โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘แผนระห่ำ ใหญ่ฟัดเดือด (The Shadow’s Edge)’

โอ๊ยเล่าเรื่อง 'แผนระห่ำ ใหญ่ฟัดเดือด (The Shadow's Edge)'

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘แผนระห่ำ ใหญ่ฟัดเดือด (The Shadow’s Edge)’

วันเสาร์ ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

เกิดคดีโจรกรรมครั้งใหญ่ ในมาเก๋า  ฟู่หลงเฉิ่ง โจรเจ้าเล่ห์อาญากรไร้เงา นำลูกน้องลูกบุญธรรมทั้ง5 ปฏิบัติ เย้ย ตำรวจ ที่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ไม่สามารถจับได้ หว่อง- หวงเต๋อจง นายตำรวจในตำนาน เกษียณอายุราชการถูกดึงตัว กลับมาช่วยสะสางคดี ตั้งหน่วย สัตว์ป่า มาเป็นหน่วยข่าวกรอง ในแบบเก่าผสมเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ หนึ่งในทีม ทีมมี‘หมูน้อย’ลูกสาวของคู่หูของ‘หว่อง’ที่เสียชีวิตไปร่วมทีม

แผนระห่ำ ใหญ่ฟัดเดือด (The Shadow’s Edge) ดัดแปลงจากหนังฮ่องกง พลิกเกมทรชน คนเหนือเมฆ (Eye in the Sky) (2007) ผลงานของ ตู้ฉีฟง นำแสดงโดย เยิ่นต๊ะหัว กับ เหลียงเจียฮุย  (เข้าฉายในโรงในบ้านเรา 5 กรกฏาคม 2550)เคยดูแต่จำอะไรไม่ได้แล้ว

เรื่องเดิมสนุกสนานไปกับการขับเคี่ยว ชิงไหวชิงพริบกันในฉบับใหม่ ของใหม่ เน้นไปที่ฉากแอ็คชั่น เพิ่มเติมความสัมพันธ์ของ ตัวละคร ให้มากขึ้น ชื่อตัวละครเดิม ถูกนำกลับมา เหลียงเจียฮุย กลับมารับบทเดิม โดยมี เฉินหลง มารับบทแทน เยิ่นต๊ะหัว 

บรรยากาศเดิมๆ ของ หนังแอ็คชั่น ในยุค 80-90 กลับมาอีกครั้ง การต่อสู้แบบ สตั้นแมนต์ในแบบของหนัง ‘เฉินหลง’ สู้จริงเจ็บจริง การต่อสู้แบบทีเล่นทีจริง หยิบฉวยของใกล้มาเป็นอาวุธ การต่อสู้ในสถานที่แคบจำกัดหรือสถานที่ใหญ่โต อลังการงานสร้าง ท่ามกลางคนเยอะแยะ การต่อสู้แบบลุยแหลก นักแสดงกับฉากแอ็คชั่น ดีงาม รุ่นใหญ่ สู้ในแบบที่ดูสมวัย ตามอายุ ดูกำลังดี ไม่โม้เกินงาม รุ่นเล็กเด็กๆ ก็ดูขึงขัง พอมาเจอกัน รุ่นใหญ่รุ่นเล็กก็ลงตัวเข้ากันได้ดีทีเดียวไม่เพียงแต่ การปะทะกันของ ตัวละครหลัก หนังยังเพิ่ม ทหารรับจ้าง มาถล่มเมืองปะทะตำรวจ หรือแก๊งอันธพาลกับตัวร้ายผู้เก่งกาจ อีกด้วย

ตัวหนังให้น้ำหนักผสมผสาน ดราม่า แอ็คชั่น ฉากตลกเบาๆ ออกมาได้ดี กลมกลืนกลมกล่อม ทำให้ หนัง ออกมาดูสนุก ไม่รู้สึกน่าเบื่อ ทำให้ เวลา 141นาที ผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว ฉากดราม่า ความสัมพันธ์ของ ‘หว่อง’กับ ‘หมูน้อย’ที่กินใจ มีปมในใจมที่รอสะสาง ฉากที่กินใจ เช่นเดียวกับ ชายไร้เงากับลูกๆ อดรู้สึกถึง ความไม่จริงใจ ไม่ได้

หนังสนุกไปกับการ รอดูรอลุ้นว่า ตำรวจจะจับจัดการคนร้ายได้อย่างไร หนังมีหักมุมไปมา ลุ้นว่า จะมีใครตาย ใครรอด ท้ายสุดสุดท้าย ครอบครัวตัวร้าย จะหนีรอดหรือไม่ 

เฉินหลง  ดูดีมากๆกับบท ‘หว่อง’ใช่เลย ความน่ารักๆ ความเป็นเฉินหลง คืนจอ ในแบบเดิมๆ ที่คุ้นเคย กลับมาอึกครั้ง ดูอบอุ่น สนุกสนาน ดราม่าครบ เพลินไปกับ ลีลาการต่อสู้ แบบกวนๆ มาครบ

เหลียงเจียฮุย เป็น ‘ฟู่หลงเฉิ่ง’ ชัดเจนในการเป็นตัวร้าย  โชว์ความเก๋า แสดงพลัง ปล่อยของ เล่นได้ยอดเยี่ยมมากๆ  ออร่า ความเลือดเย็น/อำมหิตโหดเหี้ยม/เจ้าเล่ห์/ความเก่งเก๋าเกมส์ มาแบบเต็มๆ แค่เห็นหน้า ก็ขนหัวลุก รังสีความน่ากลัว แผ่ซ่าน มาถึงบทบู๊ ก็ พริ้วไหว ดูดี 

ทุกฉากที่ เฉินหลง เจอกับ เหลียงเจียฮุย ทรงพลัง ดีงามมากๆ ความเก่งดูสูสีกินกันไม่ลง ฉากปะทะก็มันส์สะใจ(ตอนดู พยายามนึกว่า สมัยหนุ่มๆ คู่นี้ เคย มาปะทะ ดันในหนังเรื่องไหนมาก่อนหรือไม่)

จางจื่อเฟิง น้องหมูน้อย เหอกื๋วกั๋ว สวยใส ติคุอาโนเนะ ดูน่ารักมากๆ ดราม่าก็ดี พอมาถึงบทบู๊ ฉากแอ็คชั่น ดีงาม (อดนึกถึง จีจ้า-ญานิน ไม่ได้ ตัวนิดๆ เล็กๆ แต่ลีลา คิวบู๊ดูดี) เป็นตัวละครที่ ทำให้ หนังสดใส

ฉื่อซา สุดหล่อ ที่ รับบท สองพี่น้อง รับบท ซีหวาง มือขวาผู้เก่งกาจทางด้านการต่อสู้  ขอบ  ฟู่หลงเฉิ่ง กับบท ซีเหมิง แฮดเกอร์ผู้เก่งกาจ เน้นๆ หล่อในทุกฉากทุกตอน จนแทบไม่รู้สึกว่าเป็นตัวร้าย มีการแต่งหน้า ท่าทาง เครื่องแต่งกาย ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

จุน (Wen Junhui) เป็นหูเฟง กำลังหลักของ ฟู่หลงเฉิ่ง 

นักแสดงที่เป็น ตำรวจดีงามทุกคน ไม่ว่าจะเป็น สารวัตรตำรวจสาวหัวหน้าทีม ผู้หมวดหนุ่มขาลุย ที่ไม่เชื่อในความเก๋าของหว่อง หรือบรรดา ตำรวจใหม่ทีม สัตว์ป่าและดีใจ ที่ได้เห็น หวงจิ่นเซืง นักแสเงารุ่นเก๋าหวานใจเจ้าหย่าจือ มารับบทเป็น หัวหน้าตำรวจ ออกหลายฉากหลายตอนจริงๆ แล้ว อยากดูเสียงไทย ที่ ได้ นักพากษ์รุ่นเก๋า โอ๊ต- จักรกฤษณ์ หาญวิชัย กับ โต๊ะ-ปริภัณฑ์ วัชรานนท์ นำทีม ให้เสียงไทย แต่โรงที่มาดูไม่มีเสียงไทย ลนอด ก็ เสียงจีน ก็ดีงาม

หนังจบ..อย่าเพิ่งรีบลุก เครดิตท้าย มีฉากหลุดๆ ระหว่างทำ มาเรียกรอยยิ้ม  และปิดท้าย ด้วย การส่งไม้ต่อ ให้กับ ภาคต่อไป เปิดตัวร้าย มาให้เห็นหน้ากันจะจะ แค่เห็น ก็ อยากดูแล้ว 

แผนระห่ำ ใหญ่ฟัดเดือด (The Shadow’s Edge) คือหนังฮ่องกง ที่ดูสนุกดีงาม โปรดักขั่นเยี่ยม โลเกชัานแปลกตาในมาเก๊า ดนตรีและเพลงประกอบไพเราะ บทหนังมีหักมุมไปมา นักแสดงน่ารักเล่นเก่งเล่นเข้าขากันทุกๆ คน สุดยอดจริงๆคือ แอ็คชั่นสนุกโดนใจ..ถูกใจ..มีครบทุกรส แบบนี้มาให้ดูเอาไปเลย 10 คะแนน 10 คะแนนเต็ม 10/10 คะแนน

‘โอ๊ยเล่าเรื่อง’ เวียนว่ายตายเกิด ( The Cycle)

'โอ๊ยเล่าเรื่อง'เวียนว่ายตายเกิด ( The Cycle)

‘โอ๊ยเล่าเรื่อง’เวียนว่ายตายเกิด ( The Cycle)

วันเสาร์ ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

บางสิ่ง.. รอเวลาของมัน บางสิ่ง..ไม่เคยหายไป บางสิ่ง.. กำลังไล่ล่า หนังไทย การคืนจอหนังอีกครั้งแรก ในรอบ 20 ปี ของ แอนดริว เกร้กสัน ที่มาร่วมแสดงกับ โดนัท- มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล และ เอ็ม-สุรศักดิ์ วงษ์ไทย 

เวียนว่ายตายเกิด งานหนังของค่าย  POSITIVE THINKING และ  Kid Mai Death Awareness Caféอำนวยการสร้างโดย ผศ.ดร.ใหม่-วีรณัฐ โรจนประภา ที่สร้างต่อจาก อยากตาย อย่าตาย มรณาคาเฟ่ (2566) ที่ยังคงใช้  พชร์ อานนท์  มาทำการผลิตให้เหมือนเดิมกำกับ โดย จิ๊บ-ทิวา เมยไธสง ที่เคยทำหนังน่ากลัวๆ มาแล้ว อาทิ ผีช่องแอร์เกมส์ปลุกผี  เชือดก่อนชิม ฯลฯเป็นอีกหนึ่งงานของ พชร์ ที่ทำหนังแนวจริงจัง ไม่มีตลกเฮฮา ไม่หลุดโลก 

หน้าหนังของ เวียนว่ายตายเกิด ออกมาในแนว ผีน่ากลัวแต่เอาจริงๆ แล้ว ตัวหนังออกมาในแนว ดราม่าระทึกขวัญ สืนสวนสอบสวน พาคนดูให้ตามติด กับ สองตัวละครหลัก ที่มีปม กับ การสูญเสียครอบครัวไปตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก จากการ“จากตาย” และกำลัง จะ “จากเป็น” ครอบครัว กำลังจะแตกแยก เพราะไม่มีเวลาให้กัน ตัวละครหลัก เกี่ยวกับ การรอดชีวิต จาก ความตาย การ ฆาตกรรม แบบยกครัว ทั้งในอดีต และปัจจุบันตัวหนัง ชวนให้ ค้นหา การเวียนว่ายตายเกิด เกิดจากอะไรกันแน่ กรรม ผี แม่มด หรือ ลัทธิความเชื่อ หนังไม่ได้เน้น สะดุ้งตุ้งแช่ ไม่เน้นการทำให้ตกใจ เพียงสร้าง ความระทึกขวัญ ไปกับ สิ่งที่ ตัวละครเจอ ปมต่างๆ ในใจ สร้างโทนเสียวๆ ด้วย งานด้านภาพ ที่มาพร้อมกับ ดนตรีประกอบที่มาในแนว หลอนๆ 

จิ๊บ-ทิวา เมยไธสง ทำ เวียนว่ายตายเกิด ออกมา ชัดเจนในลายเซ็นต์ ของตัวเองในการ ทำหนังระทึกขวัญ เขย่า ที่เคยทำมา เหมือนเดิม ด้วยความเป็น ตากล้อง ใน เรื่องนี้ เลยเน้นเด่นๆ ไปที่ งานด้านภาพ การใช้ภาพ แสงเงา การจัดแสดง มาช่วยสร้างบรรยากาศ  มีการเคลื่อนกล้อง การใช้มุมกล้อง ที่เข้ากับ ตัวเรื่อง ไม่นิ่ง เคลื่อนไหวตลอดเวลา แม้จะเป็น ฉากธรรมดาก็ไม่นิ่ง ทำให้ดูหนังได้แบบไม่น่าเบื่อ บทหนัง อาจจะมีบางส่วนที่ไม่เคลียร์ บางส่วนง่ายๆ เกินไป ข้อบกพร่อง ยังมีมากมาย การนำเสนอเรื่องราวออกมาในรูปแบบเก่าๆ แทบจะไม่มีอะไรใหม่ และ ที่รู้สึกไม่สุด คือ ฉากรุนแรง ฉากระทึกขวัญ ฉากรถคว่ำ คนตาย ฉากนองเลือด มันไม่เห็นจะๆ เลยทำให้ รู้สึกเชยไปสักนิด หรือ รู้สึกหนังไม่ค่อยลงทุน ยุคนี้พ.ศ. นี้ ฉากต่างๆ แบบนี้ ต้องชัดเจน ชัดเจน จึงจะทำให้ หนังสนุกด้วย

แอนดริว เกร้กสัน พลังยังล้นเหลือ ส่งพลังแรงๆ เต็มที่ สมกับ ที่ไม่ได้เล่นหนังมากว่า 20 ปี ดึงคนดูให้อยู่กับ ตัวหนังภาพของ สารวัตรพุฒิ

โดนัท-มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล สีหน้าท่าทาง จัดเต็ม ทำให้ ผิง ออกมาชวนติดตาม ชวนต้นหา ชัดเจน ในความเป็นคนที่มี ปมอยู่ในใจ ดูไปดูไป เกือบ จะ จิตปั่นป่วนตาม เล่นเก่งมากๆ ทำให้ หนังหลอนๆ ดูดีทีเดียว

เอ็ม-สุรศักดิ์ วงษ์ไทย มาดกวน แต่ทุกครั้งที่โผล่ ดูแล้ว เชื่อ เลยว่า เป็นคนที่ชักจูง คนอื่นให้ทำตามได้ และชวนให้ รอดูว่า โจ จะเล่นอะไร ทำอะไร หรือสุดท้าย จะลงเอยอย่างไร

นวลปรางค์ ตรีชิต รับบทเป็น ป้าใจ ป้าของ ผิง มากับสีหน้าท่าทาง ที่ชัดเจน ใน ความเป็น ตัวละคร ที่มีอะไรๆ ซ่อนอยู่ใน ดูเป็นผู้ใหญ่ที่มีพลังบางอย่างในตัว 

เอก โอรี มาดดีๆ ดูอาวุโส เป็น พี่หมอ ที่พยายามช่วยเหลือ พุฒิ น้องชายกับครอบครัว 

หญิง-ณัชชา รุจินานนท์ มารับบท เป็น แม่ของผิง กับ ผึ้ง ที่ยังดูสวย น่ารักๆ  แพท-พัสสน ศรันทุ มารับบท พ่อของพุฒิ ปิงปอง-สะแกวัลย์ ยงใจยุทธ มารับบท เพื่อนที่ทำงานของ ผิง

และที่เด่นๆ คือ สองเด็กน้อย ที่มารับบท รุ้ง ที่ ผึ้ง กลับชาติมาเกิด กับ น้องภู ลูกชายของ พุฒิกับผิง ซึ่ง เป็นตัวละครเด็กที่อาศัยความน่ารักแบบเด็กๆ เข้ามา สร้างอารมณ์ลุ้น เอาใจช่วย ให้กับตัวเรื่อง เวียนว่ายตายเกิด ไม่ใช่ หนังไทย ที่ดูสนุกมากมายนัก หนังอาจจะดูเครียดๆ เล่นกับ สิ่งที่อยู่ในใจตัวละคร  มากกว่าจะขายความสยดสยอง ความน่ากลัว แต่ สำหรับ คอหนัง ที่ชอบ หนังในแนวเล่นกับ จิตใจ ปมที่อยู่ลึกๆ ภายใน ก็น่าจะ สนุก โดนใจ กับ งานชิ้นนี้6/10 คะแนน

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost)’

โอ๊ยเล่าเรื่อง 'ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost)'

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost)’

วันเสาร์ ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

“คนตายกลับมามีสองสาเหตุ หนึ่ง วิญญาณยังจำได้ว่าใครได้ทำอะไรกับมันไว้ สอง มีคนเป็นยังจำคนตายคนนั้นได้” หนังที่แรกๆ อาจจะไม่มีคนรู้จัก เฉยๆ เงียบๆ แต่เปิดตัวอย่างงดงาม เมื่อเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่  รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค ผู้กำกับนำหนังไปคว้ารางวัล AMI Paris Grand Prize ในสาย Critics’ Week หรือสายประกวดสำหรับหนังยาวเรื่องที่หนึ่งหรือสองของผู้กำกับมาจาก เทศกาลหนังเมืองคานส์ 2025

ก่อนจะม้ามืดถูกสมาพันธ์ภาพยนตร์ฯ เลือกให้เป็น ตัวแทนหนังไทยชิงรางวัลออสก้าร์ประจำปีนี้จากหนังแค่ รู้เพียงว่ามี ใหม่ ดาวิกา เป็น นักแสดงนำกลายเป็นหนังดังในบ้านเรา ขึ้นมาในทันที ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost)  เล่าเรื่องของ แนท ที่เสียชีวิต เข้ามาสิงในเครื่องดูดฝุ่น เพื่อกลับมาหา มาร์ช สามี แต่ถูกขัดขวางจาก สุมาลย์ แม่สามี เครื่องดูดฝุ่นผีแนท จึงพยายามทำทุกเรื่อง เพื่อให้ ครอบครัวสามียอมรับ

ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost) มีหน้าหนัง ออกไปในแนว ผี แฟนตาซี รักโรแมนติก ขำๆ แต่ตัวหนังจริงๆ กลับไม่เหมือนหน้าหนัง กลับเป็น หนังการเมือง แบบเน้นๆ เกริ่นตั้งแต่เปิดเรื่อง ก่อนมาแบบมาๆ ไปๆ และเปิดตัว แบบชัดเจน ตั้งแต่กลางเรื่องไปจนจบ ชัดเจน..ในการเลือกข้าง เลือกฝ่าย พูดถึง เรื่อง นักการเมือง ประวัติศาสตร์การเมือง ที่ผ่านมา ทั้งที่ปกปิด เคยรับรู้ ได้รับข่าวสาร เคยเห็น หรือ อาจจะเคยอยู่ร่วมมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ นอกจากเรื่อง การเมืองแล้ว หนังยัง พูดถึง หยิบยกเอาเรื่องหนักๆ ปัญหาหลากหลาย มานำเสนอ อาทิฝุนPM2.5 มลภาวะ กลุ่มนายทุน พระสงฆ์ ระบบกงสีของคนจีน ตำรวจ ระบบราชการ โรงพยาบาล ฯลฯ หรือแม้แต่ การหยิบเอา เรื่องของ LGBTQ+ มาใช้กับ ตัวละครทั้งตัวหลัก และตัวสมทบ

บรรยากาศของตัวหนังไม่ได้ชวนให้นึกถึง หนังตลาด หนังเอาใจคนดู แต่ออกมาในโทน หนังอาร์ต หนังอินดี้ ที่ต้องการนำเสนอพูดถึงสิ่งที่อยากพูดถึง  ผี ในเรื่อง คือตัวแทน เชิงสัญลักษณ์ ต่างๆที่ตัวหนังต้องการ พูดถึง ไม่ใช่แค่ คนที่ตายแล้วเท่านั้น ยังแทนสิ่งที่ถูกลืม สิ่งที่ ถูกใช้งาน คอยแก้ปัญหาอยู่เบื้องหลัง ไม่เปิดตัว เมื่อมารวมกับ เครื่องดูดฝุ่น ก็คือ สิ่งที่มาชำระสะสาง ทำความสะอาด ให้กับทุกๆ สิ่ง ไม่ว่าจะเป็น แค่ผงเข้าตา ไปจนถึงสิ่งที่อยู่ข้างใน

ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ สวยสง่าดูดีในทุกฉากทุกตอนที่ ‘แนท’ออกมา และด้วย หน้าหนังที่เน้นขายตัวใหม่ เหมือนเรื่องนี้ คือหนังของ ใหม่ล้วนๆ แม้ ในครึ่งแรก มาแต่เสียง มาแบบผลุบๆโผล่ กว่าจะมาแบบเต็มๆ ตัว ก็ครึ่งเรื่องไปแล้ว แต่ก็ให้ ความรู้สึก เหมือน อยู่กับคนดูตลอดทั้งเรื่องบท ‘แนท’ในเรื่องดูเหมือนเล่นแข็งเหมือนเล่นไม่ดี แต่ เอาจริงๆบทนี้ ถูกสร้าง ให้รู้สึก เหมือน เป็นหุ่นยนต์ ต้องทำตามคนโน้นคนนี้ ตั้งแต่ตอนเป็นคน หรือ สิง ในเครื่องใช้ไฟ้า

และต้องชม ใหม่ ที่ทำให้ หนังดูดี ทั้งบทสบายๆ บทรัก หรือดราม่าหนักๆ

โมสต์- วิศรุต หิมรัตน์ในบท มาร์ช ดูเป็นเด็กน้อย ในครอบครัวนักธุรกิจ แบบกงสี ดูเป็นตนจริงจังในเรื่องของความรัก แต่ดูหยาบคายรุนแรง เมื่อ ระเบิดสิ่งที่เก็บกดที่ซ้อนภายใน เล่นดี ทำให้เชื่อว่า เป็นตัวละครที่ถูกครอบงำ ตามน้ำ กับทุกๆ ชีวิตรอบช้าง

อุ๋ม-อาภาศิริ นิติพน ออร่า/พลังการแสดง เล่นนิ่งๆ แต่เยอะ ดีงามมากๆ กับบทบอสสุนาลย์ ดึงให้เข้าไปสู่เรื่องได้แบบเต็มๆ ในทุกๆ ฉากทุกตอน ทำให้เรื่องไม่น่าเบื่อ 

บลาบูม-วิศรุต หอมหวน ในบท กะเทยวิชาการ กับ อุ้ม-วัลลภ รุ่งกำจัด ในบท ครอง คือ คนที่เล่นเป็นธรรมชาติ ลอยหน้าลอยตา น้ำเสียง การแสดง ดูดี ในช่วงที่เป็น คนเล่าเรื่อง/คนฟังเรื่อง ที่ขโมยซีน แต่พอ เขยิบมาเป็น ตัวละคร ดูเยอะไปสักนิด

คานธี วสุวิชย์กิต ในบท รมต. ดร. พอล ที่แรกๆ เหมือนจะไม่มีอะไร เน้นเฮฮา ก่อนที่จะเขยิบ ภาพ ลักษณ์ ภาพนักการเมือง ในชีวิตจริง แบบเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็น ปากหวาน พระเดช พระคุณ การดึง คนเข้ามาใช้งาน บทนี้ถูกเสริม ตัว ตัวภรรยา ที่ออกคู่กัน มาทีไร ดูมีพลัง มีความชัดเจนเพิ่มขึ้น ทุกที สะท้อนให้เห็นถึง หน้าบ้าน/หลังบ้าน ของนักการเมือง

งานด้านภาพของ ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost) มีทั้งที่ดูสวยงาม แปลกตา สีสันสดใส บางภาพ หม่นหมองหดหู่ ดูดิบเถื่อนบางช่วงดูอาร์ต แต่ก็มี หลายช่วง ที่ภาพมาดูรกๆ ขัดหูขัดตา

ที่ไม่ชอบ ไม่โดนมากๆ คือ ภาพโป๊ เปลือย ตัวละครแก้ผ้า ที่ รวมถึงฉากร่วมเพศ ในหนัง มันออกมาดูสกปรก เลอะๆ ไม่ได้ชวนดู ออกมาดูสะอิดสะเอียน ชวนแหวะ มากกว่าจะน่าดู

ในขณะที่ ดนตรีประกอบ/เพลงประกอบ  ยังโอเค ฟังแล้วรื่นหู

ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost) ไม่ใช่หนังที่ดูยากออกไปในแนวย่อยง่าย ไม่ซับซ้อน แต่อาจจะดูยากสำหรับ คอหนังที่นิยมหนังตลาด อาจจะไม่ถูกใจ คนที่ไม่ชอบ หนังการเมืองจ๋า 

อาจจะผิดหวัง กับคนที่ อยากมาดูหนังขำๆ หนังล้อเลียนเช่นเดียวกับ หนังรางวัล..จากเมืองนอก ก็ใช่ว่า ทุกคนจะชอบ ลางเนื้อชอบลางยา ทางใครทางมัน ดีไม่ดี ชอบ/ไม่ชอบ อยู่ที่ แนวทาง/ความชอบ สไตล์การดูหนังของ คนดู แต่ละคนแต่สำหรับ ‘โอ๊ยอยากเล่า’ไม่ชอบ ไม่ปลื้ม ไม่โดน ไม่สนุก แต่เนื้องานนักแสดง บางส่วนยัง รู้สึกโอเค5/10 คะแนน

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘เขาชุมทองคะนองชุมโจร’

โอ๊ยเล่าเรื่อง 'เขาชุมทองคะนองชุมโจร'

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘เขาชุมทองคะนองชุมโจร’

วันเสาร์ ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 06.41 น.

หนังไทยในโครงการทีไทยทีมันส์ ของ Netflix ผลงานการจับมือทำของ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง กับ หม่ำ-เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา ที่เคยสร้างความชื่นชอบ มาแล้วจากใน  เมอร์เด้อเหรอฆาตกรรมอิหยังวะ  ซึ่ง ‘เขาชุมทอง คะนองชุมโจร’.. พาไป.. โลดโผนโจนทะยานบนเส้นทางหลากอารมณ์ ทั้งดุเดือดด้วยฉากบู๊ระเบิดภูเขาเผากระท่อม และยิ้มร่าน้ำตารินไปกับปมรักซ้อน–ซ่อนเงื่อน–เพื่อนทรยศ

โกหว่า ทุ่งสง จอมโจรในตำนานแห่งแดนปักษ์ใต้ ผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์ปล้นคนรวยช่วยคนจน กับ แก๊งสมุนเด็กกำพร้าสุดแสบ วางแผน ปล้นขบวนรถไฟของทหารญี่ปุ่น จนทำให้เขาต้องกลับมาเจอกับ  หลวงอรุณภิวัฒน์ ที่หักหลัง ทำให้เขาติดคุกกลายเป็นโจร แย่ง ชมจันทร์เมียรักไปขณะเดียวกัน เด็กๆ ในแก๊งๆ ก็เกิดเรื่องรักสามเส้า  จง ลานสกา ดันไปรัก ชมเพ็ญ ลูกสาว หลวงอรุณภิวัฒน์ โดยที่ไม่รู้ว่า  ญาดา นบพิตำ แอบรักเขามาตั้งแต่เด็ก โดยมี ดำ สิชล หลงรัก ‘ญาดา’ ความแค้นส่วนตัว ความรักที่ผิดที่ผิดทาง และมิตรภาพที่ถูกทดสอบ จึงเริ่มขึ้น 

เขาชุมทอง คะนองชุมโจร  ชัดเจน ในความเป็น หนังบู๊ตลก ดูสบาย ขายตลกในแบบ หม่ำ มกจ๊ก กับ บั้งไฟฟิลม์   ที่ได้ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยงมาเป็นผู้กำกับ ตัวหนังเลยออกมาแบบครึ่งๆ ลูกผสมงานโปรดักชั่นดีงามชวนให้นึกถึง สีสันจัดจ้าน ตัวละคร ที่ย้อมสีย้อนยุคสวยงามใน ฟ้าทะลายโจร ผลงานมาสเตอร์พีชของ วิศิษฏ์ กับ หนังตลกในแบบ บั้งไฟฟิลม์ ที่เน้นๆนำหนัง ที่ หม่ำ ชื่นชอบ มาสร้างใหม่ ในแบบที่เป็นตัวเอง  เขาชุมทอง คะนองชุมโจร พาย้อนกลับไปสู่ ยุคหนังไทยเก่าๆ หนังยุค 16 มม. บรรยากาศมาแบบจัดเต็ม ตัวละครในชุดเครื่องแต่งกาย อาวุธ การต่อสู้ พาหนะ รถ ม้า รถไฟ มาแบบเต็มๆ ฉากแอ็คชั่น ก็ไม่เลวนัก ดูได้เพลินๆ

หม่ำ เด่นมากๆ ในบท โกหว่า ศูนย์กลางของเรื่อง ดูดีกับการเป็น พ่อบุญธรรมของ เด็กๆ ช่วยส่งบทให้ หลายคนเด่นขึ้น ขำๆไปกับ นิกกี้ ดันบทรักให้กับ แบงค์ รักหวานกับ นัท มีเรีย  บทตลกก็มาในแบบที่คุ้นเคย แม้ฉากบู๊อาจจะดูแหม่งๆ 

แบงค์-ธิติ มหาโยธารักษ์ หล่อเนี้ยบ น่ารัก เล่นแบบสบายๆ บู๊ดูดี กับบท จง ลานสกา ที่มา ใน มาด พระเอกหนังไทย แบบเต็มๆ 

นิล-ชิงดวง ดอยเกอร์ส รับบท ญาดา นบพิตำ น่ารัก ในแบบ แก่นๆ ดูขึ้นมากๆ กับชุดคาวบอย ไฝ ที่แก้ม เพิ่มเสน่ห์ เป็น ตัวละคร ที่คนดูน่าจะรัก 

ปอนด์-โอภาภูมิ ชิตาพัณ มาในบท ดำ สิชล ที่ดูเงียบๆ ขรึมๆ ดูเด็กลดวัยลงจากที่คุ้นตาใน ละครจักรๆ วงศ์ๆ ด้วยความเรียบของบท เลยทำให้ ดำ เรียบไปด้วย รวมทั้ง ด้วย วัย(จริง) ที่มากกว่า อีกสามคนพี่น้อง เลยรู้สึกว่า โดดไปจากพี่น้อง แต่ก็เล่นดีนะ 

นิกกี้-ณฉัตร จันทพันธ์ รับบท มนต์ ร่อนพิบูลย์ เล่นแบบยียวน ในแบบที่คุ้นเคยกันดี เน้นๆ บทตลก มากกว่า แอ็คชั่น

พีพี-ปุญญ์ปรีดี คุ้มพร้อม รอดสวาสดิ์ รับบท ชมเพ็ญ สวยใส ในแบบ นางเอกหนังไทย ดูน่ารักๆ หน้าตาท่าทาง ถอดแบบพิมพ์เดียวกับ แม่ในเรื่อง

นัท-มีเรีย เบนเนเดดตี้  เป็น ชมจันทร์ แฟนเก่า หม่ำ แม่ พีพี สวยน่ารัก เล่นดี เล่นน่ารัก มีพลัง สะกด คนดูได้ในทุกๆ ฉาก 

บ่าววี-วีรยุทธิ์ นานช้า รับบท หลวงอรุณภิวัฒน์ ตัวร้ายของเรื่อง เล่นได้ร้ายหน้าตายโดยมี  เคตะ อาราอินกับ เปรอน ยาสุ มารับบท นายทหารญี่ปุ่นแต่ที่โดดมากๆ ไม่น่าใส่เข้ามาคือ น้าค่อม  เสน่ห์อีกอย่างของ เรื่อง คือการให้ ตัวละครพูดใต้ แหล่งใต้ กันทุกคนสิ่งที่ชอบมากๆ คือ เพลงและดนตรีประกอบ ที่มีความไพเราะ เพราะมากๆ ดีมากจนทำให้ ดูเรื่องนี้ ได้แบบไม่น่าเบื่อ แม้ ตัวหนัง อาจจะดูธรรมดา ไม่ค่อยสนุกนัก แต่ เพราะ ดนตรีกับเพลง เข้ามา ขยี้ ดึงให้อยู่กับตัวหนังได้จนจบเพลง  ชุมทางเขาชุมทอง ที่ดึงเอาเสียงร้องต้นฉบับของ ระพิน ภูไท ออกมา ใส่ดนตรีออเคสต้าวงใหญ่ เพราะสุดๆ หรือ เพลงเศร้าท้าย เรื่อง ฟังเพราะเหงาๆ ชอบมากฟังแล้วเคล้มน้ำตาซึม จนต้อง ย้อนฟังซ้ำไปมา

เขาชุมทอง คะนองชุมโจร  อาจจะเป็น หนังที่ไม่โดนใจ สร้างความผิดหวัง ไม่สนุก   แต่ก็เป็นเรื่องของ ความชอบ รสนิยม ยังมี อีกหลายคนที่ดูสนุกดูแล้วชอบ หนังไม่ได้เลวร้าย มีข้อบกพร่อง แต่ก็ดูได้สนุกเรื่อยๆ ดูได้แบบเพลิน ถ้าฉายโรงใหญ่ หลายคนอาจจะบ่น เสียดายเงิน แต่ พอ มาเป็น สตรีมมิ่ง ถ้าไม่สนุก ไม่ชอบ ก็เลือกดูเรื่องอื่น ซะ ไม่เสียเงินเพิ่มอยู่แล้ว สนุกสนาน เพลินไปภาพ ภาพสวย เพลงเพราะในระดับ 6/10 คะแนน

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘ปีนเกลียว’ 6/10

โอ๊ยเล่าเรื่อง 'ปีนเกลียว' 6/10

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘ปีนเกลียว’ 6/10

วันเสาร์ ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

‘ปีนเกลียว’ คือ หนังแอ็คชั่นส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เข้าฉาย 31 ธันวาคม 2536 งานของค่าย 138/1  น้องใหม่ใน‘ทีมเพชรพันนา’หนังโปรดที่อยู่ในของ แฟนหนังไทยหนังบู๊ขายสาย  เรียบๆ ง่ายๆ ทุนต่ำ เน้นโชว์ คิวบู๊ สวยๆ งามๆ ผลงานของ ทีมงานพันนา ฤทธิไกร ในช่วง ท้ายๆ ก่อนจะ เริ่มทำหนัง บู๊มีทุน ปีนเกลียว ดัน นักแสดงรุ่นเด็กๆ ที่ผ่านงาน มาจนคุ้นหน้ากันดี เขยิบขึ้นมาเป็นตัวเอก มี พันนา ฤทธิไกร กับ บรรลุ ศรีแสง มาเป็นตัวดัน ในบท ร้าย เพื่อให้ น้องๆ ได้โชว์ฝีมือปล่อยของเต็มที่ กำกับโดย อรนุช ลาดพันนาเรื่องราวของ ต้น, เอก, กด สามหนุ่มเพื่อนซี้ ที่จับตัว อ้นลูกสาวเสี่ยใหญ่ที่พยายามจะไล่ที่ชาวบ้าน ไปเป็นตัวประกัน เพื่อต่อรอง ให้เลิกการขับไล่ จนถูกตามล่าจาก สมุนมือดีของเสี่ย ที่กำลังจะหักหลังเจ้านาย 

มาปีนี้ ‘ปีนเกลียว’ ถูกนำกลับมาสร้างใหม่ โดดดัดแปลงเรื่องให้สนุกสนาน ตามยุคสมัย ผ่านมุมมองของคนรุ่นใหม่ งานกำกับชิ้นแรกของ อาเธอร์ เบญจกุล โดย ‘ปีนเกลียว’ เปลี่ยนเรื่องใหม่ ไม่ได้อิงจากต้นฉบับ แค่คง เส้นเรื่อง นายทุนยึดที่ยึดตลาดยึดชุมชน จาก หนองจอก มาเป็นพระโขนง กับชื่อตัวละครหลักๆ มาใช้ เอก, กด, อ้น, ริว, หวัง แค่นั้นเอง

ปีนเกลียว มาพร้อมกับความตั้งใจ พิถีพิถัน งานด้านโปรดักชั่น ดีงามไม่ได้ทำง่ายแบบผ่านๆ ทั้งงานด้านภาพ การจัดแสดง มุมกล้อง ทำให้ ภาพออกมาสวยงาม  ฉากแอ็คชั่น คิวบู๊ ชัดเจน ในการโชว์ลีลา ถึงเนื้อถึงตัว ชัดเจน ในการโชว์ลีลา คิวบู๊ในแนวสตั้นท์แมน ที่คุ้นกันดี แต่ไปๆ มาๆ  แม้จะดูตั้งใจ เห็นถึงความสามารถ การต่อสู้เฉพาะตัว แต่ มันดูง่าย ดูธรรมดา ดูน้อยไปสักนิด ไม่มีอะไรที่แปลกใหม่ หรือ คิวบู๊ที่ตื่นตาตื่นใจ ลีลาพริ้วไหว คิวบู๊แนวขายสายเหมือนต้นฉบับ ดูธรรมดาไป

บทหนังยังดูอ่อนไปสักนิด ขาดลูกเล่น หลายช่วงดูโดดไปโดดมา ปมต่างๆดูง่ายไปนิด การเลือกที่จะเล่าเรื่องสลับไปมาเหมือนดูดี แต่ดูไร้พลัง ยิ่งภาพบนจอ มาแบบดื้อๆ แทรกแบบปุ๊บปั๊บ คนดูทั่วๆ ไปอาจจะสับสน ต้องชม ดนตรีประกอบ ที่ไพเราะ ในโทนเพลงร่วมสมัย ที่เก๋ไก๋คือ การใส่ เสียงระนาด เข้ามาเป็น ธีม ของ ตัวพระเอก

ตรี-ธิฐิธรรม แสงมณี เด่นกว่าคนอื่น ในบท เอก ที่มาครบทั้งดราม่า รัก แอ็คชั่น ดูกลมกลืน เล่นดีเป็นธรรมชาติ ลีลาคิวบู๊พริ้วไหว เป็นตัวจริงปล่อยของออกมาเต็มที่ กุ๊กกิ๊กก็ดูน่ารัก ดราม่ามาเต็มเรื่องนี้ดูโตขึ้น เล่นเก่งมากกว่า มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ กับ มนต์รักวัวชน ที่เล่นในชื่อ พลตรี แสงมณี ดูแล้ว หน้าตาท่าทาง การแสดง ถอดแบบ มนตรี แสงมณี ( เผ่าพันธุ์ พรพิสิฐ) พระเอกหนังบู๊ในอดีตมาแบบเต็มๆ

เมษา-พลอยปภัส คุณพรหม เป็น อ้น หรือ อรนุช ดูสบายๆ น่ารักๆๆๆ ทำให้หนังดูสดใส เน้นๆ กุ๊กกิ๊กๆ มีเจ็บตีวบ้าง เล็กๆ น้อยๆ (อรนุช คือ ลูกเล่นของหนัง ที่นำเอาชื่อ อรนุช ลาดพันนา ผู้กำกับต้นฉบับ มาใช้)

ว่าว-ศราวุธ ศิริเพชร ดูร้ายกับบท หวัง หัวหน้าคนร้าย ที่พยายามเน้น น้ำเสียง สีหน้าท่าทาง คิวบู๊ แบบโหดๆ 

เบิร์น-นฤพนธิ์ ฉิมพลีนภานนท์ เป็น กด เพื่อนรักของ เอก เป็นตัวที่คนดูน่าจะสงสาร น่าเสียดาย ที่ บทนี้ น่าจะใส่ อะไรๆ ให้ เล่นได้มากกว่านี้ 

ป๋อง- กฤตภาส จันทนะโพธิ รับบท ลุงป้อม พ่อของเอกนักทำระนาด ที่ดูไช่ ดูเป็นชาวบ้าน หัวอนุรักษ์ เน้นๆ ดราม่า ไม่เน้นบู๊ เจเจ-จักรกฤษณ์ กนกพจนานนท์ เป็น ริว คนสนิท หวัง มาในแนวบู๊ๆ 

ปีนเกลียว ไม่ใช่หนังเลวร้าย ไม่ใช่หนังไม่ดี อาจผิดหวัง ในเรื่องของแอ็คชั่นไปบ้าง แต่ก็ ดูได้เรื่อยสบายๆ ใน อารมณ์ ของ หนังแอ็คชั่นสไตล์ (สตั้นท์)แมน ๆ จากการนำเสนอของ คนรุ่นใหม่ ที่อาจจะไม่โดนใจ คอหนังแนวนี้รุ่นเก่าๆ 

ปีนเกลียว ดีงามดูลงตัว ในทุกๆ ส่วนก็แค่ ..ความสุข โดนใจยัง ไม่สนุก ไม่โดนใจ เมื่อเทียบกับ ปีนเกลียว 2536 แม้จะผ่านมา 32 ปี แล้วก็ยังสนุก ปีนเกลียว 2568 หนังแอ็คชั่น แบบไทยที่ใช้ระนาดเอก มาแบบเด่นๆ ทำให้ เป็นหนังซอฟพาวเวอร์ แบบชัดเจน มันส์ในระดับ 6/10 คะแนน

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘เวเพินส์(Weapons)’ 9/10

โอ๊ยเล่าเรื่อง 'เวเพินส์(Weapons)' 9/10

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘เวเพินส์(Weapons)’ 9/10

วันเสาร์ ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

02.17 น. ในคืนวันหนึ่ง ในเมืองเล็ก 17 เด็กๆ ชั้นประเถม วิ่งออกจากบ้าน ไปพร้อมๆ แชะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย สังคมจึงหาคำตอบ ว่า เด็กๆ หายไปไหน ใครเป็นคนทำเวเพินส์(Weapons) มาพร้อมกับ บรรยากาศ ความเขย่าขวัญ ความมืดที่ชวนเสียวสันหลัง ชวนให้ ตามดูว่า เด็กหายไปไหน เป็นเรื่องเกิดจากอะไรกันแน่ ภูติผีปีศาจ ลัทธิ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ แม่มด ฆาตกรโรคจิต  มนุษย์ดาว เรื่องเหนือธรรมชาติ หรือเป็นเพียงแค่ความฝัน คิดเอาเอง ไม่ใช่เรื่องจริง ฯลฯ และรอดูว่า เด็กๆ จะอยู่หรือตาย จะกลับมาหรือไปแล้วไปลับ

หนังเล่าเรื่อง ผ่าน 7 ตัวละครหลัก ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ การหายตัวไปของเด็กๆโดยค่อยดึงเข้าไปสู่ปมชีวิตของละคนที่มี ปม มีแผล ในใจ ที่ต่างกันออกไป ทำให้เรื่อง ดูสนุก เชื่อม/เดินเรื่องไปพร้อมกับการหายตัวของเด็กๆได้อย่างมีสีสัน ตัวหนังสะท้อนปัญหาต่างๆที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกคน สังคม การดำเนินชีวิตจริงๆ ในปัจจุบัน ครู/ตำรวจ ที่ต้องอยู่ในกฏระเบียบ ห้ามแหกคอก การงานที่มีปัญหา พ่อแม่ที่หวงลูกเกิน ภรรยาขี้หึง สาวโสดขี้เมา สาวโรคจิต รักร่วมเพศLGBTQ การบูลลี่ ปัญหาครอบครัว 

เวเพินส์(Weapons) มี เส้นเรื่องที่ แข็งแรง อยู่ที่ การรอดูว่า เด็กๆ หายไปไหน หายไปได้อย่างไร ใครเป็นคนทำ ทำให้คนดูใจจดใจจ่อ ติดอยู่กับส่วนนี้ โดยใช้ เรื่องราวของ ตัวละคร แต่ละตอน มาขยี้ มาเพิ่ม ความสนุก เพื่ม อารมณ์หลากหลาย ให้กับตัวเรื่องต้องชมบทหนังที่ดี นำเสนอเรื่องได้แบบสุดๆ หนังไม่ได้แบ่งแยกเป็น แต่ละบท/แต่ละตอน อาจชวนให้นึกถึง การเล่าเรื่องแบบ ราโชมอน เหตุการณ์เดียวแต่คนละมุมมอง ที่ เอาเข้าจริงๆ แล้วไม่ใช่..แต่ละเรื่อง แยกจากกันแบบชัดเจน แต่ที ส่วนเชื่อมต่อกัน เล่าเรื่อง เหมือน ดู หนังซีรี่ย์ ที่แต่ละ EP จะเล่าเรื่องของ แต่ละคน เพียงแต่ใน..เรื่องนี้ สั้นกะทัดรัด แต่ดึง คนดูให้เข้ากับตัวเรื่อง เชื่อม/ส่งต่อ ในแต่ละตัวละคร ในภาพที่ต่างกันไม่ซ้ำกันแม้จะอยู่ในที่เดียวเวลาเดียวกัน ทำให้ ดูแบบสนุก ไม่ดูซ้ำจำเจ ไม่รู้สึกย่ำอยู่กับที่ แต่ รู้สึกส่งไม้ต่อเดินไปข้างหน้าตลอดเวลาตัวละครทุกตัวถูกผูกให้ ตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่..คอหนังแนวนี้ พอตัวละครมาครบ อาจจะพอเดาได้ แต่ก็อาจจะลังเล รู้ว่า ..ไม่ใช่ มันชัดเจนเกินไป หนังอาจจะหลอกให้หลงทาง

ผู้กำกับแซ็คเครกเกอร์ทำเวเพินส์(Weapons)ออกมาดูสนุกไม่แพ้เรื่องก่อนหน้านี้ Barbarian อาจจะไม่ได้เน้นความน่ากลัวไม่มีฉากสะดุ้งตุ้งแช่ไม่ตกใจปุ๊บปั๊บ แต่ด้วย เรื่องราวการนำเสนอ งานด้านภาพที่น่ามืดๆไม่สว่างไสว ขยี้ด้วย ดนตรีประกอบ เพลงประกอบ การจัดต่อที่ฉับไว นักแสดงเล่นดีเข้ากับบท ทำให้ รู้สึก ถึงเข้าน่ากลัวของเรื่องแต่..พอถึงเวลาจะแรง บอกเลยว่า แรงจริงแรงมาก เล่นแรงแบบจะๆ ไม่มีปราณี เลือดเป็นเลือด จึงไม่แปลกใจ ที่ หนังจะติดเรท 18 + ในบ้านเราฉากไตลแม็กซ์ ช่วงท้ายเรื่อง ดูรุนแรงมาก  แต่ก็มาพร้อมกับอารมณ์ขัน จนได้ยินเสียงหัวเราะดังสนั่นโรง และ..คนที่ดู หนังเขย่าขวัญ/สยองขวัญ หนังผี อาจจะคุ้นๆ กับ ภาพ การจัดแสง องค์ประกอบในภาพ ที่ดูแล้ว คือการนำภาพ จากหนังดัง หนังคลาสสิค มาใช้ แต่ดัดแปลงให้มา ในแบบของตัวเอง ได้อย่างงดงาม

เวเพินส์(Weapons) คือ หนังเขย่าขวัญ ระทึกใจ ค่อย เป็นค่อยไป แต่อาจจะไม่ โดนใจ/ไม่สนุก/ไม่ถูกใจ คอหนังสยดสยองแบบเน้นๆวูบวาบ กระโชกโฮกฮาก ภาพวิ่งๆๆ ใน เวเพินส์(Weapons) ทั่งตอนเปิด/กลาง/ปิด ของหนังคือ ภาพความความสวยงาม สมกับ เป็น อาวุธ จริงๆ ชอบในระดับ 9/10 หัวกระโหลก

โอ๊ยเล่าเรื่อง‘ท่าแร่’

โอ๊ยเล่าเรื่อง‘ท่าแร่’

โอ๊ยเล่าเรื่อง‘ท่าแร่’

วันอังคาร ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

หนังผี เรื่องล่าสุดของ สหมงคลฟิลม์ ที่ครั้งนี้ หนีจาก ผีเด็ก ผีในเมือง พามาสู่ความน่ากลัว ในแดนอีสาน โดยได้ คุ้ย-ทวีวัฒน์ วันทา มากำกับ ตอนแรก ที่เห็น บาทหลวง มาปราบผี ใน ท่าแร่ มีรู้สึกเฉยๆ ไม่ค่อยอยากดู รู้สึกแปลกๆ บ้านเรา เมืองพุทธ บาทหลวง ไม่น่ามา ปราบ ผีไทย อคติ ..ไม่น่าจะชอบตั้งแต่ก่อนดูตอนดู ต้นๆ เรื่อง ก็ยัง คาใจ เหมือน เน้นเรื่อง บาทหลวงปราบผี เริ่มรู้สึกไม่ค่อยสนุก แต่พอดูไปดูไป เมื่อหนังให้รายละเอียดของ ท่าแร่ เลยเริ่มอิน เริ่มเชื่อ เริ่มสนุกไปกับหนัง กับเรื่องราวของความเชื่อต่างขั้วในแถบภาคอีสาน อย่าง “ศรัทธาในศาสนาคริสต์” และ “การบูชาผีในพิธีเหยาแบบอีสาน” ซึ่งทั้งสองความเชื่อต้องมาร่วมมือกัน เพื่อต่อสู้และกำจัดสิ่งลี้ลับที่กำลังจะสิงสู่ผู้คนในชุมชน

 ท่าแร่ คือหนังผี ที่เป็นหนังผีจริงจัง..ชัดเจน ในความเป็นหนังผี ..น่ากลัว ผีหลอกวิญญาณหลอน ไม่ปนตลกเฮฮา ไม่ใช่ผีแอ็คชั่นเตะต่อยเจ็บตัว ไม่เลอะเทอะ ไม่มีความรักของหนุ่มสาว (มีแค่บางเบานิดๆ) ตัวหนังผสม ผีต่างๆ ออกมาได้ดี

เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข เด่นมากๆ กับบท บาทหลวงเปาโล เล่นดีทั้งสีหน้าท่าทาง บุคลิก มาดความเป็น บาทหลวงนักไล่ผี หรือ ฉากดราม่าหนักๆ กับปมในอดีต  เจมส์ ดึงให้อยู่กับหนัง รอยยิ้มน่ารัก มุขยิ้มๆ เบาๆ มาผ่อนคลายความหนักของเรื่องจะติด อยู่แค่ เจมส์ ดู อ่อน ดูเด็ก ไปสักนิด กับ การเป็นบาทหลวงนักบาปผี ดูจนจบ..ก็รู้สึกว่า อ่อนอาวุโส อ่อนพลัง ดูเด็กไป ถ้าปรับให้ อาวุโสขึ้น น่าจะทำให้รู้สึกเชื่อได้มากกว่านี้

มีน-พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร รับบท หมอเหยา แม่เมืองโสภา เล่นได้ น่ารัก เล่นดีเล่นเก่ง เก่งมากๆ ทำให้เรื่องดูสนุก ดูแล้ว เชื่อว่า เป็น หมอเหยา จริงๆ แม้บทจะดูทีเล่นทีจริงๆ  แต่ก็ไม่ทำให้เรื่องเสีย  เสื้อผ้าหน้าผมบุคลิก ผสมกับ การแสดงที่เก่งมากๆ ทั้งคำพูดคำจา น้ำเสียง เสียงร้องเพลง สำเนียงบ้านๆ อีสานทำให้ แม่เมืองโสภา ทั้งเป็น ตัวผ่อนคลาย และ ตัวช่วยในการสู้กับผี  ถือว่า เจมส์ กับ มีน เล่นกันได้แบบเข้าขา ทั้ง การต่อปากต่อคำ การเป็นบัดดี้คู่หู การเรียนรู้ซึ่งกันและกันของคริสจักร  กับ หมอผีบ้านๆ และ…เป็นส่วน ที่ดีที่สุดของเรื่อง

แพรวา-ณิชาภัทร ฉัตรชัยพลรัตน์ เป็น มาลี ที่ใช่ ทั้งในบทบาท สาวน้อยธรรมดาดูน่ารักพอมาในส่วนที่มี ปัญหาคาใจกับพ่อ ก็ ดราม่ากำลังดี หรือ ตอนถูกผีสิง ที่มาพร้อมกับความแรง ความดิบ ความน่ากลัว เล่นได้น่ากลัว
 เอก-ธเนศ วรากุลนุเคราะห์  ในบท ตามิ่ง อดีตบาทหลวง ที่ กลายเป็นปอบ ชัดเจน เล่นแรงในทุกๆ ฉาก

เอี้ยง-สวนีย์ นาวินธนันท์ชัย มาในบท ยายแสง น้องสะใภ้ ของ ตามิ่ง เล่นเน้นๆ ที่สีหน้า แววตา พลังการแสดง ออร่าๆ แบบ สาวบ้านๆ อีสาน เข้ามาเป็น ตัวเสริม

พร้อม-ราชภัทร วรสาร เป็น เผือก เล่นเป็นธรรมชาติ ชัดเจน ในการเป็นตัวช่วย ทั้งในการช่วย มาลี คนรักเก่า การช่วยดูแลเฒ่ามิ่ง เป็นเป็นผู้ช่วยบาทหลวงเปาโลกับหมอเหยา   แฉะ-องอาจ เจียมเจริญพรกุล รับบท บาทหลวงสมชาย บทอาจจะดูน้อยไปสักนิด เปิดตัวเหมือนจะมีอะไรๆ แต่ ค่อยๆ หาย มาแบบผลุบๆโผล่ๆ ดูเรียบไปสักนิด แต่ดูดีมีมาดในความเป็นบาดหลวง และยังร่วมแสดงโดย  เฟรช-อริศรา วงษ์ชาลี ในบทแม่ของ บาทหลวงเปาโล เน้นแรงๆ เข้าไว้ น่าเสียดาย ที่ บทดูค้างคา ไม่ชัดเจนในปมกับลูกชาย

น้องแตงกวา- ชนันทิชา ชัยภา ในบท เด็กสาวที่ถูกผีเข้าตอนต้นเรื่อง จนเป็น ที่มาต่อเนื่องความน่ากลัวใน40 ปีต่อมา เรื่องนี้น้องไม่เน้นน่ารักมาแบบน่ากลัวน่าสงสาร โดนผีเข้า จ๊อบ-ธัชพล กู้วงศ์บัณฑิต ในบทเฒ่ามิ่ง ในวัยหนุ่ม ตอนเป็นบาทหลวง มาน้อยแต่ดูหล่อ น่รัก ดูดีเชียวและต้องชม นักแสดงสมทบที่เล่นได้ดีมากๆ โดยเฉพาะ คนที่เล่นเป็น แสงตอน วัยรุ่น(ที่แคสติ่งหน้าตา ถอดแบบ เอี้ยง-สวนีย์ มาเป๊ะๆ) ผีบรรพบุรุษของแม่หมอโสภา ที่ดูแล้ว อดนึกถึง ปอบผีฟ้า ไม่ได้) แม่หมอเหยาผู้หญิงที่มาปราบผี

คุ้ย-ทวีวัฒน์ วันทา ทำ ท่าแร่ ออกมาเป็น ผี ที่ดูดี ดูสนุก ดูน่ากลัว แม้อาจจะมี บางอย่างที่ชวนให้ นึกถึง ธี่หยด แต่ก็ไม่ใช่ มีแค่กลิ่นหรือ ไม่ดูไกลตัว เหมือนใน Attack วิญญาณเลขที่ 13 ที่ดูขาดเกินล้นไปหมด แต่ใน ท่าแร่ คือ หนังผี ที่เข้าใจ ผูกเรื่อง ผสมดึง เอา การปราบผี ในคริสจักร บาทหลวง มาจับมือ กับ ความเชื่อเรื่องผีแบบบ้านๆ ได้แบบลงตัว ดูสนุก มีความหลอน แทรกอยู่ตลอดความน่ากลัวของ ท่าแร่ อยู่ที่ การดึงเข้าสู่ บรรยากาศ ภาพความมืด ของป่าเขาลำเนาไพร ที่ใส่อารมณ์ความน่ากลัวแบบเต็มที่ ขยี้ด้วย เสียงประกอบ ดนตรีประกอบ ระบบเสียงกระหึ่ม เสื้อผ้าหน้าผม การแต่งหน้าผี ที่มาเพิ่มความขนลุก   ตัวหนัง อาจจะมี ข้อบกพร่อง อยู่บ้าง บทอาจจะโดดในบางช่วง ฉากแอ็คชั่นผีๆสู้คนยังไม่ชัดเจนในการใช้ สตั้นท์นักแสดงแทน บางตอนรู้สึกถึงการใช้สลิง แต่ ..ทุกอย่าง ก็พอจะมองข้าม ถูกกลบ ด้วย บรรยากาศความน่ากลัวของตัวหนังหนังปิดท้าย ด้วยงาน ประเพณีแห่ดาว ในงานคริสมาสด์ ของคริสศาสนา ในชุมชนท่าแร่ ที่สวยงามน่าไป  และ บทเพลงที่ไพเราะ เข้ากับตัวหนัง อย่าเพิ่งรีบออกจากโรง ในช่วงกลาง เอนเครดิต มีติ่ง ทิ้งท้าย ชวนให้นึกว่า ผีภาคต่อ ท่าแร่.. คือหนังผี ที่ออกมาดี หนังผีที่ใช่ แม้จะมีติดขัดสะดุดบ้าง อาจจะไม่ใช่หนังผีที่สุดๆ แต่ก็ โอเคน่ากลัวดีงาม ใน ระดับ 9/10 หัวกระโหลก

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘นากรักมาก ม๊ากมาก’

โอ๊ยเล่าเรื่อง 'นากรักมาก ม๊ากมาก'

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘นากรักมาก ม๊ากมาก’

วันเสาร์ ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ความรักของ แม่นากกับพี่มาก กลับมาอีกครั้ง ในหนังใหม่ เรื่องล่าสุดของ ค่ายทรานฟอร์เมชั่น กับ แบล็คดราก้อน ที่กำกับโดย โหน่ง ชะชะช่า-ชูศักดิ์ เอี่ยมสุขเมื่อ ปี๊ด ผู้กำกับหน้าเก่าไฟแร๊ง ร่วมมือกับ อังเคิล ผู้ช่วยผู้กำกับคู่มือคู่เท้า ลุยสร้าง นากรักมาก ม๊ากมากหนังรีเมคจากตำนานรักอมตะ นางนาก หวังเขย่าวงการให้สะเทือน! แต่เรื่องกลับหลุดบทไปไกล เมื่อ นางนากตัวจริง โผล่มาเล่นเอง! พร้อมภารกิจตามหารักแท้ มาก ที่กลับชาติมาเกิดเป็น คริส ซุปตาร์ขวัญใจมหาชน! เมื่อกองถ่ายมีผีจริงร่วมจอ โปรเจกต์นี้จะปังจนเป็นตำนาน หรือพังจนเป็นตำนานกันแน่!?

นากรักมาก ม๊ากมาก ไม่ใช่ การรีบู๊ด/รีเมค หรือนำ แม่นาคพระโขนง กลับมาสร้างใหม่ หรือตีความใหม่ แต่ เป็น การนำเอา ตัวละครหลักๆ มาเดินเรื่องใหม่ๆ ฉีกไปจาก หนังแม่นาก ที่เคยดูกันมา นากรักมาก ม๊ากมาก ไม่ใช่ หนังผีน่ากลัว หรือหนังผีตลก แต่ เป็น หนังรักโรแมนติก ใสๆ สบายๆ ของ ผีนางนาก กับ พี่มาก ที่มาเกิดใหม่ ในยุคนี้ ผ่านทาง กองถ่ายหนังนากรักมาก ม๊ากมาก คือ หนังรักโรแมนติก ข้ามภพข้ามชาติมาในยุคปัจจุบัน เป็นหนังซ้อนหนัง ขำๆ ไปกับ กองถ่ายหนัง

เส้นเรื่องหลักของ นากรักมาก ม๊ากมาก อยู่ที่ การตามลุ้น คอยดู ผีแม่นาก ใน ร่าง บะจ่าง ที่ต้องทำให้ พี่มาก หรือ คริส ใน ชาตินี้ บอกรัก ภายใน้วลา 30 วัน หนังทำได้ดี สดใสน่ารักๆ ต้องชม ญดา ที่น่า รัก ม๊ากมาก จับคู่ได้แบบลงตัวกับ คริส พีรวัส หนังซ้อนหนัง..ของ นากรักมาก ม๊ากมาก ทำออกมาได้น่ารักๆ 

ตอนเปิดเรื่อง นากกับมาก ..โทนหนัง บรรยากาศ ภาพของหนังผี มาแบบชัดเจน พอๆ กับ ในส่วนของ ผู้กำกับหนัง ก็ชัดเจน ดูดี สนุก ไปกับ การหาทุน ทำหนัง ตั้งแต่การ ให้ โหน่ง-เท่ง เทิดเถิง มา รับบท คู่หูผู้กำกับ ปี๊ด กับ อังเคิล  ที่ถอดบุคลิก ของ สองผู้กำกับดัง ปี๊ด-ธนิตย์ จิตนุกูล กับ อังเคิล-อดิเรก วัฏลีลา ก็ฮาแล้ว (สำหรับ แฟนๆ หนังไทย สนุกแน่นอน แต่ กับ แฟนหนังรุ่นใหม่ ถ้าไม่ รู้จักหรือไม่ทันผลงานของ ทั้งคู่ อาจจะเฉยๆ)

ช่วงต้น ที่ ล้อเลียน หนังดังๆ หลายเรื่อง โดยเฉพาะบรรดาใบปิดหนังดังๆ ทำได้ดีทีเดียว แม้แต่ ชื่อ ค่าย มาเร็ว ก็ล้อ มาร์เวล ได้แบบน่ารัก รวมทั้งชื่อ เจ้าของค่าย สง่า ก็เป็น ชื่อเดียวกับบิ๊กบอส ทรานฟอร์เมชั่น เพียงแต่ ตัวจริง อาจจะไป ฮา เหมือนในหนัง

บรรยากาศในกองถ่าย ในหนัง ทำออกมาได้ดี เน้นความสนุกสนานขำๆ ทีมงานในกองถ่ายเป็นแบบ ในหนังจริงๆ เลยดูเพลินๆ ไปกับ การที่ หนัง หยิบเอา สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ในกองถ่าย มาสร้างความสนุกให้กับ ตัวหนัง

ด้วยความที่ หนังกำกับโดย โหน่ง มี เพื่อนแก๊งค์สามช่า แสดงนำ เลยทำให้ ภาพของหนัง ถูกมองว่า จะออกไปโทนตลกสามช่า หรือ งานที่ผ่านๆ มาของแก๊งนี้ ที่ อาจจะสนุกสนานไปกับแฟนคลับ แต่ก็อาจจะ ไม่ขำ ไม่โดน ไปกับ คนที่ไม่ชอบ มุข สไตล์นี้ แต่บอกเลย.. นากรักมาก ม๊ากมาก ไม่ใช่ หนังตลก แบบที่หลายคนคิดเอาจากหน้าหนัง  นากรักมาก ม๊ากมาก สนุกกว่าที่คิด 

ญดา-นริลญา กุลมงคลเพชร น่ารัก ม๊ากมาก..จริงๆ สีหน้าท่าทาง ดูสวยใส น่ารัก อดรักเธอไม่ได้จริงๆ แม้!! จะเป็นผี ก็ไม่น่ากลัว ยังดูน่ารัก (หลายๆ มุมในชุดไทยๆ แบบ แม่นาก อดนึกถึง ความสวยของ อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ ที่เคย เป็น แม่นาก ไม่ได้)

คริส-พีรวัส แสงโพธิรัตน์ ดูใสๆ สบายๆ ไปกับ คริส พระเอกวัยรุ่นในยุคนี้ หล่อแบบรุ่นใหม่ เล่นเรื่อยๆ บทส่วนใหญ่จะสบายๆ มี ดราม่า ได้แสดงสีหน้าเศร้า มีน้ำตา นิดๆ ในช่วงท้าย

โหน่ง กับ เท่ง เทิดเถิง (พงษ์ศักดิ์ พงษ์สุวรรณ)เป็น ปี๊ดกับ อังเคิล  รับส่งบทไปมา ในแบบ น่ารักๆ ขำๆ โดยมี หม่ำ จ๊กมก (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) มาเพิ่มความสนุก เป็นช่วงๆ กับบท เคน นักแสดงประกอบ (บทตัวประกอบชื่อเคน อดนึกถึง ก้อง-สหรัถ สังขปรีชา ที่ เล่นเป็นตัวประกอบ ใน คู่แท้สองโลก ที่เป็น หนังซ้อนหนัง แถม เรื่องรักของคนกับผี เหมือนกัน อีก555)

โหน่ง-เท่ง-หม่ำ คือ ส่วนของ ความสนุกสนานของเรื่อง ยังคงเล่นกันได้แบบเข้าขาความสนุก เหมือนเดิมไม่มีตก

ใบเฟิร์น-พัสกร พลบูรณ์ เล่นได้น่ารักๆ ในบท สาลี่ เพื่อนซี้เพื่อนสนิท ของ นากในชื่อ บะจ่าง เป็นลูกคู่ เข้าขากับ ญดา ได้อย่างลงตัว ดูไปขำไป ในทุกๆ ตอน พอๆ กับ นุ้ย เชิญยิ้ม-ชูเกียรติ เอี่ยมสุข รับบท สตันท์โค้ชในกองถ่าย ก็เป็นตัวเรียกเสียง เข้ามาช่วยขยี้ ดันบทตลกให้กับ หม่ำ ในแบบที่กำลังดี หัวเราะยิ้มไปกับ กับ มุข ที่กำลังพอดี

รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น ร้ายทั้ง หน้าตา สีหน้า ท่าทาง ในบท ผู้จัดการส่วนตัวของ คริส ร้ายเน้นๆ ร้ายคนเดียวในเรื่อง ดูไปอินไป ฉากที่ ห้าม!! พระเอก กินบะจ่าง แล้ว เอาบะจ่าง ทิ้งถังขยะ เล่นได้แบบ น่าโดนตบ

ฮาย-อาภาพร นครสวรรค์ มารับบท แม่ของคริส เล่นกำลังดี น่ารักๆ สบายๆ 

นาย เดอะคอมเมเดี้ยน-มงคล สะอาดบุญญพัฒน์ ฟอร์ม-ชลพิพรรธน์ ชูแสง  และ ซัน-วงศธร สมศรี  ที่คุ้นหน้ากันดี ในช่อง เวิร์คพอยท์ มาสวมบท อ่ำ-หุ้ย-ศร สามหนุ่มเพื่อนซี้ของ มาก ในชาติที่แล้ว มาชาตินี้ มาสวมบทในหนังที่มาแบบเสียของ ไม่ขำ..แทบจะไม่มีความสำคัญใดๆ เป็นตัว..ประก๊อบ..ประกอบ จริงๆ 

และต้องชม บรรดา นักแสดงสมทบ ที่มารับบท เด็กในกองถ่าย ที่เรียกเสียงฮา ได้ทีเดียว โดยเฉพาะ ทีมกล้อง ที่ตาแหล่ พูดไม่ชัด เด็กอุปกรณ์ประกอบฉาก แม้แต่ เด็กสาวทีมงานที่ยื่นข้างผู้กำกับโหน่ง ก็ยังดูดี(แต่ก็มีลอยๆ อาทิ  แจ็คการีน ในบท ทีมแต่งหน้า หรือ สาวสองร่างยักษ์ คุมเครื่องแต่งกาย ..ดูลอยๆ )

รวมทั้ง ยังมี นักแสดงตลกที่คุ้นๆ กันดี มาร่วมแสเง รับเชิญหลายคน

โหน่ง ทำ นากรักมาก ม๊ากมาก ออกมา ดูสบายๆ ชัดเจนในความเป็นหนังรักโรแมนติก ที่ สดใส น่ารักๆ ขำๆ ไปกับ ส่วนเฮฮา ในกองถ่าย โดยไม่จำเป็นต้อง มีฉากผีหลอกน่ากลัวๆ ไม่ผีตลกวิ่งหนีผี ไม่จำเป็นต้อง มีดราม่า มาแย่งซีนหนัง มุขตลกต่างๆ กำลังดี เรียบๆ ง่ายๆ แต่สนุก ไม่เลอะเทอะ ไม่นอกเรื่องนอกราว ไม่ลามก ไม่หยาบโลน ไม่สกปรก ไม่สองแง่สามง่าม ไม่ออกไปในทางตลกคาเฟ่ หรือ แนวสามช่า ไม่เน้นตลกสังขาร/ตลกเจ็บตัว 

เอาเข้าจริงๆ มุขตลก ในหนัง ตลกจากข้างในตัวของ โหน่ง-เท่ง-หม่ำ มี ใบเฟิร์น กับ นุ้ย มาช่วยเสริม กับ มุขขำๆ แบบน่ารักๆ ของ พระนาง ที่เนียนๆ กลมกลืน ไปกับ ตัวหนัง

ต้องชม งานด้านโปรโมชั่น ที่ออกมาดูดี ทั้งงานด้านภาพ  การตัดต่อ เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าหน้าผม ที่เด่นมากๆคือ ดนตรีประกอบ ที่ฟังแล้วรื่นหู เข้ากับตัวเรื่อง ให้อารมณ์ความเป็น ไทยโบราณกับสมัยใหม่ และเพลงประกอบ ที่เพราะ ฟังสบายๆ ทั้งสองเพลง 

เพลงนากรักมาก  เสียงร้อง ของ ญดา กับเพลง ไกลหัวใจ ที่ คริสร้องคู่กับ ญดา คือสอง เพลงประกอบ ที่เพราะ ฟังสบายๆ ทั้งสองเพลง ทำให้ หนังดูดีขึ้นมากทีเดียว บทหนัง เรียบๆ ง่ายๆ มาตามสูตร พอเดาเรื่องออก แทบจะไม่มีการหักมุม ใดๆ แต่ ด้วยความสดใสความสนุกของ ตัวหนังนักแสดง พอที่จะ ข้าม ตวามธรรมด้าธรรมดา ของ บทหนังไปได้(ตอนจบหนัง บทสรุป เหมือน หนัง รักข้ามภพข้ามชาติ ง่ายๆ แต่เอาน้า..จบแบบนี้ ทำให้ คนดูเดินยิ้ม ออกจากโรง)มีที่ไม่ชอบ..มากๆ คือ โฆษณาแฝง ล้อตเตอรี่ ออนไลน์ มันดูโดด ออกจากหนัง มากเกินไปและเป็น ธรรมดา ในหนังทุกเรื่อง ที่ ทีม นี้กำกับ แล้วดึง เพื่อนๆ มารับเชิญ ทั้งที่มาบท หรือเดินผ่าน จะต้องมี เบื้องหลัง แซวกัน/ด่ากัน/ว่ากัน บ่นน้อยอกน้อยใจ  ใน กองถ่ายทำ ในช่วง ท้าย เอนเครดิตนากรักมาก ม๊ากมาก อาจจะไม่ใช่ หนังดีสุดๆ โดนใจสุดๆ แต่ก็ เป็น หนังไทยน่ารักๆ ที่ดูสบายๆ ดูไปยิ้มไป ขำไป ได้แบบไม่มีเบื่อตลอดเรื่อง สนุกโดนใจ ม๊ากมาก.. ในระดับ 8/10 คะแนน

โอ๊ยเล่าเรื่อง : ปากกัดตีนถีบ(Ziam)

โอ๊ยเล่าเรื่อง : ปากกัดตีนถีบ(Ziam)

โอ๊ยเล่าเรื่อง : ปากกัดตีนถีบ(Ziam)

วันเสาร์ ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ปากกัดตีนถีบ หนังไทยเรื่องล่าสุดที่ กันตนาโมชั่นพิคเจอร์ ผลิตออกมาลง ใน Netflix  ในโครงการ ทีไทยทีมันส์ ที่ครั้งนี้เปลี่ยนแนวจาก เรื่องผีๆ ดราม่าๆ มาเป็น แอ็คชั่นล้วนๆ ตอนแรกที่เห็นชื่อเรื่อง อดถึงไปว่า น่าจะเป็นหนัง หนักสะท้อน ปัญหาปากท้อง หรือหนังตลกเสียดสี แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ไม่ใช่ ..ปากกัดตีนถีบ คือ คำอธิบาย เรื่องได้แบบชัดเจน ตรงๆ  ผีดิบซอมบี้..ปากกัด ถูก อดีตนักมวย ใช้ ..ตีนถีบ

ปากกัดตีนถีบ ชัดเจน ในการเป็นหนังแอ็คชั่น ซอมบี้ ในแบบที่คุ้นเคยกันดี ดูกันจนชินตามาแล้ว จากในหนังหลายๆ ชาติ มาตามสูตรเป๊ะไม่มีอะไรที่ฉีกหรือแหวกออกไป เพียงแค่..รอดู ตัวเอก จะรอดหรือเผชิญ กับ ซอมบี้ อย่างไรตัวหนัง ผูกเรื่อง เป็นหนังอนาคต แนวดิสโทเปีย

หลังโลกล่มสลาย ด้วยภาวะโลกร้อน

เส้นเรื่อง อาจจะดูบางเบา ง่ายๆ ไม่เน้นสร้างปม ปูตัวละครอะไรมากมาย เพื่อจะได้ให้เวลา กับ ฉากแอ็คชั่น ได้อย่างเต็มที่ แม้จะเป็นหนังที่เต็มไปด้วยเลือด การต่อสู้ แต่เอาเข้าจริง ๆ ภาพที่ออกมา กลับไม่รู้สึกว่ารุนแรงมากมายอะไรนัก ตัวหนังไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ ฉากรุนแรง การฆ่าแบบโหดสยดสยอง แต่ เน้นไป ที่ ดารต่อสู้ ฉากแอ็คชั่น

หมาก-ปริญ  สุภารัตน์ เป็นสิง ออร่านักมวย จัดเต็ม เน้นๆ ฉากบู๊แอ็คชั่น โชว์ลีลาแม่ไม้มวยไทย การต่อสู้ แบบเต็มที่ ภาพออกดีงามๆ แม้จะล้มลุกคลุกคลาน เท่าไร ก็ดูหล่อ ตลอดเรื่อง 

ณิชา-ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์ เป็น หมอริน ที่ดูสวยน่ารัก ดูเป็นสาวมั่น ใจดี ทำให้คนดูลุ้นเอาใจช่วย ให้รอดจากซอมบี้ ฉากกุ๊กกิ๊ก น่ารักๆ กับ หมาก ก็ดีงาม

เวลา-วันเวลา บุญนิธิไพสิฐ เป็น บัดดี้ ใช้ความน่ารัก มาช่วยเพิ่มคงความสนุกให้กับเรื่อง 

หนังเพิ่มความเข้มข้น ด้วยการนำนักแสดงฝีมือดี ที่นานๆ จะเห็นกลับมาแสดง มาทำให้เรื่องเข้มข้นขึ้น

พิม-พิมมาดา บริรักษ์ศุภกร รับบท มิ้งค์ แม่ของ บัดดี้ ที่พยายามช่วยลูกชายให้พ้นจากทัพซอมบี้ มาน้อยแต่ดี 

จอนนี่ แอนโฟเน่ เป็น วสุ ที่ทำทุกอย่าง เพื่อ ช่วยยื้อชีวิต ภรรยา เน้นๆ มาดเข้มๆ ร้ายๆ ในแบบนายทุน แต่ดี ในความรักที่มีต่อภรรยา

เจสัน ยัง มาดเข้ม ในบท คิม หน่วยจู่โจม ที่บุกเข้ามาช่วย วสุ ออกจากโรงพยาบาล เน้นๆ ฉากโชว์ แบบเต็มๆ ทั้งกับ หมาก และทัพซอมบี้

กัลป์ กัลย์จาฤก ทำปากกัดตีนถีบ ออกมาดูสนุก ฉากแอ็คชั่นดูสมจริงสมจัง โชว์ลีลาการต่อสู้ที่ดูดี ไม่ดูเหลาะแหละ ซอมบี้บุกก็ดูวุ่นวายอลหม่าน  สมกับเป็นหนังซอมบี้ งานด้านโปรดักชั่นดูดี ภาพสวย ผีดิบซอมบี้ เสื้อผ้าหน้าผม ออกมาเข้ากับเรื่อง คิวบู๊ดีงาม มาครบ ทั้ง หมัดมวยอาวุธใกล้มือใกล้ตัว ปืน ระเบิด อาวุธหนักมาครบ ต้องชม ทีมสตั้นท์แมนของ ตอง-กฤษณะ ลูกชาย พันนา ฤทธิไกร ที่มาดูแลคิวบู๊ ดนตรีประกอบก็เข้ามาหนัง

ในระหว่างที่ดู ปากกัดตีนถีบ อดนึกถึง โฮมสวีตโฮม: กำเนิดใหม่ ( Home Sweet Home Rebirth)หนังใหญ่ที่เพิ่งเข้าโรงมาไม่นาน พล็อตเหมือนเป๊ะ เพียงแต่เปลี่ยนจาก ในห้าง มาเป็นโรงพยาบาล ตัวเอกมี3คน ชาย/หญิง/เด็กน้อย เหมือนกัน หรือ ณิชา ก็ชวนให้นึกถึง ใน ฮาลาบาลา ป่าจิตหลุด มาดบุคลิก ท่าทางถอดกันมา แค่ เรื่องนี้ ดูสวยใส เบาสบายไม่ดาร์ค เหมือนกันเรื่องนั้น ปากกัดตีนถีบ อาจจะดูธรรมดาๆ ไม่มีอะไรใหม่ ไม่ต่างไปจาก หนังแนวนี้ที่ดูกันบ่อยจนชินตา แต่ถ้าดูแบบปล่อยใจ สบายๆ ไม่คิดมาก ก็ดูได้แบบเพลินๆ ปากกัดตีนถีบ โอเค ในระดับ หนังสตรีมมิ่ง Netfix แต่ถ้าเข้าฉายโรงใหญ่ อาจจะดูธรรมดาๆ ไม่โอเค นัก6/10 คะแนน

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘คายอ้อลบหลู่ศรัทธาอาถรรพ์’

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘คายอ้อลบหลู่ศรัทธาอาถรรพ์’

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘คายอ้อลบหลู่ศรัทธาอาถรรพ์’

วันเสาร์ ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

‘คายอ้อ’คือคือเครื่องบูชาที่มีความสำคัญต่อพิธีกรรมการไหว้ครูในวัฒนธรรมหมอลำของชาวอีสานการทำพิธียกคายอ้อหรือ“ยกอ้อยอคาย”เป็นการตั้งเครื่องบูชาเพื่อแสดงความเคารพต่อครูบาอาจารย์เพื่อให้เกิดขวัญและกำลังใจกับหมอลำข้อห้ามของคนที่ผ่านพิธีคายอ้อห้าม..กินไข่หลังวงดนตรี,ห้าม..ดื่มสุรา/ผิดลูกผิดเมียเป็นชู้,ห้าม..ไปก้มมองที่บ่อร้างกลางทุ่งฯลฯ‘คายอ้อ ลบหลู่ ศรัทธา อาถรรพ์’มาพร้อมกับความเป็นหนังผีแบบบ้านๆที่หยิบเอาความเชื่อเรื่อง‘คายอ้อ’มาเป็นเส้นเรื่อง สร้างความน่ากลัว กับเรื่องราวการดำดิ่งสู่โลกเร้นลับของ “หมอลำ” ที่ถูกยึดโยงไว้ด้วยความเชื่อความ “ศรัทธา” ในครูบาอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว ให้ช่วยปกปักรักษา แต่เมื่อมีคน “ลบหลู่” ความศรัทธา และผิด “คายอ้อ” จึงนำไปสู่ “อาถรรพ์” และหายนะที่ทุกคนคาดไม่ถึง
ใหม่- ภวัต พนังคศิริ ทำ ‘คายอ้อ ลบหลู่ ศรัทธา อาถรรพ์’ออกมาใน โทนหนังผี แบบจริงจังด้วยงานด้านภาพการจัดแสง ดนตรีประกอบ ที่ผสมเข้ากันได้แบบกำลังดี ชวนให้ หลอนๆ ชวนขนลุกตลอดเวลาผ่านการเล่าเรื่องง่ายๆสบายๆ ในแบบบ้านๆ ติดดินไม่ต้องเล่นท่ายาก ไม่ซับซ้อนบรรยากาศ ความเป็นหนังผี ทำออกมาได้ไม่เลว เพียงแต่.. อาจจะฉาก สะดุ้งตุ้งแช่ ที่แม้จะมีแต่มันดูธรรมดาๆเกินไปมาแบบมีจังหวะเกินจนไม่ตกใจการนำเอาเอาผีแม่ครูที่ชัดเจนกับ ‘คายอ้อ’มาเดินเรื่่อง มีความน่าสนใจ ภาพออกมา มีทั้งความน่าเกรงขามในแบบครูบาอาจารย์ผู้เฒ่าผู้แก่กับความน่ากลัว บทหนังเขียนโดย  เอี้ยง- สวนีย์ อุทุมมา ออกมาดูจริงจังไม่เลอะเทอะ ไม่ออกนอกทาง แต่น่าเสียดาย ที่บทหนังอาจจะดูธรรมดาๆ ไปสักนิด ตัวละครมีรายละเอียดมีปมน้อยไปหน่อย หรือหลายตอน อาจจะดูง่ายไป บางช่วงบางตอนดูลอยลดความสนุกไปมากทีเดียวฉากไหว้ครูในหนังดูขลังมีพลังดูดีอดขนลุกเหมือนได้ร่วมในพิธีจริงๆชอบที่หนังสรุปความเชื่อต่างๆออกมาได้ดีในแบบที่ไม่งมงาย

ตูมตาม-ยุทธนา เปื้องกลาง ฉีกแนวจากบทที่คุ้นตา มารับบท ผู้จัดการหวัด มาดเข้มดูจริงจัง ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบทเหมือนไม่มีอะไรๆแต่ก็ทำให้เรื่องเข้มข้นขึ้น

 เน็ค-นฤพล ใยอิ่ม รับบท เคน เด็กหนุ่มในวง คนเล่าเรื่อง เล่นเรื่อยๆ ดูเป็นธรรมชาติ บทส่งด้วยฉากดราม่าปมในใจบทรักต้องชม ฉากกับหลวงพ่อน้ำเสียงสีหน้าได้ กับฉากเห็นผึผู้เฒ่าตัวๆส่งอารมณ์ดีทีเดียว

เรื่องนี้ขนหมอลำลูกทุ่งไฟแรงแห่งยุคมารับบทนำเบลล์-นิภาดา ขันเงิน สวยใส สวยสมเป็น นักร้องสาวหมอลำ น่ารัก ชัดเจน ในความเป็น นางเอกของเรื่อง บทอาจจะไม่ลงลึกนัก แต่เป็นตัวละครที่สื่อกับผีเสียดายนิดนึงคือฉากโชว์เพลงน้อยไปนิด

อ๋อมแอ๋ม-ละมัย แสงทอง เป็น แหวว นักร้องสาวในวงที่มา พร้อมกับ สวยเซ็กซี่ ได้เล่นอะไรที่หลากหลาย มีปมเล็กๆ เรื่องแม่ ดูแล้วเหนื่อยแทน มีทั้ง เจอผี เลิฟซีนบทร้ายๆ บทแอ็คชั่น เจ็บเนื้อเจ็บตัว กานต์ ทศน กฤตชัย ถนอมสิทธิ์ รับบทเป็นเดี่ยว หมอแคน ประจำวง ที่ท้าทาย ลองดีกับ‘คายอ้อ’จนเจอดี มีบทแรงๆทั้งท้าทายลองดีโดนผีหลอกหรือฉากหวิวๆตอนท้าย

อุ๋งอิ๋ง-รัตนาภรณ์ หอมหวน รับบทเป็น อุ๋งอิ๋ง เป็นตัวเอง บทอาจจะไม่มีอะไร แต่ลีลาการร้องน้ำเสียงโดนโดนไพเราะมากๆชอบทุกเพลงที่ร้องบนจอ

น้ำแข็ง-ทิพวรรณ  อิ่มสาร รับบท เกษ อดีตนักร้องสาวในวง ที่ลาออกไป ฉากที่ มาเจอในหมู่คนดู มอง วงหมอลำโชว์เพลงบนเวที แล้วร้องตาม ชอบฉากนี้มากๆ เป็นฉากที่ดี ที่สุด ฉากหนึ่งของเรื่องจริงๆอ๊อฟ-สุรพลรับบทชัยเพื่อนสนิทเคน

โจ-ยมนิลเล่นเป็นตัวเองเป็นโจบอสใหญ่วงสาวน้อยเพชรบ้านแพงฝน ธนสุนทร เป็น ก้อยอดีตนักร้องสาวหมอลำชื่อดัง

คายอ้อ ลบหลู่ ศรัทธา อาถรรพ์ อาจจะไม่ใช่ หนังผี ที่ถูกใจ โดนใจ ถูกจริต กับ คนที่อยากดูหนังผีน่ากลัวๆเลือดสาดสยดสยองสะดุ้งตุ้งแช่มากนักแต่กับ คอหนังไทยที่ชอบหนังไทยดูสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ดูได้เรื่อยๆ ได้เจอะเจอ ศิลปิน/นักร้องหมอลำ ขวัญใจ มีเล่นกันเต็มจอท้้งบทนำบทสมทบจะสนุกชอบเรื่องนี้แน่นอนและเมื่อมาดูเครดิตท้ายเรื่องทีมงาน นักแสดงเยอะมากๆดูแล้วเรื่องนี้ไม่ธรรมดาจริงๆชอบ ‘คายอ้อ ลบหลู่ ศรัทธา อาถรรพ์ ‘ในระดับ 7/10 หัวกระโหลก