โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘ซูเปอร์แมน (Superman)’

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘ซูเปอร์แมน (Superman)’

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘ซูเปอร์แมน (Superman)’

วันศุกร์ ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 13.57 น.

ซูเปอร์แมน (Superman)  หนังเรื่องแรกของ เจมส์ กันน์ ที่เข้ามา ปรับโฉม กุมบังเหียน หลังจากที่เคย ทำให้ หนังมาร์เวล ดูสนุกติดตลาดมาแล้ว อยากดูว่า  ซูเปอร์แมน (Superman) จะออกมาหนักแน่นจริงจัง ดูมืดๆ ดิบๆ เครียดๆ ไร้อารมณ์ขัน ขาดเรื่องรัก เหมือนใน หนัง DC ในยุคก่อนหน้านี้ หรือ จะกลับไปสนุกสนาน ในแบบ ฮีโร่ ที่มาจาก การ์ตูนคอมมิก ที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ

 เจมส์ กันน์ ทำ  ซูเปอร์แมน (Superman) ออกมาได้สนุกเกินคาด นำพาไปสู่บรรยากาศเดิมๆ ของ ซูเปอร์แมน ในยุคแรกที่ทำยุค คริสโตเฟอร์ รีฟ ดูสดใส สบายๆ ในแบบ ซุปเปอร์ฮีโร่ ที่มา ในโทนหนังฮีโร่ในรุ่นใหม่และไม่ออกมา แนว ดาร์กดิบ มืดเหมือน ในยุคก่อนหน้าที่เจอใน หนังDC

ซูเปอร์แมน (Superman) เดินเรื่องไปข้างหน้ามีย้อนหลัง รู้สึกเหมือนเข้ามาดูตอนต่อ ไม่ได้มาดูหนังรีบู้ต หรือรีเมค ไม่มีการปูรายละเอียดเรื่องราว ตัวละคร ใดๆ ให้เสียเวลา ทั้งตัวหลักตัวรอง สำหรับแฟนๆ คนที่รู้จัก ซูเปอร์แมน อยู่แล้ว คงไม่มีปัญหากับ จอมวายร้าย เล็กซ์ ลูเธอร์  สาวสวย โลอิส เลน หวานใจมนุษย์เหล็ก พ่อแม่ทั้งบนดาวคริสตันและบนโลก
หรือ เด็กรุ่นใหม่ๆ ที่อาจจะไม่ได้เป็น ตอมมิก ฝั่ง DC ก็ไม่มีปัญหา ดูรู้เรื่อง สนุกไปกับเรื่องตรงหน้า เอาเข้าจริงๆ แล้ว ใน ฉบับนี้  คือ การนำเอาสิ่งที่เคยอยู่ใน ซูเปอร์แมน กลับมาอีกครั้ง ยำใหญ่ นำมายำรวมกัน อาทิ พลังด้านต่างๆ การแพ้แร่คริสโตไนท์ เมืองพลังที่ขั้วโลก การปะทะกันของสองซูเปอร์แมน การทำข่าวใน เดบิแพลนเน็ต บ้านไร่ของครอบครัวคลาก เค้นท์ หรือแม้แต่ การรวมทีม จัสติส

ตัวหนังชัดเจนอยู่ที่ซูเปอร์แมนต้องรับมือกับ จอมวายร้ายคู่ปรับเก่าอย่าง เล็กซ์ ลูเธอร์  ผ่านเส้นเรื่องหลากหลาย รัก/ดราม่า/แอ็คชั่น เรื่องรักโรแมนติก กับ โลอิส เลน ที่ออกมา น่ารัก ดูไปยิ้มไป ทั้งในส่วนของ คลาร์ก เคนท์ ดูกุ๊กกิ๊กน่ารักหรือ ซุปเปอร์แมน ที่ชวนให้นึกถึง Superman เวอร์ชั่น 1978 เรื่องครอบครัว พ่อแม่บนดาวคริปตัน ที่เหมือน สั่งสอน หรือ โจนาธานกับ มาร์ธา พ่อแม่บนโลกที่ ให้ความอบอุ่นแบบมนุษย์โลกเพื่อนร่วมทีม จัสติสแก๊งค์ การทำงานกันเป็นทีม ที่ต้องช่วยเหลือกันเพื่อให้งานสำเร็จ หรือ ทีมสมุนลูกน้อง เล็กซ์ลูเธอร์ ก็ร่วมมือกันระดมความคิด จัดการกับซูเปอร์แมน  ดีใจที่ได้เห็น จิมมี่ ตา

กล้อง เดลิแพลนแน็ต กลับมามีบทมากขึ้น หรือ อีฟ สาวข้างกาย เล็กซ์ ที่ออกหลุดรั่วมามีความสำคัญ กับ เรื่อง มากกว่า เป็นแค่บทสมทบ เหมือนที่ผ่านมา ซูเปอร์แมน (Superman) คือหนังที่ดูจนจบเรื่องแล้ว แทบจะไม่รู้จัก นักแสดง เลยสักคนเดียว (แม้จะเล่นมาหลายเรื่อง) แต่ก็สนุกไปกับ การแสดง

เดวิด คอเรนสเว็ต เป็น ซูเปอร์แมน ที่หล่อ ดูมีเสน่ห์ น่ารัก ดีงามทั้ง ดราม่า รัก กุ๊กกิ๊ก หรือแอคชั่น เป็น อีกหนึ่ง มนุษย์เหล็ก ที่ดูดี มีหลายๆ อย่าง ที่อดนึกถึง คริสโตเฟอร์ รีฟ (ที่ยังไงๆ ก็ เป็น ซูเปอร์แมน ที่ชอบที่สุด) ไม่ได้ อีกอย่าง ที่ คิดว่าโดนคือ ส่วนสูง หุ่นสมาร์ทล่ำๆ นี่ใช่เลย

นิโคลัส โฮลท์ เป็น เล็กซ์ ลูเธอร์ ที่ดูร้ายจริงๆ ผ่านทางสีหน้าท่าทาง แววตา น้ำเสียง ดูเป็น คู่ปรับที่พอฟัดพอเหวี่ยง แม้จะเป็นแค่คนธรรมดา

ราเชล บรอสนาฮาน เป็น โลอิส เลน ที่สวยน่ารัก ดูลุยฉีกภาพของ เลน ที่เคยดูเคยรู้จักกันมา เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่น่ารักฉากรักดูดีมากๆ แต่ที่ น่ารักสุดขโมยซีนสุดๆ คือเจ้าคริสโต Superdog ที่น่ารักน่าชัง สร้างความวุ่นวาย

มิสเตอร์ เทอร์ริฟิค(เอดี แกเธกี) เมตามอร์โฟ (แอนโทนี่ คาร์ริแกน )ที่แปลงร่างเป็นธาตุต่างๆ ได้ กรีนแลนเทิร์น ผมบ็อบ (นาธาน ฟิลเลียน) อิซาเบลา เมอร์เซด  เป็นฮอร์คเกิร์ล (อิซาเบลา เมอร์เซด)น่าเสียดาย ที่ รู้จักแค่ กรีนแลนเทิร์น (ที่ไม่ค่อยน่ารักเหมือนที่รู้จัก) คุ้นตากับ ฮอร์คเกิร์ล นอกนั้น คนอื่นๆไม่รู้ว่าเป็นใคร เลยไม่ค่อย อิน ไม่สนุกกับ ‘ทีมจัสติสแก๊งค์’ และที่ยิ้มออกมา คือการโผล่มาของ มิลบี่ ฮันคอก ในบท ซูเปอร์เกิร์ล

ซูเปอร์แมน (Superman) ของ เจมส์ กันน์ คือ การเปิดจักรวาลใหม่DCU ที่ดูลงตัว สนุกสนาน ดูง่ายไม่ซับซ้อน  ไม่ยากต่อการเดาเรื่องเพลินไปกับ ฉากแอ็คชั่น ที่สนุกตื่นตาตื่นใจตื่นเต้น ในแบบของ หนังซุปเปอร์ฮีโร่ ทั้งสัตว์ประหลาด คู่ต่อสู้ที่พลังพอกัน ฉากถล่มเมือง ช่วยเหลือ ชาวเมืองที่มีทั้ง ใน หลุมดำ ในเมืองในตึกภาพ การเหาะเหินเดินอากาศ สวยงาม ดูพริ้วไหว สวยงามจริงๆแทรกไปด้วย อารมณ์ขัน มุขตลก ที่กำลังดี โดยเฉพาะ การจิกๆ สิ่งที่คนรุ่นก่อน(ที่เน้นๆ ความเป็นจริง) อาทิ เรื่องกางเกงในเป้าตุง หรือ ทำไม!! คนจำ คลาร์ก เคนท์ว่าเป็น ซูเปอร์แมน ไม่ได้ ในตอนนี้มีคำตอบตัวหนังยังพูดถึง เรื่องการเมือง เรื่องสงคราม โลกโซเชียล ในปัจจุบัน การบูลลี่ ไลฟ์สด ถ่ายทอดสด การสร้างภาพต่างๆ นานา การโดนทัวร์ลง
ดนตรีประกอบ คือ สิ่งที่ดีที่สุด การนำธีมเดิมของจอห์น วิลเลี่ยม กลับมาผสมกับ ดนตรีใหม่ได้ไพเราะ ขยี้ความยิ่งใหญ่ ตลอดกาลของหนัง ซูปเปอร์แมนเพลงประกอบ ที่ใส่มา ก็เพราะทุกเพลง สิ่งที่ไม่ค่อยชอบคือ ชุดของ ซูเปอร์แมน มันดูไม่สวย ไม่เท่ห์ ออกแนว ชุดคอทเพลย์ ใส่ไปงานเลี้ยวงานปาร์ตี้มากกว่า โลโก้ ซูปเปอร์แมน ก็ดูไม่สะดุดตาหนังจบ อย่าเพิ่งลุก มี 2 ติ่ง ตอนท้ายเรื่องขึ้นเอนเครดิต และ ปิดท้ายต่อตอนจบเอนเครดิต ซูเปอร์แมน (Superman) สนุกโดนใจ ชอบในระดับ 9/10 คะแนน

‘โอ๊ยเล่าเรื่อง’สควิดเกม เล่นลุ้นตาย3 (Squid Game Season 3)

'โอ๊ยเล่าเรื่อง'สควิดเกม เล่นลุ้นตาย3 (Squid Game Season 3)

‘โอ๊ยเล่าเรื่อง’สควิดเกม เล่นลุ้นตาย3 (Squid Game Season 3)

วันเสาร์ ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

สควิดเกม เล่นลุ้นตาย  (Squid Game) คือ ซีรี่ย์เกาหลี ที่ออกอากาศทาง สตรีมมิ่ง Netflix ในปี 2021 ที่ดูสนุก และติดมากๆ ชอบมากๆ จนมา ในปี ที่แล้วเดือนธันวาคม ปลายปี  2024 ก็ต่อยอด ผลงานการกำกับและเขียนบทโดย ฮวังดงฮย็อก คนเดิมจาก ใน ซีซั่นแรก ด้วยความยาวแค่ 6 ตอน ต้างๆ คาๆ เรื่องยังไม่จบ มาในปีนี่ ซีซั่น3 ก็ออกมา พบกับแฟนๆ ที่รอดูใน ซีซั่นนี้ เดินเรื่องต่อจาก ใน ซีซั่น2  ด้วยความยาวแค่ 6 ตอน เท่ากัน

หลังจากที่ แผนก่อกบฏ ในเกมล้มเหลว ซองกีฮุน ผู้เล่นหมายเลข 456 เริ่มท้อแท้ หมดอาลัยตายอยากไปกับการจากไปของเพื่อนรัก แต่เกม ก็ยังดำเนินต่อไป เหลือผู้เล่น60 คน 

ในขณะเดียวกัน ฮวังจุนโฮ นักสืบหนุ่ม น้องชายของฮวังมินโฮ (ฟรอนต์แมน ที่แฝงตัวเป็นผู้เล่น 001 ที่เปิดตัวในท้ายซีซั่น2 แล้วกลับมาทำหน้าที่คุมเดม) ก็ ยังพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อกลับมาที่เกาะ ทำลายเกมส์นี้ในสิ้นซาก 

ตัวเรื่องยังคงเน้นๆ ปมมืด ความโลภ ความอยากได้อยากมี การเอาตัวรอด การเอาชีวิตรอด มิตรภาพ ครอบครัว  คนรัก ผ่านตัวผู้เล่นเกม รวมถึง บรรดาVIP ที่ มาดู การแข่งเกม

เดินเรื่องสลับไปมา ระหว่าง สถานที่แข่งเกมกับ การสืบหาเกาะของ นักสืบหนุ่ม ที่รอดชีวิต มาจากซีซั่นแรก เสน่ห์ของตัวละคร ความน่าสนใจของตัวเรื่อง ความตื่นเต้นของ สควิดเกม แทบจะไม่มี ทุกอย่าง มันดู เรียบๆ เรื่อยๆ ไร้แรงดึงดูด ให้สนุก ไปกับ ตัวเรื่อง

จริงๆ แล้ว ด้วยเป็นเรื่องเดียวกันต่อเนื่องกัน ไม่จำเป็นเป็นต้อง แยกเป็น ซีซั่น2 กับ3 รวบเป็นซีซั่นเดียว ยาวๆ ไปจนจบ เหมือน ซีซั่นแรก ก็น่าจะออกมาสนุกกว่านี้พอแยกเป็น 2 ชีซั่น ทิ้งเวลาห่างกันนานหลายเดือน ความสด ความสนุก ความอิน เข้าถึง ตัวละครทั้งตัวกลัก ตัวรอด ลดลงอย่างน่าเสียดายหลายตัวละคร ที่รอดมา ลืมไปแล้วว่า ปมที่มาที่ไปคืออะไร 

รวมทั้ง ตัวละครหลักๆ ที่พอจะ เดาไม่ยาก เดาทางออก ว่าจะลงเอยอย่างไร แค่รอดูว่าจะเจออะไร พอเหลือน้อยลง แต่มี ตัวละครตัวใหม่ที่เหลืออยู่ มาแทนที่ ยังทำให้ หนังไม่สนุก เพราะ ทุกที่มา พลังแทบไม่มี เป็นได้แค่ ตัวประกอบ เท่านั้นไม่เหมือน ซีซั่นแรก ที่ตัวหลักตัวรอง มีความน่าสนใจ เท่าๆ กันหมดเสน่ห์ของ สควิดเกม เล่นลุ้นตาย ใน ซีซั่นแรก อยู่ที่การ รอดู ในแต่ละเกม ผู้เล่นเกม ทุกคน น่าสนใจ มีหักมุมไปมา เรื่องเน้นๆ อยู่ที่ในเกม บทเริ่มต้น-ระหว่างเกม มาจนถึงบทสรุปสุดท้าย ดึงให้ใจจดจดจ่อ สนุกตลอดเรื่องน่าเสียดายที่ ซีซั่น2-3 สิ่งต่างๆ เหล่านี้หายไป

นักแสดงเด่นๆ ใน ซีซั่นนี้ มีอาทิ อีจองแจ เป็น ซองกีฮุน ผู้เล่นหมายเลข456 ผู้ชนะจาก ซีซั่นแรก ที่เริ่มถอดใจกับการกับการกลับมาแก้แค้น

อีบยองฮอน เป็น ฮวังมินโฮ – ผู้เล่นหมายเลข 001 หรือ ฟรอนต์แมน

โจยูริ เป็น คิมจุนฮี  ผู้เล่นหมายเลข 222 สาวท้องแก่ใกล้คลอด

อิมชีวาน เป็น อีมยองฮี ผู้เล่นหมายเลข 333  อดีตนักธุรกิจหนุ่มผู้เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม และเห็นแก่ตัว  พัคซองฮุน เป็น ฮยอนจู ผู้เล่นหมายเลข 120 ผู้แข่งขันสาวทรานส์เจนเดอร์

คังแอชิม เป็น กึมจา ผู้เล่นหมายเลข 149 แม่ของพัคยงชิก ผู้ใจดี สู้ชีวิต 

ยังดงกึน รับบทเป็น พัคยงชิก ผู้เล่นหมายเลข 007 ผู้อ่อนแอ 

แชกุกฮี เป็น แม่หมอร่างทรง ซอนยอ  ผู้เล่นหมายเลข 044 คังฮานึล เป็น คังแทโฮ ผู้เล่นหมายเลข 388 หนุ่มคุยโวผ่านสงคราม ที่ทำให้ แผนกบฏ ในซีซั่น2 ล้มเหลวเพราะความกลัว

คิมบับแร เป็น ประธานคิม  ผู้เล่นหมายเลข 100 เจ้าพ่อเงินกู้ถังแตก จุนซ็อกโฮ เป็น ชเวอูซ็อก  ผู้เล่นหมายเลข 336 สมุนคู่ใจประธานคิม

โรแจวอน เป็น นัมกยู  ผู้เล่นหมายเลข 124อีเดวิด เป็น พัคมินซู  ผู้เล่นหมายเลข 125

อีจินอุก เป็น พัคคยองซ็อก หมายเลข 246 พัคกยูยอง เป็น คังโนอึล ทหารหน้ากากสีดำชุดชมพู หมายเลข 11 สาวเกาหลีเหนือจอมโหด ทหารหน้ากากสีดำชุดชมพู หมายเลข 11

วีฮาจุน เป็น ผู้กองฮวังจุนโฮ  น้องชายของ ฮวังมินโฮ หรือ ฟรอนต์แมน อีกคนที่รอดจากซีซั่นแรก ที่กลับมาทำลายเกาะ เคลียร์ใจกับพี่ชายโอดัลซู เป็น กัปตันพัค และ เคต แบลนเชตต์ โผล่มาแว่บๆ

แต่เด่นมากๆ โปรดักชั่น เสื้อผ้าหน้าผม ภาพ การตัดต่อ ดนตรีประกอบ ยังคง ถอดแบบจาก ซีซั่นแรก ออกมา เลยดูไม่มีอะไรที่แปลกใหม่ และรู้สึกว่า หนังดู ดรอป ลงยังดีที่ ตัวหนัง ยังพอดึง ให้รอดูว่า แต่ละเกม จะเจออะไร ใครจะถูกกำจัดก่อนกำจัดหลัง และยังสนุกไปกับ การพลิกไปพลิกมา ตัวหลักๆ ไปแบบไม่ทันตั้งตัว บางคนน่าจะไปไงแต่กลับรอด น่าเสียดาย ที่ ความสนุกความน่าสนใจในแต่ละเกม ที่ทำออกมาได้ดีมากๆ ในซีซั่นแรก แต่ลดความดีลงในซีซั่นที่สอง มา ในซีซั่นนี้ แทบไปเหลืออะไรให้ชื่นชม ใดๆ 

และสุดท้าย ที่เสียดายคือ เสียงพากย์ไทย ดูขาดพลัง มากมาย โดยเฉพาะ เสียงพากย์ของ 456 ไร้พลัง ฟังแล้ว เหมือน เสียงพากย์ตัวประกอบ แต่..เสียงไทย ก็ยังมี ส่วนที่อยากชม คือ เสียงร้องเพลง ก่อนเข้าเกม ชอบมากๆ ไพเราะ มากๆ ฟังแล้ว นึกถึง เพลงกล่อมเด็ก ในวัยเด็ก 

เพลงเล็กๆ น้อยๆ แต่ เป็น ส่วนที่รู้สึกชอบ รู้สึกว่า ดีที่สุด ของ ซีซั่นนี้ และเหมือนเดิม หนังจบ แบบปลายเปิด จะต่อซีซั่นใหม่ หรือจะหยุดแค่นี้ก็ได้น่าเสียดาย..น่าเสียดาย..จริงๆ อุตส่าห์ รอคอยดู ซีซั่นนี้แต่เอาเข้าจริงๆ  สควิดเกม เล่นลุ้นตาย3 (Squid Game Season 3) คือ ซีรี่ย์ ที่แค่ ต้องดู ดูแค่อยากรู้ว่าจะจบอย่างไร ดูเพราะ ความเป็น สควิดเกมไม่เลวร้าย แต่ไม่มีอะไร น่าจดจำ ดูจบแล้วจบเลยชอบ ระดับ 6/10 คะแนน

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘วิญญาณเลขที่ 13 (Attack 13)’

โอ๊ยเล่าเรื่อง 'วิญญาณเลขที่ 13 (Attack 13)'

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘วิญญาณเลขที่ 13 (Attack 13)’

วันเสาร์ ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

13 Studio คือ ค่ายหนังน้องใหม่ ที่เกิดภายใต้ชายคา ของ พระนครฟิล์ม ที่เน้นๆ ทำ หนังผี ออกมา โดยมี คุ้ย-ทวีวัฒน์ วันทา เข้ามานั่งเป็นผู้บริหาร จาก การทำหนังผีดังๆ อย่าง  ธี่หยด1-2  ที่ทำรายได้ ถล่มทะลาย หรือ ทองสุก13 หนังผีน่ากลัว ทำให้ 13 Studio เป็นที่จับตามองว่า คุ้ย-ทวีวัฒน์ จะดันหนังผี ให้กับค่ายนี้ได้หรือไม่  วิญญาณเลขที่ 13 (Attack 13) คือ งานเปิดตัวงานชิ้นแรกของ13 Studio

หน้าหนังของ  วิญญาณเลขที่ 13 (Attack 13) เป็นเรื่องของ นักวอลเล่ย์บอลสาว การบูลลี่ ซึ่งตัว หนังเปิดเรื่อง เน้นๆ ไป ในส่วนนี้จริงๆ ทำออกมาได้แรง มีประเด็นแต่ในส่วนของกีฬา มันดูลอยๆช่วงต้นเรื่อง อาจจะปูยาวไปนิด จนเกือบหลับ รอว่า เมื่อไหร่ ผีจะออกสักที แต่พอ ผีบุษบา มา มาแบบเต็มๆถึงกับสะดุด!! เป็นหนังผีที่มาครบทั้ง ผีหลอกวิญญาณหลอน  แลปลิ้นปลิ้นตา  หักคอฆ่าคนแบบโหดๆ เลือดท่วมจอ ผีสิง ผีเข้าผีออก มีหมอผี มนต์ดำไสยศาสตร์ คาถาอาคม ออกมาในแนวหนังผีรุ่นใหม่ แทบจะไม่มี กลิ่นหนังผีไทยแท้ๆ
ผีบุษบา ..ทำหน้าที่ ผีหมายเลข13 ได้ดี ดูหลอน น่ากลัว เต็มไปด้วยความโหด สมกับที่ หนังปู ความแรง เอาไว้ ตั้งแต่ยังไม่ตาย พอตายเลยเพิ่มความดุ ได้มากทีเดียว แม้ CG บางฉาก ดูลอยๆ หลอกตา เลยลดความน่ากลัว ลงไป แต่ก็มีหลายฉากที่ชอบทำออกมาได้ดี

อ๊ะอาย-กรณิศ เล้าสุบินประเสริฐ, เป็น จินตหรา ที่เด่นมากๆ สวยน่ารัก มีเสน่ห์ ออร่าแพร่กระจาย ข่มคนอื่นๆ ในทุกๆ ฉาก ในเรื่องนี้ฉีกไปจากเรื่องก่อนๆ เห็นพัฒนาในการแสดง
จินตหรา คือ ตัวละครที่สู้ทั้งคนและผี แรงมาแรงกลับ ไม่ยอมแพ้
 

ลิลลี่-ณิชภาลักษณ์ ทองคำ ดูดุ แรงในทุกๆ ตอนที่ออก เล่นดี ดูร้ายดูแรง ทั้งตอนเป็น คนและเป็นผี ตอนเป็นๆ รอดูจะไป ทำคนอื่น อย่างไร พอตาย รอดูเลยว่า จะ ฆ่าคนอย่างไร
 

เพิร์ธ- วีริณฐ์ศรา ตั้งกิจสุวานิช, สตางต์- ตริษา  ปรีชาตั้งกิจ, ยูแอล รมิตา  รัตนภักดี  รับบท หงส์-อร-หยา แก๊งส์ เพื่อนซี้ ในทีม วอลเล่ย์บอล สามสาวสวย น่ารัก มีเสน่ห์ ดึงให้ อยู่กับหนัง ตามเชียร์นามลุ้น ตามเอาใจช่วย ตกใจทุกครั้งที่โดนหลอก อยากโดดไปช่วยเมื่อถูกผีทำร้าย ชอบ การวางบุคลิกตัวละคร และ ทุกคนเล่นได้ดี แทคทีมกันแบบเข้าขา
เป็นตัวเสริมที่ดีให้กับจินตหรา และ เป็น ลูกไล่ที่ทำให้บุษบา ดูแรง ตั้งแต่เป็น จนมาเป็นผี
 

แบงค์-ณฐวัฒน์ ธนทวีประเสริฐ ในบท กรรณ ผู้ชายเจ้าชู้ ดูมีเสน่ห์ ชัดเจน ใน ตัวละครเทาๆ มีทั้งร้ายและดี ด้วยภาพร้าย เลยทำให้ รู้สึกไม่ค่อยเอาใจช่วย เท่าไรนัก แต่พอดี ก็อดไม่ได้ ที่ อยากให้รอด
 

คุ้ย-ทวีวัฒน์ วันทา ยังคงทำ วิญญาณเลขที่ 13 (Attack 13) ออกมาไม่ขี้เหร่ โปรดักชั่นดีงาม ภาพ การจัดแสง ฉาก เสื้อผ้าหน้าผม ที่ดูหลอนๆ ชัดเจนในความเป็นหนังผี บทผนังอาจจะดูห้วนๆ ไปสักนิด ดนตรีประกอบ ก็โอเคจะมีในช่วงต้น ที่เสียงพูดตัวละครเบา แถมมีเสียงดนตรีประกอบ กลบ ทำให้ ไม่รู้เรื่องเลย กับ ฉาก โค้ชหนุ่ม ที่โดน ผีบุษบา จัดการในโรงยิม ที่ตัวหนังเหมือน ทำให้ดูเป็น ความน่ากลัวแบบตลกร้าย แต่ที่ออกมา มันดูสกปรก ทำให้หนังเสีย เป็นส่วนที่ เกลียดไม่ชอบมากที่สุดของหนัง น่ากลัวระดับ 7/10 หัวกระโหลก

‘โอ๊ยเล่าเรื่อง’จักรวาลของ‘จอห์น วิค บัลเลรินา’แค้นกว่านรก

'โอ๊ยเล่าเรื่อง'จักรวาลของ‘จอห์น วิค บัลเลรินา’แค้นกว่านรก

‘โอ๊ยเล่าเรื่อง’จักรวาลของ‘จอห์น วิค บัลเลรินา’แค้นกว่านรก

วันเสาร์ ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

จอห์น วิต ทั้ง4 ภาค คือ หนังแอ็คชั่นในยุคใหม่ ที่ขึ้นหิ้ง เข้าทำเนียบ หนังแอ็คชั่น ชิ้นเยี่ยม สนุกจนเข้าไปอยู่ในใจใครหลายๆ คน แม้ จะปิดฉากลงอย่างสวยงาม ในปี 2023 มาปีนี้ จอห์น วิค กลับมา อีกครั้ง ให้ หายคิดถึง ใน Ballerina ในรูปแบบของ จักรวาล จอห์น วิคอีฟ มาการ์โร โคตรนักฆ่าจากรุสกา โรมา ที่เติบโตมากับความแค้น ขอทิ้งทุกสิ่ง กบฎทุกกฎ เอาคืนคนที่ฆ่าพ่อแม่เธอ  และมีเพียงคนเดียวจะหยุดเธอได้ ‘จอห์น วิค’บัลเลรินา แค้นกว่านรก ( Ballerina) ชัดเจน ในความเป็น หนังจักรวาล จอห์น วิค บรรยากาศโทนหนัง การเล่าเรื่อง ฉากบู๊ฉากแอ็คชั่น มาแบบเต็มๆ จัดเต็ม ดึงเอา อีฟ มาการ์โร สาวนักบัลเล่ย์ รอยสัก นักฆ่ากลางแผ่นหลัง ที่เปิดตัว จากใน จอห์น วิค3 ถูกดึง มาขยาย มีเรื่องของ ตัวเอง เดินเรื่องคนเดียวตลอดเรื่อง  เส้นเรื่องหลัก ยังคงอยู่ที่ การล้างแค้น การกลับมาแก้แค้น เพียงแต่เปลี่ยนจาก หมาตาย รถถูกขโมย มาเป็น การล้างแค้น ให้กับครอบครัว ที่จากไป

สนุกไปกับ ฉากแอ็คชั่น ที่ดุดัน ทั้งในแบบที่คุ้นเคยกันดี ในจอห์น วิค ทุกภาค สู้แบบตัวต่อตัว มาเป็นกลุ่ม อาวุธทั้งหนักทั้งเบา ปืน/มีด/ระเบิดมาครบ ของใกล้ตัว ที่หยิบฉวยได้มีทั้งปืนหลากหลายประเภท, เครื่องยิงไฟ, สายยางฉีดน้ำ, ดาบซามูไร, รองเท้าสเก็ตน้ำแข็ง, ระเบิด หรือแม้แต่จาน! ก็ถูกเอามาใช้ฆ่าคนที่ขวางหน้าได้หมดการดีไซน์ ออกแบบฉากบู๊ ทำได้ดี ดูแปลกตา ดูไปยิ้มไป หลายฉากสู้ไปพร้อมๆกับแทรก อารมณ์ขัน แบบง่ายๆ ธรรมดา แต่ออกมาดูดีเชียวภาพจำที่ชอบ อาทิ ฉากบู๊ในร้านอาหาร ฉากตำรวจ บุกจับ หรือถล่มกลางเมือง 

อนา เดอ อาร์มาส เป็น อีฟ มาการ์โร สวยน่ารัก มีเสน่ห์ดูดี พอฉากบู๊ ดูทะมัดทะแม่ง ลีลาการต่อสู้ พริ้วไหว ดีงามสวยงาม ไม่แพ้หน้าตา 

คีอานู รีฟส์ มาน้อยต่อยหนัก เด่นเหมือนเดิม ออกมาทำให้เรื่องสนุกมากขึ้น แม้ว่า ครั้งนี้ จะเปลี่ยนจาก ผู้ถูกล่า มาเป็นผู้ล่า 

แลนซ์ เรดดิก ในบทของ ชารอน พนักงานต้อนรับประจำ “เดอะคอนทิเนนทัล” มือขวาและผู้ช่วยส่วนตัวชั้นเยี่ยมของ วินสตัน ชายผู้เป็นทั้งเพื่อนของ “จอห์น วิค” และ “วินสตัน” ที่ทิ้งทวนเรื่องนี้ ก่อนเสียชีวิต

แอนเจลิกา ฮูสตัน ในบทเดิม เดอะไดเรกเตอร์เจ้าของโรงเรียนบัลเลต์ฉากหน้าของสถาบันฝึกมือสังหาร สำนักรุสกาโรมา จากใน จอห์นวิค3 เรื่องนี้เขยิบบทมากดว่าเดิม  เปรียบเสมือนแม่บุญธรรมของ อีฟ

พร้อมนักแสดงทีมใหม่ ที่เข้ามาร่วม จักรวาลนักฆ่า อาทิ เกเบรียล เบิร์น ในบท  เดอะแชนเซลเลอร์ ผู้นำของกลุ่มนักฆ่า ปกครองภาคีนักฆ่าในแถบเทือกเขาออสเตรีย เป็นคนที่บ้าอำนาจและเหี้ยมโหดที่สุดในองค์กร นอร์แมน รีดัส ในบท แดเนี่ยล ไพน์ ชายที่เต็มไปด้วยปริศนาสุดอันตราย และยังเป็นคนที่จุดชนวนมหึมาล่าข้ามโลกของจักรวาลนักฆ่าในครั้งนี้  เดวิด กัสตาเญดา เป็น ฮาเวียร์ พ่อของ  อีฟ มาการ์โร ที่ต้องสละชีวิตต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าปริศนาเพื่อปกป้องลูก และเป็นคนที่ทำให้อีฟต้องลุกขึ้นมาล้างแค้น ชารอน ดันแคน-บรูว์สเตอร์ ในบท โนกิน ครูฝึกสุดโหดของ สำนักรุสกาโรมา อาจารย์คนสำคัญที่ทำให้ อีฟ มาการ์โรก้าวเข้าสู่โลกนักฆ่า

คาตาลินา ซานดิโน โมเรโน ในบท ลีน่า นักฆ่าสาวเลือดเย็นที่เปิดเผยตัวที่ “โรงแรมคอนทิเนนทัล สาขาปราก” และเป็นสมาชิกภาคีนักฆ่า[ภายใต้การนำของ “เดอะชานเซลเลอร์”

ชเวซูยอง สมาชิก Girls’ Generation เกิร์ลกรุ๊ปวงดังจากเกาหลีใต้รับบท คัตลา พัค ลูกสาวของ อิลซอง พันธมิตรของ สำนักรุสกาโรมา ภารกิจภาคสนามครั้งแรกของ “อีฟ” คือการอารักขาเธอที่คลับสุดหรู

โรเบิร์ต มาเซอร์ รับบท เดกซ์ หนึ่งในโคตรนักฆ่าที่อยู่ภายใต้การปกครองของ เดอะชานเซลเลอร์ นักฆ่าผู้ภักดีที่ห้ำหั่นกับ อีฟ ด้วยปืนพ่นไฟ

บัลเลรินา แค้นกว่านรก ( Ballerina)  คือ จอห์น วิค ที่ อาจจะลดสโคป ความใหญ่ โต อลังการลง แต่ก็ ทำออกมาได้ดี ไม่แพ้ ภาคก่อนๆ แม้ในช่วงต้น อาจจะดูเนือยๆ จนเผลอหาวไปบ้าง แค่พอเข้าที่เข้าทาง ตาสว่างๆ  ดูมันส์สนุกสนานจนจบเป็นแอ็คชั่น ที่แนะนำให้ดูในโรง ระบบเสียงดีๆ ตอนที่ดู เสียงกระหึ่มรอบทิศทาง ชัดเจนใส จนรู้สึกเสียงต่างๆ มาสัมผัสตัวชอบระดับ 8/10 คะแนน

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘อันธพาล 2499 THE MUSICAL’

โอ๊ยเล่าเรื่อง 'อันธพาล 2499 THE MUSICAL'

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘อันธพาล 2499 THE MUSICAL’

วันเสาร์ ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

จาก 2499 อันธพาลครองเมือง (2540) หนังไทยขึ้นหิ้ง ระดับตำนานของ นนทรีย์ นิมิบุตร ถูก ซีเนริโอ นำมาทำใหม่ อีกครั้ง ในรูปแบบ ละครเวที อันธพาล 2499 THE MUSICAL

อันธพาล 2499 THE MUSICAL ใช้เส้นเรื่อง การเล่าเรื่องเดินเรื่อง ทางเดียวกับ2499 อันธพาลครองเมืองเพียงแต่ เปลี่ยนแปลง ดัดแปลง รายละเอียดบางส่วนที่มาตัวละครเหมือนกัน แต่ที่ไปจุดจบบทสรุป ฉีกออกไป ต่างกันแบบชัดเจน ตัวเรื่อง เล่าผ่าน แดง ไบเล่ ไม่ได้ เล่าโดย เปี๊ยก วิสุทธิกษัตริย์ เหมือนในฉบับ หนังใหญ่ น้ำหนักเรื่อง เทไปที่ ความเป็น เพื่อนรักเพื่อนแค้น ที่ผิดใจกัน ด้วย เรื่องความรัก รักผู้หญิงคนเดียวกัน ระหว่าง แดง กับ ปุ๊ ที่มีต่อ วัลภา โดยมี เปี๊ยก แหลมสิงห์  และ ดำ เป็นตัวสมทบ และเพิ่มส่วนดราม่าไปที่ แม่โฉม
 

อันธพาล 2499 THE MUSICAL เด่นมากๆ ไปกับ นักแสดง นำ ที่ดูเข้ากับบท เล่นดี มีพลังดึงดูด ไม่แพ้ ฉบับ หนังใหญ่ นาย ณภัทร ทำให้ แดง ไบเล่ ออกมา เป็นนักเลงรูปหล่อ หุ่นสูงมาดเท่ ดูหล่อมากๆ บนเวที ชัดเจนในความเป็น นักเลงที่รักเพื่อน รักแฟน รักแม่ ดูอ่อนโยนต่อเด็ก สตรี คนขรา ต้องชม การแสดง อาจจะมีหลุดบ้าง ขาดพลังบ้างในบางฉากบางตอน แต่ด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวพลังบนเวที ทำให้มองข้าม ข้อบกพร่องไปได้ แดง ไบเล่ เด่นที่สุดบนเวที กับความหลากหลาย ความหล่อ การแสดงทั้งแอ็คชั่น รัก ดราม่า
 

ไอซ์ พาริส เป็น ปุ๊ ระเบิดขวด ที่ มีมาดยียวนกวนๆ ดูร้ายสุดๆ ในทุกฉากทุกตอน  ในช่วง เป็นเพื่อนรักกับ แดง ดูดีตายแทนกันได้ แต่พอกลายเป็นเพื่อนแค้น ชัดเจนในความเกลียดแบบรุนแรง ต้องชม.. ดีงามทั้ง การแสดง และ เสียงร้องเพลง
 

เทศน์ ไมรอน  พูดน้อยต่อยหนัก ในบท ดำ เอสโซ่ นักมวยหน้าหล่อ ที่ยอมแค่ ปุ๊ เพียงคนเดียว ภาพความร้ายยังตงมี แค่ ลดความแรงลง ทำให้ คนดูไม่เกลียด ดูไม่เป็นตัวร้าย ทุกครั้ง กับ คำพูด “แล้วแต่ปุ๊” ทำให้ อดยิ้ม ออกมา ทุกคอน
 

บูม สหรัฐ เป็น แหลมสิงห์ ที่เรียกฮา ในทุกฉาก ที่ออกมา ด้วยคาแรคเตอร์ ที่ชอบร้องเพลง แต่ร้องผิดคีย์ ทุกที แต่พอถึงช่วงที่ ร้องแบบเสียงดีๆ ก็ทำเอา ซึมได้เหมือนกัน

ไดมอนด์ ณรกร ดูใสๆ เป็นน้องเล็กในกลุ่ม กับบท เปี๊ยก วิสุทธิกษัตริย์ นักเรียนที่อยากเป็นนักเลง ที่บทถูกลดลงจาก ในหนังลงไปมาก เลยกลายเป็นตัวตาม แต่ก็ ยังที่โชว์เสียงน้องใสๆ น่ารักๆ กับ ฉากที่ เรียกน้ำตาจากคนดู
 

อ๋อลี่ ตติยา น่ารักมากๆ กับบท วัลภา ที่ดูเซ็กซี่ เร้าร้อน มีเสน่ห์ เมื่ออยู่ในบาร์ ที่จะทำให้ หนุ่มๆ หลงใหล เลิฟซีนดุเด็ดเผ็ดมันกับแดง  และทำได้ดี ในฉากดราม่า แสดงอารมณ์ เสียงร้องเเพราะ เปลี่ยนไปตาม แต่ละช่วงอารมณ์
 

ปุยฝ้าย ภัทณชา อาจจะดู เด็กไปกับ แม่โฉม แต่การแสดง เสียงร้อง ส่งพลังความเป็นแม่ ออกมาเต็มที่สะกดคนดู ขโมยซีน แต่ก็รีบส่งบทกับ นักแสดงคนอื่น ได้ดี จนดูเด่นในทุกๆ ฉาก รวมทั้ง นักแสดงสมทบ ที่สลับกันกับบทที่หลากหลาย บนเวที เล่นดี ร้องดี น้ำเสียงดี เต้นดี ทำให้ ละครออกมาเป็น ละครเพลงที่สมบูรณ์ลงตัวดีงาม ดูสนุก คั้งแต่ต้นจนจบ ที่ต้องชมคือ สองเด็กน้อย ที่มารับบท แดง กับ ปุ๊ ในวัยเด็กมาน้อย แต่ดูน่ารัก ปูทาง ให้ อินไปกับ ความสัมพันธ์ เพื่อนรักกันของ แดงกับปุ๊
 

อันธพาล 2499 THE MUSICAL ยังคงมาตราฐาน ละครดีงามๆ เล่นใหญ่ ในแบบ รัชดาลัย ที่ออกมาดีงาม โปรดักขั่นเริ่ดหรู เสื้อผ้าหน้าผม ฉากต่างๆ ที่พาย้อนกลับไปในปี 2499 มีการใช้แสง สี เสียง ที่ดูแปลกตา แต่เข้ากับเรื่อง มาช่วยเพิ่ม มาช่วยขยี้ ให้ ละครออกมาดูแปลกตา แปลกไปกว่า ละครเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะ แสงสี ตอนเปลี่ยนฉากเปลี่ยนตอน ตั้งแต่ต้นจนจบ ยอดเยี่ยมดีงามจริงๆ และดูสะดุดตา มากๆ ทั้ง รถเก๋งคันงาม ภาพเสียง รถไฟ แล่นผ่านไม้กั้น ฉากเผาศพ ตึกรามบ้านช่อง หรือภาพข่าวในหนังสือพิมพ์

หลายฉากหลายตอน ดีงามๆ ชัดเจนในความ เป็น ละครมิวสิคัล ในหลาย แนว ที่คุ้นตา กันดีจาก ละครเพลง ในระดับนานาชาติ อาทิ ฉากในบาร์ ที่ วัลภา โชว์ลีลา ปล่อยของเสียงร้องท่าทาง ไปกับ น้องๆ แดนเซอร์สาวสวย ร่วมกับแขกที่มาเที่ยว แก๊งค์ อันธพาล สวยงาม ในแบบ ละครที่มีฉากร้องเพลงในบาร์ในคาบาเร่ ฉากดวล 13 ห้าง บางลำพู สุดยอด ดีงามๆ มากๆ ดีไซด์ ลีลาการเต้น ในแบบ แก๊งค์ข้างถนน แอ็คชั่นบู๊ๆ ผ่าน ลีลาการเต้น ที่ นักแสดงหนุ่มๆ เต็มเวที ที่ดุเด็ด ให้ความตื่นตาตื่นใจ และ ทำให้ คนดู ละสายตาไม่ได้ ไปกับ ชิคแพ็กซ์ โชว์หุ่นโชว์กล้าม ของทุกคนบนเวที โดยเฉพาะ กับ 5 นักแสดงนำบทเพลงต่างๆ มีความไพเราะ ชัดเจนในความเป็น ละครมิวสิคัล  2499 อันธพาลครองเมือง คือ หนังไทย ระดับตำนาน อันธพาล 2499 THE MUSICAL ก็เป็น ละครมิวสิคัล ที่อยู่ในใจ ของ คนดู..แน่นอน“อันธพาล 2499 THE MUSICAL”เปิดการแสดง ในระหว่าง วันที่ 26 พฤษภาคม – 29 มิถุนายน 2568 ณ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ ( Esplanade Ratchada ) ซื้oบัตsได้ที่ ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกช่องทาง

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘กำเนิดเทพเจ้า’ตอน ‘มหาศึกเทพยุทธ'(Creation of the Gods II : Demon Force)

โอ๊ยเล่าเรื่อง 'กำเนิดเทพเจ้า'ตอน 'มหาศึกเทพยุทธ'(Creation of the Gods II : Demon Force)

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘กำเนิดเทพเจ้า’ตอน ‘มหาศึกเทพยุทธ'(Creation of the Gods II : Demon Force)

วันเสาร์ ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ห้องสิน คือ นิยายดังของจีนในศตวรรษที่ 16 สมัยราชวงศ์หมิง เรื่องราวของการทำสงคราม ที่ดังๆ พอๆ กับ สามก๊ก หรือ ซ้องกัง(ผู้หยิ่งงใหญ่แห่งเจ้าเหลียงซาน)รู้จัก ห้องสิน ครั้งแรก ใน วิทยุ ที่มีได้ฟังตอนกลับจากเลิกเรียนตอนเป็นเด็กตัวน้อยๆ แต่ ไม่ได้ฟังแบบต่อเนื่อง เลยต่อไม่ติด จะได้อ่าน ฉบับแปลเป็นไทย ในสมัยร.2 ก็ยาวเกิน 100 กว่าตอน และเรื่องนี้ แทบ จะไม่ได้มีการนำมาสร้าง ทั้งใน จอแก้ว/จอเงิน เลยทำให้ ความทรงจำ เกี่ยวกับ ห้องสิน ไม่มีอยู่ในหัวจำได้แค่ เป็นเรื่องสงครามของมนุษย์ ที่มี เทพ มาร เข้ามามีเอี่ยว เข้ามายุ่งกับการรบด้วย Creation of the Gods  คือ การนำเอา ห้องสิน มาสร้าง  ทำออกมาแล้วถึง2 ภาค 

กําเนิดเทพเจ้า 1: อาณาจักรแห่งพายุ( Creation of the Gods I: Kingdom of Storm)

อาณาจักรแห่งพายุ นำไปพบกับ ปฐมบท ที่มาที่ไป ของสงคราม อินโชว กษัตริย์ราชวงศ์ชาง จอมโหด ที่นำตัว ลูกชายของแคว้นต่างๆ เข้าวัง รับเป็นลูกชายบุญธรรมเพื่อเป็นตัวประกันไม่ให้แข็งข้อก่อกบฏ เทพบนสวรรค์ ส่ง เซียนเฒ่า เจียงจื่อหยา กับ สองลูกศิษย์ นาจา กับ หยางเจี่ยนเทพสามตา ลงมา พร้อม “บัญชีแต่งตั้งเทพ” เฟิ่งเฉิ่นปัง (Fengshen Bang ) ทัณฑ์บนสวรรค์ เพื่อลงโทษ ส่วนเจ้าแห่งมาร บนเกาะเต่าทอง ก็ส่งสมุนตัวร้าย ขึ้นมา นำโดย นางจิ้งจอก ที่เข้ามาอยู่กาย และ สงครามเริ่มเกิดขึ้น พร้อมคำทำนาย จะตายด้วยน้ำมือ ลูกชายตัวเอง และ อินเจียว จะเป็น ผู้ที่รักษาสมดุลของสามโลกหนังจบลง ที่ ถูกลอบสังหาร จีฟา ถูกช่วยจนหนีกลับเมืองซีฉี หยินเจียว เสียชีวิต แต่ถูกนาจากับ เทพสามตาพากลับสวรรค์ เพื่อรักษาพร้อมทั้ง ติ่งทิ้งท้าย แม่ทัพผู้เก่งกาจกลับคืนเมืองเซียนเฒ่าเจียงจื่อหยา ถูกทิ้งบนโลกมนุษย์ นั่งตกปลาอยู่ริมตลิ่งแบบเดียวดาย (ทั้งสองติ่ง ถูกนำมาเชื่อมกับ ภาคสอง ได้แบบเนียนๆ กลืนไปกับเรื่อง)(ภาคนี้ ไม่ได้เข้าฉายในไทย หาดูได้ใน Netfix)

กำเนิดเทพเจ้า ตอน มหาศึกเทพยุทธ(Creation of the Gods II : Demon Force)

 อินโช่ว ส่ง กองทัพ ที่นำโดย แม่ทัพหญิง  เติ้งฉานอวี่ ออกมาตามจับ จีฟา ที่หนีกลับมาในเมือง ในฐานะกบฏ อินเจียว ได้รับ พลังจากมหาเทพ กลับสู่โลกมนุษย์ สงครามครั้งใหญ่เกิดขึ้น ขณะที่ ตัวร้าย จาก เกาะเต่าทอง เริ่มปรากฏตัว รอเวลาขึ้นมาครอบครองโลกในภาคนี้ หนังยังคงเดินตามภาคแรก ทั้งเรื่องราว การเล่าเรื่อง บรรยากาศ การนำเสนอ การเล่าเรื่อง จาก ภาคแรก ที่เน้นๆ สงคราม ดราม่า กลยุทธ์ การเมือง มาสู่ หนังสงครามแบบเต็มตัว ที่มี เรื่องรัก เข้ามาเป็นเส้นเรื่องหลักร่วม

อยากจะแนะนำ ให้ดู ภาคแรกมาก่อน จะได้รู้เรื่องราว ที่มาที่ไปของ ตัวละครหลักๆ จะได้ไม่งง!! เข้าใจ รู้จัก และอินไปกับ ตัวละครเหล่านั้นแต่ถึงจะ ไม่ได้ดูภาคแรก มาเริ่มจาก ภาคนี้ ถ้าปล่อยใจ ดูแบบสบายๆ ไม่คิดอะไรมาก ก็ดูสนุกได้ หนังมีพูดถึงย้อนเรื่องราวของตัวละครหลักจากภาคแรกเล็กๆ ไม่ขยี้มาก พอจะต่อเรื่องติดแบบไม่ลงลึก และเชื่อแน่ว่า ถ้าดูภาคสองแล้ว ก็คงอยาก กลับไปหาดู ภาคแรก

แต่ที่ งง!! แน่ๆ ทั้งสองภาคต่อ ตัวละครเยอะจัด ชื่อจีน แถมยังไม่คุ้นชื่ออีก ไม่ว่าจะคอหนังจีนทั้งรุ่นใหม่ รุ่นเก่า อาจจะเกินความงง!! สับสนกันบ้าง(ตัวหนัง มีขึ้นชื่อตัวละครทุกตัว ทั้งตัวหลัก ตัวที่ผ่านมาผ่านไป แต่ มาเร็วเกิน)ในภาคแรก ตัวละครเยอะ หน้าตา ท่าทางชุด เหมือนๆ กันหมด คล้ายกันจนตาลาย ยังดี ที่ ภาคนี้ ตัวละครหลักลดลง ความคล้ายคลึงกัน ลดน้อยลง มีไม่มากนักในภาคนี้ สิ่งที่ หนีงต้องการสื่อ แบบชัดเจนที่สุดคือ “เราทำสงครามเพื่อช่วยประชาชน หรือ ทำเพื่อเจ้านาย เพื่อศักดิ์ของตระกูล”

ใน มหาศึกเทพยุทธ อลังการงานสร้าง เทคนิคพิเศษดีงามๆ ในระดับบล็อคมาสเตอร์ ดึงให้เข้าไปสู่ตัวหนัง ได้ในทุกๆ ช่วงบรรยากาศ ทั้งสรวงสวรรค์ บรรดาเทพต่างๆ เกาะเต่าทองที่อยู่ของมารอสูรร้าย หรือ สงครามในโลกมนุษย์ตั้งแต่ฉาก/ซีน/ภาพแรกบนจอ จนฉากสุดท้าย ทุกฉากเน้นๆ โชว์สเปลเชี่ยลเอฟเฟคสนุกสนาน..ตื่นตาตื่นใจไปกับ ฉากรบอันยิ่งใหญ่ตระกาลตา คิวบู๊แอ็คชั่นดีงาม ในสไตล์หนังจีนกำลังภายในยุคสเปเชียลเอฟเฟค ดูดีที่ สงครามมนุษย์กับมนุษย์เพียวๆ การต่อสู้ที่ใบคาถาอาคมมนต์ดำ การต่อสู้ที่มีเทพ/มาร/ปีศาจเข้ามาเอี่ยว

ซึ้งกินใจ..อิ่มเอมไปกับ รักระหว่างรบ จากศัตรูกลายเป็นความรัก ที่อาจจะไม่ใช่ของใหม่ เคยผ่านตามา แต่ เรื่องนี้ ก็ทำได้ดี เล่นกับอารมณ์เข้าไปถึงข้างใน มีทั้งรอยยิ้มความสุขใจ และ ทำให้ซึม เศร้า น้ำตาคลอ

อวี๋ซื่อ มาพร้อมความหล่อ หุ่นดีงาม กับบท จีฟา ที่ เขยิบ จาก บทนำรองๆ ในภาคที่แล้ว มาเป็นบทนำเดินเรื่อง เล่นดี

น่าเอ่อร์น่าเชี่ยน ในบท  เติ้งฉานอวี่  แม่ทัพหญิงเติ้งฉานอวี่ คือ นักแสดงที่เด่น ดูดี ที่สุด ของตัวหนัง ดูสง่าเก่งสมกับเป็นแม่ทัพ เล่นสีหน้าแววตาถ่ายทอดในส่วนดราม่า ได้ดี พอถึงบทรัก ก็ น่ารัก มากๆ อวี๋ซื่อ จับคู่ น่าเอ่อร์น่าเชี่ยน เล่นกันได้แบบเข้าขา ดีงาม ทั้งการต่อสู้ คู่แค้นคู่ต่อสู้ในสงคราม  หรือ การเป็น คู่รักระหว่างรบ

นาจา  เทพสามตาหยางเจียน และ เซียนเฒ่า เจียงจื่อหยา (รับบทโดย หวงป๋อ) ยังคงชัดเจน ในรูปลักษณ์ สดใส สบายๆ น่ารักๆ ในความเป็น เทพ ที่ลงมาช่วยต่อสู้ในสงครามมนุษย์ นาจา ดูพริ้วไหว ด้วย แพรแดง กงล้อไฟเทพสามตา หยางเจียน เพลินกับ การเคลื่อนกาย ตอนต่อสู้เซียนเฒ่า เจียงจื่อหยา ผู้หมดพลัง ชัดเจนในการเป็นกุนซือ

เฉินมู่ฉือ ในบท อินเจียว ลูกชาย อินโช่ว ที่มีทั้งโชว์หน้าหล่อๆ ของตัวเอง กับ เน้นๆ ภาพซีจี เมื่อเป็น คนสามร่างสามจิตใจกายสีฟ้า

เฟยเสียง (หรือที่รู้จักกันในชื่อ คริส ฟิลลิปส์) กลับมารับบท พระเจ้าอินโชว ที่ยังคงมาพร้อมกับ  ซูต๋าจี่ (รับบทโดย น่าหรัน) นางจิ้งจอกเก้าหางสาส

ตัวละครที่เพิ่มเติม ที่เด่นมากๆ คือ 4 ยักษ์ ทหารสนิทของ ที่มาในภาพของ ท้าวจตุโลกบาล ยักษ์เฝ้ายมโลกทั่ง4 ทิศ  ทั้งหน้าตาท่าทางอาวุธ เหวินจง (รับบทโดย อู๋ซิงกั๋ว) อำมาตย์ อาจารย์เฒ่า ที่มาพร้อมตาที่สาม เจ้าแห่งมนต์ดำ เหมือนไม่เก่ง แต่สุดท้าย กลายเป็น ตัวเด่นที่สุด ในด้านการต่อสู้ด้วยคาถาอาคมรวมทั้ง บรรดา แม่ทัพ ทหาร คนสนิท ของทั้งสองฝ่าย 

และเป็นการเปิดตัว เจ้าแห่งมาร ที่ ดูยังไงๆ ชวนให้นึกถึง ผีดิบนอตเฟอราตู

รวมทั้ง ตัวละครที่ไม่ใช่มนุษย์ อย่าง พญานกยักษ์ ตัวเขียวๆ ผู้ช่วยของ จีฟา ที่เก่งกาจ ดูเป็นธรรมชาติ เป็นผู้ที่ดีของฝ่ายตัวดี เด่นทุกฉากที่ออกมา หรือ กิเลนของ เหวินจง ฝ่ายตัวร้าย ที่ร้ายสุดๆ และที่ มาแว่บๆ คือ กองทัพทหารผีดิบ 

แต่ที่ต้องชมคือ ใน มหาศึกเทพยุทธ ไม่มีตัวละครประหลาดๆ ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตา ไม่มีตัวละครที่ชวนให้นึกถึงการ์ตูนไม่สมจริง ไม่มีมุขตลกนอกเรื่องนอกราว เหมือนที่ ใน หนังจีน ฟอร์มยักษ์ในยุคนี้ แทบทุกเรื่อง ต้องมีต้องนำมาใส่ เพื่อสร้างความสนุกสนาน ทำให้ เรื่องนี้ดูดีดูสมจริงสมจังเสียงไทย ดีงาม เสียงที่คุ้นเคย เสียงไทยตำนาน จาก ทีมพันธมิตร กลับมาสร้างความสนุกให้กับหนัง (ตั้งแต่ประกาศ ปิดตำนานจาก มังกรหยก เมื่อต้นปี มาถึงตอนนี้ ก็ยัง ได้ยินเสียงไทยพันธมิตร บนจอหนัง อยู่เลย555)

สองเพลงประกอบ ในภาคแรก ไพเราะเพราะมากๆ ทั้งเนื้อหา เสียงร้อง ทั้งที่ออกมาในเรื่อง หรือ ฟังแต่เสียง ในช่วงเอนเครดิต ช่วงแรก ฟังแล้ว น่ารักๆ ยิ้มไป ก่อนที่เพลงเดียวกัน จะทำให้ เสียงน้ำตา ในช่วง ท้ายๆ เรื่อง กำเนิดเทพเจ้า ตอน มหาศึกเทพยุทธ(Creation of the Gods II : Demon Force) สนุก ครบรส ดราม่า/รัก/โรอมนติก/แอ็คช้่น/แฟนตาซี 2 ชั่วโมงครึ่ง ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดูจบ..แล้ว อยากจะ ดู ภาค3 ต่อไวๆ หนังทิ้งท้าย ด้วยติ่งเล็กๆ แต่สำคัญๆ ถึง 3 ช่วง ในชาวงเครเครดิต ท้ายเรื่อง ที่ต้องชม ฉายแสง แอด.เวนเจอร์ ที่ ย้ำกับคนดูให้ รอดู ไม่อย่างนั้น หลายคนคงพลาดออกก่อนสนุกโดนใจ ในระดับ 9/10 คะแนน

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘The Tutor พี่วรรณมาสอน’

โอ๊ยเล่าเรื่อง 'The Tutor พี่วรรณมาสอน'

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘The Tutor พี่วรรณมาสอน’

วันเสาร์ ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

อีกครั้งที่หนังผีไทยๆนำเสนอเรื่องของการบนบานขอให้ ผีช่วย จนผีมาทวงคืน ครั้งนี้ นำเรื่องของ การกวดวิชา มาเป็น เส้นเรื่อง ผลงานการสร้างของ บริษัท Very Great  กำกับโดย บัณฑิต ทองดี  The Tutor พี่วรรณ มาสอน ชวนให้นึกถึงสยามสแควร์หนังผีๆของสหมงคลฟิลม์ ที่พูดถึงผีในโรงเรียนกวดวิชาเหมือนกันและเมื่อกำกับโดย อ๊อด-บัณฑิต ทองดี ที่เคยกำกับหนังผีน่ากลัว สุดๆ อย่าง เฮี้ยน มาแล้ว ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจ ให้กับ ตัวหนังมากขึ้น

เบล ก็อต และปาย ได้ยินเรื่องเล่า “การสมัครเรียนกับผี”  ที่จะทำให้สอบผ่านทุกวิชาจาก ซิ่ว เพื่อนซี้ของ เบสน้องชายเบล จึง ตัดสินใจไปยังชั้นเรียนร้างภายในสถาบันกวดวิชาชื่อดังของครูพี่วรรณ เพื่อหาทางออกให้กับความกดดันด้านการเรียนที่พวกเขาเผชิญ สมัครเรียนกับผีแต่ความหวังกลับกลายเป็นการเปิดประตูสู่คาบวิชาอาถรรพ์ เมื่อมันออกตามหลอกตามสอนพวกเขา บังคับให้อยู่ในวังวนแห่งการเรียนสุดสยองไม่จบสิ้นเบลถูกวิญญาณร้ายครอบงำให้ร่ำเรียนอย่างทารุณ จน เบส ผู้เป็นน้องชายสัมผัสได้ เขาจึงร่วมมือ กับซิ่วเพื่อไขความลับภายในสถาบันกวดวิชา แต่ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้คำตอบ ก็ยิ่งเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้สุดสยอง และต้องเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่อยากจะสั่งสอนพวกเขาไปตลอดกาล

อ๊อด-บัณฑิต ทองดี ยังคงชัดเจน ในการทำหนังผีที่เกี่ยวกับการกวดวิชา ไม่มีนอกเรื่องนอกราว ไม่เลอะเทอะ นำเสนอเรื่องของ การเรียนล้วนๆ ไม่มีเรื่องรักของหนุ่มสาว ไม่มีเรื่อง LGBTQ แนวหนังที่กำลังฮิตจะมีก็ใน ความรักมิตรภาพของเพื่อน พี่น้อง พ่อแม่ และ คุณครู สนุกไปกับรอดูว่า เด็กๆ จะโดนอะไร ใครจะอยู่ใครจะไป ใครจะรอด/ไม่รอด/ตาย ท้ายสุด จะรับมือกับผีร้ายอย่างไร
สิ่งที่ The Tutor พี่วรรณ มาสอน นำเสนอ คือครูที่ขาดหัวใจ ความเป็นครู ยึดติดกับความสำเร็จของตัวเอง กับ แม่ที่บงการชีวิตของลูก อยากให้ลูกเป็นโน้นเป็นนี่ รักลูกไม่เท่ากัน บรรยากาศของ หนังผี แนวหลอนๆ มาแบบจัดเต็ม ด้วยงานด้านภาพ การจัดแสงออกมาโทนมืดๆ สลัวๆ  แทบจะไม่ความสว่าง ขยี้ด้วยดนตรีประกอบ และ ฉากที่ทำให้ตกใจ มีทั้ง ผีหลอกหลอน ผีเข้าสิง ผีเอาตาย หนังเล่าเรื่องง่ายๆ เข้าใจง่าย ดูไม่ยาก ไม่มีอะไรยากเกินความเข้าใจ ไม่ต้องตีความ น่าเสียดาย ที่ บทหนังยังไม่ดีพอ หลายช่วงหลายตอนที่ น่าสนใจ กลับขาดเสน่ห์ขาดลูกเล่น เปิดเรื่องให้อยากติดตามอยากหาคำตอบ แต่เฉลย แบบไม่สนุกแต่ก็มี หลายมุข หลายบทสนทนา ที่ทำงาน ทำให้สนุกไปกับเรื่อง ขำได้ยิ้มได้ อาทิ ช่วงสมัครเรียน การเล่นกับชื่อสิงพี่น้อง หรือช่วง แก้เกมส์กับผี

จริงๆ แล้ว The Tutor พี่วรรณ มาสอน  มี หลายอย่างที่ เอื้อต่อการ ทำเป็น หนังผี ที่น่ากลัว ได้ไม่ยากนัก ทั้ง เส้นเรื่อง โปรดักชั่น และ นักแสดง แต่หนังกลับรู้สึกสะดุด กั๊กๆ ไปไม่ถึง ไปไม่สุด  ฉากสะดุ้งตุ้งแช่ตกใจมีทั้งที่ ทำให้ตกใจกับ ดูเฉยๆผีในเรื่อง ทั้งที่ มาหลอก มาฆ่า มันดูธรรมดาๆ มาแบบมาๆ ไปๆ ไปสักนิด หรือ บางช่วงที่คิดว่าจะ เตรียมกลัว หรือปิดตากับความโหด กลับไม่มามันเลยดูไม่สุด ทั้ง ความน่ากลัวของผี หรือ ความสยดสยองเลือดสาดจน นึกว่า ดู ละครผีๆ ซี่รี่ย์ผีๆ มากกว่าดูหนังผีในโรง

สิ่งเล็กๆ ที่ชอบคือ เพลงพระคุณที่สาม เพลงวันไหว้ครู ที่เลือกเสียงใสๆ ของนักร้องสาว นำมาใส่ในหนัง เพราะมากๆ หรือ เสียงนักเรียนท่องตำรา เพิ่มความหลอนได้มากทีเดียว
ในขณะที่ ตึกสถานกวดวิชา มีนดูลอยๆ หรือ ฉากที่ นักเรียนมาประท้วง ดูไม่เป็นธรรมชาติ จนลดความน่ากลัว ให้กับเรื่องหนังให้น้ำหนักไปที่ สองพี่น้อง เบส กับ เบล ที่เล่นกันได้แบบเข้าขากัน จนดูเป็นพี่น้องกันจริงๆ กับ แม่ที่ถูกแม่บังคับเรื่องการเรียน โดยมี แก๊งค์เพื่อนมาเสริม เด็กๆ แต่ละคน มีจุดหมายในการเรียนต่างกันอยากเป็นที่หนึ่ง อยากได้ทุนไปต่างประเทศ อยากติดหมอ หรืออยากติดทหาร

มีน-นิชคุณ ขจรบริรักษ์ เป็น เบส ที่ทุกมุมดูหล่อน่ารัก ได้บทที่หลากหลาย ทั้งดราม่า ขำๆ หรือ ต่อสู้กับผี
 

อเล็กซ์-อเล็กซานดร้า อริดา มาเต้ รับบท เบล สวยใส ในแบบ เด็กเรียนๆ มาแบบน่ารัก สบายๆ ทั่งตอนเหนื่อยกับการเรียน  โดนผีสิง หรือสู้กับผี

แบงค์-ศรราม น้ำเพชร (เอนกลาภ) มาในบท ดนัย เด่นคุณ นักเรียนในตำนานของ กวดวิชาครูพี่วรรณ ดูใสๆ ดูเป็นเด็กเรียน เครียดแทน และดู โรคจิตๆ ด้วยท่าทางแววตา (แม้จะดูเยอะไปสักนอด) กับบทภารโรง ที่มาพร้อมกับ วิทยุเทปเพลงวันไหว้ครู(ดูแล้ว หน้าตาท่าทาง ออกแนว เต๋า-สมชาย เข็มกลัด) สลัดภาพ การแสดงแบบลิเกจนหมด

อิน-อินทัช กูรมะสุวรรณ รับบท ซิ่ว เน้นขำๆ เฮฮา ไทเกอร์-ธนวัต หัชลีฬหา รับบท ปาย ก๊ก-ปริญญา อังสนันท์ รับบท ก็อต ที่แต่ละคน มีคาแรคเตอร์ ที่ขัดเจน

และ ต้องชม สองสาวรุ่นพี่ ที่เข้าเสริมในส่วนของดราม่า กับ ความน่ากลัว ให้กับ ตัวเรื่องได้มากทีเดียว น้ำฝน-สรวงสุดา ลาวัณย์ประเสริฐ ในบท แม่สรวงสุดา ของสองพี่น้อง เล่นดี ดูเป็นธรรมชาติ เน้นๆ ไปที่ ดราม่าแม่ลูก เพิ่มความน่าสงสารให้เด็กๆ และดูผ่อนคลายไปกับ บทพูดที่ชวนให้ขำย้ำๆ ไปที่เรื่องเรียน ดูดีฉากสู้กับผีเพื่อช่วยลูกก็ออกมาดี

หญิง-รฐา โพธิ์งาม เป็น ครูพี่วรรณ ออร่ามาเต็ม ในความเป็น ครูแรงๆ ดึๆ โหดๆ กับลูกศิษย์ มาน้อย มาไม่มาก แต่ก็ทำให้ ครูพี่วรรณ เด่นในทุกๆ ฉาก ทั้งที่ ปรากฏตัว ถูกพูดถึง หรือ สแตนดี้โฆษณาครูพี่วรรณ The Tutor พี่วรรณ มาสอน ไม่ใช่ หนังเลวร้าย ไม่ใช่หนังไม่ดี ดูได้เพลินๆ แค่เป็น หนังผีที่ น่าจะ ออกมา น่ากลัวๆ หรือหลอน ได้มากกว่านี้ เสียดาย..เสียดาย6/10 หัวกระโหลก เกรด C ก็แล้วกันครับ

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘โหมโรง เดอะ มิวสิคัล2568’

โอ๊ยเล่าเรื่อง 'โหมโรง เดอะ มิวสิคัล2568'

โอ๊ยเล่าเรื่อง ‘โหมโรง เดอะ มิวสิคัล2568’

วันเสาร์ ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ดีใจมากๆ ตั้งตารอดูตั่งแต่ รู้ข่าวว่า โหมโรงเดอะมิวสิคัล จะคืนเวที กลีบมารีสเตทใกม่ เปิดแสดงอีกครั้ง ในวาระครบรอบ 10 ปี
โหมโรง เดอะมิวสิคัล เปิดแสดงรอบแรก  ประเดิมเปิด โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ ที่เปิดทำการครั้งแรก 31 มีนาคม 2558 โดยเปิดแสดงในปีนี้ถึง 2 ครั้ง รีสเตทในเดือนพฤศจิกายน  และ ถูกนำมารีสเตท ใหม่อีกครั้ง ในช่วงเดือน พฤษภาคม  ปี 2561

ได้ดู โหมโรง เดอะมิวสิคัล ครั้งแรก เมื่อ วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2558 และดูซ้ำ ตอนรีสเตท ทั้งสองครั้ง และก็ชอบทั้งสามเวอร์ชั่นโหมโรง ฉบับหนังใหญ่ เป็นหนังไทยที่ได้ดูมาไม่ต่ำกว่า30-40รอบ เฉพาะตอนเข้าโรงฉายดูไป 10 รอบ 3 วันแรก ดูซ้ำ3 รอบ จัดเป็น หนังไทยในดวงใจ อันดับต้นๆ เสียน้ำตาทุกครั้งที่ได้ดูในชีวิต รักชอบเรื่อง ที่พูดถึง ดนตรีไทย การตีระนาด มีแค่ โหมโรง กับละครช่อง7 สี 2 เรื่อง ระนาดเอก กับ ทิพย์ดุริยางค์

น่าเสียดาย ฉบับที่นำมาสร้าง เป็นละครโทรทัศน์ นั้น อยากดู แต่ ไม่เคยได้ดูสักตอนเดียว คิดที่เวลา ออกอากาศ สมัยนั่น ยังไม่มีสตรีมมิ่ง ด้วย เลยอดดูการกลับมา รีเสตท ในรอบ 10 ปี เหมือนกับ การได้กลับมาเจอ ของรัก ของชอบอึกครั้ง บรรยากาศเดิมๆ ดีๆ เก่าๆ ขิง โหมโรงเดอะมิวสิคัล กลับมาครบ มีเปลี่ยนแค่ นักแสดงหลักบางคนแม้ โหมโรง เดอะมิวสิคัล คือ ละครเวทีอันดับต้นๆที่อยู่ในใจ รักชอบ ยังจำภาพ/รายละเอียดต่างๆ ได้ดี แต่กับ เพลงร้อง อาจจะลืมเลือนไปบ้าง ซึ่งกลายเป็นเรื่องดี ไม่มีการเปรียบเทียบ

โหมโรง เดอะ มิวสิคัล (2568) รอบที่ดูคือรอบมิตรสหาย รอบแรกที่แสดงจริงบนเวที เลยอาจจะเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด การแสดงอาจจะยังไม่ดี แต่ด้วย ความชอบ ในตัวเรื่อง เห็นถึงความตั้งใจของนักแสดง/ทีมงาน เลยมองข้าม ความไม่สมบูรณ์ ข้อผิดพลาด และข้อตำหนิติเตียน จนสนุกไปกับละคร

โหมโรงเดอะมิวสิคัล นำเสนอในแบบของละครเพลงแนวมิวสิคัล ตัวละครร้องเพลงเล่าเรื่อง เล่าความรู้สึก ผ่านเนื้อเรื่องตัดสลับ2 ช่วงอายุคือ นายศร ตั้งแต่เด็กจนเริ่มมีชื่อเสียง กับท่านครูในยุคสมัยที่ศิลปวัฒนธรรมไทย กำลังถูกต่างชาติคุกคาม รายละเอียดต่างๆ คล้ายกับในเวอร์ชั่นหนังใหญ่ เพียงแต่มีการดัดแปลง บางสิ่งบางอย่าง บางช่วงอาจจะดูดีเมื่อเป็นหนัง แต่ไม่เหมาะกับการแสดงสด บางอย่างตัดไปทำให้เรื่องกระชับดูดีขึ้น บางส่วนใส่เข้ามา เรื่องจะได้สนุกมากขึ้น

สังข์-ธีรวัฒน์ อนุวัตรอุดม ผู้กำกับ นำ โหมโรง เดอะมิวสิคัล กลับมาใหม่ แทบจะถอดของเดิมมาเป๊ะๅ ยังคงดีงาม ออกมาดูสมบูรณ์ปราณีต เสื้อผ้า/หน้า/ผม มาแบบจัดเต็ม เล่าเรื่องเข้าใจง่าย จังหวะต่างๆ ดูลงตัวทั้งการเล่าเรื่องพูดคุยปกติ หรือเล่าด้วยเสียงเพลง การตัดสลับไปมาสองยุคดูดีมีลูกเล่น ฉากต่างๆ ดูดี ฉากโชว์มัลติมีเดียก็ไม่เลว
มีการดัดแปลง บางช่วงบางฉาก เพื่อให้ทันสมัย เพิ่มความสนุกมากขึ้น ได้โดยแทบจะไม่รู้สึก ถึงการเปลี่ยนแปลง
โปรดักชั่นเริ่ดๆ ไม่ใหญ่มากมาย แต่ออกมาดี สวยงาม ในทุกๆ ส่วน ชอบการจัดแสง ที่เพิ่มความขลังให้กับ ดนตรีไทย ฉากทั้งในธรรมชาติ ในวัง ในเมือง ดีมากๆ

โหมโรงเดอะมืวสิคัล ยังคงเป็น ละครเวที ที่แสดงความเป็นไทย ดนตรีไทย มาผสมผสานกับ ละครเวทีแนวมิวสิคัล ได้แบบลงตัว รวมทั้ง ตัดสลับไปมา ในสองช่วงวัย ศรสมัยวัยรุ่น กับท่านครูในวัยชรา ที่ทำออกมาได้ดี

การได้ดู โหมโรงเดอะมิวสิคัล ฉบับนี้ ทำให้ น้ำตาซึมโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่ เริ่มมีเสียงดนตรีไทยดังออกมาจากบนเวที และทุกๆ ฉากทุกๆ ตอน ที่มีเสียงดนตรีไทย ที่ทะลุอินเข้าไปถึงข้างใน เป็นน้ำตา แห่งความสุขเสียงดนตรีไทย ภาพดนตรีไทยบนเวที ชวนให้ นึกย้อนไปถึง ภาพเก่าๆ บรรยากาศเดิมๆ ที่เคยเล่นดนตรีไทย ตีระนาดในวัยเด็ก

ด้วยความที่เป็นละครเวที ทำให้หลายฉาก โดนใจ เข้าไปถึงข้างใน ดูสมจริง มากกว่า ตอนเป็น หนังหรือละครทีวี ที่อาจจะรู้สึกใช้การตัดต่อ ใช้นักแสดงแทนด้วยความที่เป็นเรื่องของดนตรี เมื่อมาดูสดๆ เลยให้ความรู้สึกใกล้ชิด ดูเป็นธรรมชาติ เหมือนมานั่งดู การแสดงดนตรีติดขอบเวที

ฉากประชันดนตรี ชวนให้นึกถึง ตอนไปดู ประชันวงดนตรี ระดับโรงเรียน หรือแบบใหญ่ๆ อย่างวัดพระพิเรนทร์ หรือ ฉากวงดนตรี ในบ้านท่านครู ใช่เลยบรรยากาศครอบครัวสมัยเรียนดนตรีไทย มาแบบเต็มๆในฉบับนี้ มีหลายๆ ฉากหลายๆ ทั้งฉากโชว์ ฉากใหญ่ ฉากเล็ก ที่ชอบ มากๆ อาทิ ฉาก ประชันระนาด ศรกับขุนอิน ยังคงสุดยอดดีงาม ต้องชม อาร์ม ที่ดูเก่งขึ้น มากกว่าเดิม ข้อแขน ฝีมือในการตีระนาดดีงาม มากๆ (ต้องชม ครูเบิ่ง ขุนอิน ที่ปล่อยฝีมือ ช่วยให้ ภาพบนเวที ออกมาดีงาม)
ต้องชมทั้ง อาร์ม กับ ครูเบิ่ง ที่รับส่งการตีระนาด ได้ดี มากๆ

ช่วงที่ เทิด มา บ้านพ่อครูครั้งแรก วงดนตรีไทยในบ้าน กับ เพลงแนะนำเครื่องดนตรีไทย กลายเป็น ฉากที่ชอบมากที่สุด ดูดี ดูอบอุ่น มากที่สุด เพลงไพเราะเนื้อเพลงเยี่ยม ผสมกับ เสียงดนตรีไทย รอบวง ที่มีพลังมากๆ ฉากนี้อยอุ่น น่ารักมากกกกก ฉากศร นอนบนเรือ เริ่มคิดกลับมาเล่นดนตรีไทยอีกครั้ง ภาพที่สวยงามมากจริงๆ ขยี้ด้วย เสียงร้องของ อาร์ม
แต่ที่ทำให้ ขนลุก..ยิ้มทั้งน้ำตา ตื้นตัน มากๆ แบบคาดไม่ถึง กลับไม่ใช่ ฉากในละคร กลายเป็น ช่วงละครจบ ครูเบิ่ง นำทีม นักแสดงที่เล่นดนตรีมาพร้อมระนาดเอก เต็มเวที เป็นการปิดท้าย ที่งดงามอีกฉากหนึ่งที่ชอบ ยิ้มมากๆ คือ เด็กน้อยในชุดนักแสดง ที่มากับเพลงปลุกใจ ดูน่ารักมากๆ ดีใจ..ที่ใส่ เพิ่มฮานี้เข้ามา ทำให้ ความรู้สึก เรื่องการเมือง ดูเบาลง

หรือ ฉากสุดท้าย ของท่านครู ที่ล้อมด้วย แม่โชติ ลูกชาย ทิวกับเทิด เล่นเอาน้ำตาซึมก่อนที่จะ ส่งท้ายด้วย เสียงร้องเพลงของ เด็กชายศร นายศร และ ท่านครูแม้โดยรวม จะชอบ มากมาย แต่ สิ่งที่กลับไม่ต่อยโดน ไม่ค่อยอิน นัก ในฉบับนี้ คือ ในส่วนของ ทหาร เรื่องของท่านผู้นำ มันดูลอยๆ เลยทำให้ดูแล้วเฉยๆพี่ตู่-นพพล โกมารชุน พลังล้นเหลือ คือ ท่านครู ที่ใช่ ดูอบอุ่น ใจดี เล่นดี นิ่งๆ ดูเป็นธรรมชาติ ทำให้ละครดูอบอุ่นในช่วงอยู่กับ ลูกศิษย์ ดูจริงจังดราม่าเมื่อต้องปะทะกับทหาร หรือน้ำตาซึมเมื่อต้องจากไปไม่เพียงแต่พลังการแสดงที่ดีงามบนเวที ฉากร้องเพลง ทุกฉาก อาจจะไม่ ใสกิ๊ก เหมือนนักร้องอาชีพ แต่ก็ส่งพลัง เป็นธรรมชาติ ออกมาจากข้างในจริงๆ ไม่ใช่การแสดง
เช่นเดียวกับ การตีระนาด..เชื่อว่าเป็นท่านครู จริงๆ

อาร์ม-กรกันต์ สุทธิโกเศศ สุดยอดมากๆ เล่นเก่งมากๆ เป็น ศร นักระนาดที่ใช่ น้ำเสียงสีหน้าท่าทางออกมาดีงาม ที่ต้องชมคือ การตีระนาด ที่ไม่ธรรมดา ดูพริ้วไหว สมกับที่เป็นสุดยอดมือระนาดจริงๆ (แม้อาจจะมีบางช่วงที่ฟังแล้ว เพี้ยนไปบ้างก็ตาม) รวมทั้ง เสียงร้องเพลง ทั้งช่วง ที่ร้องเล่าเรื่อง แสดงความรู้สึกในใจ หรือ เพลงรักกับ แนน-สาธิดา

ครูเบิ่ง-ทวีศักดิ์ อัครวงษ์ ยังคงเป็น ขุนอิน ที่ดูเหมาะ ตีระนาดดูดุดัน ฉากดวลที่แพ้ให้ศร ก็ทำได้เนียน เก่งครับ เล่นดีดูดุในตอนที่เอาชนะ หรือทำให้ น้ำตาซึม ตอนที่ ศรมากราบ แล้วพูดส่งท้าย

จ๋าย ไททศมิตร-อิชณน์กร พึ่งเกียรติ์รัศมี มาดเข้มๆ กับบท พันโทวีระ น้ำเสียงการแสดงดีมากๆ ตอนต้นๆ อาจจะเฉยๆ แต่พอถึง ฉากท้ายไคลแม็กซ์ ที่ปะทะกับ พ่อครู ส่งพลังรับส่งบทได้อย่างยอดเยี่ยม หลังจากได้ยินเสียง เพลง ลาวดวงเดือน ของท่านครู คือ ฉากดราม่าที่สุดฉากหนึ่งของละคร
น่าเสียดาย ที่แม้จะเล่นดี แต่เพราะ รูปร่างความสูง เลยรู้สึกว่าดูกลืนๆ ไปกับ ลูกน้องนายทหาร ไม่ดูเด่นโดด ออกมาเหมือนที่ โย่ง อาร์มแชร์ -อนุสรณ์ มณีเทศ แสดงไว้ในฉบับก่อน

แม่โชติ แนน-สาธิดา พรหมพิริยะ มาไม่กี่ฉาก แต่เสียงร้องความน่ารักก็ช่วยเติมส่วนความหวาน ได้มากทีเดียว ละลายไปกับ เพลงลั่นทม ดูแล้วรักไปกับฉากรักของ แนน กับ อาร์ม
อาร์ม-แนน เหมือนถูกสต๊าฟ แม้จะผ่านมาถึง 10 ปี แล้ว แต่ก็ยังดูเด็กเหมือนเดิมส่วน แม่โชติ ในวัยชรา ใหม่-ณัฐฐา ลอยด์ ที่ดูอบอุ่น สมกับเป็นคู่ชีวิตกับท่านครู (อาจจะดูลดวัย ดูเด็กกว่าที่ ดวงใจ หทัยกาญจน์ กับ สุดา ชื่นบาย เคยแสดงเอาไว้)

ศรัทธา ศรัทธาทิพย์ กลับมารับบท ครูเทียม อีกครั้ง มาไม่เยอะ แต่ก็เสียงหัวเราะ ดูไปยิ้มไป ขำไป ในทุกๆ ฉาก ฉากร้องเพลงสอน ศร นั้น น่ารัก ชวนให้นึกถึง เสียงร้องของ เจี๊ยบ-วัชระ ปานเอี่ยม กับวงเฉลียงบท ครูเทียม คาใจ อยู่นิด ตั่งแต่ หนังใหญ่ คือ เป็นครูที่เก่ง ขนาด ขุนอิน ยังทัก น่าจะมีฉากโชว์ ตีระนาด สักนิด น่าจะดี 555

นาย-มงคล สะอาดบุญญพัฒม์ ขยับจากบท ทิว เพื่อนศร จากครั้งที่แล้ว มารับบท เปี๊ยก ที่เรียกเสียงหัวเราะ ในมุขคำพูดท่าทางขำๆ ในช่วงต้น แต่น่าเสียดาย ที่พอมาถึง ช่วงชะตากรรมท้ายเรื่อง เพราะภาพตลก แม้จะเล่นดีดูจริงจัง ดูน่าสงสาร แต่ก็ไม่ทำให้เสียงน้ำตา เหมือนที่ เอ๋ เชิญยิ้ม ทำได้ในเวอร์ชั่นที่แล้วเพลงโชว์ ที่ นาย ร้อง น่ารักๆ ออกแนววงเฉลียง อย่างชัดเจน

แบ๊งค์-เฉลิมรัฐ จุลโลบล ดูน่ารักๆ กับบท เทิด ลูกทืว ผู้มาพร้อมกับฉิ่งคู่ใจ ที่ได้เล่นทั้งบทสบายๆ ผ่อนคลาย บทแอ็คชั่นเล็กๆ หรือดราม่า และที่ดีที่สุดกับฉาก ที่ยก มือไหว้ ผู้พันวีระ ในตอนท้ายบอม- สุทธิศักดิ์ สินเจริญ มารับบท ครูสิน พ่อศร กับ ณัฐชัย สิรินันทโชติ เป็นทิววัยหนุ่ม ก็เล่นได้ดี เข้าฉากด้วยกัน ส่งบทไปมาในหลายฉาก
เด็กชายศร ที่แสดงโดย น้องเก้า-ดช.เกิดเก้า ธีระพันธ์ ก็ดูน่ารักๆ ที่มีเด็กชายทิว คู่หู ที่เล่นได้น่ารัก แบบ แพ็คคู่

นักแสดงหลักๆ ทุกๆ คนโอเค แต่ที่อยากชม จากใจจริง คือ ทีมนักแสดงสมทบทุกๆคน ทั้งที่มาในส่วนดนตรีไทย นักดนตรี หรือคอรัส ที่เข้ามารับบทสมทบสลับกันไปมาในหลายบท ทำให้เรื่องออกมาดูสมบูรณ์ดูดีมากๆนักแสดงดนตรีไทย เล่นเป็นธรรมชาติ ทำให้ เสียงดนตรีไทย ในเรื่อง ดูดี ฟังไพเราะ ก้องกังวาน. เสนาะหูตลอดเรื่อง
เพลงแสนคำนึง จีนดอกไม้ เพลงเชิดต่อตัว และทุกๆ เพลงดนตรีไทย ฟังแล้ว ทะลุเข้าข้างใน ไพเราะ โดนใจ เข้าไปถึงข้างในนักแสดงทีมคอรัส นักเต้น ชัดเจนในความเป็น ละครเวทีแนวมิวสิคัล หลายคนคุ้นๆ หน้าคุ้นตา มาจากละครเวทีเรื่องอื่นๆแต่คนที่อยากชมมากเป็นพิเศษคือ คนที่เล่นเป็นเสด็จ ที่มาพร้อกับ น้ำเสียงที่ทรงพลังกังวานการแสดงละครเวทีมาแบบจัดเต็ม ทุกฉากที่ออกเรียกรอยยิ้ม ฉีกภาพมาดเข้มจากฉบับในหนังหรือคนที่รับบทเป็น ทิววัยชราสลับกับบทเสด็จอีกท่านที่มาดูประชัน มาน้อยแต่ดูดี

ท้ายสุด..สุดท้าย.. อยากจะขอบคุณพี่อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์ ที่คิดเรื่องนี้ขึ้นมาผู้กำกับ สังข์ ครูเอ้-อัษฏาวุธ สาคริก และ เวิร์คพ้อยท์ ที่ทำให้เกิด และนำ ละครเวทีที่น่าอัศจรรย์เรื่องนี้คืนเวที อีกครั้งขอบคุณนักแสดง/. นักดนตรี/นักร้อง ทีมงาน ทุกๆ ฝ่าย ทุกคน ที่ทำให้ละครสนุกและต้องขอบคุณ ท่านครูหลวงประประดิษฐ์ไพเราะ ที่ทำให้ ดนตรีไทย ไม่มีวันตาย จนถึงทุกวันนี้โหมโรงเดอะมิวสิคัล ฉบับนี้ ดีงาม ชอบมากรักมาก ไม่แพ้เวอร์ชั่นก่อนๆ เข้าไปอยู่ในอันดับต้นๆ ของละครเวทีในดวงใจ จัดเป็นละครเวทีที่ดีที่สุดของ เวิร์คพอยท์
อาจจะไม่ใช่ ละครเวทีที่ดีที่สุด แต่ก็ สามารถเข้าไปสู่ในใจ ..ได้ไม่ยากนักแนะนำๆ คอละครเวทีต้องไม่พลาด จัดแสดงวันที่ 4 – 18 พฤษภาคมนี้ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ
ซื้อบัตรผ่านระบบ Thaiticketmajor เท่านั้น !ซื้อบัตรสูงสุดได้ 6 ใบ / ครั้ง (แต่ไม่จำกัดจำนวนครั้งในการซื้อ)โทร 02-262-3456

‘โอ๊ยเล่าเรื่อง’สุสานคนเป็น (Tomb Watcher)

'โอ๊ยเล่าเรื่อง'สุสานคนเป็น (Tomb Watcher)

‘โอ๊ยเล่าเรื่อง’สุสานคนเป็น (Tomb Watcher)

วันเสาร์ ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

หนังผีน่ากลัวๆ ของ โกลบอล อิงค์ สตูดิโอส์, เอ็ม สตูดิโอ และ ช่อง 7HD ที่ผลิตโดยทีมกันตนา รุ่นใหม่ๆ จากละครสุดฮิตมาขึ้นจอเงินเป็นครั้งแรก เมื่อ “ลั่นทม” เศรษฐีนีเจ้าของธุรกิจร้อยล้านเสียชีวิตลง “ชีพ” ผู้เป็นสามี และ “รสสุคนธ์” ชู้รักของชีพ ได้โอกาสใช้ชีวิตคู่รักอย่างเปิดเผย แบบที่รสสุคนธ์เฝ้ารอมานาน ชีพชวนรสสุคนธ์ย้ายไปอยู่ที่บ้านพักตากอากาศด้วยกัน แต่ทว่า เธอกลับได้พบความสยองเกินคาดคิด เมื่อพบโลงแก้วที่มีศพของลั่นทม เมียหลวงที่เสียชีวิตไปแล้ว ตั้งอยู่ในบ้าน รสสุคนธ์และชีพต้องอยู่ที่บ้านหลังนี้ด้วยเงื่อนไขบางอย่าง เงื่อนไขที่เริ่มมาจากความรักแบบผิดๆ นำมาซึ่งการแก้แค้นอันน่าสยดสยอง

สุสานคนเป็น ในเวอร์ชั่นนี้ นำเอา เรื่องราวจากละครฮิต มาขึ้นจอแบบเนื้อๆ เน้นๆ ตัดน้ำ รายละเอียดปลีกย่อย ตัดตัวละครประกอบตัวอื่น ออกหมด เหลือแค่ ตัวละครหลักแค่ 3 คน

สุสานคนเป็น ไม่ได้ตีความใหม่ ไม่รู้สึกว่า มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แค่ รู้สึกเหมือน สรุป เล่าเรื่องย่อๆ แบบสั้นๆ เอาแบบเนื้อๆ บรรทัดเดียวจบ แทบจะไม่ต้อง ใส่รายละเอียด ใดๆ เพิ่มเข้ามาเลย

เรื่องของผัวมีเมียน้อย ผีเมียหลวงตามมาหลอก ..จบ

บรรยากาศของ สุสานคนเป็น ชัดเจน ในความเป็น หนังผี ที่ออกมาในแบบ ผีหลอก ผีออกมาหลอน ผีเอาคืน หรือผีแบบโหดๆ เล่นกันถึงเลือดถึงเนื้อ เพียงแต่..กว่า ผีจะโผล่ ผีจะมา รอแล้วรออีก มาปุ๊บมาปั๊บ แว่บๆ แวมๆ จนรู้สึกอึดอัด ว่าเมื่อไหร่จะมา ยังดี..ที่ ได้ ก้อย ที่เด่นมากๆ มาช่วยทำให้ ไม่รู้สึกง่วงหวาว หาวนอน  แถมยัง ไม่รู้สึก สะดุ้งตุ้งแช่ หรือตกใจ ใดเลย นอกจาก สะใจไปกับความโหด รอดูว่า รสสุคนธ์ จะโดนอะไร ออกมาในแบบผีโหดนองเลือด ไม่ใช้แนว ผีหลอกผีหักคอ

ผีมาแบบเต็มมาแบบเน้นกันยาวๆ ในช่วง20 นาทีสุดท้าย ทำออกมาได้ไม่เลว ดูหลอนๆ โหดดิบค่อยทำให้ รู้สึกว่า มาดู หนังผี แต่ก็มี ติดๆ คือ ไม่รู้สึกว่า เป็น ผีคุณนายลั่นทม ภาพที่ออกมา ดูเป็น ปีศาจ มากกว่าจะเป็นผี ซึ่งถ้า ทำออกมาเป็น ผีสาวจริงๆ น่าจะน่ากลัวมากกว่านี้มีการใส่ ตัวละครที่เหมือนจะเป็น หมอผี เข้ามา แต่ก็ใส่มาลอยๆ เหมือนจะมีอะไรแต่ก็ไม่มีอะไร

ที่รู้สึกขาดไป คือ ตัวหนัง กลับไม่ทำให้ รู้สึกกลัว ลั่นทม ที่นอนให้โลงแก้ว ได้เลย เสน่ห์ของเรื่องที่ คนดูสงสารลั่นทม ลุ้นว่าจะตายจริงตายปลอม แบบในละคร ไม่มีเหลืออยู่เลย

และ ที่ไม่ชอบสุดๆ ก็คือ ชีพ ในชุดท้ายๆ ที่เหมือนกับจะ อิงหนังเขย่าขวัญคลาสสิต อย่างใน ไซโค มาใช้ ไม่ชอบไม่โดน เป็นส่วนที่ทำหนังแย่ขึ้นมาในทันที รู้สึกเหมือน สื่อ ไปในแนว LGBTQ มากกว่า

และเสียดาย ที่ เส้นเรื่องหลักคือ เรื่องของการเล่นชู้ ในหนังจะต้อง มีฉากเลิฟซีน เร้าร้อน รุนแรง หรือฉากวับๆ แวมๆ แบบสุดๆ เหมือนในหนังยุคนี้พ.ศ.นี้ ควรมี แต่ สิ่งที่นำเสนอ มันดู อ่อนมากๆ ดูเป็นเด็กน้อย ไปเลย ผิดหวังๆ เนื้อเรื่องหลายคนลืมเลือน จำได้แค่น่ากลัว ภาพจำของ สุสานคนเป็น ในทุกๆ ครั้ง มีแค่ ความน่ากลัวของ ผีคุณนายลั่นทม ในโลงแก้ว ผัวชื่อชีพ เมียน้อยตัวร้ายรสสุคนธ์ และ… นักแสดงนำทุกๆ เวอร์ชั่น โดยเฉพาะ สามตัวละครหลัก เพิ่มเติมในฉบับละครคือ ตัวรองแต่เป็น พระเอกนางเอกใน เวอร์ชั่น นี้ ก็เช่นกัน สิ่งที่ดีที่สุด จดจำได้มากที่สุด คือ สามดารานำ แม้จะเป็นเรื่องของคุณนายลั่นทม ผีสาวในโลงแก้ว แต่เอาจริงๆ บทหนังกลับ ไปให้น้ำหนัก ที่ ชีพ กับ รสสุคนธ์ ที่เดินเรื่อง เด่นตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ

ก้อย-อรัชพร โภคินภากร สุดยอดมากๆ เป็น รสสุคนธ์ ที่อาจจะไม่สวยสะดุดตา แต่มีเสน่ห์ ชวนหลงไหล ตั้งแต่แรกเห็น เป็นสาวในฝันของหนุ่มๆ โดยไม่จำเป็นต้องเซ็กซี่ อะไรมากๆ ออร่า!! เสน่ห์ สีหน้าท่าทาง ใช่เลย ก้อย เล่นดีว่านเสน่ห์ ออกมาในทุกๆฉาก 

เล่นอารมณ์ เล่าเรื่องราว ถ่ายทอดความรู้สึกออกมา ผ่านแววตา ที่มีทั้ง น่าสงสาร ไร้เดียงสา เคียดแค้น เจ้าเล่ห์ หวาดกลัว เป็นตัวละครเดียวที่ดูไป คอยสบตาไป หลงเสน่ห์เคยชอบ ก้อย มากมายหลงรักใน ละคร รักออกแบบไม่ได้ ก็มาเรื่องแหละ ที่รักสุดๆ “พี่ชีพ..ขา” คำฮิต ติดหู ทุกครั้งที่ได้ยิน ละลายๆ รัก รสสุคนธ์ เลย ตาม ชีพ เลย

นุ่น-วรนุช ภิรมย์ภักดี พลังล้นเหลือ เป็น คุณนายลั่นทม ที่ดูสวย เป็นผู้นำ แต่อ่อนให้กับคนรัก พร้อมจะแรงกับคนที่มายุ่งกับผัว ตัวหนัง ให้ ลั่นทม นิ่งๆ แทบจะไม่เล่นอะไร เน้นๆ นอนในโลง น้ำตาไหล หลายตอน ก็ไม่ช่วยอะไร หรือ ตอนเป็นผีลั่นทม ไม่รู้สึกว่า เป็น นุ่น พาลไปนึกถึง นักแสดงแทนแต่น่าเสียดายที่บท น้อยไป บทไม่ส่ง  ถ้า เพิ่มน้ำหนัก ให้กับ ผีลั่นทม มากกว่านี้ น่าจะทำให้เรื่องสนุกขึ้น 

แก๊ป-ธนเวทย์ สิริวัฒน์ธนกุล อาจจะเป็น ชีพ ที่โอเค เล่นดี หล่อน่ารัก ในแบบ หนุ่มอาร์ตนิดๆ แต่กลับไม่ต่อยอิน กับความเป็นชีพ ที่คุ้นเคย ดูเด็กไป ดูไม่ค่อยร้าย แค่ มีโลกสองใบ เท่านั้น ขาด ความร้ายสุดๆ ร้ายจริงจัง จากในละครไป

โอ๊ต-วทัญญู อิงควิวัฒน์ กำกับ ทำ สุสานคนเป็น ออกมาเป็นหนังไทย ที่มีโปรดักขั่นดีงาม มาในแบบหนังไทยรุ่นใหม่ๆ เป็นหนังผีที่แทบจะลบภาพหนังผีไทยแบบเดิมๆ ออกจนหมด ออกมาเป็น หนังผีรุ่นใหม่ ที่คุ้นเคยกันดีในหลายๆ ชาติงานด้านภาพ เด่นๆ มากๆ มีการเล่น/ใช้มุมกล้อง ในการสร้างความน่ากลัว ความหลอน ทำให้หนังดูไม่นิ่ง การตัดต่อลำดับภาพ ที่ลื่นไหล เข้ามา หนังปูเรื่องพาย้อนกลับไปในปี 2534 เหมือนจะโชว์เล่นกับ เสื้อผ้าหน้าผมเครื่องแต่งกายของประกอบฉาก แต่เอาเข้าจริงๆ กลับไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่รู้สึกว่าเป็น หนังพีเรียส เรื่องเกิดโดยไม่เน้นช่วงเวลาหลายฉากๆ งานด้านภาพ มุมกล้อง เสื้อผ้าหน้าผม ฉาก ชวนให้นึกถึง สืบสันดาน เหมือนกันมากคล้ายกันมาก จนรู้สึกเหมือน มาดู ซีรี่ย์ สืบสันดาน ในเวอร์ชั่นผีๆ ดนตรีประกอบ เข้ามาช่วยขยี้ ในความเป็นหนังสยองขวัญเขย่าขวัญหนังผี และที่เด่นดีคือ การใส่เพลงของ เบิร์ดกับอาร์ท เข้ามาในหนัง รวมทั้งเพลง เพลงฮิตของ ใหม่ เจริญปุระ จากเสียงร้องของ มีนตรา อินทิรา ที่ดีงามไปเข้ากับ สุสานคนเป็น มากๆ 

สุสานคนเป็น ยังดูเป็นงานที่ลงตัว ดูดีดูสนุกมากกว่่า ห้องหุ่น(2557) ที่ กันตนา เคยนำมารีเมค สร้างใหม่ บนจอเงินแต่เปลี่ยนเรื่องจนดู ไม่สนุก

สุสานคนเป็น (2525) เรียบๆ ง่ายๆ แต่บรรยากาศน่ากลัว เมตตา รุ่งรัตน์ อนุสรณ์ เตชะปัญญา นฤมล นิลวรรณ คือภาพจำติดตา พอๆ กับ ฐาปกรณ์ ดิษยนันท์ พระเอกในเรื่อง

สุสานคนเป็น (2534) แก้ว-อภิรดี ภวภูตานนท์ ดุ๊ก-ภานุเดช วัฒนสุชาติ เหมียว-ชไมพร จคุรภุช และ พระนาง อธิวัฒน์ สนิทวงศ์ กับ สมฤทัย กล่อมน้อย มาพร้อมภาพ ความน่ากลัว แบบสุดๆ 

สุสานคนเป็น (2545) จำได้แค่ แอน-สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ กับ บิลลี่โอแกน และ เอ๋-พรทิพย์ วงษ์กิจจานนท์  และ สุสานคนเป็น (2557ยุ้ย-จิรนันท์ มะโนแจ่ม เจมส์-เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ และ จักจั่น-อคัมย์สิริ สุวรรณสุข และ ล่าสุด ครั้งแรกของ สุสานคนเป็น จอเงิน ภาพจำจริงๆ มีแค่ ก้อย-แก๊ป-นุ่น

สุสานคนเป็น ฉบับนี้ ชอบ ‘ก้อย’ ชอบโปรดักชั่น ชอบบรรยากาศ ความเขย่าขวัญ ความเป็น หนังผี หนังปีจริงๆ ไม่ค่อยเท่าไหร่ รวมๆ แล้ว โดนใจ ในระดับ 7/10 หัวกะโหลกครับ ปล. เห็นการโปรโมท คุณนายลั่นทม นอนในโลงแก้ว หน้าโรงหนัง แล้ว อดนึก ไปถึง สัตว์สาวจากโลงศพ(blood from the mummy s tomb) (1971) ที่โปรโมทวิธีนี้เหมือนกัน เพียงแต่ หนังฝรั่งดูน่าหลอนกว่า เพราะเล่นวางไว้ริมถนน

‘โอ๊ยเล่าเรื่อง’ 4 ป่าช้า

'โอ๊ยเล่าเรื่อง' 4 ป่าช้า

‘โอ๊ยเล่าเรื่อง’ 4 ป่าช้า

วันอาทิตย์ ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ไฟว์สตาร์ยังคงเดินหน้านำเสนอหนังผีๆน่ากลัวออกมาเพียงแต่พักเบรคหนังผียาวๆมานำเสนอหนังผีสั้นๆ4เรื่องใน4ป่าช้าคือหนังสั้น4 เรื่อง ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวเนื่องกัน แยกกันเป็นเอกเทศอย่างชัดเจนเป็นเรื่องเล่าน่ากลัว4เรื่อง4รสผ่านเรื่องเล่าจากปากหลุมศพคนผี,ซาตาน,ปีศาจ,พระเจ้าโจรร้ายและเด็กเปรตเส้นเรื่องหลักของทั้ง4เรื่องคือเรื่องพิธีศพพิธีทางศาสนาอิสลาม/คริสต์/ไทย ผีแขก ผีฝรั่ง ผีในป่าผีไทยความรักในครอบครัว ผัว/เมีย/ลูก พี่น้อง เพื่อนๆ

ญินท้าตายเสี่ยงชีวิตในป่าช้าสุดสยองเพื่อเข้าไปสู่โลกของญิน เต๋า-อดิเรก นำเสนอ ผีแขก ในอีกมุมหนึ่ง ที่อาจจะฉีกไปจากที่ผ่านๆ มาของ ญิน ในหนังเรื่องอื่นๆ เจ๋ง Big Assเล่นดีในทุกๆอารมณ์รัก/ดราม่า/แอ็คชั่นในบทมูซาด้าน มีมี่-ฤทัยภัทร รับบท มาเรียม เมียสาวสวยของ มูซา สวยจนถูก ณิน หมายปอง ได้เล่นบทแรงๆบทน่ากลัวหรือบทที่ชวนให้ลุ้นเอาใจช่วย

Miracleโกงตายเพื่อให้คนรักลุกขึ้นมาจากโลงในป่าช้าฝังศพ เต๊ะ-ศตวรรษ ทำ Miracle ออกมา เหมือน มาดู หนังผีฝรั่ง ที่เคยๆ ดูกันมา ทั้งโครงเรื่อง การเล่าเรื่อง การนำเสนอ ตัวละคร มาดู ปีศาจ ซาตาน มากกว่า มาเจอผี และที่ ขาดไม่ได้ ต้องมี ความรุนแรง คำหยาบ เรื่องเพศ  ตัดสลับไปมา  อัพ-ภูมิพัฒน์ เป็นชาคริต พิม-ลัทธ์กมล รับบท ปนัดดา เมียสาวของชาคริต ผู้กลับมา ขวัญฤดีกลมกล่อมรับบทแม่ของชาคริตMiracleคือตอนที่ไม่ชอบไม่สนุกที่สุดใน4ป่าช้า

ที่ชอบหนีตายจากคนร้ายกลับกลายเป็นหนีผีในป่าช้าตายโหง..สองพี่น้องปันและป้อน หนีเอาชีวิตรอดจากคนร้ายในป่าช้าผีตายโหงทั้งคู่ไม่รู้ว่ากำลังถูกไล่ล่าจากคนหรือผีวุ้น-ทรงศักดิ์ มงคลทอง พามาเข้าป่า ผ่านความน่ากลัว ในยามค่ำคืน ชวนให้ นึกถึง หนังผีน่ากลัวๆ ในป่าใหญ่ เป็นตอนที่ รวบรัดตัดตอน มีแต่เนื้อไม่เน้นน้ำ ทำให้ตอนนี้ มาเร็วไปเร็ว ยาวแค่ 15นาที จบไม่ต้อง ขยี้ เบคกี้-รีเบดก้า แพทรีเซีย กับ นินนา-นีรนารา เป็น ปันกับป้อน สองพี่น้องที่ดูน่ารักน่าเอาใจช่วยในทุกๆฉากที่ชอบ..ไม่เน้น ผี ในเชื้อชาติใด ออกมาแบบ เรื่องผีลับในป่าอาจจะไม่น่ากลัวแต่ชวนหลอนได้ดีทีเดียว

ต้องตาป่าช้าแตกเพื่อนตายที่หายสาบสูญสู่การแกะรอยตามหาในป่าช้าเด็กสุดเฮี้ยน..ต้องตาเด็กสาวที่หูหนวกเป็นใบ้ขาเสียได้หายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยเพียงชั่วข้ามคืนเพื่อนๆพากันออกตามหาแต่กลับพบเจอวิญญาณสุดเฮี้ยนในป่าช้าสุสานเด็กผีก็น่ากลัวเพื่อนก็หายตัว ชัดเจนในความเป็น หนังผีหลอกแบบไทยๆ มี ความน่ากลัวปนกับ เสียงหัวเราะ เจ้าคุณ-พันธ์ชนกชนม์เป็นสมรักษ์เด็กวัดผู้นำกลุ่มแตงกวา-ชนันทิชาเด่นมากๆลื่นไหลเรียกเสียงหัวเราะกับบทปรายฟ้าด้านปาณพุฒิ ศักตายาวนิช เป็นมาโนชเด็กวัดหนุ่มอ้วนที่ทำทุกอย่างเพื่อปรายฟ้าเรฟ-รณกร เป็น ชะช่า LGBTQIA+ อารมณ์ดีเนญ่า-ไอย์ฌิฌา  ในบท ต้องตา เด็กน้อยที่น่าสงสาร ไม่มีเพื่อน  ตอนเป็นผี ก็ดูหลอน ทีเดียว ไมค์- ภณธกฤต ทำหนังผีน่ากลัวปนเสียงหัวเราะ ออกมาดูดี จังหวะได้ บรรยากาศหนังหลอนแบบผีไทย ภาพ/เสียง/ดนตรีประกอบ หรือแม้แต่ ตุ๊กตาผี ชวนให้ขนลุก หรือ มุขหักมุม ตอนจบดีทีเดียว 4 ป่าช้า.. อาจจะไม่น่ากลัว ไม่สยอง แบบสุดๆ แต่ก็ดูได้เรื่อยๆ สบายๆ ในระดับ 7 หัวกระโหลกเรียงลำดับความชอบมากไปน้อยที่สุด ต้องตาป่าช้าแตก ที่ชอบ ณิน และ Miracle