา, บุญระดม จิตรดอน, กิตติมา ธารารัตนกุล, ปรเมษฐ์ ภู่โต, ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข, อรรทิตย์ฌาณ คูหาเรืองรอง, ชวิศร์ ชูประทุม และ บุญยอด สุขถิ่นไทย

บุญยอด สุขถิ่นไทย

บุญยอด สุขถิ่นไทย

อรรทิตย์ฌาณ คูหาเรืองรอง และ ชวิศร์ ชูประทุม

อรรทิตย์ฌาณ คูหาเรืองรอง และ ชวิศร์ ชูประทุม

แนวหน้า Talk : ‘ไพบูลย์ นิติตะวัน’ ‘พลังประชารัฐ’ในบทบาทฝ่ายค้าน อ่านเกม‘เพื่อไทย’แก้รัฐธรรมนูญ

แนวหน้า Talk : ‘ไพบูลย์ นิติตะวัน’  ‘พลังประชารัฐ’ในบทบาทฝ่ายค้าน  อ่านเกม‘เพื่อไทย’แก้รัฐธรรมนูญ

แนวหน้า Talk : ‘ไพบูลย์ นิติตะวัน’ ‘พลังประชารัฐ’ในบทบาทฝ่ายค้าน อ่านเกม‘เพื่อไทย’แก้รัฐธรรมนูญ

วันเสาร์ ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

หมายเหตุ : บทสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ 27 ก.พ. 2568 ที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน จะมีมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว หลังจากที่ก่อนหน้านั้น พรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้าน เคยให้ข่าวว่าอาจมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีคนอื่นๆ รวม 10 คน

“และนโยบายเร่งด่วนสุดท้าย คือการแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 เพื่อให้คนไทยได้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยยึดรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและไม่แก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์ โดยรัฐบาลจะหารือแนวทางในการทำประชามติที่ให้ความสำคัญกับการทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมออกแบบกฎ กติกาที่เป็นประชาธิปไตยทันสมัยและเป็นที่ยอมรับร่วมกัน รวมถึงการหารือแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญในรัฐสภาเพื่อให้ประเทศสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง” เศรษฐา ทวีสิน (แถลงนโยบายต่อรัฐสภา วันที่ 11 ก.ย. 2566)

“รัฐบาลจะเร่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยเร็วที่สุด โดยยึดโยงกับประชาชนและหลักการของประชาธิปไตยสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล เคารพพหุวัฒนธรรม เพื่อเป็นบันไดสู่การพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน โดยมีเสถียรภาพทางการเมืองเป็นปัจจัยเร่งที่สำคัญ รวมถึงการสร้างสันติภาพและสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประชาชน
มีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน” แพทองธาร ชินวัตร (แถลงนโยบายต่อรัฐสภา วันที่12 ก.ย. 2567)

เป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้วสำหรับรัฐบาลที่มี “พรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำ มีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 2 คนจาก เศรษฐา ทวีสิน ถึง แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งจะเห็นว่า “การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ถูกบรรจุเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่จะต้องเร่งดำเนินการ แต่ในความเป็นจริงน่าจะเป็นไปไม่ได้แล้วที่ทุกอย่างจะแล้วเสร็จก่อนครบวาระ 4 ปี ของรัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)ชุดที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2566 และจะหมดวาระในปี 2570

นั่นเพราะแม้แต่ “ก้าวแรก” อย่าง “การทำประชามติ” ก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้จากข้อถกเถียงว่าตกลงแล้วต้องทำประชามติ 2 หรือ3 ครั้ง อีกทั้งร่างกฎหมายประชามติก็ยังมีความเห็นต่างระหว่าง สส. กับสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่ฝ่าย สว. ต้องการให้เป็น “เสียงข้างมาก 2 ชั้น” ต้องมีคนมาลงประชามติกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง และต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ที่มาออกเสียง สวนทางความเห็นของ สส. ที่ต้องการ “เสียงข้างมากชั้นเดียว” ซึ่งไม่ต้องสนใจว่าผู้มาลงประชามติมีจำนวนเท่าใด เพียงได้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งของผู้ที่มาออกเสียงในครั้งนั้นก็เป็นอันใช้ได้

รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่วันที่ 19 ก.พ. 2568 ตัวแทนจากอดีตพรรคร่วมรัฐบาลที่ปัจจุบันกลายไปเป็นฝ่ายค้านไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวล่าสุด โดยพรรคเพื่อไทยตัดสินใจส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องการทำประชามติ ว่า เป็นการซื้อเวลาของพรรคเพื่อไทย และเพื่อให้สามารถตอบมวลชนที่เคยไปหาเสียงไว้ว่าพรรคยังคงเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แต่ต้องดำเนินการให้รอบคอบ

เพราะเชื่อว่าหากเร่งนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมร่วมของรัฐสภาก็เป็นไปได้สูงที่จะถูกตีตกตั้งแต่วาระ 1 ดังนั้นจึงใช้เทคนิคด้วยการไปถามศาลรัฐธรรมนูญ แต่ที่มองว่าเป็นการซื้อเวลาเนื่องจากก่อนหน้านี้ก็เคยมีการถามและศาลรัฐธรรมนูญก็ให้คำตอบมาแล้ว โดยการยื่นครั้งแรกตนเป็นคนดำเนินการเองเนื่องจากเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่ใช้อยู่ให้อำนาจรัฐสภาแก้ไขเพียงรายมาตราเท่านั้น ไม่ได้ให้อำนาจยกเลิกทั้งฉบับ

“ศาลก็ตอบว่ารัฐสภามีอำนาจ แต่ก่อนที่จะดำเนินการก็จะต้องไปถามประชาชน ไปทำประชามติเสียก่อนซึ่งคำนี้ก็มาถกเถียงกัน ผมก็บอกตีความแล้วก็คือไม่มีอำนาจ คือถ้าศาลวินิจฉัยว่ามีอำนาจก็ไม่ต้องแต่อะไรทั้งนั้น มีอำนาจคุณก็ไปทำเลย แต่ศาลบอกว่ามีอำนาจแต่คุณต้องไปทำประชามติเสียก่อน ก็แสดงว่าไม่มีอำนาจ เว้นแต่คุณไปทำประชามติแล้วคุณถึงค่อยมีอำนาจ

มันก็ชัดเจนตั้งแต่ปี 2564 จนเป็นที่มาที่ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้นตกไป ต่อมาก็มาสมัยนี้อีกปีที่แล้ว พรรคเพื่อไทยก็มีการยื่นญัตตินี้เหมือนกัน ศาลก็วินิจฉัยเหมือนกันว่าเป็นเรื่องที่วินิจฉัยไปแล้ว ก็ให้ไปดูคำวินิจฉัยที่ผมเป็นคนยื่นไป ก็วินิจฉัยชัดเจนแล้ว พอมาคราวนี้ยังจะยื่นอีก ขนาดพรรคประชาชนยังบอกเองว่ายื่นไปทำไม เสียเวลา”

❛ความคืบหน้ากฎหมายประชามติ : ย้อนไปในวันที่ 18 ธ.ค. 2568 ซึ่งมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณา (ร่าง) พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่..) พ.ศ….. หลังจากที่ก่อนหน้านั้น ในวันที่ 4 ธ.ค. 2567 ที่ประชุมกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ ซึ่งมีตัวแทนทั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้ข้อสรุปให้ใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ

กล่าวคือ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิ์ออกเสียง และมีคะแนนเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียง ซึ่งเป็นข้อเสนอของฝั่ง สว. อย่างไรก็ตาม มติที่ประชุม สส. ในวันที่ 18 ธ.ค. 2567 ส่วนใหญ่ 326 เสียง ไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปของร่างที่กรรมาธิการพิจารณา ขณะที่ 61 เสียง เห็นด้วย ทำให้ร่างกฎหมายประชามติต้องถูกพักการพิจารณาไว้ก่อนเป็นเวลา 180 วัน ตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 137 (3) จึงจะนำกลับมาพิจารณาใหม่ได้

สำหรับตัวอย่างการทำประชามติ อ้างอิงข้อมูลผู้มีสิทธิเลือกตั้ง สส. เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 52,195,920 คน หากยึดตามหลักเกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น จะให้ประชามติเรื่องใดผ่านต้องมีผู้ออกไปลงประชามติไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งดังกล่าว ในที่นี้คือไม่น้อยกว่า 26,097,960 คน และจะต้องได้เสียงเห็นชอบในหัวข้อประชามตินั้นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้ที่ออกไปลงประชามติ ในที่นี้คือไม่น้อยกว่า 13,048,980 คน แต่หากยึดหลักเกณฑ์เสียงข้างมากชั้นเดียวก็ไม่ต้องดูจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

ดังนั้น ตนจึงมองว่า การยื่นศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้งจึงเป็นเพียงการซื้อเวลา เพราะตามระเบียบวิธีพิจารณา เมื่อเห็นเป็นเรื่องเดิมศาลก็ต้องสั่ง
ยกคำร้องเพราะได้วินิจฉัยไปแล้ว ส่วนที่บอกว่าการยื่นครั้งก่อนประธานสภายังไม่ได้บรรจุ ตนมองว่าไม่แตกต่างกัน จึงเป็นเพียงความพยายามยืดเวลาไปโดยหวังว่าจะแก้กฎหมายประชามติให้ใช้เสียงข้างมากชั้นเดียวได้ ซึ่งก็น่าจะใช้เวลาตั้งแต่ 8 เดือน ไปจนถึงมากกว่า 1 ปีนั่นเพราะมีข้อกังวลว่าหากทำประชามติ ณ เวลานี้ ที่กฎหมายให้ใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น อาจมีประชาชนมาลงประชามติไม่ถึงกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง

โดยสรุปแล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญในลักษณะจัดทำใหม่ทั้งฉบับเป็นเรื่องยากมากเมื่อเทียบกับการแก้ไขเป็นรายมาตรา แต่การแก้ไขทั้งฉบับจะทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขเรื่องใดๆ ก็ได้ เช่น การยุบเลิกหรือเปลี่ยนแปลงบทบาทขององค์กรอิสระ โดยยกให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) แต่ตนเชื่อว่ารัฐบาลจะไปก่อนรัฐธรรมนูญ ทั้งจากตัวนายกฯเอง เสถียรภาพในรัฐบาล ปัญหาเศรษฐกิจและอื่นๆ ที่รุมเร้า โดยการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะชี้ให้เห็นว่ามีปัญหาอะไรตรงไหนบ้าง รัฐบาลชุดนี้จึงไม่น่าจะอยู่ได้ยาว

สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ในการประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน พรรคพลังประชารัฐได้แจ้งแล้วว่าขออภิปราย
นายกฯ แพทองธาร เพียงคนเดียว แต่ยื่นอภิปรายใน 3 ประเด็น ประกอบด้วย 1.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ – กาสิโน 2.ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ 3.MOU44 หรือบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ที่ทั้ง 2 ประเทศจัดทำขึ้นในปี 2544 สมัยที่นายทักษิณเป็นนายกฯ

ส่วนที่พรรคประชาชน ในฐานะแกนนำฝ่ายค้าน เปิดเผยว่าเตรียมยื่นอภิปรายรัฐมนตรีไว้ 10 คน ตนมองว่าเนื่องจากพรรคประชาชนมี สส. จำนวนมาก จึงได้เวลาอภิปรายมาก และมีผู้ประสงค์อภิปรายเยอะ จึงต้องมีการกระจายประเด็นออกไป แต่ก็ไม่ใช่ว่ารัฐมนตรีนั้นจะไม่เกี่ยวกับนายกฯ จะรัฐมนตรีคนไหนก็โยงเข้ากับนายกฯ ได้ทั้งนั้นเพราะนายกฯ เป็นผู้กำกับดูแล การยื่น 10 คนก็เป็นสิทธิ์ของพรรคประชาชนที่จะยื่น

ส่วนกระแสข่าวที่ว่ามีความพยายามเจรจาไม่ให้พรรคประชาชนอภิปรายเฉพาะนายกฯ แพทองธาร คนเดียว แต่ให้ขยายไปถึงรัฐมนตรีในสังกัดพรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติตนไม่ได้ยินเรื่องดังกล่าวและยังเชื่อในพรรคประชาชนหลังจากที่ได้ประชุมกันซึ่งแม้พรรคพลังประชารัฐจะเสนอให้อภิปรายนายกฯคนเดียว เพราะอภิปรายรัฐมนตรีคนใดก็พาดพิงไปถึงนายกฯทั้งนั้น แต่สมาชิกพรรคประชาชนก็เห็นว่ามีรัฐมนตรีหลายคนที่ต้องถูกอภิปราย ก็เข้าใจได้ว่าถือเป็นเอกสิทธิ์

“ดังนั้นการที่ไม่อภิปรายนายกฯ คนเดียว ไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณในเรื่องอื่น เป็นการส่งสัญญาณคือเขามีเรื่องจะต้องอภิปราย มีผู้จะอภิปรายเป็นจำนวนมาก แล้วเขาก็ต้องการที่จะสร้างผลงานในการอภิปราย ก็อาจจะเห็นรัฐมนตรีไหนที่มีปัญหาที่เขาได้ข้อมูลมา เขาก็อยากจะอภิปราย มันก็เป็นสิทธิ์ของพรรคประชาชน เขาก็บอกประมาณนั้น แต่แม้ไม่บอกผมก็เข้าใจอยู่แล้ว และถ้าจะว่ากันไปแล้วสมัยที่พรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำเราก็มีการอภิปราย น่าจะ 4 ครั้งทุกครั้งก็อภิปรายรัฐมนตรีหลายคน

ผมก็ยังเชื่อว่าครั้งนี้ก็เหมือนเป็นปกติที่จะมีอภิปรายรัฐมนตรีคนอื่นด้วย ไม่ได้หมายความว่าเป็นนัยอย่างเดียวว่ามีการไปล็อบบี้อะไรกัน ไม่ผิดปกติ เขาอาจเดิมมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคเพื่อไทย ถ้าพูดอย่างนั้นพรรคพลังประชารัฐก็เคยร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยเหมือนกัน ก็ต้องไม่อภิปราย มันก็ไม่ใช่เสียทีเดียว คือการทำหน้าที่พรรคฝ่ายค้าน ก็คือพอเราสวมบทบาทพรรคฝ่ายค้านก็ต้องมีหน้าที่ไปอภิปรายประเด็นว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลอะไร”

ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากที่มีนักวิชาการหรือผู้อาวุโสที่เป็นรัฐมนตรีอยู่หลายท่านที่มีความรู้ จึงออกมาให้ความเห็นได้มาก ด้วยความที่คนอยู่ข้างนอกไม่ต้องมีภาระเรื่องการพิจารณากฎหมายเหมือนคนที่อยู่ในสภา จึงมีเวลาเจาะลึกและนำเสนอประเด็น โดยจัดทำเป็นศูนย์วิชาการและประสานกับ สส. มีการตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายพรรคพลังประชารัฐในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีรองหัวหน้าพรรค ชัยมงคลไชยรบ ซึ่งเป็น สส.สกลนคร เป็นประธานและ สส. เกือบทุกคนจะเป็นคณะทำงาน

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่พรรคพลังประชารัฐมี สส. ซึ่งไม่อยากเรียกว่าน้อย แต่มีประมาณ 20 คน เมื่อไปแบ่งเวลาเฉลี่ยกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน
อื่นๆ จึงได้เวลาน้อยลง ก็ต้องอภิปรายไปตามนั้น แต่ก็คาดหวังในการอภิปราย เพราะเมื่อมีการอภิปรายแต่ละครั้งประชาชนก็ให้ความสนใจ สื่อก็ตามทำข่าว จะทำให้เกิดการเปิดประเด็นสำคัญๆ ความไม่ชอบมาพากลในรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และแม้จะหวังเรื่องการยกมือโหวตของ สส. เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ยาก แต่การเปิดข้อมูลให้สังคมรับรู้ปัญหาของรัฐบาล ก็จะส่งผลให้รัฐบาลอายุสั้นลง

ส่วนคำถามว่าอยากให้การอภิปรายเกิดขึ้นเมื่อใด คาดหวังว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมี.ค. 2568 แต่เรื่องนี้ปัจจัยไม่ได้อยู่ที่ฝ่ายค้านเพราะฝ่ายค้านอยากให้อภิปรายโดยเร็วอยู่แล้ว แต่มักจะเกิดจากฝ่ายรัฐบาลที่ดึงไปช่วงท้ายๆ ของสมัยประชุม ซึ่งไม่ได้ว่าเฉพาะพรรคใดเพราะชอบทำกันทุกรัฐบาล เพื่อไม่ต้องการให้ขยายผลไปในช่วงที่สภาเปิด โดยสมัยประชุมล่าสุดจะปิดประชุมในวันที่ 10 เม.ย. 2568

“สำหรับพรรคพลังประชารัฐ เราก็ตั้งอกตั้งใจทำงานในฐานะพรรคฝ่ายค้าน และเราก็มั่นใจว่าอย่างไรรัฐบาลนี้อยู่ไม่ได้นานอยู่แล้ว เราก็เป็นห่วงการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล นำโดยนายกฯ ท่านนี้มีปัญหาเยอะ เราก็อยากจะให้ประชาชนมีโอกาสที่จะได้รัฐบาลใหม่ ซึ่งพรรคพลังประชารัฐเราก็มีนโยบายดีๆ ที่จะเข้าไปทำงานให้กับประชาชน”

หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง”ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์”ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ

แนวหน้า Talk : ‘สุทิน วรรณบวร’ การเมืองไทยในสายตาสื่ออาวุโส ต่างชาติไม่มั่นใจใครนายกฯตัวจริง

แนวหน้า Talk : ‘สุทิน วรรณบวร’  การเมืองไทยในสายตาสื่ออาวุโส  ต่างชาติไม่มั่นใจใครนายกฯตัวจริง

แนวหน้า Talk : ‘สุทิน วรรณบวร’ การเมืองไทยในสายตาสื่ออาวุโส ต่างชาติไม่มั่นใจใครนายกฯตัวจริง

วันเสาร์ ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

เหมาะสมหรือไม่? และทำได้จริงหรือ? : ย้อนไปในวันที่ 7 พ.ค. 2567 เว็บไซต์ Aseannow.com ได้เผยแพร่ข่าวซึ่งอ้างว่า ในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. 2567 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยได้หารือกับตัวแทนจากรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) หรือฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร รวมถึงกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) สภากอบกู้รัฐฉาน (RCSS) พรรคก้าวหน้าแห่งชาติกะเรนนี (KNPP) และองค์การแห่งชาติกะฉิ่น (KNO)

ในเวลาต่อมา วันที่ 14 พ.ค. 2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
นายทักษิณผู้เป็นบิดา ปัจจุบันไม่ได้มีตำแหน่งอะไร แต่สมัยที่เป็นนายกฯ ก็มีการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งก็มีโอกาสที่ได้รู้จักทั้งกลุ่มชาติพันธุ์และชนกลุ่มน้อย รวมไปถึงทหารของเมียนมา จึงยังมีความสัมพันธ์ต่อกันอยู่ซึ่งก็เป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ได้สร้างไว้ ฉะนั้นด้วยความเป็นห่วงประเทศ ถ้ามีการได้พูดคุยอะไร เป็นเพียงเพราะอยากมีส่วนร่วมในการช่วยประเทศไทยเท่านั้น ส่วนจะประสบผลสัมฤทธิ์มากน้อยขนาดไหนนั้น ตนก็ยังไม่ทราบรายละเอียด เพราะยังไม่ได้พูดคุยกับนายทักษิณ

แต่อีกด้านหนึ่ง ในวันที่ 8 พ.ค. 2567 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช ซึ่งเคยถูกจำคุก ได้ตั้งคำถามว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่ และหากเป็นความจริง เวลานั้นนายทักษิณยังอยู่ในมาตรการพักโทษ ไม่ว่าจะเป็นการข้ามไปฝั่งเมียนมา หรืออยู่ในประเทศไทยบริเวณชายแดน ได้ขออนุญาตหรือแจ้งกับกรมคุมประพฤติหรือไม่ ซึ่งแม้ไม่มีระเบียบต้องห้ามของกรมคุมประพฤติที่ชัดเจน แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีความเหมาะสม กำลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม หรือภาษาพระเรียกว่า โลกวัชชะ หมายถึงโลกตำหนิติเตียน

รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ“แนวหน้าออนไลน์” วันที่ 8 ม.ค. 2568 นายสุทิน วรรณบวร สื่อมวลชนอาวุโส คอลัมนิสต์ นสพ.แนวหน้า และอดีตผู้สื่อข่าวสำนักข่าว AP ร่วมพูดคุยในประเด็นการเมืองไทยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไล่ตั้งแต่ 1.ความเคลื่อนไหวที่มากขึ้นเรื่อยๆ ของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประเด็นนี้มองว่า นายทักษิณ ณ ปัจจุบัน มีความเหมือนกับนายทักษิณช่วงปี 2547-2549 กล่าวคือ นายทักษิณควบคุมทุกอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และมองว่าตนเองเก่งที่สุด

แต่สิ่งที่นายทักษิณทำนั้นส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลและประเทศไทยโดยตรง อย่างที่นายทักษิณบอกว่าตนเองยุ่งทุกเรื่องเพราะไม่มีใครเป็นเจ้าภาพ แต่จริงๆ เรื่องนี้นายทักษิณไม่จำเป็นต้องพูดเพราะใครๆ ก็รู้ และไม่ใช่เฉพาะคนไทยแต่ยังรวมถึงต่างชาติอีกหลายประเทศด้วย จากรัฐบาลนายกฯหลายๆ คนที่ผ่านมา ตั้งแต่ นายสมัคร สุนทรเวชนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายเศรษฐา ทวีสิน มาจนถึงลูกสาวของตนเองอย่าง น.ส.แพทองธารชินวัตร นายกฯ คนปัจจุบัน

“แกกำหนดทุกเรื่อง รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่รู้ว่าหน้าของลูกสาวตัวเองเป็นอย่างไร คือแกไปบอกว่าคนแอฟริกาตัวดำบ้าง จมูกแบนบ้าง ก็ยังส่งเข้าประกวดได้ เพราะฉะนั้นคนไทยไม่ต้องไปเหลาหน้า ไม่ต้องไปทำจมูกก็เป็นนางแบบได้คนที่เหลาหน้าทำจมูก แกรู้ไหมว่าคนที่เป็นลูกสาวแกตอนนี้ไปทำอะไรมาบ้างกับหน้า ถ้าแกรู้จะไม่พูดเรื่องนี้มาเพราะฉะนั้นคุณทักษิณรู้ทุกเรื่องนอกจากเรื่องตัวเอง”

ทั้งนี้ ตนมองว่า หากนายทักษิณยังเคลื่อนไหวแบบนี้ต่อไปจะส่งผลเสียหายต่อประเทศไทย ต่างชาติจะไม่ให้ความเชื่อถือ เพราะไม่รู้ว่าประเทศไทยมีใครเป็นนายกรัฐมนตรี แนวทางของประเทศไทยใครเป็นผู้กำหนด เพราะทุกคนต้องฟังนายทักษิณ และสิ่งที่นายทักษิณพูดก็ถูกนำมาใช้ในรัฐบาล หรืออย่างกรณีอดีตนายกฯ เศรษฐา ก็มีคนไปกดดันให้ตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี

ซึ่งนายทักษิณเข้าใจว่าตนเองรู้ทุกเรื่องและอยู่เหนือกฎเกณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่เดินทางกลับมาประเทศไทย ได้รับพระราชทานอภัยโทษในคดีที่ศาลตัดสินไปแล้ว ลดโทษจากจำคุก 8 ปี เหลือ 1 ปี ก็ไม่ต้องเข้าคุกแม้แต่วันเดียว แต่คนที่ต้องรับกรรมจากนายทักษิณคือคนที่กำลังถูกสอบสวนอยู่ในขณะนี้ ทั้งคนจากกรมราชทัณฑ์และจากโรงพยาบาลตำรวจ เป็นการทำข้ามกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด จะเห็นว่าพอนายทักษิณกลับมาประเทศไทยความวุ่นวายก็เกิด แล้วยังไม่พอใจคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งที่จริงๆ นายทักษิณทำผิดทั้งหมด

และต้องบอกว่านายทักษิณพยายามควบคุมการบริหารประเทศทั้งหมด ส่วนนายกฯ ที่มีตำแหน่งอยู่นั้นให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับตัวหนังตะลุงที่มีคนเชิดอยู่หลังจอ อย่างสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็มีคนมาเล่าให้ตนฟังว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องถ่ายทอดไปต่างประเทศ ตนจึงเชื่อว่าการประชุม ครม. ยุคนี้ก็น่าจะมีการถ่ายทอดไปที่คนใดคนหนึ่งที่มีอำนาจเหนือรัฐบาล ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถรู้ได้ว่ารัฐมนตรีคนใดไม่มาประชุม ถึงขนาดออกปากไล่ออกไปได้ ซึ่งเมื่อทั้งนายกฯ และ ครม. เหมือนกับตัวหนังตะลุงที่ถูกเชิดขณะที่คนไทยก็รู้สึกไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลแบบนี้แล้ว คำถามคือคนต่างชาติจะเชื่อมั่นหรือไม่

2.การเมืองในประเทศเกาหลีใต้เทียบกับไทย ที่ ณ ปัจจุบัน เกาหลีใต้เหมือนกับไทยในปี 2549 ซึ่งต้องบอกว่ากระบวนการประชาธิปไตยของเกาหลีใต้นั้นที่ผ่านมาฝ่ายนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ คานอำนาจกันมาตลอดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีประธานาธิบดี 3 คน ถูกถอดถอน โดยเมื่อประธานาธิบดีทำผิด ฝ่ายนิติบัญญัติก็ยื่นถอดถอน แล้วฝ่ายตุลาการก็ตัดสินไปตามกฎหมาย ประธานาธิบดีสามารถถูกให้ออกจากตำแหน่งและถูกจำคุกได้

แต่ในยุคสมัยประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนล่าสุด แม้จะถูกลงมติถอดถอนออกจากตำแหน่ง กลับไม่ยอมให้ความ
ร่วมมือกับทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ ไม่ยอมไปให้การ อีกทั้งขนคนออกมาปกป้องและให้ทหารมาคุ้มกัน ซึ่งหากมองกลับมายังประเทศไทย ในปี 2549 ที่รัฐบาลขณะนั้นประกาศยุบสภาวันที่ 24 ก.พ. 2549 แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย. 2549 แต่กลับเป็นการเลือกตั้งที่สับสนวุ่นวาย ถึงขนาดที่กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในเวลานั้นถูกตัดสินจำคุก และศาลรัฐธรรมนูญของไทยวินิจฉัยให้การเลือกตั้งดังกล่าวเป็นโมฆะ

ซึ่งต้องบอกว่า ตั้งแต่การยุบสภาวันที่ 24 ก.พ. 2549 เป็นต้นมา นายทักษิณกลับยังคงใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีต่อไปจนถึงวันที่ 19 ก.ย. 2549 ที่ถูกรัฐประหารและต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ ทั้งที่จริงๆ ช่วงเวลาดังกล่าวนายทักษิณไม่มีสิทธิ์ใช้อำนาจอีกแล้วเพราะไม่มีสภาผู้แทนราษฎรเรื่องนี้ก็คล้ายกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนปัจจุบันที่ถูกลงมติถอดถอน แต่ยังมองว่าตนเองเป็นประธานาธิบดีอยู่ มองข้ามกระบวนการประชาธิปไตย ไม่ยอมให้ความร่วมมือ มองว่าตนเองมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง ไม่สามารถถูกจับกุม ไม่ต้องไปเข้ากระบวนการสอบสวน

3.ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา กัมพูชาและมาเลเซีย ซึ่งต้องบอกว่าทั้ง3 ประเทศ ล้วนดูถูกประเทศไทยและไม่ให้ค่ารัฐบาลไทย อย่างกรณีของ “เมียนมา” ที่ผ่านมาให้เกียรติประเทศไทยมากกว่าชาติอื่นๆ ในกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน) อย่างสมัยรัฐบาลอดีตนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยุคนั้นรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยเป็นบุคคลเดียวในโลกที่รัฐบาลทหารเมียนมาอนุญาตให้เข้าพบออง ซานซู จี และนำเรื่องที่ได้พูดคุยกันไปแจ้งต่อที่ประชุมอาเซียน ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในเมียนมานั้นคาดหวังการหาข้อยุติด้วยการเจรจามากกว่าการสู้รบ

“เมื่อได้ยินอย่างนี้ มติของอาเซียนจึงได้อนุมัติหรือแต่งตั้งให้ไทยเป็นคนกลางในการเจรจากับทุกฝ่ายที่มีส่วนได้-เสียในเหตุการณ์ในพม่า (เมียนมา) ตั้งแต่นั้นมา รัฐบาลไทยในสมัยลุงตู่ก็กำลังตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่ออำนวยการเจรจาของทุกฝ่าย เพราะไทยเข้าถึงทุกฝ่ายไม่ว่าจะฝ่ายต่อต้าน ชนกลุ่มน้อยหรือรัฐบาล แต่ขณะที่รัฐบาลกำลังตั้งคณะกรรมการขึ้นมานั้น ปรากฏว่าประเทศไทยเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ท่าทีของพม่าก็เปลี่ยนไปทันที”

ผู้นำรัฐบาลเมียนมาหารือนายกฯ ไทย เรื่องแรงงาน : วันที่ 7 พ.ย. 2567 ระหว่างการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ครั้งที่ 10 หรือ ACMECS SUMMIT ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ได้หารือทวิภาคีร่วมกับ พล.อ.อาวุโสมิน อ่อง หล่าย นายกรัฐมนตรีเมียนมา ซึ่ง น.ส.แพทองธารเปิดเผยว่า เมียนมา ได้แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับแรงงานเมียนมาที่อยู่ในไทย ซึ่งบางส่วนยังไม่ได้ลงทะเบียนจึงอยากได้ตัวเลขว่าประชาชนของเขาไปอยู่ที่ไหนอย่างไรและขอข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งตนได้ฝาก รมว.ต่างประเทศไปแล้ว ก็จะพูดคุยเรื่องนี้กันต่อไป

หากย้อนไปในวันที่ 14 พ.ค. 2566 ที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แล้วพรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง ในเวลานั้นมีการจับมือกับพรรคเพื่อไทยเตรียมจัดตั้งรัฐบาล ผู้นำระดับสูงของรัฐบาลทหารเมียนมาออกแถลงการณ์เตือนประชาชนให้ระวังภัยจากพรรคก้าวไกลมีการระบุว่าพรรคก้าวไกลสนับสนุนชาติตะวันตกและก่อการร้าย ให้ประชาชนช่วยกันจับตาไม่ว่าจะทำสิ่งใด และแม้ต่อมาพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาลแทน แต่รัฐบาลเมียนมายังมองว่าทั้ง 2 พรรคเป็นเนื้อเดียวกัน เพียงแต่ปัจจุบันต้องแยกกันอยู่เพราะสถานการณ์ไม่อำนวยให้อยู่ด้วยกัน

และเมื่อนายทักษิณเสนอตัวว่าจะช่วยเป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างฝ่ายต่างๆ ในเมียนมา ซึ่งเมื่อมีข่าวว่านายทักษิณไปพบกับผู้นำกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหาร โฆษกของฝ่ายรัฐบาลทหารก็บอกว่าเป็นการแทรกแซงการเมืองของประเทศเพื่อนบ้านอย่างไร้มารยาท ขณะที่ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไทยจัดประชุมอาเซียนนอกรอบเพื่อปรึกษาปัญหาวิกฤตในเมียนมา ทหารของทั้ง 2 ประเทศก็ยังไปมาหาสู่กัน

แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล แล้วรัฐบาลทหารเมียนมาขอให้ไทยส่งข้อมูลชาวมียนมาที่ทำงานในประเทศไทย ซึ่งมีอยู่จำนวนมากที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน ในเดือนพ.ย. 2567 ระหว่างการหารือทวิภาคีในการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ที่ประเทศจีน โดยนายกฯ แพทองธาร บอกว่าให้กระทรวงการต่างประเทศไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าให้อะไร คือไม่ได้บอกว่ามอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศไปสำรวจ และหลังจากนั้นไทยก็ไม่ได้ตอบสนองใดๆ กับทางเมียนมา

ซึ่งเหตุที่รัฐบาลทหารเมียนมายกเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะสงสัยว่าอาจมีแนวร่วมของฝ่ายต่อต้านเคลื่อนไหวอยู่ในประเทศไทย โดยมีพรรคฝ่ายค้านใหญ่ในไทยเป็นผู้สนับสนุน แต่ไทยไม่ให้คำตอบ จนมาถึงเหตุการณ์ที่ทหารเมียนมายิงเรือและจับลูกเรือชาวไทยไป 4 คน ส่งดำเนินคดีและตัดสินใจจำคุกแต่การที่คนในรัฐบาลไทยออกมาให้ข่าวว่าจะปล่อยตัวอยู่หลายครั้ง แสดงว่าฝ่ายการเมืองไม่ได้รับข้อมูลจากฝ่ายความมั่นคง โดยกองทัพไทยนั้นจะมีหน่วยงานหนึ่งที่บูรณาการหน่วยงานความมั่นคงทั้งหมด เพื่อแจกจ่ายภารกิจให้ติดตามสถานการณ์ของประเทศเพื่อนบ้าน

“ศูนย์นี้ไม่ได้แจ้งกับรัฐบาลไทยว่าอะไรเกิดขึ้นที่ไม่ได้แจ้งเพราะทหารไทยโดยเนื้อแท้แล้วเขาไม่กล้าหรือไม่มั่นใจในรัฐบาลชุดนี้ เพราะเมื่อปี 2545 จำได้ไหมว่าผู้บัญชาการทหารบกตอนนั้นนำกำลังเข้าไปปะทะกับว้า แล้วถูกนายกรัฐมนตรีตอนนั้นตำหนิว่า Overreaction(ทำเกินกว่าเหตุ) และไม่ปรึกษาก่อน”

หรืออย่าง “กัมพูชา” ที่ล่าสุดเพิ่งเกิดเหตุลอบสังหารอดีตนักการเมืองฝ่ายค้านของกัมพูชากลางกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2568 เรื่องนี้ถือเป็นการหยามหน้าฝ่ายความมั่นคงของไทย โดยเชื่อว่าน่าจะมีการติดตามกันมาตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในกัมพูชา แต่เลือกที่จะไม่ลงมือในกัมพูชา คำถามคืออดีตนักการเมืองคนนี้สร้างศัตรูในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อใด
นอกเสียจากเป็นศัตรูกับรัฐบาลกัมพูชา และคนที่หนีไปอยู่ฝรั่งเศสจนได้สัญชาติแบบนี้คงไม่มาสร้างศัตรูในประเทศไทย

“โดยสรุปก็คือว่าตราบใดที่ประเทศไทยไม่มีนายกฯ ตัวจริง ไม่มีรัฐบาลตัวจริง มีคนนอกรัฐบาล มีคนนอกกฎหมายมาควบคุมการบริหารประเทศอยู่ ประเทศไทยจะต้องเรือหายและต่างประเทศจะไม่ให้ความมั่นใจ”นายสุทิน กล่าวในตอนท้าย

หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ

แนวหน้า Talk : ‘กษิต ภิรมย์’ ชี้‘MOU44’ไม่ทำไทยเสียดินแดน แนะหารือรัฐสภาก่อนเริ่มเจรจากัมพูชา

https://www.naewna.com/lady/843083

แนวหน้า Talk : ‘กษิต ภิรมย์’  ชี้‘MOU44’ไม่ทำไทยเสียดินแดน  แนะหารือรัฐสภาก่อนเริ่มเจรจากัมพูชา

แนวหน้า Talk : ‘กษิต ภิรมย์’ ชี้‘MOU44’ไม่ทำไทยเสียดินแดน แนะหารือรัฐสภาก่อนเริ่มเจรจากัมพูชา

วันเสาร์ ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567, 02.00 น.

ยังคงต้องติดตามกันต่อไปกับการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ยืนยันจะใช้กรอบ “MOU44” บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ์ในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ซึ่งจัดทำขึ้นในปี 2544 ผ่านกลไกคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ที่ทั้ง 2 ฝ่าย จะส่งคณะผู้แทนมาเจรจากัน แม้จะมีเสียงสะท้อนถึงรัฐบาลด้วยความกังวลว่า MOU44 อาจทำให้ไทยเสียดินแดนหรืออย่างน้อยที่สุดคือเสียผลประโยชน์ที่ไทยมีสิทธิ์ได้รับอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ“แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2567 กษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้ความเห็นเรื่องที่สังคมไทยมีข้อถกเถียงว่าสมควรยกเลิก MOU44 หรือไม่? ว่า การจะคงไว้ซึ่ง MOU44 เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งหากถามตนในฐานะพลเรือนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ตนไม่ได้มีปัญหาอะไร

เพราะ MOU เป็นเพียงกรอบที่ได้มีการตกลงกันในสมัยรัฐบาลไทยยุคทักษิณ ชินวัตร กับรัฐบาลกัมพูชายุคฮุนเซน ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) เพื่อเจรจาว่าด้วยข้อพิพาททางทะเล และพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับทรัพยากรใต้ทะเลเพื่อนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน แต่การเจรจาก็กระท่อนกระแท่นขาดตอนไปบ้าง และเวลานี้รัฐบาลชุดปัจจุบันก็อยากเริ่มต้นใหม่ เราก็ต้องตามดูการเจรจา ย้ำว่า MOU เป็นแค่กรอบเท่านั้น จะมีหรือไม่มีก็เจรจากันได้ สำหรับตนจึงไม่มีปัญหา

ส่วนที่มีข้อกังวลว่า MOU44 อาจทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน เรื่องนี้กรุงสยามกับเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส มีข้อตกลงกันเมื่อปี ค.ศ.1907 (พ.ศ.2450) ระบุไว้ชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของสยาม และระหว่างนั้นก็มีการสำรวจดินแดน มีการจัดทำเสาหลักเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ที่มีอยู่ประมาณ70 กว่าเสา ดังนั้น สนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสยังมีชีวิตอยู่จนกระทั่งบัดนี้ และตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ กัมพูชาเป็นผู้สืบสิทธิ์ต่างๆ ที่ฝรั่งเศสเคยมี ภายหลังจากที่ฝรั่งเศสออกไปจากอินโดจีนแล้ว

อีกทั้งเมื่อกัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1954 (พ.ศ.2497) มาถึงปัจจุบันเป็นเวลา 70 ปี กัมพูชาก็ไม่ได้ฉีกสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสทิ้ง เพราะกัมพูชานั้นรับเต็มที่ 100% ในฐานะประเทศที่สืบทอดมาจากฝรั่งเศส ประกอบกับในความเป็นจริงก็มีคนไทยไปตั้งรกรากบนเกาะกูด และเกาะกูดก็เป็นอำเภอหนึ่งใน จ.ตราด ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร รวมถึงไม่เคยมีข่าวว่ารัฐบาลกัมพูชา ไม่ว่าลอนนอล เจ้าสีหนุ เขมรแดงฮุนเซน และปัจจุบันคือฮุน มาเนต บุตรชายของฮุนเซน ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

ส่วนเรื่องที่กัมพูชาขีดเส้นผ่านกึ่งกลางเกาะกูดเพื่ออ้างสิทธิ์ 200 ไมล์ทะเล เรื่องนี้ทั้งกัมพูชาและไทยต่างก็ขีดเส้นแต่ในเมื่อตกลงกันไม่ได้ต้องเจรจากัน เขาจะขีดอะไรอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ต้องเจรจา ส่วนคำถามว่าการขีดเส้นของกัมพูชาสอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS) หรือไม่ เรื่องนี้ตนไม่ใช่นักกฎหมายแต่มองว่ากัมพูชาเลอะเทอะ และเป็นหน้าที่ที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องเจรจาเพราะขีดเส้นไม่เหมือนกัน

“เริ่มกันคนละหลัก-คนละจุด เจตนารมณ์ทางการเมืองก็ต้องใช้กรอบการเจรจาเพื่ออำนวยให้มีการเจรจาอย่างจริงจังก็เท่านั้นเอง จะขีดอย่างไรก็ขีดได้ แต่มันไม่มีผลบังคับใช้เพราะมันต้องเจรจากัน เพราะมันมีการขีดไขว้กันไป-มา หรือทับซ้อน มันไม่มีผลในทางปฏิบัติเพราะมันต้องเจรจา ก็สบายใจได้ ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของคณะผู้แทนไทยที่จะไปเจรจา” นายกษิต กล่าว

อดีต รมว. ต่างประเทศ กล่าวต่อไปว่า ส่วนข้อกำหนดใน MOU44 ที่ต้องการให้เจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลกับการเจรจาแบ่งเขตแดนประเทศต้องทำไปพร้อมกัน ตนมองว่าไม่ได้พร้อมกันขนาดนั้น แต่ต้องตกลงเรื่องข้อพิพาทว่าด้วยเขตแดนทางทะเลเสียก่อน เพื่อให้รู้ว่าพื้นที่ทะเลและดินที่อยู่ใต้ทะเล ส่วนไหนตกลงกันไม่ได้และจะต้องเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมกัน เพราะไม่สามารถที่จะนำก๊าซหรือน้ำมันที่อยู่ใต้ทะเลขึ้นมาได้โดยที่ไม่มีการตกลงกันเสียก่อนว่าด้วยการขีดเส้นหรือปักปันเขตแดนทางทะเล

ดังนั้นก็ต้องเจรจาเรื่องเขตแดนก่อน แต่ระหว่างนั้นก็สามารถพูดคุยกันนอกรอบได้ว่าจะนำตัวเลขทรัพยากร ซึ่งก็มีข้อมูลอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศบ้าง กระทรวงพลังงานบ้าง ในขณะเดียวกัน ทั้ง 2 ชาติก็ได้ให้สัมปทานกับบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งก็คงได้สำรวจไปอีกต่างหาก ทุกคนก็มีข้อมูลอยู่ ก็สำรวจไป แต่ยังทำอะไรไม่ได้จนกว่าจะมีการตกลงกันเรื่องเขตแดนก่อน

ซึ่งเหตุที่เกิดความสับสนขึ้น เพราะมีช่วงหนึ่งในแวดวงการเมืองของทั้งไทยและกัมพูชา อยากนำน้ำมันและก๊าซขึ้นมาก่อนโดยที่การเจรจาว่าด้วยการปักปันเขตแดนยังไม่แล้วเสร็จและอาจมีผลประโยชน์ที่ไม่ค่อยงามทั้งต่อชาวกัมพูชาและชาวไทย แต่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้จนกว่าจะมีการตกลงว่าด้วยข้อพิพาททางทะเล ทำแผนที่ให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน

ส่วนที่มีการแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน คือส่วนบนหรือที่อยู่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ 10,000 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่เจรจาเรื่องเขตแดน กับส่วนที่อยู่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ16,000 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่เจรจาผลประโยชน์ทางทะเลเท่ากับไทยจะเจรจาได้เพียงส่วน 10,000 ตารางกิโลเมตรหรือไม่? ตนมองว่าไม่ใช่ แต่เรื่องนี้ต้องไปว่ากันในรายละเอียด จึงขึ้นอยู่กับการเจรจา

ซึ่งการขีดเส้นไม่ว่าโดยไทยหรือกัมพูชา เป็นการแสดงเจตนารมณ์ แต่เมื่อขัดกันก็ต้องมาเจรจากัน ไม่ได้หมายความว่าขีดไปแล้วจะต้องเป็นเด็ดขาด เป็นเพียงการบอกว่าฝ่ายไทยเห็นแบบนี้ ฝ่ายกัมพูชาเห็นแบบนี้ ไม่มีอะไรแล้วเสร็จและต้องมาเจรจากัน ส่วนคำถามว่า สมัยที่เป็น รมว.ต่างประเทศ เคยทักท้วงการลากเส้นของกัมพูชาหรือไม่ ตอนนั้นไม่ได้เข้าไปในรายละเอียด เพราะต้องปล่อยให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่เจรจาไป และการที่มี MOU ก็เท่ากับเป็นการทักท้วงโดยปริยายว่าเราไม่ยอมรับเส้นที่กัมพูชาขีด ในทางกลับกัน กัมพูชาก็ไม่ยอมรับเส้นที่ไทยขีดเช่นกัน

ส่วนข้อกังวลเรื่องแผนที่ห้อยท้าย MOU จะมีผลทางกฎหมายหรือไม่? ตนก็มองว่าไม่มีผล เพราะเป็นเพียงการบ่งบอกว่าไทยมองอย่างไร กัมพูชามองอย่างไร เมื่อมองต่างกันก็ต้องมาเจรจากัน ไม่ใช่เราขีดแล้วเขายอมรับ หรือเขาขีดแล้วเรายอมรับ ซึ่งหากทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับซึ่งกันและกัน ก็คงไม่ต้องเจรจาหรือไม่ต้องมี MOU ตนมองว่าอย่าไปห่วง ปล่อยให้รัฐบาลและผู้เจรจาเขาเจรจาไป

ทั้งนี้ MOU44 เกิดขึ้นในสมัยนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ยศในขณะนั้น) โดยมี สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็น รมว.ต่างประเทศ ในส่วนแนบท้าย MOU ให้มีเอกสารเป็นภาคผนวกทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา เพราะต่างฝ่ายต่างขีดกันคนละเส้น ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการต้องเจรจามากกว่าจะบอกว่าเป็นการยอมรับว่าแล้วเสร็จ จึงไม่ต้องไปประท้วงอะไร เพราะในเมื่อยังไม่แล้วเสร็จก็เป็นประเด็นที่ต้องเจรจากัน

“ตัวของสนธิสัญญาไทย (สยาม) – ฝรั่งเศส มันเป็นแม่แล้วกัมพูชาก็ไม่ได้ไปเลิก ฉะนั้นเกาะกูดก็เป็นของไทย ก็มีแค่นี้ ส่วนการเจรจาภายใต้ MOU มันก็จะเข้ามาแตะต้องเกาะกูดไม่ได้ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าใครบอกเกาะกูดเป็นของกัมพูชา หรือกัมพูชาเขาจะมาเคลมได้ ผมไม่ทราบว่ามันเป็นมาอย่างไร แล้วมันก็อยู่ที่ฝีมือการเจรจา เมื่อมี MOU ก็เจรจาไป แล้วเอาหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เอาเรื่องกฎหมายทางทะเลระหว่างประเทศ ก็เอาเข้ามาใช้ มันก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญา ขีดความสามารถในการที่จะเจรจากัน” นายกษิต ระบุ

นายกษิต ยังกล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องอาณาบริเวณของเกาะกูด ตามหลักสมัยโบราณคือมีอาณาบริเวณออกไปอีก 3 กิโลเมตร เป็นหลักที่ใช้กันมาหลายร้อยปี ต่อมาเมื่อมีกฎหมายทางทะเล จะมีคำว่าไหล่ทวีป (Continental Shelf) มีคำว่าเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone) ก็ต้องมาปรับกันตามกฎเกณฑ์สมัยใหม่ เพราะไทยได้เข้าเป็นสมาชิกของกฎหมายทางทะเลแล้ว ไทยก็ต้องยืนในจุดนี้ และหากมีข้อพิพาทก็สามารถไปที่ศาลระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายทางทะเล (ITLOS) ได้ ซึ่งอยู่ที่เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี

ดังนั้นหากยึดสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสเป็นตัวตั้งก็ไม่มีประเด็นอะไรที่กัมพูชาจะเข้ามายุ่งกับเกาะกูดได้ เราปฏิเสธตั้งแต่ต้น เขาจะขีดอย่างไร จะเบี้ยวจะโกหกพกลม เราปฏิเสธก็ไม่ต้องเจรจา เรื่องก็มีแค่นี้ ซึ่งเรื่องไปศาลโลกคือหากมีการฟ้องร้อง แต่การที่มีสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ตนก็ไม่เห็นว่ากัมพูชาจะเบี้ยวได้อย่างไร เพราะเป็นประเทศเอกราชที่สืบสิทธิ์จากฝรั่งเศสมา 70 ปีแล้ว ก็ถือว่ายอมรับโดยปริยาย ส่วนที่กังวลเรื่องหลักกฎหมายปิดปากเหมือนกรณีปราสาทเขาพระวิหาร ตนมองว่า 2 กรณีนี้เป็นคนละเรื่องกัน

โดยเรื่องเขาพระวิหาร สมัยนั้นฝรั่งเศสยังเป็นเจ้าอาณานิคม มีทั้งแสนยานุภาพทางการทหารและองค์ความรู้ด้านแผนที่ ในขณะที่ไทยยังไม่มีความสามารถ คิดว่าฝรั่งเศสโกงมาตั้งแต่ต้น เพราะการขีดเส้นเขตแดนมาทางตอนใต้ของปราสาทพระวิหาร ซึ่งจริงๆ แล้วมันต้องเป็นไปตามไหล่เขา แต่อาจเป็นความเลินเล่อ มองไม่เห็นหรือไม่เข้าใจ ไม่ได้คิดว่าฝรั่งเศสจะไม่ซื่อสัตย์สุจริตต่อวิชาการ และศาลโลกก็ตัดสินตามเส้นที่ฝรั่งเศสขีดไว้ แต่กรณีบนบกจะไปปิดปากกรณีทะเลได้อย่างไร เพราะเป็นคนละเรื่องและคนละพื้นที่กัน

ส่วนที่ ปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา แนะนำให้ใช้คำว่าพื้นที่อ้างสิทธิ และไม่ควรใช้คำว่าพื้นที่ทับซ้อน เพราะอาจเป็นประเด็นสุ่มเสี่ยง เรื่องนี้ตนไม่ทราบเพราะภาษาไทยตนก็ไม่ชัดเจนขนาดนั้น และตนก็ไม่ใช่นักกฎหมายแต่ถามว่ามีความจำเป็นที่เลขาฯ กฤษฎีกา จะต้องมาเป็นผู้กำหนดหรือไม่? ในเมื่อมีกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ) และมีนักกฎหมายที่กระทรวงยุติธรรม รวมถึงมีอาจารย์ระหว่างประเทศ

ซึ่งทุกคนล้วนแต่ห่วงบ้านเมืองกันทั้งนั้น แต่หากห่วงแล้วมาแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของคนคนเดียวแล้วเสริมสร้างความสับสน แล้วการทำตนเป็นผู้มีประกาศิตว่าจะต้องตีความเป็นแบบนี้ ก็เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันได้ หากยังไม่มีการถกเถียงก็ไปที่ราชบัณฑิตสภาฯ ไปให้ตีความว่าคำคำนี้แปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย และจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ ที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร และสุดท้ายเรื่องทั้งหมดก็ต้องผ่านกลไกรัฐสภา เพราะเป็นเรื่องดินแดน เรื่องอำนาจอธิปไตย และเรื่องเกี่ยวกับทรัพยากรใต้ดินซึ่งเป็นสมบัติของประเทศชาติและปวงชนชาวไทย

“สมมุติเริ่มมีการตั้งคณะเจรจาทางด้านเทคนิค การเจรจาคืบหน้าเป็นอย่างไร มันก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาลที่จะต้องไปรายงานให้รัฐสภาทราบเป็นระยะๆ แล้วก็ก่อนจะไปเจรจาอย่างจริงจัง ก็น่าจะเสนอต่อสภา ขออนุมัติเรื่องกรอบเจรจา เนื้อหาเป้าหมายโดยสังเขปว่าเราจะไปเจรจาอย่างไร อันนี้ก็น่าจะเสนอต่อสภาเพราะสภาเป็นใหญ่ที่สุดในเรื่องสนธิสัญญากฎหมายระหว่างประเทศ ก็เหมือนไปบอกว่าจะมีโผการเจรจาอย่างนี้ ก็อยากให้รัฐสภาได้รับทราบแล้วก็ให้ความเห็นชอบในหลักการ จะทำให้การดำเนินการของฝ่ายไทยมีความมั่นคงตั้งแต่เริ่มต้น” นายกษิต กล่าว

หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ

แนวหน้า Talk : ‘วรชัย เหมะ’ มองการเมือง‘หลักการvsสถานการณ์’ และความเป็นไปของ‘คนเสื้อแดง’

https://www.naewna.com/lady/837497

แนวหน้า Talk : ‘วรชัย เหมะ’ มองการเมือง‘หลักการvsสถานการณ์’ และความเป็นไปของ‘คนเสื้อแดง’

แนวหน้า Talk : ‘วรชัย เหมะ’ มองการเมือง‘หลักการvsสถานการณ์’ และความเป็นไปของ‘คนเสื้อแดง’

วันเสาร์ ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2567, 06.00 น.

“คนเสื้อแดง” หรือกลุ่มมวลชนผู้สนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เริ่มก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่หลังการรัฐประหารรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2549 ในยุคแรกๆ ยังใช้ชื่อ แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) และยังไม่ได้ใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ กระทั่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อกลุ่มเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เคลื่อนไหวแบบ “การเมืองนอกสภา” อย่างการชุมนุมใหญ่2 ครั้ง ในปี 2552 และปี 2553 ซึ่งในครั้งหลังนี้ได้ลุกลามกลายเป็นเหตุจลาจล มีความรุนแรง และมีการสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

เมื่อวันเวลาผ่านไป บรรดาแกนนำตลอดจนมวลชนคนเสื้อแดงได้แยกย้ายไปอยู่กับขั้วการเมืองที่หลากหลายมีทั้ง “ทีมลุงตู่” สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาที่ยึดอำนาจรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย อันเป็นพรรคการเมืองรุ่นที่ 3 ที่สืบต่อมาจากพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน ในปี 2557, “ทีมพรรคส้ม”สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล และปัจจุบันคือพรรคประชาชน หรือบ้างก็เคลื่อนไหวอิสระไม่อิงกับขั้วการเมืองใดๆ เป็นพิเศษ รวมถึงก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ยังคงอยู่กับพรรคเพื่อไทย

เรื่องของคนเสื้อแดงกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง เมื่อ “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน แต่งตั้ง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หนึ่งในอดีตแกนนำคนเสื้อแดง เป็น “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ซึ่งก็นำมาทั้ง “เสียงก่นด่า” เกิดปรากฏการณ์ “ทัวร์ลง” บนโลกออนไลน์ ที่สังเกตได้ชัดว่ามาจาก “ด้อมส้ม” หรือมวลชนที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่-พรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน โจมตีนายณัฐวุฒิว่า“ตระบัดสัตย์” เพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัวแสดงท่าที “เว้นระยะห่าง”จากพรรคเพื่อไทย เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับการไปจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว

และยังมี “คำถาม” ด้วยว่าการตั้งนายณัฐวุฒิ เพื่อต้องการให้ช่วยต่อสู้กับ จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ซึ่งก็เคยเป็นอดีตแกนนำคนเสื้อแดงหรือไม่? เพราะต้องยอมรับว่า ในช่วงที่กลุ่ม นปช. เคลื่อนไหวเป็นกระแสถึงขีดสุด คู่หู “ตู่-เต้น” ที่เรียกตามเชื่อเล่นของนายจตุพรและนายณัฐวุฒิ ตามลำดับ มีบทบาทโดดเด่นที่สุดในการปราศรัยทั้งบนเวทีม็อบและการพูดผ่านสื่อต่างๆ ดังนั้นในเมื่อปัจจุบันที่นายจตุพร ออกมาเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์โจมตีรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอย่างต่อเนื่อง การตั้งนายณัฐวุฒิมารับมือก็ดูจะสมน้ำสมเนื้อ

รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่วันที่ 17 ต.ค. 2567 วรชัย เหมะ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดสมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และยังเป็นอดีตแกนนำคนเสื้อแดงอีกคนหนึ่ง กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า คนที่ออกมาโจมตีนายณัฐวุฒิ มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเงินๆ ทองๆ อย่างแรกคือคนบางคนที่อยู่ต่างประเทศ ไม่ชอบแกนนำบางคนเป็นการส่วนตัว แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการขับเคลื่อนการต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตย และตนก็ออกมาตอบโต้คนเหล่านี้อยู่ตามที่เห็นเป็นข่าว

ซึ่งเรื่องนี้ก็มีความเห็นเป็น 2 ส่วน คือตนมองว่านายณัฐวุฒิไม่ได้เปลี่ยนแนวคิดหรืออุดมการณ์ และไม่ได้ทรยศประชาชน เพราะการประกาศว่ามี 3 ป. จะไม่ร่วมด้วย เป็นเรื่องกลยุทธ์ที่ผูกพันที่หาเสียงไว้ก็ตาม แต่สถานการณ์ของการเมืองไม่มีอะไรที่กำหนดตายตัวได้ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้เลย เพราะการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ต้องยอมรับว่าทุกพรรคการเมืองเข้าร่วมการเลือกตั้ง ดังนั้นก็ต้องยอมรับรัฐธรรมนูญ

จึงมีคำถามว่า ในเมื่อบอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการแล้วมาลงเลือกตั้งทำไม นี่คือประการแรก แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา พรรคเพื่อไทยได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)140 คน พรรคก้าวไกลได้ 140 กว่า พรรคอื่นๆ ได้ลดหลั่นกันไป เมื่อความคิดของประชาชนออกมาเป็นผลการเลือกตั้งแบบนี้ เราเคารพเสียงของประชาชน ดังนั้นคนที่พูดไว้ตอนหาเสียงวันนั้น และต่อมากับสถานการณ์ที่ประชาชนเลือก เราก็ทำตามมติเสียงของประชาชน

“ต้องแยก 2 ส่วน สถานการณ์กับหลักการ หลักการก็คือพรรคก้าวไกลจะต้องมีสิทธิ์ในการตั้งรัฐบาล ทุกพรรคการเมืองก็ให้สิทธิ์พรรคก้าวไกล แต่พรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาล 2 รอบไม่สำเร็จ ต่อมาก็คือพรรคเพื่อไทยลำดับ 2 ก็ตั้งรัฐบาล ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าตระบัดสัตย์ข้ามขั้ว คำว่าขั้วผมมองว่ามันเป็นวาทกรรมของนักการเมืองที่เอาไปใส่ร้ายทิ่มแทงกันมากกว่า มันไม่มีขั้ว มีพรรคการเมือง แล้วพรรคการเมืองแต่ละพรรคก็มีอุดมการณ์ แต่ละคนแต่ละพรรคก็หาเสียงกันไป แล้วก็ได้คะแนนจากพี่น้องประชาชนมาอย่างที่เป็น” นายวรชัย กล่าว

นายวรชัย กล่าวต่อไปว่า การที่พรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ มี เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ เพราะการต่อสู้ทางการเมืองต้องดูสถานการณ์ความเป็นจริงด้วย ไม่ใช่คิดเอาเอง ส่วนที่ไปพูดกันว่าพรรคเพื่อไทยรับใช้เผด็จการ ก็ต้องย้อนถามว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงเหตุใดนายเศรษฐาจึงถูกถอดถอนจากตำแหน่งนายกฯ ส่วน น.ส.แพทองธาร นายกฯ คนปัจจุบันก็มาจากการเลือกตั้ง เป็นลูกของนายทักษิณ มีประสบการณ์ทุกด้าน

ในขณะที่กรณีของนายณัฐวุฒิ เมื่อสถานการณ์มาถึงเวลานี้ ก็เห็นชัดว่าแมลงพืชเยอะ กัดกร่อนรัฐบาล ออกมาด่าทิ่มแทงร้องเรียน ทำลายเครดิตของรัฐบาลอยู่ทุกวัน ทั้งด้วยความแค้นบ้าง ผลประโยชน์ส่วนตัวบ้าง ผลประโยชน์ทางการเมืองบ้าง ซึ่งแม้ น.ส.แพทองธาร จะไม่เคยเป็น สส. และประสบการณ์ก็ไม่เท่ากับนายณัฐวุฒิ แต่ น.ส.แพทองธารก็เป็นลูกนักการเมือง ทำธุรกิจประสบความสำเร็จ และมีประสบการณ์ในการพบปะดูแลประชาชน ดังนั้นจำเป็นที่นายณัฐวุฒิ จะต้องเดินเข้ามาเพื่ออธิบายความ ให้คำปรึกษาเรื่องความถูกต้อง ความเป็นจริงว่าเป็นอย่างไร

เพราะต้องยอมรับว่า ภายในพรรคเพื่อไทย เด็กรุ่นลูกรุ่นหลานที่เข้ามาอยู่ในวงแวดล้อมของ น.ส.แพทองธาร อาจไม่เข้าใจบริบททางการเมืองที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร เขาสู้กันมาอย่างไร เขาพูดมาแบบนี้แล้วควรจะแก้อย่างไร นายกฯ ควรกำหนดท่วงทำนองในการทำงาน ในการขับเคลื่อนทางการเมืองอย่างไร จึงต้องมีบริบทของคนที่มีความรู้ความสามารถ และมีจุดยืนอย่างนายณัฐวุฒิเข้ามา

“คุณณัฐวุฒิผมมองว่าเขาก็เห็นคุณแพทองธารมาแล้วสถานการณ์ทางการเมือง ถ้าปล่อยให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งคุณณัฐวุฒิมีส่วนได้-เสียนะ เพราะคุณณัฐวุฒิไปหาเสียง พบปะพี่น้องประชาชน บอกให้เลือกพรรคเพื่อไทย ไปปราศรัยทุกที่ เพราะฉะนั้นคุณณัฐวุฒิผมว่าเขาก็เสียสละ ยอมบางส่วนโดนด่าบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ แฟนคลับเพื่อไทยเขาก็เชียร์ แฟนคลับก้าวไกลเขาก็ด่า แกนนำเพื่อไทยที่ไปอยู่ก้าวไกลเขาก็ด่า ก็เป็นเรื่องปกติ” นายวรชัย ระบุ

นายวรชัย ยังกล่าวอีกว่า คนเสื้อแดงจริงๆ ที่เขายังต่อสู้อยู่กับเพื่อไทย หรือคนเสื้อแดงกลางๆ ที่รักประชาธิปไตย เขาเห็นความสำคัญของสถานการณ์ ณ เวลานี้ ว่านายณัฐวุฒิควรเข้ามาช่วย และ น.ส.แพทองธาร ก็เคยคุยกับนายณัฐวุฒิ ว่าจะให้มาช่วยอย่างไรก็ได้ แต่นายณัฐวุฒิ บอกว่าขอช่วยอย่างออกหน้าออกตาไปเลยแบบลูกผู้ชาย ใครจะด่าจะว่านายณัฐวุฒิก็ต้องยอมรับ แต่เรื่องไหนให้มวลชนบางคนด่า หรือเรื่องไหนเป็นผลประโยชน์ของประเทศ การที่มาช่วยรัฐบาล มาเป็นที่ปรึกษาให้นายกฯ ตนมองเป็นผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยมากกว่า

เพราะการต่อสู้ทางการเมือง หากแพ้รัฐบาลก็พังแน่นอน ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า การตั้งนายณัฐวุฒิ ก็เพื่อให้มาช่วยต่อสู้กับนายจตุพร ตนเห็นว่ามองแบบนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ตนไม่ได้มองไปที่นายจตุพร เพราะไม่ว่าฝ่ายแค้น ฝ่ายค้าน หรือพวกไม่หวังดีต่างๆ ที่ออกมาโจมตีใส่ร้ายป้ายสีทางการเมือง นายณัฐวุฒิจะได้อธิบายให้ประชาชนที่นั่งมองอยู่ทั่วประเทศ ว่าฝั่งไหนอธิบายได้มีเหตุมีผลถูกต้อง และฝั่งไหนเอาแต่ด่า เอาแต่ว่า เอาแต่แค้น ต้องให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน

ซึ่งการตัดสินไม่ใช่โดยแกนนำ นปช. หรือมวลชนอย่างเดียว แต่ต้องเป็นประชาชนทั้งประเทศ ว่ารัฐบาลมีเหตุผลอย่างไรจึงทำอย่างนี้ และสำหรับตัวของนายณัฐวุฒิ จากที่ใกล้ชิดและต่อสู้ร่วมกันมา ยืนยันได้ว่าไม่มีทางที่คนคนนี้จะทรยศต่อตนเอง ต่อประชาชน และต่อประเทศชาติ ส่วนนายจตุพร ก็เห็นออกมาถล่มพรรคเพื่อไทยแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วแต่พรรคเพื่อไทยก็ยังได้ สส. 140 คน ที่แพ้พรรคก้าวไกลก็เพียงประโยคเล็กๆ ของฝั่งนั้นอย่างมีเราไม่มีลุง และนี่คือตัวอย่างว่าทำไมต้องให้นายณัฐวุฒิเข้ามาช่วย เพราะจุดเล็กๆ บางครั้งก็ทำให้รัฐบาลเสียหายเสียคะแนนได้

เมื่อถามต่อไปถึง “ศักยภาพของกลุ่มคนเสื้อแดงว่ายังมีอยู่หรือไม่?” เพราะระยะหลังๆ ถูกมองว่าหันไปสวมเสื้อสีส้มกันหมดแล้ว นายวรชัย ยืนยันว่าเรื่องกลายเป็นเสื้อส้มไปหมดนั้นไม่จริง แต่ระยะเวลาที่ผ่านมาสิบกว่าปีก็มีทั้งคนที่เสียชีวิตไปแล้ว คนที่ร่างกายแก่ชราลงส่วนคนที่สุขภาพยังไหวก็มีทั้งที่ยังต่อสู้ร่วมกับพรรคเพื่อไทย แต่ในส่วนที่ย้ายไปอยู่กับพรรคสีส้ม ก็ต้องยอมรับว่าความคิดหรืออุดมการณ์ของเขาไปไกล

ทั้งนี้ ความแตกต่างกันระหว่างเสื้อแดงกับเสื้อส้ม คือ “มุมมองเกี่ยวกับประชาธิปไตยสำหรับกลุ่มเสื้อแดง แม้ยึดถือหลักอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน แต่การจะทำให้หลักนี้เกิดขึ้นได้จริงไม่อาจคาดหวังให้สำเร็จได้ในครั้งเดียว เปรียบเหมือนการเดินทางไกลหรือการเดินขึ้นภูเขาซึ่งต้องไปทีละขั้น” ต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชนว่าประชาธิปไตยคืออะไร ระบบมีอยู่แล้วแต่จะอยู่กันอย่างไรให้ประสานผลประโยชน์ของคนทุกกลุ่ม-ทุกชนชั้นได้ ไม่ใช่เอารัดเอาเปรียบกันเกิดช่องว่างต่างๆ ระหว่างคนรวยหรือผู้มีอำนาจกับประชาชน

และแม้จะเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ตนก็ยังให้ความเห็นท้วงติง อย่างที่เคยเห็นเป็นไปข่าวไปแล้วที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อดีตนายกฯ เศรษฐา เพราะในเวลานั้นความเชื่อมั่นยังไม่ค่อยดีนัก ตนต้องการให้เร่งแก้ไขปัญหาให้ประชาชน แต่ในขณะนี้ตนมองเห็นความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา เช่น หุ้นขึ้น อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาเศรษฐกิจลำพังเพียงระดับครอบครัวก็ยังไม่ง่าย ดังนั้นเมื่อเป็นระดับประเทศก็ต้องใช้เวลา

อาทิ การแจกเงิน 1 หมื่นบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามด้วยการลดราคาสินค้า ลดรายจ่ายให้ประชาชน เหล่านื้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะถูกล้มได้จากปัจจัยทางการเมือง คือคนทั้งประเทศเห็นเป็นมติว่าไม่เอาแล้ว มีแต่การคอร์รัปชั่น แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันเพิ่งทำงานได้เดือนกว่าๆ
ยังไม่มีปัญหาคอร์รัปชั่น ประกอบกับจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจค่อยๆ ทยอยออกมา รวมถึงมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์อย่าง พิชัย นริพทะพันธุ์ ที่เดินสายทั่วประเทศและทั่วโลกเพื่อทำงานให้ประชาชน แต่ตนมองว่าจุดอ่อนของรัฐบาลคือการประชาสัมพันธ์

ในช่วงท้ายของการสนทนา นายวรชัย ยืนยันอีกครั้งว่า ตนมั่นใจในการทำหน้าที่นายกฯ ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เพราะเป็นลูกของอดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งมีทั้งประสบการณ์การทำงานและมีสายสัมพันธ์กับต่างประเทศอยู่มาก ตนเชื่อว่านายทักษิณคงต้องแนะนำทั้งการไปลงทุนต่างประเทศ การนำเงินเข้าประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรนายทักษิณก็ไม่มีทางลอยแพลูกของตนเองแน่นอน ส่วน น.ส.แพทองธาร เข้ามาใหม่ๆ อาจจะตื่นเต้นบ้าง พูดผิดๆ ถูกๆ บ้าง ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ก็มีความคิดและความรู้

“อาจจะพูดลืมไปบ้าง วกวนไปบ้าง เป็นเรื่องธรรมดาของคนใหม่ๆ แต่ต้องดูบริบทยาวๆ ไปว่าสถานการณ์ดีขึ้นไหม? เครดิตประเทศไทยดีขึ้นไหม? ผมว่าไม่นาน ตอนนี้ก็เริ่มดีขึ้นแล้ว เข้ามาปุ๊บแจกเงินดิจิทัลแล้ว สำคัญที่สุดคือความเชื่อมั่น ระบบของทุนความเชื่อมั่นสำคัญที่สุด พอคนเชื่อมั่นนักลงทุนก็เริ่มมา 2-3 หมื่นล้าน แต่ละราย ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ก็เพิ่มขึ้นลงทุนในภาคสนาม เช่น ตั้งโรงงาน ก็เริ่มมีเริ่มมา”นายวรชัย กล่าวในตอนท้าย

หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ

แนวหน้า Talk : ‘รัชดา ธนาดิเรก’ คำแนะนำจาก‘นักการเมืองรุ่นพี่’ ถึง‘แพทองธาร ชินวัตร’

SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/809246

แนวหน้า Talk : ‘รัชดา ธนาดิเรก’  คำแนะนำจาก‘นักการเมืองรุ่นพี่’  ถึง‘แพทองธาร ชินวัตร’

แนวหน้า Talk : ‘รัชดา ธนาดิเรก’ คำแนะนำจาก‘นักการเมืองรุ่นพี่’ ถึง‘แพทองธาร ชินวัตร’

วันเสาร์ ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2567, 06.00 น.

คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า “การเมืองไทยวันนี้เข้าสู่ยุคผลัดใบ” จากการที่มี “คนรุ่นใหม่” เข้ามามากขึ้นในหลากหลายพรรคการเมือง ทั้งในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) หรือในฐานะแกนนำ-ผู้บริหารระดับสูงของพรรค และหนึ่งในนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ถูกจับตามากที่สุด คงหนีไม่พ้น “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกวางตัวให้เป็น “ทายาททางการเมือง” เริ่มปรากฏตัวใน “พรรคเพื่อไทย” และขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคเมื่อเร็วๆ นี้

รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2567 มีบทวิเคราะห์และคำแนะนำจาก “นักการเมืองรุ่นพี่” และเป็น “ผู้หญิง” ด้วยกัน อย่าง รัชดา ธนาดิเรก อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ฝากถึง อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ซึ่งต้องบอกว่ามีมุมมองที่น่าสนใจและน่ารับฟัง

รัชดา เริ่มจากการฉายภาพ “จุดเด่น” ของอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร อย่างแรกคือ “ความมุ่งมั่น” เพราะแม้ครอบครัวจะผ่านอะไรมาเยอะ แต่ แพทองธาร ก็ไม่กลัวและเลือกที่จะเข้ามาในการเมือง และจากการแสดงออกก็เห็นถึงความใส่ใจที่จะพัฒนาตนเอง ทั้งในบทบาทหัวหน้าพรรค และการเป็นประธานคณะทำงานต่างๆ และเห็นความตั้งใจที่อยากทำให้ประชาชนเชื่อมั่น ว่าหากวันหนึ่งจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็สามารถทำได้

แต่ในส่วนของ “ความผิดพลาด” คือเรื่องของ “การแสดงออก” ที่หลายครั้งก็มีคำถามว่า “ทำไปเพื่ออะไร?” เพราะสิ่งที่คนซึ่งจะเข้ามาสู่แวดวงการเมืองต้องรู้คือ “รู้ที่จะพูดและไม่พูด” อย่างสมัยที่ตนทำงานในทีมโฆษกรัฐบาล หลายคนอาจคิดว่าวันๆ หนึ่งตนคงอยากจะให้ข่าวหรือพูด
เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่จริงๆ แล้ว มีหลายเรื่องที่ตัดสินใจว่าไม่พูดดีกว่า เพราะพูดแล้วอาจนำไปสู่การขยายความที่ผิดพลาด หรือทำให้เกิดความแตกแยก

“เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยอคติ แล้วการสื่อสารอาจถูกตัดทอนไป ฉะนั้นทุกอย่างมีความเสี่ยงถ้าเราพูด ดังนั้นก่อนที่จะให้ข้อมูล ก่อนที่จะจับไมค์ หรือจะพูดอะไรในเฟซบุ๊ก แม้กระทั่งเฟซบุ๊กส่วนตัว เราก็ต้องคิดว่าพูดแล้วได้ประโยชน์อะไร ไม่พูด-ไม่โพสต์แล้วจะดีกว่าหรือเปล่า? อย่างกรณีคุณอุ๊งอิ๊ง คุณอยู่ในตำแหน่งที่ใหญ่ขนาดนี้ มันต้องมีการพิจารณาให้รอบคอบและลึกซึ้งถ่องแท้กว่านี้ แต่หลายๆ ครั้งเราก็จะมีคำถามว่าทำทำไม?” รัชดา กล่าว

หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก คือการไปพาดพิงบทบาทของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในงาน “10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10” ของพรรคเพื่อไทย ซึ่ง รัชดา ให้ความเห็นกับเหตุการณ์นี้ว่า แม้จะมีการร่างเนื้อหาสำหรับให้ แพทองธารขึ้นพูดบนเวที แต่ก็มีคำถามว่า เนื้อหาที่ถูกร่างนั้นมาจากทัศนคติแบบใด เช่น พูดอะไรแล้วคนอื่นต้องเชื่อ หรือแสดงให้เห็นว่าฉันเป็นคนเก่งและแกร่ง สามารถวิจารณ์ได้แม้แต่ “แบงก์ชาติ” ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่า ทีมงานได้ประเมินสถานะของ แพทองธาร อย่างไร

ซึ่งจริงๆ แล้ว งาน 10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10 ควรเป็นโอกาสเชิงบวกที่จะได้ฉายภาพว่าแม้งบประมาณหรือหลายอย่างเป็นอุปสรรค แต่พรรคก็ได้ขับเคลื่อนอะไรหลายอย่าง แต่การที่คนระดับหัวหน้าพรรคและมีโอกาสจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี กลับแสดงความเห็นว่า ความเป็นอิสระของ ธปท. เป็นอุปสรรคของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ก็น่าจะเล็งเห็นผลได้อยู่แล้วว่าจะมีเสียงสะท้อนอย่างไรจากสังคม ซึ่งไม่ได้มีแต่ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย กระทั่งในภายหลัง แพทองธาร ได้ออกมาชี้แจงว่า ที่พูดไปเพราะอยากให้ ธปท. กับรัฐบาลมีเป้าหมายร่วมกัน

“ทีมคุณอุ๊งอิ๊ง ต้องใช้คำว่าทีมเพราะว่าไม่อยากไปโทษคุณอุ๊งอิ๊งอย่างเดียว มีวิธีการชี้แจงที่ค่อนข้างจะตรรกะวิบัติ วันนี้ประเด็นเขาอยู่ที่ว่าทำไมคุณถึงไปวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมันเป็นหลักสำคัญของสากลในเรื่องของการถ่วงดุลอำนาจ แต่การถ่วงดุลอำนาจไม่ได้แปลว่าธนาคารแห่งประเทศไทยต้องขัดกับรัฐบาล อันนี้เป็นหลักสากลที่ทุกคนเข้าใจ

แล้วก็ไม่มีใครบอกว่าท่านผู้ว่าฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย ถูกวิจารณ์ไม่ได้ คุณจะบอกว่าทำไมไม่ลดดอกเบี้ย อันนี้ทุกคนวิจารณ์ได้อยู่แล้ว แต่ประเด็นของคุณคือคุณไปว่าเรื่องความเป็นอิสระ แต่พอมาชี้แจงกับสื่อ ทั้งองคาพยพกลับบิดเป็นประเด็นว่าธนาคารแห่งประเทศไทยต้องถูกวิจารณ์ได้ มันคนละเรื่อง” อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยกตัวอย่าง

อดีต สส.หญิง พรรคประชาธิปัตย์ ยังยกอีกหลายตัวอย่าง เช่น มีคนจับภาพระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร แล้วมี สส. พรรคเพื่อไทย นั่งดูถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลทีมชาติไทยผ่านเว็บไซต์เถื่อน แล้ว แพทองธารกลับตอบโต้ว่าใครบ้างไม่ดูเถื่อน แทนที่จะบอกว่าทราบเรื่องแล้วเดี๋ยวจะดำเนินการอะไรต่อไป ซึ่งการมีท่าทีแบบนี้เองที่ทำให้แพทองธาร ถูกตั้งคำถามว่ามีความพร้อมแล้วหรือ ซึ่งสำหรับตน ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ไม่ว่าจะมาจากพรรคใดก็ตาม แม้โดยส่วนตัวจะไม่ถูกใจแต่ก็อยากให้คนคนนั้นมีความสามารถ บริหารเป็น

หรือแม้แต่เรื่องการโพสต์ภาพ ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อในขณะว่ายน้ำเล่นกับหลานที่บ้าน หลังจากเพิ่งได้รับการพักโทษทั้งที่ก่อนหน้านั้น ทักษิณ มีข่าวว่าป่วยหนักจนถูกส่งตัวจากเรือนจำไปรักษาและพักฟื้นที่ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ก็ทำให้สังคมตั้งคำถามได้ว่าเรื่องที่ผ่านมาไม่เป็นความจริงอย่างนั้นหรือ? แต่เรื่องนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับคนเป็นพ่อด้วย หากเป็นพ่อที่หวังดี เข้าใจความรู้สึกว่าของประชาชนว่าบางกลุ่มเขารับไม่ได้ ก็ต้องเตือนลูก

หรือกรณี อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร พาครอบครัวไปพักผ่อนที่ฮ่องกง ทั้งที่มีบทบาทเป็นประธานคณะทำงานด้านการส่งเสริม “ซอฟต์ พาวเวอร์ (Soft Power)” อีกทั้งก่อนหน้านั้นยังกล่าวเชิญชวนให้คนไทยออกมาเที่ยวในช่วงสงกรานต์ เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์ กลับตอบว่าอยากให้เข้าใจในความเป็นแม่และภรรยาด้วย ซึ่งต้องเข้าใจว่า ที่คนเขาวิจารณ์เขาไม่ได้วิจารณ์เรื่องบทบาทความเป็นแม่ และเข้าใจด้วยว่าเพิ่งคลอดลูกได้ไม่นาน แต่วิจารณ์เรื่องเชิญชวนคนไทยเที่ยวสงกรานต์แต่ตนเองกลับไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งมีวิธีการตอบที่ดีกว่านี้ เช่น มีการเตรียมตัวไว้ก่อนแล้วล่วงหน้า

หรือที่มีข่าวว่า ทักษิณไปเจรจากับกลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา แล้วแพทองธารก็ยังออกมาสนับสนุน ขณะที่นายกฯ เศรษฐา ตอบแบบอึกอักว่ารู้หรือไม่รู้ ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศก็ออกมาบอกว่าทักษิณไปในนามส่วนตัว แต่ต้องไม่ลืมว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ดังนั้นครอบครัวชินวัตรก็ต้องไปคุยกันให้ดี โดยเฉพาะ ทักษิณชินวัตร หากต้องการให้ลูกสาวประสบความสำเร็จทางการเมืองควรปรับตัวเสียใหม่ หากยังอยากอยู่ในกระแส ก็สามารถทำอย่างอื่นได้โดยไม่เป็นภัยกับลูก เช่น อัดคลิปเลี้ยงหลาน แนะนำผู้สูงอายุกับการอยู่กับคนรุ่นใหม่ในศตวรรษที่ 21

รัชดา กล่าวต่อไปว่า อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ถือเป็นคนรุ่นใหม่คนหนึ่งในแวดวงการเมือง ซึ่ง “เรื่องของการเมืองก็คือความเข้าใจหัวอกของพี่น้องประชาชน-เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม” ทุกคนจึงมีโอกาสทำงานตรงนั้น ซึมซับปัญหา และมีทีมงานยกร่างนโยบายเพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา แต่สำหรับคนที่มีตำแหน่ง สส. โดยหน้าที่แล้วก็ต้องอยู่กับประชาชน เช่น หากเปรียบเทียบระหว่าง แพทองธาร กับคนรุ่นใหม่ที่เป็น สส. ของพรรคก้าวไกล สส. นั้นไม่ว่าพรรคใดก็จะอยู่กับพื้นที่ เข้าใจปัญหาและมีทีมงาน

ดังนั้นในส่วนของ แพทองธาร ตนไม่ทราบว่าอยู่ใกล้ชิดกับปัญหาของประชาชนมาก-น้อยเพียงใด เพราะ “การอ่านข่าวหรือมีคนมารายงานก็ไม่เหมือนกับการไปเดินไปนั่งคุยอยู่กับปัญหานั้นอย่างจริงจัง” คืออยู่คนละตำแหน่งกัน สส. ต้องอยู่กับประชาชน แต่แพทองธารเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งอาจบอกว่าเข้าใจปัญหาของประชาชน โดย สส. ในพรรคมารายงานให้ทราบแล้วนำเสนอว่าอยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาอย่างไร ก็เป็นไปได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวทำการบ้าน เข้าใจเพียงเหมือนกับคนมาเล่าให้ฟัง หรือว่าฟังด้วยใจ ฟังแล้วได้ยินและคิดตามอย่างเข้าใจ

ส่วนการทำงานที่ผ่านมาของแพทองธาร โดยเฉพาะการเน้นหนักเรื่องการผลักดันซอฟต์ พาวเวอร์ ว่า ซอฟต์พาวเวอร์ต้องใช้เวลา แต่ก็มีคำถามว่า “นิยามคำว่าซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาลนั้นใช่จริงหรือ?” คือคำว่าซอฟต์ พาวเวอร์นั้นดังมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร เช่น นโยบาย “1 ครอบครัว 1 ซอฟต์ พาวเวอร์” ก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ว่าตกลงแล้วแต่ละครอบครัวต้องนำเสนออะไรออกมา อาทิ วิธีการเลี้ยงลูก วิธีการทอผ้า วิธีการทำกับข้าว หรืออะไรที่ต้องการให้กระทรวงมหาดไทยไปขับเคลื่อน

หรืออย่างคำถามว่า อะไรคือซอฟต์ พาวเวอร์ของครอบครัวชินวัตร แล้วอยากให้คนอื่นๆ ในประเทศเอาอย่างอย่างไร ซึ่งจริงๆ ตนก็ให้เวลา เพราะเข้าใจระบบการบริหารราชการ ไม่อยากตัดสินทุกเรื่องว่าไม่เห็นอะไรเลย บางเรื่องกว่างบประมาณจะมา บางเรื่องกว่าจะทำความเข้าใจทุกองคาพยพ ล้วนมีเงื่อนเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สิ่งที่อยากเห็นในฐานะที่ แพทองธาร ดูแลเรื่องซอฟต์ พาวเวอร์ คือการแต่งตัวที่บ่งบอกความเป็นไทยออกงานมากกว่านี้

ซึ่งตนก็เข้าใจหัวอกคนมีเงินและชอบแต่งตัว รู้ว่าอยากแต่งตัวที่เป็นตัวเองและอยากสวย แต่เมื่อมาอยู่บนเส้นทางการเมืองและมีฐานะเป็นประธานซอฟต์ พาวเวอร์ อีกทั้งยังเน้นส่งเสริมผ้าไทย ก็ต้องหาจังหวะและโอกาสนำเสนอ อย่างน้อยคนก็เห็นว่าซอฟต์ พาวเวอร์ คือผ้าไทย แพทองธารนำผ้าไทยที่ถูกมองว่ามีแต่ผู้สูงอายุที่ใช้มาสวมใส่ ซึ่งหากมีคนตัดชุดให้ก็ดูเก๋ แล้วขยับจากผ้าไทยมาเป็นเครื่องประดับ เช่น ต่างหู หยิบมานำเสนอก็สามารถทำได้ แต่เนื่องจากชีวิตปกติทั่วไป อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร สวมใส่แต่เสื้อผ้าแบรนด์เนม

ในทางกลับกัน คนที่ไม่ได้เป็นแฟนคลับของ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร วันหนึ่งเห็น แพทองธาร ไปลงพื้นที่แล้วแต่งตัวธรรมดาๆ และเป็นของไทยๆ เขาก็อาจรู้สึกว่ามันดูดีนะ ก็มีแต้มบวกเกิดขึ้น ตนมองว่าเราต้องลดความรู้สึกว่าก็ฉันมีอิสระหรือฉันก็คนคนหนึ่ง เพราะในเมื่อมาเป็นนักการเมืองและคาดหวังว่าจะมีตำแหน่งสูง ก็ต้องคิดว่าประชาชนจะมองตัวเราอย่างไร

“มันไม่ใช่เรื่องผิด แต่วันนี้คุณทำงานภายใต้ประธาน มีบทบาท ว่าที่อาจจะเป็นนายกฯ หญิง คนก็คาดหวังแล้วพอมาเรื่องซอฟต์เพาเวอร์ที่มันเชื่อมกับเรื่องของการแต่งตัว ทุกคนก็อยากเห็นว่า อ้าว!..แล้วอย่างไรล่ะ? แล้วพอเป็นนักการเมือง ทั้งหมวกทั้งเสื้อ คนก็ทำเป็นคอนเทนต์คอยวิจารณ์ แล้วมันก็ไม่เป็นบวกกับตัวเองอันนี้พูดในลักษณะของการติเพื่อก่อ เพราะไม่อยากให้นักการเมืองคนไหนก็ตาม โดยเฉพาะผู้หญิง ถูกจับจ้องในเรื่องเล็กๆ แบบนี้ แต่เล็กๆ แบบนี้ มันค่อยๆ กัดกร่อนความนิยมของนักการเมืองไปทีละนิดๆ” รัชดา กล่าว

ในช่วงท้าย ในฐานะรุ่นพี่ผู้อาวุโสกว่า รัชดา ให้ข้อสรุปและคำแนะนำว่า อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร เป็นคนเข้มแข็ง แต่ก็อยากให้ปรับปรุงตัว อะไรที่ไม่ดีก็แก้ไขเสีย ถือว่ายังมีเวลา ส่วนข้อครหาต่างๆ ที่มักหยิบยกมาพูดถึงเสมอเมื่อกล่าวถึงอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร อยากให้มองไปข้างหน้า ในเมื่อตั้งใจจะทำงานการเมืองแล้วก็ขอให้คิดในสิ่งที่ถูกที่ควร ขณะที่ทีมงานก็อย่าอวยอย่าโอ๋ อะไรที่ไม่ดีก็ให้จบไปเพราะไม่สามารถแก้ไขได้แต่หลังจากนี้จะทำอะไรขอให้คิดให้มากๆ ขอให้คิดถึงหัวใจคนไทย เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะรัก อีกทั้งยังมีประวัติศาสตร์ที่เจ็บปวดกับครอบครัวนี้

“คุณสามารถทำตัวให้เขายอมรับได้ แต่มันก็ต้องปรับวิธีคิดด้วย” รัชดา ฝากทิ้งท้าย

แนวหน้า Talk : ‘ฟองสนาน จามรจันทร์’ อ่านดวง‘ทักษิณ ชินวัตร’ และคำเตือนถึงรัฐบาล‘เศรษฐา ทวีสิน’

SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/806577

แนวหน้า Talk : ‘ฟองสนาน จามรจันทร์’  อ่านดวง‘ทักษิณ ชินวัตร’  และคำเตือนถึงรัฐบาล‘เศรษฐา ทวีสิน’

แนวหน้า Talk : ‘ฟองสนาน จามรจันทร์’ อ่านดวง‘ทักษิณ ชินวัตร’ และคำเตือนถึงรัฐบาล‘เศรษฐา ทวีสิน’

วันเสาร์ ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2567, 06.00 น.

แม้รัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน และพรรคเพื่อไทย จะดำรงอยู่มาแล้วกว่า 8 เดือน แต่ในเรื่องของเสถียรภาพยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตามอง จากหลายๆ สัญญาณที่ส่อส่งผลกระทบ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ว่าจะเป็นประเด็นสารพัดนโยบายที่มีข้อถกเถียงเรื่องความเหมาะสม ทั้งการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท (ดิจิทัล วอลเล็ต) การนำข้าวที่เก็บในโกดังนานถึง 10 ปีออกขาย การพยายามขึ้นค่าแรง 400 บาทต่อวัน

และโดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่การที่มีโทษจำคุก 1 ปี แต่ไม่เคยต้องอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว โดยใช้เวลา 6 เดือนแรกอยู่ที่ห้องพักชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในฐานะผู้ป่วยสูงอายุที่มีอาการหนักจนต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด กระทั่งได้รับการพักโทษเมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2567 ได้รับอนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านพักได้ ก็ดูเหมือนอาการของอดีตนายกฯ ผู้นี้ จะดีวันดีคืนอย่างรวดเร็ว จากการเดินสายขึ้นเหนือ-ล่องใต้ จนทำให้ถูกตั้งคำถามว่าที่ผ่านมาป่วยหนักจริงหรือ? แต่รัฐบาลก็ดูจะนิ่งๆ ต่อเรื่องนี้

รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ออกอากาศทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่วันที่ 14 พ.ค.2567 มีการโฟนอินพูดคุยกับ “โหรฟองสนาน”ฟองสนาน จามรจันทร์ หมอดูชื่อดัง อดีตผู้สื่อข่าวและนักจัดรายการวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ ในการพยากรณ์ดวงเมือง ดวงของอดีตนายกฯ ทักษิณ และคำแนะนำถึงรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา

โหรฟองสนาน เริ่มต้นด้วยการฉายภาพ “ดวงเมือง”ของประเทศไทย ว่า ระหว่างวันที่ 21 เม.ย. 2567-21 เม.ย. 2568 ดวงภูมิตกภูมิสุข 1 ปี ซึ่งถือเป็นศุภเคราะห์ หรือกลุ่มดาวดี แต่มีลิลิตทักษาพยากรณ์ ที่ทรงนิพนธ์โดยสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ซึ่งเป็นต้นราชสกุลมนตรีกุล ว่า พระศุกร์แดนอุตรา ลุลาภามาศคาม ลักษณะแบบนี้หมายถึงเมืองจะมีลาภมาก ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เช่น ได้รับทองคำจากหลวงตามหาบัวฯ หรือมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก

แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องเป็นความเพราะปากเรา ความของเขามาใส่ตน เรื่องนี้เคยเขียนไว้ตั้งแต่ต้นปี 2567 แล้วว่าเมืองหรือคนในเมือง ไม่ว่าจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่บุคคลสำคัญของบ้านเมือง รวมถึงบุคคลทั่วไป ต้องระวังปากไม่ไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น แต่ก็มาเกิดจนได้กับกรณีประเทศเมียนมา ก็ต้องย้ำว่าเรื่องของคนอื่นหรือของประเทศอื่นอย่าไปยุ่ง มันจะเป็นความเพราะปาก ฉะนั้นผู้หลักผู้ใหญ่ต้องระมัดระวังอย่างมากในอันที่จะพูดอะไรออกไปที่จะกระทบความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน หรือคนในเมืองเองก็ต้องระวังคำพูดด้วยเช่นกัน

“พี่ฟองจะโพสต์อะไรระวังแจเลยนะ กลัวมากเลย กลัวเขาฟ้อง ไม่มีแรงไปขึ้นศาลหรอก นี่เป็นปรากฏการณ์สำหรับเมือง แล้วต้องระวังไป 1 ปี ถึง 21 เม.ย. 2568 แม้ว่าอะไรๆ ในเมืองดูจะดีค่อนข้างจะมาก เช่น แข่งอะไรก็จะชนะ เดี๋ยวมงลงถี่ๆ คอยดู เดี๋ยวหุ้นก็ทำสถิติใหม่ด้านซื้อ-ขาย ดาวใหญ่ให้คุณกับดวงเมืองทั้งหมด เป็นศรีสิริมงคล แต่ด้านลบต้องระวังเรื่องนี้” โหรฟองสนาน กล่าว

ขณะที่ดวงชะตาของอดีตนายกฯ ทักษิณ โหรฟองสนานระบุว่า ท่านก็เหมือนกับคนอื่นๆ คือไม่มีใครบวกหมดหรือลบหมด และพื้นดวงชะตาก็ไม่ใช่ความลับ ตนก็ต้องขอโทษเจ้าของดวงด้วยในการนำมาเปิดเผยในครั้งนี้ แต่ที่ผ่านมาก็เคยมีการเปิดเผยไว้ในหนังสือหลายเล่มแล้ว เช่น ตาดูดาวเท้าติดดิน ทักษิณคนเหนือดวง เป็นต้น โดยพื้นดวงของนายทักษิณคือลัคนาสถิตราศีกันย์ ธาตุดิน ดวงชะตานี้โดดเด่นด้วยเกณฑ์ที่ท่านก็รู้ มีคนอ้างถึงจันทรุสุริยา

ซึ่งคนที่มีดวงแบบนี้หมายถึงเกิดอยู่หลังเขาก็จะมาโด่งดังใจกลางพระนคร หรือพายเรือออกจากสวนมาบวชก็จะได้เป็นถึงพระราชาคณะ ดังตัวอย่างของบุคคลอีกหลายท่าน เช่น พุ่มพวง ดวงจันทร์ ราชินีเพลงลูกทุ่ง สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี และอดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น ซึ่งกรณีของ ทักษิณ ชินวัตร คือจากตำรวจกลายเป็นมหาเศรษฐีและนายกรัฐมนตรี

สำหรับคนที่มีดวงชะตานี้ ในด้านบวกมีเกณฑ์ความร่ำรวยอยู่ในภพลาภะ หมายถึงโชคลาภหรือความสำเร็จ แต่ด้านลบหรือข้อควรระวัง คือ 1.เรื่องของความอยากได้ 2.ต้องไม่เหยียบบ่าคนอื่น เพราะหากร่วงลงมาจะถูกศัตรูเล่นงานได้ ส่วนดวงชะตาในระยะเวลาอันใกล้นี้ ขอเตือนให้คุณทักษิณระวังตัว ช่วงอายุ 75-83 ปี หรือรวมแล้ว 8 ปี กับอีก 4 เดือน เป็นเรื่องของการตกวัยอริ เจ็บไข้ได้ป่วยหรือมีปัญหาอุปสรรคหนี้สิน แล้วแต่ว่าจะออกด้านไหน

โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565-กรกฎาคม 2572 ท่านตามหาความฝันและเปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งหมด ตามหาความฝันอยากกลับบ้าน 17 ปี ท่านก็ได้กลับ เปลี่ยนชีวิตหมดเคยอยู่ต่างประเทศท่านก็มาอยู่เมืองไทย ชิลๆ ไปทั่วประเทศ ถ้าท่านจะแสวงบุญออกบวชก็โอเค อีกเกณฑ์หนึ่งที่ออกแนวบวกก็คือว่า เขาเรียกตรีเทพให้คุณพร้อมกัน 2 ดวง พระเสาร์ให้คุณ 1 มี.ค. 2566-14 ก.พ. 2569 ได้ลาภใหญ่ก็ตั้งใจอันสำราญ จะได้ลาภจากการต่อสู้ปัญหาอุปสรรคหนี้สินสุขภาพอนามัย เช่น ไปอยู่ชั้น 14 แล้วท่านก็ได้ลาภ

ดังนั้นช่วงนี้ใครมีดวงลักขณาสถิตราศีกันย์ ขอให้สู้อย่ายอมแพ้ ส่วนเกณฑ์ที่ 2 หัวหน้าเทวดาประจำตัวพฤหัสบดี เพิ่งออกจากห้องไอซียูมาคุ้มครองชะตาเต็มที่ ตั้งแต่ 30 เม.ย. 2567-13 พ.ค. 2568 แต่ก็มีเกณฑ์ด้านลบคือราหูเล็งลัคน์ ช่วงวันที่ 18 ต.ค. 2566-
5 พ.ค. 2568 มีคำเตือนให้ระวังคู่ครองหรือหุ้นส่วน เช่น ผู้มีส่วนได้-ส่วนเสีย หรือแม้แต่พรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับตัวท่าน เพราะจะมีอาการป่วยหรือมีปัญหา อาทิ มีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ปรับแล้วก็เกิดปัญหาขึ้น รวมถึงต้องระวังคดีความ

“ปกติเจอคดีความ เจอเรื่องคู่ครองหรือหุ้นส่วนชีวิต ราหูทับราหูดวงเดิมด้วย ต้องระมัดระวังเรื่องตับและเรื่องน้ำย่อย ถ้าเดินทางต่างประเทศต้องระมัดระวังราหูทับราหู ปะทะกันและกันกล นั้นห้ามจรหน บรเทศจะอันตราย สินทรัพย์จะร่อยริน เสียเงินเสียทอง ทิศบนดินจะหมองหมาย ระวังมีเรื่องกับผู้ใหญ่ โทษตนระมาศกายจะเกิดพระเพลิงกาฬ ระวังฟืนไฟนิดหนึ่ง ศัตรูจะแกล้งกล่าว พจน์ล่อและลวงผลาญ ต้องระมัดระวังศัตรูกล่าว พยาธิใหญ่จะประหาร บ่มีญาติจะม้วยมรณ์ ระวังเรื่องของสุขภาพอนามัย เพราะด้านลบอีกด้าน เสาร์ถึงเสาร์อยู่นะ กรรมเก่าแรง กระดูก เส้นประสาท ลำไส้ ผิวหนัง ภูมิแพ้” โหรฟองสนาน ระบุ

ยังมีด้านลบอีกด้านคือเสาร์ถึงศุกร์ หมายถึงโรคเก่ากำเริบ และระวังถูกทรยศหักหลัง แต่เมื่อประมวลออกมาแล้ว โดยภาพรวมหัวหน้าดาวร้ายคือพระเสาร์ยังให้คุณไปถึง 14 ก.พ. 2569 และหัวหน้าดาวดีก็ยังคุ้มครองตั้งแต่ 30 เม.ย. 2567 เป็นต้นไป ดังนั้นหากเกณฑ์ชีวิตจะเปลี่ยนก็จะเป็นเพราะเรื่องของราหู ดังนั้นอย่ามีเรื่องกับผู้หลักผู้ใหญ่ และเดินเหินก็ต้องระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม การมีพฤหัสคุ้มครองก็จะทำให้เหมือนดวงชะตาทั่วไปของลัคนาราศีกันย์ คือลดความรุนแรงของเหตุการณ์ด้านลบลง

แต่ให้ไปจับตาดูเรื่องสุขภาพอนามัย ตั้งแต่อายุ 75 ปีคือคงเริ่มก่อตัว ถึงกระนั้นคุณทักษิณก็มีเงินมาก ตั้งแต่อายุ 75-อายุ 83 ปี 4 เดือน และไม่รู้ว่าเกณฑ์นี้จะเปลี่ยนอะไรบ้าง แนะนำให้ไปดูช่วงที่พระเสาร์หยุดให้คุณ หรือพระเสาร์ เล็งลัคน์ ตอนนั้นเรื่องด้านลบจะรอเกิดอย่างใหญ่โตคือช่วงวันที่ 14 ก.พ. 2569-12 เม.ย. 2571 ดังนั้นตอนนี้คุณทักษิณก็เอาคุณงามความดีจากหัวหน้าดาวดีและดาวร้ายไปก่อน แต่ราหูตัวแสบระราน ความรุนแรงน่าจะลดลง แต่เมื่อใดที่หัวหน้าดาวร้ายให้โทษท่าน คือ 14 ก.พ.2569-12 เม.ย. 2571 เกณฑ์ชีวิตเปลี่ยน ต้องระมัดระวังมาก

ส่วนคณะรัฐมนตรีที่นำโดยนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ช่วง 19 มิ.ย.-1 ธ.ค. 2567 ต้องประคับประคองให้ดี จะมีการปรับ ครม. และปรับพรรคร่วมรัฐบาลครั้งใหญ่ สถานการณ์จะเหมือนกับคนท้องอืด ตั้งแต่วันที่ 19 มิ.ย. 2567 เป็นต้นไป เพราะพระเสาร์เดินผิดปกติ ดังนั้นก็อยู่ที่นายกฯ เศรษฐา ที่จะประคับประคอง แต่ในภาพรวมรัฐบาลก็ยังโชคดีอยู่ แต่ตนไม่ได้ดูดวงให้กับนายเศรษฐาและโหรทั้งแผ่นดินก็ดูดวงพลาดกันหมดเพราะไม่รู้เวลาเกิดของท่าน ไม่ได้มีข้อมูลดวงชะตาที่ชัดเจนเหมือนกับของอดีตนายกฯ ทักษิณ

มีคำถามที่น่าสนใจประการหนึ่งคือ “มีหมอดูบางท่านได้ทำนายว่า ทักษิณ ชินวัตร มีโอกาสถึงขั้นได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง?” ประเด็นนี้โหรฟองสนาน ระบุว่า สำหรับตนเองไม่พูดถึงขนาดนั้น แต่มีดวงชะตาจันทรุสุริยา ซึ่งด้านลบคือเป็นตุ๊กตาล้มลุก ซึ่งครูบาอาจารย์ในแวดวงโหราศาสตร์จะเตือนกันว่าแรงมาก หมายถึงช่วงขึ้นก็แรง-ช่วงลงก็แรง และต้องย้ำด้วยว่า คนมีดวงชะตาแบบนี้ต้องไม่เหยียบบ่าคนอื่นและไม่สร้างศัตรู ไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นนายกฯ ก็ตาม

“อ้างอิงตำราได้ โหราศาสตร์ปริทรรศน์ เล่ม 2ครหวินิจฉัย ของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร อ้างเลยอังคารกับมฤตยูลอยอยู่กลางฟ้าตอนเกิดภพที่ 10 ตำราบอกว่าคุณได้เป็นใหญ่เป็นโตแน่ เพราะว่าเกณฑ์เขาเรียกว่าตรีโชค แต่เกณฑ์นี้อย่าเหยียบบ่าใคร อย่าสร้างศัตรู เพราะว่าพอตอนดวงตกศัตรูกลุ้มรุมทำร้าย”โหรฟองสนาน กล่าว

สำหรับโชคชะตาของรัฐบาลชุดปัจจุบัน โหรฟองสนานชี้ว่า ยังถือว่าโชคดีอยู่ เพราะอย่างไรก็ยังอยู่ภายใต้ภพลาภะ แต่ก็จะเขย่ากันอุตลุด เพราะเสาร์เดินถอยหลัง ดาวรัฐบาล ดาวบริหารราชการแผ่นดินเดินถอยหลัง ก็ต้องจับตาว่าจะมีใครโดนอะไรบ้าง รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วย ก็ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น สำหรับตนเองก็ไม่กล้าที่จะทำนาย เพราะตำราและครูโหรฯ บอกว่าดาวเดินผิดปกติ อย่าหาญไปทำนายเพราะจะทำนายไม่ถูก

อีกทั้งการเดินผิดปกติจะเป็นไปแบบยาวนานมาก เริ่มตั้งแต่วันที่ 19 มิ.ย. 2567 เป็นต้นไป ที่รัฐหรือรัฐบาลจะมีอาการเหมือนท้องอืด จะมีการเขย่า การปรับหรือใช้คำว่าทบทวนกัน ไปจนถึงวันที่ 1 ธ.ค. 2567 แต่รัฐบาลก็ยังคงจะโชคดีไปจนกว่าจะเข้าสู่ปี 2568 อย่างไรก็ตาม ตนเองขอใช้คำว่ารัฐบาลในภาพรวม ไม่เจาะจงไปที่พรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะไม่มีข้อมูลดวงของพรรคดังกล่าว แต่ปีนี้อะไรก็ดูดีไปหมด เพราะดาวใหญ่เกือบทุกดวงให้คุณกับดวงเมือง

ในช่วงท้ายของรายการ โหรฟองสนาน ฝากคำเตือนถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ว่า “ดวงเมืองของประเทศไทยนี้ดูเหมือนจะดูดีมากๆ ช่วง 21 เม.ย. 2567-21 เม.ย. 2568 แต่หลังจากนั้นเมืองจะเริ่มเข้าเคราะห์ทางเศรษฐกิจ” ดังนั้น “ต้องหลีกเลี่ยงนโยบายที่ทำแล้วเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” เพราะนอกจาก 21 เม.ย.2568-21 เม.ย. 2569 ที่ดวงเมืองของไทยเข้าสู่ช่วงเคราะห์ทางเศรษฐกิจแล้วยังมีเคราะห์ใหญ่ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง รออยู่ในช่วง 14 ก.พ. 2569-12 เม.ย. 2571 แต่หากรัฐบาลดำเนินนโยบายให้ดีเสียตั้งแต่วันนี้ก็จะลดความรุนแรงของสถานการณ์ลงได้

“ยังทำอะไรดีๆ ได้ก่อน 21 เม.ย. 2568 ไม่เตือนเรื่องอื่น เตือนเรื่องนี้ หวังว่าจะไม่เกิดขึ้น เพราะว่า 50% เป็นเรื่องของการกระทำ อีก 50% มันเป็นเรื่องของดวง เราเชื่อมั่นในคุณเศรษฐา ว่าคุณเศรษฐาจะทำอะไรดีๆให้กับประเทศ เราเชื่อมั่นใน ครม. ในส่วนดีที่จะทำอะไรดีๆให้กับประเทศ ไม่ต้องเชื่อโหรนะ แต่ว่าทำดีเถิด อย่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” โหรฟองสนาน ฝากทิ้งท้าย

แนวหน้า Talk : ‘สตรีทอาร์ต คิง ภูมิพล’ น้อมรำลึกถึง‘ในหลวงรัชกาลที่ 9’ ผ่านงานศิลปะจากใจพสกนิกรไทย

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/793389

แนวหน้า Talk : ‘สตรีทอาร์ต คิง ภูมิพล’  น้อมรำลึกถึง‘ในหลวงรัชกาลที่ 9’  ผ่านงานศิลปะจากใจพสกนิกรไทย

แนวหน้า Talk : ‘สตรีทอาร์ต คิง ภูมิพล’ น้อมรำลึกถึง‘ในหลวงรัชกาลที่ 9’ ผ่านงานศิลปะจากใจพสกนิกรไทย

วันเสาร์ ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2567, 07.00 น.

“ช่วงนั้นผมต้องการที่อยากจะวาดรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 มากๆ เพราะหลังจากที่ท่านสวรรคตไป ผมมีความรู้สึกภายในที่แบบเยอะมากๆ แล้วอยากที่จะระบายออกมา ทีนี้ตอนแรกระบายออกมาในไซส์ 2×2 เมตร ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ตรงหน้าพระบรมมหาราชวัง ก็มีคนมาดูกันเต็มเลย อันนั้นก็เป็นกลุ่มศิษย์เก่าที่เริ่มทำ แต่หลังจากนั้นผมกลับรู้สึกว่า 2×2 เมตรไม่พอ”

ชวัส จำปาแสน ประธานโครงการ “สตรีทอาร์ต คิง ภูมิพล” กล่าวในรายการ “แนวหน้า Talk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 มี.ค.2567 ถึงจุดเริ่มต้นของความต้องการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเพื่อรำลึกถึง “ในหลวงรัชกาลที่ 9”พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย รวมถึงประชาคมโลกก็ยังยกย่องพระองค์ท่าน จากโครงการในพระราชดำริจำนวนมากที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทห่างไกล

ชวัส หรือ “ครูอะไหล่” เล่าว่า หลังตนมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะสร้างผลงานศิลปะเพื่อรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ได้รับการประสานจาก “โกเอ็ก” ผู้จัดหาศิลปินไปทำผลงานแนวสตรีทอาร์ต ที่ อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเวลานั้นตนก็กำลังทำงานศิลปะอยู่ที่นั่น เมื่อได้พูดคุยกันจึงได้รับมอบหมายให้วาดภาพบนผนังของตึก 3 ชั้นขนาด 6×10 เมตร เป็นอาคารของโรงเรียนแห่งหนึ่ง โดยเวลานั้นตนยังเป็นผู้ลงมือวาดเองเพียงคนเดียว

“ใช้รถกระเช้าของเทศบาล เป็นแบบรถกระเช้าน้ำมัน แล้วก็เสียงดังมาก เราก็จะต้องใช้รหัสมือบอกให้เขาขยับ มีเวลาเพียง 4 วัน ทำเสร็จแต่ก็ยกแขนไม่ขึ้นเลย ผลออกมาดี เพราะผมไม่ใช่จะแค่วาดรูปภาพอย่างเดียว บันทึกวีดีโอด้วย ก็คือเราอยู่ในยุคที่มันเป็นโซเชียลเนตเวิร์กแล้ว เราต้องใช้ให้เป็นก็จะมีผู้ช่วยมาตั้งกล้องถ่ายรูปให้ แล้วผมก็เอาวีดีโอเหล่านั้นมาตัดต่อเอง ใส่เพลง แล้วก็เขียนบทความว่าเรามีความรู้สึกอย่างไรที่มีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 คลิปวีดีโอนั้นยอดคนดูไป 1.3 ล้านวิว” ชวัส กล่าว

เมื่อคลิปวีดีโอผลงานสตรีทอาร์ต รำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ อ.เบตง จ.ยะลา ถูกเผยแพร่ก็มีความคิดเห็นจำนวนมากเข้ามาบอกว่าอยากให้ไปวาดที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง และมีความเห็นหนึ่งบอกว่าอยากให้ไปทุกจังหวัด ตนก็ตั้งมั่นว่าจะลองดู หากมีปัจจัยที่ทำให้ตนสามารถเดินทางไปทำผลงานศิลปะแบบนี้ได้อีกตนก็ยินดีที่จะไป แล้วค่อยมาดูกันว่าท้ายที่สุดแล้วจะไปได้ครบ77 จังหวัดหรือไม่ โดยล่าสุดจนถึงปัจจุบัน วาดภาพบนผนังไปแล้ว 22 ภาพ ใน 22 จังหวัด

ทั้งนี้ ในปี 2565-2566 เป็นช่วงที่ทำผลงานได้มาก เพราะทางกลุ่มได้ไปเป็นพาร์ทเนอร์กับสำนักข่าวท็อปนิวส์ โดยทางท็อปนิวส์จะช่วยประชาสัมพันธ์และระดมทุนให้ ทำให้สามารถทำงานสตรีทอาร์ตได้อย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่ตนต้องระดมทุนเองผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ขายเสื้อบ้างวาดรูปขายบ้าง กระทั่งในปี 2567 ทราบว่าทางท็อปนิวส์จะหันไปทำโครงการสนับสนุนเกี่ยวกับโรงพยาบาล ซึ่งพวกตนก็จะยืนต่อด้วยมูลนิธิสานต่อที่พ่อทำ

อนึ่ง โครงการนี้ตนต้องการให้ทุกคนมีส่วนร่วมโดยไม่จำเป็นต้องเป็นนักวาดภาพที่เชี่ยวชาญ เช่น ในการบูรณาภาพที่ 3 ที่ปิ่นเกล้าซึ่งตนได้ออกแบบให้ทุกคนสามารถวาดภาพของตนเองได้ โดยมีลักษณะล้อมรอบรูปของในหลวง รัชกาลที่ 9 เพื่อให้เป็นเหมือนว่าเราเป็นพสกนิกรตัวเล็กๆ ที่มาช่วยกันเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์แม้ไม่ใช่ทุกคนที่วาดภาพเก่ง แต่เมื่อผลงานออกมาแล้วก็ดูสวย ซึ่งหากนับจำนวนคนที่มาร่วมกิจกรรมแล้วก็น่าจะแตะ 100 คนได้ ที่แวะเวียนกันมา แต่อาจจะไม่ได้มากันทีเดียวทั้ง 100 คน

“จริงๆ ก็ตั้งแต่รูปแรกๆ ผมก็ประทับใจรูปแรก มาทำรูปที่ 2 ผมก็ประทับใจรูปที่ 2 ก็คือประทับใจรูปใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะในแต่ละรูปเราเหมือนมีพัฒนาการของทีมงานแล้วก็แนวคิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราไม่ได้หยุดแค่การวาดภาพในหลวงเพียงอย่างเดียว ยังมีการให้ครูโป๊ป (สรรเพชญ ศรีทอง) ไปเป็นวิทยากรสอนเด็กตามโรงเรียนต่างๆ ด้วยที่เราไป มีเรื่องมูลนิธิเกิดขึ้น มีทีมงานที่เหนียวแน่นกันมากขึ้น แต่ถ้าจะว่ากันที่ตัวกำแพงจริงๆ ผมประทับใจกำแพงที่โรงพยาบาลหัวหิน เพราะว่าเป็นรูปที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

เป็นรูปที่พระองค์ทรงชุดเรือใบ ไซส์ประมาณตึก 13-14 ชั้น ตอนแรกเราว่าจะวาดตรงแท่นที่เป็นลิฟต์ ก็จะเหลี่ยมๆ ยาวๆ ตั้งๆ แต่ไปๆ มาๆ เราไประดมขอทีมหน่วยกู้ภัยมาโรยตัวด้านข้าง ก็ไปโรยตัววาดกันด้านข้างเพื่อต่อเติมก้อนเมฆให้เต็มผนังตึกทั้งหมดเลย ผมก็ขึ้นไปห้อยตัว พี่กู้ภัยเขาก็สอนกันตรงนั้นเลย เคยฝึกไปครั้งหนึ่งแล้วก็ลองจริงเลยครั้งนั้น แล้วก็มีเวลาครึ่งชั่วโมง เพราะถ้านานกว่านั้น สายที่รัดขามันจะไปรัดเส้นเลือดใหญ่ มันก็จะหน้ามืด มันก็ต้องทำให้ไว ทีมงานก็อยู่ประมาณ 6-8 คน ที่ต้องวาดรูป รอบนั้นใช้เวลา 7 วัน” ครูอะไหล่-ชวัสระบุ

ครูอะไหล่-ชวัส เล่าต่ออีกว่า หลังสร้างผลงานแล้วเสร็จ ในวันที่ส่งมอบงาน มีประชาชนในพื้นที่มาดู ตนก็อธิบายความรู้สึกที่มีต่อการสร้างผลงานศิลปะชิ้นนี้ ซึ่งก็เห็นหลายคนที่ฟังมีน้ำตา และนั่นทำให้ตนไม่อาจหยุดทำโครงการนี้ได้ และไม่เฉพาะในหลวงรัชกาลที่ 9เท่านั้น แต่ทีมงานจะช่วยเผยแพร่พระราชกรณียกิจของ “ในหลวงรัชกาลที่ 10” พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ผ่านผลงานสตรีทอาร์ตด้วย ซึ่งเป็นการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางสร้างสรรค์ด้วยวิธีการที่พวกตนถนัด

สำหรับเป้าหมายต่อไปที่ตั้งไว้ ครูอะไหล่-ชวัส เปิดเผยว่า “อยากสร้างผลงานสตรีทอาร์ตที่เขื่อนภูมิพล” เพราะหากทำได้จะกลายเป็น “สถิติโลก” ในตอนแรกต้องการวาดที่บริเวณสันเขื่อน ต้องใช้ทีมงานประมาณ 300 คน แต่เมื่อไปดูสถานที่จริงพบว่าทำแล้วไม่มีมุมให้ไปยืนชมผลงาน ต้องใช้โดรนบินถ่ายภาพเท่านั้น จึงขอย้ายไปทำที่ไซโลปูน หรือถังเก็บปูนซึ่งตั้งอยู่มาก่อนเขื่อน จุดนี้ก็ถือว่าสูงมาก ประมาณตึก 8 ชั้น ส่วนความกว้างประมาณ 8 เมตร มีทั้งหมด 4 ไซโล รวมความกว้าง 32 เมตร เพราะเป็นไซโลปูนสำหรับก่อสร้างเขื่อนภูมิพลซึ่งเป็นเขื่อนขนาดใหญ่

โดยงานนี้ตนต้องการให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม โดยเฉพาะศิลปิน เพราะคงไม่ได้มีตนเพียงคนเดียวที่จะออกแบบผลงานชิ้นนี้ แต่จะต้องเชิญศิลปินระดับประเทศมาช่วย เพื่อออกแบบทั้ง 4 ไซโล โดย 4 ศิลปิน รวมถึงต้องระดมจิตอาสากันอีกจำนวนมาก ปัจจุบันก็เริ่มเชิญชวนกันแล้ว แต่สิ่งสำคัญคือพวกตนต้องทำเรื่องขออนุญาตใช้สถานที่ เพื่อทำให้โครงการนี้เกิดขึ้นได้ หากขั้นตอนต่างๆ ผ่านไปอย่างเรียบร้อยดี ตนตั้งใจจะเริ่มทำงานศิลปะในวันที่ 13 ต.ค. และให้แล้วเสร็จในวันที่ 5 ธ.ค. 2567 ซึ่งวันที่ 13 ตุลาคม เป็นวันคล้ายวันสวรรคต และวันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของในหลวงรัชกาลที่ 9

ทีมงาน “สตรีทอาร์ต คิง ภูมิพล” ที่มาเยือนรายการ “แนวหน้า Talk” ครั้งนี้ นอกจาก ครูอะไหล่-ชวัส แล้วยังมี “แม่นุ่น” ภัทราวิทยวีระชัย เลขานุการโครงการ และ “ครูโป๊ป” สรรเพชญ ศรีทอง โฆษกโครงการ มาร่วมพูดคุยด้วย โดย แม่นุ่น-ภัทรา เล่าว่า ตนเข้ามาร่วมโครงการ เพราะลูกสาวของตนเป็นลูกศิษย์ของครูอะไหล่ และครูอะไหล่ได้ให้โอกาสลูกสาวตนออกแบบผลงานของผนังที่ 11 ซึ่งตนก็ต้องไปดูแลลูกด้วยเพราะลูกเพิ่งอายุ 9 ขวบ

จากนั้นก็ได้มาอีกตอนผนังที่ 12 ซึ่งก็เห็นว่า ครูโป๊ป-สรรเพชญ เริ่มรับแขกไม่ไหว เนื่องจากมีคนเอาสิ่งของมาสนับสนุนการทำงานเป็นจำนวนมาก และหากถามว่าประทับใจผลงานชิ้นใด ก็ต้องเป็นผนังที่ 11 ที่ จ.นครพนม เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นว่ากลุ่มศิลปินทำงานกันอย่างไร แล้วพอเห็นพ่อแม่พี่น้องเข้ามาให้กำลังใจตนก็รู้สึกอิ่มใจไปด้วย ทั้งที่เวลานั้นตนเพียงติดตามไปดูแลลูกเท่านั้น

“ขนาดเราเพิ่งมาแค่ครั้งแรก แล้วทุกๆ ศิลปินที่เขาไปทุกๆ กำแพง เขาน่าจะมีกำลังใจแบบนี้มากๆ เขาถึงไปต่อได้โดยไม่เหนื่อย น้องลิตา (ลูกสาว) เขาดีใจ อย่างแรกเขาดีใจที่ครูอะไหล่ให้โอกาสเขา แล้วเขาก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะมีโอกาสได้ทำอะไรบนกำแพงใหญ่ขนาดนี้ หลังทำเสร็จน้องก็เปลี่ยนไป เดิมที่เขาไม่ค่อยคุย พูดน้อย แต่พอมาทำงานกับพี่ๆ ที่กำแพง พูดเยอะมาก พูดเก่งมาก บางทีเขาเจอพ่อแม่พี่น้องที่เข้ามาทักทาย เขาบอกหนูไม่อยากคุยเลย ไม่รู้จะพูดอย่างไร ก็บอกว่าเขามาให้กำลังใจนะ ยิ้มแย้มนะ คุยกับคุณลุงคุณป้าดีๆ นะ เขาก็ปรับตัว ก็ทำได้ดี ตอนนี้อายุ 11 ขวบ อยู่ชั้น ป.5” ภัทรา กล่าว

แม่นุ่น-ภัทรา ยังกล่าวด้วยว่า ตั้งแต่พ่อแม่เลี้ยงตนมา ได้รับการอบรมสั่งสอนให้เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และปัจจุบันในวันที่ตนมีลูกจึงทำในสิ่งเดียวกัน ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้เด็กรุ่นใหม่เข้าใจและเข้าถึงได้มากที่สุดคือการทำให้ดู ซึ่งแม้ตนจะวาดภาพไม่ได้ แต่ตนก็จะช่วยทีมงานของครูอะไหล่ในส่วนที่ทำได้ นั่นก็คือการเป็นแบบอย่างส่งต่อไปถึงลูก

ด้าน ครูโป๊ป-สรรเพชญ กล่าวว่า ตนเริ่มช่วยงานครั้งแรกที่ผนังที่ 9 เมื่อปี 2565 ซึ่งหลายครั้งที่ทางกลุ่มเดินทางไปทำผลงานสตรีทอาร์ต ก็มีประชาชนที่ผ่านไป-มาหยุดดู บางคนมาดูตั้งแต่ช่วงสายๆ กว่าจะกลับบ้านก็เป็นเวลาดึกแล้ว ตนเริ่มทำงานนี้ที่ จ.หนองคาย แต่เริ่มเห็นคนให้ความสนใจมาดูการทำงานกันเยอะที่ อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นผนังที่ 10โดยในกลุ่มจะมีทีมศิลปินที่ลงมือวาดภาพ คนบันทึกวีดีโอ ส่วนตนเป็นเบื้องหลังทำหน้าที่สนับสนุนจิปาถะ เช่น เสบียงอาหาร ช่วยพูดคุยต้อนรับคนที่มาดูการทำงาน

“ผมประทับใจตอนหลังจากที่ผนังสามชุก-สุพรรณบุรีจบ คือเป็นครั้งแรกที่ผมช่วยหาข้อมูลให้ครูอะไหล่แบบเต็มๆ แล้วก็เราก็มีส่วนร่วมมาก คือเหมือนกับว่าช่วงโควิดสตรีทอาร์ตขาดไปคนหนึ่ง เป็นเบื้องหลังไปเรามาเริ่มทำช่วยตรงนั้นเต็มๆ ทั้งๆ ที่ผมต้องกลับมากรุงเทพฯ ก่อนเพื่อมาสอน เป็นติวเตอร์แต่พอครูอะไหล่อัปรูปในกลุ่ม เริ่มอัปรูปในเฟซบุ๊ก พอเราเห็นว่าทุกอย่างมันสมบูรณ์เหมือนตอนนั้นเราอยู่ที่ทำงานแล้ว เหมือนน้ำตาเราจะไหล มันซึมๆ ออกมา” สรรเพชญ กล่าว

ครูโป๊ป-สรรเพชญ กล่าวต่อไปว่า แรงบันดาลใจของทีมงาน “สตรีทอาร์ตคิง ภูมิพล” คือความรักและความผูกพันต่อพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ที่สร้างประเทศแห่งนี้มา พวกตนก็คิดว่าเราเป็นคนตัวเล็กๆ จะทำอะไรได้บ้าง อย่างตนก็ไม่ได้มีทักษะในการวาดภาพอย่างจิตรกร แต่ก็มีส่วนสนับสนุนการทำงานนี้ได้ ด้วยทัศนคติ ความรู้และความตั้งใจ!!!